Categories
Special Content

ตลาดนักเตะพรีเมียร์ลีก 2023 ทุบสถิติใหม่ เปย์ทะลุ 2 พันล้านปอนด์

ตลาดซื้อขายนักเตะช่วงซัมเมอร์ปี 2023 ของพรีเมียร์ลีก ปิดทำการลงเรียบร้อย เมื่อคืนวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา ตามเวลาของอังกฤษ ทั้ง 20 สโมสรในลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ต่างเสริมทัพผู้เล่นกันอย่างคึกคัก

ยอดใช้จ่ายของทุกทีมในการซื้อนักเตะใหม่ในตลาดรอบนี้ รวมกันทะลุ 2 พันล้านปอนด์ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ลูกหนังเมืองผู้ดี อยู่ที่ 2.36 พันล้านปอนด์ ทุบสถิติเดิมที่ทำไว้เมื่อปี 2022 ลงอย่างราบคาบ

นั่นหมายความว่า ในฤดูกาล 2023/24 มีโอกาสสูงมากที่ยอดใช้จ่ายรวมทั้ง 2 รอบตลาด จะมากกว่าเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ที่ใช้เงินไป 2.74 พันล้านปอนด์ อีกทั้งมีความเป็นไปได้ที่ยอดรวมจะแตะถึง 3 พันล้านปอนด์

พรีเมียร์ลีก ยังคงเป็นลีกฟุตบอลที่มีเงินสะพัดเหนือกว่าลีกอื่นๆ ในโลก และนี่คือบทสรุปทุกประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้น รวมถึงตัวเลข สถิติที่น่าสนใจ ตลอดช่วงเวลาการซื้อขายของตลาดนักเตะฤดูร้อนปีนี้

สุดยอดบิ๊กดีลในแดนกลาง

ภาพรวมการซื้อขายนักเตะในตลาดช่วงซัมเมอร์ 2022 เรียกได้ว่าจ่ายหนักที่สุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะผู้เล่นในตำแหน่งกองกลาง หรือมิดฟิลด์ ที่ทุกสโมสรจ่ายเงินรวมกันเกิน 1 ฟันล้านปอนด์

บิ๊กดีลประจำตลาดรอบนี้ คือ มอยเซส ไกเซโด้ มิดฟิลด์ที่ย้ายจากไบรท์ตันไปเชลซี 115 ล้านปอนด์ ทุบสถิตินักเตะค่าตัวแพงสุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก แซงหน้าเอ็นโช่ เฟอร์นานเดซ ที่ซื้อมา 105 ล้านปอนด์

ตามมาด้วยอาร์เซน่อล ที่ทุ่มเงินมหาศาล เพื่อกระชากตัว 2 มิดฟิลด์อย่างดีแคลน ไรซ์ ที่ย้ายมาจากเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 105 ล้านปอนด์ รวมถึงไค ฮาแวร์ตซ์ จากเชลซี ด้วยค่าตัว 65 ล้านปอนด์

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

ลิเวอร์พูล กับปฏิบัติการผ่าตัดแดนกลางครั้งใหญ่ ได้มาถึง 4 คน คือ โดมินิค โซบอสซไล 60 ล้านปอนด์, อเล็กซิส แม็คอลิสเตอร์ 35 ล้านปอนด์, ไรอัน กราเวนเบิร์ช 34 ล้านปอนด์ และวาตารุ เอ็นโด 16 ล้านปอนด์

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้นักเตะใหม่ทดแทนในแดนกลางหลายคน อย่างเช่น มาเธอุส นูเนส จากวูล์ฟแฮมป์ตัน 55 ล้านปอนด์, เจเรมี่ โดคู จากแรนส์ 55 ล้านปอนด์ รวมถึงมาเตโอ โควาซิซ จากเชลซี 25 ล้านปอนด์

บรรดาทีมใหญ่อย่างเช่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ดึงตัวเมสัน เมาท์ 65 ล้านปอนด์, นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ในดีลของซานโดร โตนาลี่ 55 ล้านปอนด์ และท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่ได้ลายเซ็นของเจมส์ แมดดิสัน 45 ล้านปอนด์

ส่วนบิ๊กดีลในตำแหน่งอื่นๆ เช่น ยอสโก กวาร์ดิโอล กองหลังค่าตัว 77.6 ล้านปอนด์ (จากแอร์เบ ไลป์ซิก ไปแมนฯ ซิตี้) รวมถึงราสมุส ฮอยลุนด์ กองหน้าค่าตัว 72 ล้านปอนด์ (จากอตาลันตา ไปแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)

แข้งอายุน้อยค่าตัวไม่ธรรมดา

อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจของตลาดนักเตะฤดูร้อนปีนี้ คือดีลของนักเตะอายุน้อยอนาคตไกล ที่มีค่าฉีกสัญญาสูงขึ้นกว่าในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งหลายสโมสรก็ยอมลงทุนเพื่อแลกกับการใช้งานไปอีกหลายปี

อายุเฉลี่ยของการเซ็นสัญญานักเตะใหม่ในตลาดซื้อขายของพรีเมียร์ลีก ช่วงซัมเมอร์ ปี 2023 อยู่ที่ 24.3ปี โดยมี 6 สโมสร ที่มีอายุเฉลี่ยไม่เกิน 23 ปี และมีเพียง 3 สโมสรเท่านั้น ที่มีอายุเฉลี่ยอย่างน้อย 26 ปี

ดีลหลักๆ อย่างเช่น เชลซี ที่ได้ 2 กองกลางดาวรุ่งอย่างโรมิโอ ลาเวีย (19 ปี) ย้ายมาจากเซาธ์แธมป์ตัน จ่ายค่าตัวไป 58 ล้านปอนด์ อีกคนคือโคล พาลเมอร์ (21 ปี) ย้ายมาจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 45 ล้านปอนด์

ส่วนดีลอื่นๆ อย่างเช่น อเล็กซ์ สกอตต์ กองกลางบอร์นมัธ (20 ปี), เจมส์ แทร็ฟฟอร์ด ผู้รักษาประตูเบิร์นลี่ย์ (20 ปี) และคาเมรอน อาร์เชอร์ (21 ปี) กองหน้าเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ซึ่ง 3 คนนี้ มีค่าตัวรวมกัน 62.5 ล้านปอนด์ 

ซึ่งท็อป 5 ของนักเตะพรีเมียร์ลีกที่มีค่าตัวแพงสุดในตลาดรอบนี้ ล้วนมีอายุต่ำกว่า 25 ปีทั้งหมด คือ มอยเซส ไกเซโด้ (21 ปี), ดีแคลน ไรซ์ (24 ปี), ยอสโก กวาร์ดิโอล (21 ปี), ราสมุส ฮอยลุนด์ (20 ปี) และไค ฮาแวร์ตซ์ (24 ปี)

ขอบคุณภาพ : https://web.facebook.com/manchesterunited

ส่วนนักเตะอายุเกิน 25 ปี ที่ซื้อเข้ามาแพงที่สุด คือ อันเดร โอนาน่า ผู้รักษาประตูวัย 27 ปี ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (47.5 ล้านปอนด์) อีกคนคือเจมส์ แมดดิสัน กองกลางวัย 26 ปี ของสเปอร์ส (45 ล้านปอนด์)

หลายๆ สโมสร มักจะใช้วิธีซื้อนักเตะดาวรุ่งมาร่วมทีม และเซ็นสัญญายาวหลายปี เนื่องจากมองว่าค่าจ้างยังไม่แพง และเป็นการลงทุนในระยะยาว ซึ่งต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ค่าตัวจะแพงกว่าฝีเท้าหรือไม่

พลังดูดจากลีกซาอุดิอารเบีย

ในตลาดซื้อขายนักเตะช่วงซัมเมอร์ ปี 2023 มีปรากฎการณ์สำคัญเกิดขึ้น เมื่อสโมสรฟุตบอลจากประเทศซาอุดีอารเบีย ได้ดูดผู้เล่นดาวดังจากสโมสรในยุโรปไปมากมาย ไม่เว้นแม้กระทั่งพรีเมียร์ลีก อังกฤษ

ตัวอย่างเช่น ลิเวอร์พูล ปล่อย 3 นักเตะให้สโมสรในลีกซาอุฯ คือ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ กองหน้าวัย 31 ปี ไปอัล-อาห์ลี, ฟาบินโญ่ มิดฟิลด์ตัวรับวัย 29 ปี ไปอัล-อิตติฮัด และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน อดีตกัปตันทีมวัย 33 ปี ไปอัล-เอตติฟาค

ส่วนกรณีของ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ กองหน้าตัวเก่ง ที่ตกเป็นข่าวย้ายทีมเขย่าขวัญแฟนๆ “เดอะ ค็อป” รายวัน เนื่องจากอัล-อิตติฮัด ได้ยื่นข้อเสนอแบบจัดหนักระดับหลักร้อยล้านปอนด์ เพื่อหวังกระชากตัวไปร่วมทีมให้ได้

เชลซี ก็ปล่อยนักเตะสู่แดนเศรษฐีน้ำมัน 3 คนเช่นกัน ได้แก่ เอดูอาร์ เมนดี้ ผู้รักษาประตูวัย 31 ปี ไปอัล-อาห์ลี, เอ็นโกโล ก็องเต้ มิดฟิลด์ตัวรับวัย 32 ปี ไปอัล-อิตติฮัด และคาลิดู คูลิบาลี่ เซ็นเตอร์แบ็กวัย 32 ปี ไปอัล-ฮิลาล

ขณะที่ดีลอื่นๆ อย่างเช่น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ปล่อยอายเมอริค ลาปอร์กต์ ไปให้อัล-นาสเซอร์ กับริยาด มาห์เรซ ไปให้อัล-อาห์ลี รวมถึงอัลลัน แซงต์-แม็กซิแมง จากนิวคาสเซิล ไปอัล-อาห์ลี และรูเบน เนเวส จากวูล์ฟส์ ไปอัล-ฮิลาล

รวมดีลสำคัญในวันเดดไลน์

ถ้านับเฉพาะการซื้อขายที่เกิดขึ้นในวันสุดท้ายของตลาดนักเตะรอบนี้ คือวันที่ 1 กันยายน 2023 จะพบว่ามีดีลที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งหลายๆ สโมสรในพรีเมียร์ลีก ก็มีการปิดดีลนักเตะในวันตลาดวาย

น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ เซ็นสัญญานักเตะเข้ามาถึง 7 คน ซึ่งในจำนวนนี้ มีชื่อของอิบราฮิม ซานกาเร่ กองกลางจากพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น, คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย กองกลางจากเชลซี รวมถึงนิโคลัส โดมิงเกวซ กองกลางจากโบโลญญ่า

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปิดดีล 4 นักเตะ ได้แก่ อัลไต บายินดีร์ ผู้รักษาประตูจากเฟเนร์บาห์เช่, โซฟียาน อัมราบัต กองกลางจากฟิออเรนติน่า, เซร์คิโอ เรกีลอน ฟูลแบ็กซ้ายจากสเปอร์ส และจอนนี่ อีเวนส์ กองหลังฟรีเอเยนต์

ขอบคุณภาพ : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

ลิเวอร์พูล เสริมผู้เล่นเพิ่มอีก 1 คนในวันปิดตลาด คือ ไรอัน กราเวนเบิร์ช มิดฟิลด์จากบาเยิร์น มิวนิค ขณะที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ได้มิดฟิลด์ตัวใหม่อย่างมาเธอุส นูเนส ดาวเตะทีมชาติโปรตุเกส จากวูล์ฟแฮมป์ตัน

ส่วนดีลอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น เบรนแนน จอห์นสัน ย้ายจากฟอเรสต์ ไปสปอร์ส 45 ล้านปอนด์, อเล็กซ์ อิโวบี้ ย้ายจากเอฟเวอร์ตัน ไปฟูแล่ม 22 ล้านปอนด์ รวมถึงอันซู ฟาติ จากบาร์เซโลน่า ไปไบรท์ตัน ด้วยสัญญายืมตัว

ลีกลูกหนังช็อปบ้าคลั่งต่อเนื่อง

พรีเมียร์ลีก อังกฤษ คือลีกที่ใช้เงินมากที่สุดในตลาดซื้อขายนักเตะช่วงซัมเมอร์ ปี 2023 เมื่อเทียบกับ 5 ลีกใหญ่ยุโรป นอกจากนี้ ยังเป็นตัวเลขที่ทุบสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ลูกหนังเมืองผู้ดีอีกด้วย

เชลซี ยังคงเป็นทีมที่ครองแชมป์ช็อปช่วงฤดูร้อนเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน หลังทุ่มไปร่วม 400 ล้านปอนด์ แลกกับผู้เล่นใหม่ 10 คน ทุบสถิติเดิมของเรอัล มาดริด ที่ใช้ไป 292 ล้านปอนด์ ในช่วงเดียวกันของปี 2019

ซึ่งนับตั้งแต่ท็อดด์ โบห์ลี่ มหาเศรษฐีจากสหรัฐอเมริกา เข้ามาเป็นเจ้าของทีมคนใหม่ของสิงห์บูลส์เมื่อปี 2022 ได้ใช้เงินซื้อนักเตะใหม่เฉพาะ 3 รอบตลาดหลังสุด รวมกันแตะ 1 พันล้านปอนด์เรียบร้อยแล้ว

จากข้อมูลของดีลอยด์ (Deloitte) บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินระดับโลก ระบุว่า ตัวเลข 2.44 พันล้านปอนด์ ในตลาดรอบนี้ ทำลายสถิติเดิมจากช่วงเดียวกันเมื่อปี 2022 ที่มียอดใช้จ่าย 1.92 พันล้านปอนด์

ข้อมูลสำคัญของ Deloitte จากตลาดซื้อขายนักเตะซัมเมอร์ปี 2023 มีดังต่อไปนี้

– ทีมในพรีเมียร์ลีก มียอดค่าใช้จ่ายคิดเป็น 48 เปอร์เซ็นต์ ของการใช้เงินทั้งหมดใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป (อังกฤษ, เยอรมนี, อิตาลี, สเปน, ฝรั่งเศส)

– ทีมในพรีเมียร์ลีก ได้เงินค่าตัวนักเตะจากสโมสรในต่างประเทศ รวมกัน 550 ล้านปอนด์ ซึ่งมากกว่าช่วงเดียวกันของปี 2022 ที่ทำไว้ 210 ล้านปอนด์ หรือมากกว่ากันกว่า 2 เท่า

– ใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป มีเพียงลาลีกา สเปน ที่มีค่าใช้จ่ายในการซื้อนักเตะต่ำกว่าช่วงเดียวกันเมื่อฤดูกาลที่แล้ว

– ใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป มีเพียงพรีเมียร์ลีก อังกฤษ และลีกเอิง ฝรั่งเศส ที่ใช้เงินซื้อนักเตะโดยเฉลี่ย มากกว่าการทำเงินจากการขายนักเตะ

– มีดีลนักเตะในพรีเมียร์ลีกที่ย้ายทีมด้วยค่าตัวอย่างน้อย 50 ล้านปอนด์ขึ้นไป ถึง 13 ดีล ซึ่งมากกว่าช่วงเดียวกันของปี 2021 และ 2022

ทิม บริดจ์ หัวหน้าฝ่ายธุรกิจการกีฬาของ Deloitte กล่าวว่า “การใช้จ่ายในตลาดนักเตะปีนี้ ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน แสดงให้เห็นว่า ทีมในพรีเมียร์ลีกอาจกลับมามีรายได้ที่เติบโตขึ้นต่อเนื่อง หลังจากช่วงโควิด”

“มี 14 จาก 20 สโมสรพรีเมียร์ลีก ที่เสริมผู้เล่นมากกว่าปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มข้นของการแข่งขันที่สูงขึ้น อันเนื่องมาจากความกดดันที่สโมสรต่างๆ ได้กำหนดเป้าหมายที่ท้าทายมากขึ้น”

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

– https://www.bbc.com/sport/football/66688894

https://theathletic.com/4827472/2023/09/03/premier-league-spending-transfer-window/

https://www.telegraph.co.uk/football/2023/09/02/transfer-window-2023-done-deals-premier-league-club-by-club/

https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-12473083/Premier-League-clubs-SMASHED-gross-spending-record-one-transfer-window-single-league-summer-2-4-BILLION-splashed-players-end-deadline-day.html

https://www.transfermarkt.com/saudi-professional-league/transfers/wettbewerb/SA1

Categories
Special Content

ที่มาของตราสัญลักษณ์, ฉายา และชื่อสนามเหย้า 20 สโมสรพรีเมียร์ลีก 2023/24

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สโมสรฟุตบอล เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมกีฬาที่บ่งบอกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มากมาย ซึ่งแต่ละสโมสรล้วนมีเบื้องหลังความเป็นมาแตกต่างกัน ซึ่งแฟนฟุตบอลทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้

เพราะบริบทของฟุตบอล ไม่ได้มีเพียงการแข่งขันในสนามเท่านั้น แต่ผูกติดกับประวัติศาสตร์ ที่สะท้อนถึงตัวตนของสโมสรฟุตบอลแต่ละแห่ง ไม่ว่าจะเป็น ฉายา, ตราสัญลักษณ์ หรือแม้กระทั่งชื่อสนามแข่งขัน

เริ่มจากฉายา ก็เปรียบเสมือนชื่อเล่น ที่ใช้เรียกแทนชื่อจริงของสโมสรฟุตบอลนั้นๆ เพื่อให้จดจำง่าย พร้อมกับข่มขวัญคู่ต่อสู้ไปในตัวด้วย ถือเป็นสีสัน และช่วยเพิ่มอรรถรสในการติดตามการแข่งขันมากขึ้น

ต่อด้วยโลโก้ ที่สโมสรได้ออกแบบขึ้นมา ไม่ได้มีแค่ความสวยงามเท่านั้น แต่ต้องโดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งส่งผลถึงการรับรู้ และการจดจำของแฟนลูกหนัง อีกทั้งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มได้ในระยะยาว

อีกทั้งแต่ละสโมสร ก็มีสนามเหย้าที่ได้ตั้งชื่อขึ้นมาด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะมาจากชื่อสถานที่ตั้ง, ชื่อบุคคลสำคัญ, ประวัติศาสตร์, ธุรกิจ หรือเหตุผลอื่นๆ ที่แปลกประหลาด ทำเอาหลายคนคาดไม่ถึง

ต่อไปนี้คือเบื้องหลังที่หลายคนอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับฉายา, โลโก้ และสนามเหย้าทั้ง 20 สโมสร ในการแข่งขันพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2023/24 ที่นำมาฝากกัน เพื่อเป็นเกร็ดความรู้สำหรับแฟน ๆ ลูกหนังอังกฤษ

อาร์เซน่อล

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/Arsenal

– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ของสโมสรในปัจจุบัน เป็นรูปทรงคล้ายโล่สามเหลี่ยม พื้นสีแดง มีขอบเล็กๆ สีขาว และสีน้ำเงินเข้ม หมายถึงสีประจำสโมสร ตรงกลางมีชื่อสโมสร (Arsenal) และรูปปืนใหญ่ สะท้อนถึงสโมสรที่ทรงพลังและมีอิทธิพล

– ฉายา : “The Gunners” หมายถึง ปืนใหญ่ เหตุผลที่ได้รับฉายานี้ ก็เพราะว่า ก่อนที่สโมสรจะย้ายมาอยู่ในกรุงลอนดอน เดิมทีเคยอยู่ในย่าน “โบโร่ ออฟ วูลวิช” ซึ่งเป็นย่านของกลุ่มคนงานผลิตปืนใหญ่เพื่อส่งให้กองทัพของสหราชอาณาจักร

– สนามเหย้า : สังเวียนลูกหนังที่ชื่อว่า “เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม” สร้างขึ้นเมื่อปี 2004 และเปิดใช้งานครั้งแรกในอีก 2 ปีต่อมา โดยชื่อสนามมีที่มาจาก Emirates บริษัทสายการบินแห่งชาติของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สปอนเซอร์หลักของสโมสร

แอสตัน วิลล่า

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/avfcofficial

– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ใหม่ล่าสุด กลับไปใช้แบบวงแหวนเหมือนช่วงยุค 1980-1990 มีสีเลือดหมู และสีฟ้า สื่อถึงสีประจำสโมสร มีชื่อสโมสร (Aston Villa) และปีที่ก่อตั้ง (1874) ตัวหนังสือสีเหลือง ตรงกลางมีรูปสิงโตหันหน้าไปทางขวา และมีรูปดาวห้าแฉก 1 ดวง อยู่ในระดับเดียวกับสายตาของสิงโต สื่อถึงการคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ เมื่อปี 1982

– ฉายา : ฉายาแรก “The Lions” หมายถึง สิงโตที่อยู่ในธง Royal Standard ของสกอตแลนด์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของจอร์จ แรมซีย์ และวิลเลียม แม็กเกรเกอร์ 2 ผู้ก่อตั้งสโมสร อีกฉายาคือ “The Villans” ที่สื่อถึงสโมสรแอสตัน วิลล่า

– สนามเหย้า : ชื่อสนามเหย้าที่แท้จริงคือ Aston Lower Grounds แต่ถูกมองว่าสื่อความหมายไปในทางลบ จึงได้เรียกชื่อใหม่ว่า “วิลล่า พาร์ค” (Villa Park) มาจากชื่อของ Aston Hall ที่ตั้งของสนามในปัจจุบัน ซึ่งเคยถูกใช้เป็นสวนสนุกมาก่อน

บอร์นมัธ

– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ที่ใช้ในปัจจุบัน เป็นรูปทรงคล้ายโล่สามเหลี่ยม พื้นสีแดงเชอร์รี่ และมีแถบสีดำ 2 แถบอยู่ด้านขวา สื่อถึงสีประจำสโมสร ด้านบนมีชื่อสโมสร (AFC Bournemouth) สีขาว ตรงกลางมีรูปผู้ชาย และมีลูกฟุตบอลอยู่เหนือศีรษะ ซึ่งผู้ชายที่อยู่ในโลโก้ของสโมสร คือ ดิกกี้ ดอว์เซตต์ ตำนานดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของบอร์นมัธ ทำได้ 79 ประตู

– ฉายา : ที่มาของฉายา “The Cherries” มีความเป็นไปได้อยู่ 2 ทาง คือมาจากสีประจำสโมสร ที่เป็นโทนสีแดงเชอร์รี่ หรือมาจากในสมัยก่อนมีสวนเชอรืรี่ที่อยู่ติดกับสนามเหย้าของสโมสร ซึ่งไม่สามารถชี้ชัดได้ว่า เหตุผลใดคือเหตุผลที่แท้จริง

– สนามเหย้า : เดิมมีชื่อว่าดีน คอร์ต (Dean Court) เปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อปี 1910 ต่อมาในปี 2015 Vitality บริษัทด้านประกันสุขภาพของอังกฤษ ได้เข้ามาเป็นสปอนเซอร์ให้กับสโมสร และเปลี่ยนชื่อสนามเป็น “ไวตาลิตี้ สเตเดี้ยม”

เบรนฟอร์ด

– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ที่ใช้ในปัจจุบัน ประกอบด้วยวงแหวนสีแดง มีชื่อเต็มของสโมสร (Brentford Football Club) แบ่งเป็นด้านบนและด้านล่าง และปีที่ก่อตั้ง (1889) พื้นหลังมีสีขาว ตรงกลางมีรูปผึ้ง สื่อถึงสีและสัญลักษณ์ประจำสโมสร

– ฉายา : “The Bees” ที่หมายถึง ผึ้ง แต่จริงๆ แล้วมีที่มาจากนักเรียนของ Borough Road College ที่ร้องเพลงประจำสถาบัน ชื่อว่า “Buck up Bs” แต่สื่อท้องถิ่นเข้าใจผิดว่าเป็นชื่อเพลง “Buck up Bees” และกลายเป็นฉายาของทีมในที่สุด

– สนามเหย้า : เดิมใช้ชื่อว่า เบรนท์ฟอร์ด คอมมูนิตี้ สเตเดี้ยม ต่อมาในปี 2022 Grey Technologgy(Gtech) บริษัทด้านเทคโนโลยีของอังกฤษ ได้สนับสนุนสโมสรมาครบ 10 ปี จึงเปลี่ยนชื่อสนามเหย้ามาเป็น “จีเทค คอมมูนิตี้ สเตเดี้ยม”

ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/officialbhafc

– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ของสโมสรในปัจจุบัน มีลักษณะเป็นวงแหวนสีขาว มีชื่อเต็มของสโมสร (Brighton & Hove Albion) ส่วนตรงกลางเป็นพื้นสีน้ำเงิน และมีรูปนกนางนวลหันหน้าไปทางขวา สื่อถึงเมืองแห่งชายทะเล เป็นที่อยู่อาศัยของนกนางนวล และมีความตั้งใจที่จะพัฒนาเพื่ออนาคต

– ฉายา : “The Seagulls” มาจากแนวคิดของแฟนบอลไบรท์ตันกลุ่มหนึ่ง ที่พยายามจะตอบโต้ “The Eagles” ของคริสตัล พาเลซ ทีมคู่ปรับของพวกเขา และโลโก้ของสโมสรก็เปลี่ยนจากปลาโลมา เป็นนกนางนวล นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

– สนามเหย้า : เอเม็กซ์ สเตเดี้ยม (Amex stadium) โดย “Amex” ย่อมาจาก American Expressบริษัทด้านการเงินของสหรัฐอเมริกา แต่ในฤดูกาล 2023/24 ชื่อรังเหย้าได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อเต็มคือ “อเมริกัน เอ็กซ์เพรส สเตเดี้ยม”

เบิร์นลี่ย์

– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ของสโมสรในปัจจุบัน มีพื้นสีแดงอมม่วง มาจากตราประจำเมืองเบิร์นลี่ย์ ด้านบนมีรูปนกกระสา สื่อถึงตระกูล Starkie ตระกูลที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมือง นกตัวนี้ยืนอยู่บนเนินเขาและต้นฝ้าย สื่อถึงเมืองที่นิยมปลูกต้นฝ้าย 

ถัดลงมา มีผึ้ง 2 ตัว เป็นตัวแทนของการทำงานหนัก ตรงกลางมีรูปมือ สื่อถึงคำขวัญประจำเมือง “Hold to the truth” (จงยึดมั่นในความจริง) ส่วนด้านล่างสุด มีสิงโต ซึ่งเป็นตัวแทนของราชวงศ์ อยู่ภายในบั้ง ที่สื่อถึงแม่น้ำบรูนที่ไหลผ่านเมืองนี้

– ฉายา : “The Clarets” แปลว่า สีแดงอมม่วง ซึ่งเป็นสีชุดแข่งหลักของสโมสร เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 1911 โดยได้แรงบันดาลใจจากชุดแข่งของแอสตัน วิลล่า ที่คว้าแชมป์ลีกเมื่อ 1 ปีก่อนหน้านั้น และยังเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในโลโก้ของสโมสรอีกด้วย

– สนามเหย้า : ชื่อของ “เทิร์ฟ มัวร์” มาจากคำที่ประกอบกัน 2 คำ คือคำว่า Turf ที่แปลว่า สนามหญ้า และคำว่า Moor ซึ่งหมายถึง ที่โล่งแจ้ง เนื่องจากในสมัยก่อน พื้นที่ของสนามแห่งนี้เป็นที่ดินเปล่า ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ

เชลซี

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/ChelseaFC

– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ของสโมสรในปัจจุบัน มีลักษณะเป็นวงแหวนสีน้ำเงิน แสดงถึงตราประจำเขตเชลซี ต่อด้วยรูปลูกฟุตบอลสีแดง แสดงถึงความมุ่งมั่นในกีฬาฟุตบอล และดอกกุหลาบสีแดง สื่อถึงราชวงศ์แลงคาสเตอร์

ด้านในมีรูปสิงโตถือไม้เท้าสีน้ำเงิน ได้แรงบันดาลใจมาจากแขนเสื้อของเอิร์ล คาโดแกน (เอิร์ล คือระดับชั้นของขุนนางในสมัยก่อน) ซึ่งเป็นประธานสโมสรเชลซีในยุค 1950s สื่อถึงความรู้ และความศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า

– ฉายา : ฉายาแรก “The Blues” หมายถึงสีประจำสโมสร คือ สีน้ำเงิน อีกฉายาหนึ่งคือ “The Pensioners” ที่แปลว่า ผู้เกษียณอายุ เนื่องจากในอดีต มีทหารผ่านศึกที่ผ่านสงครามโลก มารับเงินบำนาญในโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้กับสโมสรเชลซี

– สนามเหย้า : ชื่อสนามเหย้าของสโมสร มีที่มาจากการนำชื่อลำธาร Stanford Creek กับชื่อสะพานอีก 2 แห่ง Sanford Bridge และ Stanbridge มารวมกันเป็น สแตนฟอร์ด บริดจ์ ก่อนจะเปลี่ยนเป็น “สแตมฟอร์ด บริดจ์” ในปัจจุบัน

คริสตัล พาเลซ

– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ของสโมสรในปัจจุบัน ด้านบนเป็นรูปนกอินทรีสีน้ำเงิน อยู่เหนือลูกฟุตบอลสีแดง สื่อถึงสีประจำสโมสร ส่วนด้านล่างเป็นรูปอาคารกระจกขนาดใหญ่ลายเส้นสีเทา เพื่อใช้จัดงานนิทรรศการ (The Great Exhibition) เมื่อปี 1851 ส่วนตัวเลข 1861 คือปีที่มีการก่อตั้งทีมสมัครเล่นของคริสตัล พาเลซ (ทีมชุดใหญ่ก่อตั้งในปี 1905)

– ฉายา : “The Eagles” หรือ นกอินทรี มีที่มาจากฉายาของเบนฟิก้า สโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่ในประเทศโปรตุเกส ซึ่งมัลคอล์ม อัลลิสัน ผู้จัดการทีมในช่วงกลางยุค 1970s ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสโมสรดังกล่าว จึงได้นำฉายานี้มาใช้

– สนามเหย้า : ชื่อสนาม “เซลเฮิสต์ พาร์ค” มาจากชื่อย่าน “Selhurst” ในแถบชานกรุงลอนดอน อยู่ห่างจากใจกลางเมืองหลวงประมาณ 9 ไมล์ สำหรับรังเหย้าของสโมสร ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของย่านนี้ เปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อปี 1924

เอฟเวอร์ตัน

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/Everton

– ตราสัญลักษณ์ : พื้นของโลโก้ มีสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีประจำสโมสร บนโลโก้มีรูปหอคอยที่ชื่อว่า “พรินซ์ รูเพิร์ต ทาวเวอร์” ซึ่งในอดีตเคยถูกใช้เป็นสถานที่คุมขังนักโทษ และพวงหรีดที่ขนาบข้าง ก็ถือเป็นการไว้อาลัยแด่ผู้เสียชีวิตในหอคอยนี้ ส่วนด้านล่างมีคำขวัญเป็นภาษาละติน “Nil satis nisi optimum” ที่แปลว่า ไม่มีอะไรต้องกลัว เราจะทำแต่สิ่งที่ดีที่สุด

– ฉายา : ฉายาแรก “The Blues” หมายถึงสีประจำสโมสร คือ สีน้ำเงิน อีกฉายาหนึ่งคือ “The Toffees” มีที่มาจากเจ้าของร้านขายลูกอมที่ชื่อ มา บูแชล (Ma Bushell) ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มการแจกลูกอมให้กับแฟนบอลก่อนที่จะเข้าชมเกมในสนาม

– สนามเหย้า : ชื่อสนาม “กูดิสัน พาร์ค” มาจากชื่อของ จอร์จ วิลเลียม กูดิสัน (George William Goodison) วิศวกรโยธาผู้วางระบบระบายน้ำเสีย สนามแห่งนี้เปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อปี 1892 และกำลังจะกลายเป็นอดีตในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ฟูแล่ม

– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ของสโมสร มีโครงสร้างที่เรียบง่าย เป็นรูปทรงคล้ายโล่สามเหลี่ยม ประกอบด้วยสีขาว 1 ส่วน และสีดำ 2 ส่วน สื่อถึงสีประจำสโมสร ตรงกลางบนพื้นสีขาว มีตัวอักษร FFC สีแดง ที่ย่อมาจาก Fulham Football Club

– ฉายา : “The Cottagers” ที่แปลว่า ผู้อาศัยอยู่ในกระท่อม เนื่องจากในช่วงศตวรรษที่ 19 มีนักเขียนที่มีชื่อเสียงหลายคน เข้ามาอาศัยอยู่ในกระท่อมของวิลเลียม คราเวจ แต่กระท่อมหลังนี้ได้ถูกไฟไหม้จนเสียหายทั้งหมดในปี 1888

– สนามเหย้า : ที่มาของชื่อสนาม “คราเวน คอทเทจ” ต้องย้อนไปในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 วิลเลียม คราเวน ขุนนางลำดับที่ 6 ของยุคบารอน ได้สร้างกระท่อมที่มีป่าล้อมรอบ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว คือรังเหย้าของสโมสรในปัจจุบัน

ลิเวอร์พูล

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

– ตราสัญลักษณ์ : ด้านบนสุดเป็นซุ้มประตู Shankly Gates หน้าทางเข้าสนามแอนฟิลด์ พร้อมกับคำขวัญประจำสโมสร “You’ll never walk alone” ส่วนสัตว์ที่อยู่บนโลโก้ คือนกไลเวอร์เบิร์ด (Liver bird) สัญลักษณ์ของเมืองลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นสัตว์ที่ไม่มีอยู่จริง ด้านข้างทั้ง 2 ข้าง มีเปลวไฟ สื่อถึงการไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ฮิลส์โบโร่ เมื่อปี 1989

– ฉายา : “The Reds” หมายถึงสีแดง มาจากสีของเสื้อแข่งขันที่เริ่มใช้ครั้งแรก หลังก่อตั้งสโมสรเพียง 4 ปี ก่อนที่ในปี 1964 ยุคที่บิล แชงคลีย์ เป็นผู้จัดการทีม ได้ตัดสินใจให้ผู้เล่นสวมชุดแข่งขันสีแดงทั้งเสื้อและกางเกงเป็นครั้งแรก

– สนามเหย้า : ชื่อสนาม “แอนฟิลด์” (Anfield) มีที่มาจากชื่อของ Annefield ย่านเก่าแก่ที่อยู่ชานเมืองนิวรอสส์ เคาน์ตี้ ในเว็กซ์ฟอร์ด ประเทศไอร์แลนด์ และชาวไอริชได้หลั่งไหลย้ายมาตั้งถิ่นฐานในเมืองลิเวอร์พูลตั้งแต่เมื่อครั้งอดีต

ลูตัน ทาวน์

– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ของสโมสร ด้านบนสุดเป็นรูปหมวก สื่อถึงอุตสาหหรรมที่สำคัญของเมือง ส่วนด้านล่างมาจากตราประจำเมืองลูตัน ตรงกลางมีรูปผึ้งที่อยู่บนไม้กางเขน เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงการทำงานอย่างหนัก

นอกจากนี้ยังมีลัญลักษณ์อีก 4 อย่าง ประกอบด้วย มัดข้าวสาลี สื่อถึงอุตสาหกรรมการถักทอด้วยฟาง, รังผึ้ง คือตัวแทนของการถักทอด้วยฟาง, ดอกกุหลาบ สื่อถึงตระกูลเนเปียร์ (Napier) ผู้นำอุตสาหกรรมการถักทอด้วยฟางเข้ามาในเมือง  และดอกธิสเซิล คือสัญลักษณ์ของชาวสกอตแลนด์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของตระกูลเนเปียร์

– ฉายา : “The Hatters” แปลว่า ช่างทำหมวก เนื่องจากเมืองลูตัน เป็นเมืองแห่งอุตสาหกรรมของการผลิตหมวก ซึ่งเป็นแหล่งเศรษฐกิจที่แพร่หลายมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 และสินค้าสำคัญของเมืองนี้ ก็คือหมวกที่ทำจากฟางนั่นเอง

– สนามเหย้า : ชื่อสนาม “เคนิลเวิร์ธ โรด” มีที่มาจากชื่อถนน Kenilworth ที่เป็นจุดปลายทางอีกฟากหนึ่งของสนามเหย้า แต่ที่ตั้งของสโมสร อยู่ที่ถนนเมเปิล (Maple) ได้ชื่อว่าเป็นสนามที่เล็กที่สุดในบรรดา 20 ทีม ของซีซั่น 2023/24

แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/mancity

– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ในปัจจุบัน มีลักษณะเป็นวงแหวนสีขาว ด้านในมีลักษณะคล้ายโล่ ครึ่งบนของโล่เป็นรูปเรือ สื่อถึงสัญลักษณ์ของเมืองแมนเชสเตอร์ ส่วนครึ่งล่างของโล่ มีรูปดอกกุหลาบสีแดง สื่อถึงราชวงศ์แลงคาสเตอร์ และพื้นหลังสีฟ้าเข้ม มีแถบสีฟ้าอ่อนอยู่ 3 แถบ หมายถึงแม่น้ำ 3 สายที่ไหลผ่าน คือ แม่น้ำไอร์เวลล์, แม่น้ำเมดล็อก และแม่น้ำอิรค์

– ฉายา : “The Citizens” มีที่มาจากการเปรียบเทียบฐานแฟนบอลในเมืองแมนเชสเตอร์ ซึ่งแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีจำนวนที่มากกว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรืออีกนัยหนึ่งคือ “เรือใบสีฟ้า” มีความเป็นท้องถิ่นมากกว่าทีมคู่ปรับร่วมเมืองนั่นเอง

– สนามเหย้า : ชื่อสนามเหย้าอย่างเป็นทางการคือ “ซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์ สเตเดี้ยม” แต่มีอีกชื่อหนึ่งคือ “เอติฮัด สเตเดี้ยม” ที่มาจาก Etihad บริษัทสายการบินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สปอนเซอร์หลักของสโมสร

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ในปัจจุบัน มีเพียง 2 สีหลัก คือสีเหลือง และสีแดง ด้านนอกมีชื่อสโมสร Manchester United ขนาบด้วยลูกฟุตบอล 2 ลูก ด้านในมีลักษณะคล้ายโล่ ครึ่งบนของโล่เป็นรูปเรือ สื่อถึงสัญลักษณ์ของเมืองแมนเชสเตอร์ ส่วนด้านล่างเป็นรูปปิศาจถือสามง่าม ซึ่งนำมาไว้ในโลโก้เป็นครั้งแรกในช่วงยุค 1970s

– ฉายา : “The Red devils” หรือ ปิศาจแดง มีที่มาจากฉายาของทีมรักบี้ซัลฟอร์ด เรด (Salford Red) ที่เคยโด่งดังในอดีต ทำให้ในปี 1973 เซอร์ แมตต์ บัสบี้ ผู้จัดการทีมในขณะนั้น ได้นำมาเป็นฉายาเพื่อใช้ข่มขวัญทีมคู่แข่ง

– สนามเหย้า : สังเวียนลูกหนัง “โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด” อยู่ที่ย่าน Trafford ในเกรเทอร์ แมนเชสเตอร์ มีที่มาจากในสมัยก่อน มีครอบครัวตระกูล de Trafford อาศัยอยู่ใน Old Trafford Hall ซึ่งเป็นเขตที่ตั้งสนามแข่งขันของสโมสร

นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด

– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ของสโมสร ดัดแปลงมาจากตราประจำเมืองนิวคาสเซิล ด้านบนประกอบด้วยสิงโต สื่อถึงราชวงศ์ของอังกฤษ, ปราสาท สื่อถึงป้อมปราการของกษัตริย์นอร์แมน และธงที่อยู่บนยอดปราสาท คือธงของโบสถ์เซนต์ จอร์จ

ส่วนด้านล่าง มีม้าน้ำ 2 ตัว ทางซ้ายและขวา สื่อถึงความผูกพันระหว่างเมืองกับทะเล เพราะเป็นเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลเป็นจำนวนมาก ตรงกลางมีโล่ลายทางสีขาว-ดำ หมายถึง สีประจำสโมสร

– ฉายา : “The Magpies” คือนกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะของลำตัวเป็นลายทางสีขาว-ดำ คล้ายกับเสื้อแข่งขันชุดเหย้าของสโมสร ซึ่งในอดีตเคยเชื่อกันว่า มีนกชนิดนี้หลายตัว บินมาทำรังบริเวณสนามแข่งขันของสโมสร

– สนามเหย้า : ชื่อสนาม “เซนต์ เจมส์ พาร์ค” มาจากชื่อของโรงพยาบาล และโบสถ์เซนต์ เจมส์ (St. James) ที่สร้างมาตั้งแต่ยุคอดีต ตั้งอยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑ์แฮนค็อก ก่อนจะนำไปใช้ตั้งชื่อรังเหย้าของสโมสร ที่เปิดใช้งานครั้งแรกเมื่อปี 1892

น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์

– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ของสโมสรในปัจจุบัน มีลายเส้นสีแดง ซึ่งหมายถึงสีประจำสโมสร เป็นรูปต้นโอ๊คที่อยู่ในป่าเชอร์วูด ด้านล่างมีเส้นหยัก 3 เส้น สื่อถึงแม่น้ำเทรนท์ (Trenr River) ที่ไหลผ่านเมือง ส่วนด้านบนมีดาว 2 ดวง สื่อถึงการคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 2 สมัยติดต่อกัน ในปี 1979 และ 1980

– ฉายา : ฉายาแรก “Forest” มาจากที่ตั้งของสโมสรในปัจจุบัน เคยเป็นพื้นที่ป่ามาก่อน และอีกฉายาหนึ่งคือ “The Reds” ซึ่งมาจากชื่อของจูเซ็ปเป้ การิบัลดี้ นักต่อสู้เพื่อเสรีภาพชาวอิตาลี ที่มักจะสวมเสื้อสีแดงเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์

– สนามเหย้า : ชื่อสนาม “ซิตี้ กราวน์” มีที่มาจากเหตุการณ์สำคัญในปี 1898 สโมสรได้ย้ายรังเหย้าจาก Town Ground เป็น City Ground เพื่อเฉลิมฉลองในวาระที่น็อตติ้งแฮม ได้รับการยกฐานะให้เป็น “เมือง” เมื่อ 1 ปีก่อนหน้านั้น

เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด

– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ของสโมสร มีลักษณะเป็นวงแหวนสีแดง ด้านในเป็นพื้นสีดำ มีดอกกุหลาบสีขาว สื่อถึงราชวงศ์ยอร์ค และดาบคู่สีขาว สื่อถึงสัญลักษณ์ของสโมสร ซึ่งสีทั้ง 3 สีที่อยู่บนโลโก้ ก็อยู่ในชุดแข่งขันของสโมสรด้วย

– ฉายา : “The Blades” แปลว่า ดาบคู่ เนื่องจากเมืองเชฟฟิลด์ เป็นเมืองแห่งอุตสาหกรรมเหล็ก ซึ่งเป็นแหล่งเศรษฐกิจที่แพร่หลายมาตั้งแต่ช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษ นำไปใช้ผลิตสินค้าที่สำคัญ นั่นคือมีด และดาบ

– สนามเหย้า : ชื่อสนาม “บรามอลล์ เลน” มีที่มาจากตระกูลบรามอลล์ (Bramall family) ซึ่งเป็นครอบครัวที่ทำธุรกิจผลิตตะไบ และเครื่องมือแกะสลัก อีกทั้งยังเป็นเจ้าของ The Ole White House ซึ่งปัจจุบันเป็นผับที่ตั้งอยู่ชั้นบนของสนาม

ทอตแน่ม ฮอตสเปอร์

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/TottenhamHotspur

– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ในปัจจุบัน เป็นรูปไก่ตัวผู้มีเดือยแหลมอยู่ข้างหลังเท้ากำลังเหยียบลูกฟุตบอล สื่อถึงเซอร์ เฮนรี่ เพอร์ซีย์ (Sir Henry Percy) ขุนนางผู้ปกครองนอร์ทธัมเบอร์แลนด์ ในช่วงศตวรรษที่ 14 ซึ่งชื่นชอบกีฬาชนไก่เป็นอย่างมาก

– ฉายา : “The Lilywhites” หมายถึง สีขาว มาจากสีของเสื้อแข่งขันที่เริ่มใช้ครั้งแรกเมื่อปี 1898 โดยได้แรงบันดาลใจจากสโมสรเปรสตัน นอร์ทเอนด์ ที่สวมชุดแข่งสีขาว และสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ลีกสูงสุดแบบไร้พ่ายในฤดูกาล 1888/89

– สนามเหย้า : ชื่อสนามแข่งขันในปัจจุบันคือ “ทอตแน่ม ฮอทสเปอร์ สเตเดี้ยม” ซึ่งสร้างขึ้นใหม่แทนที่ไวท์ ฮาร์ท เลน บางคนอาจเรียกว่า “นิว ไวท์ ฮาร์ท เลน” แต่ในอนาคตอาจมีการขายสิทธิ์ชื่อสนามให้กับสปอนเซอร์ทางธุรกิจ

เวสต์แฮม ยูไนเต็ด

– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ของสโมสรในปัจจุบัน เป็นรูปทรงคล้ายโล่สามเหลี่ยม มีขอบสีฟ้า และพื้นสีแดงอมม่วง ซึ่งสื่อถึงสีประจำสโมสร ตรงกลางมีรูปค้อนคู่ไขว้กัน เป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมต่อเรือที่เฟื่องฟูในสมัยก่อน

– ฉายา : ฉายาแรก “The Irons” มาจากชื่อของสโมสรในยุคเริ่มก่อตั้ง คือ Thames Ironworks FCและอีกฉายาคือ “The Hammers” หรือ ค้อน เนื่องจากในอดีต ผู้คนจะได้ยินเสียงค้อนทุบดังไปทั่วบริเวณอู่ต่อเรือเป็นประจำ

– สนามเหย้า : ชื่อสนาม “ลอนดอน สเตเดี้ยม” เดิมใช้ชื่อว่า โอลิมปิก สเตเดี้ยม ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2012 ของสหราชอาณาจักร ปัจจุบันกลายเป็นรังเหย้าของสโมสรเวสต์แฮม ยูไนเต็ด

วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส

– ตราสัญลักษณ์ : โลโก้ของสโมสรในปัจจุบัน ใช้ 2 สีหลัก คือสีเหลือง-ดำ ซึ่งหมายถึงสีประจำสโมสร มีโครงสร้างเป็นกรอบรูปหกเหลี่ยมสีดำ ข้างในมีพื้นสีเหลือง และรูปหมาป่าสีดำ ซึ่งมีส่วนของสีขาวแทรกอยู่ หมายถึงดวงตาของหมาป่า

– ฉายา : “Wolves” ย่อมาจากชื่อเต็มของเมือง Wolverhampton ซึ่งพ้องกับคำว่า wolves ที่แปลว่า ฝูงหมาป่า และได้นำหมาป่ามาอยู่ในโลโก้ของสโมสรตั้งแต่ปี 1979 และฉายา “The Wanderrers” มาจากชื่อทีมในอดีต คือ Wanderrers FC

– สนามเหย้า : ชื่อสนาม “โมลินิวซ์ สเตเดี้ยม” มีที่มาจากชื่อของ Benjamin Molineux นักธุรกิจที่เข้ามาอาศัยในเมืองวูล์ฟแฮมป์ตันตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 18 และได้ซื้อที่ดินซึ่งกลายมาเป็นที่ตั้งรังเหย้าของสโมสรในปัจจุบัน

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

Categories
Football Business

ส่องเบื้องหลังท่อน้ำเลี้ยง 20 เจ้าของทีมพรีเมียร์ลีก 2023/24

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ดีลอยท์ (Deloitte) บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินระดับโลก เปิดเผยว่า พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นลีกฟุตบอลที่โดดเด่นในเรื่องการเงิน โดย 11 จาก 20 สโมสร ติดอันดับทีมกีฬาที่ทำรายได้สูงที่สุดในโลก

ปัจจัยแห่งความสำเร็จ หรือความล้มเหลวของแต่ละสโมสร ไม่ใช่ผู้เล่น หรือผู้จัดการทีม แต่เป็นบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่เรียกว่า “เจ้าของสโมสร” ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของสโมสรในระยะยาว

ความเข้าใจในธุรกิจฟุตบอล และความหลงใหลในสโมสรที่ครอบครอง คือคุณสมบัติที่เจ้าของสโมสรพึงมี แต่ก็มีบางสโมสรที่มีข้อได้เปรียบในเรื่องเงินทุนที่มีมหาศาล แม้จะจ่ายเงินก้อนโตต่อเนื่องทุกปีก็ตาม

แหล่งเงินทุนของเจ้าของทีมลูกหนัง ก็มีที่มาแตกต่างกันออกไป ซึ่งหลาย ๆ คน อาจยังไม่เคยรู้มาก่อน และนี่คือเบื้องหลัง “ท่อน้ำเลี้ยง” ของทั้ง 20 สโมสรในการแข่งขันลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ฤดูกาล 2023/24

อาร์เซน่อล – ครอบครัวมหาเศรษฐี, อสังหาริมทรัพย์ และปศุสัตว์

รองแชมป์พรีเมียร์ลีก ซีซั่นที่แล้ว ปัจจุบันบริหารงานโดยกลุ่ม Kroenke Sports & Entertainment (KSE) นำโดยสแตน โครเอนเก้ มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ที่เข้ามาเทคโอเวอร์อาร์เซน่อล ตั้งแต่ปี 2007

โครเอนเก้ สมรสกับแอน วอลตัน สมาชิกครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดของสหรัฐฯ เป็นทายาทของเจ้าของวอลมาร์ท (Walmart) บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ระดับโลก และมีสินทรัพย์มากกว่า 12 พันล้านปอนด์

แหล่งเงินทุนของโครเอนเก้ มาจากการก่อตั้ง THF Realty ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์, ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงาน รวมถึงเป็นเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกาอีกด้วย

เจ้าสัววัย 75 ปี ยังเป็นเจ้าของทีมกีฬาในสหรัฐฯ หลายทีม ได้แก่ ลอส แอนเจลลิส แรมส์ (อเมริกันฟุตบอล), โคโลราโด้ ราปิดส์(เมเจอร์ลีก ซอคเกอร์), โคโลราโด้ อวาลันเช่ (ฮอกกี้) และเดนเวอร์ นักเกตส์ ที่เพิ่งคว้าแชมป์บาสเกตบอล NBA ในปีนี้

แอสตัน วิลล่า – ปุ๋ยไนโตรเจน และอสังหาริมทรัพย์

แอสตัน วิลล่า สโมสรดังจากย่านมิดแลนด์ บริหารงานโดยบริษัท NSWE ซึ่งมีนาสเซฟ ซาวิริส และเวส อีเดนส์ เป็นเจ้าของร่วมกัน ทั้งคู่ได้ซื้อกิจการของสโมสรต่อจากโทนี่ เซีย นักธุรกิจชาวจีน เมื่อปี 2018

ซาวิริส เป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยที่สุดแห่งอียิปต์ ปัจจุบันเป็นผู้บริหารของ Orascom Construction บริษัทผู้ผลิตปุ๋ยไนโตรเจนรายใหญ่ที่สุดของโลก นอกจากนี้ยังซื้อหุ้นสโมสรนิว ยอร์ก นิกส์ (บาสเกตบอล NBA) และสโมสรนิว ยอร์ก เรนเจอร์ส (ฮฮกกี้ NHL)

ด้านอีเดนส์ มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, ปล่อยเงินกู้ อีกทั้งได้ซื้อหุ้นของ Morrisons เครือข่ายซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของอังกฤษ และเป็นเจ้าของทีมมิลวอล์คกี้ บัคส์ ซึ่งคว้าแชมป์บาสเกตบอล NBA ในปี 2021

ความมั่งคั่งของเจ้าของทีมวิลล่า ซาวิริส มีสินทรัพย์ 5 พันล้านปอนด์ จากการจัดอันดับของบลูมเบิร์ก (Bloomberg) ในขณะที่อีเดนส์ มีสินทรัพย์ 0.86 พันล้านปอนด์ จากการจัดอันดับของฟอร์บส์ (Forbes)

เบรนท์ฟอร์ด – บริษัทรับพนันถูกกฎหมาย

นับตั้งแต่เบรนท์ฟอร์ดเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2021/22 พวกเขาเอาตัวรอดอยู่ในลีกสูงสุดแบบสบาย ๆ 2 ซีซั่นติดต่อกันแล้ว ซึ่งนักพนันอย่างแมทธิว เบนแฮม คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของสโมสรนี้

หลังลาออกจาก Premier Bet บริษัทของโทนี่ บลูม (เจ้าของทีมไบรท์ตันในปัจจุบัน) เบนแฮมได้ตั้งบริษัทพนันของตัวเอง ในชื่อ SmartOdds จากนั้นได้ไปซื้อกิจการของ Matchbook ซึ่งเป็นบริษัทพนันเช่นเดียวกัน

จุดเริ่มต้นสู่การเป็นเจ้าของ “เดอะ บีส์” เกิดขึ้นในปี 2006 จากการเป็นนายทุนลับให้ Bees United กลุ่มแฟนบอลของสโมสร ซื้อทีมและชำระหนี้จากรอน โนเดส เข้ามาถือหุ้น และบริหารเต็มตัวตั้งแต่ปี 2012

การบริหารของเบนแฮม ประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาดนักเตะ ซื้อมาถูก ขายออกไปแพงอยู่หลายดีล เช่น โอนลี่ วัตกิ้นส์, ซาอิด เบนราห์มา เป็นต้น อีกทั้งยังเป็นเจ้าของทีมมิดทิลแลนด์ ในลีกเดนมาร์ก

ไบรท์ตัน – บริษัทรับพนันถูกกฎหมาย

ไบรท์ตัน สโมสรที่เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์เข้าร่วมฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ก่อตั้งมา 122 ปี ต้องยกเครดิตให้กับโทนี่ บลูม เซียนพนันที่ได้วางรากฐาน และสู้กับทีมยักษ์ใหญ่เงินทุนหนาแบบน่าเหลือเชื่อ

บลูม ได้เปิดตัว Premier Bet บริษัทแรกที่ทำธุรกิจด้านการพนัน ซึ่งมีพนักงานคนสำคัญคือ แมทธิว เบนแฮม เจ้าของทีมเบรนฟอร์ดในปัจจุบัน ก่อนจะเปลี่ยนสถานะจากเจ้านาย-ลูกน้อง มาเป็นคู่แข่งทางธุรกิจ

ต่อมาในปี 2006 บลูมแยกไปเปิดบริษัทด้านการพนันที่ชื่อว่า Starlizard บทบาทของเขาคือเป็นที่ปรึกษา และวิเคราะห์ให้กับลูกค้า เพื่อนำไปใช้ในการตัดสินใจเลือกเดิมพันที่ได้เปรียบที่สุด และสามารถทำเงินได้

ด้วยความที่บลูม เกิดและเติบโตที่ไบรท์ตัน และเป็นแฟนบอลของไบรท์ตันตั้งแต่ยังเป็นเด็ก อีก 3 ปีต่อมา เขาตัดสินใจทุ่มเงิน 93 ล้านปอนด์ ซื้อหุ้นของ “เดอะ ซีกัลส์” สมัยที่ยังอยู่ในระดับลีก วัน (ดิวิชั่น 3)

บอร์นมัธ – ประกันภัย, สื่อบันเทิง, สนามกอล์ฟ และโรงแรม

เมื่อปลายปี 2022 บอร์นมัธ คือทีมล่าสุดที่มีการเปลี่ยนแปลงเจ้าของทีมรายใหม่ โดย บิลล์ โฟลี่ย์ นักธุรกิจชาวอเมริกัน ได้ซื้อสโมสรต่อจากมักซิม เดมิน นักธุรกิจชาวรัสเซีย ด้วยราคาประมาณ 120 ล้านปอนด์

โฟลี่ย์ ดำรงตำแหน่งประธานของ Fidelity National Financial บริษัทประกันภัยยักษ์ใหญ่ในฟลอริด้า ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งติดอันดับบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของ Fortune 500 Companies

นอกจากจะลงทุนด้านสื่อบันเทิง, สนามกอล์ฟ และโรงแรมแล้ว โฟลี่ย์ ยังเป็นเจ้าของทีมเวกัส โกลเด้น ไนท์ส ที่เพิ่งคว้าแชมป์ลีกฮอกกี้ NHL เมื่อเร็วๆ นี้ อีกทั้งยังได้ซื้อหุ้นของสโมสรลอริยองต์ ในลีกเอิง ฝรั่งเศส

แม้ “เดอะ เชอรี่ส์” จะอยู่รอดปลอดภัยในลีกสูงสุด เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา แต่โฟลี่ย์ ตัดสินใจปลดแกรี่ โอนีล ออกจากตำแหน่งกุนซือ และแต่งตั้งอันโดนี่ อิราโอล่า เฮดโค้ชชาวสเปน เพื่อเป้าหมายไปเล่นฟุตบอลยุโรป

เบิร์นลีย์ – บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินในสหรัฐอเมริกา

แชมป์ลีกแชมเปี้ยนชิพ จากฤดูกาลที่แล้ว ปัจจุบันบริหารงานโดย ALK Capital กลุ่มทุนจากสหรัฐอเมริกา นำโดย อลัน เพซ ที่เข้ามาซื้อกิจการของสโมสร ในเดือนธันวาคม 2020 ในราคา 150 ล้านปอนด์

สำหรับ ALK Capital ตั้งอยู่ในนิว ยอร์ก เป็นบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินให้กับลูกค้ารายใหญ่อย่างเลห์แมน บราเธอร์ส และซิติ กรุ๊ป และตัวของอลัน เพซ ก็เคยบริหารทีมเรียล ซอลต์ เลค ในเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์อยู่ 2 ปี

ช่วงที่เบิร์นลี่ย์ยังอยู่ในพรีเมียร์ลีก ใช้เงินลงทุนไปไม่น้อย อีกทั้งยังต้องกู้เงินจากธนาคารเป็นจำนวน 65 ล้านปอนด์ และเมื่อพวกเขาตกชั้นจากลีกสูงสุดในซีซั่น 2021/22 การเงินของสโมสรก็ได้รับผลกระทบ

แต่ด้วยมันสมองที่ชาญฉลาดของแว็งซองต์ กอมปานี ผู้จัดการทีม “เดอะ คลาเร็ตส์” ก็ช่วยให้สโมสรเอาตัวรอดจากวิกฤต พาทีมคัมแบ็กสู่พรีเมียร์ลีก ส่งผลถึงการเงินที่กลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในที่สุด

เชลซี – บริษัทจัดการสินทรัพย์

ท็อดด์ โบห์ลี่ มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน เข้ามาเทกโอเวอร์เชลซีเมื่อปี 2022 หลังจากโรมัน อบราโมวิช นักธุรกิจชาวรัสเซีย ถูกบังคับให้ขายสโมสร เนื่องจากรัฐบาลอังกฤษประกาศคว่ำบาตร กรณีรัสเซียบุกยูเครน

โบห์ลี่ มีหุ้นส่วนรายสำคัญที่มาร่วมลงทุน คือ Clearlake Capital บริษัทด้านการลงทุนที่ตั้งอยู่ในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีบีฮ์ดาด เอ็กห์เบลี่ เป็นผู้บริหารของบริษัท มีทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 72,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

สำหรับ Clearlake Capital มีลูกค้ารายสำคัญที่ได้เข้าไปดูแลสินทรัพย์ นั่นคือ กองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะ หรือ PIF ของซาอุดีอารเบีย ซึ่งเป็นกลุ่มทุนที่ไปเทคโอเวอร์สโมสรนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด คู่แข่งร่วมพรีเมียร์ลีก

นอกจากจะเป็นเจ้าของทีมเชลซีแล้ว โบห์ลี่ยังเป็นเจ้าของทีมกีฬาในอเมริกา คือ ลอส แอนเจลิส ดอดเจอร์ส ในเมเจอร์ลีก เบสบอล รวมทั้งถือหุ้นในลอส แอนเจลิส เลเกอร์ส ทีมบาสเกตบอลชื่อดังของ NBAด้วย

คริสตัล พาเลซ – บริษัทจัดการการลงทุน, อสังหาริมทรัพย์, สื่อและบันเทิง

เจ้าของทีมคริสตัล พาเลซ ในปัจจุบัน มีทั้งหมด 4 คน เริ่มจาก สตีฟ แพริช นักธุรกิจชาวอังกฤษ อดีตผู้ก่อตั้ง TAG Worldwide บริษัทสื่อโฆษณา และเป็นแกนนำในการซื้อสโมสร “ปราสาทเรือนแก้ว” เมื่อปี 2010

จอร์ช ฮาริส ผู้ก่อตั้ง Apollo Global Management บริษัทจัดการการลงทุนในหุ้นภาคเอกชน และการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และยังเป็นเจ้าของทีมฮอกกี้ นิว เจอร์ซีย์ เดวิลส์ และทีมบาสเกตบอล NBA ฟิลาเดลเฟีย เซเว่นตี้ซิกเซอร์ส 

เดวิด บลิทเซอร์ เคยอยู่ใน Blackstone Group บริษัทจัดการการลงทุนเช่นเดียวกับ Apollo Global Management นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าของทีมนิว เจอร์ซีย์ เดวิลส์ และฟิลาเดลเฟีย เซเว่นตี้ซิกเซอร์ส ร่วมกับฮาริสอีกด้วย

ปิดท้ายที่จอห์น เท็กซ์เตอร์ เคยเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ในบริษัทสื่อและบันเทิง และเป็นเจ้าของทีมฟุตบอลโบตาโฟโก้ ในบราซิล, อาร์ดับเบิ้ลยูดี โมเลนบีค ในเบลเยียม และล่าสุดคือโอลิมปิก ลียง ในฝรั่งเศส

เอฟเวอร์ตัน – เหมืองแร่ และโทรคมนาคม

ฟาฮัด โมชิริ นักธุรกิจชาวอังกฤษเชื้อสายอิหร่าน เข้ามาเทกโอเวอร์เอฟเวอร์ตันเมื่อปี 2016 ด้วยความทะเยอทะยานที่ต้องการเห็นสโมสรประสบความสำเร็จ แต่ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา คือการลงทุนที่สูญเปล่า

โมชิริ ได้รู้จักกับอลิเซอร์ อุสมานอฟ มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย เจ้าของ USM Holdings บริษัทที่ลงทุนในธุรกิจเหมืองแร่ และโทรคมนาคม โดยนั่งในตำแหน่งประธานบริษัท พร้อมได้รับหุ้น 10 เปอร์เซ็นต์

นอกจากนี้ USM ยังถือลิขสิทธิ์สนามซ้อมฟินซ์ ฟาร์ม ของเอฟเวอร์ตัน แต่ในปี 2022 อุสมานอฟ ถูกรัฐบาลอังกฤษสั่งอายัดทรัพย์สิน หลังจากรัสเซียรุกรานยูเครน และถูกบีบให้ถอนการสนับสนุนออกไป

สถานการณ์ของเอฟเวอร์ตันในเวลานี้ กำลังมองหาเงินทุนที่จะเข้ามาช่วยเหลือสโมสร เพื่อสานต่อโครงการสร้างสนามเหย้าแห่งใหม่ อีกทั้งต่อสู้เพื่ออยู่รอดในพรีเมียร์ลีก และกฎไฟแนนเชียล แฟร์เพลย์ (FFP) 

ฟูแล่ม – ชิ้นส่วนยานยนต์

เมื่อเดือนกรกฎาคม 2013 ซาฮิด ข่าน นักธุรกิจอเมริกันเชื้อสายปากีสถาน ได้เจรจาเทคโอเวอร์ฟูแล่ม ต่อจากโมฮาเหม็ด อัล ฟาเยด มหาเศรษฐีชาวอียิปต์ ปัจจุบันให้โทนี่ ข่าน ลูกชายของเขาบริหารงานแทน

แหล่งทำเงินของซาฮิด ข่าน คือการเป็นเจ้าของ Flex-N-Gate บริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของอเมริกา ที่ซื้อกิจการต่อจากอดีตเจ้านายของตัวเองเมื่อปี 1980 ปัจจุบันนี้บริษัทของเขามีโรงงานอยู่ 69 แห่งทั่วโลก

นอกจากจะทำธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์แล้ว ซาฮิด ข่าน ยังเป็นเจ้าของทีมแจ็คสันวิลล์ จากัวร์ ในอเมริกันฟุตบอล (NFL) และเป็นเจ้าของร่วมในสมาคมมวยปล้ำ All Elite Wresting (AEW) ร่วมกับโทนี่ ลูกชายของเขา

ในปี 2018 ซาฮิด ข่าน เคยตกเป็นข่าวฮือฮา ด้วยการยื่นข้อเสนอเพื่อซื้อสนามเวมบลีย์ มูลค่า 600 ล้านปอนด์ แต่ภายหลังเจ้าตัวขอถอนข้อเสนอออกไป เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดกระแสต่อต้านจากแฟนบอล

ลิเวอร์พูล – สิ่อโทรทัศน์, ถั่วเหลือง และเจ้าของหนังสือพิมพ์

Fenway Sports Group (FSG) นำโดยจอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี่ และ ทอม เวอร์เนอร์ ซื้อสโมสรลิเวอร์พูล ด้วยมูลค่า 300 ล้านปอนด์ ในปี 2010 ปัจจุบันมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 10 เท่า จากความสำเร็จทั้งในและนอกสนาม

เวอร์เนอร์ ทำธุรกิจสื่อโทรทัศน์ เคยผลิตรายการที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น The Cosby Show, 3rd Rock From The Sun และ That 70s Show อีกทั้งเคยเป็นเจ้าของทีมซาน ดิเอโก้ พาเดรส ในเมจอร์ลีก เบสบอล (MLB)

ส่วนเฮนรี่ ครอบครัวของเขาทำไร่ถั่วเหลือง, ก่อตั้ง JW Henry & Co ทำระบบ Mechanical tradingรวมถึงเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ Boston Globe ที่มีลินดา พิซซูติ ภรรยาของจอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี่ เป็นกรรมการผู้จัดการ

ปัจจุบัน FSG เป็นเจ้าของทีมบอสตัน เรด ซอกซ์ ในเมจอร์ลีก เบสบอล (MLB) โดยเมื่อปลายปี 2022 เคยตกเป็นข่าวว่าจะขายสโมสรลิเวอร์พูล แต่ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้เปลี่ยนเป็นการหาผู้ร่วมทุนแทน

ลูตัน ทาวน์ – แฟนบอลของสโมสร

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/LutonTown

ในฤดูกาลใหม่ที่จะถึงนี้ ลูตัน ทาวน์ คือสโมสรลำดับที่ 51 ของอังกฤษ ที่จะได้สัมผัสบรรยากาศลีกสูงสุดในยุค “พรีเมียร์ลีก” แต่ก่อนที่จะมาถึงจุดสุดยอดปิระมิด พวกเขาเคยตกลงไปเล่นนอกลีกอาชีพเมื่อ 14 ปีที่แล้ว

ช่วงกลางฤดูกาล 2007/08 แฟนบอลกลุ่มหนึ่งของสโมสรที่มีกำลังทรัพย์ ประกาศก่อตั้งบริษัท Luton Town 2020 จำกัด โดยถือหุ้นในบริษัท 50,000 หุ้น และมีสิทธิ์ที่จะยับยั้งการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ของสโมสร

ก่อนเริ่มต้นซีซั่นต่อมา (2008/09) “เดอะ แฮตเตอร์ส” ทีมในลีก ทู (ดิวิชั่น 4) ในเวลานั้น ถูกตรวจพบความผิดปกติทางการเงินย้อนหลังหลายปี จากอดีตเจ้าของทีมคนก่อนๆ ทำให้ถูกตัด 30 แต้ม และตกชั้นหลังจบซีซั่น

การที่ไม่มีนายทุนเข้ามาซื้อสโมสร ทำให้ลูตัน ทาวน์ มีข้อจำกัดทางด้านการเงิน เพราะค่าใช้จ่ายในการบริหารทีมจะสูงกว่าตอนที่อยู่ในลีกแชมเปี้ยนชิพ แต่ก็มีบางทีมที่แสดงให้เห็นแล้วว่า สามารถเอาตัวรอดในพรีเมียร์ลีกได้

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ – บริษัทน้ำมัน, การขนส่ง, และการท่องเที่ยว

เมื่อปี 2008 ชีค มานซูร์ บิน ซาเยด อัล นายาน สมาชิกราชวงศ์อาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเจ้าของ Abu Dhabi United Group ทุ่มเงิน 200 ล้านปอนด์ เข้าเทกโอเวอร์สโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้

แหล่งรายได้หลักของชีค มานซูร์ คือ บริษัทน้ำมันแห่งชาติอาบูดาบี (Abu Dhabi National Oil Company : ADNOC) ทำธุรกิจผลิตน้ำมันดิบ แต่ก็มีการลงทุนในแหล่งอื่น ๆ เช่น ธุรกิจการขนส่ง และธุรกิจการท่องเที่ยว

ต่อมาในปี 2013 แมนฯ ซิตี้ ได้ก่อตั้งบริษัทโฮลดิ้ง ในชื่อ City Football Group (CFG) โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นคือ Abu Dhabi United Group (81 เปอร์เซนต์), Silver Lake (18 เปอร์เซนต์) และ CITIC Group (1 เปอร์เซนต์)

งานหลักของ CFG คือการไปซื้อกิจการของสโมสรฟุตบอลขนาดกลางหรือเล็ก ด้วยโมเดล “มัลติ-คลับ” เพื่อแบ่งปัน หมุนเวียนทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีอยู่ร่วมกัน ปัจจุบันมีพันธมิตรกับ 12 สโมสร จากทุกทวีปทั่วโลก

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด – อสังหาริมทรัพย์ และศูนย์การค้าในสหรัฐอเมริกา

ในเวลานี้ เกลเซอร์ แฟมิลี่ ยังคงเป็นเจ้าของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ครอบครองมาตั้งแต่ปี 2005 ยกเว้นจะมีการตัดสินใจขายสโมสรไปให้ชีค ยาสซิม หรือเซอร์จิม แรดคลิฟฟ์ ซึ่งยืดเยื้อมาแล้วหลายเดือน

มัลคอล์ม เกลเซอร์ เป็นแกนนำในการเทคโอเวอร์สโมสรแมนฯ ยูไนเต็ด เคยทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ แต่หลังจากเสียชีวิตในอีก 9 ปีต่อมา บรรดาลูก ๆ ของเขาก็เข้ามาบริหารสโมสรต่อจากคุณพ่อ

ธุรกิจอื่นๆ ที่ทำเงินให้ครอบครัวเกลเซอร์ คือการเป็นเจ้าของพื้นที่ศูนย์การค้าระดับพรีเมียมที่มีมากกว่า 6.7 ล้านตารางฟุตทั่วสหรัฐฯ และยังเป็นเจ้าของทีมแทมป้าเบย์ บัคคาเนียร์ ในอเมริกันฟุตบอล NFL

ตลอด 18 ปี ในการบริหารของเกลเซอร์ แฟมิลี่ ไม่เป็นที่ชื่นชอบของแฟนๆ ปีศาจแดง เพราะมองว่าไม่เคยลงทุนกับสโมสรเลย อีกทั้งมีประเด็นการเข้าร่วมยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ลีก จนเกิดการประท้วงอย่างรุนแรง

นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด – บริษัทน้ำมัน, ลีกฟุตบอล

เมื่อเดือนตุลาคม 2021 กองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะ หรือ PIF จากซาอุดีอารเบีย ประกาศเทกโอเวอร์นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด จากไมค์ แอชลี่ย์ ที่ครอบครองสโมสรมานานถึง 14 ปี ด้วยมูลค่า 300 ล้านปอนด์

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/newcastleunited

โดยบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความยิ่งใหญ่กองทุน PIF คือ ยาซีร์ อัล รูมายัน และมุฮัมหมัด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอารเบีย เป็นกองทุนที่สนับสนุนหลายโครงการที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

รายได้มหาศาลของกองทุน PIF มาจากแหล่งน้ำมันดิบสำรองขนาดใหญ่ลำดับต้น ๆ ของโลก แต่ในอนาคตน้ำมันย่อมมีวันหมด กองทุนนี้จึงต้องหารายได้ทางอื่นเพิ่ม เช่น การลงทุนในต่างประเทศ, ดอกเบี้ยเงินกู้ เป็นต้น

นอกจากนี้ กองทุน PIF ยังได้เข้าไปถือหุ้น 4 สโมสรฟุตบอลในซาอุ โปร ลีก ได้แก่ อัล นาสเซอร์ ทีมของคริสเตียโน่ โรนัลโด้, อัล อิตติฮัด ทีมของคาริม เบนเซม่า, อัล อาห์ลี และอัล ฮิลาล สโมสรละ 75 เปอร์เซนต์

น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ – เรือบรรทุกน้ำมัน และเรือคอนเทนเนอร์

ในช่วงกลางปี 2017 เอวานเจลอส มารินาคิส นักธุรกิจชาวกรีซ เข้าซื้อสโมสรน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ จากตระกูลอัล-ฮาซาวี มหาเศรษฐีชาวคูเวต โดยเมื่อซีซั่นที่แล้ว ได้กลับคืนสู่พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 23 ปี

รายได้หลักของมารินาคิส มาจากการก่อตั้ง Capital Maritime & Trading บริษัทที่ทำกิจการเรือบรรทุกน้ำมัน และเรือคอนเทนเนอร์หลายสิบลำ รวมถึงอยู่ในวงการสื่อ ด้วยการเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์หลายช่อง

นอกจากนี้ มารินาคิสได้เข้าสู่การเมือง โดยเป็นสมาชิกสภาเมืองปิเรอุส เมืองในเขตชานกรุงเอเธนส์ และได้ดำเนินโครงการพัฒนาท่าเรือปิเรอุส ให้เป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นจุดหมายปลายทางของเรือสำราญ

นอกจากจะบริหารทีม “เจ้าป่า” แล้ว มารินาคิส ยังได้ซื้อโอลิมเปียกอส สโมสรฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในลีกบ้านเกิด ตั้งแต่ปี 2010 โดยยุคที่เขาเป็นเจ้าของสโมสร คว้าแชมป์ซูเปอร์ลีก 7 ซีซั่นติดต่อกัน

เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด – บริษัทผลิตกระดาษชำระ

ปี 2013 อับดุลลาห์ บิน มูซาอัด บิน อับดุลาซิซ อัล ซาอัด เข้ามาซื้อหุ้นเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 50 เปอร์เซ็นต์ จากเควิน แมคเคบ ก่อนที่อีก 5 ปีต่อมา เจ้าชายจากซาอุดีอารเบีย ได้ควบคุมกิจการของสโมสรแบบเต็มตัว

รายได้ของเจ้าชายอับดุลลาห์ มาจากบริษัทผลิตกระดาษในซาอุดีอารเบีย, ที่มีผลิตภัณฑ์อย่างกระดาษชำระ, ม้วนกระดาษชำระ และผ้ากันเปื้อน ซึ่งจะนำสินค้าเหล่านี้ไปขายทั่วตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ

นอกจากจะครอบครอง “ดาบคู่” แล้ว เจ้าชายอับดุลลาห์ ยังเป็นเจ้าของทีมฟุตบอลอย่างแบร์ช็อต ในลีกเบลเยียม, เกราล่า ยูไนเต็ด ในลีกอินเดีย, อัล-ฮิลาล ยูไนเต็ด ในลีกยูเออี และชาโตรูซ์ ในลีกฝรั่งเศส

อย่างไรก็ตาม เจ้าชายอับดุลลาห์ มีความต้องการที่จะขายสโมสร แม้ว่าเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดจะได้เลื่อนชั้นกลับมาเล่นในพรีเมียร์ลีกก็ตาม ซึ่งโดซี่ เอ็มโมบูโอซี่ นักธุรกิจชาวไนจีเรีย เคยยื่นข้อเสนอมาแล้ว แต่ไม่เป็นผล

ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ – นักค้าสกุลเงิน, ซอฟท์แวร์ และความบันเทิง

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/TottenhamHotspur

เจ้าของทีมท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ คนปัจจุบัน คือ โจ ลูอิส นักธุรกิจชาวอังกฤษ ผู้ก่อตั้ง ENIC Group บริษัทด้านการลงทุน ที่เข้ามาซื้อหุ้นจำนวน 27 เปอร์เซ็นต์ จากเจ้าของเดิมอย่างเซอร์อลัน ชูการ์ ตั้งแต่ปี 1991

วันที่ 16 กันยายน ปีถัดมา เกิดเหตุการณ์ Black Wednesday หรือวิกฤตค่าเงินปอนด์ในสหราชอาณาจักรที่อ่อนค่าลง จนต้องถอนตัวจากกลไกอัตราแลกเปลี่ยนของยุโรป (ERM) ลูอิส ในฐานะนักค้าสกุลเงิน ทำเงินได้ประมาณ 1 พันล้านปอนด์

ENIC Group ได้ลงทุนกับทีมฟุตบอลหลายสโมสร เช่น สลาเวีย ปราก ของเช็ก, เรนเจอร์ส ของสกอตแลนด์ และเออีเค เอเธนส์ ของกรีซ อีกทั้งยังลงทุนในด้านธุรกิจซอฟท์แวร์, ความบันเทิง และธุรกิจอื่น ๆ

ปี 2001 แดเนียล เลวี่ เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานสโมสร และในปี 2007 ลูอิสได้ซื้อหุ้นจากชูการ์ที่เหลืออยู่ 12 เปอร์เซ็นต์ ก่อนครอบครองสเปอร์สแบบเบ็ดเสร็จ ปัจจุบัน ENIC Group ถือหุ้นอยู่ที่ 85 เปอร์เซ็นต์

เวสต์แฮม ยูไนเต็ด – นิตยสารเรท R และอสังหาริมทรัพย์

ปี 2010 เดวิด โกลด์ และเดวิด ซัลลิแวน ร่วมกันเทกโอเวอร์เวสต์แฮม ยูไนเต็ด หลังจากขายสโมสรเบอร์มิงแฮม ซิตี้ ที่ครองมาตั้งแต่ปี 1993 ให้กับคาร์สัน หยาง มหาเศรษฐีชาวฮ่องกง เมื่อ 1 ปีก่อนหน้านั้น

รายได้ของโกลด์ ได้จากธุรกิจที่เกี่ยวกับนิตยสารสำหรับผู้ใหญ่ (Restricted) อย่างเช่น Sunday Sport แท็บลอยด์ที่มีชื่อเสียงในเรื่องการนำเสนอภาพโป๊เปลือย ส่วนซัลลิแวนมีรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

เดือนพฤศจิกายน 2021 แดเนียล เครตินสกี้ นักธุรกิจชาวเช็ก เจ้าของ EPH บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของประเทศ ซื้อหุ้นของเวสต์แฮม 27 เปอร์เซ็นต์ พร้อมดึงนักเตะร่วมชาติ 3 คน คือ โธมัส ซูเซ็ค, วลาดิเมียร์ คูฟาล และอเล็กซ์ คราล

เดวิด โกลด์ เสียชีวิตเมื่อต้นปีที่ผ่านมาด้วยวัย 86 ปี ทำให้หุ้นจำนวน 25.1 เปอร์เซ็นต์ ตกเป็นของทายาทของเขา โดยเดวิด ซัลลิแวน ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นสูงสุดที่ 38.8 เปอร์เซ็นต์ และมีนักลงทุนรายอื่น ๆ อีก 9.1 เปอร์เซนต์

วูล์ฟแฮมตัน – แฟชั่น, ยา, ค้าปลีก และอสังหาริมทรัพย์

ในปี 2016 โฟซุน อินเตอร์เนชั่นแนล กลุ่มทุนจากประเทศจีน นำโดยกั๋ว กวงชาง ได้เข้ามาซื้อกิจการของวูล์ฟแฮมป์ตัน ทีมลีกแชมเปี้ยนชิพ (ในขณะนั้น) ต่อจากสตีฟ มอร์แกน ด้วยมูลค่าราว 30 ล้านปอนด์

โฟซุน อินเตอร์เนชั่นแนล มีรายได้จากธุรกิจที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร, แฟชั่น, ค้าปลีก, อสังหาริมทรัพย์ รวมถึงเป็นผู้พัฒนาและทดสอบวัคซีนโควิด-19 ในนามของโฟซุน ฟาร์มาซูติคอล เมื่อ 3 ปีก่อน

นับตั้งแต่เทคโอเวอร์วูล์ฟแฮมตัน โฟซุน กรุ๊ป ได้ทุ่มเงินให้กับทีมชุดใหญ่ และมีความทะเยอทะยานอย่างสูงที่จะเปลี่ยนสโมสรดังจากย่านเวสต์ มิดแลนด์ ให้เป็นแบรนด์ขนาดใหญ่ในด้านแฟชั่น, อีสปอร์ต และอื่น ๆ

เดือนตุลาคม 2021 โฟซุนฯ ขายหุ้นบางส่วนให้กับ PEAK6 บริษัทจัดการการลงทุนของสหรัฐอเมริกา และมีข่าวลือว่ากำลังมองหาผู้ร่วมลงทุนใหม่เพิ่มเติม เพื่อให้วูล์ฟแฮมตันสามารถสู้กับทีมอื่น ๆ ในพรีเมียร์ลีก 

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

– https://theathletic.com/4545002/2023/07/16/premier-league-owners-money/

Categories
Special Content

ดีแคลน ไรซ์ นักเตะอิงลิชค่าตัวแพงที่สุดในพรีเมียร์ลีก

ตลาดนักเตะซัมเมอร์ปีนี้ มีดีลที่เรียกเสียงฮือฮาเกิดขึ้น เมื่ออาร์เซน่อล ยอมทุ่มเงินทุบสถิติสโมสร 100 ล้านปอนด์ (แอดออน 5 ล้านปอนด์) ดึงตัวดีแคลน ไรซ์ กองกลางทีมชาติอังกฤษจากเวสต์แฮม ยูไนเต็ด

มิดฟิลด์ตัวรับอนาคตไกลวัย 24 ปี รายนี้ กลายเป็นแข้งเลือดผู้ดีที่มีค่าตัวแพงที่สุดในพรีเมียร์ลีก แซงหน้าแจ็ค กรีลิช ที่ย้ายจากแอสตัน วิลล่า มาอยู่กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 100 ล้านปอนด์ เมื่อปี 2021

ไรซ์ เป็นนักเตะรายที่ 3 ของอาร์เซนอล ที่เสริมทัพในช่วงหน้าร้อนปี 2023 ใช้เงินไปร่วม 200 ล้านปอนด์ ต่อจาก ไค ฮาแวตซ์ จากเชลซี 65 ล้านปอนด์ และยูเลี่ยน ทิมเบอร์ จากอาแจกซ์ 34 ล้านปอนด์

ถูกเชลซีปล่อยตัวจากอดาเดมี่

ดีแคลน ไรซ์ เกิดเมื่อ 14 มกราคม 1999 ที่คิงสตัน อัพอน เทมส์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน เริ่มต้นเส้นทางลูกหนังด้วยการเข้าไปอยู่ในทีมเยาวชนของเชลซี เมื่อปี 2006 ขณะอายุได้ 7 ขวบ

ช่วงเวลาที่เจ้าหนูไรซ์ได้เข้ามาอยู่กับอคาเดมี่ของเชลซี เป็นช่วงที่โรมัน อับราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย เพิ่งเข้ามาเป็นเจ้าของสโมสรได้ไม่นาน และมีโชเซ่ มูรินโญ่ รับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมชุดซีเนียร์

อย่างไรก็ตาม ในปี 2013 หลังจากที่ไรซ์อยู่กับอคาเดมี่ของเชลซีนานถึง 7 ปี เขาได้รับแจ้งมาว่าต้องออกไปจากสโมสร ทำให้รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นนักฟุตบอลอาชีพต่อไป

ไรซ์ ให้สัมภาษณ์กับ Sky Sports ว่า “ผมต้องเอาชนะความผิดหวังครั้งใหญ่ หลังเชลซีปล่อยตัวออกจากอคาเดมี่ ผมฝึกซ้อมเป็นประจำทุกวัน แล้วมีคนมาบอกว่าผมไม่ได้ไปต่อกับที่นี่ มันน่าตกใจอย่างมาก”

“ผมรู้ดีว่ามันยาก แต่ตอนเด็กผมอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ไม่มีอะไรมาหยุดความฝันของผมได้ ผมมีแรงผลักดันและอยากจะทำงานให้หนักที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมต้องย้ายออกจากบ้าน และเริ่มต้นชีวิตใหม่”

สถานีต่อไปของไรซ์คือ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ทีมคู่แข่งร่วมเมืองหลวง โดยอยู่ในทีมเยาวชนเป็นเวลา 2 ปี ก่อนก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ ตำนานบทใหม่ของเขากับสโมสรจากลอนดอนฝั่งตะวันออก กำลังจะเริ่มต้นขึ้น

ช่วงเวลาที่ดีกับเดอะ แฮมเมอร์ส

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/WestHam

เมื่ออายุได้ 16 ปี ดีแคลน ไรซ์ ได้รับสัญญาเป็นนักเตะอาชีพกับเวสต์แฮม ยูไนเต็ด โดยเล่นกับทีมชุดสำรองอยู่ 1 ซีซั่น ก่อนที่จะได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ครั้งแรกในซีซั่น 2016/17 ฐานะตัวสำรองในเกมที่พบกับเบิร์นลี่ย์

ฤดูกาล 2017/18 และ 2018/19 ไรซ์ได้ลงเล่นสม่ำเสมอ ภายใต้กุนซือ 3 คน ทั้งสลาเวน บิลิช, เดวิด มอยส์ และมานูเอล เปเยกรินี่ ฟอร์มการเล่นยังไม่โดดเด่นมากนัก ผลงานของทีมจบในอันดับ 13 และ 10 ตามลำดับ

จนกระทั่งในเดือนธันวาคม 2019 เวสต์แฮม ตัดสินใจปลดเปเยกรินี่ ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม และได้แต่งตั้งเดวิด มอยส์ กลับมานั่งเก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้ง และนั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญของสโมสรอย่างแท้จริง

การคัมแบ็กของกุนซือชาวสกอตแลนด์ ช่วยให้เกมรับของเวสต์แฮมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งปลุกศักยภาพของไรซ์ ให้ฉายแววเก่งมากขึ้นเรื่อยๆ จนพาทีมขุนค้อนทำอันดับไปเล่นฟุตบอลยุโรป 2 ฤดูกาลติดต่อกัน

และในฤดูกาล 2022/23 คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของไรซ์ ในการเป็นกัปตันทีมผู้พาเดอะ แฮมเมอร์ส คว้าแชมป์ยุโรปใบเล็กสุดอย่าง คอนเฟอเรนซ์ ลีก ซึ่งถือเป็นการได้ชูโทรฟี่เป็นรายการแรกในรอบ 43 ปีของสโมสร

“เขา (เดวิด มอยส์) เข้ามาช่วยทีมเราถึงสองครั้ง จากนั้นก็ได้ไปฟุตบอลถ้วยยุโรป 2 ปีติดต่อกัน และตอนนี้ก็คว้าแชมป์ได้แล้ว เขาคือผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดตลอดกาลของเวสต์แฮม” ไรซ์ กล่าวกับ BT Sport

ผลงานของไรซ์ ตลอดเวลา 7 ฤดูกาลที่อยู่กับทีมซีเนียร์ของเวสต์แฮม ยิงได้ 15 ประตู 13 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 245 นัด รวมทุกรายการ ปิดตำนานอย่างยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะเป็นนักเตะใหม่ของอาร์เซน่อลในที่สุด

อาร์เตต้า จะใช้งานไรซ์อย่างไร

มิเกล อาร์เตต้า เฮดโค้ชอาร์เซน่อล ได้ลั่นวาจาไว้ว่า ต้องการตัวดีแคลน ไรซ์ มาให้ได้ แม้จะมีแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ร่วมแจมแย่งตัวด้วย แต่เป็นเดอะ กันเนอร์ส ที่กัดฟันยอมทุ่มเงินมหาศาลแตะหลัก 100 ล้านปอนด์

การมาของไรซ์ สิ่งแรกที่อาร์เตต้าจะได้รับอย่างแน่นอนคือ “ความเป็นผู้นำ” เพราะเขารับหน้าที่กัปตันทีมตั้งแต่อยู่ในทีมสำรองของเวสต์แฮม ก่อนจะเป็นกัปตันทีมชุดใหญ่เต็มตัวแทนมาร์ค โนเบิ้ล ที่ประกาศเลิกเล่น

ตำแหน่งการเล่นหลักของไรซ์คือ “มิดฟิลด์ตัวรับ” ยืนต่ำสุดในแดนกลางทั้งระดับสโมสรและทีมชาติ ซึ่งมีโอกาสค่อนข้างสูงในการเข้ามาเสียบแทนโธมัส ปาร์เตย์ ที่เล่นในตำแหน่งนี้ได้ดีมาเกือบตลอดซีซั่นที่แล้ว

สถิติจากฤดูกาล 2022/23 ไรซ์ มีสถิติการตัดบอลจากคู่แข่ง (Interceptions) 63 ครั้ง มากที่สุดในพรีเมียร์ลีก เหนือกว่าปาร์เตย์ นักเตะอาร์เซน่อลที่ตัดบอลมากที่สุดในทีม 28 ครั้ง หรือแตกต่างกันมากกว่า 2 เท่า

ส่วนสถิติอื่นๆ ในเกมรับ อย่างเช่น แย่งบอลกลับคืน (Possesion won) มากที่สุด 334 ครั้ง, ถูกคู่แข่งเลี้ยงผ่านน้อยที่สุด เฉลี่ย 0.6 ครั้งต่อเกม อีกทั้งชนะการดวลตัวต่อตัว 58.3 เปอร์เซ็นต์ ติดท็อป 5 ของพรีเมียร์ลีก

อย่างไรก็ตาม อาร์เซน่อลคือทีมที่เน้นเกมรุกเป็นหลัก ซึ่งแตกต่างจากสมัยอยู่กับเวสต์แฮม ทำให้ไรซ์ต้องเพิ่มสกิลมากขึ้น จากเดิมที่เป็นโฮลดิ้ง มิดฟิลด์ มาเป็นแบบ “บ็อกซ์ ทู บ็อกซ์” และจังหวะการเล่นเร็วขึ้นกว่าเดิม

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/Arsenal

ซึ่งในจุดนี้ ตัวของไรซ์เองก็พัฒนามากขึ้นในฤดูกาลที่แล้ว เพราะเขาสัมผัสบอลในพื้นที่สุดท้าย (Final-third) เฉลี่ย 12.4 ครั้ง ต่อเกม และยิงได้ 4 ประตูในพรีเมียร์ลีก มากที่สุดต่อซีซั่น นับตั้งแต่เล่นในระดับอาชีพ

ด้านการจ่ายบอล ไรซ์ทำได้ 2,083 ครั้ง ในจำนวนนี้เป็นการจ่ายบอลขึ้นด้านหน้า 51 ครั้ง สะท้อนว่า ไรซ์นิยมการจ่ายบอลออกด้านข้างมากกว่า ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์กับบูกาโย่ ซาก้า และกาเบรียล มาร์ติเนลลี่

อาร์เซน่อล ละเมิดกฎ FFP หรือไม่

การซื้อนักเตะของอาร์เซน่อล ถ้านับเฉพาะช่วงซัมเมอร์ 3 รอบล่าสุด (2021-2023) ใช้เงินไปแล้วกว่า500 ล้านปอนด์ คำถามที่ตามมาก็คือ “เดอะ กันเนอร์ส” กำลังสุ่มเสี่ยงที่จะละเมิดกฎไฟแนนเชี่ยล แฟร์เพลย์ หรือไม่

สำหรับกฎ FFP ของยูฟ่าที่มีการปรับปรุงใหม่ จะกำหนดเพดานของแต่ละสโมสร ในการใช้เงินจ่ายค่าตัวนักเตะ, ค่าจ้าง และค่าเอเย่นต์ เป็นเปอร์เซนต์ของรายได้ ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้แล้ว ตั้งแต่ฤดูกาล 2022/23 ที่ผ่านมา

เมื่อซีซั่นที่แล้ว ทุกสโมสรในยุโรป สามารถใช้เงินได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนในซีซั่นปัจจุบัน (2023/24) จะลดเหลือ 90 เปอร์เซ็นต์, ซีซั่น 2024/25 เหลือ 80 เปอร์เซ็นต์ และซีซั่น 2025/26 เป็นต้นไป เหลือ 70เปอร์เซ็นต์

กฎ FFP เวอร์ชั่น 2.0 ยอมให้สโมสรขาดทุนเพิ่มจากเดิม 30 ล้านยูโร เป็น 60 ล้านยูโร ในรอบ 3 ปี ส่วนสโมสรในอังกฤษ จะอยู่ภายใต้กฎ P&S ของพรีเมียร์ลีก ที่ยอมให้ติดลบได้สูงสุด 105 ล้านปอนด์ ในรอบ 3 ปี ด้วยเช่นกัน

ในรอบปีบัญชี 2021/22 ระบุว่า อาร์เซน่อลขาดทุน 45.5 ล้านปอนด์ เป็นการติดลบ 4 ปีติดต่อกัน นับตั้งแต่ปี 2018-19 (27.1 ล้านปอนด์), ปี 2019-20 (47.8 ล้านปอนด์) และปี 2020-21 (107.3 ล้านปอนด์)

อย่างไรก็ตาม อาร์เซน่อลได้ประเมินรายรับตลอดซีซั่น 2022/23 คาดว่าน่าจะสูงถึง 419 ล้านปอนด์ ส่วนหนึ่งจากการกลับคืนสู่เวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, รายได้จากการถ่ายทอดสด รวมถึงรายได้จากแมตช์เดย์ที่มากขึ้น

คีแรน แม็กไกวร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินฟุตบอล และผู้เขียนหนังสือ The Price Of Football วิเคราะห์ว่า “ผมไม่กังวลเกี่ยวกับการเงินของอาร์เซน่อลเลย แม้จะใช้เงินมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ซีซั่นที่แล้วก็มีรายได้เข้ามามาก”

“ถ้าดูจากค่าจ้างในปี 2022 อาร์เซน่อลจ่ายไปแค่ 58 เปอร์เซนต์ และสิ่งที่ผมได้เห็นตลอดช่วง 5-6 ฤดูกาลที่ผ่านมาคือ พวกเขาสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ค่อนข้างดี แม้ว่าช่วงนั้นจะไม่เคยเข้าร่วมแชมเปี้ยนส์ ลีก เลยก็ตาม”

เมื่อฤดูกาลที่แล้ว อาร์เซน่อลเบียดกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้มาตลอดทาง ก่อนแผ่วลงช่วงท้ายซีซั่น การมาของดีแคลน ไรซ์ ในซีซั่นใหม่ พวกเขาย่อมหวังถึงการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกที่ห่างหายไปนานถึง 2 ทศวรรษ

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://theathletic.com/4652018/2023/07/15/declan-rice-arsenal-arteta-deal/

https://theathletic.com/4631250/2023/06/27/arsenal-rice-transfers-ffp/

https://theathletic.com/4646911/2023/06/29/why-declan-rice-transfer-is-vital-to-artetas-arsenal/

– https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-8258103/Declan-Rice-shocked-Chelsea-release-days-hinted-transfer-move.html

– https://www.premierleague.com/news/3572110

Categories
Special Content

ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ : ปิดตำนาน “เดอะ คิง เมกเกอร์” ชายผู้ทรงอิทธิพลแห่งอิตาลี

ข่าวการเสียชีวิตของซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ อดีตนายกรัฐมนตรีของอิตาลี, อดีตเจ้าของสโมสรเอซี มิลาน และมอนซ่า วัย 86 ปี เมื่อวันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน 2023 ถือเป็นการสูญเสียครั้งสำคัญของชาวอิตาเลียน

การสวมหมวก 2 ใบ ในฐานะเจ้าของทีมฟุตบอล พ่วงด้วยนายกรัฐมนตรี แบร์ลุสโคนี่ได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดของยอดปิรามิด และเป็นผู้กำหนดแนวทางให้กับผู้นำคนต่อไป หรือ “เดอะ คิง เมกเกอร์” ด้วยกันทั้งคู่

ต่อไปนี้คือเรื่องราวของแบร์ลุสโคนี่ ทั้งในสนามฟุตบอล และสนามการเมือง กับการบริหารจัดการที่สร้างแรงกระเพื่อมในด้านบวกและด้านลบ กับทั้ง 2 วงการ จนถูกยกให้เป็นผู้ทรงอิทธิพลแห่งอิตาลี

ลูกชายนายธนาคาร สู่การเป็นนักธุรกิจ

ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ เกิดในปี 1936 ที่มิลาน เป็นลูกชายของนายธนาคาร เมื่อเติบโตสู่วัยหนุ่ม เขาค้นพบว่าเป็นผู้ที่รักการเอ็นเตอร์เทน เพราะเป็นนักร้องบนเรือสำราญ และเป็นนักดนตรีในตำแหน่งดับเบิลเบส

ในเวลาต่อมา ชีวิตของแบร์ลุสโคนี่ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นนักธุรกิจ โดยเริ่มจากเปิดบริษัท Miano Due บริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่มีโครงการหลักคือการสร้างอพาร์ทเมนท์กว่า 4,000 แห่ง ทางฝั่งตะวันออกของเมืองมิลาน

จากนั้น แบร์ลุสโคนี่ก็ได้มาทำธุรกิจด้านสื่อเป็นครั้งแรก กับบริษัท TeleMilano เคเบิลทีวีระดับท้องถิ่น และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ก่อนที่จะสร้าง Canale 5 ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์เอกชนแห่งแรกของอิตาลี

ต่อมาในปี 1978 แบร์ลุสโคนี่ได้ก่อตั้งบริษัท Fininvest ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้ง ถือหุ้นในบริษัทลูกที่มีทั้งกิจการสื่อสิ่งพิมพ์, ทีวี, โรงละคร รวมถึงเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว ปัจจุบันบริหารงานโดยมารีน่า ลูกสาวคนโตของเขา

บริษัท Fininvest ของแบร์ลุสโคนี่ มีสถานีโทรทัศน์ในเครือ 3 ช่อง คือ Canale 5, Italia 1 และ Rete 4 ซึ่งมีเนื้อหาที่เน้นรายการบันเทิงอย่างเต็มรูปแบบ ฉีกไปจากสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาล จนสร้างรายได้ถล่มทลาย

และแล้ว โชคชะตาของแบร์ลุสโคนี่ ก็ได้เจอกับสโมสรฟุตบอลที่ชื่อว่า เอซี มิลาน ซึ่งเขาก็ไม่ทิ้งโอกาสทองครั้งนี้ ตัดสินใจซื้อกิจการทีมลูกหนังระดับตำนานของประเทศที่กำลังอยู่ในช่วงตกต่ำ มาไว้ในครอบครอง

การเข้าสู่วงการฟุตบอลของซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ คือการประกาศตัวว่า เขาคือผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมือง และพร้อมเป็นฮีโร่ที่จะเข้ามากอบกู้ สร้างยุคสมัยใหม่กับเอซี มิลาน ในการกลับมาเป็นยอดทีมของอิตาลี และยุโรป

ผู้กอบกู้รอสโซเนรี่ กลับมายิ่งใหญ่ในยุโรป

เอซี มิลาน หนึ่งในสโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่ของวงการฟุตบอลอิตาลี แต่มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ที่พวกเขาต้องเจอกับฝันร้าย นั่นคือช่วงต้นทศวรรษที่ 1980s ที่พัวพันคดีล้มบอล “โตโตเนโร่” จนถูกปรับตกชั้นไปเซเรีย บี

ในช่วงปี 1980-1986 เอซี มิลาน เป็นเพียงทีมที่มีผลงานระดับกลางตาราง แถมการบริหารงานของประธานสโมสร ไม่ว่าจะเป็นเฟลิเซ่ โคลอมโบ หรือคนต่อมาอย่างจูเซ็ปเป้ ฟารีน่า ที่มีปัญหาเรื่องทุจริต และหนี้สิน

จนกระทั่งช่วงซัมเมอร์ของปี 1986 สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงก็มาถึง เมื่อซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ได้เข้ามาขอซื้อทีมเอซี มิลาน ด้วยการจ่ายเงิน 40 ล้านลีร์ (สกุลเงินของอิตาลีในสมัยก่อน) และล้างหนี้สินให้ทั้งหมด

ฤดูกาล 1986/87 คือฤดูกาลแรกของมิลาน ภายใต้การบริหารของแบร์ลุสโคนี่ ดำเนินไปอย่างขรุขระ จบในอันดับที่ 5 แต่ในซีซั่นถัดมา การได้อาร์ริโก้ ซาคคี่ กุนซือผู้ริเริ่มแนวคิด “เพรสซิ่ง ฟุตบอล” ทีมก็เข้าที่มากขึ้น

เพรสซิ่ง ฟุตบอล คือการปฏิวัติวงการลูกหนังอิตาลีครั้งสำคัญ ด้วยสไตล์การเล่นที่ใช้พละกำลังสูง ไล่กดดันคู่แข่งตั้งแต่แดนหน้า และต้องเคลื่อนที่ตลอดเวลา ซาคคี่ ช่วยให้มิลานคว้าสคูเด็ตโต้ตั้งแต่ซีซั่นแรกที่คุมทีม

หลังจากนั้น เอซี มิลาน ก็ปิดทศวรรษ 1980s ด้วยการคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 2 สมัยติดต่อกัน ในปี 1989 และ 1990 พร้อมกำเนิดตำนานแข้ง 3 ทหารเสือดัตช์ รุด กุลลิท, แฟรงค์ ไรจ์การ์ด และมาร์โก ฟาน บาสเท่น

ช่วงระหว่างปี 1991-1993 มิลานสร้างสถิติไร้พ่ายในเซเรีย อา 58 นัดติดต่อกัน ซึ่งนับรวม invincible season ไร้พ่ายทั้ง 34 นัด ตลอดฤดูกาล 1991/92 ต่อด้วยการกลับมาคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกครั้งในปี 1994

ตามมาด้วยยุค 2000s รอสโซเนรี่ยังคว้าแชมป์ยูซีแอลเพิ่มอีก 2 สมัย ที่มีคาร์โล อันเชล็อตติ เป็นเฮดโค้ช ในปี 2003 ที่ชนะจุดโทษยูเวนตุส คู่ปรับร่วมลีก และปี 2007 ที่มีคีย์แมนสำคัญอย่างกาก้า กับฟิลิปโป้ อินซากี้

ถ้วยรางวัลของเอซี มิลาน ในยุคที่ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ เป็นเจ้าของทีม มีทั้งแชมป์สคูเด็ตโต้ 8 สมัย, แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 5 สมัย และแชมป์รายการอื่นๆ รวมทั้งหมด 28 โทรฟี่ ครองความยิ่งใหญ่นานมากกว่า 20 ปี

เป็นผู้นำในสนามฟุตบอล และสนามการเมือง

ในปี 1994 หลังก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าของสโมสรของเอซี มิลานได้ 8 ปี ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ตัดสินใจเข้าสู่แวดวงการเมือง เพื่อชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอิตาลี ในสังกัดพรรคฟอร์ซ่า อิตาเลีย ที่ก่อตั้งได้แค่ 2 เดือน

แบร์ลุสโคนี่ ได้ชูนโยบายต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ พร้อมประกาศว่า ถ้าเขาได้เป็นรัฐบาล จะสร้างงานเพิ่มขึ้น 1 ล้านตำแหน่ง และเขาก็ชนะการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีอิตาลีเป็นสมัยแรก ดำรงตำแหน่งจนถึงปี 1996

และอีก 5 ปีต่อมา แบร์ลุสโคนี่จะได้รับเลือกกลับสู่ตำแหน่งเดิมอีกครั้ง จนถึงปี 2006 ก่อนที่จะได้รับเลือกเป็นสมัยที่ 3 ในปี 2008 ทำให้เขาเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของอิตาลี

แต่หลังจากที่ได้เป็นนายกฯ รอบ 3 แบร์ลุสโคนี่ตกเป็นข่าวฉาวเรื่องบูลลี่นักการเมืองดัง เช่น เคยเหยียดสีผิวบารัค โอบาม่า ผู้นำสหรัฐฯ, ล้อเลียนแองเกลาร์ แมร์เคิล ผู้นำเยอรมัน ว่าก้นใหญ่ ไม่ขอมีเพศสัมพันธ์ด้วย เป็นต้น

จนกระทั่งในปี 2011 อิตาลีประสบปัญหาวิกฤติการเงินครั้งร้ายแรง เพราะหนี้สาธารณะสูงกว่า 113 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี สภาพคล่องของระบบเศรษฐกิจเสียหายมาก จนต้องขอความช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป และไอเอ็มเอฟ

อีก 2 ปีต่อมา แบร์ลุสโคนี่ ถูกศาลตัดสินให้มีความผิดฐานฉ้อโกงภาษี จนต้องออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แม้เขาได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้นำประเทศถึง 3 สมัย แต่ก็ต้องหลุดจากอำนาจ เพราะพฤติกรรมส่วนตัว

และการเมืองในอิตาลี ก็ส่งผลกระทบโดยตรงกับเอซี มิลานด้วย ต้องขายนักเตะตัวหลักออกไปหลายคน เมื่อคุณภาพของทีมลดลง ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ ถึงขั้นห่างหายจากเวทีแชมเปี้ยนส์ ลีก ไปนานหลายปี

ตลอดช่วงเวลาที่ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ เป็นเจ้าของทีมเอซี มิลาน ก็เป็นที่รักของแฟนๆ รอสโซเนรี่ แต่อีกด้านหนึ่ง ก็มักจะเข้าไปล้วงลูกผู้จัดการทีมในการซื้อขายนักเตะอยู่บ่อยๆ ซึ่งในยุคของเขา ใช้โค้ชไปถึง21 คน

พามอนซ่าสู่ลีกสูงสุด ก่อนลาจากชั่วนิรันดร์

ปี 2017 ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ตัดสินใจลงหลังเสือ ยุติการเป็นเจ้าของสโมสรเอซี มิลานเป็นที่เรียบร้อย ปิดตำนาน 31 ปี ที่เขาครอบครองสโมสรแห่งนี้ ทิ้งความยิ่งใหญ่ให้แฟนๆ “ปีศาจแดง-ดำ” ทุกคนได้จดจำ

ด้วยปัญหาเรื่องหนี้สิน และการลงทุนที่สูญเปล่าจากผลงานที่ล้มเหลว จนไม่สามารถอัดฉีดเงินเพื่อพาเอซี มิลาน กลับสู่ความยิ่งใหญ่ ที่สุดแล้ว แบร์ลุสโคนี่ ก็ขายสโมสรให้กับกลุ่มทุนจากจีนด้วยราคา 740 ล้านยูโร

และในปีต่อมา แบร์ลุสโคนี่ ได้เข้ามาซื้อสโมสรมอนซ่า ที่ในขณะนั้นยังอยู่ในระดับเซเรีย ซี หรือดิวิชั่น 3พร้อมดึงอาเดรียโน่ กัลเลียนี่ มือขวาคนเดิมที่รู้ใจสมัยอยู่กับเอซี มิลาน มาดำรงตำแหน่งบอร์ดบริหารของสโมสร

ท่อน้ำเลี้ยงของแบร์ลุสโคนี่ที่คอยหนุนหลัง รวมถึงประสบการณ์ซื้อขายนักเตะที่เหลือล้นของกัลเลียนี่ มอนซ่าใช้เวลา 2 ฤดูกาล เลื่อนชั้นขึ้นสู่เซเรีย บี นั่นหมายความว่า เหลืออีกเพียงขั้นเดียวเท่านั้น จะไปถึงลีกสูงสุด

ฤดูกาล 2020/21 มอนซ่า จบอันดับที่ 3 ในซีซั่นปกติของลีกรอง แต่แพ้เพลย์ออฟเลื่อนชั้น และในซีซั่นถัดมา จบในอันดับที่ 4 ได้สิทธิ์ลุ้นเพลย์ออฟเลื่อนชั้นอีกครั้ง โดยในรอบรองชนะเลิศ ชนะเบรสชา สกอร์รวม 4 – 2

มอนซ่า เข้ารอบชิงชนะเลิศ ไปพบกับปิซ่า โดยในนัดแรก มอนซ่าเปิดบ้านชนะได้ก่อน 2 – 1 ส่วนในนัดสองที่บ้านของปิซ่า ต้องเล่นถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ และเป็นมอนซ่าที่ย้ำแค้นได้อีกครั้ง ด้วยการเอาชนะ 4 – 3

ทำให้สกอร์รวม 2 นัด มอนซ่า ชนะ 6 – 4 ได้เลื่อนชั้นขึ้นสู่เซเรีย อา เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร ภารกิจของแบร์ลุสโคนี่ ในการพาสโมสรเล็กๆ จากแคว้นลอมบาเดีย ขึ้นสู่ลีกสูงสุดสำเร็จโดยใช้เวลา 4 ปี

ผลงานของมอนซ่า ในเซเรีย อา ฤดูกาล 2022/23 ที่เพิ่งจบไป พวกเขาทำได้ดีเลยทีเดียว จบในอันดับที่ 11 ของตาราง ประเดิมการลงเล่นลีกสูงสุดครั้งแรกได้น่าประทับใจ ก่อนที่แบร์ลุสโคนี่จะจากไปตลอดกาล

เส้นทางชีวิตของซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ มีทั้งด้านขาวและด้านดำ เฉกเช่นเดียวกับคนทั่วไป แต่ช่วงเวลาที่ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำทั้งด้านการเมืองและฟุตบอล ชายคนนี้คือผู้สร้างอิมแพกต์ให้กับอิตาลีแบบไร้ข้อโต้แย้ง

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://www.nytimes.com/2023/06/12/world/europe/silvio-berlusconi-italy.html

https://www.independent.co.uk/news/world/americas/us-politics/silvio-berlusconi-ap-milan-ac-milan-italian-b2355824.html

https://en.wikipedia.org/wiki/Silvio_Berlusconi

Categories
Special Content

รอสโซเนรี่ vs เนรัซซูรี่ : สองยักษ์แห่งเมืองมิลาน กับความทรงจำในถ้วยยุโรป

เมื่อพูดถึงการพบกันระหว่างเอซี มิลาน กับอินเตอร์ มิลาน นี่คือคู่ปรับร่วมเมืองที่มีเรื่องราวความขัดแย้งทางด้านประวัติศาสตร์มานานร่วมศตวรรษ รวมถึงการแย่งชิงความสำเร็จทั้งในอิตาลี และยุโรป

และยามที่ 2 สโมสรจากเมืองเดียวกัน ต้องทำศึกดาร์บี้แมตช์ในรายการระดับทวีป ถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นได้บ่อยนักในโลกของฟุตบอล แต่ก็ยังคงความคลาสสิกไม่ต่างกับดาร์บี้แมตช์เกมอื่นๆ

“รอสโซเนรี่” และ “เนรัซซูรี่” กลับมาพบกันในถ้วยยุโรปเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2005 ที่เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายถึงขั้นต้องยกเลิกการแข่งขัน และทีมที่เป็นต้นเหตุก็ถูกลงโทษ ชดใช้ความผิดที่ได้ก่อขึ้นมา

ทั้ง 2 ทีม กำลังจะดวลกันในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ ซึ่งการันตีเข้าชิงชนะเลิศแน่นอน 1 ทีม และถ้าคว้าแชมป์ได้ ก็จะได้สิทธิ์กลับไปเล่นถ้วยนี้ในฤดูกาลหน้า โดยไม่ต้องสนใจอันดับในเซเรีย อา

ซีซั่น 2022/23 ทั้งคู่ต้องเจอกันถึง 5 เกม โดย 3 เกมที่ผ่านมา ประกอบด้วยลีกในประเทศ ชนะบ้านใครบ้านมันทีมละ 1 เกม (เอซี มิลาน 3 – 2, อินเตอร์ มิลาน 1 – 0) และศึกซูเปอร์คัพ เป็นอินเตอร์ ที่ถล่ม 3 – 0

เมืองเดียวในยุโรป ที่มี 2 สโมสรคว้าถ้วยยูซีแอล

แม้เอซี มิลาน และอินเตอร์ มิลาน จะเป็นคู่ปรับที่ชิงดีชิงเด่นกันมานาน แต่ความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งของเมืองนี้ คือเป็นเมืองเดียวในทวีปยุโรป ที่มี 2 สโมสร ช่วยกันคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมกัน 10สมัย

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/Inter

เริ่มจากช่วงทศวรรษที่ 1960s ทั้ง 2 ทีม ต่างซิวโทรฟี่ที่ยิ่งใหญ่สุดของยุโรป ทีมละ 2 สมัย โดยฝั่งเอซี มิลาน ทำได้ในปี 1963 กับอีกครั้งในปี 1969 ส่วนฝั่งสีน้ำเงิน-ดำ ทำได้ 2 ครั้งติดต่อกัน ในปี 1964 และ 1965

ซึ่งกุญแจสำคัญที่ทำให้ 2 ทีมเมืองมิลาน ผงาดในเวทียูโรเปี้ยน คัพ นั่นคือการเล่นสไตล์ “คาเตนัชโช่” (ภาษาอิตาลี แปลว่า กลอนประตู) ที่เน้นการตั้งรับลึก และใช้เกมเคาน์เตอร์แอทแท็ก โต้กลับอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้น เอซี มิลาน ก็คว้าแชมป์ 2 สมัยติดต่อกัน ในปี 1989 และ 1990 ยุคของกุนซืออาร์ริโก้ ซาคคี่ พร้อมกับตำนานแข้ง 3 ทหารเสือดัตช์ ที่ประกอบด้วย รุด กุลลิท, แฟรงค์ ไรจ์การ์ด และมาร์โก ฟาน บาสเท่น

ต่อเนื่องด้วยแชมป์สมัยที่ 5 ของเอซี มิลาน ในปี 1994 ฟาบิโอ คาเปลโล่ เป็นผู้จัดการทีม ซึ่งขาดนักเตะคนสำคัญหลายคน ทั้งบาดเจ็บ ติดโทษแบน รวมถึงกฎของยูฟ่าที่บังคับส่งนักเตะต่างชาติลงสนามได้แค่ 3 คนเท่านั้น

โดยนักเตะต่างชาติ 3 คน คาเปลโล่เลือกมาร์กแซล เดอไซญี่, ชโวนิเมียร์ โบบัน และเดยัน ซาวิเซวิช ลงเป็นตัวจริง แม้สภาพทีมของมิลานจะเป็นรอง แต่สุดท้ายถล่มบาร์เซโลน่า ชุดดรีมทีมของโยฮันน์ ครัฟฟ์ ขาดลอย 4 – 0

เท่านั้นยังไม่พอ ในยุค Y2K “รอสโซเนรี่” ยังคว้าแชมป์เพิ่มอีก 2 สมัย ยุคที่มีคาร์โล อันเชล็อตติ เป็นเฮดโค้ช ในปี 2003 ที่ชนะจุดโทษยูเวนตุส คู่ปรับร่วมลีก และปี 2007 ที่มีคีย์แมนสำคัญอย่างกาก้า กับฟิลิปโป้ อินซากี้

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/ACMilan

ขณะที่ฝั่ง “เนรัชซูรี่” กว่าจะได้แชมป์ถ้วยใหญ่ยุโรปเป็นสมัยที่ 3 ต้องรอนานถึง 45 ปี จากฝีมือของโจเซ่ มูรินโญ่ เทรนเนอร์ชาวโปรตุกีส ในปี 2010 และเป็นทีมแรกของอิตาลี ที่คว้า 3 แชมป์ใหญ่สุดภายในซีซั่นเดียว

ส่วนในปีนี้ (2023) ที่ทั้งคู่พบกันในรอบรองชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก นั่นหมายความว่า จะมี 1 ทีม ที่เป็นตัวแทนของเมืองในรอบชิงชนะเลิศอย่างแน่นอน โดยจะไปพบกับเรอัล มาดริด หรือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ย้อนรอยมิลาน ดาร์บี้ เวอร์ชั่นถ้วยยุโรปที่ดุเดือด

เอซี มิลาน และอินเตอร์ มิลาน เคยพบกันในฟุตบอลถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาแล้ว 2 ครั้ง รวมทั้งหมด 4 นัด และเป็นฝั่งสีแดง-ดำ ที่สามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้ทั้ง 2 ครั้ง พร้อมกับสถิติไร้พ่ายทุกนัดที่พบกัน

ครั้งแรก ในรอบรองชนะเลิศ ซีซั่น 2002/03 นัดแรก เอซี มิลาน อยู่ฝั่งเจ้าบ้านก่อน เสมอ 0 – 0 และนัดสอง สลับให้อินเตอร์ มิลาน เป็นทีมเจ้าบ้านบ้าง เสมอ 1 – 1 แต่ “รอสโซเนรี่” เข้าชิงชนะเลิศด้วยกฎอเวย์โกล

ครั้งต่อมา ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ซีซั่น 2004/05 เอซี มิลาน ได้สิทธิ์เป็นเจ้าบ้านเลกเรก เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2005 และทีมของ “อันเช่” เอาชนะไปได้ก่อน 2 – 0 จากประตูของยาป สตัม และอังเดร เชฟเชนโก้

อีก 6 วันต่อมา (12 เมษายน 2005) อินเตอร์ มิลาน สลับมาเป็นทีมเจ้าบ้าน ด้วยสถานการณ์ที่เป็นรองจากเลกแรก และยิ่งเป็นรองเข้าไปอีก เมื่อเชฟเชนโก้ ซัดด้วยซ้ายให้เอซี มิลาน บุกนำ 1 – 0 ในครึ่งแรก

ช่วง 20 นาทีสุดท้ายของเกม “เนรัซซูรี่” ได้เตะมุม เอสเตบัน กัมบิอัสโซ่ โขกจมตาข่าย แต่มาร์คุส แมร์ก ผู้ตัดสินชาวเยอรมันไม่ให้เป็นประตู เพราะมองว่ากัมบิอัสโซ่ไปทำฟาวล์ดีด้า ผู้รักษาประตูทีมเยือนก่อน

ซึ่งก่อนหน้านั้น แฟนบอลอินเตอร์ก็หงุดหงิดกับการตัดสินของมร.แมร์ก อยู่หลายครั้ง ความไม่พอใจสะสมมาเรื่อยๆ จนปะทุกลายเป็นความรุนแรง ด้วยการขว้างสิ่งของต่างๆ รวมถึงพลุไฟลงมาในสนาม

ทันใดนั้น มีพลุไฟอันหนึ่งถูกขว้างลงมาโดนที่หัวไหล่ของดีด้า จอมหนึบของมิลานเต็มๆ อีกทั้งยังมีภาพของรุย คอสต้า ยืนเคียงข้างกับมาร์โก้ มาเตรัซซี่ ท่ามกลางควันไฟ กลายเป็นภาพในตำนานของโลกลูกหนัง

มร.แมร์ก สั่งหยุดพักการแข่งขัน 10 นาที เพื่อเคลียร์สถานการณ์ ทว่าเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เหตุการณ์ความวุ่นวายไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง และเมื่อเห็นว่าไม่สามารถไปต่อได้ เขาจึงตัดสินใจยุติการแข่งขันในที่สุด

บทสรุปของเหตุการณ์เมื่อ 18 ปีก่อน ยูฟ่า ตัดสินให้งูใหญ่ถูกปรับแพ้ 0 – 3 ทำให้ตกรอบด้วยสกอร์รวม 0 – 5 นอกจากนี้ยังถูกปรับเงินเกือบ 200,000 ยูโร และลงเล่นเกมเหย้าถ้วยยุโรปแบบไม่มีคนดู 4 นัด

มีตั๋วลุยแชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นหน้าเป็นเดิมพัน

นับตั้งแต่ฤดูกาล 2022/23 เป็นต้นไป เซเรีย อา จะใช้ระบบ “เพลย์ออฟ” ในกรณีที่มีแต้มเท่ากัน สำหรับการลุ้นแชมป์ ระหว่างทีมจ่าฝูง พบกับทีมรองจ่าฝูง และการหนีตกชั้น ระหว่างอันดับ 17 พบกับอันดับ 18

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/Inter

ความสำคัญของดาร์บี้แมตช์เมืองมิลานฉบับยุโรป ไม่ใช่แค่การผ่านเข้าไปลุ้นแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เท่านั้น แต่ยังมีผลต่อการลุ้นอันดับท็อปโฟร์ ที่เอซี มิลาน และอินเตอร์ มิลาน มีคะแนนห่างกันไม่มาก

นาโปลี เป็นทีมแรกที่ได้สิทธิ์ไปยูซีแอล ซีซั่นหน้า ในฐานะแชมป์ลีก ส่วนตั๋วอีก 3 ใบที่เหลือ มีลุ้นแย่งกันถึง 6 ทีม โดยอันดับที่ 2 มีคะแนนมากกว่าทีมอันดับที่ 7 เพียง 6 แต้มเท่านั้น กับโปรแกรมที่เหลืออยู่ 4นัด

การจัดอันดับคะแนนในลีกอิตาลี ถ้าทีมที่มีคะแนนเท่ากัน (2 ทีม หรือมากกว่า) จะดูจากผลการแช่งขันในแมตช์ที่พบกันเอง หรือ “เฮด-ทู-เฮด” เป็นลำดับแรก ซึ่งจะใช้กฎนี้เฉพาะกลุ่มลุ้นโควตาฟุตบอลยุโรปเท่านั้น

การดูผลงานแบบ “เฮด-ทู-เฮด” ของลีกแดนมะกะโรนี จะไม่มีการนับประตูทีมเยือน (อเวย์โกล) และมีผลหลังจากจบฤดูกาลเรียบร้อยแล้ว ถ้าเฮด-ทู-เฮด เท่ากัน ให้ข้ามไปพิจารณาที่ประตูได้เสียนับรวมทั้งซีซั่น

อย่างไรก็ตาม ยูฟ่า กำหนดโควตาทีมที่ได้ไปแชมเปี้ยนส์ ลีก ไว้สูงสุดไม่เกิน 5 ทีม ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า ทีมที่จบอันดับ 4 ของลีกอิตาลี จะไม่ได้สิทธิ์เล่นถ้วยใหญ่สุด ถ้าเงื่อนไขสำคัญ 2 ข้อ เกิดขึ้นพร้อมกัน คือ

เงื่อนไขที่ 1 : เอซี มิลาน หรือ อินเตอร์ มิลาน ทีมใดทีมหนึ่ง คว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ไม่ติดท็อปโฟร์

เงื่อนไขที่ 2 : ยูเวนตุส หรือ โรม่า ทีมใดทีมหนึ่ง คว้าแชมป์ยูโรป้า ลีก แต่ไม่ติดท็อปโฟร์

ศึกดาร์บี้แมตช์ผ่าเมือง ในแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ ถือเป็นเกมที่เดิมพันสูงทั้งมิลาน และอินเตอร์ เพราะการที่ทีมใดทีมหนึ่งตกรอบไป ก็จะมีโอกาสเสี่ยงไม่น้อย ที่จะพลาดกลับมาเล่นถ้วยนี้ในฤดูกาลหน้า

โปรแกรมการแข่งขันเซเรีย อา 4 นัดสุดท้าย 

– ยูเวนตุส (66 คะแนน) : เครโมเนเซ่ (เหย้า), เอ็มโปลี (เยือน), มิลาน (เหย้า), อูดิเนเซ่ (เยือน)

– ลาซิโอ (64 คะแนน) : เลชเช่ (เหย้า), อูดิเนเซ่ (เยือน), เครโมเนเซ่ (เหย้า), เอ็มโปลี (เยือน)

– อินเตอร์ (63 คะแนน) : ซัสซูโอโล่ (เหย้า), นาโปลี (เยือน), อตาลันต้า (เหย้า), โตริโน่ (เยือน)

– มิลาน (61 คะแนน) : สเปเซีย (เยือน), ซามพ์โดเรีย (เหย้า), ยูเวนตุส (เยือน), เวโรน่า (เหย้า)

– อตาลันต้า (58 คะแนน) : ซาแลร์นิตาน่า (เยือน), เวโรน่า (เหย้า), อินเตอร์ (เยือน), มอนซ่า (เหย้า)

– โรม่า (58 คะแนน) : โบโลญญ่า (เยือน), ซาแลร์นิตาน่า (เหย้า), ฟิออเรนติน่า (เยือน), สเปเซีย (เหย้า)

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://www.thesun.co.uk/sport/football/3328970/inter-milan-ac-milan-champions-league-transfers-serie-a-titles/

https://en.wikipedia.org/wiki/Derby_della_Madonnina

Categories
Special Content

ทฤษฎีช้างตกต้นไม้ : ย้อนรอยทีมจ่าฝูงแพ้ภัยตัวเอง พลาดแชมป์แบบสุดช็อก

หลังเกมบิ๊กแมตช์พรีเมียร์ลีก ชี้ชะตาการลุ้นแชมป์ เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดบ้านถล่ม อาร์เซน่อล 4 – 1 ส่งผลให้ “แชมป์เก่า” ทำคะแนนไล่จี้เหลือ 2 แต้ม แถมเตะน้อยกว่าถึง 2 นัด

แม้โมเมนตัมในการลุ้นคว้าแชมป์จะเอียงไปทาง “เรือใบสีฟ้า” มากขึ้น แต่เมื่อสถานการณ์ยังไม่ทิ้งห่างแบบขาดลอย “ปืนใหญ่” ก็มีหวังเล็ก ๆ ในการกลับมาคว้าโทรฟี่พรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบเกือบ 20 ปี

มีเรื่องโจ๊กจากแฟนบอลในต่างประเทศ ที่เคยกล่าวไว้ว่า “อาร์เซน่อลที่อยู่ในอันดับ 1 ของตาราง เสมือนช้างที่อยู่บนต้นไม้ ไม่มีใครรู้ว่ามันปีนขึ้นไปได้อย่างไร แต่ทุกคนรู้ว่าสุดท้ายมันต้องตกลงมาอยู่ดี”

วลี “ช้างที่อยู่บนต้นไม้” คือการเปรียบเปรยถึงสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ หรือสิ่งที่ผิดธรรมชาติ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป โลกแห่งความเป็นจริง ก็จะกระชากจากภวังค์ให้กลับมาอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง

ในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา ได้มีเหตุการณ์ของทีมที่กำลังอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูง แต่พอพลาดท่าแพ้เกมสำคัญระหว่างฤดูกาล ให้กับคู่แข่งที่แย่งแชมป์แบบโดยตรง กลายเป็นจุดพลิกผันสู่ความผิดหวังในที่สุด

1989 : ลิเวอร์พูล 0 – 2 อาร์เซน่อล (26 พฤษภาคม)

ศึกลูกหนังดิวิชั่น 1 ลีกสูงสุดของอังกฤษในขณะนั้น เมื่อฤดูกาล 1988/89 ลิเวอร์พูล กับ อาร์เซน่อล คือคู่ชิงแชมป์ประจำซีซั่น และมีโปรแกรมพบกันเองในนัดสุดท้าย ซึ่ง “หงส์แดง” กุมความได้เปรียบอยู่

สถานการณ์ก่อนลงเตะนัดตัดสินแชมป์ที่แอนฟิลด์ ลิเวอร์พูลนำอันดับ 1 มี 76 คะแนน ผลต่างประตูได้-เสีย +39 โดยมีอาร์เซน่อล ตามมาติด ๆ ในอันดับ 2 มี 73 คะแนน ผลต่างประตูได้-เสีย +35

ที่สำคัญ ลิเวอร์พูลกำลังอยู่ในช่วงฟอร์มที่ดี 18 เกมหลังสุดในลีก ไม่แพ้ใคร และเสียประตูในบ้านเพียง 2 ลูก โยนความกดดันไปให้อาร์เซน่อล ที่ต้องชนะด้วยผลต่าง 2 ประตูขึ้นไป ถึงจะแซงคว้าแชมป์

ครึ่งแรกยังยิงกันไม่ได้ แต่เริ่มครึ่งหลังได้ไม่ถึง 10 นาที อลัน สมิธ โขกให้อาร์เซน่อลขึ้นนำก่อน 1 – 0 อย่างไรก็ตาม ถ้าจบด้วยสกอร์นี้ ลิเวอร์พูลยังเป็นฝ่ายที่ได้แชมป์ เพราะผลต่างประตูได้-เสียดีกว่า

เจ้าบ้านพยายามบุกหนักหวังตีเสมอให้ได้ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังทำไม่สำเร็จ เคนนี่ ดัลกลิช กุนซือลิเวอร์พูล ตัดสินใจเคาะบอลไปมาเพื่อเผาเวลาไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเกิดฟ้าผ่ากลางแอนฟิลด์ขึ้นจนได้

ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ไมเคิล โธมัส ยิงประตู 2 – 0 ส่งอาร์เซน่อลคว้าแชมป์ลีกสูงสุดหนแรกในรอบ 18 ปี โดยมีแต้ม และผลต่างประตูได้เสียเท่ากัน แต่มีจำนวนประตูได้ที่มากกว่าลิเวอร์พูล (73 ต่อ 65)

1996 : นิวคาสเซิล 0 – 1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (4 มีนาคม)

ฤดูกาล 1995/96 ลีกสูงสุดเมืองผู้ดี เปลี่ยนชื่อเป็น “พรีเมียร์ลีก” ได้ไม่นาน นิวคาสเซิล ทำผลงานได้อย่างโดดเด่น จนทำแต้มทิ้งห่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไกลถึง 12 แต้มในเดือนมกราคม 1996

แต่หลังจากนั้น นิวคาสเซิลก็เริ่มฟอร์มแกว่ง จนถูกแมนฯ ยูไนเต็ด ไล่จี้เข้ามา และทั้ง 2 ทีม มีโปรแกรมพบกันเองที่เซนต์ เจมส์ปาร์ค ช่วงต้นเดือนมีนาคม ซึ่งก่อนลงสนาม “สาลิกาดง” นำอยู่ 4 แต้ม

นิวคาสเซิล มีโอกาสบุกมากกว่า แต่ยิงอย่างไรก็ไม่ผ่านมือปีเตอร์ ชไมเคิล นายทวารแมนฯ ยูไนเต็ด สุดท้ายแล้ว เอริค คันโตน่า พังประตูชัยให้ “ปิศาจแดง” บุกชนะ 1 – 0 ลดช่องว่างเหลือแค่แต้มเดียว

เมื่อระยะห่างแคบลงเรื่อย ๆ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือแมนฯ ยูไนเต็ด จัดการเปิดสงครามจิตวิทยา และสุดท้าย เควิน คีแกน ก็ตกหลุมพรางจนสูญเสียความมั่นใจ และเริ่มรับมือกับความกดดันไม่ไหว

ช่วงที่เหลือของซีซั่น สถานการณ์ลุ้นแชมป์ก็กลับตาลปัตร นิวคาสเซิล ชนะ 5 เสมอ 2 แพ้ 3 สุดท้ายถูกแมนฯ ยูไนเต็ด ที่ชนะถึง 7 จาก 9 เกมสุดท้าย แซงคว้าแชมป์ด้วยการมีคะแนนมากกว่า 4 แต้ม

1998 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0 – 1 อาร์เซน่อล (14 มีนาคม)

ฤดูกาล 1997/98 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หวังจะเป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 ซีซั่นติดต่อกัน แต่สำหรับอาร์เซน่อล นี่คือครั้งแรกที่อาร์แซน เวนเกอร์ คุมทีมแบบเต็มซีซั่น

ช่วงกลางเดือนมีนาคม 1998 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นำเป็นจ่าฝูง มีแต้มนำอาร์เซน่อล 9 แต้ม แต่ทีมของกุนซืออาร์แซน เวนเกอร์ ลงเตะน้อยกว่าถึง 3 เกม และทั้ง 2 ทีม มีนัดปะทะกันที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด

เกมทำท่าว่าจะจบด้วยผลเสมอ แต่ในนาทีที่ 79 มาร์ค โอเวอร์มาร์ส วิ่งมาซัดด้วยขวาผ่านปีเตอร์ ชไมเคิล เป็นประตูชัยให้อาร์เซน่อล พร้อมกับลดช่องว่างเหลือ 6 แต้ม กับโปรแกรมที่ตกค้างในมือ 3 นัด

หลังบิ๊กแมตช์ที่โรงละคร “เดอะ กันเนอร์ส” กุมชะตากรรมไว้ในมือของตัวเองแล้ว โดยชนะถึง 8 จาก 10 เกมที่เหลือ ขณะที่แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 5 จาก 7 เกมสุดท้าย แต่ไม่เพียงพอต่อการป้องกันแชมป์

อาร์เซน่อล การันตีตำแหน่งอันดับ 1 หลังถล่มเอฟเวอร์ตัน 4 – 0 เมื่อเหลือ 2 นัดสุดท้ายของฤดูกาล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เป็นครั้งแรกในยุคของเวนเกอร์ โดยเฉือน “ปิศาจแดง” เพียงแต้มเดียวเท่านั้น

2010 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1 – 2 เชลซี (3 เมษายน)

หลังจากคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาแล้ว 3 ซีซั่นติดต่อกัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2009/10 หวังที่จะสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ชนิดที่ไม่มีทีมใดเคยทำมาก่อน ด้วยการคว้าแชมป์ต่อเนื่องเป็นซีซั่นที่ 4

และผู้ท้าชิงของพวกเขาคือ เชลซี ของกุนซือคาร์โล อันเชล็อตติ ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จนถึงแมตช์ที่ต้องพบกับทีมของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในเกมที่ 33 ของฤดูกาล ช่วงต้นเดือนเมษายน 2010

ก่อนเกมบิ๊กแมตช์ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด “ปิศาจแดง” อยู่ในตำแหน่งจ่าฝูง มีคะแนนนำหน้าเชลซี 1 แต้ม ต้องการชัยชนะเพื่อทำแต้มทิ้งห่างออกไป และถือเป็นการล้างแค้นจากเกมนัดแรกที่บุกไปแพ้ 0 – 1

เชลซี ออกนำก่อน 2 ประตู จากโจ โคล และดิดิเยร์ ดร็อกบา แม้เฟเดริโก้ มาเคด้า จะยิงตีตื้นให้แมนฯ ยูไนเต็ด ไล่มาเป็น 1 – 2 แต่ “สิงห์บูลส์” ก็ยันสกอร์นี้ไว้ได้จนจบเกม แซงขึ้นจ่าฝูง เมื่อเหลือ 5 นัดสุดท้าย

ซึ่งโปรแกรมที่เหลือของทั้ง 2 ทีม ต่างฝ่ายต่างชนะทีมละ 4 เกมเท่ากัน ส่งผลให้เชลซี เป็นฝ่ายที่คว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ ดับฝันแมนฯ ยูไนเต็ด ในการเป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 4 สมัยติดต่อกัน

2012 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1 – 0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (30 เมษายน)

ฤดูกาล 2011/12 ช่วงต้นเดือนเมษายน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยืนอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูง มีแต้มนำแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถึง 8 แต้ม เมื่อเหลืออีก 6 เกม ทำให้หลายคนมองว่า “ปิศาจแดง” น่าจะเข้าวินได้ไม่ยาก

ทว่า 3 นัดหลังจากนั้น แมนฯ ซิตี้ ชนะรวด สวนทางกับแมนฯ ยูไนเต็ด ที่ออกอาการสะดุดครั้งใหญ่ เมื่อบุกไปแพ้วีแกน แบบพลิกล็อก 0 – 1 และถูกเอฟเวอร์ตันไล่ตามตีเสมอ 4 – 4 คาโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

ก่อนเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม ถิ่นของ “เรือใบสีฟ้า” ในวันสิ้นเดือนเมษายน 2012 ยูไนเต็ดมีแต้มนำซิตี้เพียง 3 แต้ม นั่นหมายความว่า ถ้า “ปิศาจแดง” แพ้ จะหล่นมาเป็นอันดับ 2 ทันที

ในช่วงทดเจ็บครึ่งแรก แว็งซองต์ กอมปานี ทำประตูชัยให้กับแมนฯ ซิตี้ เก็บ 3 คะแนนสำคัญ แซงแมนฯ ยูไนเต็ด ขึ้นนำเป็นจ่าฝูง มี 83 แต้มเท่ากัน แต่ผลต่างประตูได้-เสีย ดีกว่าอยู่ 8 ลูก เมื่อเหลืออีก 2 เกม

นัดรองสุดท้าย 2 ทีมเมืองแมนเชสเตอร์ ชนะทั้งคู่ ส่วนผลแข่งในเกมที่ 38 แมนฯ ยูไนเต็ด ที่แข่งจบไปก่อน บุกชนะซันเดอร์แลนด์ 1 – 0 ขณะที่แมนฯ ซิตี้ ยังเสมอกับควีนสปาร์ค เรนเจอร์ส 2 – 2 ช่วงท้ายเกม

และนัดปิดซีซั่น คือหนึ่งในเหตุการณ์การคว้าแชมป์ที่ดราม่าที่สุดตลอดกาล กับประตูชัยของกุน อเกวโร่ นาทีที่ 93.20 ซึ่งเป็นโมเมนต์ที่ทำเอาแฟนๆ “เรด อาร์มี่” อยากจะลบออกจากความทรงจำเลยทีเดียว

2019 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2 – 1 ลิเวอร์พูล (3 มกราคม)

ฤดูกาล 2018/19 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และลิเวอร์พูล เป็นคู่ชิงแชมป์พรีเมียร์ลีกที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ แฟนบอลของทั้ง 2 ทีม ต่างลุ้นกันนัดต่อนัด ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาล

สิ้นปี 2018 ลิเวอร์พูล มีคะแนนนำแมนฯ ซิตี้ อยู่ 7 แต้ม หลังผ่านไป 20 เกม และเกมต่อมา คือเกมแรกของปี 2019 ทั้งคู่ต้องห้ำหั่นกันเอง ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม ถือเป็นนัดสำคัญที่มีผลต่อการลุ้นแชมป์โดยตรง

ขณะที่ยังเสมอกันอยู่ 0 – 0 ในนาทีที่ 20 ซาดิโอ มาเน่ ดาวยิงลิเวอร์พูล ซัดบอลไปชนเสา จอห์น สโตนส์ แนวรับแมนฯ ซิตี้ สกัดบอลโดนเอแดร์ซอน นายทวารเพื่อนร่วมทีม ก่อนที่สโตนส์จะเคลียร์บอลออกจากเส้น ขาดเพียง 11 มิลลิเมตร จะข้ามเส้นประตู

ซึ่งนั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้แมนฯ ซิตี้ เก็บ 3 คะแนนสุดล้ำค่า ด้วยชัยชนะ 2 – 1 ลดช่องว่างลงมาเหลือ 4 แต้ม แถมเป็นการยัดเยียดความปราชัยนัดแรก และนัดเดียวตลอดทั้งฤดูกาลชองลิเวอร์พูลด้วย

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เก็บชัย 2 นัดติด ก่อนบุกไปแพ้นิวคาสเซิล 1 – 2 และหลังจากนั้น สร้างสถิติสุดโหด ชนะ 14 นัดติดต่อกัน ฮึดแซงคว้าแชมป์ได้แบบน่าเหลือเชื่อ โดยเฉือนลิเวอร์พูลแค่แต้มเดียว (98 ต่อ 97)

และในฤดูกาล 2022/23 ทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็มีโอกาสทำสถิติชนะ 14 นัดรวด เหมือนเมื่อ 4 ซีซั่นก่อน หลังจากชัยชนะในเกมกับอาร์เซน่อลเมื่อกลางสัปดาห์ พวกเขาเก็บชัยชนะมาแล้ว 7 นัดติดต่อกัน

อย่างไรก็ตาม จากลิสต์นี้ ทีมที่นำจ่าฝูงแต่วืดแชมป์เมื่อจบฤดูกาล สามารถกลับมายืนแป้นอันดับ 1 ทันทีในซีซั่นถัดมาได้ถึง 5 ครั้ง แสดงให้เห็นถึงการนำบทเรียนจากความผิดหวัง เป็นแรงขับสู่ความสำเร็จ

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

– https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-12010655/The-pivotal-title-deciders-Man-City-host-Arsenal-Premier-League.html

– https://thearsenalelephant.com/the-arsenal-elephant-blog/f/the-elephant-that-never-fell-from-the-tree

Categories
Special Content

การเดินทางของ “แว็งซองต์ กอมปานี” โค้ชอัจฉริยะผู้พาเบิร์นลี่ย์คืนสู่พรีเมียร์ลีก

เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เบิร์นลีย์ เป็นทีมแรกที่การันตีเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลหน้าเป็นที่เรียบร้อย หลังบุกไปชนะมิดเดิลสโบรช์ 2 – 1 โดยใช้เวลาเพียงซีซั่นเดียว กลับคืนสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง

เบิร์นลี่ย์ มีแต้มทิ้งห่างลูตัน ทาวน์ ทีมอันดับ 3 ที่เหลือโปรแกรมเพียง 6 นัด ขาดลอยถึง 19 แต้ม สร้างสถิติใหม่ เป็นทีมลีกแชมเปี้ยนชิพที่เลื่อนชั้นเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยที่ยังเหลืออีก 7 เกม

ทั้งหมดทั้งมวล ต้องยกเครดิตให้กับแว็งซองต์ กอมปานี ผู้จัดการทีมชาวเบลเยียม ที่เพิ่งมาคุมทีมในอังกฤษเป็นฤดูกาลแรก แต่สามารถฝ่าฟันวิกฤตของสโมสรที่ถาโถมเข้ามา จนได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่

อีกทั้งในวันจันทร์ที่ 10 เมษายน กอมปานี ฉลองวันเกิดอายุครบ 37 ปี ด้วยการนำ “เดอะ คลาเร็ตส์” เปิดเทิร์ฟ มัวร์ รับการมาเยือนของเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ทีมรองจ่าฝูงที่กำลังลุ้นเลื่อนชั้นอัตโนมัติ

เชฟฯ ยูไนต็ด คือทีมล่าสุดที่ยัดเยียดความปราชัยให้กับเบิร์นลี่ย์ ด้วยสกอร์ 5 – 2 เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้ว หลังจากนั้น จ่าฝูงแชมเปี้ยนชิพ ไร้พ่ายมา 19 นัดติด ก่อนดวลกับ “ดาบคู่” อีกครั้ง

จุดเริ่มต้นจากติดลบ, ตกชั้น และทีมแตก

นับตั้งแต่ฤดูกาล 2016/17 จนถึง 2021/22 เป็นเวลา 6 ฤดูกาลติดต่อกัน ที่เบิร์นลี่ย์อยู่ในลีกสูงสุดของอังกฤษ แต่พวกเขาก็ลงทุนไปไม่น้อย และส่วนหนึ่งต้องกู้เงินจากธนาคาร เป็นจำนวน 65 ล้านปอนด์

โดยเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2020 ALK Capital กลุ่มทุนจากสหรัฐอเมริกา ได้เข้ามาซื้อกิจการของสโมสร ซึ่งเงินกู้ธนาคาร 65 ล้านปอนด์นั้น ถูกรวมอยู่ใน 200 ล้านปอนด์ ที่เป็นมูลค่าการเทคโอเวอร์ด้วย

สำหรับเงินที่กู้มาจากธนาคารนั้น มีกำหนดชำระคืนภายในเดือนธันวาคม ปี 2025 แต่มีเงื่อนไขที่ว่า เบิร์นลีย์ต้องอยู่รอดในพรีเมียร์ลีกต่อไปถึงตรงนั้น หากตกชั้นจะต้องชำระเงินกู้คืนทันทีภายใน 3 เดือน

และในที่สุด เบิร์นลีย์ก็ตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกจริง ๆ ในซีซั่น 2021/22 นั่นหมายความว่า “เดอะ คลาเร็ตส์” จะต้องจ่ายเงินกู้คืนให้ธนาคารภายในเดือนสิงหาคม 2022 กระเทือนไปถึงการเงินภายในสโมสร

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/burnleyofficial

เมื่อการเงินของเบิร์นลี่ย์มีปัญหา ก็จำใจต้องปล่อยนักเตะตัวหลักออกไปแทบยกทีม ไม่ว่าจะเป็นนิค โป๊ป, นาธาน คอลลินส์, ดไวท์ แมคนีล รวมถึงแม็กซ์เวลล์ คอร์เนต์ 4 คนนี้ ได้เงินกลับเข้ามาเกือบ 70 ล้านปอนด์

โดยเงิน 70 ล้านปอนด์ที่ได้จากการขายนักเตะ ทางเบิร์นลีย์ได้เอาไปชำระหนี้ธนาคารทั้งหมด แต่พวกเขายังได้เงินก้อนเล็กๆ ในการเสริมผู้เล่นจากกฎการเงินชูชีพ (Parachute Payments) หลังตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก

“กอมปานี” เจองานหนักภายใต้ข้อจำกัด

เมื่อฌอน ไดซ์ ถูกปลดจากตำแหน่งผู้จัดการทีม ก่อนจบฤดูกาล 2021/22 เพียง 1 เดือน เบิร์นลีย์ได้แต่งตั้งแว็งซองต์ กอมปานี อดีตนักเตะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เข้ามารับงานเป็นกุนซือคนใหม่ เพื่อสู้ศึกในซีซั่นถัดไป

หลังจากสร้างตำนานคว้าแชมป์ 12 โทรฟี่ ตลอด 11 ปีกับแมนฯ ซิตี้ ในปี 2019 กอมปานีได้ย้ายไปอยู่กับอันเดอร์เลชท์ โดยรับบทบาททั้งผู้เล่นและผู้จัดการทีมในปีแรก ก่อนจะมาเป็นโค้ชแบบเต็มตัวในปีถัดมา

จากประสบการณ์งานโค้ช 2 ปีที่เบลเยียม สู่โลกที่โหดกว่าเดิมอย่างแชมเปี้ยนชิพ อังกฤษ ซึ่งกอมปานีรู้ดีว่า เบิร์นลีย์มีข้อจำกัดด้านการเงิน และเขาจะขอสร้างทีมขึ้นมาใหม่ตามแนวทางของตัวเอง

กอมปานี นำเงินที่ได้รับจาก Parachute Payments ซื้อนักเตะเข้ามามากกว่า 10 คน ใช้เงินรวมกันไม่ถึง 40 ล้านปอนด์ ล้วนเป็นนักเตะโนเนม และอายุไม่เกิน 26 ปี เอามาเจียระไนให้เป็นเพชรเม็ดงาม

ตัวอย่างเช่น 3 นักเตะจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้อย่าง ซีเจ อีแกน-ไรลีย์ (ค่าตัว 3 ล้านปอนด์), อาริยาเนต์ มูริค (ค่าตัว 3.5 แสนปอนด์) รวมถึงยืมตัวเทย์เลอร์ ฮาร์วูด-เบลลิส เซ็นเตอร์แบ็กดาวรุ่งวัย 21 ปี

หรือนักเตะที่ดึงมาจากลีกเบลเยียม เช่น จอช คัลเลน อดีตลูกทีมสมัยอยู่อันเดอร์เลชท์ (ค่าตัว 3 ล้านปอนด์), มานูเอล เบนสัน จากรอแยล อันท์เวิร์ป (ค่าตัว 3 ล้านปอนด์), อานาส ซารูรี่ จากชาเลอรัว (ค่าตัว 3.5 ล้านปอนด์) เป็นต้น

วินัย และเด็ดขาด คือเคล็ดลับความสำเร็จ

สมัยที่ฌอน ไดซ์ เป็นผู้จัดการทีม ได้ติดป้ายขนาดใหญ่เป็นม็อตโต้หน้าสนามซ้อมของเบิร์นลีย์ว่า “วิ่งด้วยขา, สู้ด้วยใจ, ไม่ยอมแพ้” นั่นคือมรดกชิ้นสำคัญที่ฌอน ไดซ์ ได้ทิ้งไว้ให้กับสโมสรจนถึงทุกวันนี้

เมื่อแว็งซองต์ กอมปานี เข้ามาเป็นกุนซือคนใหม่ของ “เดอะ คลาเร็ตส์” ในสภาพทีมที่แตกสลายหลังตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก ได้พูดคุยกับนักเตะเป็นเวลา 12 นาที เพื่อฝังดีเอ็นเอความเป็นผู้ชนะให้กับลูกทีม

เนื่องจากกอมปานี ไม่เคยมีประสบการณ์การคุมทีมในอังกฤษมาก่อน ทำให้งานคุมทีมเบิร์นลีย์ คือโอกาสในการเรียนรู้ที่ดีสำหรับเขา เขาเป็นคนที่มีวินัยในการทำงานที่สูงมาก และใส่ใจในทุกรายละเอียด

ตั้งแต่วันแรกที่ทำงานกับเบิร์นลีย์ กอมปานีมาถึงสโมสรเป็นคนแรก และกลับบ้านเป็นคนสุดท้ายเสมอ ซึ่งในแต่ละวันเขาได้ปรับปรุง และพัฒนางานของตัวเองอยู่เสมอ เพื่อยกระดับทีมให้แข็งแกร่งมากขึ้น

คุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งของกอมปานี คือเป็นโค้ชที่มีความเด็ดขาด ไม่สนใจว่านักเตะหน้าไหนที่ออกมาบ่นว่าไม่ได้ลงเล่น ลูกทีมทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกัน ถ้าพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าดีพอที่จะออกสตาร์ทเป็นตัวจริง

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/burnleyofficial

หนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงปรีซีซั่น เมื่อนักเตะคนหนึ่งได้ซื้อเค้กมาอวยพรวันเกิดให้กับแจ็ค คอร์ก กองกลางเพื่อนร่วมทีม แต่ถูกกอมปานีสั่งห้ามโดยเด็ดขาด เนื่องจากมองว่าเป็นอาหารที่ทำลายสุขภาพ

ซึ่งนักเตะภายในทีมก็เชื่อฟัง แสดงให้เห็นว่ากอมปานีได้รับความเคารพเป็นอย่างสูง และมองว่ากุนซือชาวเบลเยียมคือผู้นำที่จะนำพาเบิร์นลีย์ประสบความสำเร็จ เรียกได้ว่าเขาสามารถซื้อใจลูกทีมได้แล้ว

เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสด้วย “มันสมอง”

ด้วยความที่เบิร์นลี่ย์ เสียนักเตะตัวหลักออกไปเยอะในช่วงซัมเมอร์ปี 2022 ทำให้ถูกมองข้ามว่า โอกาสเลื่อนชั้นคงจะมีน้อย แต่พวกเขากลับทำสิ่งที่หลายคนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ให้เกิดขึ้นจริงแบบไม่น่าเชื่อ

เหตุผลสำคัญคือ แว็งซองต์ กอมปานี ได้เปลี่ยนแนวทางการเล่นจากยุคของฌอน ไดซ์ ที่เน้นพละกำลัง และบอลโยนยาวสไตล์อังกฤษขนานแท้ ให้เป็นการต่อบอลสั้น เซ็ตเกมจากแดนหลัง เหมือนกับแมนฯ ซิตี้ ยุคเป๊ป กวาร์ดิโอล่า

ด้วยแผนการเล่น 4-3-3 หรือบางครั้งใช้ 4-2-3-1 ทำให้ทีมของกอมปานี มีเปอร์เซ็นต์การครองบอลเฉลี่ย 64 เปอร์เซ็นต์ มากที่สุดในลีกรอง เมื่อเทียบกับซีซั่นก่อนในยุคฌอน ไดซ์ ที่ครองบอลเฉลี่ยเพียง 39เปอร์เซ็นต์

คีย์แมนคนสำคัญของเบิร์นลีย์ชุดนี้ คือ นาธาน เทลล่า มิดฟิลด์วัย 23 ปี ที่ยืมตัวมาจากเซาแธมป์ตัน ยิง 17 ประตู กับ 4 แอสซิสต์ แตกต่างจากช่วงเวลา 3 ปีในถิ่นเซนต์ แมรี่ส์ ที่เจ้าตัวทำได้แค่ประตูเดียวเท่านั้น

หรือ 2 กองหน้าวัยเก๋าอย่างเจย์ โรดริเกวซ กับแอชลีย์ บาร์นส์ วัย 33 ปีเท่ากัน ที่กำลังเข้าสู่ช่วงท้ายปลายทางของอาชีพค้าแข้ง ทำไป 9 และ 6 ประตู ตามลำดับ ติดอันดับท็อป 5 ดาวซัลโวของทีมอยู่ในเวลานี้

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ คือเบื้องหลังผลงานอันยอดเยี่ยมของเบิร์นลีย์ ในวันที่ได้รับการการันตีว่าเลื่อนชั้น ด้วยสถิติยิงได้มากที่สุด 76 ประตู เสียน้อยที่สุด 30 ประตู และมีโอกาสเก็บถึง 100 แต้ม ในอีก 7 นัดที่เหลือ

สำหรับเบิร์นลีย์โฉมใหม่ คือส่วนผสมระหว่างความสดกับความเก๋า ผู้จัดการทีมดาวรุ่งที่มีความกระหายชัยชนะ และสไตล์การเล่นที่น่าตื่นตาตื่นใจ พวกเขาคือทีมน้องใหม่พรีเมียร์ลีก ซีซั่นหน้าที่น่าจับตามองจริงๆ

ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา เบิร์นลี่ย์มีแต่ปัญหาที่เข้ามารุมเร้ามากมาย แต่ด้วยมันสมองที่ชาญฉลาดของแว็งซองต์ กอมปานี ก็ช่วยให้สโมสรเอาตัวรอดจากวิกฤต และกลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในที่สุด

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/burnleyofficial

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://theathletic.com/4389762/2023/04/07/vincent-kompany-burnley-promotion-premier-league/

https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-11951087/Vincent-Kompany-turned-burnt-Burnley-warriors-Premier-League.html

Categories
Special Content

Der Klassiker : ศึก 2 เสือแห่งเยอรมัน ที่ไม่มีวันอยู่ถ้ำเดียวกัน

บาเยิร์น มิวนิค และโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 2 สโมสรฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของประเทศเยอรมนี ซึ่งความขัดแย้งของทั้งคู่ เกิดขึ้นจากการชิงดีชิงเด่นในสังเวียนลูกหนังล้วนๆ

ก่อนเกม “แดร์ กลาซิเกอร์” ที่จะเกิดขึ้นในวันเสาร์ที่ 1 เมษายนนี้ ยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ กลายเป็นอดีตโค้ชบาเยิร์นแบบสายฟ้าแลบ และคนที่เข้ามาสานต่อคือโธมัส ทูเคิ่ล อดีตโค้ชดอร์ทมุนด์

ทำให้ทูเคิ่ล กลายเป็นผู้จัดการทีมคนแรกในรอบ 25 ปี นับตั้งแต่อ๊อตมาร์ ฮิตช์เฟลด์ เมื่อปี 1998 ที่ขึ้นมาขี่หลังทั้ง “เสือเหลือง” และ “เสือใต้” ซึ่งเขาจะประเดิมคุมทีมนัดแรก พบกับทีมเก่าทันที

ด้วยความที่ระยะทางระหว่าง 2 เมือง (มิวนิค-ดอร์ทมุนด์) ห่างกันมากถึง 600 กิโลเมตร ทำให้ไม่ค่อยมีภูมิหลังความเกลียดชังรุนแรงตั้งแต่ยุคอดีต ซึ่งจะแตกต่างจากคู่ปรับคู่อื่นๆ ในโลกฟุตบอล

แม้ดีกรีความดุเดือดจะไม่มากเท่ากับบิ๊กแมตช์อื่น แต่เจอกันครั้งใดก็คลาสสิกอยู่เสมอ และนี่คือเรื่องราวที่อยู่ในความทรงจำ ตลอดเกือบ 6 ทศวรรษ ระหว่าง 2 เสือผู้ยิ่งใหญ่แห่งบุนเดสลีกา

สกอร์ 11 – 1 ชัยชนะขาดลอยที่สุดของ “เสือใต้”

บุนเดสลีกา ฟุตบอลลีกสูงสุดของเยอรมนี ก่อตั้งขึ้นในปี 1963 และอีก 2 ปีหลังจากนั้น บาเยิร์น มิวนิค และโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ได้พบกันเป็นครั้งแรกที่มิวนิค แต่เป็นดอร์ทมุนด์ที่บุกมาชนะ 2 – 0

พอเข้าสู่ยุค 1970s ได้ไม่นาน เกิดเหตุการณ์สำคัญในแมตช์ “แดร์ กลาซิเกอร์” ที่เอาชนะกันแบบขาดลอยที่สุดในประวัติศาสตร์ของบุนเดสลีกา เป็นบาเยิร์นเปิดบ้านถล่มดอร์ทมุนด์ 11 – 1 เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 1971

11 ประตูของ “เสือใต้” มาจากแกร์ด มุลเลอร์ คนเดียว 4 ประตู, อูลี เฮอเนส กับฟรานซ์ โรธ คนละ 2 ประตู, ฟรานซ์ เบคเค่นบาวเออร์, พอล ไบรท์เนอร์ และวิลไฮม์ ฮอฟมันน์ ส่วน “เสือเหลือง” ตีไข่แตกจากดีเทอร์ ไวน์คอฟฟ์

หลังจากสิ้นสุดฤดูกาล 1971/72 แกร์ด มุลเลอร์ ศูนย์หน้าบาเยิร์น คว้าตำแหน่งดาวซัลโวด้วยผลงาน 40 ประตู เป็นตัวเลขสูงสุดภายในซีซั่นเดียว (ก่อนจะถูกโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ทุบสถิติในซีซั่น 2020/21 ที่ทำได้ 41 ลูก)

ขณะที่ดอร์ทมุนด์ หนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งบุนเดสลีกาตั้งแต่ฤดูกาลแรก ตกชั้นไปเล่นลีกระดับดิวิชั่น 2 หลังจากอยู่ในบุนเดสลีกาได้เพียง 9 ฤดูกาล และใช้เวลานานถึง 4 ปี กว่าจะได้กลับสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง

นับตั้งแต่ช่วงกลางยุค 1960s จนถึงช่วงต้นยุค 1990s บาเยิร์นคว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้ถึง 12 สมัย ดูเหมือนว่า “เสือใต้” กำลังจะผูกขาดความยิ่งใหญ่ไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่มีทีมไหนเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อเลย

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/BVB

ยุคทอง “เสือเหลือง” จากแชมป์เยอรมันสู่เจ้ายุโรป

หลังจากต้องมองดูบาเยิร์น มิวนิค ฉลองแชมป์ครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ถึงทีของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่ได้สร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาบ้าง โดยเริ่มจากการเข้ามาของกุนซืออ๊อตมาร์ ฮิตช์เฟลด์ ตั้งแต่ปี 1991

ซึ่งฤดูกาลแรกของฮิตช์เฟลด์กับดอร์ทมุนด์ ทำได้ดีมากในการลุ้นแย่งแชมป์บุนเดสลีกาจนถึงนัดสุดท้าย จบซีซั่นด้วยตำแหน่งรองแชมป์ มีคะแนนเท่ากับสตุ๊ดการ์ท แพ้เพียงแค่ผลต่างประตูได้-เสีย

แม้หลังจากนั้น ฮิตช์เฟลด์จะทำได้เพียงอันดับ 4 ในลีก 2 ซีซั่นติดต่อกัน แต่การคว้าตัวมัทธีอัส ซามเมอร์ มิดฟิลด์สตุ๊ดการ์ท ที่เคยหักอกดอร์ทมุนด์เมื่อปี 1992 มาร่วมทีม และกลายเป็นคีย์แมนคนสำคัญในยุคทองของสโมสร

ศึกบุนเดสลีกา นัดปิดฤดูกาล 1994/95 ดอร์ทมุนด์ ลุ้นแย่งแชมป์กับแวร์เดอร์ เบรเมน ซึ่งสถานการณ์ก่อนลงสนามเกมสุดท้าย “นกนางนวล” มีคะแนนนำอยู่ 1 แต้ม (สมัยนั้นยังใช้ระบบชนะได้ 2 แต้ม)

ผลปรากฏว่า ดอร์ทมุนด์ ชนะ ฮัมบวร์ก 2 – 0 และได้รับโชคชั้นที่ 2 เมื่อบาเยิร์น มิวนิค ทีมอันดับ 6ปล่อยทีเด็ด ถล่มเบรเมน 3 – 1 ช่วย “เสือเหลือง” แซงคว้าแชมป์ลีกสูงสุดหนแรกในยุค “บุนเดสลีกา”

ความสำเร็จจากแชมป์บุนเดสลีกาสมัยแรก ยังต่อยอดสู่การป้องกันถาดแชมป์ได้สำเร็จในซีซั่นถัดมา และก้าวสู่จุดสูงสุดของยุโรป ในการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่น 1996/97 ที่มิวนิค

อย่างไรก็ตาม หลังจากคว้าแชมป์ยุโรป ฮิตช์เฟลด์ประกาศอำลาทีม ยุคทองของดอร์ทมุนด์ก็ได้สิ้นสุดลง และไปเข้าทางบาเยิร์น ที่ต้องการดึงตัวกุนซือรายนี้มาร่วมงาน หวังทวงความยิ่งใหญ่กลับคืน

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/fcbayern.en

“ท่านนายพล” ผู้ทำลายล้าง “เอฟซี ฮอลลีวูด”

ช่วงกลางยุค 1990s คือยุครุ่งเรืองของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ อย่างแท้จริง แต่อีกด้านหนึ่ง บาเยิร์น มิวนิค ล้มเหลวแบบสุดๆ เพราะนับตั้งแต่ปี 1995-1998 คว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้เพียงสมัยเดียวเท่านั้น

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะนักเตะบาเยิร์นหลายคน สนใจกอสซิปนอกสนาม ราวกับดาราฮอลลีวูด มากกว่าผลงานในสนาม ทำให้สื่อในเยอรมัน ตั้งฉายาให้กับทีมยักษ์ใหญ่แห่งมิวนิคว่า “เอฟซี ฮอลลีวูด”

บาเยิร์น ในฤดูกาล 1994/95 โจวานนี่ ตราปัตโตนี่ เทรนเนอร์ชาวอิตาลี ทำทีมจบแค่อันดับ 6 ถูกปลดออกไป แล้วอ็อตโต้ เรห์ฮาเกล เข้ามาสานต่อในฤดูกาลถัดมา แต่ก็โดนเชือดก่อนจบซีซั่นไม่กี่นัด

แม้ตราปัตโตนี่ จะรีเทิร์นอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการพา “เสือใต้” คว้าถาดแชมป์ในฤดูกาล 1996/97 ทว่าในซีซั่นต่อมา กลับถูกไกเซอร์สเลาเทิร์น ทีมที่เพิ่งเลื่อนชั้น ปาดหน้าคว้าแชมป์ “อิล แทร็ป” ก็ไม่ได้ไปต่อ

ก่อนที่ฤดูกาล 1998/99 จะเริ่มขึ้น บาเยิร์นตัดสินใจเลือกอ๊อตมาร์ ฮิตช์เฟลด์ ผู้เคยพาดอร์ทมุนด์คว้าแชมป์บุนเดสลีกา 2 สมัย และแชมป์แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย มาคุมบังเหียน เพื่อฟื้นฟูทีมให้แข็งแกร่งอีกครั้ง

และความเฮี้ยบของ “ท่านนายพล” ก็ช่วยปลุกเสือใต้ที่หมดสภาพในยุคเอฟซี ฮอลลีวูด ให้กลับมาเป็นเสือใต้ที่น่าเกรงขามเหมือนที่ทุกคนเคยรู้จักอีกครั้ง ด้วยแชมป์บุนเดสลีกา 4 สมัย จาก 6 ฤดูกาลที่คุมทีม

แถมด้วยการเข้าชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาล 1998/99 แพ้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแบบเจ็บปวด แต่ก็แก้ตัวคว้าแชมป์ได้ในอีก 2 ซีซั่นถัดมา พร้อมกับเอาคืน “ปิศาจแดง” ชนะทั้ง 2 นัด ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย

เสือเหลืองกำลังจะจมน้ำ เสือใต้ยื่นมือเข้าช่วย

เข้าสู่ยุค Y2K มัทธีอัส ซามเมอร์ ที่เพิ่งแขวนสตั๊ดได้ไม่นาน เข้ารับตำแหน่งกุนซือคนใหม่ของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในปี 2000 และใช้เวลา 2 ซีซั่น พาทีมกลับมาคว้าแชมป์บุนเดสลีกาหนแรกในรอบ 6 ปี

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/BVB

ซามเมอร์ อดีตดาวเตะเจ้าของฉายา “เจ้าชายผมแดง” กลายเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของดอร์ทมุนด์ ที่ได้ถาดแชมป์ทั้งในฐานะผู้เล่นและโค้ช ซึ่งนั่นคือโทรฟี่ใบเดียวของเขา ตลอดเวลา 4 ฤดูกาลที่คุมทีม

กระนั้น แชมป์บุนเดสลีกาปี 2002 ของ “เสือเหลือง” กลับไม่ช่วยอะไรพวกเขามากนัก เพราะสโมสรเริ่มที่จะเจอปัญหาทางการเงินอย่างหนัก จากการลงทุนขยายสนามเหย้า และการทุ่มเงินเพื่อสู้กับ “เสือใต้”

อีกทั้งการพลาดเข้ารอบแบ่งกลุ่มยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2003/04 ทำให้ดอร์ทมุนด์ขาดรายได้ก้อนโต หนี้สินก็พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ จึงจำเป็นต้องปล่อยนักเตะตัวหลักออกไปหลายคน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย

ด้วยหนี้สินที่ล้นพ้นตัว เสี่ยงต่อการถูกฟ้องล้มละลาย และการถูกปรับตกชั้น ทำให้ดอร์ทมุนด์ ต้องยอมให้บาเยิร์น มิวนิค คู่แข่งสำคัญ ยื่นมือเข้ามาช่วย ด้วยการให้ยืมเงินจำนวน 2 ล้านยูโร เพื่อเป็นเงินหมุนเวียน

เงิน 2 ล้านยูโรของบาเยิร์น มิวนิค แม้มันจะน้อยนิด เมื่อเทียบกับจำนวนหนี้สินของดอร์ทมุนด์ แต่ก็ช่วยให้ “Yellow Wall” รอดพ้นจากการล้มละลาย พร้อมกับได้รับบทเรียนสำคัญจากความผิดพลาดในครั้งนี้

การเข้ามาของคล็อปป์ กับฟ้าหลังฝนที่สวยงาม

จุดเริ่มต้นการสร้างความสำเร็จของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ในยุคใหม่ เกิดขึ้นในปี 2005 เมื่อฮานส์ โยฮาคิม วัตช์เก้ เข้ามารับตำแหน่งซีอีโอคนใหม่ ด้วยนโยบายที่จะช่วยให้สโมสรมีความยั่งยืนทางการเงิน

จากสโมสรที่เคยติดหนี้มากกว่า 100 ล้านยูโร ทำให้วัตช์เก้ ได้เปลี่ยนแนวคิดการบริหารสโมสรเสียใหม่ โดยเน้นการสร้างทีมด้วยนักเตะดาวรุ่งเป็นหลัก และผู้จัดการทีมคนหนุ่มที่กระหายความสำเร็จ

แน่นอนว่า นโยบายเช่นนี้ช่วยให้สถานะทางการเงินของสโมสรดีขึ้น แม้จะต้องแลกกับผลงานในสนามที่ตกต่ำลงจนกลายเป็นทีมระดับกลางตาราง และต้องหนีตกชั้นในฤดูกาล 2007/08 ที่จบอันดับ 13

และในซีซั่นต่อมา ดอร์ทมุนด์ ได้โค้ชวัยหนุ่มอย่างเจอร์เก้น คล็อปป์ อดีตกุนซือทีมเล็กๆ อย่าง ไมนซ์ 05เข้ามาเป็นผู้นำในการกอบกู้สโมสร พร้อมกับแพชชั่นที่สูงมากในการเปลี่ยนทีมให้เต็มไปด้วยพลัง

คล็อปป์ได้สร้างยุคทองครั้งใหม่ ด้วยการคว้าถาดแชมป์บุนเดสลีกา 2 สมัยติดต่อกัน ในปี 2011 และ 2012 พร้อมกับแชมป์เดเอฟเบ โพคาล อีก 1 ถ้วย ในปี 2012 ด้วยการถล่มบาเยิร์นขาดลอย 5 – 2

นอกจากความสำเร็จในสนามแล้ว นโยบายการเพิ่มรายได้ และลดรายจ่าย ก็ช่วยให้ดอร์ทมุนด์ประสบความสำเร็จทางธุรกิจด้วย หนิ้สินก็ลดลง จนกลายเป็นหนึ่งในสโมสรที่มีความมั่นคงทางการเงินสูง

ชีวิตการเป็นผู้จัดการทีม แขวนอยู่บนเส้นด้าย

บาเยิร์น มิวนิค และโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 2 สโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเยอรมัน แต่ก็มาพร้อมกับความคาดหวังที่สูงมาก ส่งผลถึงอายุงานของกุนซือที่ไม่ยาวนานมากนัก พลาดเมื่อไหร่ มีสิทธิ์ตกงานได้ทุกเมื่อ

ยกตัวอย่างเช่น นิโก้ โควัช ถูกปลดจากกุนซือบาเยิร์น ในเดือนพฤศจิกายน 2019 หลังผลงานแย่ในบุนเดสลีกา แล้วฮันซี่ ฟลิค เข้ามาสานต่อ จบซีซั่นด้วย “เทรบเบิลแชมป์” เที่ยวที่ 2 ต่อจากซีซั่น 2012/13

กรณีของโควัช ก็คล้ายกับนาเกลส์มันน์ เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ผู้บริหารบาเยิร์นประเมินแล้วว่า ถ้าพบแนวโน้มที่จะล้มเหลว มากกว่าจะประสบความสำเร็จ ก็จะแสดงความเด็ดขาด ด้วยการยื่นซองขาวให้กุนซือทันที

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/BVB

ทางฝั่งดอร์ทมุนด์ ก็มีกรณีของเจอร์เก้น คล็อปป์ ในฤดูกาล 2014/15 ซีซั่นสุดท้ายในการทำงาน จบแค่อันดับที่ 7 เจ้าตัวแสดงความรับผิดชอบกับความล้มเหลว ด้วยการประกาศลาออกจากตำแหน่ง

เรื่องผลงานในสนาม อาจจะไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้กุนซือต้องแยกทาง อย่างเช่นในปี 2017 โธมัส ทูเคิ่ล มีปัญหากับบอร์ดบริหาร และนักเตะบางคน แม้จะพาดอร์ทมุนด์คว้าแชมป์เดเอฟเบ โพคาลก็ตาม

ในประวัติศาสตร์ 60 ฤดูกาลของฟุตบอลบุนเดสลีกา เยอรมนี บาเยิร์นมีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมทั้งหมด 33 ครั้ง จาก 26 คน ขณะที่ดอร์ทมุนด์ มีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมทั้งหมด 49 ครั้ง จาก 43 คน

อ๊อตมาร์ ฮิตช์เฟลด์ คือโค้ช “เสือใต้” ที่คุมทีมนานสุด (6 ปี) หลังจากนั้น โค้ชมีอายุงานเฉลี่ย 1.58 ปี ด้านเจอร์เก้น คล็อปป์ คือโค้ช “เสือเหลือง” ที่คุมทีมนานสุด (7 ปี) หลังจากนั้น โค้ชมีอายุงานเฉลี่ย 1.14 ปี

ลุ้นแชมป์ลีกเยอรมันซีซั่นนี้ ไม่ได้มีแค่ 2 เสือ

สถานการณ์แย่งแชมป์บุนเดสลีกา 2022/23 เรียกได้ว่าลุ้นสนุกมากกว่าหลายๆ ฤดูกาลที่ผ่านมา เพราะไม่ได้มีเพียงบาเยิร์น กับดอร์ทมุนด์เท่านั้น แต่มีอีก 2-3 ทีม ที่ยังอยู่ในวิสัยพอจะมีลุ้นได้เช่นกัน

ก่อนศึกใหญ่ที่อัลลิอันซ์ อารีน่า ในสุดสัปดาห์นี้ ดอร์ทมุนด์อยู่ในตำแหน่งจ่าฝูง มีคะแนนมากกว่าบาเยิร์นแค่แต้มเดียวเท่านั้น แต่ยักษ์ใหญ่จากบาวาเรีย ได้เปรียบตรงที่มีผลต่างประตูได้-เสีย ที่ตุนไว้เยอะ

อย่างไรก็ตาม ถ้านับเฉพาะผลงานในลีกนับตั้งแต่เข้าสู่ปี 2023 เอดิน แทร์ซิซ เทรนเนอร์ของดอร์ทมุนด์ พาทีมชนะได้ถึง 9 เกม หลุดเสมอกับชาลเก้ 04 ในดาร์บี้แมตช์เมืองถ่านหินเพียงแค่เกมเดียวเท่านั้น

ขณะที่บาเยิร์น แม้ผลงานในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ชนะทุกนัด ในจำนวนนี้คลีนชีต 7 นัด และเสียแค่ 2 ประตู แต่ผลงานในลีกไม่สม่ำเสมอ จนเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ ตกเก้าอี้กุนซือ

สถิติการพบกันในยุค “บุนเดสลีกา” บาเยิร์น ชนะ 52 ครั้ง ดอร์ทมุนด์ ชนะ 25 ครั้ง เสมอกัน 30 ครั้ง ส่วนจำนวนแชมป์ลีกสูงสุดทั้งหมด เมื่อนับรวมยุคก่อนบุนเดสลีกาด้วย เสือใต้ 32 สมัย และเสือเหลือง 8 สมัย

นับตั้งแต่บุนเดสลีกา จัดแข่งขันครั้งแรก ในซีซั่น 1963/64 มี 12 สโมสรที่เคยคว้าแชมป์ โดยทีมล่าสุดที่ไม่ใช่บาเยิร์น และดอร์ทมุนด์ ที่สามารถยืนแป้นอันดับ 1 ของลีก นั่นคือโวล์ฟส์บวร์ก ในฤดูกาล 2008/09

ยูนิโอน เบอร์ลิน, ไฟร์บวร์ก และแอร์เบ ไลป์ซิก ที่แม้จะมีคะแนนตามหลังจ่าฝูง 5, 7 และ 8 แต้ม ตามลำดับ แต่ทั้ง 3 ทีมนี้ ก็ยังมีสิทธิ์คว้าแชมป์สมัยแรกในประวัติศาสตร์เช่นกัน กับโปรแกรมอีก 9 นัดที่เหลือ

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

– https://fcbayern.com/en/news/2021/12/11-1-50-years-ago-fc-bayern-celebrated-their-biggest-ever-bundesliga-win

– https://sqaf.club/why-bayern-munich-called-fc-hollywood/

https://www.bundesliga.com/en/bundesliga/news/borussia-dortmund-1994-95-remembering-first-title-12164

https://bvbbuzz.com/2018/01/24/look-back-borussia-dortmunds-remarkable-financial-recovery/

https://en.wikipedia.org/wiki/Der_Klassiker

Categories
Special Content

ความกังวลของ “แกเร็ธ เซาท์เกต” กับปัญหาแข้งอังกฤษในพรีเมียร์ลีกลดลง

โปรแกรมฟุตบอลในช่วงกลางสัปดาห์นี้ ยาวไปจนถึงกลางสัปดาห์หน้า จะสลับฉากจากระดับลีก เป็นทีมชาติ ในส่วนฝั่งยุโรป จะเป็นรอบคัดเลือก ของฟุตบอลชิงแชมป์ระดับทวีป หรือ “ยูโร 2024”

สำหรับยูโร 2024 รอบคัดเลือก มี 53 ชาติเข้าร่วม (ยกเว้นเยอรมนี ในฐานะเจ้าภาพ และรัสเซีย ที่ยังติดโทษแบนจากยูฟ่า) แบ่งออกเป็น 10 กลุ่ม โดยมี 7 กลุ่ม ที่มีกลุ่มละ 5 ชาติ และอีก 3 กลุ่ม ที่มีกลุ่มละ 6 ชาติ

แต่ละกลุ่ม คัดเอา 2 อันดับแรก เข้ารอบสุดท้ายอัตโนมัติ ส่วนอีก 3 ชาติที่เหลือ จะเอามาจากชาติที่ตกรอบคัดเลือกยูโร แต่มีผลงานดีที่สุด ในยูฟ่า เนชันส์ ลีก เฉพาะลีก A, B และ C ลีกละ 4 ชาติ มาเตะเพลย์ออฟกันในแต่ละลีก

ในส่วนของทีมชาติอังกฤษ จะประเดิม 2 นัดแรก ด้วยการ “รีแมตช์” คู่ชิงชนะเลิศยูโรครั้งที่แล้ว ในการบุกไปเยือนทีมชาติอิตาลี ที่เนเปิ้ลส์ 23 มีนาคม และจะกลับมาเล่นในเวมบลีย์ พบกับทีมชาติยูเครน 26 มีนาคม

อย่างไรก็ตาม แกเร็ธ เซาท์เกต กุนซือ “ทรี ไลออนส์” ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับจำนวนนักเตะอังกฤษที่ได้ลงเล่นเป็นตัวหลักในพรีเมียร์ลีกลดลง เหตุใดเขาจึงออกมาพูดเช่นนี้

ส่องไลน์-อัพอังกฤษ ก่อนประเดิมคัดยูโร

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา ทีมชาติอังกฤษประกาศรายชื่อ 25 นักเตะชุดสู้ศึกยูโร 2024 รอบคัดเลือก 2 นัดแรกกับอิตาลี ในวันที่ 23 มีนาคม และยูเครน ในวันที่ 26 มีนาคม โดยมีรายชื่อดังต่อไปนี้

– ผู้รักษาประตู : จอร์แดน ฟิคฟอร์ด (เอฟเวอร์ตัน), นิค โป๊ป (นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด), อารอน แรมส์เดล (อาร์เซน่อล)

– กองหลัง : เบน ชิลเวลล์ (เชลซี), เอริค ดายเออร์ (ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์), มาร์ค เกฮี (คริสตัล พาเลซ), รีช เจมส์ (เชลซี), แฮร์รี่ แม็กไกวร์ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด), ลุค ชอว์ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด), จอห์น สโตนส์ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้), ไคล์ วอล์คเกอร์ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้), คีแรน ทริปเปียร์ (นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด)

– กองกลาง : จู๊ด เบลลิงแฮม (โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์), คอเนอร์ กัลลาเกอร์ (เชลซี), จอร์แดน เฮนเดอร์สัน (ลิเวอร์พูล), เจมส์ แมดดิสัน (เลสเตอร์ ซิตี้), คัลวิน ฟิลลิปส์ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้), ดีแคลน ไรซ์ (เวสต์แฮม), เมสัน เมาท์ (เชลซี)

– กองหน้า : ฟิล โฟเด้น (แมนเชสเตอร์ ซิตี้), แจ็ค กริลิช (แมนเชสเตอร์ ซิตี้), แฮร์รี่ เคน (ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์), บูกาโย่ ซาก้า (อาร์เซน่อล), อิวาน โทนีย์ (เบรนท์ฟอร์ด), มาร์คัส แรชฟอร์ด (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)

แต่ล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา มี 3 แข้งขอถอนตัวออกไป เริ่มจากนิค โป๊ป ที่ได้รับบาดเจ็บจากเกมที่นิวคาสเซิล ชนะฟอเรสต์ 2 – 1 ในเกมลีกนัดล่าสุด โดยเฟเซอร์ ฟอร์สเตอร์ นายทวารจากสเปอร์ เสียบแทน

รายต่อมาคือเมสัน เมาท์ ที่ไม่ได้ลงเล่นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บที่กระดูกเชิงกราน และล่าสุดเป็นรายของแรชฟอร์ด ที่ได้รับบาดเจ็บจากเกมที่เอาชนะฟูแล่ม 3 – 1 ในถ้วยเอฟเอ คัพ

นักเตะผู้ดีในพรีเมียร์ลีกน้อยลงเรื่อย ๆ

“ตัวเลขก็คือตัวเลข และมันก็ไม่เพิ่มขึ้นเลย ตอนนี้ตัวเลขอยู่ที่ 32 เปอร์เซ็นต์ ตอนที่ผมรับงานอยู่ที่ 35 เปอร์เซ็นต์ และปีก่อนหน้านั้นอยู่ที่ 38 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นชัดเจนเลยว่า มันคือกราฟขาลงแบบไม่มีข้อโต้แย้ง”

“จำนวนนักเตะอังกฤษที่ลดลงอย่างรวดเร็วในพรีเมียร์ลีก มันไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวลในอีก 18 เดือนข้างหน้า แต่ในอีก 4-5 ปีต่อจากนี้ มันอาจจะเป็นปัญหา โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เหลือแค่ 28 เปอร์เซ็นต์”

ทั้งหมดที่กล่าวมา คือคำพูดของแกเร็ธ เซาท์เกต กุนซือทีมชาติอังกฤษ ที่ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับจำนวนนักเตะชาวอังกฤษที่เป็นตัวหลักในพรีเมียร์ลีก กำลังน้อยลงเรื่อย ๆ และอาจจะส่งผลเสียในระยะยาว

สำหรับในฤดูกาล 2022/23 มีนักเตะอังกฤษลงเล่นในพรีเมียร์ลีก 161 คน ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับ 2 ฤดูกาลหลังสุด และอีก 22 คน ลงเล่นใน 4 ลีกใหญ่ของยุโรป (เยอรมัน, อิตาลี, สเปน, ฝรั่งเศส)

เมื่อมาดูตัวเลขของนักเตะสัญชาติอังกฤษ ที่ลงเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลนี้ คำนวณออกมาเป็นจำนวนนาที พบว่าอยู่ในอันดับที่ 6 น้อยกว่าฝรั่งเศส, เยอรมัน, สเปน, โปรตุเกส และบราซิล ตามลำดับ

และถ้าเจาะลึกลงไปสำหรับเปอร์เซ็นต์การลงสนามในพรีเมียร์ลีก ของ 23 นักเตะสิงโตคำรามที่ติดทีมในการคัดเลือกยูโร 2 เกมแรก ปรากฏว่า ในจำนวนนี้ มีอยู่ 7 คน ที่ลงเล่นไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ได้แก่ ไคล์ วอล์คเกอร์, คอเนอร์ กัลลาเกอร์, รีช เจมส์, เบน ชิลเวลล์, เฟเซอร์ ฟอร์สเตอร์, แฮร์รี่ แม็กไกวร์ และคัลวิน ฟิลลิปส์

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 4 ซีซั่นหลังสุด นักเตะจากสโมสร “บิ๊ก 6” พรีเมียร์ลีก (อาร์เซน่อล, เชลซี, ลิเวอร์พูล, แมนฯ ซิตี้, แมนฯ ยูไนเต็ด, สเปอร์) ลงเล่นคิดเป็น 27 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 16 เปอร์เซ็นต์ ของ 4 ซีซั่นก่อนหน้านั้น

ไม่ใช่แค่เซาท์เกตเท่านั้นที่กังวล โรแบร์โต้ มันชินี่ เทรนเนอร์ของ “อัซซูรี่” คู่แข่งของอังกฤษในเกมเปิดหัว คืนวันพฤหัสบดีนี้ ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เขาก็เจอปัญหาขาดแคลนนักเตะชาติตัวเองในลีกสูงสุดเช่นกัน

แม้สโมสรจากเซเรีย อา จะผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ถึง 3 ทีม แต่มีนักเตะอิตาลีรวมกันไม่ถึง 10 คน จำนวนนาทีที่นักเตะลงเล่นในถ้วยใหญ่ยุโรป อยู่ในอันดับที่ 8 ต่ำกว่าอังกฤษเสียอีก

อีกไม่นานคงต้องหานักเตะจากลีกรอง

แกเร็ธ เซาท์เกต นายใหญ่สิงโตคำราม ชี้ว่า ตลาดนักเตะหน้าหนาวปีนี้ ที่ใช้เงินมากถึง 815 ล้านปอนด์ คือการตัดโอกาสนักเตะอังกฤษในพรีเมียร์ลีก และเขาอาจจะต้องหานักเตะจากลีกแชมเปี้ยนชิพมาทดแทน

และนี่คือหน้าตาของทีมชาติอังกฤษ ถ้าเซาท์เกตอยากหานักเตะฝีเท้าดีจากลีกรอง (แผนการเล่น 4-3-3หรือ 4-2-3-1)

– เฟรดดี้ วูดแมน (เปรสตัน นอร์ทเอนด์) : อดีตผู้รักษาประตูนิวคาสเซิล วัย 26 ปี เล่นตำแหน่งเดียวกับแอนดี้ วูดแมน คุณพ่อของเขา เก็บคลีนชีตได้ 16 นัด จาก 38 นัด ให้กับเปรสตันในฤดูกาลนี้

– ไรอัน ไจล์ส (มิดเดิลสโบรช์) : ฟูลแบ็กฝั่งซ้ายวัย 23 ปี ที่ยืมตัวมาจากวูล์ฟแฮมป์ตัน ทำ 11 แอสซิสต์ จาก 38 นัด ให้กับมิดเดิลสโบรช์ ในลีกแชมเปี้ยนชิพ ฤดูกาลนี้ ภายใต้การคุมทีมของไมเคิล คาร์ริก

– เทย์เลอร์ ฮาร์วูด-เบลลิส (เบิร์นลีย์) : เซ็นเตอร์แบ็กวัย 21 ปี ที่ยืมตัวมาจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ สามารถสอดแทรกขึ้นมาเล่นเกมรุกได้ และเคยติดทีมชาติอังกฤษชุดเยาวชนทุกรุ่น ตั้งแต่ชุดยู-16 จนถึงยู-21

– ชาร์ลี เครสเวลล์ (มิลล์วอลล์) : เซ็นเตอร์แบ็กวัย 20 ปี ที่ยืมตัวมาจากลีดส์ ยูไนเต็ด ลูกชายของริชาร์ด เครสเวลล์ อดีตกองหน้าชื่อดัง กำลังพามิลล์วอลล์ลุ้นพื้นที่เพลย์ออฟ เพื่อเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก

– แม็กซ์ อารอนส์ (นอริช ซิตี้) : ฟูลแบ็กฝั่งขวาวัย 23 ปี เพชรเม็ดงามจากอคาเดมี่ของนอริช ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่มาตั้งแต่ปี 2018 และเคยตกเป็นเป้าหมายของบาร์เซโลน่า ยักษ์ใหญ่จากสเปนมาแล้ว

– เจมส์ แม็คอาธี (เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด) : มิดฟิลด์วัย 20 ปี ยิง 5 ประตู กับ 2 แอสซิสต์ ในลีก ซึ่งเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ทีมของเขา จับสลากพบกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้นสังกัดที่แท้จริง ในเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ

– อเล็กซ์ สกอตต์ (บริสตอล ซิตี้) : มิดฟิลด์วัย 19 ปี มีจุดเด่นในเรื่องแอสซิสต์ให้เพื่อนยิงประตู ได้รับการคาดหมายว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดของลีกรอง โดยมีทีมจากพรีเมียร์ลีกหลายทีมให้ความสนใจเขา

– จอร์จ ฮอลล์ (เบอร์มิงแฮม ซิตี้) : มิดฟิลด์วัย 18 ปี เติบโตจากอคาเดมี่ของเบอร์มิงแฮม ซิตี้ ที่เดียวกับจู๊ด เบลลิ่งแฮม ซึ่งทรอย ดีนี่ย์ กองหน้าเพื่อนร่วมทีม บอกว่า เขาจะเป็นซูเปอร์สตาร์คนใหม่ของอังกฤษแน่นอน

– นาธาน เทลล่า (เบิร์นลีย์) : มิดฟิลด์วัย 23 ปี ที่ยิมตัวมาจากเซาแธมป์ตัน ยิง 17 ประตู กับ 3 แอสซิสต์ ช่วยให้ทีมของกุนซือแว็งซองต์ กอมปานี จ่อเลื่อนชั้นขึ้นสู่พรีเมียร์ลีก ในฐานะแชมป์ลีกรองเต็มที

– โจ เกลฮาร์ดท์ (ซันเดอร์แลนด์) : ศูนย์หน้าวัย 20 ปี ยืมตัวมาจากลีดส์ ยูไนเต็ด ในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะเดือนมกราคมที่ผ่านมา ลงเล่นให้ซันเดอร์แลนด์ 10 นัด ในลีกรอง ทำได้ 1 ประตู กับ 2 แอสซิสต์

– ชูบา อัคปอม (มิดเดิลสโบรช์) : อดีตกองหน้าอาร์เซน่อล วัย 27 ปี ทำได้ 24 ประตู จาก 31 นัด ในลีก มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ “เดอะ โบโร่” มีลุ้นเลื่อนชั้นแบบอัตโนมัติ ทั้ง ๆ ที่อยู่ท้ายตารางเมื่อช่วงต้นซีซั่น

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

– https://www.bbc.com/sport/football/64988328

– https://www.bbc.com/sport/football/65014530

https://www.telegraph.co.uk/football/2023/03/17/what-england-team-would-look-like-filled-current-championship/

– https://www.skysports.com/football/news/11095/12835452/gareth-southgate-admits-concern-over-englands-shrinking-talent-pool-with-only-32-per-cent-of-starters-in-premier-league-eligible

https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-11885279/We-worse-Southgate-Roberto-Mancini-bemoans-lack-homegrown-talent-Italy.html