Categories
Our Work

ลาลีกา ร่วมบูรณะสนามฟุตซอล โรงเรียนวัดปรมัยยิกาวาส เกาะเกร็ด เตะบอลกระชับมิตร พร้อมเปิดตัวโลโก้ใหม่ และหาเงินสมทบทุนปรับปรุงโรงอาหารโรงเรียน

“เกาะเกร็ด” หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดนนทบุรี เป็นชุมชนคนมอญที่มีชื่อเสียงในเรื่องของเครื่องปั้นดินเผา และยังคงอนุรักษ์ไว้ซึ่งวัฒนธรรมแบบพื้นบ้านดั้งเดิม

การท่องเที่ยวในเกาะเกร็ด จะครึกครื้นช่วงวันเสาร์ – อาทิตย์ รวมถึงวันหยุดนักขัตฤกษ์ เพราะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมาย ร้านค้า ร้านอาหาร ขนมไทยต่าง ๆ ของคนในพื้นที่ มีร้านกาแฟให้นักท่องเที่ยวได้แวะพักผ่อน รวมไปถึงก็การนั่งเรือชมรอบเกาะ ก็ยังมีอีกเช่นกัน

แต่อีกหนึ่งเรื่องน่าสนใจคือ บนเกาะเกร็ด จะมีสนามฟุตซอลที่ค่อนข้างมาตรฐานที่สุด เพียงสนามเดียว ซึ่งอยู่ในโรงเรียนวัดปรมัยยิกาวาส เดิมทีเกาะเกร็ด และสนามแห่งนี้ เมื่อถึงเวลาหน้าฝน หรือช่วงที่มีน้ำท่วมนาน ๆ สนามก็จะทรุดโทรมไปตามสภาพ และจากเหตุอุทกภัยจากน้ำท่วมเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563 ทำให้สภาพสนามแห่งนี้ ได้รับความเสียหายอย่างมาก นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทางเราทีม ไข่มุกดำ และ ลาลีกา เร่งเห็น จึงติดต่อทางผู้อำนวยการโรงเรียน เพื่อบูรณะสนาม ภายใต้โปรเจคต์ Second Chance นี้

โดยเมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2556 ที่ผ่านมา “ลาลีกา ประเทศไทย” นำโดย มร.จอร์โจ ปอมปิลิ รอสซี ตัวแทน ลาลีกา ได้จัดกิจกรรมส่งมอบงานบูรณะสนามฟุตซอล โรงเรียนวัดปรมัยยิกาวาส (แสนสวัสดิ์วิทยาคาร) เกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยได้ศิลปินกราฟฟิติ-สตรีทอาร์ท ที่ได้รับการยอมรับสูงที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย “มวย” ปิยศักดิ์ เขียวสะอาด มารังสรรค์ผลงาน พร้อมต้อนรับโลโก้ใหม่ ลาลีกา และประเดิมการใช้สนามด้วยแมตช์พิเศษ หาเงินสมทบทุนปรับปรุงโรงอาหารโรงเรียน 

โดย มร.จอร์โจ ปอมปิลิ รอสซี กล่าวว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ทำโปรเจคต์ลักษณะนี้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประเทศไทย มันแสดงให้เห็นว่า ลาลีกา ไม่ได้นำแค่ฟุตบอลสเปนเข้ามาใกล้แฟนฟุตบอลไทย แต่เป็นประโยชน์ที่ทำให้แก่ชุมชนด้วยเช่นกัน ภายใต้รูปลักษณ์โลโก้ใหม่ ลาลีกาต้องการจะสร้างแรงบันดาลใจไปทั่วโลกผ่านคุณค่าของเกมฟุตบอล และหวังจะขยายโปรเจคต์ไปยังประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนด้วยเช่นกัน”

ขณะที่ นาย จิราปรัชญ์ ณ ป้อมเพชร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดปรมัยยิกาวาส (แสนสวัสดิ์วิทยาคาร) กล่าวว่า “ผมขอเป็นตัวแทนขอบคุณลาลีกาสำหรับการบูรณะสนามกีฬาของโรงเรียนในครั้งนี้ที่ไม่เพียงแต่เกิดประโยชน์ต่อเด็กนักเรียนเท่านั้น แต่ยังเกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อชุมชนให้ได้ใช้เป็นสถานที่ออกกำลัง สันทนาการ จัดงานพิธี และด้วยการออกแบบที่อิงกับชุมชน พื้นที่นี้ยังสามารถเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ผู้คนจดจำเกาะเกร็ด และอยากแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนได้อีกด้วย”

สนามฟุตซอลแห่งนี้ ได้รับการเพนท์ ด้วยลวดลายที่สวยงาม มีทั้งภาพช้าง สัตว์คู่บ้านคู่เมืองของไทย ลูกฟุตบอลที่พุ่งตรงเข้าไปในตาข่าย ภาพเจดีย์เอียง ที่เป็นสัญลักษณ์ของเกาะเกร็ด รวมไปถึงภาพลิง ที่เป็นเสมือนลายเส้นสำคัญของศิลปินอย่างคุณมวย ภายใต้สีหลัก แดง และฟ้า สอดคล้องไปกับสีของโลโก้ใหม่ลาลีกา แทรกด้วยสีอื่น ๆ ตามสไตล์ของศิลปิน และความสอดคล้องของพื้นผิวสนาม ต่อเนื่องไปถึงกำแพงซึ่งสามารถกลายเป็นจุดเช็คอิน และสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวที่จะมาเยี่ยมเยือนเกาะ นอกเหนือจากการมาชมแหล่งที่ปั้นดินเผา เจดีย์เอียง แวะทานอาหารท้องถิ่น อย่าง ทอดมันหน่อกะลา  

บนสนามยังได้เห็นตัวหนังสือ #OneHumanity ซึ่งเป็นแคมเปญของลาลีกา และ UNAOCโปรโมตไปทั่วโลกเพื่อสนับสนุนความสามัคคี ความเป็นหนึ่งเดียว ความเคารพ ในโลกของกีฬา และมีสโลแกน THE POWER OF OUR FÚTBOL” อยู่บนสนาม 

สำหรับโลโก้ใหม่นี้ ตัวอักษรย่อ LL ในสีแดงคอรัล จะเริ่มใช้ในฤดูกาล 2023/24 นี้แทนที่โลโก้เดิมที่ถูกใช้มายาวนานกว่า 30 ปี โดยแฟนฟุตบอลชาวไทยสามารถรับชมการถ่ายทอดสดครบทุกแมตช์ ผ่านทางแอพลิเคชั่น ‘LALIGA+’ และมีการบรรยายเป็นภาษาไทยด้วยในบางแมตช์ โดยสามารถสมัครสมาชิกแบบรายเดือน หรือทั้งฤดูกาล บนโทรศัพท์มือถือทั้งระบบ iOS และ Android” 

สำหรับคอนเทนท์ที่จะมีอยู่ใน LaLiga Plus มีทั้งรายการสั้น, สารคดี และแมตช์ลาลีกาสุดคลาสสิก ที่สามารถรับชมได้ฟรี นอกจากนี้ ยังมีคอนเทนท์ที่จัดทำขึ้นเฉพาะในประเทศไทย กับรายการใหม่ “LaLiga Pass Show” วิเคราะห์เจาะลึกลาลีกาในทุกสัปดาห์ โดยกูรูฟุตบอลสเปนชาวไทย นำโดย ขวัญ ลามาเซีย, เจมส์ ลาลีกา เบน บาร์ซ่าเข้าเส้น และท่านอื่น ๆ อีกมากมาย

ซึ่งก่อนเกมกระชับมิตรวันเสาร์ที่ 22 ก.ค.จะมีการพาสื่อมวลชนเดินเที่ยวชมเกาะเกร็ด นำโดย ขวัญ ลามาเซีย, เบน บาร์ซ่าเข้าเส้น, อาย Poprock On Field, เบน ฟรีคิ๊ก (เบน Soccer Suck), ต่อ ณ ระนอง และท่านอื่น ๆ อีกมากมาย โดยมีมัคคุเทศก์น้อย ที่เป็นเด็กนักเรียนของโรงเรียนวัดปรมัยยิกาวาส พาเดินเที่ยว ไปไหว้พระที่วัดปรมัยยิกาวาส ชมเจดีย์เอียง แล้วเดินตลาด ทานอาหารขึ้นชื่อของเกาะเกร็ด อย่าง ทอดมันหน่อกะลา รวมทั้งขนม หรือ อาหาร อื่น ๆ อีกด้วย

และเดิมทีตามแพลน น้อง ๆ มัคคุเทศก์ตั้งใจจะพาสื่อมวลชนไปชมและลองปั้นเครื่องปั้นดินเผา ที่เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ประจำเกาะเกร็ดด้วย แต่ด้วยสถานการณ์ฝนฟ้าที่เราไม่อาจควบคุมได้ไม่เป็นใจนัก บวกกับเวลาที่มีจำกัด จึงเป็นที่น่าเสียดายที่ไม่ได้แวะเข้าไปทำกิจกรรมส่วนนี้กัน

ส่วนช่วงเย็นจะเป็นการเตะบอลกระชับมิตรการกุศล ระหว่างทีมสื่อมวลชน กับ ทีมของคุณครู นักเรียน และตัวแทนหน่วยงานของท้องถิ่น ร่วมกับชาวบ้าน ภายใต้บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ จากความสุขของการได้ทำกิจกรรม และได้การร่วมกันสมทบกองทุนทอดผ้าป่าเพื่อการศึกษา และปรับปรุงโรงอาหารให้กับนักเรียน เนื่องจากที่ผ่านมา ไม่ได้มีโรงอาหารเป็นสัดเป็นส่วนให้นักเรียน และเมื่อถึงเวลาหน้าฝน หรือช่วงที่มีน้ำท่วม นักเรียนจะไม่มีพื้นที่สำหรับนั่งทานอาหารกัน ทางโรงเรียนจึงเห็นสมควร และอยากสร้างโรงอาหารให้แก่นักเรียน

✍️ ภาวินีย์ สูญสิ้นภัย (แนน)

Categories
Football Tactics

recap มุมมอง ของ โค้ชน้อย อนันต์ อมรเกียรติ กับเรื่องราว เมื่อ PEP แปลง (TRANSFORM) แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปสู่ทีมฟุตบอลแห่งอนาคตกาล

บันทึกกว่า 7 หน้ากระดาษที่ส่งตรงมาจาก “โค้ชน้อย” อนันต์ อมรเกียรติ ที่ปรึกษาด้านเทคนิค ทีมชาติไทย ยู-23 ปี ถึงเรื่องราว เมื่อ PEP แปลง (TRANSFORM) แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปสู่ทีมฟุตบอลแห่งอนาคตกาล บันทึกนี้เปี่ยมไปด้วย “คุณค่า” ที่น่าติดตาม ซึ่งทาง ไข่มุกดำ ก็พร้อมที่บอกต่อเรื่องราวนี้ ให้กับทุก ๆ คนได้อ่าน ในเว็ปไซต์กัน

Categories
Football Tactics

เปิด Scrapbook โค้ชน้อย อนันต์ อมรเกียรติ ถึง เออร์ลิง ฮาลันด์ และแมนฯซิตี้ของเป๊ป

จบจากแมตช์กดไลป์ซิก 7-0 ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในศึก UCL และได้เห็น เออร์ลิง ฮาลันด์ ซัลโว 5 ประตูภายใน 60 นาที ทางทีม KMD Content ได้รับโทรศัพท์ และสมุดบันทึก 7 หน้ากระดาษเขียนด้วยลายมือจาก “โค้ชน้อย” อนันต์ อมรเกียรติ ที่ปรึกษาด้านเทคนิค ทีมชาติไทย ยู-23 ปี

อาจารย์ได้ฝากให้ถอดรหัสพิมพ์ออกมา อย่างไรก็ดี ด้วย “คุณค่า” ของภาษาที่แท้จริง และงานเขียนมือ ที่หาได้ไม่ง่ายแล้วในยุคดิจิตอลแบบปัจจุบัน ทางทีมงานจึงคิดว่า จะนำเสนอในรูปแบบเว็ปไซต์ และนำกระดาษทั้ง 7 แผ่นมาเรียงร้อยให้กับทุก ๆ คนได้ค่อย ๆ แกะอ่านแบบใช้เวลากันจะดีกว่า

โดยทางทีมได้สรุปหัวข้อแต่ละแผ่นโน้ตบุ๊คเอาไว้ให้ เพื่อให้ recap มุมมองได้ง่ายขึ้น และโอกาสเหมาะที่สุดที่จะเผยแพร่เรื่องราวนี้คงหนีไม่พ้นหลังการสังหารแฮตทริก ที่ 6 ในฤดูกาลนี้ และสร้างยอดรวมทุก ๆ ถ้วยเป็น 42 ประตูหลังปราบเบิร์นลีย์ได้สำเร็จ 6-0 ในศึกเอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมที่ผ่านมาของเจ้าตัวฉายาที่สื่อขนานนามให้เป็น “ไอ้ปิศาจ” เออร์ลิง ฮาลันด์

แผ่น 1: 

ทฤษฎีความคิดนอกกรอบ (Lateral Thinking) และ 4 วาระการเล่น (Phase of Play) คือ อะไร? รวมถึงการแตะถึงการที่ เป๊ป มีนักเตะประเภท technical skill ดี ๆ รวมกับ mindset ที่เยี่ยมของผู้เล่นจนนำสู่การเล่นที่ประสบความสำเร็จ

แผ่น 2:

 ทำความรู้จักนักเตะประเภท Hybrid Working และระบบ 4:1:4:1 หรือ 4:5:1 ก่อนปรับเป็น “แบ็คทรี” ในระหว่างการเล่น

แผ่น 3:

การสร้างความได้เปรียบเรื่องตัวผู้เล่น (Numerical Superior) ให้เกิดขึ้น และการปรับฟอร์เมชั่นยามรุก เพื่อสร้างการยืนตำแหน่งแบบพิเศษ เพื่อสร้างความได้เปรียบให้ตัวเอง และกดดันให้ฝ่ายตรงข้ามเล่นลำบากตามหลักการของ Positional Play ผ่าน Style of Play ในรูปแบบต่าง ๆ ที่ยังปิดกั้นเกมรุกของคู่แข่ง (ไม่ให้โต้กลับ) ได้อีกด้วย

แผ่น 4:

พูดถึงการให้ 3 เซนเตอร์ฮาล์ฟ (ดิอาซ, อาเก้, อคานจี) สร้างเกม ออกบอลแรก พาบอลขึ้นไปเอง (พร้อมกันอีกต่างหาก) อันสะท้อนผ่านตัวเลขการเปิดบอลสูงสุดของทีมใน 3 อันดับแรก และติดท็อป 5 ระยะการเคลื่อนที่ทั้ง 3 คน

แผ่น 5:

เปิดมุมมองให้ร่วมกันคิดว่า บทบาทพิเศษในเกมรุกของ 3 เซนเตอร์ฯ เกิดขึ้นเพราะสถานการณ์ หรือเป็นแท็คติกส์ที่ได้วางมารวมถึงการแตะเรื่องระบบอสมมาตรที่เกิดขึ้น (Asymetrical Formation) ด้วกการใช้แบ็คหุบใน (Inverted Full Back) และปีกหุบใน (Inverted Winger) ทำงานร่วมกับ Playmaker

แผ่น 6:

ข้อมูลเชิงสถิติที่ตอกย้ำผลงานที่เกิดขึ้น และสิ่งที่ได้เห็น โดยทั้ง 5 ประตูของ ฮาลันด์ เกิดจาก 1 จุดโทษ และที่เหลือ 4 ประตูเกิดจากการยืนถูกที่ถูกเวลาซึ่งไม่น่าจะใช่เรื่องบังเอิญ

แผ่น 7:

เหตุผลในมุมของเป๊ป ผ่านอาจารย์ โค้ชน้อย ว่าทำไมจึงเปลี่ยน ฮาลันด์ ออกตั้งแต่นาทีที่ 62 เท่านั้น และปิดโอกาสการทำ “ดับเบิ้ล แฮตทริก” ในเกมเดียวกัน

เรื่อง : โค้ชน้อย อนันต์ อมรเกียรติ (ที่ปรึกษาด้านเทคนิค ทีมชาติไทย ยู-23 ปี)

เรียบเรียง : KMD Content Team

Categories
Special Content

33 ปีที่เฝ้ารอ “สคูเดตโต” สมัยที่สาม ? นาโปลีเฉียดล่มสลายยุคโพสต์-มาราโดนา

ยูเวนตุส มหาอำนาจลูกหนังอิตาลีแห่งทศวรรษ 2010 ไม่สามารถครองตำแหน่งสคูเดตโตเป็นสมัยที่ 10 ติดต่อกันเมื่ออินเตอร์ มิลาน ขึ้นเถลิงบัลลังก์แทนในซีซัน 2020-21 ตามด้วยเอซี มิลาน ในซีซันต่อมา และทั้งสองฤดูกาล ทีมม้าลายจบด้วยอันดับสี่ของตารางกัลโช เซเรีย อา และซีซันนี้ สถานการณ์ของพวกเขายิ่งย่ำแย่ แต่แชมป์มีโอกาสสูงมากที่จะเปลี่ยนมือไปอยู่กับนาโปลี ซึ่งครองสคูเดตโตเพียงสองสมัย และครั้งหลังสุดคือปี 1990 หรือ 33 ปีที่แล้ว

นาโปลีเพิ่งผงาดเหนือแผ่นดินรูปท็อปบู๊ทช่วงกลางทศวรรษ 1980 เมื่อทุ่มเงินมหาศาลซื้อดีเอโก มาราโดนา มาจากบาร์เซโลนา เพียงเจ็ดปีที่มี G.O.A.T ชาวอาร์เจนไตน์อยู่ในทีม นาโปลีครองแชมป์เซเรีย อา 2 สมัย, แชมป์อิตาเลียน คัพ 1 สมัย และแชมป์ยูฟา คัพ 1 สมัย แต่หลังจากมาราโดนาโดนแบน 15 เดือนเพราะถูกตรวจพบสารโคเคน “เดอะ บลูส์” ไม่เพียงฟอร์มในสนามย่ำแย่ ฐานะการเงินยังตกต่ำถึงขั้นล้มละลาย ต้องลงไปเตะระดับเทียร์สามในซีซัน 2004-05 แต่โชคดีสโมสรได้ อูเรลิโอ เด ลอเรนติส พระเอกขี่ม้าขาวจากวงการภาพยนตร์เข้ามาช่วยกอบกู้วิกฤติทันที

นาโปลีใช้เวลาเพียงสามปีกลับขึ้นมาเซเรีย อา ในซีซัน 2007-08 แต่ยังต้องปรับตัวจูนทีมช่วง 2-3 ปีแรกก่อนผลงานดีขึ้นเรื่อยๆ มีโอกาสใกล้เคียงแชมป์ลีกมากที่สุดในซีซัน 2017-18 กับตำแหน่งรองแชมป์ ที่แม้ทำแต้มรวมสูงสุดในประวัติศาสตร์สโมสรคือ 91 คะแนน แต่ยังเป็นรองยูเวนตุสอยู่ 4 คะแนน

แน่นอน “สคูเดตโต” ย่อมเป็นเป้าหมายความสำเร็จของเด ลอเรนติส ที่มุ่งมั่นทำให้นาโปลียิ่งใหญ่สมฐานะทีมที่มีฐานแฟนบอลจำนวนมากที่สุดเป็นอันดับสี่ของอิตาลี และรั้งอันดับห้าของสโมสรเซเรีย อา ที่มีรายได้สูงสุดจากตัวเลข 182 ล้านเหรียญสหรัฐในซีซัน 2017-18

จุดเปลี่ยนแปลงสำคัญเกิดขึ้นเมื่อนาโปลีแต่งตั้ง ลูเซียโน สปัลเล็ตติ คุมทีมแทนเจนนาโร กัตตูโซ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2021 สปัลเล็ตติพาทีมจบซีซันแรกด้วยอันดับ 3 บนตารางเซเรีย อา ตามหลังแชมป์ เอซี มิลาน 7 คะแนน แต่ทิ้งอันดับ 4-5 ยูเวนตุสและลาซิโอถึง 9 และ 15 คะแนนตามลำดับ

สปัลเล็ตติประเดิมงานฤดูกาล 2021-22 ได้สวยหรูเก็บชัยชนะ 7 นัดรวด แต่เหมือนมีลางบอกเหตุก่อนนัดที่ 8 รถคันโปรด “เฟียต แพนดา” ของเขาโดนขโมย แม้ยังชนะนัดที่ 8 แต่สถิติหยุดแค่นั้นเพราะนัดต่อมา นาโปลีเสมอโรมา 0-0 ที่กรุงโรม ซ้ำร้ายต่อมาสปัลเล็ตติเจอปัญหานักเตะหลักเจ็บระนาวรวมถึงกองหน้า วิคเตอร์ โอซิมเฮน แถมผู้เล่นบางส่วนต้องไปแข่งขันแอฟริกา คัพ ออฟ เนชันส์ ทำให้ผลงานในสนามดร็อปลงจนแฟนบอลกลุ่มอัลตราทำป้ายขู่ว่า ถ้าอยากได้แพนดาที่หายไปคืนมา สปัลเล็ตติควรลาออกไปเสีย ซึ่งสื่อนำไปอำขำๆว่า เป็นตัวกระตุ้นให้สปัลเล็ตติรีดกึ๋นเค้นความสามารถของลูกทีมจนสถานการณ์ดีขึ้นจนปิดจ็อบปีแรกด้วยอันดับสาม

โมเมนตัมยังส่งผลต่อเนื่องถึงซีซันต่อมา ซึ่งขณะนี้เตะมา 23 จาก 38 นัด นาโปลีแพ้นัดเดียวเพราะโดนอินเตอร์ มิลาน เฉือน 0-1 เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยเสมอ 2 นัด ชนะมากถึง 20 นัด มี 62 คะแนน ทิ้งห่างรองจ่าฝูง ทีมงูใหญ่ 15คะแนน อีกทั้งยังได้ 56 ประตู เสีย 15 ประตู ผลต่างบวก 41 ประตู ตัวเลขดีที่สุดในเซเรีย อา ทั้งสามหมวดหมู่

ล่าสุดนาโปลีถูกยกเป็นเต็งหนึ่งที่จะครองตำแหน่งสคูเดตโตเป็นสมัยที่สาม และมีโอกาสไม่น้อยที่จะเก็บแต้มทะลุหลักร้อย หรืออย่างน้อยควรทำลายสถิติสูงสุดเดิมของสโมสรคือ 91 คะแนน

ประวัติศาสตร์สโมสรเริ่มต้นที่กะลาสีเรืออังกฤษ

สโมสรนาโปลี มีชื่อเต็มว่า Società Sportiva Calcio Napoli (S.S.C. Napoli) ตั้งอยู่ในเมืองเนเปิลส์ (หรือนาโปลีในภาษาอิตาเลียน) เมืองหลวงของแคว้น Campania ทางตอนใต้ของอิตาลี เป็นเมืองใหญ่อันดับสามของประเทศรองจากโรมและมิลาน ถ้ามองอิตาลีเป็นรองเท้าบู๊ท เนเปิลส์จะตั้งอยู่บริเวณหน้าแข้ง นาโปลีมีฉายาว่า Gli Azzurri (The Blues), Ciucciarelli (The Little Donkeys)

นาโปลีมีจุดเริ่มต้นเมื่อเกือบ 120 ปีที่แล้วจาก Naples Foot-Ball & Cricket Club (Naples FBC) สโมสรฟุตบอลแห่งแรกในเนเปิลส์ ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 1905 โดยวิลเลียม พอธส์ กะลาสีเรือชาวอังกฤษ กับเพื่อน เฮคเตอร์ เอ็ม เบยอน และคนท้องถิ่นกลุ่มหนึ่ง รวมถึงอเมดีโอ ซัลซี ที่เป็นประธานสโมสรคนแรก

ต่อมา กลุ่มชาวต่างชาติได้แยกตัวออกจากสโมสรในปี 1911 และก่อตั้งสโมสรใหม่ชื่อว่า Unione Sportiva Internazionale Napoli (U.S. Internazionale Napoli) แต่ช่วงกลางปี 1914 ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และหลังจากฟุตบอลกลับมาแข่งต่อ สภาพเศรษฐกิจและวิกฤติการเงินทำให้สองสโมสรยุบรวมกันในชื่อ Foot-Ball Club Internazionale-Naples หรือ FBC Internaples เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 1922 โดยสีชุดแข่งเป็นส่วนผสมระหว่างเสื้อสีฟ้าของเนเปิลส์และกางเกงสีขาวของนาโปลี

สโมสรได้เปลี่ยนชื่อเป็น Associazione Calcio Napoli เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 1926 ในยุคจิออร์จิโอ อัสคาเรลลี เป็นประธานสโมสร ซึ่งเชื่อว่าถูกกดดันจากรัฐบาลฟาสซิสต์ใหม่ที่ต้องการให้สโมสรมีชื่อแสดงความเป็นอิตาเลียน ก่อนเปลี่ยนอีกครั้งเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1964 เป็น Società Sportiva Calcio Napoli จวบจนปัจจุบัน

ครึ่งศตวรรษแรกบนถนนลูกหนังเซเรีย อา-บี

ยุคแรกเริ่ม นาโปลีไม่ประสบความสำเร็จอะไร ต้องรอถึงปี 1962 จึงสามารถคว้าถ้วยโคปปา อิตาเลีย ซึ่งเพิ่งจัดแข่งขันเป็นปีที่ 15 หลังจากเฉือนสปาล 2-1 ในนัดชิงชนะเลิศ ส่วนสคูเดตโตต้องรอถึงปี 1987

ในส่วนของประวัติศาสตร์ฟุตบอลลีกหากเริ่มจากยุคกัลโช เซเรีย อาและบี ซึ่งเริ่มฤดูกาล 1929-30 เป็นปีแรกเมื่อนำ Divisione Nazionale ซึ่งแบ่งเป็นสองกลุ่มๆละ 16 ทีม นำผลอันดับตารางคะแนนฤดูกาล 1928-29 มาจัดทีมลงแข่งขัน Divisione Nazionale Serie A (เทียร์หนึ่ง) และ Divisione Nazionale Serie B (เทียร์สอง) โดยนาโปลีจบอันดับ 8 ร่วมกับลาซิโอ ทั้งคู่เตะเพลย์ออฟเสมอ 2-2 หลังต่อเวลา แต่แมตช์เป็นโมฆะเนื่องจากสหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี (เอฟไอจีซี) ให้ทั้งสองเข้าไปเล่นเซเรีย อา เพื่อเพิ่มโควตาให้กับสโมสรจากภาคใต้

แม้ไม่เคยสัมผัสแชมป์แต่นาโปลีทำผลงานในเซเรีย อา ได้ไม่เลว เคยขึ้นสูงสุดอันดับสามในซีซัน 1933–34 ดาวเด่นของยุคนี้คือ อัตติลา ซาลลุสโตร ซึ่งเล่นให้นาโปลีระหว่างปี 1926 – 1937 สถิติรวมทุกรายการ 266 นัด 108 ประตู ปัจจุบันรั้งอันดับ 5 ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของสโมสร

หลังได้อันดับ 15 รองบ๊วยฤดูกาล 1941-42 นาโปลีก็ตกไปเล่นเซเรีย บี หนึ่งซีซัน ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ส่วนซีซันแรกที่กลับมาหลังสงตราม ฟุตบอลลีกอิตาลี ซีซัน 1945-46 ถูกแบ่งใหม่เป็นสองกลุ่มคือ ภาคเหนือ เซเรีย อา และ ภาคกลาง-ภาคใต้ เซเรีย อา-บี ซึ่งนาโปลีจบอันดับหนึ่งของกลุ่มร่วมกับบารี ได้เตะเซเรีย อา ซีซัน 1946-47 โดยอัตโนมัติ

เล่นได้เพียงสองซีซัน นาโปลีก็ตกไปอยู่เซเรีย บี แต่ใช้เวลาสองซีซันเช่นกันกลับขึ้นมาอยู่เซเรีย อา หลังจากครองแชมป์เซเรีย บี ซีซัน 1949-50 ซึ่งเป็นความสำเร็จครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรหากไม่นับ Campionato Centro-Sud Serie A-Bทัวร์นาเมนท์พิเศษหลังสงครามที่ครองร่วมกับบารี

นับจากนั้น นาโปลีก็อยู่ในลีกสูงสุดเป็นส่วนใหญ่ (ยกเว้นซีซัน 1961-62, 1963-64 และ 1964-65 ที่ร่วงไปลีกรอง) จนถึงยุคทองเมื่อได้ดีเอโก มาราโดนา เข้ามากลางทศวรรษ 1980 

ยุคทองกับมาราโดนา เจ็ดปี ห้าแชมป์

ก่อนหน้าการมาถึงของดีเอโก มาราโดนา กลางปี 1984 นาโปลีครองแชมป์อิตาเลียน คัพ สองสมัยในปี 1962 และ 1976แต่เพียงเจ็ดปีที่มีมาราโดนา “เดอะ บลูส์” ครองตำแหน่งสคูเดตโต ซึ่งรอคอยมานาน 61 ปี ในซีซัน 1986-87, 1989-90 แชมป์โคปปา อิตาเลีย ซีซัน 1986-87 แชมป์ยูฟา คัพ ซีซัน 1988-89 และแชมป์ซูเปอร์โคปปา อิตาเลีย ปี 1990

ช่วงสองปีที่บาร์เซโลนา แม้มีปัญหาบาดเจ็บรบกวน มาราโดนายังมีผลงาน 38 ประตูจาก 58 นัด แต่ด้วยความขัดแย้งกับฝ่ายบริหารโดยเฉพาะโจเซป หลุยส์ นูนเนซ ประธานสโมสร ทำให้เขาขอย้ายออกจากทีม และเป็นนาโปลีที่ยอมทุ่มเงินราว 10.48 ล้านปอนด์ ซื้อไปเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 1984 โดยมาราโดนาเดินทางถึงเมืองเนเปิลส์และปรากฏตัวต่อสายตาคนทั้งโลกในฐานะนักเตะนาโปลีครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม มีแฟนบอลมากถึง 75,000 คน รอต้อนรับเขาที่สนามซาน เปาโล

ไม่เพียงมาราโดนา นาโปลียังสร้างทีมใหม่ผ่านนักเตะอย่างซีโร แฟร์รารา, ซัลวาตอเร บาญนี และแฟร์นานโด เด นาโปลี จนทีมลาน้อยทะยานขึ้นอันดับสามของซีซัน 1985-86 แต่สิ่งที่เหนือกว่ายังมาไม่ถึง ด้วยมาราโดนา, บรูโน กีออร์ดาโน และกาเรกา สามแนวรุกที่ถูกตั้งฉายาว่า Ma-Gi-Ca (มนต์วิเศษ) พานาโปลีไปถึงจุดพีคของประวัติศาสตร์สโมสร เป็นทีมที่สามที่ทำ “ดับเบิลแชมป์” สำเร็จในซีซัน 1986-87 ชนะเลิศเซเรีย อา ห่างยูเวนตุส 3 แต้ม และถลุงอตาลันตา 4-0 ในนัดแชมป์โคปปา อิตาเลีย

ฤดูกาลต่อมา นาโปลีได้เพียงรองแชมป์เซเรีย อา ตามหลังเอซี มิลาน 3 คะแนน และผ่านไปเล่นยูฟา คัพ ซีซัน 1988-89 ซึ่งมาราโดนาและผองเพื่อนสามารถปักธงบนสังเวียนยุโรปได้สำเร็จ ผ่านพีเอโอเค, โลโกโมทีฟ ไลปซิก, บอร์กโดซ์, ยูเวนตุส และบาเยิร์น มิวนิก เข้าไปชิงแชมป์กับซตุ๊ตการ์ตในเดือนพฤษภาคม 1989 นาโปลีชนะด้วยสกอร์รวม 5-4 ขณะที่เซเรีย อา นาโปลีได้รองแชมป์เป็นปีที่สองติดต่อกัน ถูกอินเตอร์ มิลาน ทิ้งขาด 11 แต้ม

นาโปลีครองสคูเดตโตสมัยที่สองในฤดูกาล 1989-90 โดยเฉือนมิลานเพียงสองคะแนน แต่ในปี 1991 มาราโดนาถูกตรวจพบว่าใช้โคเคน โดนโทษแบนนานถึง 15 เดือน ตั้งแต่เมษายน 1991 ถึงมิถุนายน 1992 ซึ่งมาราโดนาอ้างว่าเป็นการแก้แค้นของเอฟไอจีซี ที่เขาและอาร์เจนตินาเขี่ยอิตาลีตกรอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 1990 ที่เมืองเนเปิลส์ โดยก่อนหน้าลงสนาม มาราโดนาขอร้องแฟนบอลเจ้าถิ่นช่วยเชียร์อาร์เจนตินา

นับจากถูกตัดสินโทษแบนครั้งนั้น มาราโดนาก็ไม่ได้เล่นให้นาโปลีอีกเลยก่อนย้ายไปเล่นให้เซบีญาในซีซัน 1992-93 แม้มีข่าวว่าเรอัล มาดริด และมาร์กเซย์ ต้องการตัวเขา มาราโดนาใช้เวลาอาชีพค้าแข้งที่เหลือในอาร์เจนตินากับนีเวลส์ โอลด์บอยส์ (1993 – 1994) และโบคา จูเนียร์ส (1995 – 1997)

ไร้มาราโดนา ทีมเสื่อมถอยทั้งการเล่นและการเงิน

ยุคโพสต์-มาราโดนา เริ่มในซีซัน 1991-92 นาโปลียังจบด้วยอันดับสี่บนตารางเซเรีย อา ก่อนเข้าช่วงขาลงจนกระทั่งรั้งก้นตารางของซีซัน 1997-98 ร่วงไปเล่นเซเรีย บี สองปี และกลับขึ้นมาอยู่ลีกสูงสุดในซีซัน 2000-01 แต่จบด้วยอันดับรองโหล่ ตกไปลีกรองอีกครั้งแถมรอบนี้ไหลลงไปถึงเทียร์สาม

หลังฤดูกาลแรกที่ไม่มีมาราโดนา นาโปลีเริ่มเสื่อมถอยทั้งผลงานในสนามและสภาพการเงิน นักเตะแกนหลักอย่างจิอันฟรังโก โซลา, ดาเนียล ฟอนเซกา, ซีโร แฟร์รารา และกาเรกา ต่างจากไปช่วงปี 1993 – 1994 แฟนๆพอมีรอยยิ้มบ้างกับบอลถ้วย เข้ารอบสามยูฟา คัพ ซีซัน 1994-95, เข้าชิงโคปปา อิตาเลียน ซีซัน 1996-97 แต่แพ้วิเซนซา 1-3 ต่างกับฟุตบอลลีกที่ย่ำแย่จนกระทั่งฤดูกาล 1997-98 นาโปลีชนะแค่สองนัด ร่วงลงไปเซเรีย บี สองซีซัน กลับขึ้นมาเซเรีย อา หนึ่งซีซัน และลงไปอีกครั้งในซีซัน 2001-02 

เดือนสิงหาคม 2004 นาโปลีถูกประกาศล้มละลาย อูเรลิโอ เด ลอเรนติส มหาเศรษฐีโปรดิวเซอร์หนังคนดัง ขี่ม้าขาวกอบกู้วิกฤติช่วยไม่ให้นาโปลีกลายเป็นตำนานทีมลูกหนังแห่งเนเปิลส์ แม้ต้องเปลี่ยนไปใช้ชื่อ “นาโปลี ซอคเกอร์” ชั่วคราวและโดนปรับตกไปอยู่เซเรีย ซี1/บี แม้ฤดูกาล 2003-04 จะจบด้วยอันดับ 13 ของเซเรีย บี ก็ตาม

ถึงตกไปอยู่เทียร์สาม นาโปลียังมีแฟนๆติดตามให้กำลังใจอย่างเหนียวแน่น มีคนดูเฉลี่ยต่อนัดมากกว่าทีมส่วนใหญ่ในเซเรีย อา เคยสร้างสถิติคนดูสูงสุดในประวัติศาสตร์เซเรีย ซี ถึง 51,000 คนในหนึ่งนัด

แฟนบอลให้กำลังใจ “เด ลอเรนติส” ให้กำลังเงิน

นาโปลีครองแชมป์เซเรีย ซี1/บี ฤดูกาล 2005-06 ใช้เวลาเพียงสองปีขึ้นมาเซเรีย บี และกลับไปใช้ชื่อสโมสร Società Sportiva Calcio Napoli อีกครั้งในเดือนพฤษภาคม 2006 “เดอะ บลูส์” จบซีซัน 2006-07 ด้วยอันดับสอง กลับขึ้นมาอยู่บนเซเรีย อา อีกครั้งหลังใช้เวลาอยู่ในลีกรองนานหกปี

ลีกสูงสุดสามซีซันแรก นาโปลีจบด้วยอันดับ 8,12 และ 6 ซึ่งได้สิทธิแข่งยูโรปา ลีก ซีซัน 2010-11 แม้หยุดเส้นทางรอบ 32 ทีมสุดท้าย แต่ภายใต้การคุมทีมของวอลเตอร์ มาซซาร์รี นาโปลีรั้งอันดับสามบนตารางเซเรีย อา

ซีซัน 2011-12 นาโปลีได้อันดับห้าของเซเรีย อา แต่ตะลุยถึงนัดชิงโคปปา อิตาเลีย เจอกับยูเวนตุส เจ้าของตำแหน่งสคูเดตโตไร้พ่ายปีนั้น นาโปลีชนะ 2-0 ครองแชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่สี่ ซึ่งรอคอยมานาน 25 ปี ทีมลาน้อยยังชนะเลิศเพิ่มอีกสองครั้งในซีซัน 2013-14 ชนะฟิออเรนตินา 3-1 และซีซัน 2019-20 เสมอยูเวนตุส 0-0 ก่อนชนะดวลจุดโทษ 4-2

สำหรับเซเรีย อา นาโปลีเป็นรองแชมป์ ฤดูกาล 2012-13 ตามหลังยูเวนตุส 9 คะแนน และนับจากนั้นเป็นเวลาเก้าปี นาโปลีหลุดอันดับท็อป-5 แค่ปีเดียว โดยเป็นรองแชมป์ 3 ครั้ง, อันดับสาม 3 ครั้ง, อันดับห้า 2 ครั้ง และอันดับเจ็ด 1 ครั้ง

เครดิตต้องยกให้เต็มๆสำหรับการบริหารงานและเงินของเด ลอเรนติส ที่ไม่ใช่มหาเศรษฐีสายเปย์ แถมยังวางแผนและคิดรอบคอบเสียจนแฟนบอลมองว่าเป็นเจ้าของทีมที่มัธยัสถ์(หรือขี้เหนียว)เกินเหตุ

ฟาบริซิโอ โรมาโน นักข่าวคนดังเคยให้สัมภาษณ์ว่า เด ลอเรนติส และผู้อำนวยการ คริสเตียโน จิอันโตลี ร่วมกันตัดสินใจขายนักเตะที่เป็นขวัญใจของแฟนบอลและว่าที่ตำนานสโมสร ซึ่งเป็นความเสี่ยงอย่างเช่น อเรนโซ อินซิเญ, คาลิดู คูลิบาลี, ดรีส์ เมอร์เทนส์ และฟาเบียน รูอิซ

สำหรับฝั่งขาเข้าเนื่องจากนาโปลีเป็นทีมระดับกลางของยุโรป จึงไม่มีแรงดึงดูดสตาร์ดังด้วยเงินและชื่อเสียง กลุ่มนักเตะใหม่จึงได้แก่ คิม มิน-แจ เซ็นเตอร์แบ็ควัย 26 ทีมชาติเกาหลีใต้ ซึ่งเล่นสามปีในจีนก่อนย้ายมาอยู่เฟเนอร์บาห์เช, มาเธียส โอลิเวรา แบ็คซ้ายทีมชาติอุรุกวัยที่ข่วยให้เตกาเฟรอดตกชั้นลาลีกา, เลโอ ออสติการ์ด เซ็นเตอร์แบ็คชาวนอร์เวย์ของไบรท์ตัน ซึ่งสร้างผลงานได้ดีระหว่างที่เจนัวเซ็นยืมหกเดือนครึ่ง รวมถึงยืมตัวต็องกี อึนดอมเบเล จากสเปอร์ส, โจวานนี ซิเมโอเน จากเวโรนา และจีอาโกโม รัสปาโดรี จากซาสซูโอโล โดยตัวความหวังใหม่จริงๆคือ ควิชา ควารัทสเคเลีย ปีกดาวรุ่งทีมชาติจอร์เจีย ซึ่งซื้อจากดีนาโม บาตูมิ ด้วยสนนราคาเพียง 10 ล้านยูโร ส่วนหนึ่งเพราะสงครามในยูเครน

นั่นทำให้ตลาดซัมเมอร์ปีที่แล้ว นาโปลีสามารถลดค่าเหนื่อยผู้เล่นลงได้ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ และทำกำไรได้ 13 ล้านยูโร แต่ที่สำคัญกว่าคือ การบริหารตลาดนักเตะรอบใหญ่ครั้งนั้นทำให้สปัลเล็ตติได้นักเตะที่ใช่สำหรับแนวทางของเขา ซึ่งชื่นชอบเกมบุกที่มีการครองบอลเป็นรากฐาน โดยกุนซือวัย 63 ปี ชอบระบบ 4-2-3-1 หรือ 4-3-3 ที่มี inverted wingers โดยปีกตัวในทั้งสองฝั่งคือ ควารัทสเคเลีย และมัตเตโอ โปลิตาโน ถือเป็นกุญแจสำคัญที่นำความสำเร็จมาสู่นาโปลีในซีซันนี้ และต้องไม่ลืม วิคเตอร์ โอซิมเฮน ศูนย์หน้าเนื้อหอมทีมชาติไนจีเรีย ซึ่งเฉพาะบอลลีกทำไป 18 ประตู 4 แอสซิสต์จาก 19 นัด

ถ้าเปรียบมาราโดนาเป็นคนนำนาโปลีไปสู่ยุคโชติช่วงชัชวาล เด ลอเรนติส ถือเป็นบุคคลที่กอบกู้สโมสรขึ้นมาจากซากปรักหักพังนับจากล้มละลายในปี 2004 ไม่เพียงพากลับเซเรีย อา อย่างรวดเร็วเพียงสามปี แต่ยังบริหารนาโปลีจนใกล้ที่จะครองสคูเดตโตสมัยที่สามที่รอนานกว่าสามทศวรรษ

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Special Content

ความลับที่ไม่ลับ : ฟุตบอลอังกฤษ กับการเปิดรับความหลากหลายทางเพศ

#SSxKMD | ในเดือนมิถุนายนของทุกปี กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ จะออกมาเฉลิมฉลองและรณรงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้เรื่องความหลากหลายทางเพศ หรือที่เรียกกันว่า “Pride month”

ถ้าจะโฟกัสเฉพาะวงการฟุตบอล มีนักเตะระดับอาชีพเพียงไม่กี่คน ที่ตัดสินใจก้าวข้ามความเงียบ ด้วยการประกาศตัวเองว่า เป็นชาวสีรุ้ง หรือ LGBTQ+ ในยุคที่สังคมปัจจุบันเปิดกว้างมากกว่าในอดีต

แล้วลูกหนังเมืองผู้ดี มีส่วนเกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางเพศได้อย่างไร ? วันนี้ SoccerSuck x ไข่มุกดำ จะมาขยายให้ฟังกันครับ

ทำความรู้จักกับ “Pride month”

Pride month หมายถึง เดือนแห่งความภาคภูมิใจของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTQ+ โดยจะมีการจัดกิจกรรมเดินขบวนพาเหรด รวมถึงกิจกรรมอื่นๆ ตลอดเดือนมิถุนายนของทุกปี

สาเหตุที่ Pride month เกิดขึ้นในมิถุนายนนั้น เนื่องจากเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์จลาจลที่ “สโตนวอลล์ อินน์” (Stonewall Inn) ซึ่งเป็นบาร์เกย์ในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1969

ในช่วงเวลานั้น การรักร่วมเพศ หรือการแต่งตัวที่ไม่ตรงกับเพศสภาพ เป็นสิ่งผิดกฎหมาย ยังไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม สโตนวอลล์ อินน์ จึงถือเป็นบาร์เกย์เพียงไม่กี่แห่ง ที่เปิดกว้างสำหรับคนรักร่วมเพศ

แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ไปตรวจค้น และทำการควบคุมตัวกลุ่มคนรักร่วมเพศในบาร์เกย์แห่งนี้ ทำให้กลุ่มคนรักร่วมเพศ แสดงการต่อต้านเจ้าหน้าที่ และเกิดการปะทะกัน จนลุกลามกลายเป็นจลาจลอยู่หลายวัน

1 ปีต่อมา หลังจากเหตุการณ์ที่สโตนวอลล์ อินน์ ผู้คนในสหรัฐอเมริกา ได้ออกมาเดินขบวนเรียกร้องสิทธิสำหรับกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นครั้งแรก และกลายเป็นต้นแบบของ Pride month ในปัจจุบัน

ในส่วนของวงการฟุตบอล พรีเมียร์ลีก ลีกสูงสุดของอังกฤษ ได้สนับสนุนแคมเปญรณรงค์ต่อต้านการเหยียดบุคคลที่มีรสนิยมรักร่วมเพศ มาตั้งแต่ปี 2016 โดยทั้ง 20 สโมสรต่างก็ให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดี

แต่ละทีมได้แสดงสัญลักษณ์ความหลากหลายทางเพศ ยกตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนสีพื้นหลังบนสื่อโซเชี่ยลมีเดียเป็นสีรุ้ง, กัปตันทีมสวมปลอกแขนสีรุ้ง หรือผูกเชือกรองเท้าสตั๊ดสีรุ้งในวันแข่งขัน เป็นต้น

ขอบคุณภาพ https://web.facebook.com/Everton/

ตัวอย่างจากฟาชานู และฮิตเซิลสแปร์เกอร์

หลายคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า ฟุตบอลเป็นเรื่องของชายชาตรีเท่านั้น แต่นักเตะอย่างจัสติน ฟาชานู และโธมัส ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ กลับตัดสินใจเปิดเผยตัวเองว่าเป็นกลุ่มชายรักชาย หรือ “เกย์” (Gay)

ฟาชานู อดีตกองหน้ายุค 1980s ถือเป็นนักเตะระดับอาชีพชาวอังกฤษคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่ออกมาประกาศว่าเป็นเกย์ เขาเคยค้าแข้งกับหลายสโมสรในอังกฤษทั้งระดับดิวิชั่น 1 และดิวิชั่น 2

แต่จุดเปลี่ยนของฟาชานู เกิดขึ้นในปี 1990 เมื่อ “เดอะ ซัน” แท็บลอยด์จอมแฉเมืองผู้ดี พาดหัวหน้าหนึ่งว่า “นักเตะค่าตัว 1 ล้านปอนด์ ยอมรับแล้ว ผมเป็นเกย์” สร้างความตกตะลึงไปทั้งวงการลูกหนัง

ในช่วงยุค 1980s ถึง 1990s รสนิยมความหลากหลายทางเพศยังไม่เป็นที่ยอมรับ ฟาชานูพยายามที่จะปกปิดไว้ไม่ให้ใครรู้ว่าตัวเองไปเที่ยวที่บาร์เกย์ แต่ภายหลังก็ออกมายอมรับกับความจริงในที่สุด

ฟาชานู ประกาศแขวนสตั๊ดในปี 1997 และในเดือนพฤษภาคม ปีต่อมา อดีตนักเตะผิวสีคนแรกของลีกอังกฤษที่มีค่าตัวถึง 1 ล้านปอนด์ ก็ตัดสินใจจบชีวิตด้วยการแขวนคอตัวเอง จากไปในวัยเพียง 37 ปี

ขณะที่ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติเยอรมัน เคยค้าแข้งกับ 3 สโมสรในพรีเมียร์ลีกกับแอสตัน วิลล่า, เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และเอฟเวอร์ตัน ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการกีฬาของสตุ๊ตการ์ท ในบุนเดสลีกา

หลังจากประกาศแขวนสตั๊ดเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพได้ไม่นาน ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อเมื่อเดือนมกราคม 2014 โดยเปิดใจถึงเรื่องของรสนิยมชายรักชาย ที่เก็บเป็นความลับมานานหลายปี

“มันเป็นช่วงเวลาที่ยากและยาวนาน ในการคิดและทบทวนเรื่องที่อยากจะบอกกับทุกคน หลังจากประกาศว่าตัวตนที่แท้จริงคือการมีความรักกับผู้ชาย ผมคิดว่าชีวิตของผมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นนะ”

“ตอนนี้โลกเปลี่ยนไปมากแล้ว คนที่ยังไม่ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้คนอื่นๆ รู้ มันเป็นอะไรที่เจ็บปวด คุณจะเป็นเพศอะไรไม่สำคัญ แต่ขอให้กล้าที่จะบอกว่า เราไม่ยอมรับการเหยียดเพศ”

แข้งเกย์เลือดผู้ดีคนแรกรอบ 32 ปี

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เจค แดเนียลส์ กองหน้าดาวรุ่งวัย 17 ปี จากสโมสรแบล็คพูล ในลีกแชมเปี้ยนชิพ เป็นนักเตะอาชีพชาวอังกฤษคนแรกนับตั้งแต่จัสติน ฟาชานู เมื่อ 32 ปีก่อน ที่ออกมาประกาศตัวว่าเป็นเกย์

แดเนียลส์ เพิ่งได้ประเดิมลงสนามให้กับทีมชุดใหญ่ของแบล็คพูลเป็นนัดแรก ในเกมนัดปิดซีซั่นที่พบกับปีเตอร์โบโร่ โดยเจ้าตัวถูกเปลี่ยนลงมาเป็นตัวสำรองในช่วง 10 นาทีสุดท้าย ซึ่งทีมของเขา จบอันดับที่ 16

ข้อความของแดเนียลส์ ที่ระบุไว้บนเว็บไซต์ของ “เดอะ ซีไซเดอร์ส” ความว่า “เรื่องนอกสนามผมต้องปิดบังมาตลอดว่าผมเป็นใครกันแน่ ผมรู้อยู่แล้วว่าเป็นเกย์ และผมก็พร้อมแล้วที่จะเปิดเผยเรื่องนี้เสียที”

“แต่การจะมาถึงจุดนี้ได้ ผมได้รับการสนับสนุนและคำแนะนำจากครอบครัว เอเย่นต์ และองค์กร Stonewall อีกทั้งกำลังใจจากเพื่อนร่วมทีมแบล็กพูล ที่ยอมรับการตัดสินใจในการเปิดเผยตัวตนของผม”

“คุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวตนของคุณ เพียงเพื่อให้เข้ากับคนอื่น ขอแค่ให้คุณเป็นตัวของตัวเองและมีความสุข นี่แหละคือสิ่งสำคัญที่สุด”

การออกมาเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของแดเนียลส์ วงการฟุตบอลอังกฤษได้ออกมาชื่นชมในความกล้าหาญ แทบทุกสโมสรรวมถึงนักฟุตบอลหลายๆ คน ต่างส่งกำลังใจให้กับดาวรุ่งวัย 17 ปีรายนี้

ทางด้านพรีเมียร์ลีก ก็ออกมาแถลงเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “เราขอสนับสนุนเจค และเชื่อว่าเกมฟุตบอลเป็นของทุกคน นี่คือเหตุผลที่เราต่อต้านการเหยียดเพศ รวมถึงให้การสนับสนุนกลุ่มคนที่เป็น LGBTQ+”

การที่นักฟุตบอลเริ่มกล้าที่จะเปิดเผยรสนิยมทางเพศของตัวเอง ช่วยส่งแรงกระเพื่อมต่อสังคม ทำให้วงการฟุตบอลอังกฤษและทั่วโลก เปิดใจยอมรับนักเตะที่อยู่ในกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น

แต่นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ยังต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยในการพิสูจน์กับบทดสอบที่ยิ่งใหญ่ เพื่อสร้างความเข้าใจ และยอมรับรสนิยมทางเพศที่แตกต่างไปจากคนส่วนใหญ่ในสังคม

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://theathletic.com/3313956/2022/05/16/jake-daniels-blackpool/

https://theathletic.com/2991105/2021/12/03/how-to-be-an-ally-for-lgbt-community-in-football/

https://theathletic.com/1561229/2020/01/26/thomas-hitzlsperger-stuttgart-villa-everton-west-ham/

https://www.premierleague.com/news/511487

https://www.blackpoolfc.co.uk/news/2022/may/16/a-message-from-jake-daniels/

https://www.bbc.co.uk/newsround/52872693

Categories
Special Content

พรีวิว ลิเวอร์พูล เอฟเอ คัพ ไฟนอล 2022: ย้อนรอยความกล้าหาญ เจอร์รี่ เบิร์น ตำนานฮาร์ดแมน หงส์แดง 117 นาทีไหปลาร้าหัก คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ สมัยแรกที่เฝ้ารอ 73 ปี

Everybody loves a hardman” ว่ากันว่านักเตะสไตล์ฮาร์ดแมนชนะใจแฟนบอลเสมอ พวกเขาแสดงออกผ่านร่างกาย เล่นบอลเข้าบอลด้วยพลังเกินร้อยไม่หวั่นกระดูกหัก อยู่ในสนามพร้อมสภาพกล้ามเนื้อปูดหนังฉีกเลือดชะโลม วิ่งพล่านประหนึ่งรับยาม้าก่อนคิกออฟ พวกเขาแสดงออกผ่านจิตวิญญาณ ทุ่มเททั้งกายทั้งใจตั้งแต่วินาทีแรก ไม่รู้จักคำว่ายอมแพ้ยกธงขาวจนเสียงนกหวีดสุดท้ายดังขึ้น

แม้วงการลูกหนังคำนึงถึงความปลอดภัยของนักเตะมากขึ้น แต่บ่อยครั้งที่ยังเห็นนักฟุตบอลฝืนวิ่งในสภาพทั้งที่บาดเจ็บ มีเลือดไหลออกมาจากผ้าที่พันไว้ แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปกว่าครึ่งศตวรรษ ภาพพวกนี้คือความปกติที่เกิดขึ้นบนสนามหญ้าเพราะยุคนั้นมีนักเตะต้องเล่นต่อทั้งที่กระดูกหักหรือร้าวให้เห็นบ่อยครั้ง

ยุคสมัยไร้ผู้เล่นสำรองให้เปลี่ยนตัว

เชื่อหรือไม่ว่าช่วง 11 ปี ระหว่างกลางทศวรรษ 1950 – 1960 มีถึง 5 ครั้งของนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ของอังกฤษ ที่นักเตะอย่างน้อยหนึ่งคนต้องเล่นต่อทั้งที่กระดูกชิ้นใดชิ้นหนึ่งแตกร้าวระหว่างเกม ค่าเฉลี่ยปีเว้นปี สาเหตุเนื่องจากสมัยนั้นยังไม่มีกฎการเปลี่ยนตัวผู้เล่น อีกนัยหนึ่งคือแต่ละทีมต้องใช้ผู้เล่น 11 คนเท่าที่ส่งรายชื่อก่อนเกม ไม่มีผู้เล่นสำรองเพื่อเปลี่ยนตัวระหว่างการแข่งขัน

ฟุตบอลลีกเมืองผู้ดีเพิ่งให้เปลี่ยนนักเตะลงแทนคนที่บาดเจ็บในฤดูกาล 1965-66 คนแรกคือ คีธ พีค็อก ของชาร์ลตัน ที่ลงมาแทนนายทวารร่วมทีมเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 1965 หลังเกมเริ่มไปแค่ 11 นาที 

ขณะที่ เอฟเอ คัพ ออกกฎนี้ตามมาในซีซั่น 1967-68 ทำให้เกิดหนึ่งในเรื่องราวยอดตำนานฮาร์ดแมนขึ้นใน เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ ปี 1965 ซึ่งเป็นครั้งที่ลิเวอร์พูลครองแชมป์รายการนี้เป็นสมัยแรกในประวัติศาสตร์หลังจากรอคอยยาวนานถึง 73 ปี  โดย เจอร์รี่ เบิร์น แบ็คซ้ายทีมหงส์แดง ต้องฝืนทนความเจ็บปวดอยู่ในสนามเพราะกระดูกไหปลาร้าหักเกือบ 120 นาที แถมเก็บอาการไม่ให้คู่แข่งรู้อีกด้วย 

ขอบคุณภาพจาก : https://www.pinterest.es/pin/496592296409986126/

แชมป์ เอฟเอ คัพ ที่เฝ้ารอคอยถึง 73 ปี

แม้ลิเวอร์พูลกวาดแชมป์ ดิวิชั่น 1 มาแล้ว 6 สมัย รวมถึงซีซั่นก่อนหน้านี้ (1963–64) แต่กับบอลถ้วย (ตอนนั้นยังไม่มีลีกคัพ) พวกเขายังไม่สามารถนำ เอฟเอ คัพ มาประดับตู้โชว์ได้เลยหลังจากทำได้ดีที่สุดเพียงรองแชมป์เมื่อแพ้ เบิร์นลีย์ ปี 1914 และ อาร์เซนอล ปี 1950 ตรงข้ามกับเพื่อนบ้าน เอฟเวอร์ตัน ที่ชนะเลิศมาแล้วในปี 1906 และ 1933 ส่วนลีกสูงสุด ท็อฟฟี่สีน้ำเงินครอบครองแชมป์ในจำนวนเท่ากัน รวมถึงครั้งหลังสุด ฤดูกาล 1962–63 ก่อนเสียตำแหน่งให้ลิเวอร์พูลในซีซั่นถัดมา

ลิเวอร์พูลจึงหมายมั่นปั่นมือกับนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ที่สนามเวมบลีย์ ในวันที่ 1 พฤษภาคม 1965 เพื่อลดช่องว่างกับคู่อริแห่งเมอร์ซี่ย์ไซด์ แต่คู่แข่งขันคือทีมพลังหนุ่ม ลีดส์ ยูไนเต็ด ของยอดกุนซือ ดอน เรวี่ ที่ฟอร์มกำลังร้อนแรง

มีเกร็ดเล็กน้อยก่อนคิกออฟเมื่อพระราชินีเสด็จมายังสนามเวมบลีย์พร้อมทรงแต่งชุดสีแดง แฟนหงส์แดงพากันตะโกนลั่นสนามว่า “Ee aye addio, the Queen’s wearing red!” (นัดนั้น ลิเวอร์พูลสวมเสื้อแดงกางเกงแดง ลีดส์ใส่ชุดขาวล้วน)

เกมเริ่มไปเพียงสามนาทีก็เกิดเหตุปะทะรุนแรงบริเวณหน้าประตูฝั่งลิเวอร์พูล บ็อบบี้ คอลลินส์ กองกลางที่สูงเพียง 5 ฟุต 3 นิ้ว แต่โดดเด่นด้วยสไตล์ถึงลูกถึงคน ซึ่งเคยเล่นให้เอฟเวอร์ตันระหว่างปี 1958 – 1962 ปราดเข้าแย่งบอล เท้าขวาปะทะหน้าแข้งของ เจอร์รี่ เบิร์น อย่างจัง กรรมการไม่รีรอมอบใบเหลืองให้คอลลินส์

บ็อบ เพรสลีย์ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นผู้ช่วยของ บิล แชงคลีย์ ผู้จัดการทีม รีบลงไปดูอาการของไบรน์ที่นอนอยู่บนสนามในสภาพเหมือนไม่บาดเจ็บหนักหนา แต่มุมมองจากข้างสนามของเพรสลีย์ที่ได้รับใบประกาศนักกายภาพบำบัด เขามีลางสังหรณ์ว่า เหตุร้ายเกิดกับแบ็คซ้ายรายนี้แล้ว

กระดูกไหปลาร้าหักตั้งแต่นาทีที่ 3

เพรสลีย์เขียนไว้ในหนังสือ My 50 Golden Reds ซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี 1990 ว่า “ผมรู้ทันทีว่าเกิดเรื่องร้ายแรงกับ เจอร์รี่ เบิร์น แน่นอน ด้วยประสบการณ์หลายปีสอนให้ผมแยกแยะระหว่างผู้เล่นที่นอนบนสนามเพื่อพักกับเพราะบาดเจ็บได้ ทันทีที่เข้าถึงตัวเจอร์รี่ ผมมั่นใจว่าสิ่งที่คิดข้างสนามนั้นถูกต้อง แกร์รี่ไหปลาร้าหัก แต่เขารู้ดีว่าไม่มีทางที่ลิเวอร์พูลจะเอาชนะลีดส์ด้วยผู้เล่นสิบคน”

“ปฏิกิริยาแรกที่ผมควรทำตอนนั้นคือ โบกมือไปที่ข้างสนามเพื่อร้องขอเปลหาม แต่เจอร์รี่มองมาที่ผมด้วยสายตาวิงวอน ‘อย่าบอกใคร’ ผมพูดกลับไปว่า ‘นายรู้ใช่ไหมว่ากระดูกหัก’ แน่นอนแกร์รี่รู้แต่เขายืนยันที่จะเล่นต่อตลอด 87 นาทีที่เหลือ หรืออาจต้องบวกเพิ่มอีกครึ่งชั่วโมงหากเกมต้องต่อเวลา”

“เขาเอ่ยกับผมอย่างท้าทายว่า ‘ผมทำได้แน่’ และเขาก็ทำได้จริงๆ เป็นหนึ่งความห้าวหาญที่ผมประจักษ์ด้วยสายตาตัวเองในเวมบลีย์”

ความลับที่ห้ามฝั่งลีดส์ระแคะระคายเด็ดขาด

“ผมกลับไปนั่งข้างสนามแล้วบอกแชงคลีย์และทุกคนว่า เจอร์รี่กระดูกไหปลาร้าหัก แต่ไม่มีใครเชื่อผมเลยสักคนจนกระทั่งแพทย์ยืนยันนั่นแหละ พวกเขาจึงเชื่อ ส่วนฝั่งทีมลีดส์ ผมสาบานจะเก็บเป็นความลับไม่ให้ใครรู้ทั้งสตาฟฟ์โค้ชหรือนักเตะ เราหลอกพวกเขาด้วยการพูดเอะอะโวยวายเรื่องที่เจอร์รี่โดนอัดหน้าแข้งเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ”

ทางด้านไบรน์กล่าวถึงเหตุการณ์วันนั้นว่า “ตอนแรกผมห่วงหน้าแข้งมากกว่าเพราะบ็อบบี้ คอลลินส์ เข้าบอลหนักและถลกหนังหน้าแข้งผม ถ้าเป็นสมัยนี้คงเป็นใบแดง ส่วนผมคงโดนหามออกนอกสนามไปแล้ว แต่สมัยนั้นยังไม่มีการเปลี่ยนตัวผู้เล่น ผมไม่ได้ตระหนักว่าจะเกิดเรื่องเสียหายตามมาอย่างไรแต่ยอมรับว่ามันเจ็บมาก”

“บ็อบ เพรสลีย์ ตรวจอาการผมอีกครั้งช่วงพักครึ่งและยืนยันว่าอะไรเกิดขึ้น ทั้งเขาและบิล แชงคลีย์ ต่างแปลกใจว่าผมทนเล่นต่อได้อย่างไร แต่ผมยืนยันต้องการเล่นต่อ บ็อบเอาสำลีกับเทปมายึดไหปลาร้าแล้วผมก็ลงสนามไปพร้อมกับคนอื่น”

ทำแอสซิสต์ในสภาพไหปลาร้าหัก

ทั้งสองฝ่ายต้องดวลสตั๊ดท่ามกลางฝนและไม่สามารถส่งลูกหนังซุกก้นตาข่ายได้ นั่นหมายความว่าไบรน์ต้องข่มความเจ็บปวดเพิ่มอีก 30 นาที แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อแบ็คซ้ายผู้เติบโตในย่านสกอตแลนด์โร้ดของเมืองลิเวอร์พูลได้บอลจาก วิลลี่ สตีเว่น ก่อนโยนจากฝั่งซ้ายไปให้ โรเจอร์ ฮันท์ ทำสกอร์ขึ้นนำในนาทีที่ 93 ฮันท์ถูกแวดล้อมด้วยทีมเมทที่ร่วมแสดงความยินดีรวมถึงไบรน์ที่โอบกอดด้วยแขนข้างเดียว

เพียงเจ็ดนาทีต่อมา บิลลี่ เบรมเมอร์ ซัดฮาล์ฟวอลเลย์ลูกพุ่งเสียบมุมบนสุดปัญญาที่ ทอมมี่ ลอว์เรนซ์ ป้องกันได้ สกอร์เป็น 1-1 อย่างไรก็ตาม เอียน เซ็นต์จอห์น ปิดโอกาสไม่ให้แมตช์ยืดเยื้อถึงนัดรีเพลย์หลังจากโขกบอลระยะเผาขนเข้าไปในนาทีที่117 ทำให้ลิเวอร์พูลเฉือนชนะลีดส์ 2-1

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

แชงคลีย์ยอมรับว่าแชมป์ เอฟเอ คัพ สมัยแรก เป็นชัยชนะที่ดีที่สุดในช่วงชีวิตคุมทีมลิเวอร์พูลของเขา และไม่เคยสงสัยเลยที่จะระบุฮีโร่ตัวจริงของเกมนี้

“มันเกิดจากความกล้าหาญของ เจอร์รี่ เบิร์น เขาควรรับเหรียญรางวัลทั้งหมดไปคนเดียว ไม่มีใครอีกแล้วที่จะทำได้แบบเขา หนุ่มคนนี้ต้องเล่นร่วมหนึ่งชั่วโมงครึ่งทั้งที่กระดูกไหปลาร้าหัก”

“เราเห็นตอนพักครึ่งแล้ว กระดูกไหปลาร้าเขาหักชัดเจน แพทย์ประจำทีมพยายามจัดให้มันเข้าที่แต่ไม่สำเร็จ เราทำได้เพียงซ่อนไม่ให้ลีดส์รับรู้ นี่เป็นตัวอย่างของเกมจิตวิทยาที่ช่วยให้เราชนะรายการนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร แกร์รี่คือวีรบุรุษและเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่”

โบกมืออำลาวงการด้วยวัยเพียง 30 ปี

ไบรน์รักษาอาการบาดเจ็บและหายทันลงสนามฤดูกาลต่อมา (1965-66) ซึ่งลิเวอร์พูลจบซีซั่นด้วยแชมป์ ดิวิชั่น 1 สมัยที่สองในรอบสามปี โดยไบรน์มีสถิติลงสนาม 53 นัดรวมทุกรายการ และมีโอกาสโชว์ธาตุทรหดอีกครั้งเมื่อต้องเล่นทั้งที่กระดูกข้อศอกเคลื่อนในการแข่งขัน ยูโรเปี้ยน คัพวินเนอร์ส คัพ รอบรองชนะเลิศ นัดแรก กับ กลาสโกว์ เซลติก ที่สนามปาร์คเฮด

“ผมต้องกลับเข้าห้องพักนักกีฬาเพื่อให้แพทย์ของทีมจับกระดูกแขนให้กลับเข้าที่ มันปวดระยำเลยและผมต้องออกจากสนามก่อนจบเกมสิบนาที แขนของผมดำคล้ำตั้งแต่ข้อมือถึงหัวไหล่ ผมยังจำแชงคลีย์ทำท่าประหลาดใจเมื่อผมบอกว่าพร้อมที่จะเล่นบอลลีกกับสโต๊คในวันเสาร์”

อย่างไรก็ตาม ไบรน์ต้องแขวนสตั๊ดเร็วกว่าวัยอันควรเนื่องจากบาดเจ็บหัวเข่าหลังฟุตบอลโลก 1966 รอบสุดท้าย และไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง เขาสิ้นสุดอาชีพค้าแข้งในปี 1969 ขณะวัยเพียง 30 ปี เขายอมรับว่าไม่สามารถเหยียดหรืองอขาได้เหมือนปกตินับจากนั้น

ปิดฉากตำนานเจ้าของฉายา The Crunch

ปีต่อมา สโมสรจัดเทสติโมเนียลแมตช์ให้กับเบิร์นเป็นกรณีพิเศษ ทำให้เขาประหลาดใจมากที่ได้รับเกียรติครั้งนี้ “คืนนั้นฝนตกที่แอนฟิลด์ ผมคิดว่าคงไม่มีใครมาแน่ แต่กลับมีแฟนบอลถึง 42,000 คนเข้ามา พวกเขาตะโกนเรียก The Crunch (ฉายาของไบรน์)”

เบิร์นมีโอกาสทำงานในสตาฟฟ์โค้ชที่แอนฟิลด์ระยะหนึ่งก่อนลาออกเนื่องจากเป็นโรคอัลไซเมอร์ เขาเสียชีวิตด้วยวัย 77 ปี ในเดือนพฤศจิกายน 2015

ขอบคุณภาพจาก : https://www.skysports.com/football/news/11669/10081959/liverpool-legend-gerry-byrne-passes-away-at-the-age-of-77

วันที่ 14 พฤษภาคมนี้ ลิเวอร์พูล จะลงแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ กับ เชลซี หากทำสำเร็จจะเป็นแชมป์สมัยที่ 8 ของหงส์แดง กับถ้วยใบนี้ที่เคยต้องรอคอยนานถึง 73 ปี กับแมตช์ระดับตำนานของชายที่ชื่อว่า แกร์รี่ ไบรน์ ผู้ไม่เพียงกัดฟันต่อสู้ในสภาพกระดูกไหปลาร้าหักเกือบ 120 นาที แต่ยังเป็นคนทำแอสซิสต์ประตูนำร่องให้กับลิเวอร์พูลด้วย

อ้างอิง : https://www.liverpoolecho.co.uk/sport/football/football-news/never-nutmeg-him-think-you-23794612

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา

Categories
Football Business

ราล์ฟ รังนิก กับการปฏิวัติเงียบบอร์ดบริหารฯ ความสำเร็จเบื้องหลังที่รอการพิสูจน์

บางทีตัวแปรสำคัญอันดับแรกที่ทำให้สโมสรฟุตบอลประสบความสำเร็จและผงาดอยู่แถวหน้าของวงการอาจไม่ใช่การเข้ามาของผู้จัดการทีมที่เก่งฉกาจ แต่อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงแนวทางบริหารของเจ้าของสโมสร

เหมือนกับที่ ลิเวอร์พูล ตัดสินใจยกเลิกวัฒนธรรม The Boot Room ที่นำความยิ่งใหญ่มาสู่แอนฟิลด์ระหว่างทศวรรษ 1960ถึงต้นทศวรรษ 1990 หรือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งขายสโมสรให้กับชาวต่างชาติอย่าง ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2007 ก่อนตกมาอยู่ในมือของ ชีค มานซูร์ บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน นักการเมืองและนักธุรกิจชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตั้งแต่ปี 2008 จนถึงปัจจุบัน รวมถึง โรมัน อบราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย ที่เทคโอเวอร์ เชลซี เมื่อปี 2003

ด้วยเหตุนี้ แฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด  จึงเริ่มมีความหวังเล็กๆที่จะปีนกลับขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้งนับตั้งแต่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ล้างมือในอ่างทองคำหลังจบซีซั่น 2012-13 แม้เจ้าของสโมสรยังคงเป็นตระกูลเกลเซอร์แห่งสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่ มัลคอล์ม เกลเซอร์ เข้ามาถือหุ้นใหญ่ในเดือนกันยายน 2003

ช่วง 8 ฤดูกาลในยุค โพสต์-เฟอร์กี้ ปีศาจแดงคว้าแชมป์มาครอง 3 รายการคือ ลีกคัพ, เอฟเอ คัพ และ ยูโรป้า ลีก แต่กับลีกระดับเทียร์หนึ่ง พวกเขาทำได้ดีที่สุดคือ รองแชมป์ พรีเมียร์ลีก 2 สมัย แถมเคยร่วงลงไปอยู่อันดับ 7 ในสมัย เดวิด มอยส์ และอันดับ 6 อีกสองครั้ง ส่วนซีซั่นปัจจุบัน พวกเขามีโอกาสรูดม่านด้วยอันดับ 6, 7 หรือกระทั่ง 8

เดวิด มอยส์ บุรุษผู้ถูกเลือก อาจเป็นความผิดพลาดเพราะฝีมือและบารมีไม่ถึง แต่กุนซือระดับ หลุยส์ ฟาน กัล และ โชเซ่ มูรินโญ่ กึ๋นคงไม่ใช่ข้ออ้าง แม้มีความพยายามคืนสู่จิตวิญญาณแห่งปีศาจแดงด้วยการมอบหมายงานให้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ก็ยังล้มเหลว

เป้าถล่มย้ายจากผู้จัดการทีมสู่บอร์ดบริหาร

เป็นที่น่าสังเกตว่าช่วงหลัง เสียงด่าทอของแฟนบอลเปลี่ยนทิศจากผู้จัดการทีมไปยังบอร์ดบริหารและเจ้าของทีม ถึงขั้นเคยมีการประท้วงขับไล่ในสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด จนแมตช์แดงเดือดต้องเลื่อนออกไป รวมทั้งสับแหลกการบริหารที่ผิดพลาด วางเป้าหมายผลกำไรทางธุรกิจเหนือความสำเร็จของทีมฟุตบอล เจ้าหน้าที่ระดับสูงไม่มีความรู้ในกีฬาลูกหนัง การดื้อดึงซื้อนักเตะที่กุนซือไม่ได้ต้องการ การต่อสัญญานักเตะที่ไม่ใช้งานเพียงเพื่อเพิ่มมูลค่า การกระหายเงินจนเข้าร่วมก่อตั้ง ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ลีก  เป็นต้น 

“ภัย” เริ่มขยับใกล้ตระกูลเกลเซอร์เข้ามาเรื่อยๆ จนมหาเศรษฐีจากเมืองลุงแซมต้อง “คิดใหม่ ทำใหม่” เพื่อพา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คืนสู่ความยิ่งใหญ่ ซึ่งจะทำให้การธุรกิจของพวกเขากลับมาสงบสุขอีกครั้ง

ปลายเดือนพฤศจิกายน 2021 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยกเลิกสัญญากับ โซลชาร์ ท่ามกลางการกดดันของแฟนๆและสื่อมวลชน แต่พลาดได้ตัว อันโตนิโอ คอนเต้ กุนซือมือดีที่เพิ่งตอบตกลงคุมทีม ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ก่อนหน้าไม่กี่สัปดาห์ โดยมอบหมายให้ ไมเคิล คาร์ริก คุมทีมเพียง 3 นัด ก่อนสร้างเซอร์ไพรส์แต่งตั้ง ราล์ฟ รังนิก ปรามาจารย์ลูกหนังชาวเยอรมัน ทำหน้าที่จนจบซีซั่นก่อนนั่งเก้าอี้ที่ปรึกษาสโมสรเป็นเวลาสองปี

คงไม่มีใครแปลกใจหาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปล่อยให้คาร์ริกคุมทีมช่วงที่เหลือของซีซั่นเพื่อรอเจรจาช่วงซัมเมอร์กับเป้าหมายที่ตกเป็นข่าวอย่าง เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่, เบรนแดน ร็อดเจอร์ส, ซีเนอดีน ซีดาน หรือกระทั่งรังนิกเอง

เท็ดดี้ เชอริงแฮม อดีตศูนย์หน้าทีมปีศาจแดง ให้ความเห็น “คุณตัดสินใจปลดผู้จัดการทีม แล้วให้คาร์ริกทำหน้าที่ชั่วคราว แล้วแทนเขาด้วยผู้จัดการทีมชั่วคราวอีกคนหนึ่ง สำหรับผมแล้ว เป็นการกระทำที่น่าตกใจเอามากๆสำหรับสโมสรที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก”

“นั่นทำให้นักเตะขาดความมั่นใจและไร้ความต่อเนื่อง โดยเฉพาะนักเตะคนไหนที่กำลังเจอช่วงเวลาที่เลวร้าย ก็เหมือนกับโดนทอดทิ้งไร้อนาคต เขารู้ดีว่านายใหญ่จะต้องไปภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า” 

“เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับสโมสรอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คุณต้องการให้ทุกคนมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน สำหรับผมแล้ว มันวุ่นวายตั้งแต่บนลงล่าง นักเตะได้แค่เล่นไปในสนาม ผมคงรับมือกับสถานการณ์ไร้สาระแบบนี้ไม่ได้”

เหมือนอย่างที่เชอริงแฮมพูดไว้ รังนิกไม่สามารถใส่สไตล์ “เกเก้น เพรสซิ่ง” ให้กับลูกทีมใหม่ ผลงานในสนามก็ลุ่มๆดอนๆ ตกรอบ เอฟเอ คัพ และ แชมเปี้ยนส์ลีก อันดับบนตารางพรีเมียร์ลีกก็ไหลลงจนอาจได้เพียงโควต้า คอนเฟอเรนซ์ ลีก สภาพทีมเหมือนเล่นให้ครบโปรแกรมเพื่อรอนายใหญ่คนใหม่เข้ามารับหน้าที่อย่างถาวร

รังนิกชี้ปัญหาที่ถูกมองข้ามผ่านเพรสคอนเฟอเรนซ์

แม้ผลแข่งอาจดูย่ำแย่ที่สุดในบรรดาผู้จัดการทีมยุคหลังเฟอร์กูสัน แต่ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดของรังนิกกลับอยู่ที่การให้สัมภาษณ์หลังเกมและวาระต่างๆ

รังนิกมักอธิบายเหตุผลการทำอะไรไม่ทำอะไรระหว่างเกม 90 นาทีในเชิงเทคนิคและแทคติคอย่างเช่น ทำไมถึงเปลี่ยนตัวนักเตะคนนี้ออกส่งคนนั้นเข้า จุดไหนที่นักเตะไม่สามารถทำตามแผนที่วางไว้ก่อนเกม พูดเหมือนเป็นคอมเมนเตเตอร์หรือครูที่กำลังสอนนักเรียนผ่านเกมแข่งขันจริงๆ

ท้ายซีซั่น รังนิกเริ่มให้สัมภาษณ์ไปไกลถึงโครงสร้างการบริหารทีม แนวทางการฝึกซ้อม การทำงานของทีมแพทย์ แนวคิดการซื้อขายนักเตะในตลาด คุณลักษณะนักเตะที่พึงมี ฯลฯ ไม่ใช่ความเห็นต่อภาพที่เกิดขึ้นบนสนามหญ้าเท่านั้น ยิ่งช่วงก่อนหน้าและหลัง เอริค เทน ฮาก ได้รับการประกาศเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ รังนิกแสดงวิสัยทัศน์ราวกับกำลังลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ซีอีโอ หรือ ผู้บริหารสูงสุดที่จะเข้ามา “ปฏิวัติ” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

สื่อบางสำนักระบุว่า โครงการปรับปรุงสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด ครั้งใหญ่เกิดขึ้นก็เพราะฝีปากของเดอะ โปรเฟสเซอร์ นั่นเอง

“เรด อาร์มี่” ทั่วโลกต่างซึมซับคำพูดช่วง 4-5 เดือนของรังนิกไว้ในสมองอย่างไม่รู้ตัว ส่วนใหญ่เห็นด้วยถึงเวลาแล้วที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่เพียง “ไมเนอร์ เชนจ์” แต่ต้อง “ยกเครื่อง” ฐานรากของสโมสรเสียใหม่ ไม่ใช่เพียงจ้างผู้จัดการทีมระดับ เอ พลัส เข้ามาสร้างความสำเร็จภายในเวลาอันรวดเร็ว พวกเขาพร้อมให้เวลา 3-4 ปี สำหรับ เทน ฮาก

ความคิดลักษณะนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจมีแค่ด่าทอระบายอารมณ์กับสไตล์การทำงานของ เอ็ด วู้ดเวิร์ด และบอร์ดบริหารบ้าง จนกระทั่งรังนิกเข้ามาจุดประกายและขายไอเดียนับตั้งแต่ย้ายเข้ามาทำงานในโอลด์ แทรฟฟอร์ด 

เปลี่ยนโครงสร้างฝ่ายปฏิบัติการรอการมาของเทน ฮาก

ล่าสุด รังนิกเซ็นสัญญาคุมทีมชาติออสเตรียโดยเชื่อมั่นว่าสามารถทำงานควบคู่กับตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นไปได้หลังจากรังนิกได้ทำหน้าที่ที่ปรึกษาไปเรียบร้อยแล้ว แถมปูทางสะดวกให้กับการทำงานของเทน ฮาก ซึ่งเป็นบุคคลที่เขาออกแรงเชียร์เต็มที่แม้เป็นโปเช็ตติโน่ต่างหากที่บอร์ดบริหารต้องการตัว

มุมมองที่รังนิกพูดออกไปสร้างอิมแพ็คให้กับสโมสรจริงๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายอย่างนอกเหนือก่อนหน้านี้ที่วู้ดเวิร์ดประกาศอำลาเก้าอี้ซีอีโอหลังจบซีซั่น แมตต์ จัดจ์ มือขวาของเขา ก็ยุติบทบาทหัวหน้าฝ่ายพัฒนาองค์กรและหัวหน้าฝ่ายเจรจาซื้อขายนักเตะ หลังจากสโมสรมีคำสั่งปลดหัวหน้าแมวมอง 2 คน โดยมีข่าวลือว่า รังนิกได้แนะนำสโมสรให้ทาบทาม พอล มิทเชลล์ ผู้อำนวยการกีฬาของ โมนาโก เข้ามานั่งเก้าอี้แทนจัดจ์และมีบทบาทสำคัญในตลาดซื้อขายฤดูร้อนนี้

เพราะการแผ้วถางทางเดินเกือบครึ่งปีของรังนิก ทำให้บอร์ดบริหารจำใจเซย์เยสกับเงื่อนไขสุดท้ายของเทน ฮาก นั่นคืออำนาจเด็ดขาดในการซื้อขายนักเตะ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาเลยหลังเฟอร์กูสันอำลาสโมสร อดีตกุนซืออย่างฟาน กัล และมูรินโญ่ ล้วนเคยแฉว่าฝ่ายบริหารไม่ได้ตอบสนองความต้องการของพวกเขา 

รอย คีน อดีตกัปตันทีมปีศาจแดง เห็นด้วยกับทิศทางที่เปลี่ยนแปลงในถิ่นเก่า

“เราเห็นตัวอย่างของ ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ได้รับประโยชน์มากขนาดไหนที่ผู้จัดการทีมมีอำนาจเต็มในทุกภาคส่วน สิ่งที่ผู้จัดการทีมต้องการคือ อำนาจและการควบคุมในสโมสร ทั้ง (เจอร์เก้น) คล็อปป์, เป๊ป (กวาร์ดิโอล่า) และ (โธมัส) ทูเคิล ต่างมีสิ่งนี้ ดังนั้นไม่ว่าใครเข้ามาคุมทีม สโมสรต้องหนุนหลังเขา ให้อำนาจและการควบคุมแก่เขา ให้เขามีส่วนสำคัญในการตัดสินใจซื้อขายนักเตะ แต่ที่ผมได้ยินช่วง 2-3 ปีที่ผ่าน มา การตัดสินใจซื้อขายผู้เล่นมาจากคนข้างบน”

ทั้งหมดนี้ แม้รังนิกอาจลัมเหลวกับตัวเลขบนสกอร์บอร์ดและแต้มสะสมในเกมพรีเมียร์ลีก แต่เขาได้สร้างแรงกระเพื่อมอย่างรุนแรงให้กับตระกูลเกลเซอร์และบอร์ดบริหาร จนอาจกล่าวได้ว่า เทน ฮาก มี “แต้มต่อ” ณ จุดสตาร์ท เหนือกว่า มอยส์, ฟาน กัล, มูรินโญ่ และโซลชาร์ พร้อมเวลาให้พิสูจน์ฝีมือ 2-3 ปี

และถ้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถกลับไปยืนโดดเด่นที่แถวหน้าอีกครั้ง ก็จะเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความสำเร็จที่เริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงแนวคิดบริหารงานของเบื้องบน

Categories
Special Content

ย้อนรอยความสูญเสีย : 33 ปี “ฮิลส์โบโร่” โศกนาฎกรรมลูกหนังที่ไม่มีวันลืมเลือน

หากจะกล่าวถึงเหตุการณ์ที่สร้างความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดของวงการฟุตบอลอังกฤษ หนึ่งในนั้นจะต้องเป็นเหตุการณ์ “ฮิลส์โบโร่” ระหว่างการแข่งขันฟุตบอลเอฟเอ คัพ ในวันนี้เมื่อ 33 ปีก่อน

นี่คือความทรงจำอันเจ็บปวดของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น พร้อมทั้งได้เห็นการต่อสู้เพื่อคืนความยุติธรรมของครอบครัวผู้สูญเสีย และบทเรียนที่ได้รับหลังจากความหายนะที่เกิดขึ้น

และในโอกาสที่ลิเวอร์พูล มีโปรแกรมเตะเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ พบกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในวันรุ่งขึ้น จึงถือโอกาสนี้นำเหตุการณ์ที่เป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรมาฝากกัน

เรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงบทสรุปเป็นอย่างไร ? วันนี้เพจ “ไข่มุกดำ” จะมาขยายให้ฟังกันครับ

ขอบคุณรูปภาพจาก : https://www.facebook.com/ThailandLiverpoolFC/

จุดเริ่มต้นแห่ง “หายนะ”

ข้ามเวลากลับไปในวันที่ 15 เมษายน 1989 การแข่งขันฟุตบอลเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ ระหว่าง ลิเวอร์พูล VS น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ที่สนามฮิลส์โบโร่ บ้านของสโมสรเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์

การแข่งขันแมตช์ดังกล่าว มีแฟนบอลจำนวนมากที่ต้องการเข้าชม โดยเฉพาะฝั่งลิเวอร์พูล ที่เข้ามาแบบกระจุกอยู่ที่บริเวณทางเข้าสนาม และเป็นความโชคไม่ดี ที่การจัดการเกิดความผิดพลาด

ความผิดพลาดแรก คือการจัดโซนที่นั่งบนอัฒจันทร์ให้แฟนบอลแต่ละทีม แฟนลิเวอร์พูลที่มีจำนวนมากกว่า กลับต้องไปนั่งในโซนที่จุผู้ชมได้น้อยกว่า และแฟนฟอเรสต์ ไปนั่งในโซนที่จุผู้ชมได้มากกว่า

และความผิดพลาดที่สอง คือปล่อยให้ผู้ชมในบางโซนแออัดจนแน่นพื้นที่ ยิ่งใกล้เวลาแข่งขัน แฟนบอลด้านหลังต่างก็พยายามผลักดันแฟนบอลด้านหน้า เพื่อจะได้เข้าสนามเร็วขึ้น

ขณะที่แฟนบอลบางคนที่ไม่มีตั๋วเข้าชมก็ถูกกันอยู่ตรงทางเข้า เมื่อเจ้าหน้าที่สนามเห็นฝูงชนที่แออัด จึงได้ตัดสินใจเปิดอีกโซนหนึ่งที่ไม่มีช่องเช็คตั๋ว ทำให้แฟนบอลต่างแห่กันเข้าไปช่องทางนั้นกันหมด

เมื่อแฟนบอลจำนวนมากที่ถูกอัดอยู่ด้านหน้าทางเข้าเริ่มทนไม่ไหว ได้พยายามดิ้นรนหนีตายกันอลหม่าน บ้างก็ถูกอัดติดกับรั้วลูกกรง ขยับไปไหนไม่ได้ เหยียบกันตาย หายใจไม่ออก

เกมในสนามเพิ่งเริ่มได้ไม่นาน ท่ามกลางสถานการณ์ที่โกลาหลอย่างมาก จนในที่สุดแมตช์นี้ดำเนินได้ไปแค่ 6 นาที ต้องยกเลิกการแข่งขัน จังหวะที่ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ ยิงชนคาน คือช็อตสุดท้ายของเกม

เหตุการณ์นี้มีผู้เสียชีวิตทันทีในวันเกิดเหตุ 94 ราย แล้วเพิ่มเป็น 95 ในวันถัดมา และในปี 1993 แฟนบอลรายหนึ่ง ที่อาการโคม่า รักษาตัวมานานถึง 4 ปี ก็จบชีวิตลงเป็นรายที่ 96 บาดเจ็บกว่า 700 คน

หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น สมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) ได้สั่งให้ทุกสโมสรในลีกสูงสุด เปลี่ยนอัฒจันทร์ที่ให้แฟนบอลยืนชม ให้เป็นที่นั่งทั้งหมด และต้องรื้อรั้วเหล็กที่กั้นสนามออกทั้งหมดด้วย

เก้าอี้สีแดง 96 ตัว ภายในอัฒจันทร์สนามเวสต์บรอมฯ ได้ติดตั้ง เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้สียชีวิตเหตุการณ์ฮิลล์สโบโรห์ ขอบคุณรูปภาพจาก : https://www.facebook.com/ThailandLiverpoolFC/

ถูกใส่ร้าย… ตายทั้งเป็น ?

หลังเกิดเหตุร้ายที่สนามฮิลส์โบโร่ ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและสื่อมวลชนบางราย ที่แสดงถึงความ “ไร้จรรยาบรรณ” ด้วยการโยนความผิดให้แฟนบอลลิเวอร์พูลว่า คือตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมดังกล่าวขึ้น

ในวันรุ่งขึ้น “เดอะ ซัน” สื่อดังของอังกฤษ พาดหัวตัวโตว่า “The Truth” พร้อมด้วยข้อความกล่าวโทษ 96 ศพ ดังต่อไปนี้

“Some fans picked pockets of victims.

Some fans urinated on the brave cops.

Some fans beat up PC giving kiss of life.”

แปลเป็นไทย ความว่า… “นี่คือความจริง พวกเขาขโมยทรัพย์สินพวกเดียวกันเองที่บาดเจ็บ, ทำร้ายและปัสสาวะใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ, พยายามจะเปลื้องผ้าศพหญิงสาวที่ถูกเหยียบย่ำ

พอแฟนบอลหงส์แดง และชาวเมืองลิเวอร์พูลได้รับรู้การนำเสนอข่าวแบบนั้น แน่นอนว่าพวกเขาโกรธแค้นเป็นทวีคูณ ตัวเองเป็นผู้เสียหาย แล้วยังถูกยัดเยียดว่าเป็นฝ่ายผิดอีก

กระทั่งในปี 2012 แฟนบอลลิเวอร์พูล ที่รอคอยความยุติธรรมมาแล้ว 23 ปี ก็เริ่มมีความหวัง เมื่อมีรายงานฉบับหนึ่ง ความยาว 400 หน้า ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก

ใจความสำคัญ อยู่ที่หน้า 394 ความว่า “เจ้าหน้าที่ตำรวจ และนักการเมืองบางคน ได้โยนความผิดให้กับ 96 ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ว่าเป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมอันน่าเศร้าทั้งหมด”

นั่นทำให้ นายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ต้องออกมาขอโทษแฟนบอลลิเวอร์พูล ที่ปล่อยเรื่องนี้ให้เงียบหายไป พร้อมทั้งไม่มีการสอบสวนหาความจริง

นายคาเมรอน ยังยอมรับว่า เป็นความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ละเลยหน้าที่ และปล่อยให้แฟนบอลเข้าไปเกินความจุ จนทำให้เกิดเหตุการณ์สะเทือนใจในครั้งนี้

ขณะที่ “เดอะ ซัน” ที่ถึงแม้จะออกมาแถลงขอโทษอย่างเป็นทางการ แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่ชาวเมืองลิเวอร์พูล ปิดประตูล็อกตาย ไม่ต้อนรับสำนักข่าวแห่งนี้อีกตลอดไป

ขอบคุณรูปภาพจาก : https://www.facebook.com/ThailandLiverpoolFC/

ความยุติธรรมที่กลับคืน

ครอบครัวผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ “ฮิลส์โบโร่” ได้เพียรพยายามต่อสู้เพื่อค้นหาความจริง และคืนความยุติธรรมให้กับผู้ล่วงลับทั้งหมด จนในที่สุดวันที่พวกเขารอคอยมาอย่างยาวนาน ก็มาถึงจนได้

เดือนเมษายน 2016 คณะลูกขุนในศาล ได้ลงมติด้วยคะแนนเสียงส่วนใหญ่ 7 ต่อ 2 ตัดสินให้ 96 ศพ ในเหตุการณ์ฮิลส์โบโร่ เป็นผู้บริสุทธิ์ สาเหตุเกิดจากความผิดพลาดของฝ่ายจัดการแข่งขัน รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ผลการตัดสินของศาล ทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูล รวมไปถึงครอบครัวของผู้เสียชีวิต ต่างน้ำตาคลอยินดีที่พวกเขา “ปลดแอก” ได้เสียที หลังจากต้องต่อสู้เพื่อทวงคืนความยุติธรรมมานานถึง 27 ปี

ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2021 แอนดรูว์ เดอไวน์ แฟนบอลที่เข้าชมการแข่งขันที่ฮิลส์โบโร่ เสียชีวิตเป็นรายที่ 97 หลังจากได้รับบาดเจ็บที่สมองอย่างรุนแรง จนไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกเลยนับจากนั้น

ทำให้สโมสรลิเวอร์พูล ได้ดำเนินการเปลี่ยนชื่อบริเวณนอกสนามจาก 96 Avenue เป็น 97 Avenue พร้อมทั้งเปลี่ยนตัวเลขที่บริเวณท้ายทอยของเสื้อจาก 96 เป็น 97 ตั้งแต่ฤดูกาล 2022-23 เป็นต้นไป

ล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ มีโปรแกรมพบกับลิเวอร์พูล ในเอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 33 ปี ที่ทั้งคู่พบกันในรายการนี้ นับตั้งแต่เหตุการณ์ฮิลส์โบโร่

โดยสนามซิตี้ กราวน์​ รังเหย้าของฟอเรสต์ ได้จัดการเว้นว่างที่นั่งเอาไว้ 97 ที่ เพื่อ​ให้ดวงวิญญาณของแฟนบอลทั้ง 97 คนที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์หายนะที่ฮิลส์โบโร่ ได้มาร่วมนั่งชมเกมลูกหนังที่พวกเขารัก

โศกนาฎกรรม “ฮิลส์โบโร่” ที่เกิดขึ้น ทำให้ได้เรียนรู้จากความผิดพลาด เป็นเหมือนแรงกระตุ้นที่ทำให้เกิดการจัดการต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพ และการรักษาความปลอดภัยในสนามที่เข้มงวดมากขึ้น

และอีกอย่างที่ต้องจารึกไว้คือ การไม่ยอมแพ้ในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมเป็นเวลาถึง 27 ปี ไม่ได้หมายถึงเพียงเพื่อคนที่จากไป แต่มันยังมีความหมายถึงคนที่ยังอยู่ด้วยเช่นกัน

You’ll Never Walk Alone…

Author : จักรพันธ์ ภู่ทอง

Photo : BBC

อ้างอิง :

– https://www.bbc.com/news/uk-england-merseyside-58005871

https://www.bbc.com/news/uk-england-nottinghamshire-60812866

Categories
Special Content

ของขวัญจากฟากฟ้า : “โอบาเมยอง” จิ๊กซอว์ที่เข้ากับบาร์เซโลน่าอย่างลงตัว

ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยอง ศูนย์หน้าทีมชาติกาบอง เหมาคนเดียว 2 ประตู ช่วยให้บาร์เซโลน่า บุกถล่มเรอัล มาดริด ขาดลอยเหลือเชื่อ 4 – 0 ในลาลีกา สเปน แมตช์ “เอล กลาซิโก้” เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา 

โอบาเมยอง ลงสนามไปเพียงแค่ 11 นัด รวมทุกรายการ แต่ทำไปแล้วถึง 9 ประตู กลายเป็นความหวังใหม่ในแนวรุกบาร์เซโลน่า ภายใต้การคุมทีมของซาบี้ เอร์นานเดซ อดีตตำนานมิดฟิลด์ของสโมสร

จากแข้งไร้วินัยกับอาร์เซน่อล ดาวเตะวัย 33 ปี กลับคืนสู่ฟอร์มที่ยอดเยี่ยมกับบาร์ซ่าได้อย่างไร วันนี้เพจ “ไข่มุกดำ” จะมาขยายให้ฟังกันครับ

ภาพจาก : https://web.facebook.com/fcbarcelona

เคยเกือบที่จะเลิกเล่นฟุตบอล

ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยอง เกิดที่ลาวัล ทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส ในครอบครัวที่มีคุณพ่อเป็นอดีตนักฟุตบอลอาชีพในลีกแดนน้ำหอม และเคยเป็นอดีตกัปตันทีมชาติกาบองอีกด้วย

โอบาเมยอง ได้เริ่มต้นอาชีพนักเตะกับสโมสรระดับท้องถิ่นตั้งแต่อายุ 6 ขวบ อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น เจ้าตัวเคยมีความคิดที่จะเลิกเล่นฟุตบอล เนื่องจากมีปัญหาเรื่องสภาพร่างกาย

“สมัยที่เป็นเด็ก ผมเล่นตำแหน่งปีกมากกว่ากองหน้า เพราะผมเป็นคนที่วิ่งเร็ว แต่พออายุได้ 15-16 ปี ผมมีปัญหาบางอย่างที่หัวเข่า จึงไม่สามารถวิ่งได้เร็วเหมือนเมื่อก่อนได้”

“ผมต้องห่างจากฟุตบอลอยู่พักหนึ่ง และมีความคิดที่จะเลิกเล่นฟุตบอล แต่ยังฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อรอโอกาสอย่างอดทน ใช้เวลารอคอยถึง 6 เดือนก็ได้กลับมาเป็นนักฟุตบอลอีกครั้ง”

หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในทีมเยาวชนในฝรั่งเศสนานถึง 12 ปี โอบาเมยองก็ได้รับประสบการณ์ใหม่กับทีมเยาวชนของเอซี มิลาน แต่ไม่ได้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ ถูกปล่อยยืมตัวให้กับลีลล์, ดิฌง และโมนาโก

ต่อมาในปี 2011 โอบาเมยองย้ายกลับไปค้าแข้งในลีกบ้านเกิด กับแซงต์ เอเตียน คว้าแชมป์เฟรนช์ ลีก คัพ ปี 2013 ก่อนที่จะไปผจญภัยในเยอรมนี กับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ คว้าแชมป์เดเอฟเบ โพคาล ในปี 2017

ส่วนการรับใช้ทีมชาติ ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยอง มีทางเลือกทั้งฝรั่งเศส, สเปน ตามสัญชาติของคุณแม่ แต่ท้ายที่สุดเจ้าตัวตัดสินใจเลือกเล่นให้กาบอง ตามสัญชาติของคุณพ่อ

ภาพจาก : https://web.facebook.com/fcbarcelona

ปัญหาเรื่องวินัยที่อาร์เซน่อล

หลังจากผ่านประสบการณ์ค้าแข้งในลีกเอิง ฝรั่งเศส และบุนเดสลีกา เยอรมนี ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยอง ก็ตัดสินใจย้ายมาร่วมทีมอาร์เซน่อล ในช่วงเดือนมกราคม 2018 ด้วยค่าตัว 56 ล้านปอนด์

เมื่อย้ายมาอยู่ในถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมได้ไม่นาน โอบาเมยองก็แสดงให้เห็นถึงการเป็นหนึ่งในดาวยิงที่ทำผลงานดีสุดในพรีเมียร์ลีก ด้วยการยิงไปถึง 6 ประตู จากการลงเล่นในพรีเมียร์ลีก 7 นัดแรก

ภาพจาก : https://web.facebook.com/Arsenal

โอบาเมยอง เป็นนักเตะอาร์เซน่อลที่อยู่ภายใต้การทำงานของผู้จัดการทีม 3 คน ทั้งอาร์แซน เวนเกอร์, อูไน เอเมรี่ และกุนซือคนปัจจุบันอย่างมิเกล อาร์เตต้า ที่เข้ามารับหน้าที่ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2019

อาร์เซน่อลในยุคของอาร์เตต้า ถือเป็นช่วงเวลาที่โอบาเมยองโชว์ฟอร์มได้ดีที่สุด และมักจะทำประตูสำคัญพาทีมคว้าแชมป์ถึง 2 รายการ ทั้งเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศกับเชลซี และคอมมูนิตี้ ชิลด์ กับลิเวอร์พูล

หลังจากคว้าแชมป์คอมมูนิตี้ ชิลด์ โอบาเมยองประกาศต่อสัญญาฉบับใหม่กับ “เดอะ กันเนอร์ส” โดยมีผลจนถึงปี 2023 ซึ่งอาร์เตต้า เป็นคนสำคัญที่เกลี้ยกล่อมให้เขาตัดสินใจอยู่ค้าแข้งที่ลอนดอนต่อไป

แต่ทว่า สิ่งที่ทำให้อาชีพนักฟุตบอลของโอบาเมยองมีปัญหา คือเรื่องของความประพฤติที่ไม่เหมาะสม เขามีประวัติด้านลบติดตัวมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะดอร์ทมุนด์ และก็ยังทำแบบเดิมกับอาร์เซน่อล

ในเกมนอร์ท ลอนดอน ดาร์บี้กับสเปอร์ส เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว โอบาเมยองมาถึงสนามเป็นคนสุดท้าย จึงถูกดร็อปเป็นตัวสำรอง และหลังจากจบเกมที่อาร์เซน่อลชนะ 2 – 1 เขาก็กลับออกไปเป็นคนแรก

หรือเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โอบาเมยองถูกอาร์เตต้าตัดชื่อออกจากทีมหลายนัด แถมถูกปลดจากตำแหน่งกัปตันทีมด้วย หลังจากเดินทางไปเยี่ยมครอบครัวที่ฝรั่งเศส แต่กลับมาไม่ทันตามกำหนด

ภาพจาก : https://web.facebook.com/Arsenal

นอกจากนี้ โอบาเมยองยังหลุดจากทีมชาติกาบอง ชุดสู้ศึกแอฟริกัน เนชันส์ คัพ เมื่อเดือนที่แล้ว ท่ามกลางข่าวลือที่ว่าเขาหนีเที่ยวระหว่างอยู่ในแคมป์ทีมชาติ และเมากลับมาจนมีเรื่องกับพนักงานโรงแรม

และท้ายที่สุด อาร์เซน่อลตัดสินใจยกเลิกสัญญากับปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยองที่เหลืออยู่ 18 เดือน เพื่อเปิดทางในการย้ายไปอยู่กับบาร์เซโลน่า ทันเวลาเส้นตายของตลาดนักเตะหน้าหนาวที่ผ่านมา

ของขวัญที่ส่งมาจากสววรค์

เมื่อปี 2016 ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยอง เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า สักวันหนึ่งเขาจะได้เล่นให้กับทีมชั้นนำของลาลีกา สเปน และในที่สุดฝันของเขาเป็นจริงแล้วในการย้ายไปอยู่กับบาร์เซโลน่า

โอบาเมยอง ลงเล่นเพียงไม่กี่นัดก็โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยม เริ่มจากเหมาแฮตทริก ในนัดที่บุกถล่มบาเลนเซีย 4 – 1 ต่อด้วยยิงใส่แอธเลติก บิลเบา กับโอซาซูน่า ทีมละ 1 ประตู ในเกมที่จบลงด้วยชัยชนะ 4 – 0 ทั้ง 2 นัด

ภาพจาก : https://web.facebook.com/fcbarcelona

สำหรับนัดที่เอาชนะบาเลนเซียถึงเมสตาย่านั้น โอบาเมยอง สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักเตะคนแรกในศตวรรษที่ 21 ที่ทำแฮตทริกได้กับสโมสรใน 4 ลีกใหญ่ของยุโรป (อังกฤษ, เยอรมัน, ฝรั่งเศส และสเปน)

ส่วนนัดที่ถล่มโอซาซูน่า โอบาเมยอง เป็นนักเตะคนแรกนับตั้งแต่ปี 2009 ที่ยิง 5 ประตู จาก 6 นัดแรกในลาลีกา ซาบี้ เอร์นานเดซ กุนซือของบาร์ซ่า ได้กล่าวหลังจบเกมว่า “เขาคือของขวัญจากสวรรค์ที่ตกอยู่ในมือของเรา”

“เขาปรับตัวเข้ากับทุกอย่างที่นี่ได้เร็วเหลือเชื่อ ผลงานในสนามก็ยอดเยี่ยมสุด ๆ ทั้งมีอิทธิพลในทีมอย่างสูง แถมยิงประตูได้ดีด้วย ผมมีความสุขมากที่ได้ร่วมงานกับนักเตะระดับโลกแบบเขา”

นอกจากนี้ อดีตแข้งอาร์เซน่อลยังทำประตูได้ในยูโรป้า ลีกด้วย โดยยิง 1 ประตูในนัดที่บุกชนะนาโปลี4 – 2 และยิงประตูชัยในนัดที่บุกชนะกาลาตาซาราย 2 – 1 ช่วยให้บาร์ซ่า ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย

และล่าสุด ในเกม “เอล กลาซิโก้” เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ดาวเตะชาวกาบองวัย 33 ปี ทำคนเดียว 2 ประตู และ 1 แอสซิสต์ ช่วยให้เจ้าบุญทุ่ม บุกไปถล่มราชันชุดขาว ถึงซานติอาโก้ เบอร์นาเบว 4 – 0

เมื่อโอบาเมยองทำประตูได้ เขามักจะฉลองด้วยการตีลังกา ซึ่งท่าดีใจของเขานั้น ได้แบบอย่างมาจากฮูโก้ ซานเชซ สุดยอดตำนานดาวยิงจอมตีลังกาทีมชาติเม็กซิโก ซึ่งเป็นนักเตะคนโปรดของคุณปู่ของเขา

ภาพจาก : https://web.facebook.com/fcbarcelona

โอบาเมยอง ถือเป็นความหวังใหม่ในแนวรุกอย่างแท้จริง หลังลงสนามให้กับบาร์ซ่าไปเพียงแค่ 11 นัดรวมทุกรายการ แต่ยิงไปแล้วถึง 9 ประตู กลายเป็นขวัญใจของแฟนๆ อาซุลกราน่าอย่างรวดเร็ว

การเข้ามาของโอบาเมยอง ทำให้ซาบี้ เอร์นานเดซ เหมือนที่จะค้นพบจุดที่ลงตัวมากขึ้น ทีมเริ่มกลับมาเข้ารูปเข้ารอย ถึงแม้จะต้องใช้เวลาพอสมควร แต่บาร์ซ่าในฤดูกาลหน้าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นแน่นอน

ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยอง กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ดี หลังจากอดีตที่เลวร้ายกับอาร์เซน่อลได้ผ่านไปแล้ว แน่นอนว่าแฟนๆ บาร์เซโลน่า ย่อมหวังว่าตัวเขาจะรักษาวินัย และผลงานที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ไปเรื่อยๆ

Author : จักรพันธ์ ภู่ทอง

Photo : talkSPORT

อ้างอิง :

https://theathletic.com/3160192/2022/03/14/aubameyang-at-barcelona-the-gift-from-heaven-that-perfectly-fits-xavis-tactical-evolution/

– https://theathletic.com/2449417/2021/03/15/aubameyang-drove-away-in-ferrari-as-arsenal-team-mates-warmed-down-after-spurs-win/

https://www.arsenal.com/news/pierre-emerick-aubameyang-my-own-words

Categories
Special Content

แรงน้อยแต่ใจใหญ่ : “หลุยส์ ดิอาซ” นักเตะผอมแห้งสู่ดาวดวงใหม่ของลิเวอร์พูล

หลุยส์ ดิอาซ ปีกทีมชาติโคลัมเบียวัย 25 ปี ประเดิมลงสนามนัดแรกให้กับลิเวอร์พูลเป็นที่เรียบร้อย โดยถูกเปลี่ยนลงมาเป็นสำรองในเกมเอฟเอ คัพ ที่เอาชนะคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ 3 – 1 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

แต่กว่าจะถึงวันนี้ ดิอาซต้องต่อสู้กับรูปร่างที่ผอมแห้ง เนื่องจากในวัยเด็กมีภาวะขาดสารอาหาร แต่สามารถพิสูจน์ตัวเอง จนกลายเป็นนักเตะที่ได้ร่วมงานกับหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกได้สำเร็จ

แล้วเส้นทางสู่การเป็นนักฟุตบอลของดิอาซเป็นอย่างไร ? วันนี้เพจ “ไข่มุกดำ” จะมาขยายให้ฟังกันครับ

เติบโตในเมืองที่แร้นแค้น

หลุยส์ ดิอาซ เกิดที่เมืองบาร์รานกาส ที่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของโคลัมเบีย ติดชายแดนเวเนซูเอลา ครอบครัวของเขาเป็นชนเผ่าวายู ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ

ชีวิตในวัยเด็กของดิอาซต้องเผชิญกับความแร้นแค้น เพราะในพื้นที่นั้นถือเป็นพื้นที่ที่เกิดภาวะขาดแคลนสารอาหารในอันดับต้น ๆ ของประเทศ มีเด็ก ๆ เสียชีวิตจากภาวะดังกล่าวหลายพันคน.ซึ่งสาเหตุที่เมืองบาร์รานกาส เป็นเมืองที่ยากไร้ด้านอาหาร เนื่องจากมีเหมืองถ่านหินเซร์เรโอน ที่ปล่อยมลพิษออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้เด็ก ๆ ที่อาศัยในย่านนั้นได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นั่นทำให้ดิอาซมีร่างกายที่ผอมแห้ง เนื่องจากขาดสารอาหาร แต่กลับได้เข้าสู่เส้นทางนักเตะแบบคาดไม่ถึง เพราะไปเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลระหว่างชนเผ่าพื้นเมือง เมื่อปี 2015 ขณะมีอายุ 17 ปี

และถือเป็นความโชคดีของดิอาซ ที่ฟอร์มการเล่นของเขาไปเข้าตาคาร์ลอส วัลเดอร์ราม่า สุดยอดดาวเตะตำนานหัวฟู ทีมชาติโคลัมเบีย ที่ได้เข้ามาชมการแข่งขันในทัวร์นาเมนท์ดังกล่าวด้วย

ถึงแม้ว่าศึกลูกหนังชนเผ่าในครั้งนั้น โคลัมเบีย ทีมของดิอาซ จะแพ้ปารากวัยในนัดชิงชนะเลิศ แต่ถือเป็นใบเบิกทางครั้งสำคัญในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ซึ่งจะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล

เส้นทางในระดับอาชีพ

ไม่น่าเชื่อว่า จากเด็กที่มีภาวะขาดสารอาหาร และแทบจะไม่ค่อยได้ออกจากหมู่บ้าน แต่หลุยส์ ดิอาซ ก็ฝ่าฟันกับอุปสรรคต่างๆ อีกทั้งแสดงความสามารถออกมาให้ทุกคนเห็น จนได้มาเป็นนักฟุตบอลอาชีพสมความตั้งใจ

สโมสรแรกของดิอาซในระดับอาชีพคือ บาร์รานกีย่า ทีมระดับดิวิชั่น 2 ของโคลัมเบีย แต่สิ่งที่เขาต้องทำเป็นอย่างแรกคือ เข้าโปรแกรมเพิ่มน้ำหนักขึ้นอีก 10 กิโลกรัม เพื่อให้สามารถรับมือการปะทะกับนักเตะทีมคู่แข่ง

เมื่อร่างกายค่อยๆ เข้าที่ ดิอาซก็โชว์ฟอร์มอย่างโดดเด่น ลงเล่น 34 นัด ทำได้ 3 ประตู จนได้รับโอกาสให้ไปค้าแข้งกับสโมสรที่ใหญ่ขึ้นอย่างแอตเลติโก จูเนียร์ ทีมในลีกสูงสุดอีก 2 ปี ลงเล่น 67 นัด ทำได้ 15 ประตู

ด้วยฝีเท้าที่จัดจ้านของดิอาซ ทำให้เจ้าตัวได้รับความสนใจจากหลายสโมสรในยุโรป และเป็นปอร์โต้ ยักษ์ใหญ่แห่งลีกโปรตุเกส ที่ได้ตัวมาร่วมทีมด้วยค่าตัวเพียงแค่ 7 ล้านยูโร เมื่อเดือนกรกฎาคม 2019

2 ฤดูกาลครึ่งกับปอร์โต้ ดิอาซโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรง ทำได้ 41 ประตู 20 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 125 นัดรวมทุกรายการ ทำให้เขาตกเป็นเป้าหมายของหลายทีมยักษ์ใหญ่ในระดับท็อปลีกของยุโรป

ส่วนผลงานกับทีมชาติโคลัมเบีย ลงเล่น 33 นัด ยิง 7 ประตู ผลงานสร้างชื่อคือโคปา อเมริกา ปี 2021 ที่ยิงได้ 4 ประตู ครองตำแหน่งดาวซัลโวประจำรายการร่วมกับลิโอเนล เมสซี่ ซูเปอร์สตาร์ทีมชาติอาร์เจนติน่า

สไตล์การเล่นของดิอาซ เป็นปีกที่เล่นได้ดีทั้งเท้าซ้ายและขวา มีความคล่องตัวสูง พาบอลทะลุทะลวงเจาะเกมรับคู่แข่ง อีกทั้งสามารถทำประตูได้ในทุกระยะ และกลายเป็นนักเตะใหม่ของลิเวอร์พูลในปัจจุบัน

ยินดีต้อนรับสู่อังกฤษ

เจอร์เก้น คล็อปป์ นำลิเวอร์พูลพบกับปอร์โต้ ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ฤดูกาลนี้ และประทับใจฟอร์มการเล่นของหลุยส์ ดิอาซ จึงตัดสินใจดึงตัวมาในช่วงตลาดนักเตะเดือนมกราคมที่ผ่านมา ด้วยค่าตัว 37 ล้านปอนด์

แต่สำหรับแฟนบอลของปอร์โต้แล้ว ด้วยศักยภาพของเขาที่มีอยู่เต็มเปี่ยม มันควรจะได้ค่าตัวที่มากกว่านี้ ซึ่งยูริโก้ โกเมส อดีตตำนานนักเตะปอร์โต้ ถึงกับออกมาบอกว่า “ลิเวอร์พูลซื้อดิอาซไปในราคาที่ถูกแบบเหลือเชื่อ”

ในที่สุด โอกาสของดิอาซในการลงเล่นกับลิเวอร์พูลเป็นครั้งแรกก็มาถึง ในเกมเอฟเอ คัพ รอบ 4 ที่เปิดบ้านพบกับคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทนเคอร์ติส โจนส์ ในนาทีที่ 58

และเพียงแค่นัดแรก ดาวเตะชาวโคลัมเบียคนแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ก็แสดงถึงความมุ่งมั่นออกมาให้เห็น ด้วยการวิ่งหาช่องจนมีส่วนร่วมกับประตู 2 – 0 ของทาคุมิ มินามิโนะ ในนาทีที่ 68 หรือ 10 นาทีหลังจากได้ลงสนาม

อย่างไรก็ตาม ช่วงท้ายเกม ดิอาซขึ้นแย่งโหม่งกับกองหลังคาร์ดิฟฟ์ แล้วจังหวะที่ลงพื้นนั้น ถูกนักเตะคู่แข่งย่ำที่ต้นขา แต่โชคดีที่ไม่เจ็บมาก ทำเอาเจอร์เก้น คล็อปป์ ถึงกับกล่าวติดตลกว่า “ยินดีต้อนรับสู่ประเทศอังกฤษ !”

เรื่องราวของหลุยส์ ดิอาซ ถือเป็นแรงบันดาลใจสำหรับคนที่มีอุปสรรคด้านร่างกาย แต่มีความฝันที่จะเป็นนักฟุตบอล และเขาได้เริ่มต้นการเรียนรู้สำหรับการต่อสู้กับหนึ่งในลีกฟุตบอลที่โหดหินอย่างพรีเมียร์ลีกแล้ว

✍ : จักรพันธ์ ภู่ทอง

📷 : 101 Great Goals

อ้างอิง : https://www.telegraph.co.uk/…/luis-diaz-went…/

#ไข่มุกดำ

#KMDFeature

#Liverpool

#หลุยส์ดิอาซ