Categories
Our Work

ลาลีกา จับมือ TikTok จัดงาน “LALIGA Extra Time” สัมผัสประสบการณ์ใหม่ เอาใจคอลูกหนังชาวไทย

ครั้งแรก!! กับงาน “LALIGA Extra Time – TikTok : Unlocking next-level opportunities for the sports industry in Thailand” ที่ทาง ลาลีกา ลีกฟุตบอลของประเทศสเปน ร่วมกับTikTok แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นชั้นนำระดับโลก จัดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย ณ สำนักงานใหญ่ TikTok อาคาร พาร์ค สีลม เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา โดยงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ แบ่งปันความรู้จากผู้เชี่ยวชาญในวงการฟุตบอล และครีเอเตอร์ผู้ผลิตคอนเทนต์ด้านฟุตบอล โดยมีผู้ร่วมงานรวมกว่า 100 คน

บรรยากาศก่อนเริ่มการเสวนาบนเวที มีครีเอเตอร์ สื่อมวลชน และผู้ร่วมงาน แวะเวียนมาถ่ายภาพ ทำคอนเทนต์กับเสื้อฟุตบอลลาลีกาทั้ง 8 สโมสร ที่นำมาโชว์ในงาน รวมไปถึงพูดคุยพบปะกันพอหอมปากหอมคอตามประสาคนกีฬา และงานนี้ยังต้องขอบคุณ ลาลีกา และ TikTok ที่นำของที่ระลึกมากมาย มามอบให้ผู้ร่วมงานอีกด้วย ก่อนที่จะเริ่มเปิดเวทีเสวนา ซึ่งมี แนท ดูบอลกับแนทเป็นพิธีกรในวันนี้

ภายในงานเป็นการเสวนา ภายใต้หัวข้อ “โอกาสในการยกระดับอุตสาหกรรมกีฬาในประเทศไทย” โดยมีผู้เชี่ยวชาญในวงการฟุตบอลมาร่วมเสวนา นำโดย “คุณนาธาร รัตนนาคินทร์” หัวหน้าแผนกความสัมพันธ์ต่างประเทศ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย, “อิวาน โกดิน่า”ตัวแทนจากลาลีกา, “คุณณมน ติงศภัทิย์” Sports & Gaming Operations Lead, TikTok, สโมสรแอตเลติโก้ มาดริด, สโมสรบาร์เซโลน่า, “คุณชัชวาล การุณยะวนิช” จากอีเอ สปอร์ตส์, “คุณชาลี สมุทรโคจร” จากคาราบาว กรุ๊ป, “คุณวัลลภ ตรีฤกษ์งาม” จาก ซูซูกิ ประเทศไทย รวมถึงครีเอเตอร์ด้านฟุตบอลชื่อดังอย่าง ขอบสนามวาทะลูกหนัง และอื่น ๆ ร่วมการเสวนา

โดย คุณ อิวาน โกดิน่า กรรมการผู้จัดการ LALIGA ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้,ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย ได้กล่าวว่า “หลัง 7 ปีที่นี่ ลาลีกา ตระหนักดีถึงพลังของฟุตบอลที่มีมากในประเทศไทยไม่ต่างจากที่สเปน ยิ่งด้วยการจับมือกันกับพันธมิตรอย่าง TikTok ร่วมกับทุกหน่วยงานสำคัญที่มีอิทธิพลสูงในอุตสาหกรรมกีฬา LALIGA EXTRA TIME จึงเกิดขึ้นเพื่อสร้างฐานรากที่จะตอกย้ำความเจริญก้าวหน้าของอนาคตฟุตบอลในประเทศไทย นำโดยโปรเจคต์ที่ถูกพูดถึงไม่ว่าจะเป็น LALIGA ยูธ ทัวร์นาเมนท์ และ TikTok Sports Hub หรืองานโดยสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ล้วนยืนยันในสิ่งที่ผมกำลังพูดถึงนี้เป็นอย่างดี”

ขณะที่ทางด้าน นายณมน ติงศภัทิย์ Sports & Gaming Operations Lead, TikTok เผยว่า “จุดเริ่มต้นของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง TikTok และ LILAGA ก่อตัวขึ้นท่ามกลางการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของคอมมูนิตี้กีฬาบนแพลตฟอร์ม TikTok โดยมีการรับชมคอนเทนต์กีฬาบนแพลตฟอร์มในปี 2566 เพิ่มขึ้นถึง 95% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเฉพาะกีฬาฟุตบอลซึ่งถือเป็นกีฬายอดนิยมอันดับหนึ่งของคนไทย สะท้อนได้จากจำนวนการรับชมคอนเทนต์กีฬาฟุตบอลบนแพลตฟอร์มอย่าง #TikTokบอลไทย และ #TikTokบอลนอก ซึ่งมียอดวิวกว่า 340 ล้านวิว และ 2 พันล้านวิวตามลำดับในช่วงปีที่ผ่านมา เราเล็งเห็นถึงศักยภาพคอมมูนิตี้กีฬาฟุตบอลบนแพลตฟอร์มจึงริเริ่มความร่วมมือกับ LALIGA เพื่อสนับสนุนวงการฟุตบอล เพราะเราเชื่อว่าทุกวันนี้ขอบเขตของวงการกีฬาไม่ได้ถูกจำกัดความถึงแค่ นักกีฬา สโมสร และสมาคมกีฬาเท่านั้น แต่กำลังสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของวงการกีฬามาโดยตลอดนั้นก็คือ ‘แฟนกีฬา’ และ ‘เหล่าคอนเทนต์ครีเอเตอร์สายกีฬา’ ที่ช่วยสร้างความครึกครื้นให้กีฬาฟุตบอลได้รับความนิยมท่วมท้นอย่างทุกวันนี้ เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่จุดประกายความร่วมมือนี้ ด้วยเหตุนี้เองเราจึงอยากขอบคุณครีเอเตอร์และผู้ใช้ชาวไทยที่ร่วมกันสร้างคอมมูนิตี้กีฬาที่แข็งแกร่ง ตลอดจนพาร์ทเนอร์คนสำคัญอย่าง LALIGA ที่ร่วมปลดล็อกโอกาสสู่ประสบการณ์จริงนอกแพลตฟอร์ม”

สำหรับเนื้อหาของการเสวนาในช่วงแรก ได้กล่าวถึงวิวัฒนาการของการติดตามคอนเทนต์กีฬา จากมุมมองของ LALIGA และ TikTok รวมถึงมุมมองของสื่อที่ถูกยกให้เป็นสุดยอดครีเอเตอร์ด้านกีฬาแห่งปี อย่าง ขอบสนาม และวาทะลูกหนัง ซึ่งทั้งคู่จะได้มีส่วนร่วมในโครงการ LALIGA Adventure ที่จะได้โอกาสเดินทางไปประเทศสเปน เพื่อสัมผัสบรรยากาศของการแข่งขันฟุตบอลลาลีกา, เข้าเยี่ยมชมสโมสรต่างๆ ในลาลีกา ตลอดจนวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวสเปน

ทางด้าน ไจเม่ โอยาบาเมีย ตัวแทนจากสโมสรแอตเลติโก้ มาดริด ได้นำเสนอเกี่ยวกับโครงการ “Atleti Creaters Club” เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งเปิดโอกาสให้ครีเอเตอร์ทั่วโลก ได้แชร์มุมมองเรื่องฟุตบอลของตัวเอง กับหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่มีชื่อเสียงที่สุดของสเปน

ส่วนการเสวนาในช่วงที่ 2 ได้กล่าวถึงพลังของกีฬาเพื่อการสร้างแบรนด์และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย การวางกลยุทธ์ในการใช้กีฬาเพื่อทำการตลาด และเปิดเผยเรื่องราวความสำเร็จในระดับโลก จากตัวแทนของอีเอ สปอร์ตส์, คาราบาว กรุ๊ป และซูซูกิ 

นอกจากนี้ มร. จอร์โจ ปอมปิลิ รอสซี ตัวแทนลาลีกาประจำประเทศไทย ได้ประกาศจัดการแข่งขัน LALIGA Youth Tournament รายการการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่จะเริ่มขึ้นในเร็ว ๆ นี้

รับชมภาพเพิ่มเติมที่นี่ได้เลยค่ะ https://drive.google.com/drive/u/2/folders/1saaRDUvBz0ePsmsTdcxG7IXUJoz8WaTN

Categories
Special Content

หรือว่า “ผู้จัดการทีม” เป็นต้นเหตุ บราซิลยังรอคอยแชมป์โลกสมัยที่ 6

หลังตีเตพ้นตำแหน่งเมื่อจบเวิลด์คัพ 2022 ที่กาตาร์ ทีมชาติบราซิลใช้บริการของกุนซือรักษาการไป 2 คนคือ รามอน เมเนเซส (3 นัด ช่วงกุมภาพันธ์ถึงกรกฎาคม 2023) และ แฟร์นานโด ดินิซ (6 นัด ช่วงกรกฎาคม 2023 ถึง มกราคม 2024) ระหว่างรอ คาร์โล อันเซลอตติ ตอบรับข้อเสนอ แต่ท้ายสุดไม่เป็นดังหวัง ยอดกุนซืออิตาเลียนวัย 64  ปี ต่อสัญญาคุมทีมเรอัล มาดริด ไปถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2026

นั่นทำให้สมาพันธ์ฟุตบอลบราซิลเบนเข็มไปดึง โดริวัล จูเนียร์ มาจากสโมสรเซา เปาโล ทั้งที่เฮดโค้ชวัย 61 ปี เพิ่งเข้าทำงานให้สโมสรเป็นรอบ 2 เมื่อเดือนเมษายน 2023 โดยประกาศแต่งตั้งโดริวัลอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมา

จากโปรแกรมแข่งขันของอดีตแชมป์โลก 5 สมัย โดริวัลจะคุมทีมบราซิลอุ่นเครื่อง 4 นัดกับอังกฤษ, สเปน, เม็กซิโก และสหรัฐอเมริกา ก่อนเข้าร่วมโคปา อเมริกา หรือศึกลูกหนังชิงแชมป์แห่งชาติทวีปอเมริกาใต้ ครั้งที่ 48 ระหว่างวันที่ 20มิถุนายน ถึง 14 กรกฎาคม 2024 ที่สหรัฐอเมริกา

หลังจบโคปา อเมริกา โดริวัลยังมีภารกิจสำคัญคือ เวิลด์คัพ 2026 รอบคัดเลือก โซนอเมริกาใต้ ซึ่งยังเหลืออีก 12 นัด ที่จบโปรแกรมในเดือนกันยายน 2025 แต่บราซิลทำผลงาน 6 นัดแรกต่ำกว่ามาตรฐาน ชนะ 2 นัด เสมอ 1 นัด และแพ้ถึง 3นัด มีเพียง 7 คะแนน รั้งอันดับ 6 ตามหลังจ่าฝูง อาร์เจนตินา 8 คะแนน

อย่างไรก็ตามด้วยชื่อชั้นและเกรดฝีเท้าของนักเตะ บวกการแข่งขันที่ยังเหลือ 12 นัด โดริวัลน่าจะพาบราซิลไต่ขึ้นไปอันดับสูงๆ ไม่ถึงขั้นต้องพึ่งอันดับ 6 ซึ่งเป็นโควตาสุดท้ายของตั๋วอัตโนมัติไปบอลโลก หรืออันดับ 7 ซึ่งต้องแข่งขันเพลย์ออฟกับทีมชาติจากทวีปอื่น

แม้บราซิลเป็นอดีตแชมป์โลก 5 สมัย แต่ว่างเว้นยาวนานกว่า 2 ทศวรรษนับตั้งแต่ชนะเยอรมนี 2-0 นัดชิงชนะเลิศเวิลด์คัพ 2002 ที่โยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นยุคทองของ 3 ประสาน โรนัลโด-ริวัลโด-โรนัลดินโญ รวมถึงตำนานวิงแบ็ค คาฟู-โรแบร์โต คาร์ลอส ทั้งที่บราซิลไม่เคยขาดแคลนนักเตะฝีเท้าระดับซูเปอร์สตาร์ แม้แต่ขุนพลชุดบอลโลกแต่ละสมัยก็แข็งแกร่งเป็นหนึ่งในทีมเต็งแชมป์อันดับต้นๆ

บางทีจุดอ่อนที่ไม่สามารถพา Seleção Canarinha หรือ Canary Squad (ทีมนกคีรีบูน) ไปถึงฝั่งฝันคือ “ผู้จัดการทีม”เพราะนับตั้งแต่ ลุยซ์ เฟลิเป สโคลารี นำถ้วยฟีฟา เวิลด์ คัพ มาสู่มาตุภูมิ บราซิลใช้ผู้จัดการทีมถึง 11 คน รวมรักษาการ และโดริวัลเป็นคนที่ 12 ในรอบ 22 ปี แม้กระทั่งดึงสโคลารีกลับมาคุมทีมรอบที่ 2 ระหว่างกุมภาพันธ์ 2013 ถึงกรกฎาคม 2014

ผลงานของผู้จัดการทีมระหว่าง 2 ทศวรรษล่าสุดที่นำขุนพลแซมบาสู่สมรภูมิบอลโลกได้แก่ คาร์ลอส อัลแบร์โต เปเรยรารอบ 8 ทีมสุดท้าย ปี 2006 ทั้งที่เคยพาทีมชนะเลิศเวิลด์คัพ 1994, ดุงกา รอบ 8 ทีมสุดท้าย ปี 2010, สโคลารี อันดับ 4ปี 2014 และ ตีเต รอบ 8 ทีมสุดท้าย ปี 2018 และ 2022

จะเห็นได้ว่า ฟุตบอลโลก 5 ครั้งหลังสุด บราซิลตกรอบก่อนรองชนะเลิศถึง 4 ครั้ง และผลงานดีที่สุดคือ อันดับ 4 ซึ่งแพ้เนเธอร์แลนด์ 0-3 ในแมตช์ชิงอันดับ 3

กาเบรียล มาร์กอตติ นักข่าวอาวุโสของ ESPN FC เขียนบทวิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจถึงสาเหตุว่า ทำไมผู้จัดการทีมชาวบราซิลไม่ประสบความสำเร็จเทียบเท่านักฟุตบอลบราซิล

สโมสรลีกบิ๊ก 5 ยุโรปเมินโค้ชอินพอร์ตจากบราซิล

มาร์กอตติเริ่มต้นด้วยการอธิบายให้เห็นภาพใหญ่ของโค้ชบราซิล … ตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติบราซิลเป็นงานโค้ชงานที่ 26 ของโดริวัลภายในเวลา 22 ปี คิดเป็นค่าเฉลี่ยทำงานแต่ละแห่งไม่ถึง 1 ปีเต็ม แต่โดริวัลก็ไม่ได้แปลกแยกไปจากเพื่อนร่วมชาติที่ทำงานอาชีพโค้ชฟุตบอล

ดินิซ ซึ่งคุมทีมฟลูมิเนนเซก่อนเข้ารักษาการผู้จัดการทีมชาติบราซิลในเดือนกรกฎาคม 2023 ก็ทำงาน 17 แห่งในช่วง 13ปี ขณะที่กุนซือคนก่อนหน้า เมเนเซส ทำงาน 11 แห่งในช่วง 10 ปี แม้กระทั่งตีเต ซึ่งนำทัพ Seleção Canarinha สู่เวิลด์คัพ 2 สมัย เป็นโค้ชทีมชาติบราซิลที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์คือ 6 ปี 3 เดือน ก็ยังคุมทีม 17 แห่งในช่วง 25 ปี ก่อนได้รับสัญญาจากสมาพันธ์ฟุตบอลบราซิล

แน่นอน สมาพันธ์ฯย่อมมองหาตัวเลือกที่ดีที่สุดเพื่อคุมทีมชาติบราซิลที่มีเกียรติประวัติอดีตแชมป์โลก 5 สมัย แต่บางทีอาจเป็น best available ณ ช่วงเวลานั้นที่อยู่ระหว่างคำว่า good กับ great เพราะข้อจำกัดคือ โค้ชดีๆมักติดอยู่กับงานที่กำลังทำ สโมสรจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อรักษาโค้ชคนนั้นไว้ ถึงไม่ได้คุมทีมชาติและถูกต้นสังกัดไล่ออกในเวลาต่อมา โค้ชบราซิลไม่ลำบากที่จะหางานใหม่ในระดับใกล้เคียงกัน

วงจรชีวิตของโค้ชบราซิลแตกต่างจากยุโรป การเปลี่ยนงานเป็นเรื่องปกติ อย่างโดริวัล ระยะคุมทีมนานที่สุดคือไม่ถึง 2 ปีที่ซานโตส ระหว่างกรกฎาคม 2015 ถึงมิถุนายน 2017 เขาเข้ามารับงานกลางฤดูกาล พาซานโตสขึ้นอันดับ 7 และจบอันดับ 3 ในปีต่อมา ก่อนโดนปลดฟ้าผ่าหลังปี 2017 เล่นไปได้เพียง 4 นัด นั่นเป็น 1 จาก 2 ครั้งที่โดริวัลทำงานนานกว่า 1 ปี

เห็นได้ชัดว่า วัฒนธรรมของโค้ชบราซิลแตกต่างจากยุโรปและส่วนใหญ่ของโลก ซึ่งเชื่อว่าโค้ชต้องการเวลาสร้างทีม พัฒนานักเตะ และติดตั้งแนวคิดสไตล์การเล่น แต่โค้ชในเมืองกาแฟไม่ได้มีประสบการณ์เช่นนั้น และถูกมองว่าคงไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมทำทีมในยุโรป

ดังนั้นโค้ชบราซิลน้อยรายมากที่ทำงานใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป สโคลารีไม่ประสบความสำเร็จกับเชลซีในซีซัน 2008-09, วานเดอร์ไล ลักเซมบูร์โก คุมทีมเรอัล มาดริด ไม่ถึง 12 เดือนเมื่อปี 2005, ริคาร์โด โกเมซ มีช่วงเวลาไม่นานนักที่บอร์กโดซ์และโมนาโก, เลโอนาร์โด โค้ชให้กับเอซี มิลาน และอินเตอร์ มิลาน ระหว่างปี 2009 ถึง 2011 และติอาโก มอตตา คุมทีมโบโลญญาตั้งแต่กันยายน 2022 ถึงปัจจุบัน

ในโปรไฟล์ต้องใส่เครื่องหมายดอกจันไว้หลังชื่อนั้นๆ สโคลารีได้รับความสนใจจากยุโรปหลังพาบราซิลชนะเลิศเวิลด์คัพ 2002 เริ่มจากสมาคมฟุตบอลโปรตุเกสตามด้วยเชลซี, เลโอนาร์โดเบนเข็มทิศไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการหลังทำหน้าที่โค้ชเพียง 2 ปี, มอตตาเล่นให้บาร์เซโลนาขณะอายุ 17 และประสบความสำเร็จกับอาชีพค้าแข้งในสเปน อิตาลี ฝรั่งเศส เคยเล่นให้ทีมชาติอิตาลี และได้รับโค้ชไลเซนซ์ที่ยุโรป

ดูแล้วเป็นเรื่องไม่สมเหตุผลในแง่ความกว้างใหญ่มหาศาลของบราซิล เพียงภาคเหนือก็มีประชากรกว่า 200 ล้านคน มากกว่า 4 ประเทศอดีตแชมป์โลกรวมกันคือ เยอรมนี อาร์เจนตินา อิตาลี และอุรุกวัย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บราซิลผลิตนักฟุตบอลเพื่อส่งออกได้มากมาย จากการศึกษาพบว่ามีนักฟุตบอล 14,405 คนที่เล่นอยู่ในลีกนอกประเทศบ้านเกิดของตัวเอง 135 ลีกทั่วโลก ซึ่งจำนวน 1,289 คนมาจากบราซิล เป็นส่วนสัด 1 ต่อ 11 ทีเดียว

เป็นใครอาจสันนิษฐานต่อว่า ในเมื่อเป็นประเทศที่ผลิตนักเตะเปี่ยมพรสวรรค์ได้มากผ่านองค์ความรู้และประเพณี บราซิลจึงควรผลิตโค้ชระดับท็อปได้มากเช่นกัน ซึ่งทราบกันดีว่าเป็นตรรกะที่ผิด

และจากการที่นักข่าวอาวุโสของ ESPN FC ได้พูดคุยกับนักข่าว ผู้บริหาร เอเยนต์ และโค้ชที่เคยทำงานในบราซิล ได้พบความจริงคือ ฟุตบอลบราซิลเป็นโลกที่แตกต่าง และไม่ได้สัมพันธ์เพียงยุโรปแต่รวมถึงชาติอื่นในทวีปอเมริกาใต้ด้วย โดยมีหลายตัวแปรที่ทำให้โค้ชบราซิลไม่ได้รับการยกย่องเหมือนนักฟุตบอลร่วมชาติ

แนวคิด “จ้างแล้วไล่ออก” เหนี่ยวรั้งพัฒนาการของโค้ชบราซิล

ข้อสำคัญคือ สโมสรบราซิลมีแนวคิด “hire-and-fire” หรือ “จ้างแล้วไล่ออก” เนื่องจากหมกหมุ่นอยู่กับผลลัพธ์ระยะสั้น ตัวอย่างเห็นได้ชัดจากโดริวัล สโมสรสามารถปลดโค้ชออกหลังผลแข่งแย่ไม่กี่นัด บ่อยครั้งสโมสรจึงเซ็นสัญญาแค่ระยะสั้น แม้มีข้อดีเอื้อต่อสภาพคล่องในการปรับเปลี่ยน แต่ถ้าโค้ชเกิดทำผลงานได้ดี ก็อาจถูกสโมสรอื่นแย่งตัวไปง่ายเช่นกัน

เบื้องหลังแนวคิด “จ้างแล้วไล่ออก” มาจากทีมส่วนใหญ่ในบราซิลใช้ระบบเลือกตั้งประธานสโมสรและบอร์ดบริหาร (ต่างกับยุโรปที่กลุ่มหรือบริษัทเจ้าของพิจารณาแต่งตั้งเอง) จึงต้องอาศัยคะแนนนิยมจากแฟนบอล ผลแข่งขันย่ำแย่ไม่กี่นัดสามารถดึงเสียงโหวตไปให้กับคู่แข่งขัน แม้บราซิลออกกฎหมายใหม่เมื่อปี 2021 เปิดประตูให้แหล่งเงินทุนต่างประเทศเข้ามาครอบครองสโมสร แต่ยังมีจำนวนน้อยนิดได้แก่ วาสโก ดา กามา, โบตาโฟโก, มิไนโร และครูไซโร

ขอบคุณภาพจาก  https://en.as.com/en/2017/12/15/soccer/1513337545_179071.html

ขอบคุณภาพจาก  https://en.as.com/en/2017/12/15/soccer/1513337545_179071.html

เทียบกับสโมสรยุโรปที่เจ้าของทีมคือเจ้าของเงินลงทุน จึงอาจอดทนกับโค้ชได้นานเพราะการไล่ออกหมายถึงเสียค่าชดเชยหรือต้องจ่ายค่าจ้างต่อทั้งที่มีโค้ชใหม่เข้ามาทำงานแทน แต่ที่บราซิล ประธานสโมสรและบอร์ดบริหาร ซึ่งได้รับเลือกจากฐานแฟนบอล ไม่ได้ใช้เงินตัวเองในการทำทีมฟุตบอล พวกเขาเป็นเพียงบุคลากรที่ถูกว่าจ้างและบริหารทีมฟุตบอลด้วยทรัพย์สินของสโมสร

แนวคิด “จ้างแล้วไล่ออก” ที่เกิดจากอารมณ์ความรู้สึกของคะแนนเสียง สามารถสะท้อนผ่านตัวอย่างของเรนาโต เกาโช ซึ่งเข้าๆออกๆตำแหน่งโค้ชของเกรมิโอเป็นรอบที่ 4 ขณะนี้ และยังมีอีก 4 รอบที่ฟลูมิเนนเซ แม้กระทั่ง 1 ครั้งกับฟลาเมงโก ทีมคู่อริของฟลูมิเนนเซ ส่วนโดริวัลก็คุมทีมฟลาเมงโก 3 รอบ และเซา เปาโล กับซานโตส ทีมละ 2 รอบ เป็นความแตกต่างชัดเจนเทียบกับวงจรชีวิตโค้ชในยุโรป

ในเมื่ออาชีพไม่มีความมั่นคง จึงไม่มีเหตุผลเลยที่โค้ชต้องเสี่ยงกับวิสัยทัศน์สร้างทีมระยะยาว ทำไมต้องทำเมื่อผลแย่ๆไม่กี่นัดสามารถส่งให้ตกงาน การใส่ไอเดียใหม่ๆและพัฒนานักเตะหนุ่มๆล้วนต้องอาศัยเวลาที่ไม่เคยมีสำหรับโค้ชบราซิล ซึ่งคนอื่นไม่สามารถตัดสินว่าผิดหรือถูกเพราะเป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนยุโรป ซึ่งเอื้อให้ใช้ความคิดสร้างสรรค์กับงานแทคติกและนวัตกรรมมากกว่า

ไลเซนส์-ภาษา-เหยียดเชื้อชาติ เป็นอุปสรรคขวางในทวีปยุโรป

นอกเหนือลักษณะโครงสร้างการบริหารของสโมสรบราซิล ยังมีตัวแปรเล็กๆน้อยๆที่มีผลต่อพัฒนาของผู้มีอาชีพโค้ช

เริ่มจากค่านิยมของยุโรปที่มีต่อโค้ชอิมพอร์ตจากเมืองกาแฟ สโมสรที่เล่นในแชมเปียนส์ ลีก ไม่สนใจว่าจ้างโค้ชบราซิลแล้ว (อาจยกเว้นหากบราซิลชนะเลิศเวิลด์คัพ 2026) โค้ชที่มีรีซูเมกับทีมระดับบิ๊กในบราซิลอาจได้งานจากสโมสรกลางตารางค่อนไปทางด้านล่างของลีกบิ๊ก 5 ยุโรป (ถ้าพาทีมรอดตกชั้นได้ อาจมีสโมสรที่ใหญ่ขึ้นหันมามอง)

ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าโค้ชบราซิลออกจากบ้านเกิด พวกเขามีโอกาสมากกว่าที่ตะวันออกกลางหรือเอเชียเช่น สโคลารี ซึ่งเพิ่งอำลามิไนโร สถานที่ทำงานแห่งที่ 31 ในรอบ 42 ปี เคยคุมทีมในซาอุดิ อาระเบีย, คูเวต, ญี่ปุ่น, อุซเบกีสถาน และจีน

สโมสรยุโรปไม่ยอมรับไลเซนส์ที่ออกในบราซิล โค้ชที่ได้รับการพิจารณาจึงมักมีความสำเร็จให้จับต้องได้ระดับหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นช่วงเล่นฟุตบอลก็ได้ดังตัวอย่างที่ยกข้างต้น แต่แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่โค้ชหนุ่มไฟแรงจากบราซิลจะค่อยๆไต่เต้าจากฐานของโค้ชพีรามิดในยุโรป ดังนั้นโค้ชบราซิลบางส่วนจึงเดินทางไปร่ำเรียนโค้ชคอร์สในต่างประเทศ อาร์เจนตินาเป็นตัวเลือกหนึ่ง บางคนอาจเป็นโค้ชหลังเลิกเล่นฟุตบอลในยุโรป

ภาษาเป็นอุปสรรคหนึ่งที่หลายคนอาจไม่เชื่อ โปรตุกีสเป็นภาษาหลักที่ใช้ในบราซิล เชื่อหรือไม่โค้ชบราซิลแทบพูดภาษาอังกฤษหรือสแปนิชไม่ได้เลย เหตุผลคือบราซิลเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่มาก พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องเรียนภาษาต่างชาติ ดังนั้นลำพังหาโค้ชบราซิลที่ผลงานดีๆยังยาก สโมสรยุโรปยิ่งไม่อยากเสียเงินเพิ่มด้วยการจ้างล่าม

โปรตุเกสน่าจะเป็นเป้าหมายที่ดีสำหรับโค้ชบราซิล แต่กลับเป็นนักฟุตบอลที่แห่แหนไปค้าแข้งในลีกแดนฝอยทอง ส่วนโค้ชนั้นแทบนับนิ้วได้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แถมยิ่งเป็นไปได้ยากเพราะตอนนี้โปรตุเกสผลิตโค้ชเก่งๆมากขึ้นเรื่อยๆ 

ปิดท้ายด้วยผลสำรวจจากสโมสร 96 ทีมที่แข่งขันในลีกบิ๊ก 5 ของยุโรป พบว่ามีผู้จัดการทีมที่ไม่ใช่คนยุโรปแค่ 8 คนเท่านั้น จึงแทบไม่มีโอกาสเลยสำหรับโค้ชต่างทวีป และน้อยมากถึงมากที่สุดสำหรับโค้ชบราซิล

3 คนเป็นอดีตนักบอลที่เล่นอย่างยาวนานในยุโรปและไม่เคยออกไปจากพื้นแผ่นดินใหญ่หลังแขวนสตั๊ดได้แก่ ติอาโก มอตตา ของโบโลญญา, เมาริซิโอ โปเชตติโน ของเชลซี และ เปลเลกริโน มาตาราซโซ ของฮอฟเฟนไฮม์, 2 คนเป็นผู้จัดการทีมที่มีผลงานเข้าตาในฟุตบอลโลกได้แก่ อังเก ปอสเตโคกลู ของสเปอร์ส และ ฮาเวียร์ อากีร์เร ของมายอร์กา, อีก 2 คนคือ ดีเอโก ซีเมโอน ของแอตเลติโก มาดริด กับ เมาริซิโอ เปลเลกริโน ของคาดีซ ต่างเคยเล่นในยุโรปเป็นเวลาหลายปีและพิสูจน์ฝีมือคุมทีมในอาร์เจนตินา ก่อนกลับมาใช้ชีวิตในยุโรป ส่วน มานูเอล เปลเลกรินี ของเบตีส เป็นคนเดียวที่ไม่เคยค้าแข้งในยุโรป และไม่เคยคุมทีมชาติหรือกระทั่งสโมสรในลีกบิ๊ก 5 ยุโรป

ปูมประวัติศาสตร์ทีมชาติบราซิล มีผู้จัดการทีมทั้งหมด 84 คน (กลุ่มสตาฟฟ์โค้ชนับเป็น 1 เช่น รูเบน ซัลเลส และซัลวิโอ ลาเกรกา ซึ่งร่วมกันคุมบราซิลเตะแมตช์ทางการนัดแรกในปี 1914 เป็นเกมกระชับมิตรกับสโมสร เอ็กซ์เซเตอร์ ซิตี) พบว่าไม่ใช่ชาวบราซิลเพียง 3 คน คือ รามอน พลาเตโร (อุรุกวัย) ที่คุมทีมกับโจอาคิม กิมาเรส เมื่อปี 1925, โฮเรกา (โปรตุเกส) ที่คุมทีมกับฟลาวิโอ คอสตา เมื่อปี 1944 และ ฟิลโป นูเญซ (อาร์เจนตินา) ซึ่งคุมทีมแค่นัดเดียวในเดือนกันยายน 1965 

แต่ละคนมีช่วงเวลาสั้นมากกับตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติบราซิล และนับจากนูเญซนานเกือบ 60 ปีที่สมาพันธ์ฟุตบอลบราซิลไม่เคยเซ็นสัญญากับโค้ชต่างชาติ แม้กระทั่งความพยายามล่าสุดที่จะปฏิวัติครั้งใหญ่ด้วยการดึงกุนซือระดับโลกอย่างอันเซลอตติเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Seleção Canarinha ชูถ้วยฟีฟา เวิลด์คัพ สมัยที่ 6 ยังล้มเหลว

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Our Work

ลาลีกา สนุกกว่าเดิม!! ต้อนรับฤดูกาลใหม่ นัดมีตติ้งสื่อ อินฟลูเอนเซอร์ สไตล์นั่งชิล สวนหลังบ้านเพื่อน เปิดตัว LALIGA+ แพลตฟอร์มชมบอลสเปน สด ครบ 380 แมตช์ พร้อมโลโก้ใหม่ สโลแกนใหม่ สปอนเซอร์ใหม่ เข้าถึงแฟนบอลมากขึ้น

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ลาลีกาได้พยายามปรับปรุง เพื่อสร้างประสบการณ์ให้แฟนฟุตบอลสเปนจากพื้นที่ต่าง ๆ ของโลก และแน่นอนว่า ตลาดอาเซียนนำโดยประเทศไทย คือ ตลาดหลักที่ลาลีกาให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง

สืบเนื่องจากปีที่แล้ว เปิดตัวแอพพลิเคชั่น “LaLiga Pass” ไปหมาด ๆ ล่าสุด “ลาลีกา” จัดเต็มซีซั่น 2023/24 ให้แฟนบอลไทยลุ้นสนุกมากกว่าเดิม ผ่านแอพพลิเคชั่น LALIGA+ แพลตฟอร์ม OTT ที่ปรับปรุงใหม่ สำหรับแฟนกีฬาทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ที่จะทำให้แฟนลูกหนังได้ใกล้ชิดลีกกระทิงดุ และคอนเทนท์อื่น ๆ ที่เตรียมไว้ได้มากยิ่งขึ้น

ไม่เพียงเท่านั้น ฤดูกาลนี้ยังมาพร้อมกับการเปลี่ยนโลโก้ใหม่ ที่เป็นตัวอักษรย่อ LL ในสีแดงคอรัล (Coral Red) เริ่มใช้ในฤดูกาลนี้ แทนที่โลโก้เดิมที่ถูกใช้มายาวนานกว่า 30 ปี 

สำหรับในประเทศไทย ฤดูกาลนี้ เริ่มต้นที่การเปิดตัวโลโก้ใหม่ พร้อมสโลแกนใหม่ (รายละเอียดท้ายบทความ) ด้วยการร่วมบูรณะสนามฟุตซอล ภายใต้โปรเจคต์ Second Chance สำเร็จเมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2556 ที่ผ่านมา ณ โรงเรียนวัดปรมัยยิกาวาส (แสนสวัสดิ์วิทยาคาร) เกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยได้ศิลปินกราฟฟิติ-สตรีทอาร์ท ที่ได้รับการยอมรับสูงที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย “มวย” ปิยศักดิ์ เขียวสะอาด มารังสรรค์ผลงาน พร้อมต้อนรับโลโก้ใหม่ และประเดิมการใช้สนามด้วยฟุตบอลกระชับมิตรแมตช์พิเศษระหว่างครู นักเรียน และตัวแทนหน่วยงานราชการท้องถิ่น กับสื่อมวลชน หาเงินสมทบทุนปรับปรุงโรงอาหารโรงเรียนอีกด้วย

สนามฟุตซอลแห่งนี้ ได้รับการเพนท์ ด้วยลวดลายที่สวยงาม มีทั้งภาพช้าง สัตว์คู่บ้านคู่เมืองของไทย ลูกฟุตบอลที่พุ่งตรงเข้าไปในตาข่าย ภาพเจดีย์เอียง ที่เป็นสัญลักษณ์ของเกาะเกร็ด รวมไปถึงภาพลิง ที่เป็นเสมือนลายเส้นสำคัญของศิลปินอย่างคุณมวย ภายใต้สีหลัก แดง และฟ้า สอดคล้องไปกับสีของโลโก้ใหม่ลาลีกา แทรกด้วยสีอื่น ๆ ตามสไตล์ของศิลปิน และความสอดคล้องของพื้นผิวสนามประหนึ่งสายน้ำทอดต่อเนื่องไปถึงกำแพงซึ่งสามารถกลายเป็นจุดเช็คอิน และสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะมาเยี่ยมเยือนเกาะเกร็ด นอกเหนือจากการมาชมแหล่งที่ปั้นดินเผา เจดีย์เอียง แวะทานอาหารท้องถิ่น อย่าง ทอดมันหน่อกะลา  

และถัดมา เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2566 ณ ร้านอาหารสเปน El Tapeo Bangkok “ลาลีกา ประเทศไทย” ได้จัดกิจกรรมเปิดฤดูกาลใหม่ ลาลีกา 2023/24 พร้อมเชิญ 3 กูรูฟุตบอลสเปน เจมส์ ลาลีกา, ขวัญ ลามาเซีย และ เบน บาร์ซ่าเข้าเส้น มาร่วมทอล์คก่อนเริ่มเปิดศึกดวลแข้งนัดแรก พร้อมด้วยอินฟลูเอนเซอร์ และสื่อกีฬามากมาย นำโดย พีชชงพีชชี่, เดอะนัท ซัดหมดแม็กซ์, ดูบอลกับแนท, Top4Thailand, ต่อ ณ ระนอง, ผู้บริหาร Ari, มายด์ เปี๊ยกบางใหญ่, ต้นทางฟุตบอล, โฟนตุง, ทีมขอบสนามชุดใหญ่ นำโดย เกมส์เอง, เปี๊ยก บางใหญ่, ตัวแทนจาก SiamSport, เพจ Real Madrid Thailand Fanclub, เพจ Real Betis Thailand แฟนคลับ เพจ เรอัล เบติส, เพจ El Golazo : รู้ลึกบอลสเปน และสื่อหลัก อาทิ The Nations และมติชน

พร้อมด้วยตัวแทนจาก TikTok ประเทศไทย และอินฟลูเอนเซอร์สาย TikTok รุ่นใหม่มาแรง อย่าง Bluemoon, ตัวเทพฟุตบอล, Opalallin, caraunited, ผู้หญิงดูบอล, บ้าบอคอร์บอล, bonusachiraya และ footballmax.official รวมกว่า 50 คน ร่วมพบปะ พูดคุย ทานอาหารสเปนแบบเรียบง่าย และกันเอง ภายใต้อีเวนท์ “LALIGA SEASON KICK-OFF 2023/24” ธีมทานอาหารในสวนหลังบ้านเพื่อน

บรรยากาศในงานอบอุ่น เรียบง่าย สนุก เพราะมีโอกาสไม่มากนักที่เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ และสื่อ หลากหลายรุ่นจะได้โคจรมาพบปะ พูดคุย สังสรรค์กัน ในงานยังถือโอกาสถ่ายทำรายการLaLiga Plus Talk EP. 2 ไปด้วย ซึ่งเป็นรายการวิเคราะห์เจาะลึกลาลีกาในทุกสัปดาห์ โดยกูรูฟุตบอลสเปนชาวไทย รับชมได้ทางแอพพลิเคชั่น LALIGA+

เพิ่มเติมด้วยสายตรงจาก ผู้บริหาร LALIGA+ มร.อเลฮานโดร กวาดาลาฮารา สตรีมมิ่งมาร่วมพูดคุยถึงความโดดเด่น แตกต่าง และคอนเทนท์พิเศษที่จะรับชมได้จากแอพพลิเคชัน รวมถึงได้ดาวรุ่ง ฆาบี เกร์รา จากสโมสรบาเลนเซีย ต่อสายมาทักทายถึงในงานด้วยเช่นกัน

โดย มร.จอร์โจ ปอมปิลิ รอสซี ตัวแทน ลาลีกา ประเทศไทย กล่าวว่า “มันเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นสำหรับ ลาลีกา EA SPORTS ที่เตรียมจะเปิดฉากฤดูกาลใหม่ที่เต็มไปด้วยความใหม่ในหน้าประวัติศาสตร์ลาลีกา เพราะเราจะมีโลโก้ใหม่, สโลแกนใหม่ และพาร์ตเนอร์ใหม่ EA Sports ที่จะเข้ามาขยับโลกฟุตบอลจริง กับดิจิตอล เข้ามาหากันเพื่อจะสร้างสรรค์ให้เกิดลีกที่จะเข้าถึงกลุ่มแฟน ๆ ได้มากกว่าเดิม”

ลาลีกา ในฤดูกาลนี้ ได้รับการคาดหมายว่า จะเป็นการแข่งขันที่น่าตื่นเต้นที่สุดไม่แพ้ฤดูกาลที่ผ่าน ๆ มา นำโดย บาร์เซโลน่า ที่ตั้งเป้าจะป้องกันแชมป์ให้ได้อีกครั้ง และผู้ท้าชิงตลอดกาลอย่าง เรอัล มาดริด ของ อันเชลอตติ ที่มีความทะเยอทะยาน หวังทวงความยิ่งใหญ่กลับคืน รวมถึงแอตเลติโก มาดริด โซเซียดัด และ เบติส ที่พร้อมสอดแทรกลุ้นตำแหน่งเช่นเดียวกัน

ส่วนทีมระดับรองลงมา พวกเขาก็พร้อมที่จะยกระดับทีมให้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อสู้กันให้สนุกที่สุด รวมถึง 3 ทีมน้องใหม่ ได้แก่ อลาเบส, กรานาดา และลาส พัลมาส ที่อาจสร้างเซอร์ไพรส์ชนิดที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้

และก่อนเริ่มต้นฤดูกาลนี้ ลาลีกายังได้มีผู้เล่นดาวดังเข้ามาใหม่หลายราย อาทิเช่น จู๊ด เบลลิ่งแฮม ของ เรอัล มาดริด, อิลคาย กุนโดกัน ของ บาร์เซโลน่า และ ชากลาร์ โซยุนซู ของ แอตฯ มาดริด เป็นต้น

ใครที่ไม่อยากพลาดการแข่งฟุตบอลลีกสเปน ซีซั่น 2023/24 ที่กำลังจะเริ่มขึ้น อย่าลืมดาวน์โหลด และสมัครแอพพลิเคชั่น LALIGA+ กันไว้ได้เลย แอพฯ นี้ จะถ่ายทอดสดครบทั้ง 380 แมตช์ สำหรับ LALIGA EA SPORTS นำทัพโดย บาร์เซโลนา (แชมป์เก่า), เรอัล มาดริด, แอตเลติโก มาดริด และลีกรองอย่าง LALIGA Hypermotion ที่มีทีมระดับตำนานทั้งเอสปันญอล, เรอัล บายาโดลิด, เลบันเต เป็นต้น พร้อมรวบรวมไฮไลท์การแข่งขัน, รายงานพิเศษ, บทสัมภาษณ์เอ๊กซ์คลูซีฟ, เนื้อหาพิเศษอื่น ๆ อาทิ สารคดีฟุตบอล เป็นต้น

สำหรับแพ็คเกจหลัก LALIGA EA แฟนบอลจะได้ชม ทุกแมตช์ LALIGA EA, ไฮไลท์ยาวทุกแมตช์, คอนเทนท์พิเศษ และสารคดีเกี่ยวกับ ลาลีกา เป็นต้นในราคาพิเศษลด 50% เพียง 399.50 บาทตลอดฤดูกาลจากราคาเต็ม 799 บาท 

สนใจสมัคร LALIGA+ คลิกที่นี่ได้เลย https://bit.ly/3OBEpNP

สำหรับงานเปิดนี้ และทุกกิจกรรมของ ลาลีกา ในประเทศไทย ทาง KMD ในส่วน Sport Services ต้องขอขอบคุณ ลาลีกา ที่ไว้ใจให้เป็นตัวกลางจัดงาน และได้มีโอกาสเชื่อมโยงเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ในวงการสื่อกีฬา, ฟุตบอล และไลฟ์สไตล์ เข้ามารวมกันซึ่งก็ต้องขอขอบคุณทุก ๆ คน ทุก ๆ องค์กร ไว้ ณ ที่นี้

เรียบเรียง : ภาวินีย์ สูญสิ้นภัย

—————————

เกี่ยวกับลาลีกา

ลาลีกา เป็นองค์กรระดับโลกแห่งนวัตกรรม ซึ่งเป็นผู้นำในด้านกีฬาและสันทนาการ ประกอบด้วยสโมสรในลีกระดับดิวิชั่น 1 (LALIGA EA SPORTS) 20 สโมสร และสโมสรในลีกระดับดิวิชั่น 2 (LALIGA HYPERMOTION) 22 สโมสร มีหน้าที่จัดการแข่งขันฟุตบอลอาชีพในประเทศสเปน

ลาลีกา เป็นลีกฟุตบอลที่มีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียมากที่สุดในโลก โดยมีผู้ติดตามมากกว่า 200 ล้านคนทั่วโลก จาก 16 แพลตฟอร์ม ใน 20 ภาษาที่แตกต่างกัน มีสำนักงานใหญ่ในกรุงมาดริด ประเทศสเปน และสำนักงานย่อย 11 แห่ง ปัจจุบันมีเครือข่ายใน 41 ประเทศ และตัวแทน 44 คน

ลาลีกา ยังเป็นองค์กรที่ดำเนินงานภายใต้ความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นพื้นฐาน โดยเป็นลีกฟุตบอลอาชีพแห่งแรกของโลก ที่จัดตั้งลีกฟุตบอลสำหรับผู้พิการทางด้านสติปัญญา (LaLiga Genuine)

—————————

เกี่ยวกับโลโก้ใหม่ ลาลีกา

โลโก้ใหม่ของลาลีกา จะเป็นตัวอักษรย่อ LL โดยมีสีแดงคอรัล ที่เป็นสัญลักษณ์ของความหลงใหล พลังงาน และความตื่นเต้นของฟุตบอล ที่ทันสมัยแต่ลึกลับ ซึ่งมาภายใต้สโลแกนใหม่ “THE POWER OF OUR FÚTBOL” เพื่อเป็นการตอกย้ำถึงการแข่งขันฟุตบอลที่จะส่งแรงบันดาลใจที่ดีไปให้กับสังคม

Categories
Football Business

ยุคโมเดิร์นฟุตบอลที่สถิติท่วมล้น สถิติไหนคัดกรองยอดนักเตะแม่นที่สุด

โลกฟุตบอลยุคปัจจุบันเอ่อล้นไปด้วยข้อมูลสถิติที่เกิดจาก data point จำนวนหลายล้านต่อแมตช์ การสัมผัสบอลแต่ละครั้งและทุกการเคลื่อนไหวของนักฟุตบอลได้รับการจดบันทึก พรีเมียร์ลีกเป็นหนึ่งในสมรภูมิลูกหนังระดับอาชีพที่เป็นผู้นำด้านสถิติ เป็นลีกหนึ่งที่เก็บรวบรวมข้อมูลมากที่สุดในโลก

ดิวิชัน 1 ประเทศอังกฤษ เปลี่ยนชื่อเป็นพรีเมียร์ชิพ (ก่อนมาเป็นพรีเมียร์ลีก) ในฤดูกาล 1992-93 สถิติยุคนั้นถือว่าน้อยมากและเป็นสถิติพื้นฐานอย่างเช่น ใครทำประตู ใครเป็นคนแอสซิสต์ และใครได้รับใบเหลืองใบแดง ยังไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ฟอร์มการเล่นส่วนบุคคลหรือทีม ไม่มีสถานีโทรทัศน์ช่องไหนสนใจสถิติเชิงลึกดังเช่นปัจจุบัน

การเปลี่ยนแปลงมาถึงในซีซัน 1997-98 หรืออีก 5 ปีต่อมาเมื่อ Opta ได้เซ็นสัญญาเป็นบริษัทเก็บรวบรวมสถิติเชิงประสิทธิภาพของนักฟุตบอลให้กับพรีเมียร์ลีกอย่างเป็นทางการ โดย Opta บริษัทสัญชาติอังกฤษ เพิ่งก่อตั้งในปี 1996 สร้างชื่อเสียงขึ้นมาจากเป็นพันธมิตรของช่อง Sky Sports ในการถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกทางโทรทัศน์ตั้งแต่ซีซั่น 1996-97

สถิติยุคแรกค่อนข้างเรียบง่ายพื้น ๆ จนกระทั่งซีซั่น 2006-07 Opta เริ่มเก็บรวบรวบสถิติหลากหลายและมีจำนวนเพิ่มขึ้น อาทิ key passes, tackle success, shooting accuracy สำหรับนักเตะ และ passes per match, errors leading to a goal, goals from counter attacks สำหรับทีม เป็นต้น

ตั้งแต่ซีซัน 2021-22 พรีเมียร์ลีกได้ร่วมงานกับ Oracle บริษัทเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่จากอเมริกา ซึ่งให้บริการเมตริกชั้นสูง รวมถึงระบบยอดนิยมอย่าง Momentum Tracker ส่งผลให้พรีเมียร์ลีกมีข้อมูลสถิติที่สลับซับซ้อนกว่าลีกหลายประเทศที่ยังคงใช้เพียง event data เหมือน Opta เช่น การจ่าย การโหม่ง การเซฟ โดย Oracle ใช้เมตริกและโมเดลที่ซับซ้อนนำไปวัดปริมาณส่วนต่าง ๆ ของเกมการแข่งขัน จนได้ข้อมูลที่มีความลึกซึ้ง สามารถนำไปต่อยอดวิเคราะห์เกมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แม้ Opta เซ็นสัญญาเป็นพาร์ทเนอร์ของพรีเมียร์ลีกในปี 1997 แต่สโมสรต่างๆยังต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติของตัวเอง หนึ่งในยุคบุกเบิกคือ โบลตัน วันเดอเรอร์ส ยุคแซม อัลลาร์ไดซ์ ซึ่งคุมทีมทรอตเตอร์สระหว่างปี 1999 – 2007 โดยอัลลาร์ไดซ์เห็นประโยชน์ของข้อมูลสถิติในวงการกีฬาเมื่อครั้งเล่นฟุตบอลให้ทีมแทมปา เบย์ ราวดีส์ ที่อเมริการาวปี 1983 เขานำไปไอเดียมาใช้เพื่อพัฒนาการเล่นของนักเตะโบลตัน อัลลาร์ไดซ์ถึงขนาดสร้างสถานที่ที่เรียกว่า War Room ซึ่งเขาและสตาฟฟ์โค้ชใช้เป็นออฟฟิศเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลบนจอขนาดใหญ่ ซึ่งถูกใช้เพื่อวางแผนกลยุทธ์การเล่นอีกด้วย

สโมสรแรกที่ลงทุนด้านข้อมูลสถิติอย่างจริงจังได้แก่ ลิเวอร์พูล หลังจากเฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ป บริษัทกีฬาข้ามชาติสัญชาติอเมริกัน เข้ามาเทคโอเวอร์เมื่อปี 2010 เนื่องจากเฟนเวย์ฯ ตระหนักถึงศักยภาพของการวิเคราะห์ข้อมูลสถิติจากการเป็นเจ้าของทีมเบสบอล บอสตัน เรด ซอกซ์ ซึ่งความจริงแล้ว data analysis เป็นเรื่องธรรมดาสามัญมากสำหรับกีฬาเมืองลุงแซม

นับจากปี 2010 แผนกข้อมูลเป็นหน่วยงานที่เติบโตอย่างรวดเร็วและมีบทบาทสำคัญต่อความก้าวหน้าของสโมสรพรีเมียร์ลีก ได้ถูกใช้งานตั้งแต่การเลือกสรรผู้เล่นไปจนถึงการวางแท็คติก ข้อมูลเชิงลึกที่ถูกสร้างขึ้นมาส่งผลกระทบและสร้างสีสันให้กับเกมลูกหนังเป็นอย่างมาก

สถิติเว็บพรีเมียร์ลีก 4 กลุ่มใหญ่ 40 หมวดย่อย

ในส่วนของการรวบรวม event data ระหว่างการแข่งขันพรีเมียร์ลีกแต่ละนัด Opta ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Stats Perform ใช้ทีมงานทั้งหมด 3 คน เจ้าหน้าที่ 2 คนมีหน้าที่ดูวิดีโอฟุตเตจและบันทึกข้อมูลทุกครั้งเมื่อเกิดการสัมผัสลูกบอล นักเตะคนไหนเข้ามาเกี่ยวข้อง และเกิดตรงตำแหน่งไหนของสนาม เจ้าหน้าที่คนที่ 3 เป็นผู้ควบคุมคุณภาพหรือ QC กรอกกลับวิดีโอฟุตเตจเพื่อตรวจสอบให้แน่ชัดว่าข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ถูกต้อง ทั้งนี้ live-match data จะถูกนำไปตรวจสอบอีกครั้งหลังการแข่งขันเพื่อให้มั่นใจว่าถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์

อ้างอิงจากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของพรีเมียร์ลีก ในหมวด stats แบ่งเป็น 4 ประเภทใหญ่ ได้แก่ สถิติทั่วไป, สถิติเกมบุก, สถิติเกมรับ และสถิติผู้รักษาประตู ซึ่งแต่ละประเภทจะมีแยกย่อยลงไปประกอบด้วย

GENERAL : Goals, Assists. Appearances. Minutes Played, Yellow Cards, Red Cards. Substituted On. Substituted Off

ATTACK : Shots, Shots On Target, Hit Woodwork, Goals From Header, Goals From Penalty, Goals From Freekick, Offsides, Touches, Passes, Through Balls, Crosses, Corners Taken

DEFENCE : Interceptions. Blocks, Tackles, Last Man Tackles, Clearances, Headed Clearances, Aerial Battles Won, Own Goals, Errors Leading To Goal, Penalties Conceded, Aerial Battles Lost

GOALKEEPER : Clean Sheets, Goals Conceded, Saves, Penalties Saved, Punches, High Claims, Sweeper Clearances, Throw Outs, Goal Kicks

จากสถิติข้างบนเป็นเพียง event data ซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้ง่าย ๆ ด้วยสายตามนุษย์ ยังมีมากมายขนาดนี้ ไหนจะมีสถิติที่เกิดจากการคำนวณ และสถิติได้จากระบบเมตริกและโมเดลที่ซับซ้อน จนหลายคนอาจตั้งคำถามในใจว่า คิดวิเคราะห์ให้มันยุ่งยากวุ่นวายเกินไปหรือเปล่าเพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์ฟอร์มการเล่นของตัวนักเตะและทีมว่าดีหรือแย่เพียงใด

ดังนั้น จึงมีผู้คิดแบบสุดขั้วอย่าง ไรอัน โอ’แฮนลอน นักข่าวของอีเอสพีเอ็น ดอท คอม สื่อกีฬาระดับโลกจากอเมริกา ตั้งคำถามกับตัวเองว่า ถ้าต้องเลือกใช้ตัวเลขสถิติเพียงชนิดเดียวเพื่อจัดทีมฟุตบอลรวมดาราจากการแข่งขันยูฟา แชมเปียนส์ ลีก และลีกท็อป-5 ของยุโรป (พรีเมียร์ลีก, บุนเดสลีกา, กัลโช เซเรีย อา, ลา ลีกา, ลีกเอิง) ประจำฤดูกาล 2022-23 ที่เพิ่งจบไป สถิติไหนจะจัดทีม Best XI ได้ดีหรือใกล้เคียงกับสุดยอดทีมในโลกแห่งความเป็นจริงมากที่สุด ทั้งนี้เป็นการจัดทีมด้วยแผนการเล่น 4-3-3 และจัดเฉพาะผู้เล่นเอาท์ฟิลด์ ไม่รวมผู้รักษาประตูที่มีการบันทึกสถิติเฉพาะตัว ต่างจากผู้เล่น 10ตำแหน่งที่เหลือ

SHOTS คัดกรองฟอร์มนักเตะแม่นกว่า GOALS

ฟุตบอลตัดสินแพ้ชนะกันที่จำนวนประตู โอ’แฮนลอนจึงเลือก GOALS เป็นสถิติเดี่ยวในการฟอร์มทีมรวมดาราชุดแรก นักเตะแต่ละตำแหน่งในระบบ 4-3-3 จะคัดเลือกจากผู้เล่นที่ทำสกอร์รวมมากที่สุดในฟุตบอลลีกและแชมเปียนส์ ลีกฤดูกาลที่แล้ว

ศูนย์หน้า : เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ (แมนฯซิตี)

ปีกซ้าย : คีลิยัน เอ็มบัปเป (เปแอสเช)

ปีกขวา : โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ (ลิเวอร์พูล)

มิดฟิลด์กลาง : มาร์ติน โอเดการ์ด (อาร์เซนอล)

มิดฟิลด์กลาง : จูด เบลลิ่งแฮม (ดอร์ทมุนด์)

มิดฟิลด์ตัวรับ : ปาสกาล กรอสส์ (ไบรท์ตัน)

แบ็คซ้าย : ราฟาเอล เกร์เรโร (ดอร์ทมุนด์)

เซ็นเตอร์แบ็ค : ชานเซล เอ็มเบมบา (มาร์กเซย์)

เซ็นเตอร์แบ็ค : เอแดร์ มิลิเตา (เรอัล มาดริด)

แบ็คขวา : สเตฟาน พอสช์ (โบโลญา)

พิจารณารายชื่อ Best XI ที่เลือกจากสถิติการทำประตู โอ’แฮนลอนมองว่าไม่เลวนัก แต่มีบางจุดที่ไม่เห็นด้วย คำว่าเบสต์ใช้ได้กับฮาลันด์และซาลาห์ รวมถึงโอเดการ์ดและเบลลิ่งแฮม แต่เอ็มบัปเปยังไม่ใช่ถ้าหมายถึงซีซั่นที่แล้ว ทีมนี้อาจทำสกอร์ได้เยอะแต่อาจเสียประตูไม่น้อย ฟอร์มของกรอสส์ไม่ค่อยได้รับคำชมเท่าไร เช่นเดียวกับเกร์เรโร เอ็มเบมบาก็ไม่ใกล้เคียงคำว่าเบสต์ไม่ว่าเป็นสายตาใคร มิลิเตาอาจโอเค แต่แฟนบอลนอกลีกอิตาลีเคยได้ยินชื่อพอสช์บ้างไหม

ขอบคุณภาพจาก  https://www.premierleague.com/news/3486228

กูรูจากเว็บไซต์อีเอสพีเอ็น มองว่า GOALS ยังไม่สามารถจัดทีมรวมดาราได้ใกล้เคียงความจริง โดยเฉพาะแนวรับ ประตูที่ทำได้แปรเปลี่ยนได้แต่ละซีซั่น และสถิติยังรวมประตูจากจุดโทษด้วย ดังนั้นโอ’แฮนลอนจึงลองเปลี่ยนตัวคัดกรองที่ 2 เป็น SHOTS หรือจำนวนรวมของลูกยิงและลูกโหม่งที่พุ่งไปยังกรอบประตู ใครทำได้มากที่สุดของแต่ละตำแหน่งจะเข้าไปอยู่ในทีมรวมดารา

ศูนย์หน้า : ฮาลันด์

ปีกซ้าย : เอ็มบัปเป

ปีกขวา : ซาลาห์

มิดฟิลด์กลาง : โอเดการ์ด

มิดฟิลด์กลาง : บรูโน แฟร์นันเดส (แมนฯยูไนเต็ด)

มิดฟิลด์ตัวรับ : โรดรี (แมนฯซิตี)

แบ็คซ้าย : เตโอ แอร์กน็องเดซ  (เอซี มิลาน)

เซ็นเตอร์แบ็ค : ฟาเบียน ชาร์ (นิวคาสเซิล)

เซ็นเตอร์แบ็ค : คอนสแตนตินอส มาฟโรปานอส (สตุ๊ตการ์ท)

แบ็คขวา : เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ (ลิเวอร์พูล)

เมื่อผลการคัดเลือกด้วยการยิงหรือโหม่งเข้ากรอบออกมา โอ’แฮนลอนมองว่าพัฒนาตัวผู้เล่นดีขึ้น กองหน้ายอดเยี่ยม มิดฟิลด์ดีทีเดียวแม้ขัดใจชื่อของแฟร์นันเดสที่เขารู้สึกว่ายังไม่ถึงขั้นดีมาก ต่างกับโรดรีที่เป็นมิดฟิลด์ตัวรับที่อยู่อันดับสูงสุดของ “เอฟซี 100” ซึ่งเป็นการจัดแรงกิ้งนักเตะของอีเอสพีเอ็น 

ฟูลแบ็คสองฝั่งมีฝีเท้าระดับเวิลด์คลาสในสายตาของโอ’แฮนลอน ชาร์เป็นแกนหลักของหนึ่งในทีมที่มีเกมรับดีที่สุดในพรีเมียร์ลีกซีซันที่ผ่านมา ส่วนมาฟโรปานอสเป็นเซ็นเตอร์แบ็คที่ดีพอใช้ แต่เล่นให้ทีมครึ่งล่างของบุนเดสลีกา และเคยถูกอาร์เซนอลปล่อยหลังลงตัวจริงบอลลีกแค่ 3 นัด แต่ความจริงแล้ว จำนวนการยิงไม่สามารถประเมินคุณค่าที่แท้จริงของเซ็นเตอร์แบ็คอยู่แล้ว

PASSING เป็นสถิติที่มีนัยยะสำคัญทั้งเกมบุกและรับ

ข้างต้นเป็นสถิติในส่วนของเกมบุก ซึ่งเห็นได้ชัดว่า SHOTS เป็นตัวคัดกรองที่ดีกว่า GOALS แต่ยังไม่สามารถจัดผู้เล่นได้สมเหตุสมผลอยู่ดีแม้ดึงมิดฟิลด์ตัวรับดีที่สุดติดทีมเข้ามาได้ แต่กลับได้แผงหลังที่อ่อนยวบ โอ’แฮนลอนจึงเปลี่ยนมาใช้PASSING เป็นเงื่อนไขบ้างเพราะเป็นคุณสมบัติสำคัญของทั้งผู้เล่นเกมรุกเกมรับ แต่ตัดตัวเลขในส่วนของแอสซิสต์ออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงการให้น้ำหนักกับผู้เล่นเกมบุก

ศูนย์หน้า : อองตวน กรีซมันน์ (แอตฯมาดริด)

ปีกซ้าย : แจ็ค กรีลีช (แมนฯซิตี)

ปีกขวา : ลิโอเนล เมสซี (เปแอสเช)

มิดฟิลด์กลาง : เควิน เดอ บรอยน์ (แมนฯซิตี)

มิดฟิลด์กลาง : บรูโน แฟร์นันเดส

มิดฟิลด์ตัวรับ : โยซัว คิมมิช (บาเยิร์น)

แบ็คซ้าย : คริสเตียโน บิรากี  (ฟิออเรนตินา)

เซ็นเตอร์แบ็ค : อเลสซานโดร บาสโตนี (อินเตอร์ มิลาน)

เซ็นเตอร์แบ็ค : ดาวิด อลาบา (เรอัล มาดริด)

แบ็คขวา : คีแรน ทริปเปียร์ (นิวคาสเซิล)

โอ’แฮนลอนให้ความเห็นถึง Best XI ทีมที่ 3 ว่า อาจดูแปลก ๆ ไปบ้างสำหรับฟรอนท์ไลน์ แต่ทั้งสามมีศักยภาพเพียงพอที่จะสร้างเกมรุกน่าสะพรึงกลัว แผงมิดฟิลด์อาจเน้นความปลอดภัยมากเกินไปแทนที่จะสร้างสรรค์เกมรุกหรือดอดขึ้นไปลุ้นทำประตู แต่เดอ บรอยน์ และแฟร์นันเดส น่าจะช่วยให้บาเยิร์นอุ่นใจกว่าเมื่อเทียบกับสองคนที่อยู่ข้างหน้าคิมมิชในเกมสโมสร

ขอบคุณภาพจาก  https://www.bbc.com/sport/football/63200405

สำหรับแบ็คไลน์ โอ’แฮนลอนมองว่า บิรากีอาจไม่ใช่แบ็คซ้ายดีที่สุดในโลกแต่ไม่ใช่แบ็คซ้ายที่แย่เช่นกัน อย่างน้อยมีประสบการณ์ตัวจริงเกือบ 250 นัดในเซเรีย อา บาสโตนีกับอลาบาเป็นการจับคู่ปราการหลังที่เวิร์ก ทริปเปียร์เพิ่งผ่านช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตแบ็คขวาของตัวเอง

PASSING ช่วยให้การจัดทีมมีสมดุลขึ้น แต่โอ’แฮนลอนอยากปรับเงื่อนไขที่เน้นเกมรับขึ้นมาอีกเล็กน้อย ตัวกรองที่สามารถเชื่อมโยงระหว่างผลงานโจมตีกับการแย่งบอลคืนมา ซึ่งได้แก่ TACKLES + INTERCEPTIONS และผลลัพธ์ที่ได้คือ

ศูนย์หน้า : กรีซมันน์

ปีกซ้าย : จาค็อบ แรมเซย์ (แอสตัน วิลลา)

ปีกขวา : เฟลิเป อันแดร์สัน (ลาซิโอ)

มิดฟิลด์กลาง : วาล็องแต็ง รงชีเยร์ (มาร์กเซย์)

มิดฟิลด์กลาง : มอร์เทน ฮูลมันด์ (เลชเช)

มิดฟิลด์ตัวรับ : ชูเอา ปาลินญา (ฟูแลม)

แบ็คซ้าย : แมลแว็ง บาร์  (นีซ)

เซ็นเตอร์แบ็ค : อันเดร จิรอตโต (นองต์ส)

เซ็นเตอร์แบ็ค : เลโอนาร์โด บาเลร์ดี (มาร์กเซย์)

แบ็คขวา : โมฮาเหม็ด ยูซซุฟ (อฌักซิโอ)

หลังทราบรายชื่อทีมรวมดาราเวอร์ชันที่ 4 ซึ่งมีกรีซมันน์คนเดียวที่มาจาก 3 ทีมแรก ที่เหลือเป็นหน้าใหม่และครึ่งหนึ่งมาจากลีกเอิง นั่นทำให้กูรูอีเอสพีเอ็น ดอท คอม ถึงกับอุทานว่า I, uh, yeah, no.

MINUTES PLAYED ถ้าฟอร์มดี โค้ชย่อมเลือกใช้งานบ่อย

บางคนอาจมองข้ามความจริงข้อหนึ่งไป ถึงสถิติจะถูกบันทึกในฐานะผลงานของคนๆเดียว แต่เพื่อนร่วมทีมมีส่วนทำให้ event data เหล่านั้นเกิดขึ้น ทุกการยิงหรือโหม่งเพื่อหวังประตู จะมาจากการผ่านหรือเหตุการณ์สักอย่างที่ทำให้ลูกบอลเดินทางมาถึง ทุกการผ่านบอลล้วนมีต้นทางมาจากการผ่านบอลก่อนหน้าหรือไม่ก็เทิร์นโอเวอร์หรือฟาวล์ ไม่มีแทคเกิลหรืออินเตอร์เซปท์เกิดขึ้นหากเพื่อนร่วมทีมไม่เสียบอลแล้วจากนั้นมีใครสักคนของทีมคู่แข่งเห็นโอกาสที่จะเข้าไปแย่งบอลหรือเสียบสกัด

เกือบทุกสถิติมีลักษณะเช่นนั้น หนึ่งในข้อยกเว้นคือ จำนวนนาทีที่ลงสนาม ซึ่งหากไม่มีเงื่อนไขด้านสุขภาพความฟิต ตัวเลขที่เกิดขึ้นมาจากวิจารณญาณของผู้จัดการทีมหรือหัวหน้าโค้ช ซึ่งเห็นนักเตะทุกครั้งที่สนามฝึกซ้อม มีนักวิเคราะห์เกมคนหนึ่งกล่าวว่า “ถ้าคุณดีพอ ผู้จัดการทีมก็จะใช้งานคุณบ่อยเอง” และแน่นอนว่า MINUTES PLAYED จึงเป็นสถิติที่รวบรวมสถิติอื่น ๆ ไว้ด้วยกัน

แต่ซีซั่นที่แล้วมีฟุตบอลโลกที่กาตาร์คั่นกลางฤดูแข่งขัน อาจส่งผลต่อเวลารวมของนักเตะฝีเท้าเยี่ยม ๆ ดังนั้นโอ’แฮนลอนจึงเพิ่มเงื่อนไขพิเศษเข้าไปเล็กน้อยด้วยการใช้สถิติของ 2 ซีซันที่ผ่านมาแทนซีซันเดียว

ศูนย์หน้า : แฮร์รี เคน (สเปอร์ส)

ปีกซ้าย : วินิซีอุส จูเนียร์ (เรอัล มาดริด)

ปีกขวา : ซาลาห์

มิดฟิลด์กลาง : ดาเนียล ปาเรโฆ (บีญาร์เรอัล)

มิดฟิลด์กลาง : นิโกโล บาเรลลา (อินเตอร์ มิลาน)

มิดฟิลด์ตัวรับ : โรดรี

แบ็คซ้าย : เตโอ แอร์กน็องเดซ 

เซ็นเตอร์แบ็ค : ฟาน ไดจ์ค

เซ็นเตอร์แบ็ค : เอแดร์ มิลิเตา

แบ็คขวา : เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

6 คนมาจากทีมรวมดาราชุดก่อน ๆ เคนกับวินิซีอุสที่เข้ามาใหม่ในแผงหน้า ไม่มีใครกล้าค้านว่าทั้งคู่เป็นนักเตะเวิลด์คลาส ปาเรโฆกับบาเรลลาเป็นคู่มิดฟิลด์เบอร์ 8 ที่โค้ชคนไหนก็น่าจะพอใจ ดังนั้นเวลารวมในสนาม ซึ่งผ่านการคิดวิเคราะห์ของบุคคลผู้อยู่ใกล้ชิดนักเตะมากที่สุด จึงเป็นตัวเลือกสมเหตุสมผลหากจะอ้างอิงสถิติเพียงข้อเดียวเพื่อนำมาสร้างทีมรวมดารา

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Special Content

วิวัฒนาการของฟูลแบ็ค สู่เทรนด์ที่มาแรงในฟุตบอลสมัยใหม่

แกรี เนวิลล์ กับ เจมี คาร์ราเกอร์ ตำนานกองหลังร่วมทศวรรษ 1990-2010 ซึ่งตอนนี้เลิกปะทะแข้งหันมาปะทะฝีปากกันในฐานะกูรูลูกหนังของค่ายสกาย สปอร์ตส์ เคยคุยกันขำๆว่า ฟุตบอลอาจใกล้หมดยุคฟูลแบ็คที่เล่นแต่เกมรับแล้ว และไม่แค่นั้น อดีตเซ็นเตอร์แบ็คลิเวอร์พูลวัย 45 ยังเอ่ยแซวอดีตฟูลแบ็คแมนฯยูไนเต็ดที่มีอายุมากกว่า 3 ปีว่า เด็กสมัยนี้คงไม่มีใครฝันอยากเดินตามรอยสตั๊ดแกรี เนวิลล์ กันแล้ว

คาริม ชาฮีน นักวิเคราะห์เกมอิสระของสื่อโททัล ฟุตบอล อนาไลซิส เคยให้ทรรศนะว่า ฟูลแบ็คน่าจะเป็นตำแหน่งในสนามฟุตบอลที่มีสีสันน้อยที่สุด อดีตกาลเคยมีผู้นิยามฟูลแบ็คแบบเหน็บแนมว่า เป็นนักฟุตบอลที่ไม่แข็งแกร่งสำหรับเซ็นเตอร์แบ็ค และไม่มีทักษะเพียงพอจะเล่นตำแหน่งปีก

ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ถูกวิวัฒนาการไปมากตั้งแต่รอยต่อของศตวรรษที่ 20-21 หลายตำแหน่งได้รับการปรับแต่งและถูกเปลี่ยนแปลง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ผู้รักษาประตูที่เล่นสวีปเปอร์, เซ็นเตอร์แบ็คที่บิลด์อัพเกม, ปีกตัดเข้าใน และฟอลส์ ไนน์ แต่ฟูลแบ็คยังทำหน้าที่เดิมๆเป็นส่วนใหญ่จนกระทั่งหนึ่งทศวรรษหลังจึงพบเห็นวิวัฒนาการอย่างมีนัยยะ และกลายเป็นเทรนด์ที่มาแรงในโมเดิร์นฟุตบอล

ชาฮีนพลิกปูมประวัติศาสตร์เล่าเพิ่มเติมว่า งานหลักของฟูลแบ็คคือเกมรับ สนับสนุนเซ็นเตอร์แบ็ค รักษาพื้นที่ป้องกันให้แคบที่สุด และคอยขวางไม่ให้ปีกฝ่ายตรงข้ามครอสบอลไปยังกรอบเขตโทษ ฮาเวียร์ ซาเนตติ และ เปาโล มัลดินี เป็นตัวอย่างของดีเฟนซีพ ฟูลแบ็ค ระดับโลก

ความจริงแล้ว โมเดิร์น ฟูลแบ็ค ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเพราะย้อนไปต้นทศวรรษ 1950 ฌาลมา ซานโตส และ นิลตัน ซานโตส ซึ่งไม่ได้เป็นญาติพี่น้องกัน เคยลุยเปิดเกมบุกให้ทีมชาติบราซิลได้อย่างน่าทึ่งในเวิลด์คัพ 1958 หรือคู่ฟูลแบ็คแซมบาที่ยังอยู่ในความรับรู้ของแฟนบอลสมัยนี้คือ คาฟู กับ โรแบร์โต คาร์ลอส จากเวิลด์คัพ 2002 แต่ฟูลแบ็คเริ่มมีวิวัฒนาการให้เห็นเด่นชัดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ปัจจุบันกลายเป็นชิ้นส่วนสำคัญของกลยุทธ์เกมรุก จนอาจเป็นผู้เล่นที่มีการเคลื่อนที่และถูกใช้งานสารพัดประโยชน์มากที่สุดบนสนามฟุตบอล

ประจักษ์พยานคือ ค่าตัวฟูลแบ็คเริ่มแพงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าจัดอันดับท็อป-10 เฉพาะดีลธุรกิจที่ทำตั้งแต่ปี 2016 ลูคัส เอร์นานเดซเป็นฟูลแบ็คราคาแพงที่สุดในโลกตอนนี้คือ 80 ล้านยูโรตอนที่บาเยิร์น มิวนิก ซื้อจากแอตเลติโก มาดริด เมื่อปี 2019 ตามด้วย มาร์ค กูกูเรยา ซึ่งเชลซีเพิ่งทุ่มเงิน 70.1 ยูโร ซื้อจากไบรท์ตันในตลาดซัมเมอร์ปีที่แล้ว และ อาชราฟ ฮาคิมี 66.5 ล้านยูโร ที่ปารีส แซงต์-แยร์กแมง ซื้อเมื่อปี 2021 จากอินเตอร์ มิลาน โดยก่อนหน้านั้น ปี 2020 ทีมเนรัซซูรีเพิ่งซื้อฮาคิมีจากเรอัล มาดริด ที่ตัวเลข 43 ล้านยูโร รั้งอันดับ 10 ของตารางค่าตัว คือปีเดียว อินเตอร์ฯทำกำไรถึง 23,5 ล้านยูโร

อาร์เซนอลซื้อเซ็นเตอร์เพื่อเล่นฟูลแบ็ค

ตลาดซัมเมอร์รอบนี้ อาร์เซนอลได้ซื้อ เยอร์เรียน ทิมเบอร์ ปราการหลังทีมชาติเนเธอร์แลนด์จากอาแจ็กซ์ด้วยราคา 40 ล้านปอนด์ หลังจากได้ ไค ฮาเวิร์ทซ์ แนวรุกทีมชาติเยอรมนีของเชลซี มูลค่า 65 ล้านปอนด์ และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด มิเกล อาร์เตตา จะได้ลูกทีมใหม่คนที่ 3 ที่ค่าตัวสูงลิ่ว 105 ล้านปอนด์คือ ดีแคลน ไรซ์ มิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษจากเวสต์แฮม ถือเป็นการลงทุนเสริมขุมกำลังครั้งสำคัญของอาร์เซนอลที่ฟอร์มแผ่วปลายซีซันที่แล้ว ปล่อยให้แชมป์พรีเมียร์ลีกตกเป็นของแมนฯซิตี

ทิมเบอร์ กองหลังดาวรุ่งดัตช์ เคยตกเป็นข่าวแรงในตลาดซัมเมอร์ปีที่แล้วเพราะเป็นเป้าหมายเบอร์แรกๆของ เอริก เทน ฮาก ที่เพิ่งอำลาอาแจ็กซ์มาคุมทีมแมนฯยูไนเต็ด แต่ทิมเบอร์เลือกค้าแข้งในลีกแดนกังหันลมต่ออีกหนึ่งปี

แม้อายุเพียง 22 ปีแต่ทิมเบอร์ลงสนามให้อาแจ็กซ์มาแล้วกว่า 200 นัด ถูกยกย่องเป็นกองหลังที่น่าจับตามอง เพียบพร้อมทั้งความแข็งแกร่งและความสุขุมเกินวัย แถมยังจ่ายบอลมากที่สุดในเอเรอดีวีซี ฤดูกาล 2022-23 ทั้งที่ยืนตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คตัวขวา

กูรูลูกหนังมองว่า การผ่านบอลเป็นทักษะอันดับ 1 ที่อาร์เซนอลพิจารณาดึงทิมเบอร์เข้าเอมิเรตส์ สเตเดียม โดยอ้างอิงจากสถิติด้าน passing ในลีกเนเธอร์แลนด์ซีซันที่แล้ว ทิมเบอร์สัมผัสบอลรวม 3,129 ครั้ง, จ่ายบอลคอมพลีท 2,501 ครั้ง และจ่ายบอลขึ้นหน้า 902 ครั้ง ซึ่งทั้งสามหมวด ทิมเบอร์ทำได้มากกว่าใครในเอเรอดีวีซี เขายังจ่ายบอลคอมพลีทในพื้นที่ final third 544 ครั้ง สูงเป็นอันดับ 9 และมีความแม่นยำการจ่ายบอล 92 เปอร์เซ็นต์ หรืออันดับ 14 ของลีก

แต่ประเด็นที่น่าสนใจตามมุมมองของนักวิเคราะห์เกม ซึ่งส่วนใหญ่เชื่อว่า อาร์เตตาต้องการใช้งานทิมเบอร์ในตำแหน่งแบ็คขวาของระบบ 4-3-3 Attacking แม้ตลอดซีซันที่ผ่านมา ทิมเบอร์เป็นแบ็คขวาตัวจริงเพียงนัดเดียวคือฟุตบอลยุโรป รอบคัดเลือก เนเธอร์แลนด์แพ้ฝรั่งเศส 0-4

จากข้อมูลของ transfermarkt เฉพาะบอลลีกซีซันที่แล้ว จากการลงสนาม 34 นัด 3,034 นาที ทำ 2 ประตู 2 แอสซิสต์ ทิมเบอร์ยืนเซ็นเตอร์แบ็คทุกนัด หรือดูสถิตินับตั้งแต่ขึ้นชุดใหญ่อาแจ็กซ์ ทิมเบอร์เล่นทั้งหมด 85 นัด ยืนเป็นแบ็คขวา 10 นัดเท่านั้น นั่นเท่ากับว่า ตำแหน่งถนัดของเขาคือเซ็นเตอร์แบ็คที่สามารถย้ายไปเล่นแบ็คขวาได้

เพราะอะไร อาร์เตตาจึงมีไอเดียย้ายทิมเบอร์ไปอยู่ตำแหน่งขวาสุดของแบ็คโฟร์ เบื้องหลังคงหนีไม่พ้นเทรนด์ในพรีเมียร์ลีกที่เกิดจากวิวัฒนาการของฟูลแบ็ค

สามแท็คติกที่ฟูลแบ็คยุคใหม่ร่วมลุยเกมบุก

อดัม เบท คอมเมเตเตอร์ที่ทำงานให้กับสกาย สปอร์ตส์ ให้ความเห็นว่า พรีเมียร์ลีกมีการเปลี่ยนแปลงทางแท็คติกหรือกลยุทธ์การวางหมากเกมลูกหนังไปอย่างรวดเร็ว บทบาทของฟูลแบ็คหลากหลายและซับซ้อนขึ้น ความรับผิดชอบไปไกลกว่าโมเดิร์น ฟูลแบ็ค ที่รับผิดชอบเกมรับและรุกด้านข้างสนามอย่างไม่กี่ทศวรรษที่แล้ว เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ แอนดี โรเบิร์ตสัน ของลิเวอร์พูล ถือเป็นแบบอย่างของฟูลแบ็คแห่งอนาคต

ชาฮีนจากโททัล ฟุตบอล อนาไลซิส ได้ใช้แท็คติกการขึ้นเกมเป็นตัวแบ่งประเภทของฟูลแบ็คไว้ 3 รูปแบบหลักได้แก่ Overlapping full-back, Inverted full-back และ Wing-back

วิงแบ็คน่าจะเป็นลักษณะที่แฟนบอลคุ้นเคยยาวนาน มักใช้กับระบบกองหลัง 3 คนหรือ 3-5-2 ผู้เล่นมีทักษะของฟูลแบ็คและปีกผสมผสานกัน เน้นการบุก และตัดทอนงานเกมรับ เคยได้รับความนิยมสูงสุดในลีกท็อป-5 ของยุโรปโดยเฉพาะซีซัน 2020-21 มี 10 ทีมที่ใช้วิงแบ็คในกัลโช เซเรีย อา, 10 ทีมในบุนเดสลีกา, 7 ทีมในลีก เอิง, 5 ทีมในลา ลีกา และ 5 ทีมในพรีเมียร์ลีก

ฟูลแบ็คหุบในหรือฟูลแบ็คกลับด้าน แฟนบอลเห็นบ่อยในช่วงหลังๆ เป็นฟูลแบ็คที่ขยับเข้าด้านในของสนามเวลาขึ้นเกม ช่วยเพิ่มจำนวนผู้เล่นแดนกลาง เปิดโอกาสให้มิดฟิลด์คนอื่นกำหนดจังหวะเกมบุกในโซน half-space หรือระหว่างไลน์ อีกทั้งยังดึงคู่แข่งเข้ามาประกบ ช่วยให้ปีกร่วมทีมได้ดวลตัวต่อตัวกับคู่แข่ง ฟูลแบ็คสไตล์นี้จะต้องเก่งเรื่องการเล่นในพื้นที่แคบและครองบอลจ่ายบอลได้ดีอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ โรเบิร์ตสัน เป็นตัวอย่างที่ซาฮีนยกให้เป็นไอดอลที่ใครที่ต้องการเล่นหรือเรียนรู้เกี่ยวกับโอเวอร์แลป ฟูลแบ็ค ซึ่งวิ่งอ้อมหลังเพื่อนร่วมทีมไปยังพื้นที่ว่างเพื่อรับบอลหรือทำเกมรุกต่อ หรืออันเดอร์แลป วิ่งอ้อมหลังผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามก็ได้ นักเตะต้องมีความฟิตสูง มีความเร็วและคล่องตัวที่จะทรานซิชันเกมบุกเกมรับ

เยอร์เกน คลอปป์ ได้พัฒนาอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เป็นฟูลแบ็คจอมบุกแถวหน้าของยุโรป จุดแข็งคือระยะและวิสัยทัศน์การจ่ายบอล ครอสลูกจากด้านข้าง และการเตะลูกเซตพีซ เขาได้รับการยกย่องจากบทบาทโอเวอร์แลป ฟูลแบ็ค ก่อนถูกคลอปป์ใช้งานที่ซับซ้อนขึ้นอย่างฟูลแบ็คหุบในและงานไฮบริดที่ขึ้นไปเป็น double pivot ยืนมิดฟิลด์คู่กับฟาบินโญในระบบ 3-2-2-3 ช่วงท้ายฤดูกาล 2022-23 ที่ผ่านมา

ความเก่งฉกาจของการจ่ายบอลของสองแบ็คลิเวอร์พูล ยืนยันได้จากอันดับแอสซิสต์ของกองหลังพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่ซีซัน 2018-19 อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์และโรเบิร์ตสันนำโด่งด้วยจำนวน 53 และ 48 ครั้ง อันดับ 3 คือ ลูกาส์ ดีญ 22 ครั้ง, อันดับ 4 เซซาร์ อัซปิลิกวยตา และ เบน ชิลเวลล์ 15 ครั้งเท่ากัน

ทิมเบอร์ ตัวอย่างล่าสุดของฟูลแบ็คสายเทคนิค

เบทจากสกาย สปอร์ตส์ ให้ทรรศนะว่า การปรับอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ขึ้นไปเล่นมิดฟิลด์ เป็นเสมือนภาพสะท้อนของ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก แบ็คซ้ายทีมอาร์เซนอล ซึ่งตามปกติยืนตำแหน่งมิดฟิลด์ให้ทีมชาติยูเครน ขณะที่แมนฯซิตีก็ใช้นักเตะหลายคนทำงานไฮบริด

ฟิลลิป ลาห์ม อดีตนักเตะทีมชาติเยอรมัน ซึ่งถูกบันทึกว่าเป็นผู้บุกเบิกฟูลแบ็คหุบใน ให้สัมภาษณ์กับสกาย สปอร์ตส์ ว่า “ช่วง 10 ปีหลังสุด ฟูลแบ็คเป็นผู้เล่นที่มีทักษะเชิงกีฬาสูงและสภาพร่างกายที่แข็งแกร่ง แต่ตอนนี้ผมคิดว่ามันเปลี่ยนไปตรงที่มีเทคนิคมากขึ้น”

วิวัฒนาการของฟูลแบ็คที่ขยับขึ้นไปเล่นกองกลาง ไม่เพียงเปลี่ยนชุดทักษะพื้นฐานเพื่อรองรับหน้าที่รับผิดชอบแบบไฮบริดตามใบสั่งของหัวหน้าโค้ช แต่ยังส่งกระทบไปถึงนักเตะตำแหน่งอื่นด้วยเช่นเดียวกับกรณีทิมเบอร์ ซึ่งอาร์เตตาอาจปรับให้ย้ายมาเล่นฟูลแบ็คและขึ้นไปเติมมิดฟิลด์ยามทีมเป็นฝ่ายครองบอล หรือที่ลิเวอร์พูล โรเบิร์ตสันต้องขยับเข้าในและมีพื้นที่แดนหลังให้รับผิดชอบมากขึ้นเป็นระบบเซ็นเตอร์แบ็ค 3 คน แต่การปรับตัวไม่ได้สร้างปัญหาให้กับกัปตันทีมชาติสกอตแลนด์วัย 29 ปี ซึ่งไม่ต้องขึ้นไปครอสบอลมากหรือวิ่งขึ้นลงตลอด 90 นาทีเหมือนเมื่อก่อน

เนวิลล์ อดีตกัปตันทีมแมนฯยูไนเต็ด กล่าวถึงแมนฯซิตี ซึ่งชนะเลิศพรีเมียร์ลีก 5 สมัยในรอบ 6 ปีหลังสุดว่า เป๊ป กวาร์ดิโอลา มีฟูลแบ็คที่เล่นเกมรุกได้เหลือเชื่อเป็นเวลาหลายปี พวกเขาสามารถขึ้นไปเล่นแดนกลางหรือทะยานไปข้างหน้าจากบริเวณริมสนาม จนตอนนี้แท็คติกกลายเป็นกระแสไปแล้ว

ในฐานะอดีตผู้ช่วยของกวาร์ดิโอลา จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นอาร์เตตาใช้ไอเดียที่คล้ายคลึงกันหลายอย่างเช่น เบน ไวท์ ซึ่งเคยเล่นเซ็นเตอร์แบ็คให้ไบรท์ตันและช่วงแรกที่ย้ายมาอาร์เซนอล แต่ซีซัน 2022-23 อาร์เตตาเปลี่ยนให้เล่นแบ็คขวา และสามารถหุบเข้าในฟอร์มเซ็นเตอร์แบ็ค 3 คนเพื่อรักษาสมดุลให้แผงหลังของทีมขณะที่ซินเชนโกขึ้นไปร่วมไลน์ของมิดฟิลด์ และบ่อยครั้งที่ได้เห็นไวท์ขึ้นไปโอเวอร์แลปในแดนหน้ากับบูกาโย ซากา

แต่อีกด้านหนึ่ง แผงหลังของอาร์เซนอลทำผิดพลาดให้คู่แข่งมีโอกาสส่องประตูมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก หรือมีจำนวนมากกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับอีก 3 ในทีมอันดับท็อป-4 บนตารางลีก นั่นเนื่องจากพวกเขาครองบอลหละหลวมและเปิดช่องว่างในจังหวะทรานซิชันระหว่างเกมรุกและรับ ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่อาร์เตตาต้องเร่งแก้ไข

นักวิเคราะห์หลายสื่อเชื่อว่า ทิมเบอร์น่าจะช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวของอาร์เตตาได้ด้วยความครบเครื่องรอบจัด สามารถย้ายจากแบ็คขวามายืนเป็นเซ็นเตอร์แบ็คตัวที่ 3 หรือแม้กระทั่งขึ้นไปเล่นเป็นมิดฟิลด์เอง โดยสกาย สปอร์ตส์ ได้คาดหมายแผงหลังแบ็คโฟร์ระบบ 4-3-3 ของอาร์เซนอลในซีซัน 2023-24 ดังนี้ ทิมเบอร์, ซาลิบา, กาเบรียล และ ซินเชนโก

ทิมเบอร์จึงเป็นตัวอย่างล่าสุดที่มีความสำคัญอย่างมากในการแสดงถึงวิวัฒนาการครั้งใหญ่ของฟูลแบ็คสมัยใหม่ ซึ่งกลายเป็นตำแหน่งที่มีอิทธิพลต่อกลยุทธ์การโจมตีและสร้างสีสันให้กับเกมลูกหนังยุคปัจจุบันมากที่สุด

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Our Work

เปิดศึกดวลแข้งแฟนบอล “BDMS presents THAI LEAGUE FANS’ CUP 2023” ชิงเงินรางวัลกว่า 2 แสนบาท

ครั้งแรก! กับการเปิดโอกาสให้แฟนบอลไทยลีกได้เข้าร่วมฟาดแข้งกันในฐานะของตัวแทนสโมสรที่ตัวเองรัก ชิงเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 200,000 บาท นอกจากนี้ ยังได้ร่วมอบรมทักษะพื้นฐานฟุตบอลโดยโค้ชมืออาชีพ และมีรางวัลพิเศษมากมายสำหรับกองเชียร์และแฟน ๆ ที่มาร่วมสนุก งานเดียวคุ้ม! ลุ้นมัน สะใจ เชียร์สนุกได้ยกแก๊ง 

การแข่งขันฟุตบอล 7 คน รายการ “BDMS presents THAI LEAGUE FANS’ CUP 2023” เป็นการแข่งขันแบบพบกันหมด โดยจะมีการกำหนดอายุผู้เล่นตัวจริงแต่ละทีมที่จะลงแข่งขันเพื่อความเท่าเทียม แบ่งเป็น อายุไม่เกิน 30 ปี ไม่เกิน 2 คน, อายุ 30 – 40 ปี อย่างน้อย 3 คน และ อายุ 41 ปี ขึ้นไป อย่างน้อย 2 คน การแข่งขันจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ต่อเนื่องกัน 4 สัปดาห์ ตลอดเดือนมิถุนายนนี้ ณ สนามฟุตบอลในร่ม Super Star Arena ซอยลาดพร้าว 80 เริ่มคิกออฟแมตช์แรก 4 มิถุนายน 2566 

การแข่งขัน BDMS Presents Thai League Fans’ Cup 2023 รอบแรก มีเหล่าแฟนคลับไทยลีกรวม 16 ทีม เข้าร่วมดวลแข้ง โดยแบ่งสายเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่

กลุ่ม A : บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด / การท่าเรือ เอฟซี (ทีมเอ) / บีจี ปทุม ยูไนเต็ด / ขอนแก่น ยูไนเต็ด

กลุ่ม B : แบงค็อก ยูไนเต็ด (ทีมบี) / ชลบุรี เอฟซี / ลำพูน วอริเอร์ / นครปฐม ยูไนเต็ด

กลุ่ม C : การท่าเรือ เอฟซี (ทีมบี) / โปลิส เทโร / แบงค็อก ยูไนเต็ด (ทีมเอ) / ตราด เอฟซี

กลุ่ม D : เมืองทอง ยูไนเต็ด / ราชบุรี เอฟซี / เชียงราย ยูไนเต็ด / สุโขทัย เอฟซี

นอกจากนั้น ในการเปิดสนามวันแรกยังมีแมตซ์กระชับมิตร ระหว่าง ทีม PPTV นำโดย คุณพลากร สมสุวรรณ กรรมการรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายการผลิตและรายการ ร่วมด้วย ป๊อป วีระพล, ซีน อาณัติ ฯลฯ พร้อมนักเตะรับเชิญพิเศษ โค้ชจุ่น อนุรักษ์ ปะทะแข้งกับ ทีมสื่อมวลชนสายกีฬา นำโดย คุณโอฬาร เชื้อบาง ผู้บริหารหนังสือพิมพ์สยามกีฬา ที่มาพร้อมเหล่า Influencer กีฬาฟุตบอล ได้แก่ จอม บอบู๋, เม้ง ซัมเมอร์ฮิลล์, กุ่ย ตังกุย, ฟ่าง พาสต้า, ท็อป ไข่มุกดำ, จอน เพจจอน, เบน ฟรีคิก ซ็อคเกอร์ซัค, โฟน โฟนตุง, เบน ฟรีคิก, ต่อ ณ ระนอง, อ๊อฟ สปิโนซ่า โดยจบสกอร์มิตรภาพ เสมอ 2-2

รางวัลพิเศษที่คึกคักไม่แพ้นักเตะในสนามก็คือ “กองเชียร์ยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์” ซึ่งทีมเชียร์ของ เชียงราย ยูไนเต็ด คว้ารางวัลนี้ไปครองได้แบบที่ไม่มีใครคัดค้าน เพราะมาทั้งกลอง แบนเนอร์ เรียกว่าจัดเต็มจริง ๆ

การแข่งขันสัปดาห์ที่สอง เป็นรอบ 12 ทีม แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม แต่ละทีมลงแข่งทั้งหมด 3 นัด ทีมที่เก็บคะแนนได้มากที่สุด 4 อันดับแรกในแต่ละกลุ่ม ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย

โดยคู่ที่น่าสนใจเป็นการเจอกันระหว่าง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด พบ ชลบุรี เอฟซี ผลการแข่งขันฝั่งแฟนคลับ “ฉลามชล” จบที่สกอร์คมกว่า ชนะไป 3-1 ทำให้ ชลบุรี เอฟซี มี 6 แต้ม จากการลงเล่น 3 นัด ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมต่อไป ส่วน บีจี ปทุม ยูไนเต็ด แม้จะแพ้ แต่หลังแข่งครบ 3 นัด มี 3 แต้มเพียงพอที่จะผ่านเข้ารอบตามไปด้วยเช่นกัน ขณะที่อีก 6 ทีมที่ได้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย ประกอบด้วยทีมแฟนคลับ การท่าเรือ เอฟซี A นครปฐม ยูไนเต็ด ตราด เอฟซี การท่าเรือ เอฟซี B สุโขทัย เอฟซี และ เมืองทอง ยูไนเต็ด

ส่วนรางวัลกองเชียร์ยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์ที่สอง คือเชียงราย ยูไนเต็ด อีกเช่นเคย ได้รับเงินรางวัล 5,000 บาท ด้านรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมตกเป็นของ นายกิตติชัย ลี้สุวัฒนา จาก ตราด เอฟซี ซึ่งมีผลงานยิงไปทั้งหมด 5 ประตู ได้รับเงินรางวัล คอมแพค เบรก ไปครอง

สำหรับการแข่งขันในรอบ 8 ทีม จัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน ซึ่งตั้งแต่รอบนี้ จะมีถ่ายทอดสดทาง Facebook และ YouTube LIVE ช่อง PPTV HD 36

และสัปดาห์สุดท้าย ปิดฉากสุดมันส์! รอบ 4 ทีมสุดท้าย นำโดย นครปฐม ยูไนเต็ด, สุโขทัย เอฟซี ตราด เอฟซีและ การท่าเรือ เอฟซีทีมเอ ร่วมฟาดแข้งลุ้นแชมป์ชิงเงินรางวัลรวมกว่า1 แสนบาท

โดยก่อนเปิดแมตซ์ชิงแชมป์ ได้มีการจัดฟุตบอลนัดพิเศษ BDMS All Star Friendly Match ระหว่าง ทีมสีแดง นำโดย เก้า – จิรายุ ละอองมณี, เดอะตุ๊ก – ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน, โค้ชเตี้ย – สะสม พบประเสริฐ เจอกับ ทีมสีน้ำเงิน นำทีมโดย เป๊ก – เปรมณัช สุวรรณานนท์, ลีซอ – ธีรเทพ วิโนทัย, โค้ชจุ่น – อนุรักษ์ ศรีเกิด ร่วมด้วยเหล่า Influencer กีฬาฟุตบอลชื่อดังคับคั่ง อาทิ เจมส์ ลาลีกา, โจ้ เต็มข้อ, ปาล์ม 3 บาท 5 บาท, ท็อป ไข่มุกดา, ต่อ ณ ระนอง ฯลฯ แม้จะเป็นเพียงแมตช์กระชับมิตร แต่ละคนมีฝีเท้าจัดจ้านแบบไม่มีใครยอมใคร เปิดศึกดวลฝีเท้าแบบสนุก สูสี แถมได้รับเสียงเชียร์ทั้งสนาม โดยเสมอกันไป 4-4 ในเวลาปกติ ก่อนที่ทีมสีแดงจะเอาชนะไปได้จากการดวลจุดโทษตัดสิน ด้วยผลสกอร์รวม 9-8 ประตู 

ส่วนเกมการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศเป็นการเจอกันของทีมแฟนคลับ ทีมการท่าเรือ เอฟซี ทีมเอ พบ นครปฐม ยูไนเต็ด โดยในการพบกันในรอบเก็บแต้ม การท่าเรือ เอฟซีทีมเอ ถล่ม นครปฐม ยูไนเต็ด ขาดลอย 7-0 แต่ว่าในรอบชิงฯ แฟนคลับเสือป่าราชา ก็ล้างตาได้สำเร็จ เอาชนะแฟนคลับสิงห์เจ้าท่า ไปได้ 2-0 ทำให้ทีมนครปฐม ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ BDMS Presents THAI LEAGUE FANS CUP 2023 ครั้งนี้ไปครอง รับเงินรางวัล 1 แสนบาท

ส่วน การท่าเรือ เอฟซีทีมเอ รองแชมป์ รับเงินรางวัล 40,000 บาท และอันดับ 3 ได้แก่ ตราด เอฟซี รับเงินรางวัล 20,000 บาท นอกจากนี้ยังมีรางวัลให้กับนักเตะยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์ ได้แก่ นายทรงโปรด เวสกิจ จาก นครปฐม ยูไนเต็ด ส่วนแชมป์การแข่งขันรายการพิเศษ ยิงฟรีคิกประเภทบุคคล ได้แก่ นายอำนาจ รอบแคว้น ของ นครปฐม ยูไนเต็ด และประเภททีม ได้แก่ทีมสุโขทัย เอฟซีปิดท้ายด้วยรางวัลกองเชียร์ยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์สุดท้าย โดยกองเชียร์การท่าเรือ เอฟซี และ นครปฐม ยูไนเต็ด รับรางวัลร่วมกัน 5,000 บาท

Categories
Our Work

Recap “เตะล่าฝัน” ภารกิจเฟ้นหา 17 แข้งเยาวชนไทย บินลัดฟ้าฝึกบอลที่เยอรมัน โดยความร่วมมือกันของ บุนเดสลีกา, กกท. และ PPTV

โครงการ “BDMS Presents Bundesliga Dream เตะ ล่า ฝัน” เกิดจากความร่วมมือระหว่าง การกีฬาแห่งประเทศไทย, บุนเดสลีกา, และ บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด (PPTV) ร่วมด้วยผู้สนับสนุนอย่าง บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS, แบรนด์กีฬา IMANE, บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไวไว, ขนมปังกรอบ ตราโฮมมี่ และผลิตภัณฑ์ Compact Brakes

โดยจะนำแข้งเยาวชน U16 ที่ผ่านการคัดเลือกทั้ง 17 คน บินลัดฟ้าไล่ล่าความฝันสู่เส้นทางการเป็นนักเตะอาชีพ กับโปรแกรมฝึกซ้อมสุดเข้นข้น พร้อมดวลแข้งกับอคาเดมีระดับแถวหน้าของเยอรมัน อันได้แก่ ไอน์ทรัคต์ แฟรงค์เฟิร์ต, โบรุสเซีย ดอร์ตมุนด์ และเอฟซี บาเยิร์น มิวนิคเป็นเวลากว่า 3 สัปดาห์ในเดือนพฤษภาคมนี้ ณ ประเทศเยอรมนี หลังจากนั้นจะมีการคัดให้เหลือเพียง 2 นักเตะไทยที่ดีที่สุด เพื่อแยกกันเดินทางไปเก็บประสบการณ์ต่อแบบนักเตะอาชีพ กับทั้งแฟรงค์เฟิร์ต และ ดอร์ตมุนด์ต่ออีก 1 สัปดาห์  ซึ่งตอนนี้ทั้ง 17 คน ได้เดินทางสู่เยอรมันและกำลังร่วมฝึกซ้อมแล้ว

โครงการนี้ นอกจากจะสานฝันและพัฒนานักเตะเยาวชนไทยให้ได้บินลัดฟ้าไปฝึกฟุตบอลที่ประเทศเยอรมันแล้ว ยังเป็นการสร้างโอกาสให้ทีมสตาฟฟ์โค้ชทีมชาติไทยได้เห็นแววของช้างเผือกจากทั่วประเทศที่จะคัดเข้าสู่รั้วทีมชาติอีกด้วย และแน่นอนว่า ปรากฏการณ์ของฟุตบอลไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีกระแสและเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย นับว่าเป็นส่วนสำคัญของวงการฟุตบอลไทย ในการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น และทำให้จากเกมกีฬากลายเป็นเกมธุรกิจที่หลายคนต่างจับตามอง 

ซึ่งสอดคล้องไปกับการพัฒนาวงการฟุตบอลไทย และหลักพื้นฐานของการตลาด เมื่อฟุตบอลมีความนิยมเพิ่มมากขึ้น องค์กรที่เกี่ยวข้อง สปอนเซอร์ และหลากหลายธุรกิจก็เดินหน้าเข้าหาฟุตบอลกัน เพราะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด และมันอาจไม่ใช่แค่การทำ Sport Marketing ที่หลายคนมองแต่นี่คือ Community ขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้น

ในบทความนี้จะขออนุญาต Recap ถึงโครงการนี้ให้ได้อ่านกันสักเล็กน้อย โดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วงหลัก ๆ คือ 

1) วันที่ 8 มีนาคม 2566 : งานแถลงข่าวเปิดโครงการ หรือ พิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU)จัดขึ้น ณ ชั้น 25 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ การกีฬาแห่งประเทศไทย 

2) วันที่ 25-26 มีนาคม 2566 : วันคัดเลือก 17 แข้งเยาวชน ด้วยการปิดพื้นที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ปฏิบัติภารกิจเฟ้นหาแข้งอนาคตไทย บรรยากาศภายในงานตั้งแต่เช้ามีบรรดานักเตะเยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี จำนวน 120 คน พกความมุ่งมั่นมาพร้อมผู้ปกครองที่ตามมาให้กำลังใจติดขอบสนาม ซึ่งต้องเกริ่นก่อนว่า แข้งเยาวชนทั้ง120 คนนี้ ผ่านการคัดเลือกด้วย Data Base ของ Talent ID มาจากทั่วประเทศ

สำหรับการคัดเลือกนักเตะจัดขึ้นแบบเข้มข้นทั้ง 2 วัน โดยแบ่งนักกีฬาเป็น 6 ทีม ทีมละ 20 คน และได้ลงทีมแข่งขันคนละ 5 แมตช์ โดยมีคณะโค้ชทีมชาติไทยจาก สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และทีมสตาฟฟ์โค้ชจากเยอรมัน เป็นผู้ให้คะแนนนักเตะที่มีผลงานเข้าตา และทำคะแนนได้ดีที่สุด

โปรแกรมวันแรก ช่วงเช้าจะเป็น Physical Training การทดสอบสมรรถภาพร่างกาย ก่อนที่ช่วงบ่ายจะเป็นการลงทีม ซึ่งนักกีฬา จะได้เล่นคนละ 3 แมตช์ ส่วนโปรแกรมวันที่สอง นักกีฬา 120 คน จะถูกคละทีมไม่ซ้ำกับวันแรก แล้วลงทีมแข่งขัน และประกาศผลช่วงบ่าย โดยรายชื่อ 17 คนที่จะได้บินลัดฟ้าไปเยอรมนี จะประกาศอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 เมษายน ต่อไป

สำหรับเกณฑ์การคัดเลือก ออกแบบโดย การ์เลส โรมาโกซา ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคชาวสเปน ของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย โดยมีโค้ชจากบุนเดสลีกา กำกับดูแลอีกขั้น เพื่อให้มั่นใจว่าการคัดเลือกครั้งนี้ เป็นไปตามมาตรฐานสากล ที่ยึดหลักเดียวกันทั่วโลก ดังนี้

หลักการคัดเลือกคือ T+MASC (ที+แมส)
T = Talent : ความสามารถพิเศษ ยกตัวอย่างนักเตะไทย “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา กับสัญชาตญาณจบสกอร์ หรือ การเคลื่อนที่หนีตัวประกอบของ “เนย์มาร์”
M = Motricity : ผู้เล่นที่มีการทำงานประสานกันของร่างกาย สามารถแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้องในสถานการณ์ต่างกัน เช่น สุภโชค สารชาติ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้
A = Availability : ผู้เล่นที่มีทักษะสามารถสัมพันธ์กับลูกฟุตบอลได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่าง “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ ลิโอเนล เมสซี่
S = Smart : ผู้เล่นที่มีรอบรู้แท็กติกและความฉลาดในเชิงจิตวิทยา นักเตะตัวอย่าง ธีราทร บุญมาทัน และ ลูก้า โมดริช
C = Commitment : ผู้เล่นที่มีศักยภาพด้านจิตวิทยาและทัศนคติที่ดี ทีมเวิร์คดี อุทิศตนเพื่อทีม เช่น สารัช อยู่เย็น และ กฤษดา กาแมน 

3) วันที่ 03 เมษายน 2566 : วันแถลงข่าวเปิดตัว 17 แข้งเยาวชนไทยอย่างเป็นทางการ ณ ลานอีเดน ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติจากสถานเอกอัครราชทูตเยอรมันประจำประเทศไทย การกีฬาแห่งประเทศไทย ตัวแทนจากสโมสรฟุตบอลในบุนเดสลีกา ผู้สนับสนุน และสื่อมวลชน รวมถึง “โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุล อดีตนักเตะไทยคนแรกที่เคยไปร่วมทีมสโมสรบุนเดสลีกา และ “ตอง” กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ นักเตะไทย ที่เคยไปค้าแข้งในลีกสโมรยุโรป ร่วมเป็นสักขีพยานในการประกาศผล

รายชื่อ 17 เยาวชนไทยที่ได้รับเลือกเดินทางไปฝึกฟุตบอลที่ประเทศเยอรมัน ได้แก่

1) นายพิจักษณ์ ดอนวิไทย จากสโมสรเจแฟม ยูไนเต็ด 
2) นาย นภัทร สกุลจันทร์ จากโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี 
3) นายพิชชากร จันทร์เจียม จากคลองโคน-โปลิศเทโร อคาเดมี 
4) นายมิราโก้ อินอร่าม จากโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี
5) นายสิรภพ นิลแสง จากสโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด 
6) นายชัยรัตน์ พุ่มรอด จากโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี 
7) นายรังสรรค์ กากแก้ว จากคลองโคน-โปลิศเทโร อคาเดมี 
8) นายชนสรณ์ โชคลาภ จากโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี 
9) นายนที ตามประดับ จากคลองโคน-โปลิศเทโร อคาเดมี 
10) นายธีรภัทร น้อยลา จากสโมสรอุดร ยูไนเต็ด 
11) นายจิรภาส ด้วงเผือก จากโรงเรียนดรุณาราชบุรี  12) นายกฤตกานต์ รุ่งโรจน์เบญจพล จากโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี 
13) นายทาวิน อาจจินดา จากโรงเรียนดรุณาราชบุรี 
14) นายชนมภูมิ ชูพยัคฆ์ จากสโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด 
15) นายณัฐวุฒิ แสงอุทัย จากสโมสรเชียงใหม่ ยูไนเต็ด 
16) นายสุรชัย ชาภักดี จากสโมสรเจแฟม ยูไนเต็ด 

17) นายธนทัต คมสัน จากสโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด

โดยทั้ง 17 คนเดินทาง ไปฝึกซ้อมที่ประเทศเยอรมนี ภายใต้ชื่อทีม U17 Thailand Dream Team และแน่นอนว่า โครงการนี้ทาง PPTVHD36 ได้ตามไปเก็บภาพบรรยากาศการฝึกซ้อมสุดเข้มข้นคลิดทั้งโครงการอย่างใกล้ชิด พร้อมนำเสนอเรียลิตี้ซีรีย์ BUNDESLIGA DREAM “เตะ ล่า ฝัน” เส้นทางความฝันของแข้งเยาวชนไทย จากจุดเริ่มต้นที่ประเทศไทย ไปจนถึงการฝึกฝนฝีเท้าที่ประเทศเยอรมัน

โดยรายการจะออกอากาศให้ได้รับชมผ่านทางหน้าทางพีพีทีวี เอชดี ช่อง 36 จำนวน 12 ตอน ทุกวันเสาร์ เวลา 12.45 – 13.15 น. ซึ่งเทปแรกได้ออนแอร์ไปแล้วเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ที่ผ่านมา รับชมย้อนหลังที่นี่ได้เลยค่ะ http://pptv36.tv/1a29

Categories
Special Content

33 ปีที่เฝ้ารอ “สคูเดตโต” สมัยที่สาม ? นาโปลีเฉียดล่มสลายยุคโพสต์-มาราโดนา

ยูเวนตุส มหาอำนาจลูกหนังอิตาลีแห่งทศวรรษ 2010 ไม่สามารถครองตำแหน่งสคูเดตโตเป็นสมัยที่ 10 ติดต่อกันเมื่ออินเตอร์ มิลาน ขึ้นเถลิงบัลลังก์แทนในซีซัน 2020-21 ตามด้วยเอซี มิลาน ในซีซันต่อมา และทั้งสองฤดูกาล ทีมม้าลายจบด้วยอันดับสี่ของตารางกัลโช เซเรีย อา และซีซันนี้ สถานการณ์ของพวกเขายิ่งย่ำแย่ แต่แชมป์มีโอกาสสูงมากที่จะเปลี่ยนมือไปอยู่กับนาโปลี ซึ่งครองสคูเดตโตเพียงสองสมัย และครั้งหลังสุดคือปี 1990 หรือ 33 ปีที่แล้ว

นาโปลีเพิ่งผงาดเหนือแผ่นดินรูปท็อปบู๊ทช่วงกลางทศวรรษ 1980 เมื่อทุ่มเงินมหาศาลซื้อดีเอโก มาราโดนา มาจากบาร์เซโลนา เพียงเจ็ดปีที่มี G.O.A.T ชาวอาร์เจนไตน์อยู่ในทีม นาโปลีครองแชมป์เซเรีย อา 2 สมัย, แชมป์อิตาเลียน คัพ 1 สมัย และแชมป์ยูฟา คัพ 1 สมัย แต่หลังจากมาราโดนาโดนแบน 15 เดือนเพราะถูกตรวจพบสารโคเคน “เดอะ บลูส์” ไม่เพียงฟอร์มในสนามย่ำแย่ ฐานะการเงินยังตกต่ำถึงขั้นล้มละลาย ต้องลงไปเตะระดับเทียร์สามในซีซัน 2004-05 แต่โชคดีสโมสรได้ อูเรลิโอ เด ลอเรนติส พระเอกขี่ม้าขาวจากวงการภาพยนตร์เข้ามาช่วยกอบกู้วิกฤติทันที

นาโปลีใช้เวลาเพียงสามปีกลับขึ้นมาเซเรีย อา ในซีซัน 2007-08 แต่ยังต้องปรับตัวจูนทีมช่วง 2-3 ปีแรกก่อนผลงานดีขึ้นเรื่อยๆ มีโอกาสใกล้เคียงแชมป์ลีกมากที่สุดในซีซัน 2017-18 กับตำแหน่งรองแชมป์ ที่แม้ทำแต้มรวมสูงสุดในประวัติศาสตร์สโมสรคือ 91 คะแนน แต่ยังเป็นรองยูเวนตุสอยู่ 4 คะแนน

แน่นอน “สคูเดตโต” ย่อมเป็นเป้าหมายความสำเร็จของเด ลอเรนติส ที่มุ่งมั่นทำให้นาโปลียิ่งใหญ่สมฐานะทีมที่มีฐานแฟนบอลจำนวนมากที่สุดเป็นอันดับสี่ของอิตาลี และรั้งอันดับห้าของสโมสรเซเรีย อา ที่มีรายได้สูงสุดจากตัวเลข 182 ล้านเหรียญสหรัฐในซีซัน 2017-18

จุดเปลี่ยนแปลงสำคัญเกิดขึ้นเมื่อนาโปลีแต่งตั้ง ลูเซียโน สปัลเล็ตติ คุมทีมแทนเจนนาโร กัตตูโซ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2021 สปัลเล็ตติพาทีมจบซีซันแรกด้วยอันดับ 3 บนตารางเซเรีย อา ตามหลังแชมป์ เอซี มิลาน 7 คะแนน แต่ทิ้งอันดับ 4-5 ยูเวนตุสและลาซิโอถึง 9 และ 15 คะแนนตามลำดับ

สปัลเล็ตติประเดิมงานฤดูกาล 2021-22 ได้สวยหรูเก็บชัยชนะ 7 นัดรวด แต่เหมือนมีลางบอกเหตุก่อนนัดที่ 8 รถคันโปรด “เฟียต แพนดา” ของเขาโดนขโมย แม้ยังชนะนัดที่ 8 แต่สถิติหยุดแค่นั้นเพราะนัดต่อมา นาโปลีเสมอโรมา 0-0 ที่กรุงโรม ซ้ำร้ายต่อมาสปัลเล็ตติเจอปัญหานักเตะหลักเจ็บระนาวรวมถึงกองหน้า วิคเตอร์ โอซิมเฮน แถมผู้เล่นบางส่วนต้องไปแข่งขันแอฟริกา คัพ ออฟ เนชันส์ ทำให้ผลงานในสนามดร็อปลงจนแฟนบอลกลุ่มอัลตราทำป้ายขู่ว่า ถ้าอยากได้แพนดาที่หายไปคืนมา สปัลเล็ตติควรลาออกไปเสีย ซึ่งสื่อนำไปอำขำๆว่า เป็นตัวกระตุ้นให้สปัลเล็ตติรีดกึ๋นเค้นความสามารถของลูกทีมจนสถานการณ์ดีขึ้นจนปิดจ็อบปีแรกด้วยอันดับสาม

โมเมนตัมยังส่งผลต่อเนื่องถึงซีซันต่อมา ซึ่งขณะนี้เตะมา 23 จาก 38 นัด นาโปลีแพ้นัดเดียวเพราะโดนอินเตอร์ มิลาน เฉือน 0-1 เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยเสมอ 2 นัด ชนะมากถึง 20 นัด มี 62 คะแนน ทิ้งห่างรองจ่าฝูง ทีมงูใหญ่ 15คะแนน อีกทั้งยังได้ 56 ประตู เสีย 15 ประตู ผลต่างบวก 41 ประตู ตัวเลขดีที่สุดในเซเรีย อา ทั้งสามหมวดหมู่

ล่าสุดนาโปลีถูกยกเป็นเต็งหนึ่งที่จะครองตำแหน่งสคูเดตโตเป็นสมัยที่สาม และมีโอกาสไม่น้อยที่จะเก็บแต้มทะลุหลักร้อย หรืออย่างน้อยควรทำลายสถิติสูงสุดเดิมของสโมสรคือ 91 คะแนน

ประวัติศาสตร์สโมสรเริ่มต้นที่กะลาสีเรืออังกฤษ

สโมสรนาโปลี มีชื่อเต็มว่า Società Sportiva Calcio Napoli (S.S.C. Napoli) ตั้งอยู่ในเมืองเนเปิลส์ (หรือนาโปลีในภาษาอิตาเลียน) เมืองหลวงของแคว้น Campania ทางตอนใต้ของอิตาลี เป็นเมืองใหญ่อันดับสามของประเทศรองจากโรมและมิลาน ถ้ามองอิตาลีเป็นรองเท้าบู๊ท เนเปิลส์จะตั้งอยู่บริเวณหน้าแข้ง นาโปลีมีฉายาว่า Gli Azzurri (The Blues), Ciucciarelli (The Little Donkeys)

นาโปลีมีจุดเริ่มต้นเมื่อเกือบ 120 ปีที่แล้วจาก Naples Foot-Ball & Cricket Club (Naples FBC) สโมสรฟุตบอลแห่งแรกในเนเปิลส์ ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 1905 โดยวิลเลียม พอธส์ กะลาสีเรือชาวอังกฤษ กับเพื่อน เฮคเตอร์ เอ็ม เบยอน และคนท้องถิ่นกลุ่มหนึ่ง รวมถึงอเมดีโอ ซัลซี ที่เป็นประธานสโมสรคนแรก

ต่อมา กลุ่มชาวต่างชาติได้แยกตัวออกจากสโมสรในปี 1911 และก่อตั้งสโมสรใหม่ชื่อว่า Unione Sportiva Internazionale Napoli (U.S. Internazionale Napoli) แต่ช่วงกลางปี 1914 ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และหลังจากฟุตบอลกลับมาแข่งต่อ สภาพเศรษฐกิจและวิกฤติการเงินทำให้สองสโมสรยุบรวมกันในชื่อ Foot-Ball Club Internazionale-Naples หรือ FBC Internaples เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 1922 โดยสีชุดแข่งเป็นส่วนผสมระหว่างเสื้อสีฟ้าของเนเปิลส์และกางเกงสีขาวของนาโปลี

สโมสรได้เปลี่ยนชื่อเป็น Associazione Calcio Napoli เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 1926 ในยุคจิออร์จิโอ อัสคาเรลลี เป็นประธานสโมสร ซึ่งเชื่อว่าถูกกดดันจากรัฐบาลฟาสซิสต์ใหม่ที่ต้องการให้สโมสรมีชื่อแสดงความเป็นอิตาเลียน ก่อนเปลี่ยนอีกครั้งเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1964 เป็น Società Sportiva Calcio Napoli จวบจนปัจจุบัน

ครึ่งศตวรรษแรกบนถนนลูกหนังเซเรีย อา-บี

ยุคแรกเริ่ม นาโปลีไม่ประสบความสำเร็จอะไร ต้องรอถึงปี 1962 จึงสามารถคว้าถ้วยโคปปา อิตาเลีย ซึ่งเพิ่งจัดแข่งขันเป็นปีที่ 15 หลังจากเฉือนสปาล 2-1 ในนัดชิงชนะเลิศ ส่วนสคูเดตโตต้องรอถึงปี 1987

ในส่วนของประวัติศาสตร์ฟุตบอลลีกหากเริ่มจากยุคกัลโช เซเรีย อาและบี ซึ่งเริ่มฤดูกาล 1929-30 เป็นปีแรกเมื่อนำ Divisione Nazionale ซึ่งแบ่งเป็นสองกลุ่มๆละ 16 ทีม นำผลอันดับตารางคะแนนฤดูกาล 1928-29 มาจัดทีมลงแข่งขัน Divisione Nazionale Serie A (เทียร์หนึ่ง) และ Divisione Nazionale Serie B (เทียร์สอง) โดยนาโปลีจบอันดับ 8 ร่วมกับลาซิโอ ทั้งคู่เตะเพลย์ออฟเสมอ 2-2 หลังต่อเวลา แต่แมตช์เป็นโมฆะเนื่องจากสหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี (เอฟไอจีซี) ให้ทั้งสองเข้าไปเล่นเซเรีย อา เพื่อเพิ่มโควตาให้กับสโมสรจากภาคใต้

แม้ไม่เคยสัมผัสแชมป์แต่นาโปลีทำผลงานในเซเรีย อา ได้ไม่เลว เคยขึ้นสูงสุดอันดับสามในซีซัน 1933–34 ดาวเด่นของยุคนี้คือ อัตติลา ซาลลุสโตร ซึ่งเล่นให้นาโปลีระหว่างปี 1926 – 1937 สถิติรวมทุกรายการ 266 นัด 108 ประตู ปัจจุบันรั้งอันดับ 5 ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของสโมสร

หลังได้อันดับ 15 รองบ๊วยฤดูกาล 1941-42 นาโปลีก็ตกไปเล่นเซเรีย บี หนึ่งซีซัน ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ส่วนซีซันแรกที่กลับมาหลังสงตราม ฟุตบอลลีกอิตาลี ซีซัน 1945-46 ถูกแบ่งใหม่เป็นสองกลุ่มคือ ภาคเหนือ เซเรีย อา และ ภาคกลาง-ภาคใต้ เซเรีย อา-บี ซึ่งนาโปลีจบอันดับหนึ่งของกลุ่มร่วมกับบารี ได้เตะเซเรีย อา ซีซัน 1946-47 โดยอัตโนมัติ

เล่นได้เพียงสองซีซัน นาโปลีก็ตกไปอยู่เซเรีย บี แต่ใช้เวลาสองซีซันเช่นกันกลับขึ้นมาอยู่เซเรีย อา หลังจากครองแชมป์เซเรีย บี ซีซัน 1949-50 ซึ่งเป็นความสำเร็จครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรหากไม่นับ Campionato Centro-Sud Serie A-Bทัวร์นาเมนท์พิเศษหลังสงครามที่ครองร่วมกับบารี

นับจากนั้น นาโปลีก็อยู่ในลีกสูงสุดเป็นส่วนใหญ่ (ยกเว้นซีซัน 1961-62, 1963-64 และ 1964-65 ที่ร่วงไปลีกรอง) จนถึงยุคทองเมื่อได้ดีเอโก มาราโดนา เข้ามากลางทศวรรษ 1980 

ยุคทองกับมาราโดนา เจ็ดปี ห้าแชมป์

ก่อนหน้าการมาถึงของดีเอโก มาราโดนา กลางปี 1984 นาโปลีครองแชมป์อิตาเลียน คัพ สองสมัยในปี 1962 และ 1976แต่เพียงเจ็ดปีที่มีมาราโดนา “เดอะ บลูส์” ครองตำแหน่งสคูเดตโต ซึ่งรอคอยมานาน 61 ปี ในซีซัน 1986-87, 1989-90 แชมป์โคปปา อิตาเลีย ซีซัน 1986-87 แชมป์ยูฟา คัพ ซีซัน 1988-89 และแชมป์ซูเปอร์โคปปา อิตาเลีย ปี 1990

ช่วงสองปีที่บาร์เซโลนา แม้มีปัญหาบาดเจ็บรบกวน มาราโดนายังมีผลงาน 38 ประตูจาก 58 นัด แต่ด้วยความขัดแย้งกับฝ่ายบริหารโดยเฉพาะโจเซป หลุยส์ นูนเนซ ประธานสโมสร ทำให้เขาขอย้ายออกจากทีม และเป็นนาโปลีที่ยอมทุ่มเงินราว 10.48 ล้านปอนด์ ซื้อไปเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 1984 โดยมาราโดนาเดินทางถึงเมืองเนเปิลส์และปรากฏตัวต่อสายตาคนทั้งโลกในฐานะนักเตะนาโปลีครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม มีแฟนบอลมากถึง 75,000 คน รอต้อนรับเขาที่สนามซาน เปาโล

ไม่เพียงมาราโดนา นาโปลียังสร้างทีมใหม่ผ่านนักเตะอย่างซีโร แฟร์รารา, ซัลวาตอเร บาญนี และแฟร์นานโด เด นาโปลี จนทีมลาน้อยทะยานขึ้นอันดับสามของซีซัน 1985-86 แต่สิ่งที่เหนือกว่ายังมาไม่ถึง ด้วยมาราโดนา, บรูโน กีออร์ดาโน และกาเรกา สามแนวรุกที่ถูกตั้งฉายาว่า Ma-Gi-Ca (มนต์วิเศษ) พานาโปลีไปถึงจุดพีคของประวัติศาสตร์สโมสร เป็นทีมที่สามที่ทำ “ดับเบิลแชมป์” สำเร็จในซีซัน 1986-87 ชนะเลิศเซเรีย อา ห่างยูเวนตุส 3 แต้ม และถลุงอตาลันตา 4-0 ในนัดแชมป์โคปปา อิตาเลีย

ฤดูกาลต่อมา นาโปลีได้เพียงรองแชมป์เซเรีย อา ตามหลังเอซี มิลาน 3 คะแนน และผ่านไปเล่นยูฟา คัพ ซีซัน 1988-89 ซึ่งมาราโดนาและผองเพื่อนสามารถปักธงบนสังเวียนยุโรปได้สำเร็จ ผ่านพีเอโอเค, โลโกโมทีฟ ไลปซิก, บอร์กโดซ์, ยูเวนตุส และบาเยิร์น มิวนิก เข้าไปชิงแชมป์กับซตุ๊ตการ์ตในเดือนพฤษภาคม 1989 นาโปลีชนะด้วยสกอร์รวม 5-4 ขณะที่เซเรีย อา นาโปลีได้รองแชมป์เป็นปีที่สองติดต่อกัน ถูกอินเตอร์ มิลาน ทิ้งขาด 11 แต้ม

นาโปลีครองสคูเดตโตสมัยที่สองในฤดูกาล 1989-90 โดยเฉือนมิลานเพียงสองคะแนน แต่ในปี 1991 มาราโดนาถูกตรวจพบว่าใช้โคเคน โดนโทษแบนนานถึง 15 เดือน ตั้งแต่เมษายน 1991 ถึงมิถุนายน 1992 ซึ่งมาราโดนาอ้างว่าเป็นการแก้แค้นของเอฟไอจีซี ที่เขาและอาร์เจนตินาเขี่ยอิตาลีตกรอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 1990 ที่เมืองเนเปิลส์ โดยก่อนหน้าลงสนาม มาราโดนาขอร้องแฟนบอลเจ้าถิ่นช่วยเชียร์อาร์เจนตินา

นับจากถูกตัดสินโทษแบนครั้งนั้น มาราโดนาก็ไม่ได้เล่นให้นาโปลีอีกเลยก่อนย้ายไปเล่นให้เซบีญาในซีซัน 1992-93 แม้มีข่าวว่าเรอัล มาดริด และมาร์กเซย์ ต้องการตัวเขา มาราโดนาใช้เวลาอาชีพค้าแข้งที่เหลือในอาร์เจนตินากับนีเวลส์ โอลด์บอยส์ (1993 – 1994) และโบคา จูเนียร์ส (1995 – 1997)

ไร้มาราโดนา ทีมเสื่อมถอยทั้งการเล่นและการเงิน

ยุคโพสต์-มาราโดนา เริ่มในซีซัน 1991-92 นาโปลียังจบด้วยอันดับสี่บนตารางเซเรีย อา ก่อนเข้าช่วงขาลงจนกระทั่งรั้งก้นตารางของซีซัน 1997-98 ร่วงไปเล่นเซเรีย บี สองปี และกลับขึ้นมาอยู่ลีกสูงสุดในซีซัน 2000-01 แต่จบด้วยอันดับรองโหล่ ตกไปลีกรองอีกครั้งแถมรอบนี้ไหลลงไปถึงเทียร์สาม

หลังฤดูกาลแรกที่ไม่มีมาราโดนา นาโปลีเริ่มเสื่อมถอยทั้งผลงานในสนามและสภาพการเงิน นักเตะแกนหลักอย่างจิอันฟรังโก โซลา, ดาเนียล ฟอนเซกา, ซีโร แฟร์รารา และกาเรกา ต่างจากไปช่วงปี 1993 – 1994 แฟนๆพอมีรอยยิ้มบ้างกับบอลถ้วย เข้ารอบสามยูฟา คัพ ซีซัน 1994-95, เข้าชิงโคปปา อิตาเลียน ซีซัน 1996-97 แต่แพ้วิเซนซา 1-3 ต่างกับฟุตบอลลีกที่ย่ำแย่จนกระทั่งฤดูกาล 1997-98 นาโปลีชนะแค่สองนัด ร่วงลงไปเซเรีย บี สองซีซัน กลับขึ้นมาเซเรีย อา หนึ่งซีซัน และลงไปอีกครั้งในซีซัน 2001-02 

เดือนสิงหาคม 2004 นาโปลีถูกประกาศล้มละลาย อูเรลิโอ เด ลอเรนติส มหาเศรษฐีโปรดิวเซอร์หนังคนดัง ขี่ม้าขาวกอบกู้วิกฤติช่วยไม่ให้นาโปลีกลายเป็นตำนานทีมลูกหนังแห่งเนเปิลส์ แม้ต้องเปลี่ยนไปใช้ชื่อ “นาโปลี ซอคเกอร์” ชั่วคราวและโดนปรับตกไปอยู่เซเรีย ซี1/บี แม้ฤดูกาล 2003-04 จะจบด้วยอันดับ 13 ของเซเรีย บี ก็ตาม

ถึงตกไปอยู่เทียร์สาม นาโปลียังมีแฟนๆติดตามให้กำลังใจอย่างเหนียวแน่น มีคนดูเฉลี่ยต่อนัดมากกว่าทีมส่วนใหญ่ในเซเรีย อา เคยสร้างสถิติคนดูสูงสุดในประวัติศาสตร์เซเรีย ซี ถึง 51,000 คนในหนึ่งนัด

แฟนบอลให้กำลังใจ “เด ลอเรนติส” ให้กำลังเงิน

นาโปลีครองแชมป์เซเรีย ซี1/บี ฤดูกาล 2005-06 ใช้เวลาเพียงสองปีขึ้นมาเซเรีย บี และกลับไปใช้ชื่อสโมสร Società Sportiva Calcio Napoli อีกครั้งในเดือนพฤษภาคม 2006 “เดอะ บลูส์” จบซีซัน 2006-07 ด้วยอันดับสอง กลับขึ้นมาอยู่บนเซเรีย อา อีกครั้งหลังใช้เวลาอยู่ในลีกรองนานหกปี

ลีกสูงสุดสามซีซันแรก นาโปลีจบด้วยอันดับ 8,12 และ 6 ซึ่งได้สิทธิแข่งยูโรปา ลีก ซีซัน 2010-11 แม้หยุดเส้นทางรอบ 32 ทีมสุดท้าย แต่ภายใต้การคุมทีมของวอลเตอร์ มาซซาร์รี นาโปลีรั้งอันดับสามบนตารางเซเรีย อา

ซีซัน 2011-12 นาโปลีได้อันดับห้าของเซเรีย อา แต่ตะลุยถึงนัดชิงโคปปา อิตาเลีย เจอกับยูเวนตุส เจ้าของตำแหน่งสคูเดตโตไร้พ่ายปีนั้น นาโปลีชนะ 2-0 ครองแชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่สี่ ซึ่งรอคอยมานาน 25 ปี ทีมลาน้อยยังชนะเลิศเพิ่มอีกสองครั้งในซีซัน 2013-14 ชนะฟิออเรนตินา 3-1 และซีซัน 2019-20 เสมอยูเวนตุส 0-0 ก่อนชนะดวลจุดโทษ 4-2

สำหรับเซเรีย อา นาโปลีเป็นรองแชมป์ ฤดูกาล 2012-13 ตามหลังยูเวนตุส 9 คะแนน และนับจากนั้นเป็นเวลาเก้าปี นาโปลีหลุดอันดับท็อป-5 แค่ปีเดียว โดยเป็นรองแชมป์ 3 ครั้ง, อันดับสาม 3 ครั้ง, อันดับห้า 2 ครั้ง และอันดับเจ็ด 1 ครั้ง

เครดิตต้องยกให้เต็มๆสำหรับการบริหารงานและเงินของเด ลอเรนติส ที่ไม่ใช่มหาเศรษฐีสายเปย์ แถมยังวางแผนและคิดรอบคอบเสียจนแฟนบอลมองว่าเป็นเจ้าของทีมที่มัธยัสถ์(หรือขี้เหนียว)เกินเหตุ

ฟาบริซิโอ โรมาโน นักข่าวคนดังเคยให้สัมภาษณ์ว่า เด ลอเรนติส และผู้อำนวยการ คริสเตียโน จิอันโตลี ร่วมกันตัดสินใจขายนักเตะที่เป็นขวัญใจของแฟนบอลและว่าที่ตำนานสโมสร ซึ่งเป็นความเสี่ยงอย่างเช่น อเรนโซ อินซิเญ, คาลิดู คูลิบาลี, ดรีส์ เมอร์เทนส์ และฟาเบียน รูอิซ

สำหรับฝั่งขาเข้าเนื่องจากนาโปลีเป็นทีมระดับกลางของยุโรป จึงไม่มีแรงดึงดูดสตาร์ดังด้วยเงินและชื่อเสียง กลุ่มนักเตะใหม่จึงได้แก่ คิม มิน-แจ เซ็นเตอร์แบ็ควัย 26 ทีมชาติเกาหลีใต้ ซึ่งเล่นสามปีในจีนก่อนย้ายมาอยู่เฟเนอร์บาห์เช, มาเธียส โอลิเวรา แบ็คซ้ายทีมชาติอุรุกวัยที่ข่วยให้เตกาเฟรอดตกชั้นลาลีกา, เลโอ ออสติการ์ด เซ็นเตอร์แบ็คชาวนอร์เวย์ของไบรท์ตัน ซึ่งสร้างผลงานได้ดีระหว่างที่เจนัวเซ็นยืมหกเดือนครึ่ง รวมถึงยืมตัวต็องกี อึนดอมเบเล จากสเปอร์ส, โจวานนี ซิเมโอเน จากเวโรนา และจีอาโกโม รัสปาโดรี จากซาสซูโอโล โดยตัวความหวังใหม่จริงๆคือ ควิชา ควารัทสเคเลีย ปีกดาวรุ่งทีมชาติจอร์เจีย ซึ่งซื้อจากดีนาโม บาตูมิ ด้วยสนนราคาเพียง 10 ล้านยูโร ส่วนหนึ่งเพราะสงครามในยูเครน

นั่นทำให้ตลาดซัมเมอร์ปีที่แล้ว นาโปลีสามารถลดค่าเหนื่อยผู้เล่นลงได้ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ และทำกำไรได้ 13 ล้านยูโร แต่ที่สำคัญกว่าคือ การบริหารตลาดนักเตะรอบใหญ่ครั้งนั้นทำให้สปัลเล็ตติได้นักเตะที่ใช่สำหรับแนวทางของเขา ซึ่งชื่นชอบเกมบุกที่มีการครองบอลเป็นรากฐาน โดยกุนซือวัย 63 ปี ชอบระบบ 4-2-3-1 หรือ 4-3-3 ที่มี inverted wingers โดยปีกตัวในทั้งสองฝั่งคือ ควารัทสเคเลีย และมัตเตโอ โปลิตาโน ถือเป็นกุญแจสำคัญที่นำความสำเร็จมาสู่นาโปลีในซีซันนี้ และต้องไม่ลืม วิคเตอร์ โอซิมเฮน ศูนย์หน้าเนื้อหอมทีมชาติไนจีเรีย ซึ่งเฉพาะบอลลีกทำไป 18 ประตู 4 แอสซิสต์จาก 19 นัด

ถ้าเปรียบมาราโดนาเป็นคนนำนาโปลีไปสู่ยุคโชติช่วงชัชวาล เด ลอเรนติส ถือเป็นบุคคลที่กอบกู้สโมสรขึ้นมาจากซากปรักหักพังนับจากล้มละลายในปี 2004 ไม่เพียงพากลับเซเรีย อา อย่างรวดเร็วเพียงสามปี แต่ยังบริหารนาโปลีจนใกล้ที่จะครองสคูเดตโตสมัยที่สามที่รอนานกว่าสามทศวรรษ

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Our Work

รวมกิจกรรม ความสนุกสนาน ประทับใจ และโมเมนท์แห่งความสุขจาก ครีเอทีพ อีเวนท์ในปี 2565 โดย KMD

ตลอดปี 2565 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะหากนับย้อนไปถึงช่วงต้นปี สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึง และตระหนักอย่างหนักหน่วงอยู่ คือ เรื่องของโควิด-19 และมาตรการรับมืออันทำให้การจะสร้างสรรค์งานออกมาแต่ละชิ้น แต่ละกิจกรรมจะต้องสอดคล้องล้อไปกับสถานการณ์เพื่อความปลอดภัยให้มากที่สุด แต่นั้นไม่ใช่ปัญหา ตรงกันข้าม กับเป็นช่องว่างที่ทำให้เรา “ไข่มุกดำ” หรือ KMD ได้มีโอกาสสร้างสรรค์งานออกมาในรูปแบบธีมต่าง ๆ ร่วมกับพาร์ตเนอร์จนเกิดอีเวนท์อันเป็นกิจกรรมการตลาดที่ตื่นเต้น มันส์ เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข สนุกสนาม ลงตัว win-win กันถ้วนหน้า

ปีนี้ 2566 ก็เช่นกัน “KMD” พร้อมเสิร์ฟความสนุกให้เพื่อน ๆ อย่างต่อเนื่องแน่นอน แต่ก่อนจะเริ่มต้นระเบิดความมันส์ผ่านกิจกรรมแรกของปี 2566 หรือปีกระต่ายนี้ไปด้วยกัน เราขอรวบรวมงานในปีที่ผ่านมา มาให้ร่วมทบทวนภาพจำกันอีกครั้ง ตามนี้เลยค่ะ

1.เริ่มต้นกันที่ อีเวนท์ของ ลาลีกา กับการจัดงานขอบคุณพันธมิตรทางการค้า, สื่อมวลชนกีฬาสายฟุตบอล, อินฟลูเอนเซอร์ และยูทูปเบอร์ฟุตบอลชั้นนำในคอนเซปต์ “LaLiga Great Rivalries” โดยมีตัวแทนจากหอการค้าสเปนในประเทศไทยเข้าร่วมงานด้วย โดยครีเอตเป็นอีเวนต์เล็ก ๆ แบบอบอุ่น รักษาระยะห่าง Social Distancing ป้องกัน Covid-19 ตามมาตรการรัฐ

อ่านเพิ่มเติม คลิก https://khaimukdam.com/our-work/laliga-great-rivalries/

LaLiga Great Rivalries

2.“LaLiga Global Network” เป็นชื่อของโครงการสำหรับงานถัดมาที่จัดขึ้น เนื่องในโอกาสครบรอบ 5 ปี ลาลีกาเข้ามาปักฐานการทำงานในประเทศไทย ถือเป็นโอกาสอันดี ที่ ลาลีกา ได้เชิญสื่อมาร่วมร่วมฉลองความสำเร็จ โดยได้รับเกียรติ Conference Call สายตรงจากกรุงมาดริด โดย คุณออสการ์ มาโย กรรมการบริหารลาลีกา ร่วมกับคุณ จอร์โจ้ ปอมปิลี รอสซี ตัวแทนลาลีกาในประเทศไทย จัดงานที่ Pit8 Motorsport Cafe กรุงเทพฯ

อ่านเพิ่มเติม คลิก https://khaimukdam.com/our-work/laliga-global-network/

LaLiga Global Network

3.ถัดจากงานที่สื่อมวลชน หรืออินฟลูเอนเซอร์ได้พบปะกันไปแล้ว ขอขยับอีเวนต์ให้ใหญ่ขึ้นอีกนิด ด้วยการเปิดโอกาสให้แฟนฟุตบอลได้เข้ามาร่วมสนุกไปด้วยกัน บวกกับช่วงต้นปีกระแสแคมปิ้งกำลังมาแรง พอ ๆ กับสถานการณ์รับมือกับ โควิด-19 ทำให้เกิดความคิดจะนำกิจกรรมชมฟุตบอลมาผสมผสานกับการออกแคมป์ กางเต็นท์ขึ้นเพื่อให้กิจกรรม outdoor จนเกิดเป็นงานอีเวนต์เชียร์บอลสุดคูล LaLiga Football Camping ที่ APO Camp Life จังหวัดนครนายก ในรูปแบบแคมป์ริมน้ำเป็นครั้งแรก

อ่านเพิ่มเติม คลิก https://khaimukdam.com/our-work/laligafootballcamping/

LaLiga Football Camping

4.เมื่องานแคมป์ปิ้งที่ผ่านมามันเวิร์ก และได้รับการตอบรับที่ดี จึงทำให้เกิดอีเวนต์ครีเอท ๆ ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดประสบการณ์ใหม่กับงานสุดพิเศษ ล่องเรือ ปาร์ตี้ จัดเต็มพรีวิว เกมคู่บิ๊กแมตช์ ในชื่อ “ElClásico Boat Party Exclusive Trip” ที่ถูกเนรมิตขึ้นร่วมกับพันธมิตร เจ้าเดิม ลาลีกา สร้างสรรค์การทำกิจกรรมร่วมกับแฟนบอลขึ้นในยุคสถานการณ์โควิด -19 ในรูปแบบที่ไม่ใช่แค่การชมฟุตบอลในสนามเท่านั้น 

อ่านเพิ่มเติม คลิก https://khaimukdam.com/our-work/elclasico-boat-party-exclusive-trip-2/

ElClásico Boat Party Exclusive Trip

5.อีเวนท์ลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี จนดำเนินมาถึงอีเวนท์สำหรับโค้งสุดท้ายของลาลีกาในฤดูกาล 2021/22 ไม่พลาดจัดกิจกรรมต่อยอดการสร้างประสบการณ์ให้กับแฟนฟุตบอล โดยครั้งนี้มาในคอนเซ็ปต์ “LaLiga Pool Party” กิจกรรม outdoor ดูบอล ฟังเพลง ริมสระน้ำ Rooftop bar ใจกลางกรุงเทพมหานคร พร้อมเป็นสักขีพยานชม “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ยิงสลุต ฉลองแชมป์ลาลีกา 2021/22

อ่านเพิ่มเติม คลิก https://khaimukdam.com/our-work/laliga-pool-party-2/

LaLiga Pool Party

6.หลังจากเต็มอิ่มกับงานดูบอลไปแล้ว ก็พักเบรกเล็กน้อยกับงานเล็ก ๆ เรียบง่าย และอบอุ่น กับงาน เปิดตัว LaLiga Pass แอพพลิเคชั่นสำหรับแฟนฟุตบอลสเปน ที่มีฟุตบอลสดให้ดูครบทุกนัดทั้ง LaLiga Santander และ LaLiga Smartbank  นอกจากนี้ยังมีไฮไลท์การแข่งขัน, ประตูสุดสวย, บทสัมภาษณ์สุดพิเศษ และเนื้อหาอื่น ๆ ที่มานำเสนอทุกวัน 

แต่หนึ่งจุดขายของ แอพพลิเคชั่นนี้ในประเทศไทย คือ รายการ LaLiga Pass Show ที่มีกูรูฟุตบอลสเปน สลับกันมาร่วมดำเนินรายการ พูดคุยเกี่ยวกับฟุตบอลสเปนแบบอัดแน่น เจาะลึกเบื้องหน้าเบื้องหลังกันแบบแตกต่าง นำโดย เจมส์ ลาลีกา, ขวัญ ลามาเซีย, ลูกชิ้น จากเพจ เสพติดบอลสเปน, เบน บาร์ซ่า เข้าเส้น by แฟนพันธุ์แท้บาร์ซ่า ฯลฯ

อ่านเพิ่มเติม คลิก https://khaimukdam.com/our-work/laliga-pass/

ลาลีกา เปิดตัว LaLiga Pass ใช้กลยุทธ์ PR แบบเรียบง่าย อบอุ่น และกันเอง เชิญสื่อกีฬาดินเนอร์ พูดคุย และออนไลน์มีตติ้งกับผู้บริหารจากสปน

7.และก่อนจะเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ของ ลาลีกา สเปน “ไข่มุกดำ” มีโอกาสได้ดูแลจัดอีเวนท์ ซึ่งประเทศไทยถูกเลือกเป็น 1 ใน 8 ประเทศทั่วโลก จัดงาน เปิดตัวลูกฟุตบอล “PUMA ORBITA LaLiga” ต้อนรับซีซั่นใหม่ 2022/23 ที่ Ari Football สยามสแควร์ ซอย 6

อ่านเพิ่มเติม คลิก https://khaimukdam.com/our-work/puma-orbita-laliga/

PUMA ORBITA LaLiga

8.อีเวนท์ถัดมา เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อแฟนฟุตบอลโดยเฉพาะ ก่อนเปิดฤดูกาล 2022/2023 ของลาลีกา ด้วยการระเบิดศึกความมันส์ กับศึกลูกหนังทัวร์นาเม้นท์พิเศษครั้งแรก!! ภายใต้งาน “LaLiga Futbol Cup by M88 2022” ที่สนาม kpc soccer km.9 เทพารักษ์ จ. สมุทรปราการ ชวนแฟนบอลมาเตะบอลกระชับมิตร เชื่อมความสัมพันธ์ ความสามัคคี ที่เต็มไปด้วยความสนุกเเละมิตรภาพเเบบครอบครัว ลาลีกา

อ่านเพิ่มเติม คลิก https://khaimukdam.com/our-work/laliga-futbol-cup-2022/

LaLiga Futbol Cup by M88 2022

9.อีเวนท์เปิดตัวฟุตบอล ลาลีกา สเปน ฤดูกาลใหม่ 2022-23 ผ่านเทคโนโลยีการถ่ายทอดสดอันทันสมัยที่สุดในโลก พร้อมเชิญสื่อกีฬาร่วมพูดคุยแบบเรียบง่ายและกันเอง ภายใต้อีเวนท์ “WHAT HAPPENS IN LALIGA STAYS WITH YOU” ณ ร้านอาหาร Reunion ชั้น 5 ตึก D.O.M. ปากซอยวิภาวดี 20

อ่านเพิ่มเติม คลิก https://khaimukdam.com/our-work/laliga-is-back-for-the-2022-23-season/

WHAT HAPPENS IN LALIGA STAYS WITH YOU

10.เดินทางมาถึง 2 งานสุดท้ายของปี ที่จัดต่อเนื่องกัน เพราะเป็นงานสำหรับศึก ElClasico โดยงานแรกจัดกิจกรรมสุดพิเศษ ภายใต้งาน “ElClasico Expo powered by LaLiga Pass” นำถ้วย ออฟฟิเชียล ลาลีกา โทรฟี ส่งตรงจากสเปน มาให้แฟนบอลได้ยลโฉมและถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ถึงประเทศไทย พร้อมโหมโรงก่อนศึกคู่บิ๊กแมตช์ ระหว่าง “เรอัล มาดริด” ปะทะ “บาร์เซโลน่า”

บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความคึกคัก โดยเฉพาะในช่วงเวลาพิเศษ ที่ได้พบกับ 4 กูรูเบอร์ต้นบอลสเปน เจมส์ ลาลีกา, ลูกชิ้น เสพติดบอลสเปน, ขวัญ ลามาเซีย และ เบน บาร์ซ่า เข้าเส้น by แฟนพันธุ์แท้บาร์ซ่า ที่มาพูดคุยถึงรวมถึงที่มาที่ไปของการก้าวเข้าสู่ความเป็นคอบอลสเปน รวมทั้งเกมคู่ดังกล่าว ที่จะทำศึกฟาดแข้งกันในวันที่ 16 ตุลาคม นี้ 

และไม่ใช่เพียงกูรูทั้ง 4 ท่านเท่านั้น ยังมี อันเดรส ตูเญซ ดาวเตะต่างชาติที่ประสบความสำเร็จสูงสุดคนหนึ่งของไทยลีก (ปัจจุบันเล่นให้กับ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ซึ่งให้ความอนุเคราะห์ตัวนักเตะมาร่วมงาน) และเป็นอดีตนักเตะเซลตา ในลีกลาลีกา สเปน มาร่วมพูดคุยประสบการณ์ส่วนตัวเกือบ 10 ปีในแดนกระทิงดุอีกด้วย

อ่านเพิ่มเติม คลิก https://khaimukdam.com/our-work/elclasico-expo-powered-by-laliga-pass/

ElClasico Expo powered by LaLiga Pass

11.ปิดท้ายกันที่อีเวนต์สุดพิเศษ “ElClasico VIP Party powered by beIN Sports” กิจกรรมที่ชวนมาพบกับประสบการณ์การดูบอล ฟังดนตรีสดจากศิลปิน ชีส เดอะ วอยซ์ วิเคราะห์เกมโดยสุดยอดกูรู กิน ดื่มสุดชิลล์ เอนจอยกิจกรรมพร้อมของรางวัลจัดเต็มสนุก ในโดมกลางกรุงเทพมหานคร Pearl Bangkok ชมบิ๊กแมตช์ ElClasico ไปด้วยกันกับแขก VIP, สื่อมวลชน, อินฟลูอินเซอร์ และแฟนบอลผู้โชคดี ซึ่งผลการแข่งขันเกมนี้ จบลงด้วยชัยชนะของ “เรอัล มาดริด” ที่เอาชนะ “บาร์เซโลน่า” ไปถึง 3-1

อ่านเพิ่มเติม คลิก https://khaimukdam.com/our-work/elclasico-vip-party-powered-by-bein-sports/

ElClasico VIP Party

กิจกรรมที่ผ่านมาเหล่านี้ น่าจะสร้างความสุข สนุกสนาน ความมันส์แบบเต็มเปี่ยมให้กับเพื่อน ๆ ได้เป็นอย่างดี เราพร้อมที่จะส่งต่อ มอบความสุขแบบนี้ให้ทุกคนรวมถึง “ผู้สนับสนุน” ที่สนใจอย่างต่อเนื่องในปีนี้ และปีถัด ๆ ไป สำหรับใครที่ไม่อยากพลาด อย่าลืมกดติดตามทุกช่องทางของ ไข่มุกดำ ไว้ได้เลย รับรองว่า เด็ดทุกงาน !!

รวมถึงผู้สนับสนุนที่สนใจให้เราได้ดูแลทุกขั้นตอนการทำกิจกรรมการตลาดเช่นนี้ แบบ ลาลีกา ก็สามารถติดต่อเราได้เช่นกันค่ะ

📝 ภาวินีย์ สูญสิ้นภัย

Categories
Our Work

ElClasico VIP Party : ครั้งแรก! ลาลีกา จัดกิจกรรมรับศึก “ElClasico” เต็มอิ่ม ประสบการณ์ และอรรถรสการรับชมแมตช์สุดยิ่งใหญ่ลีกสเปน จบเกม เรอัล มาดริด ถล่ม บาร์เซโลน่า 3-1

ผ่านไปแล้วกับงานสุดพิเศษ ที่ลาลีกา ประเทศไทย จัดให้ตามคำเรียกร้องของแฟนบอล “ElClasico VIP Party powered by beIN Sports” 16 ตุลาคม 2565 ในงานพบกับประสบการณ์การดูบอล ฟังดนตรีสดจากศิลปิน ชีส เดอะ วอยซ์ วิเคราะห์เกมโดยสุดยอดกูรู กิน ดื่มสุดชิลล์ เอนจอยกิจกรรมพร้อมของรางวัลจัดเต็มสนุก ในโดมกลางกรุงเทพมหานคร Pearl Bangkok ชมบิ๊กแมตช์ ElClasico ไปด้วยกันกับแขก VIP, สื่อมวลชน, อินฟลูอินเซอร์ และแฟนบอลผู้โชคดี ซึ่งผลการแข่งขันเกมนี้ จบลงด้วยชัยชนะของ “เรอัล มาดริด” ที่เอาชนะ “บาร์เซโลน่า” ไปถึง 3-1

บรรยากาศภายในงานสุดคึกคัก มีผู้คนเข้าร่วมงานถูกรับเชิญ และถูกเลือกผ่านกิจกรรมกว่า 200คน ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนจากสถานทูตสเปน, หอการค้าสเปน, อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง สื่อมวลชนสายกีฬา และแฟนฟุตบอลที่ร่วมสนุกลุ้นรับสิทธิ์เข้าร่วมงานจากกิจกรรมออนไลน์ นำโดย เจมส์ ลาลีกา, ขวัญ ลามาเซีย, เบน บาร์ซ่าเข้าเส้น by แฟนพันธุ์แท้บาร์ซ่า และ ลูกชิ้น เสพติดบอลสเปน 4 กูรูฟุตบอลสเปน ที่มาร่วมพูดคุยวิเคราะห์เกมการแข่งขัน ทั้งก่อนเกม ช่วงพักครึ่ง และหลังเกม

นอกจากนี้ยังมี ต่อ ณ ระนอง, เดอะนัทซัดหมดแมกซ์, มายด์เปี๊ยกบางใหญ่, แตง Top4Official, แม็ก3เม็ด, ซันนี่ ธัญญารัตน์ พร้อมทีม Ari, สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาออนไลน์ นำมาโดยนายกสมาคมฯ วันกล้า ขวัญแก้ว และเหล่าพาร์ตเนอร์ของงาน ที่มาร่วมสนุก สร้างสีสัน และความมันส์ไปด้วยกัน

งานนี้ได้นั่งชิลล์ กิน ดื่ม ฟรี!! ผ่อนคลายไปกับดนตรีสดเพราะ ๆ จาก ชีส เดอะวอยซ์ ในช่วงหัวค่ำ พร้อมทานอาหารร่วมกัน ดื่มเครื่องดื่มอีกเล็กน้อย เข้ากับบรรยากาศภายในงาน และอากาศด้านนอกโดมในวันนี้ที่เย็นขึ้นมาเล็กน้อย ยิ่งทำให้ทุกอย่างดูลงตัวมาก

ภายในงานยังมีโซนโชว์เสื้อของ บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด พร้อมลูกฟุตบอล PUMA ORBITA LaLiga ฤดูกาลนี้, โซนสตรอรี่ บอกเล่าเรื่องราวของ 2 เมืองที่ใหญ่ที่สุดของสเปน กับศึก เอล กลาซิโก้ เหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โซนเล่นเกม เตะฟุตบอลกรง และอีกหนึ่งไฮไลท์เลยคือ โซนโชว์ถ้วย ออฟฟิเชียล ลาลีกา โทรฟี ส่งตรงจากสเปน

ก่อนจะถึงช่วงเวลาสำคัญชมฟุตบอล เวลา 21.15 น. ภาพการเชียร์บอลร่วมกันของกลุ่มแฟนบอล สร้างสีสันและความคึกคักให้กับงานเป็นอย่างมาก จังหวะสำคัญ ๆ ต่าง ๆ ความรู้สึกต่อเกมการแข่งขัน ทุกคนแสดงออกมา อย่างชัดเจน และคำตอบรับจากงานนี้ ทำให้รู้เลยว่า ทุกคนเอนจอยกับกิจกรรมนี้มาก

หลังจบฟุตบอล และพูดคุยหลังเกมกับกูรูฟุตบอลสเปนทั้ง 4 ท่าน ก็ปิดท้ายงานด้วยการลุ้นรางวัล lucky draw มากมาย นำโดย ลูกฟุตบอล PUMA ORBITA LaLiga, กระเป๋าถุงผ้า กระบอกน้ำ ลูกฟุตบอล ส่งตรงจาก beIN Sports และเสื้อที่ระลึก ElClasico

กิจกรรมนี้ ถือเป็นการนำประสบการณ์ดี ๆ สร้างการรับรู้ถึงฟุตบอล ลาลีกา สเปน และสร้างสัมพันธ์กับแฟนบอลให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และกิจกรรมดี ๆ แบบนี้ จะเกิดขึ้นในประเทศไทยอีกแน่นอน โปรดติดตามกันต่อไป

📝 ภาวินีย์ สูญสิ้นภัย (แนน)