Categories
Football Tactics

วิเคราะห์ทุกมิติเกมหยุดโลก ลิเวอร์พูล – แมนฯซิตี้ เกมที่มอบทั้งความสุข และบทเรียนลูกหนังชั้นเลิศ ให้แฟนบอลทั่วโลกได้เสพชนิดหาได้ยากยิ่ง

โปรดใช้วิจารณญาณอย่างลึกซึ้งระหว่างอ่านบทความนี้นะครับ ผมไม่ได้มีเจตนาจะ “ชี้นำ” แต่อยากจะบาลานซ์ความคิด และนำเสนอมุมมองฟุตบอลจากเกมนัดหนึ่งที่ถึงตอนนี้ 72 ชั่วโมงหลังแมตช์ไปแล้ว เรา ๆ ท่าน ๆ ก็ยังแอบ “อมยิ้ม” ถึงศึกลิเวอร์พูล 2 – 2 แมนฯซิตี้ จากแอนฟิลด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมากันอยู่

ความยาวบทความ 2,500 คำ ใช้เวลาอ่าน 10 นาที

  • อันดับแรก

ทำความเข้าใจก่อนว่า ลิเวอร์พูล ของเยอร์เกน คลอปป์ เป็น “บอลบุก” และเล่นด้วยความเข้มข้น หรือ intensity เกมที่สูง ประมาณว่า ชอบเดินหน้าฆ่ามัน หรือถอยหลังหกล้ม

หงส์แดงจะชอบ “เพรสซิ่ง” คู่ต่อสู้ขณะที่มีบอลด้วยรูปแบบวิธีหลากหลายทั้งทางตรง และทางอ้อม แต่ที่เห็นบ่อยหน่อย คือ ทำกันอย่างเป็นระบบ เป็น unit และร่วมด้วยช่วยกัน collective ตั้งแต่แดนบน

และจะมีการ “ไล่ล่า” (Chasing) คู่แข่งขันเพื่อแย่งบอลกลับคืน โดยส่วนใหญ่ก็นั่นแหละครับในแดนคู่แข่งตั้งแต่พวกเขาพยายามจะเปิดเกมรุก หรือหลังจากเราเสียการครองบอลแล้วเกิด transition จากรับเป็นรุก

การไล่ล่าจะทำด้วยการ “กดดัน” เข้าพื้นที่ที่คู่แข่งมีบอลด้วยตัวใกล้สุด และอาจจะเพิ่มจำนวนกลายเป็นไล่ล่า หรือเพรสซิ่งเป็นกลุ่มก้อนในพื้นที่ที่คู่แข่งมีบอล

ครั้นชนะ แย่งบอลได้ก็จะ transition จากรับเป็นรุกด้วยความรวดเร็วเข้าสู่แดนสุดท้าย หรือ Final Third ของคู่แข่งขัน

ทั้งนี้หากว่าแพ้ คู่แข่งแกะบอลออกมาได้ ลิเวอร์พูลจะอาศัยความสามารถเฉพาะตัวที่ยอดเยี่ยม และความรวดเร็วของคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟคอย “เก็บกิน” 

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

ดังนั้น มันจึงยากในระบบ Lone Striker หรือกองหน้าคนเดียวผ่านระบบหลักฟุตบอลในตอนนี้ไม่ว่าจะ 4-2-3-1, 4-5-1, 4-3-3, 3-4-3 จะเอาชนะ เวอร์จิล ฟานไดต์ หรือโจเอล มาติป ไปได้จากแค่บอลข้ามศรีษะไปหลังไลน์ที่ “รับสูง” แบบ high line

หรือเราก็จะมี อลิสซง เบคเกอร์ คอยอ่านเกมเสมือนเป็นเซนเตอร์ฯ คนที่ 3 คอยออกมาตัดบอลอีกด้วย นั้นคือ ในภาวะปกติ

แต่หากในภาวะไม่ปกติ เช่น เกมนี้กับซิตี้ หรือก่อนหน้านี้กับ เบรนท์ฟอร์ด ที่ยอดทีมลอนดอน ตะวันตก ใช้กองหน้าคู่ พักผ่อน เก็บบอล และประสานงานกันได้ดี “หน้าไลน์” เพราะตัวใหญ่ (อีวาน โทนีย์) เล่นกับบอลดี และรวดเร็ว ไบรอัน เอมบูโม เราก็ลำบากเหมือนกัน

ไม่นับ เฟส 2 จากการครองบอล และบุก โธมัส แฟรงค์ ยังใช้บอลโยนทะแยง (อันเป็นอีกจุดอ่อนของหงส์แดง) ครอสส์จากฝั่งซ้ายไปตก และรุมแบ็คขวา เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เป็นต้น

(เกมกับเชลซี โรเมลู ลูคาคู และเพื่อน ๆ ก็ทำอะไรเราไม่ได้)

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/mancity

ส่วนเกมนี้ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ฉลาด ช่างคิด สมกับเป็นนักนวัตกรลูกหนัง ตามสไตล์ด้วยการอ่านเรื่อง “ความเร็ว” ของ ฟิล โฟเดน ว่าจะมีผลต่อ เจมส์ มิลเนอร์ มากกว่าจับ แจ็ค กรีลิช ไปยืนตามที่คาดการณ์ไว้

หรือเอาโฟเดน ไปยืนฝั่งขวาให้เผชิญหน้าแบ็คซ้าย แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่เคยโดนโฟเดน “เผา” มาแล้วเมื่อ ก.พ.ชนะ 4-1 คาแอนฟิลด์

แต่กลับไปใช้ กาเบรียล เฆซุส ที่ก็มีความเร็วชน รบส. และโฟเดน ชน ท่านรอง โดยให้ กรีลิช ยืนเล่นช่องว่างระหว่างมิดฟิลด์ของเรา และไลน์รับ (อันเป็นอีก 1 จุดอ่อน) เป็นครั้งแรกตามหลังเพื่อน ๆ อย่าง แฟร์รัน ตอร์เรส, ราฮีม สเตอร์ลิง หรือแม้แต่ โฟเดน เองที่เคยลิ้มลองการเป็น False 9 มาแล้วทั้งสิ้น

นั่นคือ “ภาพกว้าง ๆ” และแผนเบื้องต้นที่เป๊ป คิดเอาไว้นะครับ

_ _ _

  • อันดับ 2

คงจะต้อง “ยอมรับ” นะครับว่า การคำนึงถึงคู่ต่อสู้ แล้วปรับแผนที่ไม่ใช่ปรับ “ตัวตน” เป๊ป เรียนรู้เยอะจากการเจอกับเรา และเจอกับคู่แข่งใน UCL กุนซือสแปนิช จึง “ปรับทีม” เสมอเพื่อสิ่งที่มองว่า ดีที่สุดสำหรับทีมตนเอง

หลายครั้งการปรับกลยุทธ์ และแท็คติกส์ ของเป๊ป ถึงกับถูกมองได้ว่า “มากไป” หรือ “คิดเยอะ” ได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ใน UCL Final ที่แพ้เชลซี เพราะ (ว่ากันว่า) ไม่ส่งมิดฟิลด์ตัวรับแท้ ๆ ลง โดยมีเหตุผลว่า ต้องการ “คอนโทรล” มิดฟิลด์ และเอาชนะแดนกลางให้ได้ 100% และกดใส่เชลซี ที่จะต้องมารับเต็มตัว

แต่กับเกมนี้ เป็นตัวอย่างที่ดีในอีกด้าน เพราะเป๊ปปรับแล้ว ทีมทำผลงานได้ดีตั้งแต่ประมาณนาทีที่ 15 ของครึ่งแรก จนจบ 45 นาทีแรก

และครึ่งหลัง แม้หงส์แดงจะ “be brave” (อ่านปาก คลอปป์ สิครับ “be brave” ในระหว่างเกมจากข้างสนาม) มากขึ้นจากที่แดนหน้าทั้ง 3 กรูลงมาช่วยเกมรับต่ำ หรือมิดฟิลด์เองก็ไม่กล้าดันขึ้นเพรสซิ่งในพื้นที่สูงกว่า เช่น ในแดนคู่แข่ง ตามสไตล์ถนัด หรือไม่กล้าเล่น “The Extra pass” อันเป็นคำที่ คลอปป์ อธิบายหลังเกมที่น่าจะหมายถึง กล้าเล่นบอล ที่แปลว่า กล้าส่ง กล้าครองบอล กล้าเลี้ยง หรือคือ ไม่รีบเตะทิ้งยาวออกไป แล้วก็จะโดนระลอกคลื่นสีฟ้าถาโถมกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า ที่ครึ่งหลังทำได้ดีขึ้นทันที

ประตู 1-0 แน่นอน “ตอบโจทย์” ทุกคีย์เวิร์ดของ คลอปป์ ไม้ว่าจะ be brave, the extra pass, compact (การเล่นแน่นร่วมกันเป็นกลุ่ม เช่น 3 เหลี่ยมในพื้นที่ต่าง ๆ)

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

ประตู 2-1 ที่เคอร์ติส โจนส์ คงอายกับการได้ชื่อว่า assist เพราะ โม ซาลาห์ โซโล่ซะขนาดนั้น ก็เกิดจากความกล้า ความมั่นใจที่ยังมีอีกหลายเพลย์ “ฉายภาพ” นี้ออกมาในครึ่งหลังแม้จังหวะเหล่านั้นจะไม่ได้ประตู

หรือแม้กระทั่งท้ายเกมหลังเสมอ 2-2 หงส์แดงก็ยัง be brave กล้าลุยจนเกือบได้ประตูจาก ฟาบินโญ่ หรือแน่นอนเกือบเสียจากจังหวะวอลเลย์ของ เฆซุส ที่ไปโดนตัว รบส.บล็อกเอาไว้

กล่าวคือ คลอปป์ และเด็ก เลือกจะ “เล่นรับ” แบบนี้

หรือคือ ใช้แดนหน้า และกลาง “เพรส” เข้าหาคู่ต่อสู้ที่มีบอลทันทีอย่างรวดเร็ว

ลิเวอร์พูล ไม่ได้ “เลือกรับ” ด้วยการรีบ “ถอยร่น” มายืนแพ็คเกมรับระหว่างไลน์กลาง และหลังแบบ compact อย่างรวดเร็ว (อาจทำได้หลังแดนบนเพรสซิ่งไม่สำเร็จ เช่น ตามกฎ 6 วินาที หรือไม่ต้องเพรสเลย คือ ตัดสินใจถอยมากระชับพื้นที่เลยหลังเสียการครองบอล)

แต่รับแบบนั้น ไม่ใช่ลิเวอร์พูล และไม่ใช่คลอปป์

ไม่งั้น จะได้ยินคลอปป์พูดแบบนั้นหรือครับหลังเกมว่า ครึ่งแรกเราไม่กล้า เราไม่เพรสซิงในพื้นที่ในเวลาเหมาะสม และทำให้ได้เห็นซิตี้ ต่อบอลง่ายไปมา หรือเลือกเปิดทะแยง เปิดบอลยาวได้ง่ายที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่บอสส์เคยดูซิตี้มาหลายเกม (จริง ๆ คือ ดูนับครั้งไม่ถ้วนนั่นแหละ)

_ _ _

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC
  • อันดับ 3

ผมไม่ได้ “แก้ตัว” แทนจอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เคอร์ติส โจนส์ หรือกระทั่ง ฟาบินโญ ในแดนกลางที่โดน “ทัวร์ลง” พอควร เช่น เฮนโด ไม่ช่วยมิลเนอร์, โจนส์ ตัดบอลไม่ได้ เล่นรับไม่ดี หรือฟาบินโญ่ ยืนห่างจากไลน์รับเกินไป ฯลฯ

ในโพสต์ LIVE กับพี่กบ Captain No.12 หรือโพสต์ Teaser ของโพสต์นี้ (https://www.facebook.com/khaimukdam/photos/a.174800505908163/4342449355809903/) ผมก็มีโอกาสได้พูดสิ่งเหล่านั้นไปเช่นกัน

ซึ่งแน่นอนว่า นั่นเป็นสิ่งที่เรา ๆ ท่าน ๆ เห็น และแบบที่ผมเคยเรียนไว้ต้องมาเห็นด้วยภาพนิ่งแบบ Freeze frame ด้วย เพราะดูไฮไลต์มองไม่ทันได้จับอะไร

หรือมาอ่านบทวิเคราะห์ อะไรต่อมิอะไรหลังเกมแล้วทำให้เห็นภาพว่า มันมี “ช่องห่าง” ระหว่างไลน์ที่ห่างเกินไปจริง ๆ (เกิน 7-8 หลา – อ้างอิง โค้ชน้อย อนันต์ อมรเกียรติ)

ขณะที่มองไว ๆ คือ “ไลน์รับ” ยืนเรียงสวย 4 คนอยู่ในแนวเดียวกัน และระยะใกล้กันอยู่แล้ว แบบไม่น่ามีปัญหาอะไร

หรือ เดอ บรอย กับแบร์นาโด ซิลบา ยังสามารถแกะตัว แกะบอล ออกมาเปิดไปเล่นหลังฟูลแบ็คเราได้ก่อนจู่โจมแบบรวดเร็ว

(โดยเราต้องเข้าใจตรงกันก่อนว่า ลิเวอร์พูล ไม่ได้เสียประตูจากการโดน “เจาะตรง” เข้าใจกลางเซนเตอร์ฮาล์ฟ หรือเข้าพื้น half spaces แต่จะโดนบอลทะแยงจากขวาไปซ้าย หรือเลี้ยงตัดจากขวาไปซ้ายเข้าทำลายพื้นที่บริเวณโซน 13 และ 16 ของมิลเนอร์ และโจ โก — นั่นแปลว่า งานป้องกันเบื้องต้น คือ ถูกต้องแล้ว แต่เราโดนบอลทะแยง และการเลี้ยง การเปิดบอลเร็วหน้าไลน์จากฝั่งขวา ไปฝั่งซ้ายบริเวณแบ็คขวาของเรา)

ประเด็นนี้ ผมไม่อยากใช้คำว่า “แหม…ก็บอสส์ ไม่ได้ลงมาวิ่งในสนาม จะรู้ได้อย่างไร?”

ครับ ด้วยความเคารพ นักบอลไทย บ่นแบบนั้นแน่ ๆ หากโค้ชสั่งให้ be brave และรุกลุย ลักษณะนี้ เพราะอะไร?

นี่คือ แมนฯซิตี้ และขอโทษ วอล์คเกอร์ กับการตีรถด่วนทางตรงยาว ๆ, กานเซโล กับบทบาทเพลย์เมคเกอร์ (แต่ขอโทษ เกมรับก็ห่วย ship หายจาก 2 จังหวะเบื้องต้นที่พลาดง่ายไปให้ ซาลาห์), แบร์นาโด ซิลวา แกะตัวจากการโดนรุมได้อย่างไร เช่น นาทีที่ 20 ครึ่งแรกเริ่มจาก เฮนโด พลาดเสียบอลแล้วรวมตัวกับเพื่อน 4-5 คนรวมถึง VvD กับภาพลงไปก้นจ้ำเบ้า หรือประตู 2-2 จากบอลทุ่มข้างสนามธรรมดาของกานเซโล ให้โฟเดน ต่อไปที่แบร์นาโด ที่สามารถครองบอล และแกะการเพรสซิงลิเวอร์พูลได้ โดยมี เดอ บรอย ที่ภาษาฟุตบอลเรียกว่า “ซื้อใจ” เพื่อน หรือคือ หากมรึงเก่งจริง มรึงหลุดได้ กรูก็หลุดยาว และพวกมันจะพินาศ

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/mancity

เฆซุส, โฟเดน และเดอ บรอย รวมกันแล้วสุด ๆ ครับ เฉพาะอย่างยิ่งหากดัน shape เกมรุกมาเข้าข่าย 2-3-5 และดันสูงขึ้นมาได้เมื่อไหร่ อย่าว่าแต่เราเลย ทุกทีมเหนื่อยหมด

เขียนถึงตรงนี้ แท้จริงแล้ว คลอปป์ แทนที่จะสั่ง be brave แต่สั่งแบบ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน หรือโธมัส ทูเคิล ว่า be cautious เราอาจได้ผลการแข่งขันอีกแบบ

เพราะหลัง เปแอสเช ออกนำเร็วแมนฯซิตี้ ในบ้านตัวเอง ปารีส แท้ ๆ พวกเขา “รับเต็ม” และรอโต้ให้ เอ็มบับเป, เนย์มาร์, เมสซี, ดิ มาเรีย เล่นกันแค่ 4 ตัว และแบ็ค เช่น ฮาคิมี เติมบ้าง ไรบ้าง แค่นี้ซิตี้ก็ยิงไม่ได้ และโดนอีกลูกจากเมสซี แพ้ 0-2 แต่นั่นไม่ใช่ลิเวอร์พูลไงครับ!

เหนือสิ่งอื่นใด เปแอสเช หากต้องบุกบ้าง ก็โดน แรนส์ ship หายไปเช่นกัน 0-2 หรือซิตี้ เจอทีมมารับจัด ๆ แล้วโต้เร็ว ๆ อย่างที่แพ้ สเปอร์ส หรือเจอแบบ เลสเตอร์, เชลซี ก็ไม่เคยเป็นอะไรที่ง่ายอยู่แล้ว ไม่นับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ดังนั้น อย่า “แปลกใจ” ที่สัมภาษณ์หลังเกม เป๊ปเองแทบจะลืมเรื่อง “ใบเหลือง 2 ใบ” ของเจมส์ มิลเนอร์ ไปเลย เพราะสบถแต่ The best league in the world ๆ 

คลอปป์ กับบทวิเคราะห์นำมาซึ่งบทความนี้ และบอกตรง ๆ ว่า บทสัมฯของคลอปป์ และการเล่นแบบ toe-to-toe ตามภาษามวย หรือเท้าชนเท้า ทำให้ผม และพวกเราได้ “เข้าใจ” ฟุตบอลขึ้นอีกมากทีเดียว

ครับ ไอ้ ship หาย (ครั้งที่ 3 แล้ว!) จะมีกี่ครั้งในโลกที่เราได้ยินโค้ชมา “ยอมรับ” ว่า ทำอะไรได้ดี ไม่ได้ดี ในครึ่งแรก หรือครึ่งหลัง หรือต้องการจะทำอะไร และทำได้ หรือทำไม่ได้ หลังจบเกมให้ชาวโลกได้ฟัง

แต่นี่คือ คลอปป์ และตัวเขาได้กระทำ และได้พูดในสิ่งเหล่านี้

_ _ _

  • อันดับสุดท้าย

(พูดแบบคนพอมีประสบการณ์นะ) หากผมเป็นเฮนโด และนักเตะลิเวอร์พูล สิ่งที่ผมจะมองตัวผมเองก่อน คือ หากบอสส์ให้ be brave ด้วยวิธีการเล่น และแท็คติกส์ ต่าง ๆ ผมจะต้องพิจารณา “หน้างาน” และอ่านสถานการณ์ให้ชัดเจนด้วยเช่นกัน

คือ ผมจะพูดว่า หากโค้ช หรือผู้มีพระคุณสั่งให้ผมทำอะไร แล้วผมทราบว่า ผมจะ “ไปตาย” ผมจะทำทำไม?

ดังนั้น มิดฟิลด์ของเรา “กล้า” ได้ แต่ในเวลาเดียวกัน พวกคุณต้องมองคน มองสถานการณ์รอบด้านด้วย เช่น การจะเข้ารุมแบร์นาโด แต่ด้านหลังแมร่งมี เดอ บรอย ยืนถือมีดดาบอยู่

คุณต้องประเมินสถานการณ์เองแล้ว ถูกไหม?

คือ เข้าได้ be brave ได้ แต่หากไม่ได้ (ห้าม commit เช่น สไลด์ล้มตัว หรือพรวด ฯลฯ หรือจะแลกก็ต้องฟาล์วเลย) ต้องทราบว่า ด้านหลังมรึงมีใคร แล้วต้องรีบถอนตัว หากปฏิบัติการแรกล้มเหลว

ไม่ใช่ เชียะอะไร เค้าสั่งให้กระโดดน้ำ พวกมรึงก็กระโดด แล้วจมลงไปโดยไม่ได้ดูเลยว่า “น้ำลึก” แค่ไหน? ห่างฝั่งแค่ไหน? มีห่วงยางหรือเปล่า? น้ำเย็นขนาดไหน?

หรือ มิลเนอร์ หรือโจ โก พวกคุณต้องรู้ว่า โฟเดน มันเร็วแค่ไหน?

การที่ยืนใกล้มาติป ถูกต้องแล้ว เพราะพื้นที่ “ตรงกลาง” โซน 14 คือ “ไข่แดง” ที่พวกคุณห้ามโดนเจาะ แต่หากคุณจะขยับมาใกล้แล้วไล่ตามคู่แข่งริมเส้นไม่ทัน (ผมไม่ได้หมายถึงในทุกจังหวะ หรือตอนโดน 2v1 นะ เช่น จังหวะใบเหลือง 1 v 1 มิลเนอร์ พลาดไปจริง เสียเหลี่ยมให้โฟเดน) มันก็ไม่ใช่

กล่าวคือ ผู้เล่น สามารถหารือกับโค้ชได้ คุยกันได้

แต่เหนือสิ่งอื่นใด ไม่ว่าจะเลือกวิธีไหน มิดฟิลด์ลิเวอร์พูล ต้องรู้สถานการณ์รอบข้างดีกว่าในเกมนี้ และทรานซิชั่นเร็วกว่าในเกมนี้ และสื่อสารกับทั้งแดนบน เรื่องจะเพรสซิ่ง ไม่เพรสซิ่ง เพรสใคร ยังไง และต้องทำด้วยกัน รวมถึงกับแนวรับที่เขายืนจัดระเบียบได้ดีแล้ว แต่อาจยืนห่างไปให้ดีกว่านี้ว่าจะทำอย่างไร เช่น ให้เขาดันขึ้นมา หรือตัวเองสักคนไปยืนโคเวอร์ไว้หน้าคู่เซนเตอร์ฯ (มิลเนอร์ หรือโจ โก ก็จะได้ถ่างห่างออกไปหาโฟเดน ได้มากขึ้น เป็นต้น)

ทั้งหมด คือ การเรียนรู้ของทีม และของพวกเราไปด้วย “พร้อม ๆ กัน”

สุดท้าย ผมขอกล่าวอีกครั้งว่า ฟุตบอลแบบเกมนี้ทั้งก่อน, ระหว่างแข่ง และหลังเกม มันเป็นเกมที่ครบทุกอรรถรส ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ 

ผมต้องขอขอบคุณ โค้ชน้อย อนันต์ อมรเกียรติ, โค้ชนพ นพพร เอกศาสตรา, โค้ชแดง ทรงยศ กลิ่นศรีสุข, โค้ชใหม่ เจตนิพัทธ รัชตเฉลิมโรจน์ และโค้ชโจ ธีระศักดิ์ โพธิ์อ้น ที่ได้ร่วมสนทนาธรรมเกมนี้กับผม และก็พี่กบ Captain No.12 และแน่นอนพวกเราทุกคนในเพจแห่งนี้

That’s why we do love the beautiful game ครับ

☕ ณัฐวุฒิ ประเทืองศิลป์

Categories
Special Content

ทนอดและอดทน : “พรีเมียร์ลีก” กับแนวทางช่วยเหลือแข้งมุสลิมช่วงเดือนรอมฎอน

ในทุกๆ ปี ชาวมุสลิมหลายล้านคนทั่วโลก จะมีช่วงเวลาที่ต้องปฏิบัติภารกิจถือศีลอดเป็นเวลา 29-30วัน หรือที่เรียกกันว่าเดือน “รอมฎอน” ที่ถือเป็น 1 ใน 5 หลักปฏิบัติของศาสนาอิสลาม

แน่นอนว่า ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกก็มีนักเตะที่เป็นชาวมุสลิมอยู่ไม่น้อย โปรแกรมการแข่งขันบางแมตช์ที่อยู่ในช่วงเดือนรอมฏอน ทำให้นักเตะเหล่านี้อาจจำเป็นต้องละศีลอดระหว่างเกม

แล้ววงการฟุตบอลอังกฤษ มีแนวทางการช่วยเหลือนักเตะเหล่านี้อย่างไร วันนี้ “ไข่มุกดำ” จะมาขยายให้ฟังกันครับ

Eid Mubarak celebration- Calligraphy Stylish Lettering Ramadan Kareem Text with Mosque. Vector illustration.

ทำความรู้จักกับ “รอมฎอน”

คำว่า “รอมฏอน” หมายถึง เดือนที่ 9 ตามปฏิทินฮิจเราะห์ หรือปฏิทินทางจันทรคติของศาสนาอิสลาม ในภาษาไทยมักจะเรียกกันว่า “เดือนบวช” ถือเป็นเดือนที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในรอบปีของชาวมุสลิมเลยทีเดียว

สาเหตุที่เดือนรอมฏอน คือเดือนที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในรอบปี เนื่องจากมีความเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ประทานพระคัมภีร์อัลกุรอานลงมาให้แก่นบีมูฮัมหมัด ศาสดาของศาสนาอิสลาม เพื่อชี้นำทางให้ชาวมุสลิมทั่วโลก

ซึ่งข้อปฏิบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งในเดือนรอมฏอน คือการถือศีลอด ซึ่งไม่ใช่แค่การงดอาหารและเครื่องดื่มเท่านั้น แต่รวมถึงการละเว้นข้อห้ามต่างๆ ในช่วงเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น จนถึงพระอาทิตย์ตกดิน 

สาระสำคัญของการถือศีลอดนั้น มีจุดประสงค์เพื่อให้ชาวมุสลิมได้ตระหนักถึงความยากลำบาก รู้จักอดทนอดกลั้น เรียนรู้การยับยั้งต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ ทั้งความหิวโหย และความลุ่มหลงต่าง ๆ เป็นการฝึกจิตใจให้สูงขึ้น

การประกาศวันที่ 1 ของเดือนรอมฏอนในแต่ละปีนั้นไม่เหมือนกัน ผู้นำศาสนาของแต่ละท้องถิ่น จะกำหนดจากการสังเกตวันที่ปรากฎดวงจันทร์เสี้ยวเป็นครั้งแรกหลังจากคืนเดือนมืด และนับไปจนครบ 29-30 วัน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เดือนรอมฏอนจะตรงกับช่วงฤดูร้อนในซีกโลกเหนือ ทำให้ช่วงเวลากลางวันยาวนานขึ้น นั่นหมายความว่าในบางประเทศ อย่างเช่น นอร์เวย์ ต้องถือศีลอดนานถึงวันละ 20 ชั่วโมง 

สำหรับเดือนรอมฎอนในปี 2022 ของสหราชอาณาจักร จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน ถึง 2 พฤษภาคม ถือศีลอดวันละ 15 ชั่วโมงครึ่ง ตั้งแต่ช่วงระหว่าง 04.00 – 05.00 น. จนถึงช่วงระหว่าง 19.30 – 20.30 น.

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/officialcpfc

ความท้าทายของนักฟุตบอล

การที่นักฟุตบอลอาชีพชาวมุสลิม ต้องงดเว้นจากการกินอาหารหรือดื่มช่วงเวลากลางวันเป็นเวลา 30 วัน ถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งสำหรับพวกเขา ในการรับมือกับช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนี้

ในฤดูกาลที่แล้ว ได้มีข้อตกลงอย่างไม่เป็นทางการระหว่างกัปตันทีมของแต่ละสโมสร ที่จะอนุญาตให้พักช่วงสั้นๆ ในช่วงเวลาที่ลูกฟุตบอลออกจากสนาม เพื่อให้ผู้เล่นมุสลิมละศีลอดระหว่างแข่งขัน

เมื่อเดือนเมษายน 2021 เกมพรีเมียร์ลีกคู่ระหว่างเลสเตอร์ ซิตี้ กับคริสตัล พาเลซ มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในนาทีที่ 35 ได้มีการหยุดเกมชั่วคราว เพื่อให้เวสลี่ย์ โฟฟาน่า และชีคคู คูยาเต้ ได้รับประทานอาหาร

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/lcfc

แมตช์ดังกล่าว ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ ที่มีการพักเบรกชั่วคราวระหว่างแข่งขัน เพื่อให้นักเตะมุสลิมละศีลอดก่อนพระอาทิตย์ตกดินในช่วงเดือนรอมฏอน และมีอีกหลายแมตช์ที่ทำตาม

นักฟุตบอลชาวมุสลิม มีหน้าที่ต้องรักษามาตรฐานการเล่นที่ดี พร้อมกับการถือศีลอด แน่นอนว่าสิ่งนี้ส่งผลในด้านจิตใจด้วยเช่นกัน อย่างที่โคโล ตูเร่ เคยเผชิญกับความท้าทายนี้มาแล้วช่วงที่ค้าแข้งในพรีเมียร์ลีก

อดีตเซ็นเตอร์แบ็กชาวไอเวอรี่ โคสต์ วัย 41 ปี ที่ปัจจุบันเป็นทีมงานสตาฟฟ์โค้ชให้กับเลสเตอร์ ซิตี้ กล่าวว่า “ผมคิดว่าการไม่ดื่มเครื่องดื่มใด ๆ เข้าไปในร่างกายของคุณนั้น เป็นเรื่องที่ยากที่สุดในฐานะนักฟุตบอลแล้ว”

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/lcfc

“ทันทีที่คุณเริ่มต้นถือศีลอดในเดือนรอมฎอน ช่วง 1-2 วันแรก จนถึงสัปดาห์แรก มันเป็นอะไรที่ยากมาก ๆ แต่หลังจากนั้นร่างกายของคุณก็จะชินกับมัน และคุณจะไม่ได้เริ่มคิดถึงเรื่องการดื่มน้ำด้วยซ้ำ”

“ถ้าคุณไม่ทำตามหลักศาสนาอิสลามในเดือนรอมฎอน คุณจะรู้สึกว่าอ่อนแอ เพราะในทางจิตใจ คุณรู้สึกว่าไม่ได้เข้าถึงหลักคำสอนของพระอัลเลาะห์ และนั่นจะทำให้คุณเล่นฟุตบอลได้ไม่ดีเท่าที่ควร”

อุปสรรคใหญ่ที่สุดของนักเตะที่ต้องถือศีลอด คือการวางแผนเตรียมตัวที่ไม่ดีพอ แต่ถ้าหากมีการปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม ถึงแม้จะต้องอดอาหารมากกว่า 10 ชั่วโมง ก็แทบจะไม่ส่งผลกระทบต่อการเล่นฟุตบอลเลย

อาชีพกับความเชื่อ ต้องไปด้วยกัน

การที่นักฟุตบอลมุสลิมต้องถือศีลอดในช่วงเดือนรอมฎอน วงการฟุตบอลอังกฤษจึงได้หาแนวทางในการช่วยเหลือนักเตะเหล่านี้ เพื่อให้สามารถรักษาฟอร์มการเล่นที่ดี ควบคู่ไปกับความเชื่อตามหลักอิสลาม

Muslim Chaplains in Sport (MCS) เป็นองค์กรที่ได้รับการรับรองจากพรีเมียร์ลีก และอีเอฟแอล ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 โดยทำงานร่วมกับสโมสรฟุตบอลอาชีพทั้ง 92 แห่ง เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมมุสลิม 

ขอบคุณภาพจาก : https://mcst.org.uk

MCS มีหน้าที่ให้ความรู้ในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงให้คำแนะนำกับสโมสรที่มีนักเตะมุสลิม เช่น การเลื่อนเวลาถือศีลอด เพื่อไม่ให้กระทบต่อฟอร์มการเล่นทั้งในการฝึกซ้อมและระหว่างการแข่งขัน

อิสมาอิล บัมจี ผู้ก่อตั้ง MCS กล่าวว่า “แม้ว่าจะไม่มีกฎเกณฑ์ของอิสลามสำหรับนักกีฬา แต่เราได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีที่พวกเขาได้รับการยกเว้นไม่ต้องถือศีลอด ถ้าต้องเดินทางไกลหรือเจ็บป่วย”

นอกจากนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับเรื่องพื้นฐานในเดือนรอมฎอน สมาชิกขององค์กรผู้ตัดสินอาชีพอังกฤษ หรือ PGMOL ก็ได้เข้าร่วมเวิร์กช็อปที่นำโดย Nujum Sports องค์กรที่คอยช่วยเหลือนักกีฬามุสลิมทั่วโลก

Nujum Sports ได้คิดค้นกฎบัตรนักกีฬามุสลิม และได้ส่งชุดของขวัญให้กับนักกีฬาชายและหญิงชาวมุสลิมมากถึง 270 คน รวมถึงนักฟุตบอลประมาณ 180 คนจากพรีเมียร์ลีก ไปจนถึงนอกลีกอาชีพ

โดยชุดของขวัญดังกล่าว ถูกเปิดตัวในงานอีเวนต์ที่กรุงลอนดอน เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งภายในชุดของขวัญประกอบด้วย ปฏิทิน, น้ำศักดิ์สิทธิ์ซัมซัม, เสื่อละหมาด และน้ำหอม

ทรอย ทาวน์เซนด์ หัวหน้าองค์กรการกุศลต่อต้านการเลือกปฏิบัติ หรือ “Kick It Out” กล่าวว่า “Nujum ทำได้ดีมากในการปลุกจิตสำนึกของชาวมุสลิมให้เข้าใจหลักศาสนา และสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญในเดือนรอมฎอน”

นักฟุตบอลอาชีพ ที่ถึงแม้จะต้องใช้ร่างกายอย่างหนัก แถมต้องเจอกับความยากลำบากตลอดระยะเวลา 30 วันในช่วงเดือนรอมฏอน แต่พวกเขาก็ไม่ยอมละทิ้งหน้าที่การเป็นศาสนิกชนที่ดี

Author : จักรพันธ์ ภู่ทอง

Photo : BBC

อ้างอิง :

https://www.bbc.com/sport/football/60823257

https://www.bbc.com/news/explainers-56695447

– https://www.bbc.com/thai/international-60970014

– https://www.liverpoolfc.com/news/first-team/139212-how-we-prepare-players-for-ramadan

Categories
Football Tactics

เจาะการยิง “ลูกพร้อม” อันลือลั่น ครั้งนี้สาธิตให้ชมโดย ธิอาโก อัลคันทารา

ผมน่าจะได้ดู “ช็อตยิง” จังหวะนี้ของ ธิอาโก อัลคันทารา ประมาณ 100 ครั้ง และได้คุยกับยอดโค้ชเมืองไทยหลายคนว่าควรจะเรียกการยิง (ลูกวอลเลย์) ลักษณะนี้ว่าอย่างไรดี?

มองเร็ว ๆ มันเหมือนพวกเราสมัยเด็กน้อย หยิบก้อนหินแบน.ๆ หรือแผ่นกระเบื้องมาขว้างเฉือน ๆ ให้สัมผัสผิวน้ำแล้วกระดอน ๆ ๆ พุ่งไปข้างหน้านะครับ

สวยงาม เพราะหาก “ปาหิน” ได้จังหวะ ได้เหลี่ยมมุม ถูกต้อง วิถีการพุ่ง และลักษณะการสัมผัสผิวน้ำจะสะเทิ้นสะท้านสวยงาม รวดเร็ว พุ่งตรง

จังหวะวอลเลย์นี้ที่เรียกเป็นภาษาฟุตบอลว่า “Half Volley” หรือภาษาบ้าน ๆ หน่อยว่า “ลูกพร้อม” ก็ไม่ต่างกันครับ

กล่าวคือ จะต้องยิงทันทีที่บอลกระดอนขึ้นจากพื้นหญ้า ณ จุดที่ลูกบอลยังลอยไม่สูงมากนัก และจริง ๆ แล้วก็เป็น “เทคนิค” อันหนึ่งที่ผู้รักษาประตูชอบใช้ (จะเรียกว่า Drop Kick) เพราะบอลจะพุ่งเร็วสู่เป้าหมายได้ทันที และคำนวณได้ว่า จะเอา แรง+เร็ว ประมาณไหน (จะดีกว่า โยนแล้วเตะ แน่นอน)

อย่างไรก็ดี การยิงครั้งของ ธิอาโก ไม่ใช่แค่ยิงทันทีที่บอลกระดอนขึ้นมาเล็กน้อยแบบธรรมดา ๆ แต่ยังเป็นการใช้หลังเท้า “ยิงตัด” ลูกบอลครึ่งบนในลักษณะเฉือนสไลด์ติดไซด์นิด ๆ แล้วยังกดเท้าลงอีกด้วย (ไม่นับที่ว่า น่าจะมีเทคนิคการเปิดบอลแบบ Low Drive เข้ามาผสมด้วย – ไว้ผมจะมาพูดถึงภายหลัง)

หรือคือ ทำประมาณอย่างน้อย 3 – 4 เทคนิคกับเท้า และลูกบอล• นั่นคือ ความชำนาญที่ฝึกฝน และเป็นทั้งทักษะ และเทคนิคเฉพาะตัวที่เกิดขึ้นหลังจากทักษะเบื้องต้น นั่นคือ การต้องอ่านจังหวะบอลได้ดีมาก ๆ และคำนวณระยะการตก, การกระดอน, มุม-องศา-ทิศทาง ของลูกบอลตั้งแต่จังหวะสกัดแล้วลอยบนอากาศ แล้วตกลงพื้น แล้วมุมที่จะเล็งเพื่อปล่อยเท้าสู่เป้าหมาย

โอ้ววว แม่เจ้า! ต้องพูดดีเทลกันแบบนี้เลยจริง ๆ ครับ ไม่งั้นมันไม่เห็นภาพที่แท้จริง

เหมือนคนใกล้เหตุการณ์อย่าง เพื่อนร่วมทีม อิบู โคนาเต หรือโจเอล มาติป ปรากฎภาพในโซเชียลทำท่ากุมศรีษะอย่างไม่เชื่อสายตาในสิ่งที่ได้เห็น

ขอบคุณรูปภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

ขณะที่นักเตะปอร์โต ต้องใช้คำว่า “stun” แน่นิ่ง ชะงักงันไปทั้งทีม

คำถามอื่น ๆ ยังมี เช่น บอลที่ยิงออกไปแท้จริงแล้วกระดอนโดนผืนหญ้าไหม? เพราะได้เห็นวิถีบอลพุ่งลง แล้วลอยสะเทิ้นขึ้นอีกครั้งก่อนเสียบโคนเสา ดิโอโก คอสตา ที่ไม่มีทางจะเซฟได้

ฟลุ๊ค หรือจังหวะพอดี หรืออย่างไร? เยอร์เกน คลอปป์ ก็ได้ตอบแล้วว่า เคยเห็นธิอาโก้ทำอยู่ในสนามซ้อม ในรายละเอียดอื่น ๆ ที่น่าสนใจก็ เช่น

ดาวเตะวัย 30 ปีจริง ๆ ยืนอยู่ไลน์สุดท้ายในเกมรับ (ถัดไปก็ อลิสซงแล้ว) นอกจอทีวีจากจังหวะเริ่มต้น ฟรีคิกทางฝั่งขวาของ อเล็กซ์ ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน แต่แบบที่บอกครับว่า “อ่านจังหวะ” โหม่งสกัดไม่ดีของปอร์โต้แล้วพุ่งเข้ามาจนเพื่อน ๆ รุ่นน้องที่อยู่ใกล้กว่า อย่าง เนโก วิลเลียมส์ และคอสตาส ซิมิกาส ต้องหลบกระเจิงให้

นั่นแสดงว่า “สมอง” ธิอาโก คำนวณ เลือกโหมดการเล่น และบันทึกภาพการทำประตูนี้ไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว

ใครจะแสดงความชื่นชม หรือความเห็นเพิ่มเติมก็จัดมาได้เลยนะครับ

หรือจะ “ขยี้” อีกนิด คือ ธิอาโก ยังมี “เทคนิคพิเศษ” อื่น ๆ ที่ใช้ประจำอีกมาก เช่น ใช้เท้าเหยียบจับบอลแล้วแตะในจังหวะเดียวในลักษณะเดียวกับนักฟุตซอล, การใช้ข้างเท้าด้านนอกจ่ายบอลเสมอ ๆ (หลัง ๆ นักเตะหงส์คนอื่น ๆ ก็เล่นตามเยอะนะ), ลูกชิพเปิดบอลยาวหลากหลายรูปแบบ เช่น Low Drive (พอล ป๊อกบา เป็นอีกคนที่ใช้บ่อย), จังหวะ half turn ตอนจะรับบอล

ขอบคุณรูปภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

อย่างไรก็ดี จะให้ดี ธิอาโก อัลคันทารา ต้องมีความสม่ำเสมอ และผสมผสานเทคนิค และทักษะอันงดงามเหล่านั้นให้เกิด “ผลลัพธ์” มากกว่านี้ และเจ็บให้น้อยลง

เพื่อ “ศักยภาพสูงสุด” ของเขาจะไม่พุ่งขึ้น และตกลงเหมือนพลุไฟ แต่จะเป็นเหมือน “ดาว” ที่ลอยค้างฟ้าเป็นตำนานสโมสรได้ต่อไปมากกว่าครับ

✍☕ณัฐวุฒิ ประเทืองศิลป์

🙏ขอบคุณข้อมูล : โค้ชน้อย อนันต์ อมรเกียรติ, โค้ชนพ นพพร เอกศาสตรา, โค้ชแดง ทรงยศ กลิ่นศรีสุข, โค้ชใหม่ เจตนิพัทธ์ รชตเฉลิมโรจน์ และโค้ชโจ ธีระศักดิ์ โพธิ์อ้น

Categories
Our Work

Lamina Digital Boost : การใช้ช่องทางกีฬาสนับสนุนการสื่อสาร และการทำการตลาดของแบรนด์

การเป็นแบรนด์อันดับ 1 ใช่ว่าจะง่าย ไม่ต้องทำอะไร และสามารถอยู่เฉย ๆ ได้ เพราะความเชื่อว่า คู่แข่งไม่น่าจะไล่ตามได้ทัน! แต่…นั่นไม่ใช่มุมคิดที่ถูกต้อง หรือคิดแบบ “เบอร์ 1” ตัวจริง เฉกเช่น แบรนด์ ลามิน่า ที่เป็นผู้นำ และสร้างความแตกต่างในตลาดฟิล์มติดรถยนต์ หรือฟิล์มบ้าน และอาคาร อยู่ตลอดเวลา ล่าสุด คือ แคมเปญ “Lamina Digital Boost” บูสต์ชีวิต…ให้เป็น 1 เดียวกับโลกดิจิทัล 

โดยในช่วงเกิดการเปลี่ยนถ่าย และโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนคำว่า Transformation หรือ Disruption ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตไปแล้วในแทบทุกมิติ อุตสาหกรรมฟิล์มติดรถยนต์ก็เช่นกันที่ต้องเผชิญกับภาวะการเปลี่ยนแปลงนี้

ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นสตอรีระหว่าง Lamina กับการก้าวสู่ช่องทางการสื่อสารกีฬา คงต้องเริ่มจากความสนใจจะขยับเข้าหากลุ่มลูกค้าใหม่ หรือกลุ่มเดิมแต่เป็นการ cross segment ไปที่กลุ่มกีฬาเพื่อสร้างการรับรู้ทางการตลาดให้กว้างขึ้นเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้วจากเพจวิเคราะห์บอลจริงจัง โพสต์แรกวันที่ 30 มิถุนายน 2561 (https://web.facebook.com/jingjungfootball/posts/2040054036209836) โพสต์นี้ เป็นการ tied-in โปรดักส์แทรกเข้าไปในช่วงท้ายคอนเทนท์ที่พูดถึงสิทธิในการไว้ผมยาว หรือ ผมสั้น ของกาเบรียล บาติสตูต้า เจ้าของฉายา “บาติโกล์” เสมือนการชิมลางกับ fan base ของทางเพจ

การเริ่มต้นนั้น มองได้ว่าเป็นทั้งการขยับสู่การสื่อสารแบบออนไลน์ หรือก้าวสู่โลกดิจิทัลแบบเต็มตัวได้ด้วยเช่นกัน เพราะไม่เพียงแต่สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายโดยตรงในช่องทางเฉพาะเจาะจง เช่น ยานยนต์ หรือไลฟ์สไตล์ ในรูปแบบออนไลน์เท่านั้น แต่ยังเป็นการกระโดดข้ามไปสู่ช่องทางอินฟลูเอนเซอร์กีฬาเพื่อขยับการรับรู้ของกลุ่มลูกค้าให้ขยายออกจากพื้นที่เดิม ๆ ของ Lamina อีกด้วย

หากมองภาพรวมของโพสต์ครั้งนั้นทั้งการกดไลค์ กดแชร์ และคอมเมนท์ (Engagement Rate) จัดได้ว่าเป็นการเริ่มต้นที่น่าพอใจ เพราะมีฟีดแบ็คถึง Lamina เกินคาดหมาย ซึ่งตรงนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสื่อสารที่ดี อย่างน้อยก็ทำให้มีคนพูดถึง หรือรู้จัก Lamina เพิ่มขึ้นผ่านช่องทางออนไลน์ และช่องทางกีฬา

ถัดจากนั้นมา ลามิน่า เดินหน้าต่อยอดการสื่อสารการตลาด และการทำประชาสัมพันธ์ทางช่องทางดิจิทัล และเพิ่มจำนวนการสื่อสารผ่านช่องทางกีฬาออนไลน์ อย่างสม่ำเสมอควบคู่ไปกับการสื่อสารแบบดั้งเดิม (Traditional Media) ผ่าน โทรทัศน์, วิทยุ และสิ่งพิมพ์ ไม่นับการทำกิจกรรมทางการตลาดผ่านอีเวนต์ เช่น คอนเสิร์ต หรือมหกรรมแสดงรถยนต์ และสินค้ายานยนต์ ทั้งมอเตอร์โชว์ และมอเตอร์เอ๊กซ์โป ควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่อง

แคมเปญ “ความห่วงใยใกล้ตัวคุณ” #ก็เขาห่วง สร้างกระแสได้ดี ตั้งแต่ก่อนโควิด-19 จะแพร่ระบาด และยืนระยะให้ผู้คนจดจำกับแบรนด์ Lamina ณ จุดที่บริษัทครบรอบ 25 ปีในปี พ.ศ.2563 ที่รวมกับความแข็งแกร่งของแบรนด์ และตัวแทนการขายทั่วประเทศทำให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคจนยอดขายเติบโต และรักษาส่วนแบ่งการตลาดเอาไว้ได้

ในปีนี้ พ.ศ.2565 Lamina กำลังอยู่ในช่วงของการทำแคมเปญใหม่ “Lamina Digital Boost” เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่ก้าวผ่านสู่โลกดิจิทัลมากขึ้นทั้งการใช้ชีวิต และเกาะตามเทรนด์โลกที่ความตระหนักในสิ่งแวดล้อมกำลังมาแรง และในอุตสาหกรรมยานยนต์ก็หนีไม่พ้นกระแสยานพาหนะพลังงานไฟฟ้า (รถ EV) ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อม ๆ กับการสนับสนุนของภาครัฐให้ประชาชนหันมาใช้รถ EV กันมากขึ้น

Lamina เองเล็งเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ และเดินหน้าสานต่อการเผยแพร่การรับรู้โปรดักส์ผ่านทางช่องทางดิจิทัลสู่กลุ่มเป้าหมายหลัก รวมถึงเลือกใช้ช่องทางกีฬามากขึ้น โดยแคมเปญ “Lamina Digital Boost”  เริ่มเปิดตัวพร้อมปล่อยวิดีโอออกมาเมื่อวันที่ 16มีนาคม 2565 ในช่องทางของตนเอง แล้วมาเริ่มเผยแพร่กับช่องทางกีฬาตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2565 ก่อนจะแถลงข่าวพร้อมเปิดตัวแคมเปญอย่างเป็นทางการครั้งแรกในงาน Motor Show 2022 ที่ อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 22 มีนาคม ที่ผ่านมา ผนวกเข้ากับสื่อดั้งเดิมเต็มรูปแบบตามที่น่าจะได้เห็นได้ยินกันทางหน้าจอโทรทัศน์ วิทยุ และสิ่งพิมพ์

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/LaminafilmsHQ

แคมเปญนี้ เฉพาะในส่วนของกีฬา ได้มีการวางกลยุทธ์การสื่อสารที่ครอบคลุมมากขึ้น นำโดยเพจวิเคราะห์บอลจริงจัง และอินฟลูเอนเซอร์กีฬาชื่อดังท่านอื่น ๆ อีกหลายคน

นอกจากนี้ยังขยับขยายสู่ช่องทางกีฬาที่เป็นตัวนักกีฬาเองอีกด้วย เนื่องจากทุกวันนี้นักกีฬาจัดเป็นกลุ่มบุคคลที่โด่งดัง มีชื่อเสียง (Celebrity) ไม่ว่าจะด้วยสไตล์การเล่น การวาดลวดลายในสนาม หรือด้วยเสน่ห์จากบุคลิกภายนอก ที่ทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จัก น่าเชื่อถือ และมีแฟนคลับติดตามจำนวนมาก ในช่วงโควิด-19 ระบาดหนัก ๆ และไม่มีเกมการแข่งขัน ไปสนามฟุตบอลไม่ได้ หรือปัจจุบันนี้เอง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า กลุ่มแฟนคลับเลือกที่จะปรับตัวติดตามนักกีฬา โดยเฉพาะนักเตะทีมชาติไทยผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น 

“เราเริ่มต้นจากการมองที่ตัวตนของแบรนด์เราก่อนว่าเป็นอย่างไร มีกลุ่มเป้าหมายแบบไหนซึ่งส่วนใหญ่ผู้ชายเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก จากนั้นก็มองไปที่ไลฟ์สไตล์ที่พวกเขาชื่นชอบแล้วก็หาแนวทางให้ความเป็นแบรนด์ของเราเชื่อมไปหาพวกเขาได้

ลามิน่า เป็นแบรนด์ที่ดูมีความจริงจัง จริงใจ ดังนั้นช่องทางกีฬาไม่ได้เพียงช่วยในเรื่องขยายฐานลูกค้า และสร้างความแตกต่างให้กับเราได้เท่านั้น แต่ยังเพิ่มความสนุกให้กับแบรนด์ และเป็นอีกเครื่องมือส่งต่อสิ่งดี ๆ ที่เราต้องการให้กับลูกค้าได้อีกด้วย”

คุณธันยาสรวง เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา – Assistant IMC Director

ตามที่ได้กล่าวไว้ Lamina ได้ใช้สื่อในการโปรโมทแคมเปญ “Lamina Digital Boost” อย่างหลากหลาย ทั้งสื่อดั้งเดิม ทีวี, วิทยุ มาจนถึงสื่อออนไลน์ รวมไปถึงช่องทางของ Lamina เองด้วยเช่นกัน เพื่อตอกย้ำภาพความเป็นผู้นำ ผู้เชี่ยวชาญด้านฟิล์มกรองแสงกันความร้อนทุกประเภท ที่อยู่มายาวนานกว่า 27 ปีในประเทศไทย และได้สร้างสรรค์นวัตกรรมมากมายจนได้รับการยอมรับให้เป็นผู้นำฟิล์มกรองแสงอันดับ 1 ในบ้านเรา ทำให้มั่นใจในเรื่องคุณภาพได้อย่างแท้จริง

จากฟิล์มรถยนต์แบบเดิม สู่เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจากฟิล์มลามิน่า ที่ออกแบบเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์การขับขี่แห่งโลกยุคใหม่  “Lamina Digital EV Boost” จะเข้ามาเป็นฟิล์มกรองแสงซีรีย์ที่ 5 มีการพัฒนาเพื่อรถยนต์ไฮบริด รถยนต์ไฟฟ้า และสมาร์ทคาร์อัจฉริยะโดยเฉพาะ ด้วยการผลิตจากนวัตกรรม AiCeramic 100% พร้อมด้วยเทคโนโลยี DigitalBoost ที่ทำให้ได้ฟิล์มกันร้อน กันยูวีที่ดีเยี่ยม รวมถึงช่วยประหยัดพลังงาน ช่วยลดภาระการทำงานของระบบปรับอากาศภายในรถ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานแบตเตอรี่ให้ได้นานมากขึ้นกว่าเดิม และยังช่วยบูสต์สัญญาณดิจิทัลต่างๆภายในรถ ทั้ง 5G และ Wifi ให้ทำงานได้อย่างเร็ว แรง ลื่น เสถียร อีกทั้งยังให้วิสัยทัศน์ที่ยอดยเยมในทุกช่วงเวลาและสภาพอากาศ

Lamina Digital EV Boost (New Series) จะเข้ามาเสริมทัพฟิล์มกรองแสงดิจิทัลที่ลามิน่าฟิล์มเป็นผู้นำตลาดอยู่ในปัจจุบัน จากสินค้าที่ทำตลาดแล้ว 4 ซีรีย์ ประกอบด้วย “Lamina Digital Ceramatrix” ฟิล์มเซรามิคแท้ตัวจริงคุณภาพอันดับหนึ่ง “Lamina Digital CM Icon” ฟิล์มเพื่อผู้ใช้รถยุค 5G “Lamina Digital CM One” ฟิล์มเพื่อรถสมาร์ทคาร์ใหม่ป้ายแดงและ “Lamina Digital Mystery” ฟิล์มถนอมดวงตาเพื่อสุขภาพ

โดยเทคโนโลยี “Lamina Digital Boost” มีจุดแข็งคือ:

– เร็ว ตอบสนองทุกฟังก์ชั่นดิจิทัลในรถ สะดวกรวดเร็วแค่ปลายนิ้ว

– แรง รับส่งข้อมูลดิจิทัลภายในรถ โหลดแรงเต็มประสิทธิภาพ

– ลื่น ออนไลน์หลายอุปกรณ์พร้อมกันลื่นไหลไม่มีสะดุด

– เสถียร ลดปัญหาสัญญาณดิจิทัล อ่อน/หลุด/หาย

เทคโนโลยีนี้ จะทำให้ฟิล์มกรองแสงลามิน่า รองรับการเชื่อมต่อสัญญาณดิจิทัล 5G และ Wifi ภายในรถทุกระบบทั้งระบบอินโฟเทนเมนต์และระบบช่วยเหลือการขับขี่อัตโนมัติได้อย่างดีเยี่ยม

ในส่วนของช่องทางกีฬา เราจะได้เห็นบทบาทการเป็นช่องทาง “สนับสนุน” การสื่อสารการตลาดแคมเปญ “Lamina Digital Boost” ตลอดปีนี้ เพื่อสร้างพลังเสริมในการขับเคลื่อนการทำการตลาดของแบรนด์ควบคู่ไปกับการสื่อสารในช่องทางหลักอื่น ๆ แบบใกล้ชิดเพื่อช่วยเสริมสร้างการรับรู้ และความมั่นใจ พร้อมทั้งตอกย้ำความเป็นผู้นำของอุตสาหกรรมฟิล์มติดรถยนต์ และกรองแสงกันความร้อนทุกประเภทต่อไป

เรื่อง: ภาวินีย์ สูญสิ้นภัย

เรียบเรียง: ณัฐวุฒิ ประเทืองศิลป์

Categories
Special Content

เดิมพันสู่ประวัติศาสตร์ : “ลิเวอร์พูล” กับเส้นทางการลุ้น 4 แชมป์ทีมแรกของอังกฤษ

หลังจากที่ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์คาราบาว คัพ โทรฟี่แรกของฤดูกาล 2021/22 เจอร์เก้น คล็อปป์ ออกมากล่าวถึงการลุ้น 4 แชมป์ในซีซั่นเดียวว่า “เป็นเรื่องยากที่จะทำได้ คงไม่ได้คิดบ้าๆ แบบนั้น”

แต่จนถึงเวลานี้ ลิเวอร์พูลก็ยังคงเป็นทีมเดียวที่มีโอกาสทำ “quadruple” ทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ โดยจะต้องลงเล่นถึง 16 นัด ในช่วงเวลา 8 สัปดาห์ที่เหลืออยู่ของฤดูกาลนี้

แล้ว “หงส์แดง” จะต้องเจอกับความท้าทายอะไรบ้าง เพื่อลุ้นเหมา 4 โทรฟี่เป็นทีมแรกของเมืองผู้ดี วันนี้เพจ “ไข่มุกดำ” จะมาขยายและวิเคราะห์ให้ฟังกันครับ

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

เปิดตำนานทีมผู้ดีลุ้น 4 แชมป์

นับตั้งแต่ฟุตบอลถ้วยลีก คัพ (ปัจจุบันคือคาราบาว คัพ) จัดการแข่งขันครั้งแรก เมื่อฤดูกาล 1960/61 นั่นหมายความว่า สโมสรฟุตบอลในประเทศอังกฤษ มีโอกาสลุ้นแชมป์ถึง 4 ถ้วย ภายในฤดูกาลเดียวกัน

ตลอดระยะเวลา 61 ซีซั่นที่ผ่านมา มี 15 สโมสร จากความพยายามรวมกัน 120 ครั้ง ที่ต้องการจะสร้างตำนานคว้า 4 ถ้วยในซีซั่นเดียว คือลีกสูงสุด, เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ และยูโรเปี้ยน คัพ (ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก)

เบิร์นลี่ย์ คือทีมแรกในประวัติศาสตร์ที่มีโอกาสใกล้เคียงสุดกับการลุ้นคว้า 4 แชมป์ แต่ความฝันของพวกเขาจบสิ้นลงในวันที่ 15 มีนาคม 1961 หลังจากแพ้ฮัมบวร์ก ของเยอรมัน ตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายยูโรเปี้ยน คัพ

ทีมที่เข้าใกล้การลุ้นคว้า 4 แชมป์มากที่สุดเท่าที่มีการบันทึกไว้ คือ เชลซี ในฤดูกาล 2006/07 โดยเส้นทางลุ้น 4 ถ้วย ได้หยุดลงในวันที่ 1 พฤษภาคม 2007 เพราะตกรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

รองลงมาคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซีซั่น 2008/09 ที่ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แต่ก็ไม่สามารถเหมาครบ 4 แชมป์ หลังจากตกรอบรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ เมื่อ 19 เมษายน 2009

ขณะที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นทีมแรก และทีมเดียว ที่ได้ลุ้น 4 แชมป์แบบใกล้เคียงที่สุดถึง 2 ครั้ง แต่ก็ต้องฝันสลายในวันที่ 17 เมษายนเหมือนกัน (2018/19 ตกรอบ 8 ทีมแชมเปี้ยนส์ ลีก, 2020/21 ตกรอบรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ)

ส่วนในฤดูกาล 2019/20 ที่โปรแกรมการแข่งขันต้องล่าช้าออกไปเพราะโควิด-19 แมนฯ ซิตี้ ของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีลุ้นแชมป์ 4 รายการ ก่อนที่จะเสียแชมป์พรีเมียร์ลีกให้กับลิเวอร์พูล ในวันที่ 25 มิถุนายน 2020

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

16 นัด ใน 56 วัน ของลิเวอร์พูล

สถานการณ์ล่าสุดของลิเวอร์พูล นับตั้งแต่คว้าแชมป์ลีก คัพ พวกเขาอยู่อันดับ 2 ในพรีเมียร์ลีก ตามหลังจ่าฝูงแค่ 1 แต้ม และยังอยู่ในการแข่งขันเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย

ผลงานดังกล่าว ถือเป็นการลุ้นแชมป์ 4 รายการที่ใกล้เคียงที่สุดเป็นอันดับที่ 5 (เป็นอย่างน้อย) ของฟุตบอลอังกฤษ และยังเป็นผลงานที่ดีที่สุดของเจอร์เก้น คล็อปป์ นับตั้งแต่เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมในถิ่นแอนฟิลด์อีกด้วย

ในประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูล พวกเขาเคยคว้าแชมป์ 3 รายการในฤดูกาลเดียวกัน ถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกในฤดูกาล 1983/84 ยุคของกุนซือโจ เฟแกน ที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุด, แชมป์ลีก คัพ และยูโรเปี้ยน คัพ 

และอีกครั้งในฤดูกาล 2000/01 แต่ไม่ถูกนับเป็น “quadruple” เนื่องจากไม่ได้ลงเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เชราร์ด อุลลิเย่ร์ พาหงส์แดงคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ และยูฟ่า คัพ แต่ในพรีเมียร์ลีก ได้แค่อันดับ 3

ส่วนในฤดูกาลนี้ กับความหวังอีก 3 ถ้วยที่ยังมีลุ้น ทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ จะต้องลงเตะทั้งหมด 16 นัด ในรอบ 56 วัน เริ่มต้นตั้งแต่เกมพรีเมียร์ลีก ที่เปิดบ้านพบกับวัตฟอร์ด ในวันเสาร์ที่ 2 เมษายนนี้

แล้วหลังจากนั้น ลิเวอร์พูลจะเข้าสู่ช่วงโปรแกรมสุดสำคัญ ด้วยนัดชี้ชะตาแชมป์พรีเมียร์ลีกกับแมนฯ ซิตี้ วันที่ 10 เมษายน อีกทั้งจะต้องพบกับเรือใบสีฟ้าอีกครั้ง ในเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ 16 เมษายน

เท่านั้นยังไม่พอ จะต้องทำศึก “แดงเดือด” กับแมนฯ ยูไนเต็ด 19 เมษายน และต่อเนื่องด้วยดาร์บี้แห่งเมอร์ซี่ย์ไซด์กับเอฟเวอร์ตัน 24 เมษายน เรียกได้ว่าต้องเจอกับคู่ปรับสำคัญถึง 4 นัด ในช่วงเวลา 2 สัปดาห์

ยังไม่นับกรณีที่ลิเวอร์พูล เข้ารอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และผ่านเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ โปรแกรมพรีเมียร์ลีก ที่พบกับแอสตัน วิลล่า และเซาแธมป์ตัน จะต้องถูกเลื่อนไปแข่งขันช่วงกลางสัปดาห์ด้วย

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

ส่วนในเอฟเอ คัพ ถ้าผ่านแมนฯ ซิตี้ ในรอบรองชนะเลิศ จะไปเจอเชลซี หรือคริสตัล พาเลซ ขณะที่แชมเปี้ยนส์ ลีก ถ้าผ่านเบนฟิกาในรอบ 8 ทีมสุดท้าย รอบตัดเชือกจะไปเจอบาเยิร์น มิวนิค หรือบียาร์เรอัล

แล้วถ้าลิเวอร์พูล ผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศถ้วยใหญ่ยุโรป ในวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคมนี้ จะมีโอกาสพบกับ 1 ใน 4 ทีมที่ล้วนแข็งแกร่งทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเชลซี, แมนฯ ซิตี้, เรอัล มาดริด และแอตเลติโก้ มาดริด

นั่นหมายความว่า ถ้าลิเวอร์พูลต้องการที่จะสร้างประวัติศาสตร์คว้า 4 แชมป์ในฤดูกาลนี้ ทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ จะลงเตะรวมทั้งหมด 63 เกม แน่นอนว่าเรื่องสภาพร่างกายคืออุปสรรคสำคัญสำหรับพวกเขา

ปัญหาการบาดเจ็บของผู้เล่น เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ได้รับบาดเจ็บแฮมสตริง จนต้องถอนตัวจากทีมชาติอังกฤษช่วงฟีฟ่า เดย์ เมื่อเดือนที่แล้ว ยังต้องลุ้นว่าจะฟิตทันเจอแมนฯ ซิตี้ ในสัปดาห์หน้าหรือไม่

ส่วนการจัดการนักเตะที่จะลงสนาม ในช่วงเวลาที่ต้องลุ้นแชมป์อีก 3 รายการที่เหลือแบบนี้ ก็เป็นหน้าที่ของคล็อปป์ ที่จะต้องวางแผนให้เหมาะสมในแต่ละนัด และรับมือกับความกดดันที่เข้ามาให้ได้

การที่ลิเวอร์พูล จะประคองตัวเองให้ยังอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์ 4 รายการ จนจบฤดูกาลนี้ ต้องอาศัยปัจจัยหลายๆ อย่าง ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของนักเตะ และโค้ชเท่านั้น แต่โชคชะตายังต้องเข้าข้างด้วย

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

แกร่งแค่ไหนก็ไม่เคยทำสำเร็จ

กว่า 6 ทศวรรษของการลุ้นแชมป์ 4 รายการในวงการฟุตบอลเมืองผู้ดี เคยมีทีมที่ได้รับการยกย่องว่า “ดีที่สุด” ในแต่ละยุคสมัย แต่ถึงแม้ว่าจะสมบูรณ์แบบขนาดไหน ก็ยังไม่มีทีมใดที่คว้าครบ 4 แชมป์ในซีซั่นเดียวได้เลย

เริ่มจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมแรกของอังกฤษที่ทำ “เทรบเบิล” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในฤดูกาล 1998/99 ทั้งพรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ในถ้วยลีก คัพ ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย ในเดือนธันวาคม 1998

ต่อด้วยอาร์เซน่อล ชุดแชมป์พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2003/04 ชนิดที่ “ไร้พ่าย” ทั้งซีซั่น แต่เส้นทางลุ้น 4 แชมป์ จบลงตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2004 หลังจากถูกมิดเดิลสโบรช์ เขี่ยตกรอบรองชนะเลิศลีก คัพ

นอกจากนี้ “เดอะ กันเนอร์ส” ในฤดูกาล 2010/11 ก็เป็นอีกครั้งที่สโมสรจากลอนดอนเหนือทีมนี้ อยู่ในเส้นทางการลุ้นแชมป์ 4 รายการ แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจบซีซั่นแบบมือเปล่าอย่างน่าเสียดาย

ทีมของกุนซืออาร์แซน เวนเกอร์ นำเป็นจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ แต่อีกแค่ 4 วันถัดมา แพ้พลิกล็อกให้กับเบอร์มิงแฮมในนัดชิงชนะเลิศลีก คัพ ทำให้ความฝันที่จะลุ้น 4 แชมป์ ต้องจบลง

หลังจากนั้น โมเมนตัมของอาร์เซน่อลก็เป็นไปในทิศทางที่แย่ลง ตกรอบถ้วยแชมเปี้ยนส์ ลีก และเอฟเอ คัพ ในช่วงเวลาห่างกันแค่ 5 วัน อีกทั้งชนะในพรีเมียร์ลีกได้แค่ 2 จาก 11 นัดสุดท้ายของซีซั่น จบแค่อันดับ 4

หรือแม้กระทั่งแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมแรกที่ทำ 100 แต้มในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2017/18 และกวาด 3 แชมป์ในประเทศทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ ในฤดูกาล 2018/19 ก็ไม่สามารถทำ “ควอดรูเพิล” ได้

ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ลิเวอร์พูลจะคว้าแชมป์คาราบาว คัพ เพียงแค่รายการเดียวหลังจบฤดูกาลนี้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็คงจะพูดได้ไม่เต็มปากว่า เป็นฤดูกาลที่ประสบความสำเร็จอย่างที่เดอะ ค็อปคาดหวัง

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

Author : จักรพันธ์ ภู่ทอง

Photo : BBC

อ้างอิง :

– https://www.bbc.com/sport/football/60742994

– https://www.theguardian.com/football/2022/mar/01/jurgen-klopp-plays-down-talk-of-liverpool-winning-crazy-quadruple

– https://www.independent.co.uk/sport/football/jurgen-klopp-liverpool-squad-strongest-ever-b2037505.html

Categories
Football Business

กระทบไหล่ เท็ดดี้ เชอริงแฮม กลยุทธ์การตลาดเพื่อประสบการณ์อันทรงคุณค่าให้กับคุณลูกค้าแฟนบอลของแบรนด์

การสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ประโยคนี้ประโยคเดียวสามารถสร้างสรรค์ให้เกิดกิจกรรมทางการตลาดอันบรรเจิดสุดได้ตราบเท่าที่สมองมนุษย์ และนักการตลาดจะพึงคิดค้นกลยุทธ์ในการเนรมิตให้เกิดประสบการณ์ดังกล่าวขึ้นมา และต้องยอมรับว่า งานอีเวนต์ “Exclusive Meet and Greet with Teddy Sheringham by Supersports” เมื่อวันที่ 24มีนาคม ที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้ทุกประการ

สำหรับแฟนฟุตบอลพรีเมียร์ลีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด น่าจะรู้จัก และจดจำภาพ “น้าหมี” (เรียกตามชื่อหน้า เท็ดดี้ โดยคนไทย) เท็ดดี้ เชอริงแฮม ได้จากการกดประตูตีเสมอ และโหม่ง assist ประตูชัยให้แมนฯยูไนเต็ด พลิกนรกแซงชนะบาเยิร์น มิวนิค ในศึก UCL Final 1999 ช่วงทดเจ็บ 2-1 พร้อมซิว 3 แชมป์ “ทริปเบิ้ล แชมป์” ในซีซั่นนั้น 1998/99 อันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความสำเร็จในอาชีพค้าแข้งของดาวเตะรายนี้ทั้งในระดับสโมสร, ทีมชาติ หรือส่วนตัวที่เคยได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีของอังกฤษ ฤดูกาล 2000/01 เท่านั้น

เอ็ดเวิร์ด พอล คือ ชื่อหน้า และชื่อกลางที่แท้จริงที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จัก ปัจจุบันอายุ 55 ปี เกิดวันที่ 2 เม.ย.1966 ประสบความสำเร็จในทุกที่ ทุกสโมสรที่ทำหน้าที่ หลัก ๆ คือ มิลล์วอลล์ ที่เริ่มค้าแข้ง, ฟอเรสต์, สเปอร์ส 2 รอบ, แมนฯยูไนเต็ด, ปอร์ตสมัธ และเวสต์แฮม พ่วงด้วยสถิติติดทีมชาติอังกฤษ 51 ครั้ง ยิง 11 ประตู อีกทั้งยังติดทีมชาติผู้ดีถึงอายุ 36 ปีร่วมเล่นฟุตบอลโลก 2002

ด้วยสไตล์การเล่นสง่างาม ใส่เบอร์ 10 มาตลอด และให้สัมภาษณ์ในงาน Meet & Greet นี้ว่า ได้ขอเบอร์ 10 ที่ว่างพอดีจากเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (เดวิด เบคแคม โยกจากเบอร์ 10 ไปเบอร์ 7) เป็นจุดที่แสดงให้เห็นว่า เจ้าตัวก็มองตนเองเป็นกองหน้าแถว 2 หรือจะเรียกหน้าต่ำ หรือหน้าคอยสนับสนุน หรือคล้ายกับ False 9 ในสมัยปัจจุบัน พร้อมยอมรับ เยอร์เกน คลินส์มันน์ เป็นคู่หัวหอกที่ร่วมเล่นด้วยที่ดีที่สุดในสมัยอยู่กับสเปอร์สที่สอดคล้องว่า เท็ดดี้ ได้พัฒนาสไตล์ และแนวทางการเล่นจากช่วงเวลานั้นกับคลิ้นซี่ได้ดีที่สุดต่อยอดมาสู่แมนฯยูไนเต็ด ในช่วงพีค จนถึงปลายค้าแข้ง

ฉะนั้น นับตั้งแต่มีข่าว เท็ดดี้จะมีงาน “Exclusive Meet and Greet” ผ่านสื่อกีฬา และเหล่า influencers, KOLs สายฟุตบอล รวมถึงเพจ “ไข่มุกดำ” ที่ได้จัดกิจกรรมร่วมสนุก ( https://bit.ly/3wEdWqy ) ได้ผู้โชคดีเป็นคุณ นนทนันท์ คนเที่ยง

และแฟนเพจอีกท่านหนึ่ง คุณ พชรธรณ์ ทรัพย์สิริเทวี ที่ไม่สบาย และทางเพจได้ประสานงานกับผู้จัดงานขอเวลาเพิ่มเพื่อให้เท็ดดี้ เขียนให้กำลังใจ “To.X, Get well soon” กระแสกิจกรรมนี้จึงถือว่า “ปัง” พอสมควร

“การส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดทางด้านกีฬาให้กับลูกค้า และแฟนฟุตบอลทุกคน เป็นสิ่งที่ซูเปอร์สปอร์ตให้ความสำคัญสูงสุดเสมอมา ฟุตบอลเป็นประเภทกีฬาหลักสำหรับเรา ภายในพื้นที่ของซูเปอร์สปอร์ต และโซน Futbol X จึงเป็นที่เดียวในประเทศไทยที่จัดเต็มด้วยอุปกรณ์กีฬาฟุตบอล และคอลเลคชั่นสำหรับแฟนๆ ฟุตบอลไว้อย่างครบครัน นอกจากนี้ การจัดกิจกรรมแบบเอ็กซ์คลูซีฟเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เชื่อมระหว่างซูเปอร์สปอร์ต และแฟนบอลให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ในวันนี้ เราภูมิใจที่ได้จัดกิจกรรมพิเศษอันน่าตื่นตาตื่นใจ ในการนำนักเตะระดับตำนานของพรีเมียร์ลีกมาพบกับแฟน ๆ  และหวังว่าผู้เข้าร่วมงานทุกท่านจะชื่นชอบและมีความสุขไปกับกิจกรรมนี้”

มร. โทนี่ มอร์ตัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซี อาร์ ซี สปอร์ต จำกัด กล่าว

ซึ่งงานนี้มีแฟนคลับผู้โชคดี 80 คนร่วมกิจกรรมผ่านช่องทางต่าง ๆ เดินทางมาร่วมงาน รวมไปถึงแขกรับเชิญ อินฟลูเอนเซอร์ และสื่อมวลชม ในแวดวงกีฬามากมาย ไม่เฉพาะผู้นำสาวกปิศาจแดง แมนเชสเตอร์ 

อย่าง “บอ.บู๋” บูรณิจน์ รัตนวิเชียร และ “พีชชี่” วรันทร สมกิจรุ่งโรจน์ เท่านั้น

ทีมการตลาด PPTV นำโดย คุณฤทธิชัย พรหมปราบทุกข์ และพิธีกร ป๊อป วีระพล เต็มโชติโกศล, ทีมงาน “ขอบสนาม” คุณเบลล์, คุณนัท, เกมส์เอง หรือเพจวิเคราะห์บอลจริงจัง, เพจดูบอลกับแนท, SoccerSuck, คุณปฐม อุ่นบริบูรณ์ บรรณาธิการจาก เนชั่น กรุ๊ป, กลุ่ม/แฟนบอลสเปอร์ส ฯลฯ และฯลฯ ต่างพร้อมใจกันมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับงานครั้งนี้ไปด้วยกัน

งานนี้จัดขึ้นโดย ซูเปอร์สปอร์ต ในเครือเซ็นทรัลรีเทล และได้ PPTV เป็น Official Media Partner จัดการออร์กาไนซ์ โดยบริษัทอามันโด้ เปิดโอกาสสร้างประสบการณ์ดี ๆ ให้แฟนฟุตบอล ได้พบปะแบบใกล้ชิดกับ “น้าหมี” เท็ดดี้ เชอริงแฮม อดีตศูนย์หน้าในตำนาน คือ ตัวอย่างกลยุทธ์การตลาดผ่านการทำงานร่วมกับตำนานนักฟุตบอลชื่อเสียงระดับโลกเพื่อโอกาสในการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับ และจดจำ ผ่านประสบการณ์กับนักเตะ Legend Player แบบที่เงินซื้อไม่ได้

การได้เห็นเหล่า Influencers, KOLs มาร่วมงานจำนวนมาก และแฟนบอลให้การตอบรับเป็นอย่างดีผ่านกิจกรรมคัดเลือกผู้มาร่วมงาน Exclusive Meet & Greet รวมถึงกระแสการประชาสัมพันธ์เป็นการเข้าถึง และ PR Value ผ่านสื่อมูลค่าสูงทั้งก่อน และหลังงานจนทำให้รับรู้ของแบรนด์ Supersports ได้รับการตอบรับเป็นบวก และมีภาพลักษณ์ดีร่วมกับนักเตะระดับโลกจึงน่าจะอธิบายได้ว่า กิจกรรมนี้เป็นอะไรมากกว่าการที่ เท็ดดี้ เชอริงแฮม มาร่วมมอบลายเซ็น และถ่ายรูปให้แฟนบอลกระทบไหล่แบบธรรมดา ๆ แน่นอน

เรื่อง: ภาวินีย์ สูญสิ้นภัย

เรียบเรียง: ณัฐวุฒิ ประเทืองศิลป์

ขอบคุณรูปภาพจาก : Supersports

Categories
Special Content

ของขวัญจากฟากฟ้า : “โอบาเมยอง” จิ๊กซอว์ที่เข้ากับบาร์เซโลน่าอย่างลงตัว

ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยอง ศูนย์หน้าทีมชาติกาบอง เหมาคนเดียว 2 ประตู ช่วยให้บาร์เซโลน่า บุกถล่มเรอัล มาดริด ขาดลอยเหลือเชื่อ 4 – 0 ในลาลีกา สเปน แมตช์ “เอล กลาซิโก้” เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา 

โอบาเมยอง ลงสนามไปเพียงแค่ 11 นัด รวมทุกรายการ แต่ทำไปแล้วถึง 9 ประตู กลายเป็นความหวังใหม่ในแนวรุกบาร์เซโลน่า ภายใต้การคุมทีมของซาบี้ เอร์นานเดซ อดีตตำนานมิดฟิลด์ของสโมสร

จากแข้งไร้วินัยกับอาร์เซน่อล ดาวเตะวัย 33 ปี กลับคืนสู่ฟอร์มที่ยอดเยี่ยมกับบาร์ซ่าได้อย่างไร วันนี้เพจ “ไข่มุกดำ” จะมาขยายให้ฟังกันครับ

ภาพจาก : https://web.facebook.com/fcbarcelona

เคยเกือบที่จะเลิกเล่นฟุตบอล

ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยอง เกิดที่ลาวัล ทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส ในครอบครัวที่มีคุณพ่อเป็นอดีตนักฟุตบอลอาชีพในลีกแดนน้ำหอม และเคยเป็นอดีตกัปตันทีมชาติกาบองอีกด้วย

โอบาเมยอง ได้เริ่มต้นอาชีพนักเตะกับสโมสรระดับท้องถิ่นตั้งแต่อายุ 6 ขวบ อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น เจ้าตัวเคยมีความคิดที่จะเลิกเล่นฟุตบอล เนื่องจากมีปัญหาเรื่องสภาพร่างกาย

“สมัยที่เป็นเด็ก ผมเล่นตำแหน่งปีกมากกว่ากองหน้า เพราะผมเป็นคนที่วิ่งเร็ว แต่พออายุได้ 15-16 ปี ผมมีปัญหาบางอย่างที่หัวเข่า จึงไม่สามารถวิ่งได้เร็วเหมือนเมื่อก่อนได้”

“ผมต้องห่างจากฟุตบอลอยู่พักหนึ่ง และมีความคิดที่จะเลิกเล่นฟุตบอล แต่ยังฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อรอโอกาสอย่างอดทน ใช้เวลารอคอยถึง 6 เดือนก็ได้กลับมาเป็นนักฟุตบอลอีกครั้ง”

หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในทีมเยาวชนในฝรั่งเศสนานถึง 12 ปี โอบาเมยองก็ได้รับประสบการณ์ใหม่กับทีมเยาวชนของเอซี มิลาน แต่ไม่ได้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ ถูกปล่อยยืมตัวให้กับลีลล์, ดิฌง และโมนาโก

ต่อมาในปี 2011 โอบาเมยองย้ายกลับไปค้าแข้งในลีกบ้านเกิด กับแซงต์ เอเตียน คว้าแชมป์เฟรนช์ ลีก คัพ ปี 2013 ก่อนที่จะไปผจญภัยในเยอรมนี กับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ คว้าแชมป์เดเอฟเบ โพคาล ในปี 2017

ส่วนการรับใช้ทีมชาติ ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยอง มีทางเลือกทั้งฝรั่งเศส, สเปน ตามสัญชาติของคุณแม่ แต่ท้ายที่สุดเจ้าตัวตัดสินใจเลือกเล่นให้กาบอง ตามสัญชาติของคุณพ่อ

ภาพจาก : https://web.facebook.com/fcbarcelona

ปัญหาเรื่องวินัยที่อาร์เซน่อล

หลังจากผ่านประสบการณ์ค้าแข้งในลีกเอิง ฝรั่งเศส และบุนเดสลีกา เยอรมนี ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยอง ก็ตัดสินใจย้ายมาร่วมทีมอาร์เซน่อล ในช่วงเดือนมกราคม 2018 ด้วยค่าตัว 56 ล้านปอนด์

เมื่อย้ายมาอยู่ในถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมได้ไม่นาน โอบาเมยองก็แสดงให้เห็นถึงการเป็นหนึ่งในดาวยิงที่ทำผลงานดีสุดในพรีเมียร์ลีก ด้วยการยิงไปถึง 6 ประตู จากการลงเล่นในพรีเมียร์ลีก 7 นัดแรก

ภาพจาก : https://web.facebook.com/Arsenal

โอบาเมยอง เป็นนักเตะอาร์เซน่อลที่อยู่ภายใต้การทำงานของผู้จัดการทีม 3 คน ทั้งอาร์แซน เวนเกอร์, อูไน เอเมรี่ และกุนซือคนปัจจุบันอย่างมิเกล อาร์เตต้า ที่เข้ามารับหน้าที่ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2019

อาร์เซน่อลในยุคของอาร์เตต้า ถือเป็นช่วงเวลาที่โอบาเมยองโชว์ฟอร์มได้ดีที่สุด และมักจะทำประตูสำคัญพาทีมคว้าแชมป์ถึง 2 รายการ ทั้งเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศกับเชลซี และคอมมูนิตี้ ชิลด์ กับลิเวอร์พูล

หลังจากคว้าแชมป์คอมมูนิตี้ ชิลด์ โอบาเมยองประกาศต่อสัญญาฉบับใหม่กับ “เดอะ กันเนอร์ส” โดยมีผลจนถึงปี 2023 ซึ่งอาร์เตต้า เป็นคนสำคัญที่เกลี้ยกล่อมให้เขาตัดสินใจอยู่ค้าแข้งที่ลอนดอนต่อไป

แต่ทว่า สิ่งที่ทำให้อาชีพนักฟุตบอลของโอบาเมยองมีปัญหา คือเรื่องของความประพฤติที่ไม่เหมาะสม เขามีประวัติด้านลบติดตัวมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะดอร์ทมุนด์ และก็ยังทำแบบเดิมกับอาร์เซน่อล

ในเกมนอร์ท ลอนดอน ดาร์บี้กับสเปอร์ส เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว โอบาเมยองมาถึงสนามเป็นคนสุดท้าย จึงถูกดร็อปเป็นตัวสำรอง และหลังจากจบเกมที่อาร์เซน่อลชนะ 2 – 1 เขาก็กลับออกไปเป็นคนแรก

หรือเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โอบาเมยองถูกอาร์เตต้าตัดชื่อออกจากทีมหลายนัด แถมถูกปลดจากตำแหน่งกัปตันทีมด้วย หลังจากเดินทางไปเยี่ยมครอบครัวที่ฝรั่งเศส แต่กลับมาไม่ทันตามกำหนด

ภาพจาก : https://web.facebook.com/Arsenal

นอกจากนี้ โอบาเมยองยังหลุดจากทีมชาติกาบอง ชุดสู้ศึกแอฟริกัน เนชันส์ คัพ เมื่อเดือนที่แล้ว ท่ามกลางข่าวลือที่ว่าเขาหนีเที่ยวระหว่างอยู่ในแคมป์ทีมชาติ และเมากลับมาจนมีเรื่องกับพนักงานโรงแรม

และท้ายที่สุด อาร์เซน่อลตัดสินใจยกเลิกสัญญากับปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยองที่เหลืออยู่ 18 เดือน เพื่อเปิดทางในการย้ายไปอยู่กับบาร์เซโลน่า ทันเวลาเส้นตายของตลาดนักเตะหน้าหนาวที่ผ่านมา

ของขวัญที่ส่งมาจากสววรค์

เมื่อปี 2016 ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยอง เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า สักวันหนึ่งเขาจะได้เล่นให้กับทีมชั้นนำของลาลีกา สเปน และในที่สุดฝันของเขาเป็นจริงแล้วในการย้ายไปอยู่กับบาร์เซโลน่า

โอบาเมยอง ลงเล่นเพียงไม่กี่นัดก็โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยม เริ่มจากเหมาแฮตทริก ในนัดที่บุกถล่มบาเลนเซีย 4 – 1 ต่อด้วยยิงใส่แอธเลติก บิลเบา กับโอซาซูน่า ทีมละ 1 ประตู ในเกมที่จบลงด้วยชัยชนะ 4 – 0 ทั้ง 2 นัด

ภาพจาก : https://web.facebook.com/fcbarcelona

สำหรับนัดที่เอาชนะบาเลนเซียถึงเมสตาย่านั้น โอบาเมยอง สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักเตะคนแรกในศตวรรษที่ 21 ที่ทำแฮตทริกได้กับสโมสรใน 4 ลีกใหญ่ของยุโรป (อังกฤษ, เยอรมัน, ฝรั่งเศส และสเปน)

ส่วนนัดที่ถล่มโอซาซูน่า โอบาเมยอง เป็นนักเตะคนแรกนับตั้งแต่ปี 2009 ที่ยิง 5 ประตู จาก 6 นัดแรกในลาลีกา ซาบี้ เอร์นานเดซ กุนซือของบาร์ซ่า ได้กล่าวหลังจบเกมว่า “เขาคือของขวัญจากสวรรค์ที่ตกอยู่ในมือของเรา”

“เขาปรับตัวเข้ากับทุกอย่างที่นี่ได้เร็วเหลือเชื่อ ผลงานในสนามก็ยอดเยี่ยมสุด ๆ ทั้งมีอิทธิพลในทีมอย่างสูง แถมยิงประตูได้ดีด้วย ผมมีความสุขมากที่ได้ร่วมงานกับนักเตะระดับโลกแบบเขา”

นอกจากนี้ อดีตแข้งอาร์เซน่อลยังทำประตูได้ในยูโรป้า ลีกด้วย โดยยิง 1 ประตูในนัดที่บุกชนะนาโปลี4 – 2 และยิงประตูชัยในนัดที่บุกชนะกาลาตาซาราย 2 – 1 ช่วยให้บาร์ซ่า ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย

และล่าสุด ในเกม “เอล กลาซิโก้” เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ดาวเตะชาวกาบองวัย 33 ปี ทำคนเดียว 2 ประตู และ 1 แอสซิสต์ ช่วยให้เจ้าบุญทุ่ม บุกไปถล่มราชันชุดขาว ถึงซานติอาโก้ เบอร์นาเบว 4 – 0

เมื่อโอบาเมยองทำประตูได้ เขามักจะฉลองด้วยการตีลังกา ซึ่งท่าดีใจของเขานั้น ได้แบบอย่างมาจากฮูโก้ ซานเชซ สุดยอดตำนานดาวยิงจอมตีลังกาทีมชาติเม็กซิโก ซึ่งเป็นนักเตะคนโปรดของคุณปู่ของเขา

ภาพจาก : https://web.facebook.com/fcbarcelona

โอบาเมยอง ถือเป็นความหวังใหม่ในแนวรุกอย่างแท้จริง หลังลงสนามให้กับบาร์ซ่าไปเพียงแค่ 11 นัดรวมทุกรายการ แต่ยิงไปแล้วถึง 9 ประตู กลายเป็นขวัญใจของแฟนๆ อาซุลกราน่าอย่างรวดเร็ว

การเข้ามาของโอบาเมยอง ทำให้ซาบี้ เอร์นานเดซ เหมือนที่จะค้นพบจุดที่ลงตัวมากขึ้น ทีมเริ่มกลับมาเข้ารูปเข้ารอย ถึงแม้จะต้องใช้เวลาพอสมควร แต่บาร์ซ่าในฤดูกาลหน้าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นแน่นอน

ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยอง กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ดี หลังจากอดีตที่เลวร้ายกับอาร์เซน่อลได้ผ่านไปแล้ว แน่นอนว่าแฟนๆ บาร์เซโลน่า ย่อมหวังว่าตัวเขาจะรักษาวินัย และผลงานที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ไปเรื่อยๆ

Author : จักรพันธ์ ภู่ทอง

Photo : talkSPORT

อ้างอิง :

https://theathletic.com/3160192/2022/03/14/aubameyang-at-barcelona-the-gift-from-heaven-that-perfectly-fits-xavis-tactical-evolution/

– https://theathletic.com/2449417/2021/03/15/aubameyang-drove-away-in-ferrari-as-arsenal-team-mates-warmed-down-after-spurs-win/

https://www.arsenal.com/news/pierre-emerick-aubameyang-my-own-words

Categories
Football Business

GAMBOL X Liverpool FC : ปรากฎการณ์จับแบรนด์สโมสรฟุตบอลระดับโลกของแบรนด์รองเท้าลำลองไทย เพื่อต่อยอด และรักษาความเป็นเบอร์ 1 เอาไว้ยั้งยืนยง

(มี.ค.2565) สร้างกระแส และเกิดแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้างไม่น้อยกับกลยุทธ์ทางการตลาดที่แกมโบล (GAMBOL) ผู้นำแบรนด์รองเท้าลำลองอันดับหนึ่งในประเทศไทย เปิดตัวการจับมือทางการค้าร่วมกันกับสโมสรฟุตบอลชื่อดังแห่งพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล ตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาพร้อมการทำการตลาดตามมาให้เป็นฮือฮาก่อนงานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเมื่อวันเสาร์ที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา 

แกมโบล ขยับครั้งแรก และเรียกความสนใจจากเหล่าแฟนพันธุ์แท้ หงส์แดง ลิเวอร์พูล ด้วยการเปิด พรีออเดอร์ คอลเลคชั่น GAMBOL Liverpool FC Limited Edition ลิขสิทธิ์แท้จากสโมสรเพียง 1,892 คู่ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 โดยได้รับความสนใจจากสาวก “หงส์แดง”เกินคาด เพราะรองเท้า Limited Edition ล็อตนี้ถูกจองขายหมดเกลี้ยงภายใน 30 นาทีเท่านั้น!

สำหรับการเปิดตัวเมื่อ 19 มี.ค.นั้น ถือว่าเป็นการใช้โอกาสได้ตรงจังหวะ เพราะกระแสความสำเร็จของทีมหงส์แดง กำลังมาแรง และมีโอกาสลุ้นถึง 4 แชมป์ในฤดูกาลเดียว อันส่งผลให้แบรนด์สินค้าที่ associate กับสโมสรลิเวอร์พูลได้รับความนิยม ตอบโจทย์ อันส่งผลสู่เป้าหมายเป็นยอดขายที่ดีได้

จากความสำเร็จของการพรีออเดอร์ที่ผ่านมา หากมองในมุมของการตลาด นี่คือโอกาสในการขยายตลาดต่อไปได้ และทำให้เห็นช่องทางจะผลิตรองเท้ารุ่นพิเศษแบบต่าง ๆ ออกมาอีก เพราะไม่ใช่แค่การเอาใจแฟนบอลของลิเวอร์พูล แต่ยังหมายรวมไปถึงผู้ที่ชื่นชอบรองเท้า ชอบดีไซน์ หรือชอบรองเท้ารูปแบบนี้ที่สามารถตอบโจทย์ตามไลฟ์สไตล์หลากหลายได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตามก่อนจะมาเป็น GAMBOL X Liverpool FC ในวันนี้ เบื้องหลังต้องผ่านการทำงานหนัก และใช้เวลามากมายไม่น้อยเลยเดียว

“ที่มาที่ไปของคอลเลคชั่นนี้มาจากการที่มองเห็นถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ในปัจจุบัน ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ หันมาใส่ใจสุขภาพกัน และการออกกำลังกายกันมากขึ้น จึงใช้โอกาสตรงนี้ วางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด เจาะกลุ่มไปทางกีฬาให้มากขึ้น โดยส่วนตัวชอบเรื่องกีฬาอยู่แล้ว และเป็นแฟนหงส์แดงอยู่แล้วด้วย ทำให้เกิดแนวคิดนี้ และเริ่มหาคอนเนคชั่น เพื่อประสานไปทางลิเวอร์พูล”

คุณนิติ กิจกำจาย ผู้อำนวยการ บริษัท บิ๊กสตาร์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรองเท้าแบรนด์ แกมโบล กล่าว

นอกจากนี้คุณนิติ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทาง GAMBOL รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ถือลิขสิทธิ์ Official Licensee ของ สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล เอฟซี (Liverpool FC) และจะได้ทำงานร่วมกันเป็นระยะเวลา 3 ปี (2022-2024) อันทำให้แกมโบลเป็นแบรนด์รองเท้าลำลองรายแรก และรายเดียวของประเทศไทย ที่จะได้ร่วมงานกับสโมสรฟุตบอลจากอังกฤษ”

ทั้งนี้ ด้วยความที่ GAMBOL Liverpool FC Limited Edition มีความโดดเด่น และตอกย้ำตัวตนของแฟนบอล “หงส์แดง” ด้วยลาย YNWA (You’ll Never Walk Alone) ซึ่งบอกถึงสปิริตได้อย่างชัดเจนผ่านความสำเร็จของการพรีออเดอร์ที่ผ่านมา ดังนั้นจึงแน่นอนว่า จะมีการปล่อย GAMBOL Liverpool FC Special Collection ออกมาอีกหลายรุ่นเพื่อเอาใจแฟนคลับของสโมสรฟุตบอล รวมถึงผู้ที่ชื่นชอบสวมใส่รองเท้าแตะ ชื่นชอบงานดีไซน์ โดยจะเป็นรูปแบบรองเท้าแตะแบบหนีบ และรองเท้ารัดสัน ซึ่งมีความแตกต่างกันที่ดีไชน์และลวดลายของแบบรองเท้า เพื่อให้ตอบโจทย์ตามไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของแฟนคลับสโมสรฟุตบอล

“ด้วยดีไซน์ของรองเท้าที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และใช้นวัตกรรมการผลิตที่ทันสมัย จีโบลด์ เทคโนโลยี (G-Bold Technology) เอกสิทธิ์เฉพาะของแกมโบล (GAMBOL) ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้รองเท้า นุ่ม ทน เบา สวมใส่สบาย บวกกับชื่อเสียงความยิ่งใหญ่ของสโมสร Liverpool Fc ที่มีมาอย่างยาวนาน รวมเข้ากับกลุ่มแฟนคลับของสโมสรที่เหนียวแน่น จึงมั่นใจได้ว่าคอลเลคชั่น GAMBOL Liverpool FC Special Collection จะสามารถครองใจกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแน่นอนในทุกรุ่นที่ผลิตออกมา”

คุณนิติ กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับรองเท้าแกมโบลรุ่นพิเศษที่กำลังพูดถึงอยู่นี้ มีการออกแบบผลิตภัณฑ์โดยดึงแก่นความเป็นสโมสรลิเวอร์พูล ให้มาเข้ากับแบรนด์ แกมโบล อย่างกลมกลืนที่สุดผ่านแนวคิดซึ่งเกิดจากการคำนึงถึงดีไซน์เสื้อสโมสรในปีที่ผ่านมาประยุกต์เข้ากับลวดลายของรองเท้าให้คงเอกลักษณ์ความเป็นหงส์แดง ในรูปแบบของแบรนด์แกมโบลซึ่งกว่าจะมาเป็น GAMBOL X Liverpool FC ต้องผ่านการดำเนินการที่ยาวนานถึง 7-8 เดือน เพื่อติดต่อสื่อสาร ออกแบบ ปรับปรุงงาน ก่อนจะได้รับอนุมัติจากสโมสรลิเวอร์พูลให้ทำการผลิตได้

ปรากฎการณ์ GAMBOL X Liverpool FC ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะอย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้นว่า เมื่อวันที่ 19 มีนาคม ที่ผ่านมา ได้มีการจัดงานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเปิดตัวรองเท้า GAMBOL Liverpool FC Special ถึง 4 รุ่น พร้อมแขกรับเชิญในแวดวงกีฬามากมายไม่เฉพาะแฟนบอลลิเวอร์พูล อย่าง “แจ็คกี้” อดิสรณ์ พึ่งยา หรือนิหน่า สุฐิตา ปัญญายงค์ เท่านั้น แต่เป็นแฟนปิศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นำโดย “บอ.บู๋” บูรณิจน์ รัตนวิเชียร และ “พีชชี่” วรันทร สมกิจรุ่งโรจน์ ก็มาร่วมงานด้วยเช่นกันเพื่อเป็นสีสันไม่แบ่งแยกทีม

โดยเฟสแรก GAMBOL จะเปิดตัวสินค้าสู่ตลาดก่อน 2 รุ่น คือ รุ่น LEGENDS ไซส์ 36-46 ราคา 650.- กับ รุ่น SUPER SUB ไซส์ 36-46 ราคา 890.- เพื่อให้กลุ่มลูกค้าที่พลาดการสั่งซื้อเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ได้จองก่อน ซึ่งทั้ง 2 รุ่นที่จะปล่อยออกมานี้ จะเริ่มวางตลาดพร้อมกันในวันที่ 1 เม.ย. ที่จะถึงนี้

ขณะที่อีก 2 รุ่นถัดมา ในชื่อว่า RUSH และ HERO ไซส์ 36-44 จะเริ่มวางจำหน่ายช่วงไหน และราคาเท่าไหร่นั้น สามารถรอติดตามที่หน้าเฟสบุ๊คแฟนเพจ GAMBOL กันได้เลย

ส่วนช่องทางในการสั่งซื้อ แบบ Exclusive นั้นทางลูกค้าแฟนบอล และคุณลูกค้าทุก ๆ ท่านที่สนใจสามารถแวะชมได้ที่ Liverpool FC Official Store และ ช่องทางออนไลน์ GAMBOL Online Shop ตามขั้นตอนต่อไปนี้:

1. เลือกช่องทางในการเข้าสู่ระบบ

2. ระบุที่อยู่ที่ใช้ในการจัดส่งและบันทึกเพื่อไปหน้าถัดไป

3. เลือกช่องทางการจัดส่ง และการชำระเงินพร้อมระบุไซส์ในช่องเพิ่มเติม

4. ตรวจสอบรายละเอียดการชำระเงินยืนยันการสั่งซื้อ

5. แจ้งการโอนเงิน โดยแนบหลักฐานการโอนเงิน6. รอตรวจสอบการชำระเงิน คัดลอก URL เพื่อติดตามสถานะ หรือดูที่ GAMBOL Online Shop

เมื่อมองในเรื่องของแนวโน้มของสินค้าลิขสิทธิ์ลิเวอร์พูลในประเทศไทย ปัจจุบันมีร้านค้าอย่างเป็นทางการแล้วถึง 5 สาขา แต่หากย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน มีแค่สาขาเดียวเท่านั้น ซึ่งตรงนี้สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมของคนไทย ที่มีต่อลิเวอร์พูล และฟุตบอลอังกฤษได้เป็นอย่างดี 

สำหรับเรา ๆ ท่าน ๆ แฟนบอลที่แม้ไม่ใช่แฟนหงส์แดง ลิเวอร์พูล หากอยากให้แบรนด์ในไทยได้ลิขสิทธิ์ดี ๆ แบบนี้ อย่างแรกเลยคือ ต้องช่วยกันอุดหนุน ซื้อสินค้าลิขสิทธิ์แท้ เพราะตรงนี้จะมีผลต่อการได้รับการต่อสัญญาเรื่องลิขสิทธิ์ในอนาคต แต่นั้นก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะยังต้องพิจารณาไปถึงเรื่องความเป็นผู้นำ เป็นผู้ชำนาญการในด้านสินค้านั้น ๆ และความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจด้วย ที่จะเข้ามาเป็นข้อพิจารณาที่ทำให้ได้ลิขสิทธิ์ ทั้งนี้ก็เพื่ออนาคตข้างหน้าที่จะมี Licensee สโมสรรักทีมอื่น กับแบรนด์ GAMBOL หรือแบรนด์สินค้าอื่น ๆ ได้เพิ่มเติมในอนาคต

สำหรับเรื่องแผนการตลาดเพิ่มเติมนับจากนี้ GAMBOL ยังคงเน้นการทำการตลาดภายในประเทศ แต่จะเป็นการเพิ่มช่องทางการขายให้มีมากขึ้น แต่ก็ไม่หยุดยั้งที่จะขยายการทำการตลาดไปยังต่างประเทศ โดยเน้นไปที่ตลาด CLMV มากขึ้น 

งานนี้ คงต้องติดตามกันดูว่า GABMOL x Liverpool FC จะก้าวไปประสบความสำเร็จในท้ายที่สุดได้ขนาดไหน และเพียงใด หลังเปิดตัวเรียกกระแสพร้อม ๆ กับโอกาสลุ้น 4 แชมป์ Quadruple ของทีมลิเวอร์พูลได้ดีเหลือเกิน

เรื่อง: ภาวินีย์ สูญสิ้นภัย

Categories
Our Work

ลาลีกาจัดงาน ElClásico ประสบการณ์ใหม่ ล่องเรือคุยฟุตบอล พรีวิวเกม “ราชันชุดขาว” ปะทะ “เจ้าบุญทุ่ม”

(18 มี.ค. 2565) โควิด-19 ยังคงอยู่ แต่ชีวิตต้องดำเนิน และการตลาดก็ต้อง practice ล่าสุด ลาลีกา พร้อมผู้สนับสนุน M88 หนึ่งในสปอนเซอร์หลักของลีกฟุตบอลยุโรปจากสเปนได้เขย่าวิถีการติดตามฟุตบอลด้วยประสบการณ์ใหม่ล่าสุด ล่องเรือ ปาร์ตี้ จัดเต็มพรีวิว เกมคู่บิ๊กแมตช์ “เอลกลาสซิโก” ระหว่าง “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ปะทะ “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลนา

งานสุดพิเศษ ในชื่อ “ElClásico Boat Party Exclusive Trip” ได้ถูกเนรมิตขึ้นโดย ลาลีกา ได้สร้างสรรค์การทำกิจกรรมร่วมกับแฟนบอลขึ้นในยุคสถานการณ์โควิด -19 ยังคงระบาดเพื่อต่อยอดคอนเซปต์การติดตามเกมลูกหนังสเปนให้กับแฟนฟุตบอลชาวไทย ในรูปแบบที่ไม่ใช่แค่การชมฟุตบอลในสนามเท่านั้น งานนี้ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมทางการตลาดของลีกฟุตบอลสเปน ลาลีกา ซึ่งมีสำนักงานตั้งอยู่ในประเทศไทย โดยตัวแทน มร.จอร์โจ ปอมปิลิ รอสซี

และหากจะพูดถึงการมอบประสบการณ์ร่วมกับฟุตบอลสเปนในรูปแบบต่าง ๆ ให้เกิดกับแฟนบอลชาวไทย นี่ไม่ใช่กิจกรรมแรก ที่ทางลาลีกาได้ทำกิจกรรมเพื่อสร้างสัมพันธ์กับแฟนบอลเช่น ครั้งล่าสุดกับกิจกรรม outdoor ในพื้นที่เปิดโล่ง LaLiga Football Camping(https://khaimukdam.com/football-business/laligafootballcamping/) ที่ได้รับผลตอบรับดีเกินความคาดหมาย และงานนี้ก็เช่นกัน

คอนเซปต์ของงานล่องเรือในครั้งนี้ คือ พักเรื่องดูบอลในสนาม แล้วมาสนุกไปกับงานล่องเรือปาร์ตี้สุดพิเศษ เอาใจแฟนบอลผ่านธีม ElClásico พามาลงเรือดินเนอร์ กิน ดื่ม สนุกไปด้วยกัน พร้อมชมความสวยงามยามค่ำคืนของ 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ในเวลากว่า 3 ชั่วโมง บนเรือส่วนตัว “เรือสบาย ครุยส์”

บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยสีสัน ความสนุกสนาม ความชื่นมื่น ที่ทุกคนแสดงออกมาให้เห็นทั้งจากสีหน้า รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ สาวกลูกหนังสเปนกว่า 80 คน ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชม อินฟลูเอนเซอร์ และแฟนบอลที่ถูกคัดเลือกเข้ามาจากกิจกรรมออนไลน์ แสดงความเป็นตัวตนคุณกับลาลีกา ได้มาพบเจอ และพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน งานนี้นอกจากจะได้สร้างการรับรู้ใหม่ให้แฟนบอลแล้ว ยังเป็นการได้มาเจอ มาทำความรู้จักเพื่อนใหม่ ที่มีใจรักในสิ่งเดียวกันอีกด้วย ขณะที่เสียงเพลงก็ยังได้สาวเสียงหวานสุดน่ารัก “น้อง ชีส เดอะ วอยซ์” มามอบความสุขให้กับทุกคนบนเรือ แข่งกับภาพงดงามริม 2 ฝั่งแม่น้ำชนิดกินกันไม่ลง

ซึ่งทุกวันนี้เอง ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในงานจึงได้มีการตรวจ ATK ก่อนขึ้นเรือทุกคน เมื่อได้เวลาเรือออกล่องไปในแม่น้ำเจ้าพระยา ความสนุก ความตื่นเต้นก็เกิดขึ้น ในงานได้รับเกียรติจาก “มร.อลองโซ เดอ อริสเตกี” ผู้จัดการส่วนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, เกาหลี, ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย เข้าร่วมงาน และกล่าวเปิดงานว่า

มร.อลองโซ เดอ อริสเตกี” ผู้จัดการส่วนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, เกาหลี, ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย

“ถัดจากกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้แฟนบอลไทยได้มีประสบการณ์ร่วมกับลาลีกาผ่านการกางเต็นท์ และชมฟุตบอลแล้ว ครั้งนี้เป็นจังหวะที่ดีอีกครั้งก่อนแมตช์เอลกลาสซิโกที่เรา ลาลีกา จะได้ทำกิจกรรมเพื่อสร้างสัมพันธ์กับแฟนบอลอีกครั้ง

การที่เราอยู่ในสถานการณ์โควิด-19 ยังหมายความว่า กิจกรรมที่เลือกควรจะเป็นไปตามมาตรการรัฐ และปลอดภัย การล่องเรือ พูดคุยฟุตบอล และสัมผัสบรรยากาศ 2 ฝั่งแม่น้ำครั้งนี้จึงถูกคิดขึ้นมา และก็ได้รับการตอบรับจากเหล่าสื่อ, อินฟลูเอนเซอร์ฟุตบอล และแฟนบอลจำนวนมาก แต่เราก็เลือกมาเพียง 80 คนโดยประมาณเท่านั้น

การได้มีสำนักงานอยู่กรุงเทพมหานคร ยังหมายความว่า เราน่าจะนำประสบการณ์ดี ๆ แบบนี้มาฝาก และสร้างการรับรู้ถึงฟุตบอล และวัฒนธรรมสเปน ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นอีกแน่นอน อย่างไรก็ขอให้ติดตามกันต่อ ๆ ไปครับ”

เดอะนัทซัดหมดแม็กซ์ และ เจมส์ ลาลีกา

หลังจากนั้นก็เป็นการพูดคุยถึงมุมมองต่าง ๆ และสิ่งที่ต้องจับตามองของเกมนี้ เพื่อเป็นการพรีวิวก่อนเกมคู่บิ๊กแมตช์ระหว่าง “เรอัล มาดริด” ปะทะ “บาร์เซโลน่า” โดยกูรูลูกหนัง เจมส์ ลาลีกา และเดอะนัทซัดหมดแม็กซ์ นอกจากนี้ยังมีวิดีโอส่งตรงมาจากตุรกี ของคุณ ขวัญ ลามาเซีย (ไปชมบาร์เซโลนา เตะกับกาลาตาซาราย ในบอลถ้วยยุโรป) มาร่วมพรีวิวก่อนเกมอีกด้วย

เมื่อการพูดคุยพรีวิวผ่านไป ก็ต้องขอเก็บภาพความทรงจำสำหรับงานนี้ร่วมกันสักเล็กน้อย จากนั้นก็ร่วมรับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ พร้อมทั้งฟังดนตรี เคล้าบรรยากาศไปด้วยกัน

บรรยากาศการรับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์บนเรือ

ความสนุกยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะบนเรือยังมีกิจกรรมหมุนวงล้อ ให้ทุกคนในงานได้ร่วมสนุก ลุ้นรับรางวัลมากมาย งานนี้ใครพกดวงมาด้วย ก็หมุนเจอรางวัลใหญ่ได้รับไปเลยแบบสบาย ๆ ซึ่งรางวัลมีทั้ง ลูกฟุตบอลลาลีกา, Jersey, voucher ล่องเรือดินเนอร์ครูยส์, ปฏิทิน, ถุงผ้า และไฟฉายสำหรับแคมป์ปิ้ง

อีกหนึ่งช่วงที่ทุกคนรอคอย คงหนีไม่พ้นช่วงเวลาแห่งการจับรางวัล Lucky Draw ซึ่งผู้เข้าร่วมงานทุกคนที่ทำการลงทะเบียนหน้างาน มีสิทธิ์ได้ลุ้นรับรางวัลกันทุกคน โดยงานนี้เราได้ผู้โชคดี คือ คุณเวทิศ นิรันดร์สุข และ คุณธนดล อิ่มยิ้ม ได้รับรางวัล ล่องเรือ ดินเนอร์ ครูยส์ ท่านละ 1 รางวัล ส่วนอีกหนึ่งรางวัล เป็นรางวัลแพ็คเกจที่พักภูเก็ต 3 วัน 2 คืน พร้อม Pocket Money 500 เหรียญสหรัฐ ตกเป็นของ คุณสุวิภาวี​ โลกวิทย์ โดยอีเวนต์นี้ ได้รับการสนับสนุนจาก M88

คุณสุวิภาวี​ โลกวิทย์ ได้รับรางวัลแพ็คเกจที่พักภูเก็ต 3 วัน 2 คืน พร้อม Pocket Money 500 usd

สำหรับการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างการรับรู้เช่นนี้ หากมองในเชิงการตลาด จุดที่น่าสนใจเลยคือ ลาลีกา ถือเป็น “ลีกหลัก” ยุโรป 1 เดียวที่มีตัวแทนมาประจำการในประเทศไทย และได้ร่วมโปรเจคต์ต่าง ๆ ไปหลายชิ้นแล้ว ซึ่งผลตอบรับที่ได้กลับมาค่อนข้างดี และบางครั้งก็เกินความคาดหมาย และเราหวังว่ากิจกรรมดี ๆ แบบนี้ จะเกิดขึ้นในประเทศไทยอีกแน่นอน

ส่วนงานนี้ จะอบอุ่น สนุกสนาน และเต็มไปด้วยสีสันสักแค่ไหน เราได้เก็บภาพบรรยากาศภายในงาน มาฝากทุกคนแล้ว

✍ : ภาวินีย์ สูญสิ้นภัย (แนน)

Categories
Football Business

แฟร์เพลย์ทางการเงิน : เปิดเพดานค่าใช้จ่ายของสโมสรในลาลีกา ช่วงต้นปี 2022

เมื่อวันจันทร์ที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา ลาลีกา ลีกฟุตบอลอาชีพของสเปน ได้ออกมาเปิดเผยงบการเงินของ20 สโมสรในดิวิชั่น 1 (LaLiga Santander) และ 22 สโมสรในดิวิชั่น 2 (LaLiga Smartbank)

หลังจากที่ตลาดซื้อ-ขายนักเตะช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาได้ปิดทำการเรียบร้อย แต่ละสโมสรได้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเงิน ซึ่งส่งผลถึงเพดานค่าใช้จ่ายที่ถูกกำหนดไว้ ตามกฎควบคุมการเงินของลาลีกา

แล้วมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายและหนี้สิน ส่งผลอย่างไรกับวงการลูกหนังแดนกระทิงดุ วันนี้เพจ “ไข่มุกดำ” จะมาขยายให้ฟังกันครับ

“ลา คอรุนญ่า” จากฟ้าสู่เหว

ในวงการฟุตบอลสเปน เคยมีสโมสรหนึ่งที่ล่มสลายเพราะปัญหาการเงิน นั่นคือเดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่า สโมสรจากแคว้นกาลีเซีย ที่เคยขึ้นสู่จุดสูงสุด ถึงขั้นคว้าแชมป์ลาลีกามาแล้วเมื่อปี 2000

ยุครุ่งเรืองของลา คอรุนญ่า เป็นช่วงที่เอากุสโต้ เซซาร์ เลนดอยโร่ เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานสโมสร เขาเป็นผู้ที่มีความทะเยอทะยานอย่างสูง ในการพาลา คอรุนญ่า ประสบความสำเร็จให้ได้

ความสำเร็จของ “ซูเปอร์เดปอร์” ในยุคของประธานเลนดอยโร่ นอกจากแชมป์ลาลีกาครั้งเดียวในประวัติศาสตร์สโมสรเมื่อ 22 ปีก่อนแล้ว ยังมีแชมป์โคปา เดล เรย์ 1 สมัย และแชมป์สแปนิช ซูเปอร์คัพ 3 สมัย

กระทั่งในปี 2005 ลา คอรุนญ่า ไม่สามารถทำอันดับเพื่อคว้าสิทธิ์ไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และฆาเบียร์ อีรูเรต้า ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม ยุคทองของลา คอรุนญ่า ก็สิ้นสุดลง

https://today.line.me/th/v2/article/l8BD0L

การที่ลา คอรุนญ่า ไม่ได้เข้าร่วมแข่งขันยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทำให้สโมสรขาดรายได้ก้อนโต อีกทั้งหนี้สินที่พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ จึงจำเป็นต้องปล่อยนักเตะตัวหลักออกไปหลายคน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย

ท้ายที่สุด ลา คอรุนญ่า ก็ไม่สามารถฝืนความจริงอันโหดร้ายได้ ต้องตกชั้นจากลาลีกา ในฤดูกาล 2010/11 ตามมาด้วยหนี้สินที่พุ่งสูงถึง 160 ล้านยูโร ส่งผลให้เลนดอยโร่ ประธานสโมสรต้องออกจากตำแหน่ง

ถึงแม้จะเลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่ลีกสูงสุดได้พักใหญ่ๆ แต่ก็ต้องตกชั้นกลับลงไปอีก และร่วงลงสุดขีดถึงขั้นลงไประดับดิวิชั่น 3 ในปัจจุบัน ซึ่งไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่า เดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่า จะกลับขึ้นสู่จุดนั้นได้อีกเมื่อไหร่

แชมป์ในสนาม แต่ช้ำนอกสนาม

เรอัล มาดริด และบาร์เซโลน่า ถึงแม้จะเป็น 2 สโมสรที่คว้าโทรฟี่มากที่สุดในวงการลูกหนังสเปน แต่สิ่งที่ทั้งคู่ประสบปัญหาไม่ต่างกันเลยคือ ปัญหาภาวะหนี้สินที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมานานหลายปี

แน่นอนว่า ทั้งเรอัล มาดริด และบาร์เซโลน่า ต่างแข่งขันกันอย่างดุเดือดทั้งในสนามและนอกสนาม เพื่อแย่งชิงความสำเร็จ เพราะแฟนบอลทั้ง 2 ทีมคงยอมไม่ได้ ถ้าพ่ายแพ้ให้กับคู่ปรับตลอดกาล

แต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เรอัล มาดริด และบาร์เซโลน่า ได้รับผลกระทบหนักพอสมควร จากการที่สโมสรไม่มีรายรับ มีแต่รายจ่าย ส่งผลให้ทั้งคู่ประสบปัญหาทางการเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

https://web.facebook.com/RealMadrid

เริ่มกันที่เรอัล มาดริดกันก่อน ภาวะหนี้สินของยักษ์ใหญ่จากเมืองหลวงของสเปน เกิดจากนโยบาย “กาลาติกอส” ของฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสร ที่ใช้เงินซื้อนักเตะระดับเวิลด์คลาสเข้าสู่ทีมมากมาย

นับจนถึงปัจจุบัน ราชันชุดขาวมีหนี้สินมากถึง 651 ล้านยูโร เกิดจากการแบกรับค่าเหนื่อยนักเตะที่มหาศาล อีกทั้งมีการปิดปรับปรุงสนามซานติอาโก้ เบอร์นาเบว ในช่วงที่สถานการณ์โควิด-19 ระบาด

แต่ทีมที่สาหัสกว่า ก็เห็นจะเป็นบาร์เซโลน่า ที่มียอดหนี้สินพุ่งสูงถึง 1 พันล้านยูโร แถมยังค้างค่าตัวนักเตะจากสโมสรอื่นๆ หลายคน ซึ่งยอดหนี้สินจำนวนนี้ มีความสุ่มเสี่ยงอาจถึงขั้นล้มละลายได้เลยทีเดียว

นอกจากปัญหาโควิด-19 แล้ว สาเหตุสำคัญที่ทำให้บาร์ซ่ามีหนี้สินท่วมท้นขนาดนี้ เพราะการบริหารงานที่ผิดพลาดในยุคที่โจเซป มาเรีย บาร์โตเมว เป็นประธานสโมสรในช่วงระหว่างปี 2014-2020

บาร์โตเมว มีนโยบายซื้อนักเตะราคาแพง สมกับฉายา “เจ้าบุญทุ่ม” โดยจ่ายเงินไปเกือบ 1 พันล้านยูโร แต่ต้องแลกมาด้วยการแบกภาระค่าเหนื่อยของผู้เล่นที่สูงถึง 74 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ทั้งหมด

เมื่อสถานะทางการเงินได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทำให้มีความพยายามในการลดรายจ่ายให้ได้มากที่สุด ซึ่งหนึ่งในแนวคิดในการลดรายจ่ายคือ การปล่อยตัวลิโอเนล เมสซี่ ออกจากสโมสร

แน่นอนว่า การปล่อยซูเปอร์สตาร์หมายเลข 1 ของทีมอย่างเมสซี่ เป็นสิ่งที่สาวกอาซุลกราน่า ไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่ท้ายที่สุด เมสซี่เป็นฝ่ายที่ต้องออกจากสโมสร ทิ้งผลงานที่ยิ่งใหญ่ให้แฟนๆ ได้จดจำ

เมื่อบาร์ซ่าไม่สามารถรั้งเมสซี่ไว้ได้ ทำให้บาร์โตเมว ต้องอำลาตำแหน่ง พร้อมกับส่งต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการบริหารที่ผิดพลาด ไปให้โจน ลาปอร์ต้า ที่กลับมารับตำแหน่งประธานสโมสรอีกครั้ง

จากภาวะหนี้สินที่ท่วมท้น นั่นทำให้ 2 ยักษ์ใหญ่ของสเปน ตัดสินใจเข้าร่วมโปรเจค “ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ลีก” ร่วมกับอีก 10 สโมสรชั้นนำของยุโรป เพื่อหวังรายได้ที่เข้ามาอย่างจุใจ แต่โปรเจคนี้ก็ถูกล้มในที่สุด

ตัวอย่างจากการที่สโมสรฟุตบอลระดับยักษ์ใหญ่ของวงการ ใช้จ่ายเงินอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง จนเกิดหนี้สิน แล้วคิดว่าในอนาคตจะมีเงินเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย คือหลักความคิดที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง

ควบคุมการเงินเพื่อความยั่งยืน

นับตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา สโมสรในลาลีกาได้ลงมติเห็นชอบให้มีการกำหนดกรอบควบคุมการเงินและหนี้สิน เพื่อป้องกันไม่ให้สโมสรใช้จ่ายเงินแบบเกินตัว และส่งผลถึงความยั่งยืนในระยะยาว

สำหรับกรอบควบคุมการเงินของลาลีกานั้น จะแตกต่างจากกฎไฟแนนเชียล แฟร์ เพลย์ ของยูฟ่า โดยจะมีการวิเคราะห์สภาพการเงิน โดยใช้เพดานค่าใช้จ่ายที่แต่ละสโมสรจะนำไปใช้จ่ายล่วงหน้าได้

จาก 20 สโมสรในลีกสูงสุด มีถึง 12 ทีม ที่สามารถเพิ่มเพดานในการใช้จ่ายที่มากขึ้น, มี 7 ทีม ที่ถูกลดเพดานค่าใช้จ่ายลง และเรอัล มาดริด เป็นทีมที่ทีเพดานสูงสุด คือ 739 ล้านยูโร ซึ่งเท่ากับช่วงซัมเมอร์ปี 2021

ฆาเบียร์ โกเมซ ผู้อำนวยการทั่วไปของลาลีกา แถลงว่า “สถานการณ์ทางการเงินเมื่อเทียบกับช่วงซัมเมอร์ปีที่แล้ว ถือว่าเป็นไปในทางที่ดีขึ้น เพราะแต่ละสโมสรได้ประเมินถึงความสูญเสียที่อาจมากกว่าความเป็นจริง”

บาร์เซโลน่า เป็นเพียงสโมสรเดียวใน 44 สโมสรของลาลีกาทั้ง 2 ดิวิชั่น ที่มีตัวเลขติดลบมากถึง 144 ล้านยูโร เมื่อเทียบกับช่วงตลาดนักเตะซัมเมอร์ปีที่แล้ว ที่ยักษ์ใหญ่แห่งคาตาลัน มีสิทธิ์ใช้จ่ายได้สูงสุด 97 ล้านยูโร

ตามกฎข้อที่ 100 ของลาลีการะบุว่า อนุญาตให้สโมสรใช้จ่ายเงินที่สูงกว่าเพดานที่กำหนดไว้ ถ้าสามารถลดค่าใช้จ่ายได้เท่าไหร่ ก็จะได้รับอนุญาตให้ใช้จ่ายได้ 25 เปอร์เซ็นต์ แต่อาจยืดหยุ่นได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์

โกเมซ ได้อธิบายถึงกฎ 1 ใน 4 ว่า “ลาลีกาสนับสนุนให้ทุกสโมสรมีความสามารถในการแข่งขันที่ดี ควบคู่ไปกับการสร้างสภาพทางการเงินในด้านบวก ทางลาลีกาอนุญาตให้ซื้อผู้เล่นได้ แต่มีเงื่อนไขบางประการ”

“เมื่อสโมสรมีการซื้อผู้เล่นใหม่ เราจะบังคับให้มีการตัดค่าใช้จ่ายพร้อมกับการซื้อผู้เล่นด้วย ยกตัวอย่างเช่น หากสโมสรสามารถประหยัดเงินได้ 100 ล้านยูโร ก็จะอนุญาตให้ใช้จ่ายได้ 25 ล้านยูโร”

ผลจากการกำหนดกรอบควบคุมค่าใช้จ่ายและหนี้สินของลาลีกาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้หลายๆ สโมสร ค่อยๆ เพิ่มเพดานในการใช้จ่ายที่มากขึ้น และหนี้สินของแต่ะสโมสรเริ่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ถึงแม้ว่าจะมีเหตุการณ์ใหญ่อย่างการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลให้อุตสาหกรรมฟุตบอลทั่วโลกได้รับผลกระทบ แต่ทั้ง 44 สโมสร จาก 2 ดิวิชั่นของลาลีกา ก็สามารถเอาตัวรอดจากวิกฤตดังกล่าวได้

โกเมซ สรุปปิดท้ายว่า “เราไม่มีความกังวลเลย ถึงแม้ว่าบางสโมสรอย่างเช่น บาร์เซโลน่า อาจมีปัญหามากกว่าสโมสรอื่นๆ แต่เราก็แสดงให้เห็นแล้วว่า มาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายและหนี้สินนั้นได้ผลที่ดี”

ในวงการฟุตบอล การบริหารจัดการเงิน คือสิ่งที่สำคัญที่สุดของทุกสโมสรฟุตบอลในโลก ความทะเยอทยานที่มาพร้อมกับวินัยทางการเงิน จะช่วยให้สโมสรฟุตบอลอยู่รอดได้ในระยะยาวอย่างแน่นอน

Author : จักรพันธ์ ภู่ทอง

Photo : Marca

อ้างอิง :

– https://www.fourfourtwo.com/features/deportivo-coruna-la-liga-segunda-champions-league-title-1999-2000

– https://theathletic.com/1432334/2019/12/05/this-is-the-worst-crisis-in-our-history-and-we-must-act-before-it-is-too-late-how-deportivo-went-from-title-winners-to-the-verge-of-oblivion-in-20-years/

– https://www.fcbarcelona.com/en/club/news/1856468/the-201920-economic-year-ends-with-losses-of-97-million-euros-caused-by-the-effects-of-covid-19

– https://www.marca.com/en/football/barcelona/2022/03/14/622f3bd8ca4741dc348b45f7.html