Categories
Special Content

ฟอเรสต์ ของจริงหรือภาพลวงตา ย่ำรอยเท้าทีมเลสเตอร์ 2015-16

สัปดาห์เดียวกับที่แมนฯซิตีแพ้บอร์นมัธ 1-2 และอาร์เซนอลแพ้นิวคาสเซิล 0-1 ส่งผลให้ทั้งสองตามหลังจ่าฝูง ลิเวอร์พูล 2 และ 7 คะแนนตามลำดับ หลังจากพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2024-24 แข่งขัดนัดที่ 10

ทีมที่แทรกอยู่เป็นอันดับ 3 ตามแมนฯซิตี 4 คะแนน และนำอาร์เซนอล 1 คะแนน ไม่ใช่ “บิ๊ก 6” อย่างแมนฯยูไนเต็ด, เชลซี หรือสเปอร์ส แม้กระทั่งทีมที่มาแรงอย่างวิลลาหรือไบรท์ตัน แต่เป็น “นอตติงแฮม ฟอเรสต์” ซึ่งหนีการตกชั้นได้ฉิวเฉียดเมื่อซีซันที่ผ่านมา

เริ่มมีคำถามว่า ฟอเรสต์ ซึ่งกลับขึ้นมาเล่นลีกสูงสุดเป็นปีที่ 3 จะสร้างประวัติศาสตร์ได้เหมือน “เลสเตอร์ ซิตี” เมื่อปี 2016หรือไม่

ตอนนี้ ฟอเรสต์ยืนแป้นอันดับ 3 ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1998 หลังจากชนะพรีเมียร์ลีกติดต่อกัน 3 นัดเป็นครั้งแรกนับจากปี 1999 โดยชนะพาเลซ 1-0, ชนะเลสเตอร์ 3-1 และชนะเวสต์แฮม 3-0

การลงสนาม 10 นัดแรกของฟอเรสต์เป็นเสมือนภาพเลสเตอร์บนกระจกเงาเมื่อครั้ง “เดอะ ฟอกซ์” คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก2015-16 ทั้งที่เคยถูกวางแต้มต่อ 5,000-1 โดยฟอเรสต์และเลสเตอร์ต่างออกสตาร์ทด้วยชัยชนะ 5 นัด, เสมอ 4 นัด และแพ้เพียง 1 นัด ต่างกันตรงที่ฟอเรสต์เก็บคลีนชีทได้มากกว่าทีมของเคลาดิโอ รานิเอรี ทำไว้เมื่อ 9 ปีที่แล้ว 3 นัด และมีผลต่างประตูได้เสียเหนือกว่า 7 ลูก

ขณะที่ คริส วูด กองหน้าวัย 32 ปี สวมร่างทรงของเจมี วาร์ดี ทำ 8 ประตูจาก 10 นัด รั้งอันดับ 2 ดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกร่วมกับ ไบรอัน เอ็มเบอโม ของทีมเบรนท์ฟอร์ด เป็นรอง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ทีมแมนฯซิตี 3 ประตู อีกทั้งฟอเรสต์ยังเสียแค่ 7ประตู น้อยเป็นอันดับ 2 รองจากลิเวอร์พูล 1 ประตู 

ขอบคุณภาพจาก  https://www.bbc.com/sport/football/articles/c8rxrg8n1j4o

วูดและมิเลนโควิชสร้างอิมแพค 2 ฝั่งสนาม

พรีเมียร์ลีก 2023-24 วูดทำ 14 ประตู เป็นดาวซัลโวสูงสุดของสโมสร นำอันดับ 2 คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย 6 ประตู ถึงกระนั้นฟอเรสต์ยังพยายามเสริมเขี้ยวเล็บในแดนหน้าในตลาดซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่พลาด 2 เป้าหมายสำคัญได้แก่ เอดดี เอนเคเทียห์ ซึ่งย้ายจากอาร์เซนอลไปอยู่พาเลซ และ ซานติอาโก ฆิเมเนซ ซึ่งตัดสินใจอยู่เฟเยนูร์ดต่อไป

นูโน เอสปิริโต ซานโต ผู้จัดการทีม เคยให้สัมภาษณ์เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า “ในตลาดซื้อขาย เรามองหาหลายตัวเลือกที่สามารถช่วยทีมได้ หัวใจหลักคือมองหานักเตะที่สามารถพัฒนาทีม และคนนั้นต้องการเล่นให้ทีมเราด้วย เป็น 2ประเด็นที่มีความสำคัญอย่างมาก”

แต่ฟอร์มต้นซีซันของวูดช่วยปัดเป่าความหวั่นวิตกของฟอเรสต์ให้หายไปได้ระดับหนึ่ง เพราะ 14 ประตูจากพรีเมียร์ลีก 10นัดแรก เป็นผลงานของสไตรเกอร์ทีมชาตินิวซีแลนด์ถึง 8 ประตู 

นับตั้งแต่ย้ายจากนิวคาสเซิลมาร่วมทีมฟอเรสต์อย่างถาวรในเดือนมิถุนายน 2023 วูดทำ 22 ประตูจาก 30 นัดที่ลงตัวจริงในพรีเมียร์ลีก ซึ่ง 19 ประตูจากจำนวนดังกล่าวเกิดขึ้นนับจากกุนซือโปรตุกีสเข้ามาคุมทีมเจ้าป่าในเดือนธันวาคม 2023 และมีเพียงฮาลันด์คนเดียวที่ทำสกอร์ที่ไม่ใช่ลูกโทษมากกว่า 18 ประตูที่วูดทำได้นับตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2023

วูดยังมีสถิติ best conversion rate 32.8% สูงเป็นอันดับ 4 ในพรีเมียร์ลีกนับจากนูโนเข้าทำงานในซิตี กราวน์ และทำผลงานได้เหนือกว่าค่า xG หรือความเป็นไปได้ของประตูที่ควรเกิดขึ้น (14.04) เกือบ 5 ประตู

นอกจากให้นั่งเก้าอี้สำรองตลอดแมตช์ คาราบาว คัพ รอบ 2 ซึ่งแพ้จุดโทษต่อนิวคาสเซิล 4-5 นูโนส่งวูดลงเป็นตัวจริงทั้ง 10นัดแรกของพรีเมียร์ลีก แม้ยืนครบ 90 นาทีแค่ 2 นัด แต่มีเวลารวม 807 นาที หรืออยู่ในสนามเฉลี่ยนัดละ 80 นาที ถึงกระนั้นนูโนยังยืนกรานไม่ผ่อนปรนให้สตาร์วัย 32 ปีหลังกลับมาจากการเล่นให้ทีมชาติ เพราะมั่นใจวูดมีเลือดนักสู้และพร้อมเสมอที่จะลงสู้เพื่อสโมสร

ขณะที่วูดเป็นกำลังสำคัญของเกมบุก แต่ฝ่ายบริหารของฟอเรสต์มักเน้นย้ำเสมอในความเชื่อที่ว่า รากฐานของทีมต้องเริ่มต้นจากการป้องกัน

มัทซ์ เซลส์ นายทวารเบลเยียมวัย 32 ปี ซึ่งย้ายมาจากสตารส์บูร์กในตลาดฤดูหนาวที่ผ่านมา ทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยม ทำคลีนชีทไปแล้ว 4 นัดในพรีเมียร์ลีกซีซันนี้ สูงเป็นอันดับ 1 ร่วมกับ อองเดร โอนานา ทีมแมนฯยูไนเต็ด และ อลีสซง เบคเกอร์ ทีมลิเวอร์พูล

แต่การเซ็นสัญญากับ นิโกลา มิเลนโควิช จากฟิออเรนตินาเมื่อกลางกรกฎาคม 2024 ด้วยราคาไม่ถึง 12 ล้านปอนด์ ถือเป็นการลงทุนที่เกินจุดคุ้มทุนไปแล้ว ด้วยการฟอร์มปราการหลังที่แข็งแกร่งคู่กับ มูริลโล เซ็นเตอร์แบ็คชาวบราซิล

เทียบกับซีซันที่แล้ว ซึ่งเสีย 23 ประตูจากลูกเซตพีซ มากกว่า 2 ทีมตกชั้น ลูตันและเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ทีมละ 4 ประตู แต่ซีซันนี้ ฟอเรสต์เพิ่งเสียไปเพียงประตูเดียว

ซีซันที่แล้ว ฟอเรสต์มีค่า xG จากลูกเซตพีซของคู่แข่ง 12.25 นั่นหมายถึงเสียจริงมากกว่าความน่าจะเป็นเกือบ 2 เท่า จุดอ่อนหนีไม่พ้นการป้องกันลูกเตะมุมและฟรีคิก ซึ่งต่างกับซีซันนี้ที่ตัวเลข xG against จากการตั้งเตะของคู่แข่งเท่ากับ 1.23 เท่านั้น

นิค มาชิเตอร์ ผู้สื่อข่าว บีบีซี สปอร์ตส์ มองว่าเป็นเพราะ “บิ๊กแมน” ทั้งในแดนหน้าและแดนหลัง ช่วยให้ฟอเรสต์เริ่มต้นฤดูกาล 2024-25 ได้อย่างยอดเยี่ยม

การปฏิวัติทีมฟอเรสต์เริ่มขึ้นในฤดูร้อนของปี 2022

แม้ดูเหมือนฟอเรสต์สามารถวิวัฒนาการขึ้นมาอย่างรวดเร็วจากทีมที่จบด้วยอันดับ 17 เมื่อซีซันที่แล้ว ซึ่งถูกลงโทษตัดแต้ม 4คะแนน (อุทธรณ์ไม่สำเร็จ) แต่มีผู้เล่น 7 คนที่เล่นนัดล่าสุด ชนะเวสต์แฮม 3-0 เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2024 ลงเป็นตัวจริงในการแข่งขันนัดปิดฤดูกาล 2023-24 ที่บ้านของเบิร์นลีย์

อีกทั้งตลาดซัมเมอร์ปี 2024 ที่ผ่านมา ฟอเรสต์เสริมผู้เล่นแค่ 6 คนเท่านั้น รวมถึงมิเลนโควิชและ เอลเลียต แอนเดอร์สันมิดฟิลด์จากนิวคาสเซิล ซึ่งสามารถเพิ่มคุณภาพให้ทีมชุดใหญ่ได้ทันที ขณะที่ตลาดซัมเมอร์ปี 2022 มีการซื้อนักเตะใหม่ถึง 22 คนหลังจากเพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่พรีเมียร์ลีกในฐานะทีมชนะเลิศแชมเปียนชิพ เพลย์ออฟ

นิค มาชิเตอร์ ให้ความเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้กับฟอเรสต์เป็นวิวัฒนาการไม่ใช่การปฏิบัติ แม้ทีมทำผลงานดีขึ้นผิดหูผิดตาในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่นูโนเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมแทน สตีฟ คูเปอร์ เนื่องจากการปฏิวัติได้เกิดขึ้นเมื่อกว่า 2 ปีที่แล้ว

มีข้อตกลงภายในซิตี กราวน์ ก่อนเริ่มซีซัน 2024-25 ไว้ว่า บอร์ดบริหารหวังให้ฟอเรสต์เป็นทีมที่ไม่มีตัวตน และขอเพียงจบฤดูกาลด้วยอันดับกลางตารางพรีเมียร์ลีก เพื่อไม่ให้ทีมตกเป็นเป้าสนใจของสื่อมวลชนหลังจาก 2 ซีซันที่ผ่านมาเต็มไปด้วยบรรยากาศการดิ้นรนหนีตกชั้น ข้อโต้แย้ง ความวุ่นวาย และข่าวฉาวโฉ

ซีซันที่แล้ว ฟอเรสต์โดนหัก 4 คะแนนในเดือนมีนาคม 2024 เนื่องจากละเมิด “กฎเพื่อการทำกำไรและความยั่งยืน” หรือ Profitability and Sustainability Rules (PSR) แต่แต้มสะสมยังเหลือมากกว่าทีมอันดับ 18 ลูตัน ทาวน์ 6 คะแนน และ 1เดือนต่อมา สโมสรได้โพสต์บนสื่อโซเชียล กล่าวหาผู้ตัดสินวีเออาร์ว่าลำเอียงในการแข่งขันกับเอฟเวอร์ตัน ส่งผลให้ถูกปรับ 750,000 ปอนด์

อย่างไรก็ตาม ฟอเรสต์ยังไม่มีช่วงเวลาเงียบสงบสมความตั้งใจเมื่อ เอวานเจลอส มารินาคิส เจ้าของสโมสรชาวกรีซวัย 57ปี ทำความผิดในข้อหาประพฤติตัวไม่เหมาะสมจากการถ่มน้ำลายลงบนพื้นบริเวณใกล้ผู้ตัดสินใจหลังจบแมตช์แพ้ฟูแลม 0-1 เมื่อปลายกันยายนที่ผ่านมา และยื่นอุทธรณ์ไม่สำเร็จ ถูกแบน 5 นัด

นอกจากนี้ ฟอเรสต์ยังตกเป็นเป้าสนใจของสื่อมวลชนเมื่อทะยานขึ้นมาอยู่อันดับ 3 หลังพรีเมียร์ลีกเตะ 10 นัด

การกลับมาฟื้นคืนชีพในพรีเมียร์ลีกของนูโน

นูโนกลับมาทำงานพรีเมียร์ลีกหลังไปคุมทีมในซาอุดิ อาระเบีย ท่ามกลางแฟนบอลบางส่วนของฟอเรสต์ที่ไม่มั่นใจกับการทำหน้าที่แทนคูเปอร์เมื่อเดือนธันวาคม 2023 แม้พา อัล อิติตฮัต ครองแชมป์ซาอุดิ โปรลีก และซูเปอร์คัพ เนื่องจากก่อนหน้าน นูโนล้มเหลวกับการคุมทีมทอตแนม ฮอตสเปอร์ เพียง 17 นัดเมื่อปี 2021

อดีตกุนซือบาเลนเซียและปอร์โตสร้างชื่อเสียงขึ้นมาระหว่างเข้ามาคุมทีมวูลฟ์แฮมป์ตันเป็นเวลา 4 ปี แต่ต้องอำลาโมลินิวซ์เมื่อไม่สามารถรักษาระดับความคาดหวังหลังจากเคยพาทีมขึ้นมาจากแชมเปียนชิพ และเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ ยูโรปา ลีก ถึงกระนั้นนูโนสามารถพัฒนาทีมที่ดีขึ้นมาได้ รวมถึงปลุกปั้น รูเบน เนเวส ซึ่งเคยร่วมงานกันที่ปอร์โต

นิค มาชิเตอร์ มั่นใจว่านูโนกำลังทำงานลักษณะเดียวกันอย่างช้าๆที่ซิตี กราวน์ หลังจากได้นักเตะซีเนียร์เข้ามา 6 คน รวมถึงมิเลนโควิช ซึ่งช่วยให้แผงหลังฟอเรสต์แข็งแกร่งขึ้น เสียไปแค่ 7 ประตู มากกว่าลิเวอร์พูลทีมเดียวในพรีเมียร์ลีกขณะนี้

นูโนได้รับการยกย่องด้านความสามารถในการวางแผนการเล่นอย่างพิถีพิถัน ซึ่งช่วยให้ผลงานของฟอเรสต์ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ส่วนหนึ่งกุนซือวัย 50 ปี ได้รับประโยชน์จากรากฐานที่คูเปอร์สร้างและทิ้งไว้ให้

คูเปอร์มีส่วนสำคัญในการเซ็นสัญญากับ มอร์แกน กิบบ์ส-ไวท์ ซึ่งอยู่ในทีมชาติอังกฤษชุดแชมป์โลก ยู17 ขณะที่คูเปอร์เป็นผู้จัดการทีม และยังเป็นคนพาวูดเข้าสู่สโมสร และช่วยรักษาดาวยิงทีมชาตินิวซีแลนด์ให้ยังค้าแข้งในพรีเมียร์ลีกต่อไป

ฟอเรสต์ตามรอยความสำเร็จของเลสเตอร์

แต่คำถามคือ ฟอเรสต์จะยังรักษาฟอร์มเก่งเพื่อกลายเป็น “ซินเดอเรลลา” เหมือนอย่างเลสเตอร์เมื่อปี 2016 หรือไม่ เพราะจาก 10 นัดแรก ทีมของนูโนแข่งขันกับกลุ่ม 7 อันดับท้ายตารางถึง 5 ทีม ขณะที่ 3 ทีมคู่แข่งล่าสุดคือ พาเลซ, เลสเตอร์ และเวสต์แฮม ต่างออกสตาร์ทซีซันไม่ดีนัก อย่างไรก็ตาม ฟอเรสต์เป็นทีมเดียวที่เอาชนะลิเวอร์พูลได้ รวมถึงเสมอในบ้านของเชลซีและไบรท์ตัน

หลังจบเบรกทีมชาติเดือนพฤศจิกายน ฟอเรสต์ต้องไปเยือนอาร์เซนอล, แมนฯซิตี และแมนฯยูไนเต็ด และต้องเปิดสนามซิตี กราวน์ ต้อนรับวิลลาและสเปอร์สช่วงท้ายปี

ข้อมูลจาก Opta ระบุว่า ฟอเรสต์เป็นทีมที่มีโปรแกรม 10 นัดแรกของพรีเมียร์ลีกซีซันนี้ง่ายที่สุดเป็นอันดับ 4 แต่ 10 นัดต่อไป โปรแกรมจะยกระดับเป็นความยากที่สุดอันดับ 4 เริ่มจากการไปเยือนบ้านของนิวคาสเซิล ซึ่งเคยชนะฟอเรสต์ที่ซิตี กราวน์ ในคาราบาว คัพ เมื่อเดือนสิงหาคม 2024 

แน่นอนเมื่อพ้นเทศกาลคริสต์มาส ภาพของฟอเรสต์จะชัดเจนขึ้นว่า ยังเป็นทีมที่ดีพอต่อการเป็นม้ามืดลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกหรือไม่

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Special Content

3 ปัญหาที่อาร์เตตาต้องเร่งแก้ไข พาอาร์เซนอลกลับเส้นทางลุ้นแชมป์

ก่อนการแข่งขันพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2024-25 เริ่มขึ้น หลายคนเชื่อว่าการแย่งถ้วยรางวัลจะเป็นการต่อสู้ระหว่าง แมนชสเตอร์ ซิตี กับ อาร์เซนอล แต่เมื่อแชมป์เก่าเสียโรดรีเพราะบาดเจ็บยาว ส่งผลให้ “เดอะ กันเนอร์ส” เลื่อนขึ้นมาเป็นเต็ง 1

แต่เมื่อผ่านไป 10 นัด อาร์เซนอลกลับหล่นมาอันดับ 5 อยู่ต่ำกว่า นอตติงแฮม ฟอเรสต์ และ เชลซี ตามหลังจ่าฝูง ลิเวอร์พูล 7 คะแนน และ แมนฯซิตี 5 คะแนน

สถานการณ์ตอนนี้สั่นคลอนความหวังของเหล่า “เดอะ กูนเนอร์ส” ที่จะได้สัมผัสแชมป์พรีเมียร์ลีกหลังห่างเหินกว่า 2ทศวรรษ บวกกับการลาออกของคีย์แมน เอดู ผู้อำนวยการฝ่ายกีฬาของสโมสร ทำให้อะไรดูแย่ลงไปอีก รวมถึงการเริ่มไม่มั่นใจต่อแผนการสร้างทีมระยะยาวและแทคติกของ มิเกล อาร์เตตา

ลี สกอตต์ และ โทนี โรเบิร์ตสัน ร่วมกันวิเคราะห์และมองปัญหาทางแทคติกของอาร์เตตาผ่านสื่อใหญ่อังกฤษ “เดอะ ซัน” ไว้ 3 ข้อ ซึ่งอาจช่วยพลักดันอาร์เซนอลกลับเข้าสู่เส้นทางลุ้นแชมป์ลีกเมืองผู้ดีอีกครั้ง

ขาดผู้เชี่ยวชาญในการพาบอลไปข้างหน้า

หากเปรียบเทียบกับแมนฯซิตีที่อ่อนลงเพราะไม่มีโรดรี อาร์เซนอลก็ประสบปัญหาเดียวกับเนื่องจากขาด มาร์ติน โอเดการ์ดที่ต้องหยุดพักรักษาข้อเท้า ไม่ต้องสงสัยเลยอาร์เตตาต้องคิดถึงการผ่านบอลและพาบอลไปข้างหน้าจากพื้นที่กลางสนามของโอเดการ์ดอย่างแน่นอน

ระหว่างนี้ มิดฟิลด์กลางสนามอยู่ในความรับผิดชอบของ เดแคลน ไรซ์ และ มิเกล เมริโน ซึ่งเพิ่งย้ายมาจาก เรอัล โซเซียดาด ในตลาดซัมเมอร์ที่ผ่านมา ทั้งสองเป็นกองกลางที่มีร่างกายแข็งแกร่ง แต่คุ้นเคยกับการอยู่หลังบอลในพื้นที่ที่สามารถรับและครองบอลต่อไป

ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2023-24 ที่เซนต์เจมส์ ปาร์ค ซึ่งอาร์เซนอลแพ้นิวคาสเซิล 0-1 เลอันโดร ทรอสซาร์ด ทำหน้าที่ผสมผสานระหว่างเบอร์ 10 กับกองหน้าตัวต่ำ (second striker) ในจังหวะบุกด้วยระบบ 4-2-4 โดยโอเดการ์ดเล่นตำแหน่งเบอร์8 ตัวขวา ซึ่งสามารถลงมารับบอล จ่ายบอลทะลุแนว และหาพื้นที่ว่างในแดนฝ่ายตรงข้าม ซึ่งช่วยให้ทีมพาบอลเข้าไปยังโซน final third ได้

โอเดการ์ดยังรับมือความกดดันได้ดี สามารถเอาชนะกองกลางคู่แข่งในสถานการณ์ตัวต่อตัว แต่ตอนนี้ อาร์เซนอลไม่มีนักเตะลักษณะดังกล่าว อาจยกเว้น อีธาน เอ็นวาเนรี ดาวรุ่งวัย 17 ซึ่งมีคุณภาพคล้ายคลึงกันที่สุด

ช่วงที่อาร์เซนอลไม่มีโอเดการ์ดอยู่ในสนาม จะพบว่าคู่ต่อสู้หลายทีมมักถอยลงไปลึกขึ้นและตั้งรับกระชับแน่นหนาขึ้นในแบบ mid-block ซึ่งบีบให้ “เดอะ กันเนอร์ส” ต้องพยายามเจาะแนวรับที่แข็งแกร่ง ซึ่งกลายเป็นงานหนักเมื่อขาดผู้เล่นที่โดดเด่นด้าน ball progression จากกลางสนาม นั่นเป็นสิ่งที่คู่แข่งต้องการเพราะง่ายต่อการเพรสซิ่งเมื่ออาร์เซนอลจำเป็นต้องเล่นบอลไดเร็คมากขึ้น หรือไม่ก็ออกบอลไปทางด้านข้างของสนาม

ด้วยเหตุนี้ อาร์เตตาต้องเร่งหาวิธีลำเลียงบอลไปข้างหน้ามากขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำลายแนวรับฝ่ายตรงข้ามให้ได้

ไม่สามารถแนวรับแบบมิด-บล็อกของคู่แข่งขัน

กลางปี 2023 อาร์เซนอลทุ่มเงินกว่า 100 ล้านปอนด์ให้กับเวสต์แฮมเพื่อซื้อ เดแคลน ไรซ์ เข้ามายืนหน้าคู่เซ็นเตอร์แบ็ค วิลเลียม ซาลิบา และ กาเบรียล มากัลเญส เท่ากับอาร์เตตามีนักเตะ 3 คน ที่เพียบพร้อมด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งและความคล่องตัวในการเล่นทรานซิชัน ซึ่งทำให้คู่แข่งพบความยากลำบากที่จะทะลวงโจมตีอาร์เซนอล ซึ่งไม่ใช่เพียงจังหวะบิลด์อัพปกติ แต่รวมถึงเมื่อมีโอกาสเคาน์เตอร์แอทแทคด้วย

ดีลดังกล่าวทำให้อาร์เซนอลถูกมองว่า เป็นทีมที่พยายามเสริมเขี้ยวเล็บให้เกมรุก และหวังพลักดันผู้เล่นขึ้นไปยังแดนหน้ามากขึ้น แต่ตลาดซัมเมอร์ที่ผ่านมา อาร์เซนอลกลับเซ็นสัญญากับกองกลางที่มีความเก่งฉกาจในการดวลปะทะ (duels) เข้ามาเพิ่มอย่าง มิเกล เมริโน ไม่ใช่ผู้เล่นที่สามารถขึ้นไปยังพื้นที่ข้างบนเพื่อทำลายเกมรับฝ่ายตรงข้าม

แน่นอนอาร์เซนอลอุดมด้วยนักเตะที่ได้เปรียบด้านสภาพร่างกาย เหนือกว่าในด้านดวลปะทะทั้งเมื่อมีและไม่มีบอล แต่อีกด้านหนึ่งเป็นการลดทอนไอเดียสร้างสรรค์เกมรุก ซึ่งหมายความว่า เมื่อคู่ต่อสู้ถอยลงไปปักหลักป้องกันแบบ medium blockยินยอมให้อาร์เซนอละครองบอลได้มากกว่า แต่อาร์เซนอลก็ไม่มีผู้เล่นที่ดีและมากพอที่จะเจาะทะลวงเข้าไปสร้างอันตรายในพื้นที่ final third หรือกรอบเขตโทษ

สิ่งที่ตามมาคือ อาร์เซนอลต้องพึ่งการเล่นที่รวดเร็วบริเวณริมสนาม เห็นได้ชัดจากบทบาทที่มากขึ้นของ บูกาโย ซากา ปีกขวาทีมชาติอังกฤษ ซึ่งเท่ากับช่วยให้คู่ต่อสู้รู้แผนของอาร์เซนอลล่วงหน้า และสามารถเตรียมตัวเพื่อรับมือ

การมีไรซ์และเมริโนช่วยให้อาร์เซนอลมีฐานที่มั่นคง มีความแข็งแกร่งของร่างกาย และเหนือกว่าคู่แข่งในการเข้าดวลปะทะ แต่อีกมุมหนึ่งกลายเป็นว่าอาร์เตตาได้สร้างทีมที่ลดน้อยถอยลงทั้งความคล่องตัวและความหลากหลาย ไม่สามารถขับเคลื่อนทีมไปยังโซน advanced attacking ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ “เดอะ กันเนอร์ส” ไม่สามารถเก็บชัยชนะอย่างต่อเนื่องเหมือนมีโอเดการ์ดอยู่ในสนาม

คู่ต่อสู้ต่างเตรียมแผนรับมือการโจมตีทางขวา

บูกาโย ซากา มีทักษะความสามารถระดับโลก แต่บางครั้งก็เล่นได้แย่มาก แม้ซีซันนี้ ปีกขวาวัย 23 ปี มีผลงาน 4 ประตู 7แอสซิสต์จากการเล่น 12 นัดในพรีเมียร์ลีกและแชมเปียนส์ ลีก

ซากาเป็นกำลังสำคัญให้กับการโจมตีของอาร์เซนอล และสามารถทำให้หลายทีมพ่ายแพ้ด้วยตัวของเขาเอง ขณะเดียวกันคู่แข่งต่างตระหนักดีกว่า การคุมคามที่อันตรายของอาร์เซนอลมักมาจากฝั่งขวาของสนาม อาร์เซนอลจะพบปัญหาขึ้นทันทีเมื่อเจอทีมที่มีการโค้ชและวางระเบียบจัดการที่ดี พวกเขาสามารถปล่อยพื้นที่ด้านนั้นให้โดดเดี่ยว แล้วหันไปมุ่งกับการตัดช่องทางส่งบอลไปยังซากา คือไม่ปล่อยให้บอลไปถึงซากานั่นเอง

ดังนั้นเมื่ออาร์เซนอลได้บอลทางฝั่งขวา คู่แข่งมักอาศัยผู้เล่น 2 คน แม้กระทั่ง 3 คน เข้าเพรสซิ่ง และปิดกั้นช่องทางของซากา ขณะที่ฝั่งซ้าย กาเบรียล มาร์ติเนลลี เล่นแบบบอลไดเร็คมากกว่า แต่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าขณะครองบอลเมื่อนำไปเทียบกับซากา

ส่วนพื้นที่ตรงกลาง อาร์เซนอลก็ไม่มีผู้เล่นที่สามารถวิ่งขึ้นมาจากแนวลึกเพื่อสนับสนุนช่วยให้การรุกเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้ง่ายที่ฝ่ายตรงข้ามเข้าเพรสทางฝั่งขวาของอาร์เซนอล เป็นการจำกัดบทบาทของซากา

อาร์เตตาจึงจำเป็นต้องหาทางสร้างสรรค์การโจมตีจากตรงกลางและด้านซ้ายให้มากขึ้น เพื่อเป็นการปลดล็อกให้กับซากาโจมตีในพื้นที่อันตรายของตัวเขา

บทสรุป

ลี สกอตต์ และ โทนี โรเบิร์ตสัน ให้ความคิดเห็นร่วมกันตอนท้ายว่า อาร์เซนอลยังไม่หลุดพ้นการแข่งขันเพื่อลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่เห็นได้ชัดว่ามีปัญหาบางอย่างที่ต้องเร่งแก้ไข เพราะปัญหาเหล่านั้นทำให้ “เดอะ กันเนอร์ส” ตกอยู่ในความเสี่ยงมากจนเกินไป จากการยอมให้ผู้เล่นต้องเฝ้าระวังและป้องกันการคุกคามจากการสวนกลับเร็วของฝ่ายตรงข้าม แทนที่จะมอบอิสระให้ขึ้นไปมีส่วนร่วมกับการโจมตี

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Our Work

LALIGA Present Love (Barca) at First Sight #2 by ขวัญ ลามาเซีย

ผ่านไปแล้วแบบอบอุ่นและกันเอง กับงานมีตติ้งครั้งที่ 2 ของ “ขวัญ ลามาเซีย” เมื่อวันที่ 15กันยายน ที่ผ่านมา ณ ร้าน Hops and Hope craft bar ที่ รามอินทรา ในสนาม Golf Channel Center จัดงานมีตติ้ง ชวนรวมพลแฟนเพจมาพบปะ พูดคุย ทานอาหาร และเชียร์บอลไปด้วยกัน กับงาน “LALIGA Present Love (Barca) at First Sight #2” by ขวัญ ลามาเซีย ดูบอลคู่ระหว่าง จีโรน่า พบ บาร์เซโลน่า 

บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความอบอุ่น ดูบอลทานข้าว พูดคุยกันอย่างสนุกสนาม งานนี้ยังได้แขกรับเชิญสาวกบาร์ซ่ามาอย่าง เบน แฟนพันธ์แท้บาร์ซ่า ให้เกียรติมาร่วมงาน โดยมีตติ้งดูบอลครั้งนี้ จบลงด้วย ชัยชนะของบาร์เซโลน่า ที่บุกไปถล่ม จีโรน่า 4-1

ภายในงานยังมีของรางวัลมากมายจากผู้สนับสนุน ที่นำมาแจกแฟนเพจ ขวัญ ลามาเซัย ที่มาร่วมงาน ไม่ว่าจะเป็น รางวัลใหญ่อย่าง เสื้อ บาร์เซโลน่า พร้อมลายเซ็นตำนานอย่าง ‘ดาบิด บีย่า’, เสื้อแข่ง บาร์ซ่า ของแท้, เสื้อทีมชาติสเปน ปีฟุตบอลโลก ‘เปดรี้’, ของที่ระลึกจาก Laliga, พวงกุญแจ และอื่น ๆ อีกมากมาย 

งานนี้ต้องขอขอบคุณผู้สนับสนุนใจดี ไม่ว่าจะเป็น สปอนเซอร์ใหญ่อย่าง I AM Legend Thailand สำหรับของรางวัลใหญ่ในงาน, NT29 Racing Shop ร้านอะไหล่แต่งมอเตอร์ไซค์, Ari Football และbeIN SPORTS Thailand ที่ให้ของมาแจกมากมาย รวมไปถึง LALIGA ที่ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด และแน่นอนว่างานนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่มีเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ แฟนบาร์ซ่าทุกคน ที่ให้เกียรติมาเจอกัน มาร่วมเชียร์บอลด้วยกันกว่า 100 ชีวิต

จากงานนี้ หวังว่าทุกคนจะได้รับความสุข สนุกสนาน กันอย่างเต็มที่ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่อโอกาส จะได้กลับมาเชียร์ “บาร์ซ่า” แบบสุดเหวี่ยงอย่างนี้ด้วยกันอีก แล้วพบกันใหม่งานหน้า

ภาพบรรยากาศเพิ่มเติม : https://drive.google.com/drive/u/2/folders/18-h4QOD9nGMVVO35S2AnBvBAlphyTqIa

📝 ภาวินีย์ สูญสิ้นภัย (แนน)

Categories
Our Work

“ลาลีกา” ต้อนรับฤดูกาลใหม่ จัดมีตติ้งสื่อ, อินฟลูเอนเซอร์ สายกีฬา  เตะบอลกระชับมิตร คิกสตาร์ทสัญญาณความพร้อมซีซั่น 2024/25 สู่แฟนบอลไทยอย่างเป็นทางการ

“ลาลีกา ปะเทศไทย” จัดงานเปิดฤดูกาล 2024/25 ดูบอลมันส์ต่อเนื่องกับ บีอิน สปอร์ตส์ พร้อมเชิญสื่อ อินฟลูเอนเซอร์ และพาร์ทเนอร์ร่วมพบปะพูดคุยกัน ปิดท้ายความสนุกด้วยสีสันจากฟุตบอลเกมกระชับมิตร ระหว่างผู้บริหาร, อินฟลูเอนเซอร์ และสื่อมวลชน พร้อมร่วมรับประทานอาหารเย็น ต่อยอดมิตรภาพระหว่าง ลาลีกา ซึ่งมีสาขาในประเทศไทย ร่วมกับสื่อ และอินฟลูเอนเซอร์สายกีฬาของไทย” 

ลาลีกา ประเทศไทย จัดกิจกรรมเปิดฤดูกาลใหม่ 2024/25 งานอีเวนท์ที่จัดอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ ติดต่อกัน ฤดูกาลนี้มาในคอนเซ็ปต์พร้อมส่งต่อความสนุกสนาน สุดมันส์ ให้กับแฟนลาลีกาในไทย และทั่วโลก ผ่าน “บีอีน สปอร์ต” แพลตฟอร์มที่ได้รับสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดต่อไปอีก 3 ฤดูกาล ในเอเชียแปซิฟิก 

โดยงานเปิดฤดูกาลในประเทศไทย ถูกจัดขึ้น เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ที่ผ่านมา ณ สนาม Super Star Arena ลาดพร้าว 80 ประกอบด้วย พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ นำโดย Ari Football และ TikTok, อินฟลูเอนเซอร์ และสื่อมวลชนสายกีฬามากมาย มาร่วมจอยกันผ่านกิจกรรมเตะฟุตบอลกระชับมิตร ปิดท้ายด้วยงานเลี้ยงสังสรรค์แบบอบอุ่น และเป็นกันเองภายใต้การออร์กาไนซ์จัดงานโดยทีม “ไข่มุกดำ” KMD Sport Services

ทัพอินฟลูเอนเซอร์ถูกเชิญมามากมาย นำโดย เจมส์ ลาลีกา, จีโน่ เดอะสแน็ต, สีซอ ธีรเทพ, ขวัญ ลามาเซีย, พีชชงพีชชี่, ดูบอลกับแนท, Top4Thailand, มายด์ เปี๊ยกบางใหญ่, ทีมขอบสนาม, เพจ Real Madrid Thailand Fanclub, เพจ Real Betis Thailand แฟนคลับ เพจ เรอัล เบติส, Thai Football World, คิดไซด์โค้ง และเพื่อน ๆ สื่ออีกมากมาย 

พร้อมด้วยตัวแทนผู้บริหารจาก Ari Football และ Tiktok ประเทศไทยที่นำทีม TikTokers รุ่นใหม่มาแรงมาร่วมแจม อาทิ Bluemoon, Opalallin, โจ้ เต็มข้อ, เฟรนไม่รู้เรื่อง, Baggiopac และคนอื่น ๆ อีกมามาย เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย

สำหรับการรับชมฟุตบอลลาลีกาทาง บีอิน มีเดีย กรุ๊ป ได้บรรลุข้อตกลงการถ่ายทอดสดฟุตบอลลาลีกา สเปน ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ผ่านทางบีอิน สปอร์ตส์ (beIN SPORTS) ต่อเนื่องอีก 3 ฤดูกาล เริ่มตั้งแต่ฤดูกาล 2024/25 ไปจนถึงฤดูกาล 2026/27

นอกจากนี้ ลาลีกา และ beIN ได้ร่วมกันทำข้อตกลงเพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ในทุกรูปแบบ เช่น การบล็อกเว็ปไซต์ที่ลักลอบดึงสัญญาณการถ่ายทอดสดแบบผิดกฎหมาย (โมร็อคโค) หรือการปิดบริการ IPTV ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ (บาห์เรน) รวมถึงมาตรการป้องกันร่วมกันกับผู้ถือลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดในประเทศอินโดนีเซีย และมาเลเซีย

โดยทีมงานด้านการป้องกรันการละเมิดสิทธิ์ของลาลีกา และบีอิน จะทำงานอย่างใกล้ชิดเพื่อแบ่งปันข้อมูล และต่อสู้กับการละเมิดลิขสิทธิ์เพื่อสร้างกฎระเบียบลิขสิทธิ์ใหม่เพื่อรับมือกับการละเมิดลิขสิทธิ์ที่พัฒนาขึ้นในอนาคต

ทั้งนี้ทาง beIN ได้รับสิทธิ์ถ่ายทอดสดลาลีกาในเอเชียแปซิฟิกมาตั้งแต่ปี 2015 ครอบคลุมถึง 11 ประเทศในภูมิภาค ได้แก่ ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, สิงคโปร์, มาเลเซีย, บรูไน, อินโดนีเซีย, ติมอร์-เลสเต, ฟิลิปปินส์, ลาว, กัมพูชา และไทย

โดย ยูสเซฟ อัล-โอบาอิดลี ซีอีโอของบีอิน มีเดีย กรุ๊ป กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่ได้ขยายสัญญากับลาลีกาอย่างต่อเนื่อง ในฐานะพันธมิตรระยะยาวของลาลีกา เราภูมิใจที่ได้ช่วยให้ฟุตบอลสเปนเป็นที่รู้จักผ่านการถ่ายทอดสดออกไปทั่วโลก ข้อตกลงครั้งสำคัญนี้ ถือเป็นข้อพิสูจน์ถึงแผนงานของเรา ในการส่งมอบการเติบโตของลาลีกาในฐานะสื่อชั้นนำระดับโลก”

ด้าน ฆาเบียร์ เตบาส ประธานลาลีกา กล่าวว่า “ที่ลาลีกา เรามองหาพันธมิตรที่ดีที่สุด เพื่อส่งมอบฟุตบอลสเปนให้กับแฟนบอลทั่วโลก ความสัมพันธ์ของเรากับบีอิน คือสิ่งสำคัญที่ทำให้แน่ใจว่า ผู้คนในเอเชียแปซิฟิกจะสามารถเพลิดเพลินกับการแข่งขันที่ไม่เหมือนใคร เรามั่นใจว่าฤดูกาลใหม่จะเป็นฤดูกาลที่ไม่มีใครเทียบได้สำหรับแฟนๆ ของเราทั่วทั้งภูมิภาค”

ปิดท้ายที่ อิวาน โกดิน่า กรรมการผู้จัดการลาลีกา ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “การลงนามในครั้งนี้ คือก้าวสำคัญสำหรับเอเชียแปซิฟิก เพราะแสดงถึงความมุ่งมั่นของทั้งลาลีกา และบีอิน ในการนำฟุตบอลสเปนใกล้ชิดกับแฟนๆ ในภูมิภาคนี้ให้มากขึ้น เพื่อให้ผู้ชมได้สนุกไปกับนักเตะชื่อดังของแต่ละสโมสร ด้วยการถ่ายทอดสดที่ดีที่สุด”

สำหรับลาลีกา ฤดูกาล 2024/25 จะเป็นฤดูกาลที่น่าตื้นเต้น และสนุกสนานกว่าหลาย ๆ ฤดูกาลที่ผ่านมา โดยเรอัล มาดริด แชมป์เก่า จะต้องรับมือกับผู้ท้าชิงตลอดกาลอย่างบาร์เซโลน่า หรือจะเป็นแอตเลติโก มาดริด ที่พร้อมสอดแทรกลุ้นแชมป์ และจีโรน่า ที่ลุ้นสร้างเซอร์ไพรส์อีกครั้ง

นอกจากนี้ ลาลีกายังเป็นลีกที่อุดมไปด้วยนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์อย่างวินิซิอุส จูเนียร์, โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้, อองตวน กรีซมันน์ และอื่น ๆ รวมถึงดาวรุ่งที่มีพรสวรรค์ระดับโลก เช่น คิลิยัน เอ็มบัปเป้, จู๊ด เบลลิงแฮม, ลามีน ยามาล, นิโก้ วิลเลียมส์, มาร์ติน ซูบีเมนดี้ เป็นต้น

แฟน ๆ เตรียมรับชมทุกเกมสำคัญ ที่มาพร้อมกับความสนุกสนาม และตื่นเต้น ไม่ว่าจะเป็น “เอล กลาซิโก้” (เรอัล มาดริด – บาร์เซโลน่า), “มาดริด ดาร์บี้” (เรอัล มาดริด – แอตเลติโก มาดริด), “คาตาลัน ดาร์บี้” (บาร์เซโลน่า – เอสปันญ่อล), “บาสก์ ดาร์บี้” (เรอัล โซเซียดัด – แอธเลติก บิลเบา) และ “อันดาลูเซีย ดาร์บี้” (เซบีย่า – เรอัล เบติส)

สำหรับแฟน ๆ ลูกหนังลีกสเปนในประเทศไทย แน่นอนว่า ลาลีกา พร้อมที่จะ สร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ผ่านกิจกรรมที่จัดขึ้นอย่างเช่นทุกปีให้ อาทิเช่น กิจกรรมดูบอลร่วมกันในแมตช์พิเศษ เป็นต้น และแน่นอนว่า สามารถรับชมเกมการแข่งขันได้ทั้งทางทีวีผ่าน beIN SPORTS ทางทรู วิชั่นส์, แอปพลิเคชั่น ทรู วิชั่นส์ นาว และทรูไอดี รวมทั้ง AIS Play, AIS Playbox และทางแอปพลิเคชั่น beIN SPORTS CONNECT

สุดท้าย KMD Sport Services ขอขอบคุณ ลาลีกา, TikTok, Ari Football, สนาม Super Star Arena และเพื่อน ๆ สื่อทุกคนที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของงานเปิดฤดูกาลใหม่ ลาลีกา 2024/25 พร้อมกับเตรียมติดตาม และเป็นกำลังใจให้งานครั้งต่อ ๆ ไปของ KMD ด้วยนะคะ

ดูภาพเพิ่มเติมได้ที่ : https://drive.google.com/drive/folders/18SSSegfSzfIYwNQ8HYCKP9McDKFbiNbi?usp=sharing

เรื่องโดย: ภาวินีย์ สูญสิ้นภัย, วิรตา แซ่เอี่ยว

Categories
Our Work

สุดยิ่งใหญ่! BDMS Academy Cup 2024 ทัวร์นาเม้นท์ฟุตบอล U12 ที่มากกว่าคำว่า “การแข่งขัน” 

ปิดฉากลงอย่างสุดมันส์และสมศักดิ์ศรี กับรายการพิเศษ “BDMS Academy Cup 2024″การแข่งขันฟุตบอล 7 คน รุ่นอายุไม่เกิน 12 ปี ณ สนามฟุตบอล Super Star Arena ซอยลาดพร้าว 80 ที่เปิดโอกาสให้เยาวชนได้แสดงศักยภาพด้านกีฬาฟุตบอล พร้อมชิงเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 100,000 บาท

ทัวร์นาเม้นท์นี้จัดขึ้นโดย บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ร่วมกับ PPTV HD 36 และทีมเทคนิคจากสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ (FA Thailand)

และแน่นอว่า พอพูดถึงฟุตบอลเยาวชน ปัจจุบันได้รับการสนใจเป็นอย่างมาก และมีความหลากหลายในแง่มุมต่าง ๆ แต่จุดประสงค์หลัก ๆ คงหนีไม่พ้น การเป็นเวทีให้เยาวชนได้แสดงศักยภาพ มุ่งผลักดันให้ต่อยอดไปต่อ พร้อมปูทางสู่การเป็นนักเตะอาชีพในอนาคต

ซึ่งทัวร์นาเม้นท์การแข่งขันฟุตบอลเยาวชน มีขึ้นมากมาย แต่การแข่งขันฟุตบอล รุ่นอายุไม่เกิน 12 ปี รายการนี้ ต้องบอกว่าพิเศษกว่ารายการอื่น ๆ เนื่องจากผลงานของเยาวชนแต่ละทีม ที่ได้สิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันครั้งนี้ จะถูกเก็บคะแนนเข้าฐานข้อมูล เพื่อต่อยอดสู่เส้นทางทีมชาติของแข้งเยาวชน พร้อมเฟ้นหานักเตะฝีเท้าเยี่ยมที่มีแววเข้าตา จำนวน 15 คน โดยทีมเทคนิคจาก FA THAILAND ที่ส่งเจ้าหน้าที่มาเฝ้าจับตามอง และให้คะแนนนักเตะเยาวชนทุกคน เพื่อไปร่วมเก็บประสบการณ์เยือนแคมป์ฝึกซ้อมทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี อีกด้วย

ทัวร์นาเม้นท์นี้ จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกวันอาทิตย์ ตลอด 4 สัปดาห์ของเดือนมิถุนายน ประกอบด้วย วันที่ 9, 16, 23 และ 30 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา โดยแบ่งการแข่งขันรอบแรกออกเป็นสัปดาห์ละ 12 ทีม รวม 36 ทีม เพื่อเฟ้นหา 4 ทีมที่ดีที่สุดของแต่ละกลุ่มที่จะผ่านเข้ารอบไปดวลแข้งกันต่อในรอบ Final Round เพื่อหาแชมป์เพียงหนึ่งเดียว

โดยทีมอันดับ 1 และ 2 ในแต่ละสัปดาห์ จะลงสนามชิงชัยในดิวิชั่น 1 ส่วนทีมอันดับ 3 และ 4 จะไปแข่งในดิวิชัน 2 ของการแข่งขันสัปดาห์สุดท้าย

การแข่งขันรายการนี้ มีกฎกติกาที่ค่อนข้างแตกต่างไปจากการแข่งขันอื่น ๆ อาทิเช่น การดำเนินการแข่งขัน ที่ถูกแบ่งออกเป็น 3 ควอเตอร์ ควอเตอร์ละ 7 นาที และมีการพักระหว่างควอเตอร์ไม่เกิน 3 นาที โดยผู้เล่นที่ทำการลงทะเบียนทั้งหมดของแต่ละทีมที่มาในวันแข่งขันจริงต้องมีอย่างน้อย 15 คนขึ้นไป และจะต้องได้ลงเล่นครบทุกคน อย่างน้อยคนละ 1 ควอเตอร์ ในแต่ละแมตช์การแข่งขัน

ไม่เพียงแค่เรื่องกฎ กติกาในสนาม แต่ทัวร์นาเม้นท์นี้ ทีมที่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน ต้องมีคุณสมบัติในการเป็นทีมที่เป็นสโมสรสมาชิกของทางสมาคมฟุตบอลฯ (Academy Licensing) หรือ เป็นทีมที่ขึ้นทะเบียนอคาเดมี่กับทางสมาคมฯ อีกด้วย แล้วสำหรับทีมฟุตบอลหรืออคาเดมี่ ที่สนใจสมัคร Academy Licensing สามารถสอบถามและอ่านเพิ่มเติมที่นี่ได้เลย https://bit.ly/3Le60lG

ในส่วนของการแข่งขันฟุตบอล “BDMS Academy Cup 2024” รอบ Final Round เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา โดยมีทีมที่ผ่านเข้ารอบมาในดิวิชั่น 1 ประกอบด้วย พัทยา ยูไนเต็ด, มณีสุข อะคาเดมี่, งอบแดง กำแพงเพชร, Sc coaching, PT Prachuap FC และสโมสร สอ.รฝ. เอฟซี ส่วนดิวิชั่น 2 ประกอบด้วย

Lepus FC, หนองบัวพิชญ เอฟซี, การท่าเรือ เอฟซี, Khaichon FC, ราชบุรี เอฟซี และไร่ขวัญใจอุเทน FC

ในสัปดาห์นี้ ก่อนถึงบทสรุปแชมป์ กองเชียร์ในสนาม และเหล่าเยาวชนนักเตะ ก็ได้สนุกไปกับแมตช์สุดพิเศษ ที่เป็นการประชันฝีเท้าของเหล่าอินฟลูเอนเซอร์สายฟุตบอล ปะทะทีมผู้สื่อข่าวกีฬาชื่อดัง ร่วมด้วยทีมเทคนิคจาก FA Thailand ที่มาโชว์ฝีเท้า นำทัพโดย “โค้ชจุ่น” อนุรักษ์ ศรีเกิด (อดีตโค้ชทีมชาติไทย), “ป๊อป” วีระพล เต็มโชติโกศล (Sport Corner), ภานุวัฒน์ ใจยิ้ม (ต้องซุย), ปาล์ม (3 บาท 5 บาท), ตัวแทนจาก Ari, เบน (บาร์ซ่าเข้าเส้น), ตูเต้ (ตูดูบอลไทย), เรเซอร์เบนซ์, ขอบสนาม, เจมส์ (ลาลีกา) “ ฯลฯ

ก่อนที่การแข่งขันอันดุเดือดจะได้บทสรุปอย่างยิ่งใหญ่ โดย “พัทยา ยูไนเต็ด” ครองตำแหน่งแชมป์ดิวิชั่น 1 ประจำทัวร์นาเม้นท์นี้ไปอย่างสมศักดิ์ศรี คว้าเงินรางวัล 40,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัล เหรียญรางวัล และประกาศณียบัตร ส่วนรองแชมป์ดิวิชั่น 1 ตกเป็นของ “มณีสุข อะคาเดมี่” ได้รับเงินรางวัล 25,000 บาท 

และต้องบอกว่าทั้ง 2 ทีมนี้ เป็นทีมคู่รักคู่แค้น ที่ดวลกันมาตั้งแต่รอบชิงแชมป์ประจำสัปดาห์แรก รอบแบ่งกลุ่มในสัปดาห์ไฟนอล และรอบตัดสินแชมป์รายการนี้อีกด้วย ซึ่ง พัทยา ยูไนเต็ด ก็สามารถเอาชนะไปได้หมดทั้ง 3 ครั้งที่พบกัน 

ขณะที่ ดิวิชั่น 2 ทีมฟอร์มแกร่งอย่าง “หนองบัวพิชญ์ เอฟซี” เปิดเกมถล่มใส่รองแชมป์ “การท่าเรือ เอฟซี” เอาชนะไปถึง 5-0 คว้าเงินรางวัล 15,000 บาท พร้อมถ้วยแชมป์ เหรียญรางวัล และประกาศณียบัตรดิวิชั่น 2 ส่วนทีมรองแชมป์รับเงินรางวัล 10,000 บาท

ถือเป็นการจบทัวร์นาเม้นท์ที่เชื่อว่า ทุก ๆ คนถูกใจ และมีความสุขกันอย่างแน่นอน เพราะเวทีนี้ เปิดโอกาสให้กับน้อง ๆ เยาวชน ได้มีพื้นที่แสดงศักยภาพกันอย่างเต็มที่ เชื่อว่าทัวร์นาเม้นท์นี้ กำลังเป็นที่ถูกจับมองจากหลาย ๆ ภาคส่วน ที่พร้อมจะสนับสนุนเยาวชนไทยในการฟาดแข้งครั้งต่อไป และหวังว่าเราจะกลับมาพบกันอีกในเร็ว ๆ นี้

ดูภาพเพิ่มเติมที่นี่ได้เลย : https://drive.google.com/drive/folders/1KWf9rm54r5lpQM-bZwdwa9TCTqgVeU1-?usp=share_link

📝 ภาวินีย์ สูญสิ้นภัย (แนน)

Categories
Special Content

พรีเมียร์ลีก ซีซัน 2023-24 กับบทสรุปหลากหลายประเด็น

พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2023-24 ได้ปิดฉากอย่างสมบูรณ์หลังจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เฉือนชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี 2-1 ครองแชมป์เอฟเอ คัพ เป็นสมัยที่ 13 ในประวัติศาสตร์สโมสร ขณะที่แมนฯซิตี ชนะเลิศพรีเมียร์ลีกเป็นสมัยที่ 4 ติดต่อกัน และลิเวอร์พูละครองแชมป์อีเอฟแอล คัพ

ในส่วนของโควตาฟุตบอลสโมสรยุโรป ทีมท็อป 4 แมนฯซิตี, อาร์เซนอล, ลิเวอร์พูล และแอสตัน วิลลา ได้ไปแข่งขันแชมเปียนส์ ลีก, ทีมอันดับ 5 ทอตแนม ฮอตสเปอร์ และแชมป์เอฟเอ คัพ แมนฯยูไนเต็ด ได้ไปเล่นยูโรปา ลีก ส่วนทีมอันดับ 6เชลซี จากที่ควรได้สิทธิยูโรปา ลีก แต่เพราะ “เรด เดวิลส์” ได้ชูถ้วยใบเก่าแก่อายุกว่า 150 ปีของเมืองผู้ดี “เดอะ บลูส์” จึงต้องลงสนามรอบเพลย์ออฟของคอนเฟอเรนซ์ ลีก แทน

ภายหลังศึกลูกหนังเทียร์ 1 ของอังกฤษ รูดม่านลง Sky Sports สื่อกีฬาคุณภาพเมืองผู้ดี ได้ประมวลเหตุการณ์ที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นในพรีเมียร์ลีก ซีซัน 2023-24 ในหลายหลายประเด็น ซึ่งทีมงานไข่มุกดำได้คัดเลือกบางหัวข้อ นำมาแปลและเรียบเรียงนำเสนอต่อคอลูกหนังบ้านเราดังต่อไปนี้

ประตูมากขึ้น ผู้เล่นอังกฤษทำสกอร์สูงขึ้น

นับตั้งแต่ซีซัน 2020-21 การทำประตูในพรีเมียร์ลีกเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 ปีติดต่อกัน นับจากค่าเฉลี่ย 2.69 ประตูต่อนัด เพิ่มเป็น 2.82 ประตูในซีซัน 2021-22, 2.85 ประตูในซีซัน 2022-23 และ 3.28 ประตูในซีซัน 2023-24 แต่ที่น่าสังเกตเป็นพิเศษคือ ฤดูกาลที่เพิ่งจบไปเพิ่มขึ้นจากซีซันก่อนหน้าถึง 15%

ตัวแปรที่น่าให้ความสำคัญคือ ค่าเฉลี่ยการเกิดสกอร์ต่อนัดยังสูงกว่าช่วงก่อนฤดูกาล 1995-96 ซึ่งมีจำนวนสโมสร 22 ทีม รวมการแข่งขันทั้งโปรแกรม 420 นัดต่อซีซัน ก่อนลดจำนวนเหลือ 20 ทีมหรือ 380 นัดต่อซีซัน โดยซีซัน 2023-24 แฟนบอลได้เห็นบอลวิ่งซุกก้นตาข่ายรวมแล้ว 1,246 ครั้ง ช่างเป็นลีกที่น่าตื่นเต้นเร้าใจจริงๆ

Sky Sports ยังโฟกัสผู้เล่นอังกฤษเป็นพิเศษ แม้รางวัลรองเท้าทองคำยังตกเป็นของ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ดาวซัลโวทีมชาตินอร์เวย์ของแมนฯซิตี เป็นปีที่ 2 ติดต่อกันด้วยตัวเลข 31 นัด 27 ประตู แต่อันดับท็อป 10 ซีซันนี้มีนักเตะเมืองผู้ดีติดเข้ามาถึง 6 คน นำโดย โคล พาลเมอร์ (เชลซี, 34 นัด 22 ประตู) รั้งอันดับ 2 ตามด้วยอันดับ 4 (ร่วม) 19 ประตู มี 3 คนเท่ากันคือ โดมินิค โซลันกี (บอร์นมัธ, 38 นัด), โอลลี วัตกินส์ (วิลลา, 37 นัด), ฟิล โฟลเดน นักฟุตบอลแห่งปีของ FWA (แมนฯซิตี, 35 นัด) และอันดับ 9 (ร่วม) 16 ประตู มี 2 คนเท่ากันคือ บูกาโย ซากา (อาร์เซนอล, 35 นัด) กับ จาร์รอด โบเวน (เวสต์แฮม, 36 นัด)

ถือเป็นปีทองของวัตกินส์กับพาลเมอร์ก็ว่าได้จนได้รับเลือกจากแกเรธ เซาธ์เกต ใส่ไว้ในรายชื่อทีมชาติอังกฤษ 33 คนแรกของชุดยูโร 2024 โดยกองหน้าวิลลาทำแอสซิสต์ได้ 13 ครั้ง สูงเป็นอันดับ 1 ในพรีเมียร์ลีก พาลเมอร์ตามเป็นอันดับ 2แบบติดๆ 11 ครั้ง

Sky Sports ยังรายงานว่า นักเตะอังกฤษในพรีเมียร์ลีกทำสกอร์รวมกันซีซันนี้ 369 ประตู เป็นจำนวนมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมา ซึ่งหากดูข้อมูลตั้งแต่ซีซัน 1995-96 ซึ่งมีตัวเลขสูงถึง 597 ประตู จากนั้นก็ค่อยๆลดจำนวนลงเรื่อยๆจนต่ำระดับหลัก 400 ตั้งแต่ซีซัน 2001-02 คือ 392 ประตู

ตัวเลขยังอยู่โซน 300 จนกระทั่งซีซัน 2012-13 หลุดลงไปที่ 296 ประตู และขยับขึ้นมาเป็น 325 ประตูในซีซัน 2013-14ก่อนกลับลงไปสู่หลัก 200 ติดต่อกัน 5 ฤดูกาล และฟื้นขึ้นหลัก 300 ติดต่อกัน 5 ฤดูกาล ก่อนมาพีคสุดที่ซีซัน 2023-24 คือ 369 ประตู

Sky Sports ให้ข้อสังเกตว่า นักเตะท้องถิ่นผลิตสกอร์ได้เป็นกอบเป็นกำขนาดนี้ทั้งที่มีเวลาอยู่ในสนามหรือ game-time รวมกัน 224,730 นาที ซึ่งเกือบเป็นตัวเลขน้อยที่สุดนับตั้งแต่ซีซัน 1998-99 สำหรับลีกที่ประกอบด้วยนักเตะต่างชาติเก่งๆมากมายที่เข้ามาสร้างสีสันบนเกาะอังกฤษ จนดูเหมือนบดบังราศีของนักเตะท้องถิ่น สิ่งที่เกิดขึ้นนับว่าเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับวงการลูกหนังอังกฤษ

โควตาตัวสำรอง 5 คน ส่งผลอย่างไร

เริ่มที่ 2022-23 พรีเมียร์ลีกอนุญาตให้แต่ละทีมเปลี่ยนผู้เล่นได้นัดละ 5 คน หลังจากโดนตั้งคำถามเรื่องสวัสดิภาพการทำงานและความอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจของผู้เล่นอยู่หลายปี ผลลัพธ์ของกฎใหม่นี้ทำให้เกมสนุกสนานขึ้นเพราะเอื้ออำนวยให้ผู้จัดการทีมได้ส่งนักเตะลงมาเพื่อแก้เกมปรับเปลี่ยนแทคติก อีกทั้งยังได้ความสดใหม่จากผู้เล่นม้านั่งสำรอง

กฎดังกล่าวทำให้จำนวนตัวสำรองที่ลงสนามสูงขึ้นอย่างมีนัยยะใน 2 ปีล่าสุดคือ 2,985 คนในซีซัน 2022-23 และ 3,024 คนในซีซัน 2023-24 มากที่สุดนับตั้งแต่ซีซัน 2010-11 ซึ่งมีการเปลี่ยนตัวผู้เล่นเพียง 1,995 คนเท่านั้นพรีเมียร์ลีกซีซัน 2023-24 ที่ผ่านมา ไบรท์ตันเป็นทีมที่ใช้โควตาดังกล่าวมากที่สุดคือ 176 คน ส่วนอันดับ 2 (ร่วม) มี 4 ทีมที่ใช้ผู้เล่นสำรอง 170 คนเท่ากันคือ เบรนท์ฟอร์ด, บอร์นมัธ, สเปอร์ส และฟูแลม ตามด้วยอันดับ 5 ลิเวอร์พูล 166 คน โดยเวสต์แฮมกับแมนฯซิตีเปลี่ยนผู้เล่นน้อยที่สุดคือ 109 คน และ 115 คน ตามลำดับ

การส่งตัวสำรองลงมายังช่วยให้เปลี่ยนโมเมนตัมโดยเฉพาะช่วงเวลาที่มีอิทธิพลต่อการแข่งขันมากที่สุดคือท้ายเกม ซึ่งสถิติระบุว่า พรีเมียร์ลีกซีซันล่าสุดเกิดการทำประตูหลังนาทีที่ 75 รวมแล้ว 307 ประตู โดย 25 นาทีสุดท้ายของเวลาแข่งขันปกติบวกทดเวลา ยังเป็นช่วงที่ผู้จัดการทีมเปลี่ยนตัวผู้เล่นมากที่สุดด้วย

Sky Sports เสริมข้อมูลที่น่าสนใจคือ ลิเวอร์พูล ทีมอันดับ 3 ของพรีเมียร์ลีก ทำสกอร์ได้ถึง 27 ประตูระหว่างนาทีที่ 76 ถึง 90+ นำโด่งอันดับ 2 “แชมป์” แมนฯซิตี ซึ่งทำได้ 21 ประตู ขณะที่ “รองแชมป์” อาร์เซนอล ก็ทำผลงานไม่น้อยหน้าคือ 20ประตูเท่ากับลูตันและนิวคาสเซิล

Comeback Wins ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากหลุม

นอกเหนือการเกิดสกอร์ท้ายเกมแล้ว การพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายชนะหลังเสียประตูก่อน เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สร้างสีสันความเร้าใจให้กับแฟนบอล ซึ่งซีซัน 2023-24 เกิดเหตุการณ์ comeback wins ทั้งสิ้น 63 นัด เป็นสถิติสูงสุดใหม่ของพรีเมียร์ลีก อย่างเช่น 2 กันยายน 2023 สเปอร์สชนะเบิร์นลีย์ 5-2 และ 27 เมษายน 2024 นิวคาสเซิลชนะเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 5-1

Comeback Kings เป็นคุณสมบัติหรือตำแหน่งที่ควรคู่กับแคแรกเตอร์ของแมนฯซิตี แชมป์พรีเมียร์ลีก 4 สมัยติดต่อกัน ทีมเรือใบสีฟ้าสามารถเปลี่ยนจากแพ้เป็นชนะได้ 7 นัดเท่ากับลิเวอร์พูลและสเปอร์ส ขณะที่รองแชมป์ 2 สมัยซ้อนอย่างอาร์เซนอล กลับทำได้แค่ 3 นัด รวมถึงนัดปิดซีซันที่เฉือนชนะเอฟเวอร์ตัน 2-1 นั่นมองได้ว่า ทีมปืนใหญ่แทบไม่ตกอยู่ในสถานการณ์สกอร์เป็นรองระหว่างฤดูการแข่งขัน

พรีเมียร์ลีก ลีกที่รวดเร็วที่สุดในโลกลูกหนัง

ไม่เพียงการทำประตูเยอะๆ การเกิดสกอร์ท้ายเกม และการพลิกกลับไปมาของตัวเลขบนสกอร์บอร์ด ความเร็วของเกมยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างความนิยมแก่พรีเมียร์ลีก ซึ่งมีแฟนบอลทั่วโลกติดตามมากที่สุด

รายงานเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาของ Football Observatory ช่วยยืนยันว่า พรีเมียร์ลีกเป็นลีกที่มีความเร็วที่สุดในโลก โดยอ้างอิงจากดัชนีการให้คะแนน ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีได้รับคะแนนเต็ม 100 ทั้งการวิ่งเต็มฝีเท้าหรือด้วยความเร็วสูงสุด (sprints), ความเร็ว (speed) และความเร่งหรืออัตราการเปลี่ยนแปลงความเร็ว (accelerations)

ขอบคุณภาพจาก  https://x.com/goal/status/1175975415174848514/photo/1

ลีกที่มีความเร็วสูงเป็นอันดับ 2 คือ แชมเปียนชิพ หรือเทียร์ 2 ของอังกฤษ มีค่าดัชนีเฉลี่ย 85.5 แบ่งเป็น sprints 84, speed 79 และ accelerations 100 ตามด้วย กัลโช เซเรีย อา อิตาลี มีค่าดัชนีเฉลี่ย 75.1 แบ่งเป็น sprints 81, speed 80 และ accelerations 73 ส่วนลีกท็อป 5 ของยุโรปที่เหลืออีก 3 ลีกได้แก่ ลีกเอิง ฝรั่งเศส อยู่อันดับ 8 (เทียบกับลีกเดอซ์หรือระดับเทียร์ 2 อยู่อันดับ 6), ลา ลีกา สเปน อยู่อันดับ 10 และบุนเดสลีกา เยอรมนี อยู่อันดับ 15

รายงานฉบับดังกล่าวยังระบุว่า พรีเมียร์ลีกซีซันที่จบไปมีค่าเฉลี่ยของการวิ่งเต็มฝีเท้า 139.63 ครั้งต่อนัด สูงที่สุดนับตั้งแต่สถิตินี้ถูกบันทึกในซีซัน 2020-21 แต่ความจริงแล้ว averaging sprints ก็เพิ่มขึ้นทุกปีตลอดระยะเวลา 4 ปีคือ 127.44 ครั้ง, 129.4 ครั้ง, 133.68 ครั้ง และ 139.63 ครั้ง ตามลำดับ

Sky Sports ให้ความเห็นเสริมว่า การทำประตูที่เพิ่มขึ้น บวกกับความเร็วของการเล่น แสดงให้เห็นว่าสโมสรในพรีเมียร์ลีกยกระดับ risk and reward หรืออัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทนให้สูงขึ้น ด้วยการดันนักเตะขึ้นไปโจมตีบนพื้นที่สูงขึ้น ขณะที่กองหลังก็เตรียมพร้อมที่จะใช้ความรวดเร็วรุกโต้กลับหรือเคาน์เตอร์แอทแทคเมื่อแย่งบอลมาจากฝ่ายตรงข้าม ตัวอย่างในการแข่งขันกับเบรนท์ฟอร์ดในเดือนมกราคมที่ผ่านมา มิกกี ฟาน เดอ เวน เซ็นเตอร์แบ็คของสเปอร์ส เคยใช้ความเร็วเฉลี่ย 37.38 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งถือเป็น top speed ของพรีเมียร์ลีก ซีซัน 2023-24

พรีเมียร์ลีกลดอายุเฉลี่ยนักเตะตัวจริง

อีกเรื่องหนึ่งที่ซีซัน 2023-24 สร้างความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในพรีเมียร์ลีกนั่นคือ อายุเฉลี่ยของนักเตะตัวจริงลดลงเหลือ 26.74 ปี หรือ 26 ปี 269 วันเท่านั้น ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ซีซัน 2010-11 ที่ตัวเลขเฉลี่ยต่ำกว่า 27 ปี โดยระหว่าง 13 ปีก่อนหน้านี้ ตัวเลขอายุเฉลี่ยน้อยที่สุดของผู้เล่น 11 คนแรกคือ 27.05 ปี ซึ่งเคยเกิดขึ้นในซีซัน 2019-20 และ 2020-21 ขณะที่ซีซัน 2022-23 ก็มีอายุเฉลี่ยต่ำเช่นกันคือ 27.08 ปี

ทีมที่มีอายุเฉลี่ยผู้เล่นตัวจริงน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีกซีซันล่าสุดคือ เชลซี 24.64 ปี หรือ 24 ปี 233 วัน ซึ่งเป็นสถิติน้อยที่สุดอันดับ 4 ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก นอกจาก “เดอะ บลูส์” มีอีก 3 ทีมที่อายุเฉลี่ยตัวจริงน้อยกว่า 26 ปีได้แก่ ทีมอันดับรองบ๊วยของลีก เบิร์นลีย์ 24.68 ปี ซึ่งมากกว่าเชลซีเพียง 10 วันเท่านั้น ตามด้วยอาร์เซนอล 25.43 ปี และสเปอร์ส 25.53 ปี ขณะที่ทีมที่อายุเฉลี่ยมากที่สุด 2 อันดับแรกคือ ฟูแลม 28.87 ปี และเวสต์แฮม 28.82 ปี ซึ่งเป็น 2 สโมสรที่มีอายุเฉลี่ยสูงกว่า 28 ปี

นักฟุตบอลบาดเจ็บระนาวจนเป็นสถิติใหม่

ผู้เล่นบาดเจ็บเป็นสถิติอีกหมวดที่เกิด new all-time high ของพรีเมียร์ลีก ทั้ง 20 สโมสรมีจำนวนวันที่นักเตะของตัวเองลงแข่งไม่ได้เนื่องจากบาดเจ็บรวมทั้งสิ้น 25,886 วัน เป็นตัวเลขสูงที่สุดนับตั้งแต่เว็บไซต์ Premier Injuries ได้บันทึกสถิตินี้ในฤดูกาล 2020-21 ซึ่งเท่ากับ 18,405 วัน ตามด้วย 19,475 วันในซีซัน 2021-22 และ 21,163 วันในซีซัน 2022-23

ในมุมมองของสโมสร นิวคาสเซิลเป็นทีมที่ไม่สามารถใช้งานผู้เล่นเพราะบาดเจ็บรวมเป็นจำนวนวันมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก รองลงมาได้แก่ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และเชลซี

สโมสรช็อปปิงถล่มทลาย 2 ตลาดซัมเมอร์ติด

มาถึงเรื่องการลงทุนเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แต่ละทีมในพรีเมียร์ลีก ถ้ามองเพียงตลาดซัมเมอร์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทีมมากกว่าตลาดฤดูหนาว กลางปี 2023 หรือตลาดซัมเมอร์ครั้งหลังสุด สโมสรเทียร์ 1 อังกฤษใช้เงินซื้อผู้เล่นรวมกันสูงถึง 2.44 พันล้านปอนด์ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากตัวเลข 2.14 พันล้านปอนด์ในปี 2022 โดย 7 ปีก่อนหน้านี้ 20 สโมสรจับจ่ายใช้สอยประมาณ 1.20 – 1.30 พันล้านปอนด์ ยกเว้นปี 2017 ที่ตัวเลขพุ่งถึง 1.49 พันล้านปอนด์ และลดลงเหลือ 1.12 พันล้านปอนด์ในปี 2021

แน่นอนอย่างที่ทราบถ้วนกันผ่านสื่อมวลชน ตลาดซัมเมอร์ปีที่แล้ว เชลซีทุ่มเงินลงไปถึง 434.5 ล้านปอนด์ และเมื่อรวมกับตลาดกลางปี 2022 ตัวเลขพุ่งสูงทะลุ 1 พันล้านปอนด์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทอดด์ โบห์ลีย์ มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรแห่งกรุงลอนดอน

Sky Sports ยังชี้ให้เห็นว่า มิดฟิลด์เป็นตำแหน่งผู้เล่นที่สโมสรพรีเมียร์ลีกให้ความสนใจเสริมแกร่งมากที่สุดในตลาดซัมเมอร์ปี 2023 เชลซีสร้างสถิติใหม่ของสหราชอาณาจักรด้วยค่าทุ่มเงิน 115 ล้านปอนด์ ซื้อมอยเซส ไกเซโด มาจากไบรท์ตัน ทั้งที่ตลาดเดือนมกราคมปีเดียวกันเพิ่งได้ เอ็นโซ เฟร์นานเดซ มาจากเบนฟิกาด้วยค่าตัว 106.8 ล้านปอนด์

สำหรับตลาดฤดูร้อนรอบล่าสุด นอกจากไกเซโด ผู้เล่นที่ค่าตัวสูงสุดติดท็อป 5 อีก 4 คนได้แก่ เดแคลน ไรซ์ 105 ล้านปอนด์ จากเวสต์แฮมไปอาร์เซนอล, ยอสโก กวาร์ดิโอล 77.6 ล้านปอนด์ จากไลป์ซิกไปแมนฯซิตี, ราสมุส ฮอยลุนด์ 72 ล้านปอนด์ จากอตาลันตาไปแมนฯยูไนเต็ด และ ไค ฮาแวร์ตซ์ 65 ล้านปอนด์ จากเชลซีไปอาร์เซนอล

เก้าอี้เหนียว ผู้จัดการทีมส่วนใหญ่ทำหน้าที่ครบเทอม

ทิ้งท้ายด้วยเรื่องของผู้จัดการทีม เป็นสถิติต่ำที่สุดนับตั้งแต่ดิวิชัน 1 เปลี่ยนชื่อเป็นพรีเมียร์ลีก ซึ่งมีการเปลี่ยนผู้จัดการทีมถาวรก่อนหน้าและระหว่างฤดูกาลแข่งขันเพียงแค่ 4 คน เทียบเท่าที่เคยเกิดขึ้นในซีซัน 2005-06

วันที่ 9 สิงหาคม 2023 หรือ 2 วันก่อนซีซัน 2023-24 คิกออฟ วูลฟ์แฮมป์ตันได้แต่งตั้งแกรี โอ’นีล เป็นผู้จัดการทีมแทนจูเลน โลเปเตกี ซึ่งพ้นตำแหน่งเพราะมีปัญหาขัดแย้งกับบอร์ดบริหาร และระหว่างซีซัน พรีเมียร์ลีกมีการเปลี่ยนผู้จัดการทีมถาวร 3คนคือ พอล เฮคกิงบอตทอม ทีมเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด, สตีฟ คูเปอร์ ทีมนอตติงแฮม ฟอเรสต์ และรอย ฮอดจ์สัน ทีมคริสตัล พาเลซ ซึ่งยื่นใบลาออกเองเนื่องจากมีปัญหาสุขภาพ

นอกจากนี้ เยอร์เกน คลอปป์ ทีมลิเวอร์พูล, โรแบร์โต เด แซร์บี ทีมเชลซี และเดวิด มอยส์ ทีมเวสต์แฮม ได้ยุติบทบาทผู้จัดการทีมหลังปฏิบัติหน้าที่จนถึงนัดปิดซีซัน

สำหรับพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2024-25 จะเริ่มทำการแข่งขันวันที่ 17 สิงหาคม 2024 จนถึง 25 พฤษภาคม 2025 เป็นการแข่งขันครั้งที่ 33 ในชื่อนี้ และเป็นครั้งที่ 126 ในฐานะลีกฟุตบอลเทียร์ 1 ของอังกฤษ โดยโปรแกรมแข่งขันแบ่งเป็นแมตช์สุดสัปดาห์ 33 นัด, แมตช์กลางสัปดาห์ 4 นัด และแมตช์วันหยุดธนาคาร 1 นัด

ในส่วนของการซื้อขายผู้เล่น ตลาดฤดูร้อนของพรีเมียร์ลีกจะเปิดทำการตั้งแต่วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน 2024 จนถึง 5 ทุ่มของวันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2024 ตามเวลาท้องถิ่น ส่วนตลาดฤดูหนาวจะมีขึ้นตั้งแต่วันพุธที่ 1 มกราคม 2025 จนถึง 5 ทุ่มของวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2025 

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Our Work

อพอลโล ไทร์ส จับมือ แมนฯ ยูไนเต็ด จัดโครงการ United We Play 2024 เฟ้นหาเยาวชนไทยไปติวฝีเท้าที่อังกฤษ

วันที่ 4-5 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา ที่สนามฟุตบอล TCFC พระราม 9 อพอลโล ไทร์ส ผู้ผลิตยางรถยนต์ชั้นนำระดับโลก จับมือพันธมิตร สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดโครงการ United We Play ครั้งที่ 2 ในประเทศไทย เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนไทยได้เดินตามความฝันด้านฟุตบอลได้ไกลกว่าเดิม ซึ่งกิจกรรมนี้ถูกจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 4-5 พฤษภาคม 2567 โดยแบ่งการแข่งขันเป็น 2 รุ่นอายุ คือ รุ่นอายุไม่เกิน 14 ปี และ 16 ปี

โดยโครงการ United We Play เป็นความร่วมมือของอพอลโล ไทร์ส และ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เปิดเวทีให้นักเตะเยาวชนจากภูมิภาคต่าง ๆ มาแสดงความสามารถ เพื่อเฟ้นหาเยาวชนฝีเท้าดี เข้าร่วมอบรมคอร์สฝึกฝีเท้ากับ Manchester United Soccer School และได้สัมผัสกับเหล่าตำนานนักเตะของสโมสรถึงประเทศอังกฤษ

สำหรับกิจกรรม United We Play ในปี 2024 จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 มีเยาวชนที่ได้เข้าร่วมมาแล้วมากกว่า 24,000 คน จากจุดเริ่มต้นที่อินเดีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, เนปาล และประเทศไทย ที่จัดเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน มีผู้เข้าร่วมกว่า 800 คน 

โครงการนี้มุ่งเฟ้นหาเยาวชนฝีเท้าดี คน ที่เข้าตาทีมโค้ชจาก Manchester United Soccer School เพื่อเป็นตัวแทนประเทศไทย ในการได้รับโอกาสสุดพิเศษ ไปฝึกซ้อมที่อินเดียกับนักเตะชุดปัจจุบันของทีมปิศาจแดง ก่อนจะถูกคัดเหลือ คนเข้าร่วมการฝึกซ้อมกับอคาเดมี่ของแมนฯ ยูไนเต็ด และกระทบไหล่กับสุดยอดนักเตะระดับตำนานของสโมสร เช่นเดียวกับเลียม ชินทาโด จากสโมสรพีเอฟเอ อคาเดมี่ ที่ได้รับประสบการณ์แบบนี้จากปีที่แล้ว

โดย มร. มานิช มหาราช Business Head – ASEAN บริษัท อพอลโล ไทร์ส (ประเทศไทย)กล่าวถึงงานนี้ว่า “ในนามของ Apollo Tyres ปีนี้เราได้นำความคิดริเริ่มนี้ไปสู่อีกระดับหนึ่ง โดยมีทีม 48 ทีมและเด็ก ๆ มากกว่า 800  คนเข้าร่วมใน 2 วันสำหรับทัวร์นาเมนต์กระชับมิตรและการฝึกซ้อมภายใต้หัวหน้าโค้ชของ MUSS Mr. Robin van der Laan และ Mr. Nick Pearce เรายินดีต้อนรับและขอขอบคุณที่สละเวลาและเดินทางจากโอลด์ แทรฟอร์ด สู่กรุงเทพฯ เพื่อการนี้โดยเฉพาะ

Apollo Tyres ซึ่งมีวิสัยทัศน์ในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับกีฬาในหมู่เด็ก ๆ ทั่วโลก ประสบความสำเร็จอย่างมากในโครงการริเริ่มนี้ ในประเทศไทย เรากำลังทำงานด้วยวิสัยทัศน์เดียวกัน และหวังว่าในอนาคตอาจมีเด็กที่สามารถเป็นหนึ่งในดาวเด่นของพรีเมียร์ลีกอังกฤษในอนาคต หรือจะได้เล่นในทีมชาติสักวันหนึ่ง

เรามุ่งมั่นที่จะรับผิดชอบต่อสังคมของเราและจะพยายามทำและเติบโตตามความคิดริเริ่มนี้ทุกปี อย่างไรก็ตาม อพอลโล  ยังต้องการการสนับสนุนจากคุณในเวลาเดียวกันเพื่อให้ยังคงเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของเรา และเพื่อสร้างการรับรู้ให้มากขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับยางรถยนต์ อพอลโล ซึ่งเป็นหนึ่งในคลาสที่ดีที่สุดในโลก

ซึ่ง 2 เยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกจากทีมสต๊าฟโค้ชของ แมนฯยูไนเต็ด ได้แก่ อาเรียน โบเซ และชนสรณ์ ไชยธรรม ที่จะเป็นตัวแทนประเทศไทยได้รับโอกาสสุดพิเศษ ในการไปเยี่ยมชมสนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด รวมถึงเข้าร่วมฝึกซ้อมกับอคาเดมี่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด และกระทบไหล่สุดยอดนักเตะระดับตำนานของสโมสร

เจตนารมณ์ของอพอลโล ไทร์ส และแมนฯ ยูไนเต็ด ในโครงการ United We Play คือการมอบโอกาสให้นักเตะเยาวชนได้เข้าถึงมาตรฐานระดับโลกเพื่อเสริมศักยภาพด้านฟุตบอล กับทีมงานอคาเดมี่มืออาชีพของสโมสร ที่ได้สร้างนักเตะระดับโลกมาแล้วมากมาย

📝 ภาวินีย์ สูญสิ้นภัย (แนน)

ดูภาพเพิ่มเติมได้ที่นี่ : https://drive.google.com/drive/folders/1MPgonxfbi4weDXPTtIGgRN11yrsZCZwD?usp=share_link

Categories
Football Business

ไบรท์ตัน โมเดล เบื้องหลังการบินสูงของเจ้านกนางนวล

ในยุคที่หลายสโมสรต้องดิ้นรนปรับตัวให้เข้ากับกฎการเงินของพรีเมียร์ลีก แต่วันอังคารที่ 2 เมษายน 2024 ที่ผ่านมา “ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบียน” สามารถประกาศผลกำไรประจำปีก้อนใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ลีกสูงสุดของอังกฤษ

ไบรท์ตันได้ประกาศตัวเลขผลกำไรหลังหักภาษีแล้วสำหรับซีซัน 2022-23 เป็นเงิน 122.8 ล้านปอนด์ กระโดดจาก 24.1 ล้านปอนด์สำหรับซีซัน 2021-22 ส่วนหนึ่งเนื่องจากได้เงินเป็นกอบเป็นกำจากการขายดาวดังของทีมอย่าง อเล็กซิส แมค อัลลิสเตอร์, อีฟส์ บิสซูมา, เลอันโดร ทรอสซาร์ และ มาร์ค กูกูเรยา รวมถึงได้รับเงินจากเชลซีที่ดึงตัวแกรห์ม พอตเตอร์ ไปคุมทีมเมื่อกันยายน 2022

แต่ตัวเลขดังกล่าวยังไม่รวมการขาย มอยเซส ไกเซโด และ โรเบิร์ต ซานเชซ ซึ่งย้ายไปเชลซีด้วยค่าตัว 115 และ 25 ล้านปอนด์ตามลำดับในตลาดซัมเมอร์ปีที่แล้ว เนื่องจากตัวเลขรายได้ถูกบันทึกสิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2023

กระนั้นซีซันนี้ “เดอะ ซีกัลส์” ทำผลงานพรีเมียร์ลีกดร็อปลง กำลังลุ้นให้ติดท็อป-10 หลังจากซีซันที่แล้วจบด้วยอันดับ 6 ได้เล่นบอลถ้วยสโมสรยุโรป (ยูโรปา ลีก) เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 123 ปีของสโมสร แต่ประเด็นที่นำเสนอไม่ใช่เรื่องในสนาม

โกยกำไรมหาศาลเพราะพอตเตอร์และขายนักเตะ

ทอตแนม ฮอตสเปอร์ เป็นเจ้าสถิติสูงสุดเดิม 113 ล้านปอนด์ ซึ่งทำไว้เมื่อซีซัน 2017-18 โดยแหล่งเงินหลักที่เพิ่มพูนขึ้นของ “เดอะ ลิลลีไวท์ส” มาจากรายได้เชิงพาณิชย์, ค่าเข้าชมนัดเหย้าที่เวมบลีย์ สเตเดียม ขณะที่สนามใหม่กำลังก่อสร้าง และเงินจากแชมเปียนส์ ลีก เมื่อเข้าถึงรอบน็อกเอาท์ แต่ไบรท์ตันมีแหล่งรายได้หลักผ่าต่างกัน

เริ่มจากเงินที่ขายผู้เล่น แมค อัลลิสเตอร์ไปลิเวอร์พูล, บิสซูมาไปสเปอร์ส, ทรอสซาร์ไปอาร์เซนอล และกูกูเรยาไปเชลซี ทั้งสี่สร้างกำไรรวมกันให้ไบรท์ตัน 121.4 ล้านปอนด์ สโมสรยังได้เงินชดเชยราว 21 ล้านปอนด์เมื่อเสียพอตเตอร์ให้ “เดอะ บลูส์” ขณะที่รายรับจากลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดเพิ่มขึ้นไม่มากนักจากซีซันก่อนหน้า 126.2 ล้าปอนด์เป็น 155.2 ล้านปอนด์

ขอบคุณภาพจาก  https://www.bbc.com/sport/articles/c98eg8pq43jo

พอล บาร์เบอร์ ซีอีโอของสโมสร ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว ESPN ว่า ไบรท์ตันไม่ได้อยู่ในจุดที่จะสร้างรายได้เหมือนทีมใหญ่ๆ สนามเอเมกซ์มีความจุเพียง 32K เทียบกับ 75K ของแมนฯยูไนเต็ด และ 60K ของสเปอร์สกับอาร์เซนอล นั่นทำให้สโมสรต้องมองหาแหล่งรายได้ด้วยรูปแบบอื่นเช่น สปอนเซอร์, การเพิ่มคุณค่าแบรนดิ้ง, จำหน่ายสินค้าที่ระลึก ฯลฯ แต่สิ่งที่ไบรท์ตันให้น้ำหนักเป็นพิเศษคือโมเดล player-trading ด้วยการใช้อะคาเดมีพัฒนานักเตะแววดีมีอนาคตจากท้องถิ่น ผสมผสานกับแหล่งอื่นๆจากต่างประเทศที่ไม่มีสโมสรไหนให้ความสนใจนัก นั่นเท่ากับเปิดโอกาสให้ “ไบรท์ตันตกปลาในบ่อคนเดียว”

ตัวอย่างเช่น ไบรท์ตันเซ็นสัญญากับแมค อัลลิสเตอร์ เมื่อครั้งเป็นผู้เล่นอาร์เจนติโนส จูเนียร์ส ในปี 2019 ด้วยราคาเพียง 7ล้านปอนด์ แต่ทำกำไร 48 ล้านปอนด์จากการขายให้ลิเวอร์พูลในปี 2023 ด้วยราคา 55 ล้านปอนด์ หรือรายที่ไม่ได้อยู่ในผลประกอบการซีซัน 2022-23 คือ ไกเซโด ซึ่งซื้อจากอินดิเพนเดียนเต เดล วัลเล แค่ 4.5 ล้านปอนด์ในปี 2021 แต่ฟันกำไรเละถึง 110.5 ล้านอีก 2 ปีต่อมาหลังจากเชลซียอมทุ่มเงิน 115 ล้านปอนด์คว้าตัวไป

เจมส์ ออลลีย์ นักข่าวอาวุโสของ ESPN FC ให้ความเห็นว่า ไบรท์ตันดำเนินนโยบายซื้อผู้เล่นอายุน้อยด้วยต้นทุนต่ำ นำมาพัฒนาเป็นเวลาหลายปี และสามารถปล่อยขายในราคาน่าทึ่ง โดยสามารถย้อนกลยุทธ์นี้กลับไปยังปี 2017 เมื่อครั้งเพิ่งขึ้นมาเล่นพรีเมียร์ลีกในฐานะรองแชมป์แชมเปียนชิพ ซีซัน 2016-17 เป็นการคัมแบ็คสู่ลีกสูงสุดนับจากปี 1983

จากเดิมที่เคยเซ็นสัญญากับผู้เล่นอายุมากในอังกฤษเป็นหลัก ไบรท์ตันเปลี่ยนแนวทางไปซื้อนักเตะอายุน้อยลงจากตลาดเกิดใหม่ในต่างประเทศ โดยอ้างอิงจากเว็บไซต์ Transfermarkt “เดอะ ซีกัลส์” ใช้เงินสุทธิ 171 ล้านปอนด์ขณะพยายามหลงหลักปักฐานอย่างมั่นคงในพรีเมียร์ลีก และปรับเปลี่ยนสไตล์ฟุตบอลไปเน้นการครองบอลมากขึ้นแบบสโมสรชั้นนำยุคใหม่ ซึ่งเห็นอย่างเป็นรูปธรรมช่วงพอตเตอร์ (2019 – 2022) และโรแบร์โต เด แซร์บี (2022 –  ปัจจุบัน) เป็นผู้จัดการทีม

แม้ช่วงแรกดูเหมือนไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีในการสร้างผลกำไรให้ไบรท์ตัน แต่เวลาที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ มีความชัดเจนแล้วว่าเป็นรูปแบบที่ได้ผล

จุดหักเหเมื่อเซียนโป๊กเกอร์เทคโอเวอร์สโมสร

นอกจากนี้ ออลลีย์ยังส่องลำแสงสปอตไลท์ไปยัง โทนี บลูม เจ้าของสโมสรวัย 54 ปี เจ้าของฉายา “The Lizard” ผู้เกิดในเมืองไบรท์ตัน เป็นเซียนไพ่โป๊กเกอร์ระดับอาชีพที่ผันตัวเองมาเป็นเจ้าพ่อวงการพนัน ซึ่งใช้การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์และหุ้นเอกชนส่งตัวเองกลายเป็นมหาเศรษฐี

บลูมซื้อหุ้นไบรท์ตันสูงถึง 75% เมื่อปี 2009 และปล่อยสินเชื่อปลอดดอกเบี้ย 406.5 ล้านปอนด์ให้สโมสรนำไปใช้บริหารโดยปีนี้เพิ่งเป็นครั้งแรกที่ไบรท์ตันสามารถจ่ายหนี้คืนให้เจ้าของสโมสรได้ ซึ่งเป็นเงิน 32.2 ล้านปอนด์ ไม่เพียงไม่คิดดอกเบี้ยและไม่กำหนดระยะเวลาใช้หนี้ บลูมยังไม่มีข้อกำหนดเบื้องต้นเกี่ยวกับจำนวนผู้เล่นหรือตัวเลขเงินในการซื้อขายแต่ละตลาด

คีแรน แมคไกวร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินในวงการลูกหนัง ให้สัมภาษณ์กับ ESPN ว่า โทนี บลูม เป็นทรัพย์สินก้อนใหญ่ที่สุดของไบรท์ตัน ทุกคนที่เคยทำงานด้วยจะตระหนักดีว่าบลูมมีวิสัยทัศน์มากเพียงใด เขาจึงเป็นคนที่เข้าใจถึงคุณค่าและผลประโยชน์ของการลงทุนระยะยาว “สิ่งสำคัญคือ หนึ่ง บลูมเป็นแฟนบอลของสโมสร และสอง เขาเป็นทั้งอัจฉริยะและมหาเศรษฐี”

บริษัทพนัน/บริการข้อมูลอยู่เบื้องหลังความสำเร็จ

ก่อนหน้าเทคโอเวอร์ “เดอะ ซีกัลส์” บลูมยังก่อตั้ง Starlizard บริษัทรับพนันกีฬาเมื่อปี 2006 ซึ่งเวลาต่อมาได้เติบโตขึ้นมาเป็นฐานข้อมูลขนาดยักษ์ที่บรรจุข้อมูลนักฟุตบอลหลายพันคนทั่วโลก

เดวิด เวียร์ ผู้อำนวยการเทคนิคของไบรท์ตัน พูดถึงสตาร์ลิซาร์ดว่า ตัวเขาไม่รู้ตัวเลขของฐานข้อมูลแน่ชัดแต่เชื่อมั่นมันครอบคลุมนักเตะเกือบทั้งหมดที่เล่นระดับอาชีพในทุกลีกทั่วโลก และเช่นกัน เขาไม่รู้อัลกอรึธึมของสตาร์ลิซาร์ดทำงานอย่างไรในการแยกแยะจัดหมวดหมู่ผู้เล่นเพราะมันเป็นความลับ

เวียร์อธิบายต่อว่า มันเป็นเพียงตัวกรองที่ช่วยให้สโมสรสามารถเห็นตัวผู้เล่นที่มีความสามารถตามต้องการตั้งแต่เนิ่นๆ สิ่งสำคัญคือ output ซึ่งช่วยให้สโมสรสามารถทำงานกับกลุ่มผู้เล่นที่มีจำนวนไม่มากนัก

ขอบคุณภาพจาก  https://www.starlizardintegrity.com/

กลุ่มนักเตะที่ได้รับการคัดเลือกผ่านอัลกอรึธึมของสตาร์ลิซาร์ดไม่ได้เริ่มต้นที่ภูมิศาสตร์แต่เป็นตำแหน่งการเล่น  แมวมองจะได้รับรายชื่อที่ต้องคอยเฝ้าจับตามองและส่งรายงานผลกลับไปยังสโมสร โดยใช้สีไฟสัญญาณจราจรเป็นตัวจำแนกว่าเป้าหมายคนไหนเข้ากับระบบของไบรท์ตันมากน้อยเพียงใด

บาร์เบอร์ ซีอีโอของไบรท์ตัน ขยายความส่วนนี้ว่า โดยภาพรวมทุกอย่างเริ่มต้นจากตำแหน่งการเล่น ไม่ใช่มองหานักเตะแววดีแต่ไม่เป็นที่ต้องการของสโมสร โดยจะโฟกัสนักเตะตามตำแหน่งที่ต้องการจริงๆ แมวมองจะตรวจสอบข้อมูล โปรไฟล์ และบุคลิกภาพส่วนตัว จากนั้นโค้ชจะเป็นผู้เลือก จัดอันดับว่าใครเป็นตัวเลือกแรกและคนสุดท้าย สโมสรจะไม่นำเข้านักเตะที่โค้ชไม่ต้องการหรือมองว่าไม่มีความจำเป็น เพราะจะเป็นการเสียเงินไปเปล่าๆหากได้มาแล้วไม่ได้เล่นหรือถูกใช้งาน

แต่ก็มีสถานการณ์ที่สโมสรลงทุนเพื่ออนาคต และโค้ชชุดใหญ่ยังไม่ต้องการ ก็สามารถใช้สิทธิ “คัดค้าน” ซึ่งผู้เล่นจะถูกปล่อยยืม 1-2 ปี เมื่อพร้อมกลับมาร่วมทีมชุดใหญ่ ก็มีโอกาสไม่น้อยที่หัวหน้าโค้ชจะให้ความสนใจกับพวกเขา

บาร์เบอร์กล่าวต่อว่า โมเดลของไบรท์ตันคือ ใช้แมวมองจำนวนน้อย แต่เน้นหนักด้านวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อระบุตัวผู้เล่นที่คุณสมบัติเหมาะสมและตรงกับสิ่งที่โค้ชร้องขอมากที่สุด แมวมองต้องพร้อมเดินทางไปทุกที่ที่เป้าหมายเล่นอยู่ และไม่จำเป็นต้องเป็นตลาดยอดนิยมของฟุตบอลสมัยใหม่ก็ได้อย่างอาร์เจนตินา, บราซิล, สเปน หรืออิตาลี เพราะสำหรับไบรท์ตันแล้วอาจเป็นเอกัวดอร์, ปารากวัย, เบลเยียม หรือชาติเล็กๆในลีกยุโรป

แมคไกวร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินในวงการลูกหนัง ให้มุมมองว่า รูปแบบการทำงานดังกล่าวทำให้ไบรท์ตันต้องทำงานด้วยความฉลาดขึ้นและทำการบ้านหนักขึ้น อีกทั้งต้องไม่ลืมว่าฟุตบอลเป็นอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันและลอกเลียนแบบสูง สโมสรอื่นๆจะสังเกตเห็นความสำเร็จของไบรทัตัน และพยายามมองหานักเตะแววดีที่ดิบเพื่อนำมาขัดเกลาด้วยโมเดลการทำงานที่เหมือนไบรท์ตัน แถมบ่อยครั้งสโมสรเหล่านั้นอยู่ในฐานะที่จะเสนอค่าจ้างที่สูงกว่า แม้ไม่สามารถนำเสนอเส้นทางพัฒนาฝีเท้าในแบบที่ไบรท์ตันมีก็ตาม

Succession planning ยืดเวลาความสำเร็จของไบรท์ตันโมเดล

อย่างไรก็ตาม สโมสรฟุตบอลไม่ใช่บริษัทเอกชนที่แสวงหาผลกำไรจากการซื้อมาขายไป แต่ความสำเร็จและความบันเทิงที่มอบให้กับแฟนบอลมีความสำคัญไม่แพ้กัน แล้วไบรท์ตันมีแนวคิดอย่างไรที่จะรักษามาตรฐานฟอร์มการเล่นบนสนามแข่งขันได้หลังจากเสียผู้เล่นสำคัญคนแล้วคนเล่า

ซีอีโอสโมสรเป็นผู้ให้คำตอบนี้ว่า “การวางแผนสืบทอดตำแหน่ง” (Succession planning) เป็นกุญแจดอกสำคัญ

บาร์เบอร์ล่าว่า บนเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัว เขามีเอกสารเพียงฉบับเดียว ซึ่งบรรจุรายชื่อของผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ตำแหน่งสำคัญๆในสโมสร เจ้าของสโมสรเคยบอกว่า การแต่งตั้งตำแหน่งหรือการตัดสินใจครั้งสำคัญของเขามีเพียงเรื่องเดียวคือ ไล่หัวหน้าโค้ชออก ซึ่งเขาจะเป็นคนรับผิดชอบเอง “ส่วนอีก 25 ตำแหน่งรองลงมาอยู่ในความรับผิดชอบของผม”

ไบรท์ตันใช้การวางแผนสืบทอดตำแหน่งกับผู้เล่นด้วย บาร์เบอร์ขยายความว่า มีการจัดทำแผนผังนักเตะชุดใหญ่ 25 คน และมีนักเตะชุด ยู-21 อยู่ข้างล่าง ถ้าเสียกูกูเรายา แล้วใครจะมาแทน … เปร์บิส เอสตูปิญญัน, ถ้าเสียทรอสซาร์ ทีมมีคาโอรุ มิโตมะ รองรับ ถ้าเสียบอสซูมา ทีมมีไกเซโด ถ้าเสียไกเซโด ทีมมีคาร์ลอส บาเลบา

Succession planning เป็นแนวคิดที่ไบรท์ตันกระจายใช้ทุกภาคส่วนของสโมสร ซึ่งซีอีโอ “เดอะ ซีกัลส์” มองว่ามันไม่ได้สลับซับซ้อนยุ่งยากเหมือนแผนการสร้างจรวด แล้วก็ไม่ได้เลอเลิศถึงขั้นได้รับรางวัลโนเบล มันเป็นเพียงแผนทางธุรกิจธรรมดาๆ องค์กรหรือหน่วยงานดีๆนอกวงการฟุตบอลต่างใช้มัน แต่พอกับแวดวงฟุตบอล กลับไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา ซึ่งบาร์เบอร์ยอมรับว่าเขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร

แมคไกวร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินในวงการลูกหนัง ให้ทรรรศนะถึงความต่อเนื่องของทีมฟุตบอลหลังสูญเสียผู้เล่นดีๆไป โมเดลของไบรท์ตันก็เป็นการกระทำซ้ำแนวทางของสโมสรอื่นๆเช่นกัน อย่างเช่นเซาแธมป์ตันเมื่อ 1 ทศวรรษที่แล้ว ทีมนักบุญมีแกเรธ เบล, อดัม ลัลลานา, เวอร์จิล ฟาน ไดค์ และคนอื่นๆ ซึ่งย้ายไปเล่นให้ทีมอื่น 

แต่เซาแธมป์ตันปล่อยนักเตะพรสวรรค์ออกไปแล้วไม่สามารถแทนที่ด้วยนักเตะระดับเดียวกันภายในช่วงเวลาหนึ่ง ในที่สุด “เดอะ เซนต์ส” ก็ต้องตกชั้นในปี 2023 อย่างไรก็ตามแมคไกวร์มองว่า สิ่งที่ไบรท์ตันแตกต่างจากเซาแธมป์ตันคือ โทนี บลูม และประโยนชน์ที่ได้รับจากสตาร์ลิซาร์ด ซึ่งเป็นบริการภายในของสโมสร หากรูปแบบนี้ยังดำเนินต่อไป อาจทำให้ไบรท์ตันได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาว ถึงกระนั้นไม่ได้หมายความว่าสิ่งนี้จะไม่มีจุดสิ้นสุด

ผลกระทบหลังเสียแมค อัลลิสเตอร์และไกเซโด

เวลาจะเป็นตัวเฉลบคำตอบ เช่นเดียวกับไบรท์ตันตัดสินใจขายแมค อัลลิสเตอร์ และไกเซโดออกไปเมื่อฤดูร้อน 2023 ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลย มันทำให้ทีมของเด แซร์บี อ่อนแอลง ไม่สามารถซ้ำรอยความสำเร็จในฤดูกาล 2022-23 ได้ ผลงานเป็นตัวชี้ชัด

บาร์เบอร์ให้เหตุผลถึงเรื่องนี้ว่า “การขาย ณ เวลาที่เหมาะสมต้องอาศัยความกล้าหาญระดับหนึ่ง บางครั้งมันก็ง่าย ซัมเมอร์ที่แล้วเป็นตัวอย่างที่ดี ไกเซโดและแมค อัลลิสเตอร์ เป็นผู้เล่นสำคัญที่ช่วยให้ไบรท์ตันจบอันดับ 6 และผ่านเข้าไปเล่นยูโรปา ลีก นั่นส่งให้มูลค่าของนักเตะ ณ เวลานั้นพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ความสนใจจากทีมอื่นๆก็เช่นกัน ดังนั้นเราจึงตัดสินใจกระทำการลงไป”

มองไปยังซัมเมอร์ปีนี้ บิ๊กทีมกำลังให้ความสนใจผลผลิตของไบรท์ตันอย่างกองหน้า อีวาน เฟอร์กูสัน และกองกลาง บาเลบา ซึ่งอย่างน้อยก็มีจำนวนเพียง 2 คน ขณะที่เด แซร์บี ตกเป็นข่าวเชื่อมโยงกับบาเยิร์นและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมถึงเป็นบุคคลหนึ่งที่อาจคุมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี ต่อจากเป๊ป กวาร์ดิโอลา แต่กระนั้น “เดอะ ซีกัลส์” ยังมั่นใจว่าโค้ชมือดีชาวอิตาเลียนยังจะทำงานให้สโมสรต่ออีกระยะหนึ่ง ซีซันหน้าเป็นอย่างน้อย

ขณะเดียวกัน อะคาเดมีพยายามรักษามาตรฐานการทำงานในการส่งต่อความหวังอย่างเฟอร์กูสัน, กองหลัง แจค ฮินเชลวูด, กองหน้า มาร์ก มาโฮนีย์, กองกลาง คาเมรอน พีปิออน และกองหลัง โอเดลูกา ออฟฟิอาห์ ซึ่งล้วนแต่ได้รับการโปรโมทขึ้นไปเล่นให้ทีมซีเนียร์แล้ว รวมถึงเบน ไวท์ อดีตผลผลิตของไบรท์ตัน เป็นกำลังสำคัญของอาร์เซนอลตอนนี้

เวียร์ ผู้อำนวยการเทคนิคของไบรท์ตัน ให้สัมภาษณ์ทิ้งท้ายว่า “ทีมชุดใหญ่พัฒนาตัวอย่างไปอย่างรวดเร็วมาก ดังนั้นอะคาเดมีจะต้องไล่ตามรุ่นพี่ๆให้ทัน การดูแลช่องว่างระหว่างทั้งสองถือเป็นงานท้าทาย  เรามีสิ่งอำนวยความสะดวกที่วิเศษเหลือเชื่อ เราต่างลงเรือลำเดียวกัน และเปี่ยมด้วยความทะเยอะทะยานสู่สิ่งนั้นไ นั่นทำให้ผมเชื่อว่า บางสิ่งจะเกิดขึ้นในที่สุดผ่านกระบวนการออสโมซิส

หมายเหตุ : ออสโมซิส (osmosis) เป็นกระบวนการแพร่โมเลกุลของเหลวหรือน้ำผ่านเยื่อเลือกผ่าน จากบริเวณที่มีความเข้มข้นของน้ำมาก ไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นของน้ำน้อย และกระจายไปจนกว่าโมเลกุลของน้ำจะเท่ากัน ออสโมซิสก่อให้เกิดพลังงาน และสามารถสร้างแรงได้

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Our Work

LALIGA x TikTok จัดงานทอล์ค “LALIGA Extra Time” เปิดมุมมองคอนเทนท์ และอุตสาหกรรมกีฬา

ครั้งแรก!! กับงานทอล์ค “LALIGA Extra Time – TikTok : Unlocking next-level opportunities for the sports industry in Thailand” ที่ทาง ลาลีกา ลีกฟุตบอลชั้นนำของประเทศสเปน ร่วมกับ TikTok แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นชั้นนำระดับโลก จัดอีเวนท์แบบเอ๊กซ์คลูซีฟขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย ณ สำนักงานใหญ่ TikTok อาคาร พาร์ค สีลม เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 วัตถุประสงค์เพื่อ แบ่งปันองค์ความรู้ ประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญ นักการตลาด ผู้บริหารในวงการฟุตบอล ร่วมกับครีเอเตอร์ผู้ผลิตคอนเทนต์สายฟุตบอล งานนี้มีผู้ร่วมงานรวมกว่า 100 คน – จัดงานโดยทีม “ไข่มุกดำ” ในพาร์ต SportServices

บรรยากาศก่อนเริ่มการเสวนาบนเวที มีครีเอเตอร์ สื่อมวลชน และผู้ร่วมงาน แวะเวียนมาถ่ายภาพ ทำคอนเทนต์กับเสื้อฟุตบอลลาลีกา โลโก้ TikTok และจุดเช็คอินต่าง ๆ ที่นำมาประกอบเป็นส่วนหนึ่งในงาน มีจังหวะได้ Networking พูดคุยพบปะกันพอหอมปากหอมคอตามประสาคนกีฬา โดยผู้ร่วมงานจะได้รับของที่ระลึกจาก ลาลีกา และ TikTok ครบครัน ก่อนเปิดเวทีเสวนาโดยพิธีกร คุณแนท แห่งเพจ ดูบอลกับแนท ทำหน้าที่ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ

การเสวนา ภายใต้หัวข้อ “โอกาสในการยกระดับอุตสาหกรรมกีฬาในประเทศไทย” โดยมีผู้เชี่ยวชาญในวงการฟุตบอลมาร่วมเสวนา นำโดย “คุณนาธาร รัตนนาคินทร์” หัวหน้าแผนกความสัมพันธ์ต่างประเทศ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย, “อิวาน โกดิน่า”ตัวแทนจากลาลีกา เอเชีย, “คุณณมน ติงศภัทิย์” Sports & Gaming Operations Lead, TikTok, ตัวแทนสโมสรแอตเลติโก้ มาดริด, ตัวแทนสโมสรบาร์เซโลน่า, “คุณชัชวาล การุณยะวนิช” จากอีเอ สปอร์ตส์, “คุณชาลี สมุทรโคจร” จากคาราบาว กรุ๊ป, “คุณวัลลภ ตรีฤกษ์งาม” จาก ซูซูกิ ประเทศไทย รวมถึงครีเอเตอร์ด้านฟุตบอลชื่อดังอย่าง เกมส์ ขอบสนามปาม วาทะลูกหนัง และอื่น ๆ ร่วมการเสวนา

โดย คุณ อิวาน โกดิน่า กรรมการผู้จัดการ LALIGA ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้,ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย ได้กล่าวว่า “หลัง 7 ปีที่นี่ ลาลีกา ตระหนักดีถึงพลังของฟุตบอลที่มีมากในประเทศไทยไม่ต่างจากที่สเปน ยิ่งด้วยการจับมือกันกับพันธมิตรอย่าง TikTok ร่วมกับทุกหน่วยงานสำคัญที่มีอิทธิพลสูงในอุตสาหกรรมกีฬา LALIGA EXTRA TIME จึงเกิดขึ้นเพื่อสร้างฐานรากที่จะตอกย้ำความเจริญก้าวหน้าของอนาคตฟุตบอลในประเทศไทย นำโดยโปรเจคต์ที่ถูกพูดถึงไม่ว่าจะเป็น LALIGA ยูธ ทัวร์นาเมนท์ และ TikTok Sports Hub หรืองานโดยสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ล้วนยืนยันในสิ่งที่ผมกำลังพูดถึงนี้เป็นอย่างดี”

ขณะที่ทางด้าน นายณมน ติงศภัทิย์ Sports & Gaming Operations Lead, TikTok เผยว่า “จุดเริ่มต้นของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง TikTok และ LILAGA ก่อตัวขึ้นท่ามกลางการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของคอมมูนิตี้กีฬาบนแพลตฟอร์ม TikTok โดยมีการรับชมคอนเทนต์กีฬาบนแพลตฟอร์มในปี 2566 เพิ่มขึ้นถึง 95% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเฉพาะกีฬาฟุตบอลซึ่งถือเป็นกีฬายอดนิยมอันดับหนึ่งของคนไทย สะท้อนได้จากจำนวนการรับชมคอนเทนต์กีฬาฟุตบอลบนแพลตฟอร์มอย่าง #TikTokบอลไทย และ #TikTokบอลนอก ซึ่งมียอดวิวกว่า 340 ล้านวิว และ 2 พันล้านวิวตามลำดับในช่วงปีที่ผ่านมา เราเล็งเห็นถึงศักยภาพคอมมูนิตี้กีฬาฟุตบอลบนแพลตฟอร์มจึงริเริ่มความร่วมมือกับ LALIGA เพื่อสนับสนุนวงการฟุตบอล เพราะเราเชื่อว่าทุกวันนี้ขอบเขตของวงการกีฬาไม่ได้ถูกจำกัดความถึงแค่ นักกีฬา สโมสร และสมาคมกีฬาเท่านั้น แต่กำลังสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของวงการกีฬามาโดยตลอดนั้นก็คือ ‘แฟนกีฬา’ และ ‘เหล่าคอนเทนต์ครีเอเตอร์สายกีฬา’ ที่ช่วยสร้างความครึกครื้นให้กีฬาฟุตบอลได้รับความนิยมท่วมท้นอย่างทุกวันนี้ เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่จุดประกายความร่วมมือนี้ ด้วยเหตุนี้เองเราจึงอยากขอบคุณครีเอเตอร์และผู้ใช้ชาวไทยที่ร่วมกันสร้างคอมมูนิตี้กีฬาที่แข็งแกร่ง ตลอดจนพาร์ทเนอร์คนสำคัญอย่าง LALIGA ที่ร่วมปลดล็อกโอกาสสู่ประสบการณ์จริงนอกแพลตฟอร์ม”

สำหรับเนื้อหาของการเสวนาในช่วงแรก ได้กล่าวถึงวิวัฒนาการของการติดตามคอนเทนต์กีฬา จากมุมมองของ LALIGA และ TikTok รวมถึงมุมมองของสื่อที่ถูกยกให้เป็นสุดยอดครีเอเตอร์ด้านกีฬาแห่งปี อย่าง ขอบสนาม และวาทะลูกหนัง ซึ่งทั้งคู่จะได้มีส่วนร่วมในโครงการ LALIGA Adventure ที่จะได้โอกาสเดินทางไปประเทศสเปน เพื่อสัมผัสบรรยากาศของการแข่งขันฟุตบอลลาลีกา, เข้าเยี่ยมชมสโมสรต่างๆ ในลาลีกา ตลอดจนวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวสเปน

ทางด้าน ไจเม่ โอยาบาเมีย ตัวแทนจากสโมสรแอตเลติโก้ มาดริด ได้นำเสนอเกี่ยวกับโครงการ “Atleti Creaters Club” เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งเปิดโอกาสให้ครีเอเตอร์ทั่วโลก ได้แชร์มุมมองเรื่องฟุตบอลของตัวเอง กับหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่มีชื่อเสียงที่สุดของสเปน

ส่วนการเสวนาในช่วงที่ 2 ได้กล่าวถึงพลังของกีฬาเพื่อการสร้างแบรนด์และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย การวางกลยุทธ์ในการใช้กีฬาเพื่อทำการตลาด และเปิดเผยเรื่องราวความสำเร็จในระดับโลก จากตัวแทนของอีเอ สปอร์ตส์, คาราบาว กรุ๊ป และซูซูกิ 

นอกจากนี้ มร. จอร์โจ ปอมปิลิ รอสซี ตัวแทนลาลีกาประจำประเทศไทย ได้ประกาศจัดการแข่งขัน LALIGA Youth Tournament รายการการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่จะเริ่มขึ้นในเร็ว ๆ นี้

งานนี้อิ่มเอม ตลอดเวลากว่า 2 ชั่วโมง และทางทีม KMD ยินดีเป็นอย่างสูงที่ได้รับโอกาสร่วมจัดงานนี้ให้เจ้าภาพหลักทั้ง 2 ราย: LaLiga และ TikTok

หวังว่าจะมีอีเวนท์ดี ๆ แบบนี้มาฝากกันอีกในอนาคต รวมถึงเพื่อน ๆ หรือผู้ใหญ่ใจดี สามารถทัก KMD เพื่อให้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งการจัดงานแบบนี้ได้เสมอนะคะ

รับชมภาพเพิ่มเติมที่นี่ได้เลยค่ะ https://drive.google.com/drive/u/2/folders/1saaRDUvBz0ePsmsTdcxG7IXUJoz8WaTN

Categories
Special Content

22 ปีของเลเวอร์คูเซน กับการลบล้างภาพ NEVERKUSEN

วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน 2024 ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน ชนะเลิศบุนเดสลีกาสมัยแรกในประวัติศาสตร์สโมสรที่ยาวนานเกือบ 120 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร วันที่ 1 กรกฎาคม 1904 โดยมีสารตั้งต้นจาก Wilhelm Hauschild เขียนจดหมายที่มีลายเซ็นของเพื่อนร่วมงาน 170 คน ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 1903 เพื่อขอการสนับสนุนในการก่อตั้งทีมกีฬาจากบริษัท Friedrich Bayer and Co. (ชื่อขณะนั้น หรือ Bayer AG ในปัจจุบัน) ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเคมีและยา ในเมืองเลเวอร์คูเซน ประเทศเยอรมนี

ในวันแห่งประวัติศาสตร์สโมสร เลเวอร์คูเซนถล่มทีมเยือน แวร์เดอร์ เบรเมน 5-0 คว้าแชมป์ลีกสูงสุดเมืองเบียร์แม้ฤดูกาล 2023-24 ยังเหลือการแข่งขันอีก 5 นัด แต่เพราะมีแต้มสะสม 79 คะแนน มากกว่ารองจ่าฝูง บาเยิร์น มิวนิก 16 คะแนน

นี่ถือเป็นผลงานที่เหลือเชื่อภายในเวลา 1 ปีครึ่งของ ชาบี อลอนโซ ซึ่งเพิ่งเข้ามาคุมทีมเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2022 ขณะที่เลเวอร์คูเซนรั้งอันดับ 2 จากท้ายตารางบุนเดสลีกา ก่อนพาทีมจบซีซัน 2022-23 ด้วยอันดับ 6 และได้สิทธิเล่นยูโรปา ลีก รอบแบ่งกลุ่ม

เป็นเรื่องดีสำหรับฟุตบอลเยอรมนีที่การครองแชมป์ติดต่อกันยาวนานของบาเยิร์นมาถึงจุดสิ้นสุดเสียที” แฟนบอลเบรเมนคนหนึ่งที่สวมเสื้อที่มีชื่อของเคลาดิโอ ปีซาร์โร พิมพ์อยู่ด้านหลังเปิดใจกับนักข่าว

ขอบคุณภาพจาก  https://www.bbc.com/sport/football/68812971

โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ชนะเลิศบุนเดสลีกาซีซัน 2011-12 ซึ่งนับจากนั้น บาเยิร์นครอบครองบัลลังก์ติดต่อกันถึง 11 ปี ซึ่งระหว่างนี้ หลายสโมสรผลัดเปลี่ยนขึ้นมาท้าทายไม่ว่าจะทีมแข็งแกร่งอย่างดอร์ทมุนด์, แอร์เบ ไลป์ซิก, เลเวอร์คูเซน หรือทีมที่มีประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่และมีแฟนบอลสนับสนุนระดับบิ๊กอย่าง ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต, โบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค หรือทีมที่มีเรื่องเล่าไม่มากนักอย่างอูนิโอน เบอร์ลิน, ไฟรบวร์ก, ฮอฟเฟนไฮม์ แต่ก็ไม่มีใครล้มยักษ์ใหญ่แห่งแคว้นบาวาเรียได้จนกระทั่งอลอนโซและลูกทีม Die Werkself (หรือ factory 11) ร่วมกันทำลายเป้าหมาย “12 ปีซ้อน” ของ Die Bayern ได้สำเร็จ

เลเวอร์คูเซนยังแชมป์ใหม่ป้ายแดงของบิ๊ก 5 ลีกของยุโรป นับตั้งแต่เลสเตอร์ ซิตี ซึ่งได้รับราคาต่อรอง 500-1 ชนะเลิศพรีเมียร์ลีก ซีซัน 2015-16 และไม่เพียงเป็นแชมป์บุนเดสลีกาสมัยแรกของสโมสร ทีมห้างขายยายังลบล้างฉายา “Neverkusen” ลงได้อีกด้วย

11 วันขยี้ฝันทริปเปิลแชมป์กับฉายา Neverkusen

แม้ก่อนหน้านี้ เลเวอร์คูเซนไม่เคยนั่งบัลลังก์ลีกสูงสุดเมืองเบียร์ แต่สังเวียนระดับทวีป พวกเขาเคยครองแชมป์ยูฟา คัพ (หรือยูโรปา ลีก) ซีซัน 1987-88 และรองแชมป์แชมเปียนส์ ลีก ซีซัน 2001-02 ส่วนภายในประเทศ Die Werkself เคยเป็นแชมป์เดเอฟเบ โพคาล ซีซัน 1992-93 และรองแชมป์อีก 3 สมัย รวมถึงครั้งหลังสุด ซีซัน 2019–20 พวกเขายังชนะเลิศบุนเดสลีกา 2 นอร์ธ ซีซัน 1978–79 และเลื่อนชั้นขึ้นมาแข่งขันสนามบุนเดสลีกาต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

ส่วนบุนเดสลีกา เลเวอร์คูเซนทำได้ดีที่สุดเพียง “รองแชมป์” ในซีซัน 1996–97, 1998–99, 1999–2000, 2001–02 และ 2010–11 รวม 5 ครั้งระหว่าง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้โดนล้อเลียน แปลงชื่อสโมสรจาก Leverkusenกลายเป็น Neverkusen (หรือ Visekusen ในภาษาเยอรมัน) เมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว

ย้อนกลับไปเมื่อโลกเข้าสู่ยุคมิลเลนเนียม วันที่ 20 พฤษภาคม 2000 เลเวอร์คูเซนต้องการเพียงเสมอในบ้านของทีมกลางตาราง อุนเตอร์ฮัคคิงก์ ในเกมสุดท้ายของซีซันเพื่อครอบครองถาดแชมป์ Die Meisterschale แต่ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ 0-2 หนึ่งประตูที่เสียเกิดจากการทำลูกเข้าประตูตัวเองของมิชาเอล บัลลัค ซึ่งต่อมากลายเป็นตำนานมิดฟิลด์ทีมชาติเยอรมนี ส่งให้บาเยิร์นเข้าป้ายวินเนอร์ มี 73 คะแนนเท่ากับเลเวอร์คูเซนแต่ประตูได้เสียเหนือกว่า 7 ลูก

ฉายา Neverkusen เกิดขึ้นอีก 2 ปีต่อมาในซีซัน 2001-02 เลเวอร์คูเซนประกอบด้วยสตาร์นักเตะอย่าง บัลลัค, ลูซิโอ, เซ โรแบร์โต, แบรนด์ ชไนเดอร์, อูล์ฟ เคียร์สเทน และดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ พวกเขากำลังลุ้น “ทริปเปิล แชมป์” แต่ความฝันพังมลายเพียงเวลา 11 วัน

ขอบคุณภาพจาก  https://twitter.com/BTLvid/status/1623058080446423041/photo/1

Die Schwarzroten (หรือ The Black and Reds) นำ 5 คะแนนก่อนเข้าสู่ 3 นัดสุดท้าย แต่กลับแพ้เบรเมน 1-2 (เหย้า) และแพ้เนิร์นแบร์ก 0-1 (เยือน) ก่อนปิดท้ายด้วยชนะแฮร์ธา เบอร์ลิน 2-1 (เหย้า) ทำให้ถาดแชมป์ตกเป็นของดอร์ทมุนด์ที่เหนือกว่าแค่ 1 คะแนน ขณะที่เลเวอร์คูเซนมีประตูได้เสียดีกว่าถึง 10 ลูก

แค่นั้นยังไม่พอ เลเวอร์คูเซนยังแพ้ชาลเก 04 ด้วยสกอร์ 2-4 ในนัดชิงเดเอฟเบ โพคาล และแพ้เรอัล มาดริด 1-2 ในนัดชิงแชมเปียนส์ ลีก จากประตูชัยที่สวยระดับตำนานของซีเนอดีน ซีดาน ทั้งที่รอบก่อนๆ สามารถผ่านทีมแข็งๆอย่างบาร์เซโลนา, ยูเวนตุส, ลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาได้

เหตุผลที่ความอาภัพอับโชคของ Neverkusen มีหลากหลาย ขึ้นอยู่กับผู้ถูกถามเป็นใคร แต่บัลลัคเชื่อว่ามาจากสภาพจิตใจที่ไม่สามารถรับมือกับแรงกดดันได้ ขณะที่โธมัส เบอร์ดาริช กองหน้าชาวเยอรมัน พูดถึง 11 วันนั้นว่าเป็นช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดในชีวิตนักฟุตบอลอาชีพ

แต่ 22 ปีต่อมา อลอนโซและลูกทีมในฤดูกาล 2023-24 สามารถเปลี่ยนฉายา Neverkusen ให้กลายเป็น Winnerkusen และยังเดินบนเส้นทาง “ทริปเปิล แชมป์” โดยจะชิงแชมป์เดเอฟเบ โพคาล กับไกเซอร์สเลาเทิร์น คู่แข่งเทียร์ 2 วันที่ 25 พฤษภาคม 2024 ขณะที่ยูโรปา ลีก พวกเขาผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศและพบกับโรมา

อลอนโซเป็นคนที่ใช่แม้อ่อนประสบการณ์โค้ช

ในวันแห่งประวัติศาสตร์สโมสร 6 ชั่วโมงก่อนคิกออฟกับเบรเมน บาร์ใกล้ไบอารีนาคลาคล่ำไปด้วยแฟนบอลเจ้าถิ่น พลุสีแดงถูกจุดส่งควันอบอวลไปทั่วบริเวณ ป้ายชื่อถนนที่เลี้ยวเข้าสู่สนามเหย้าของเลเวอร์คูเซนถูกแฟนบอลใช้ป้ายสติกเกอร์ที่พิมพ์ว่า Xabi-Alonso-Allee.” มาปิดทับเพื่อเป็นเกียรติแก่กุนซือสเปนวัย 42 ปี ซึ่งผ่านประสบการณ์เพียงโค้ชเรอัล โซเซียดาด ทีม บี ระหว่างปี 2019 – 2022 ก่อนรับงานทีมห้างขายยา

ย้อนกลับไปซีซัน 2021-22 เคราร์โด เซโอเน พาเลเวอร์คูเซนจบด้วยอันดับ 3 หลังจาก 5 ซีซันก่อนหน้าขึ้นถึงอันดับ 4ครั้งเดียว นั่นทำให้เกิดความหวังสูงกับซีซัน 2022-23 แต่เหตุการณ์ต่างราวหน้ามือหลังมือ กุนซือชาวสวิสพาทีมชนะ 2 นัด เสมอ 2 นัด แพ้ 8 นัดจาก 12 เกมแรกรวมทุกรายการ แถมพ่ายต่อเอลเวอร์สเบิร์ก ทีมดิวิชัน 3 ในเดเอฟเบ โพคาล รอบแรก และแพ้ 3 จาก 4 นัดแรกของแชมเปียนส์ ลีก สโมสรปลดเซโอเนพ้นตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2022 ขณะทีมอยู่อันดับรองโหล่ของบุนเดสลีกา

ไซมอน โรลเฟส อดีตมิดฟิลด์เลเวอร์คูเซน ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการกีฬาของสโมสร ให้สัมภาษณ์ว่า “มันน่าแปลกใจมากทั้งที่เราเก็บนักเตะดีๆไว้ได้หมด จบอันดับ 3 ซีซันที่แล้ว เล่นได้ดีมากๆด้วยซ้ำ ผมคิดว่าเราทำได้ถึง 80 ประตู มากที่สุดในประวัติศาสตร์เลย แต่จู่ๆเราก็ออกสตาร์ทได้ย่ำแย่”

“จากการวิเคราะห์ได้ข้อสรุปว่า เราจะหลุดพ้นสถานการณ์แย่นี้ได้อย่างไร เรารู้สึกว่าโค้ชคงไม่เวิร์กเหมือนเดิมแล้ว นั่นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง”

และวันเดียวกับที่เซโอเนจากไป สโมสรประกาศแต่งตั้งอลอนโซเป็นเทรนเนอร์คนใหม่ ซึ่งหลายคนมองว่า การให้โค้ชที่ไม่มีประสบการณ์คุมทีมชุดใหญ่เลยเป็นความเสี่ยง แต่โรลเฟสเฝ้ามองอลอนโซอย่างใกล้ชิดระยะเวลาหนึ่งแล้ว และหลังผ่านขั้นตอนสัมภาษณ์ เขาก็มั่นใจว่า อลอนโซเป็นคนที่ใช่

“เรามีข้อมูลดีๆเกี่ยวกับเขาอยู่ในมือแล้ว การพูดคุยกันช่วยยืนยันในสิ่งที่ผมคิด เราวิเคราะห์สไตล์การเล่นและการทำทีมของเขา อะไรบ้างที่สามารถคาดหวังได้ มันจะเข้ากับนักเตะที่มีอยู่อย่างไร รวมถึงบุคลิกภาพ”

“เขาสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่นี่ เราเป็นสโมสรที่สามารถสนับสนุนเขา เราเป็นสโมสรที่ดีมีเสถียรภาพ มีสตาฟโค้ชที่ดีคอยช่วยเหลือเขาได้ เป็นกลุ่มคนที่ดีมากๆ ต่อมาก็เป็นตำแหน่งของผม ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขา ผมพร้อมสนับสนุนเขาเต็มที่ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญ”

แต่แมตช์แรกที่อลอนโซคุมทีม เลเวอร์คูเซนแพ้ชาลเกยับ 0-4 ตามด้วยปราชัยต่อปอร์โตและแฟรงค์เฟิร์ตด้วยสกอร์รวม 1-8 โดย 7 นัดแรกรวมทุกรายการ (บุนเดสลีกากับแชมเปียนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม) ทีมของอลอนโซเก็บมาได้เพียง 6คะแนนเท่านั้น 

ผู้อำนวยการกีฬาย้อนความรู้สึกตอนนั้นว่า “1 เดือนแรก มันเป็นช่วงเวลาที่หนาหนัก แต่ข้อดีคือช่วยให้เราเรียนรู้และรู้จักกันดีขึ้น ช่วยให้เราตระหนักว่าควรทำงานด้วยกันอย่างไร”

ทุกอย่างดีขึ้นเมื่อถลุงทีมอันดับ 4 ซีซันนั้น อูนิโอน เบอร์ลิน 5-0 เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2022 โดยถ้วยสโมสรยุโรปที่ตกลงไปเล่นยูโรปา ลีก เลเวอร์คูเซนเอาชนะโมนาโก, เฟเรนซ์วารอส และยูเนียน แซงต์ กิลลัวส์ ผ่านเข้าถึงรอบรองขนะเลิศและแพ้โรมา ส่วนบุนเดสลีกา อลอนโซดันทีมจากอันดับ 17 ขึ้นมาปิดซีซันด้วยอันดับ 6 และจบซีซันต่อมาด้วยถาดแชมป์ทั้งที่ยังเหลือโปรแกรม 5 นัด

เหตุปัจจัย 4 ข้อ สู่ความสำเร็จของทีมห้างขายยา

ESPN สื่อใหญ่ในอเมริกา ได้วิเคราะห์รากฐานสำคัญ 4 ข้อที่ส่งให้เลเวอร์คูเซนไปสู่ความสำเร็จเหนือความคาดหมาย

ข้อ 1 เป็นการขาย ไค ฮาแวร์ตซ์ ให้เชลซีเมื่อปี 2020 ด้วยค่าตัวถึง 70 ล้านยูโร ซึ่งถูกนำมาลงทุนต่อได้อย่างสุดคุ้ม ขณะที่นักเตะจากยุคเดียวกันอย่าง โยนาธาน ทาห์ และเอเซเกล ปาลาซิออส ยังมีบทบาทสำคัญกับทีมจนถึงตอนนี้

ข้อ 2 ต้องมอบเครดิตมากมายให้กับ ไซมอน โรลเฟส สำหรับผลงานในตลาดซัมเมอร์ที่ผ่านมาเช่น อเล็กซ์ กรีมัลโด,กรานิต ชากา, โยนาส ฮอฟมันน์, เนธาน เทลลา และวิคเตอร์ โบนิเฟซ ทุกคนต่างให้ผลลัพธ์เชิงบวกแก่เลเวอร์คูเซนในฤดูกาลนี้

ข้อ 3 ฟลอเรียน เวิร์ตซ์ เป็นอัญมณีเม็ดสำคัญของเลเวอร์คูเซนนับตั้งแต่เลื่อนชั้นจากทีม ยู-17 ขึ้นมาเล่นให้ชุดใหญ่ครั้งแรกเมื่อ 18 พฤษภาคม 2020 ในเกมเยือนที่เบรเมน ทำลายสถิตินักเตะอายุน้อยที่สุดของสโมสรที่เล่นบุนเดสลีกาของฮาแวร์ตซ์ ที่ 17 ปี 15 วัน และต่อมาวันที่ 6 มิถุนายน ก็ทำประตูแรกให้ทีมห้างขายยาและเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ทำสกอร์ได้ในประวัติศาสตร์บุนเดสลีกาที่ 17 ปี 34 วัน จากเกมเหย้าที่แพ้บาเยิร์น 2-4 ประตูเกิดขึ้นนาทีที่ 89

ข้อ 4 แน่นอนย่อมเป็น ชาบี อลอนโซ ซึ่งหลายคนเห็นตรงกันว่าสโมสรโขคดีมากที่ได้ตัวตำนานมิดฟิลด์ ซึ่งเล่นให้ทีมชาติสเปนถึง 114 นัด และเคยร่วมบิ๊กทีมอย่างลิเวอร์พูล, เรอัล มาดริด และบาเยิร์น

ลูกัส ฮราเด็ตสกี นายทวารทีมชาติฟินแลนด์ ซึ่งร่วมทีมมาตั้งแต่ปี 2018 เปิดใจกับ ESPN ว่า “ผมเคยคิดว่ารถไฟแล่นออกไปแล้วเสียอีก แต่พอเราได้โค้ชและการเสริมผู้เล่นจากตลาด นั่นทำให้ผมเกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาอีกครั้ง”

เลเวอร์คูเซนยังจะประสบความสำเร็จอีกได้ไหม

งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา การเฉลิมฉลองของเลเวอร์คูเซนย่อมมีวันสุดสิ้น คำถามคือ Die Werkself จะไปได้ไกลกว่าซีซัน 2023-24 ไหม หรือเป็นเพียงซินเดอเรลลาผู้เลอโฉมก่อนเวลาเที่ยงคืน

บิล คอนเนลลี นักข่าว ESPN มองว่าขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยบางข้อ เริ่มจากเวิร์ตซ์ ซึ่งถูกตีราคาไว้สูงถึง 100 ล้านยูโร แม้แนวรุกดาวรุ่งวัย 20 ปี ยังมีสัญญากับสโมสรถึงกลางปี 2027 และน่าจะเป็นเป้าหมายเนื้อหอมในตลาดซัมเมอร์ปีหน้า ถ้าเลเวอร์คูเซนจะรักษาความสำเร็จได้นานๆ ควรรักษาเวิร์ตซ์ให้ได้

สถิติรวมทุกรายการซีซันนี้ สิ้นสุดที่แมตช์กับเบรเมน เวิร์ตซ์ลงสนาม 42 นัด ทำ 17 ประตู สูงเป็นอันดับ 2 ของทีม และ 18แอสซิสต์ มากที่สุดในทีม แต่เหนือกว่านั้น เวิร์ตซ์พาบอลเข้าไปยังโซน final third ถึง 426 ครั้งทั้งการจ่ายบอลและเลี้ยงบอลแบบ progressive เป็นตัวเลขที่เหนือกว่าเพื่อนทุกคน ทิ้งห่างอันดับ 2-3 เจเรมี ฟริมปง 304 ครั้ง และกรีมัลโด 250ครั้ง

แม้มีปัญหาเอ็นไขว้หน้าเข่า ถูกจำกัดด้วยจำนวนการลงสนาม แต่ค่าเฉลี่ยต่อ 90 นาทีกลับดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อ 12.2 ครั้งในซีซันนี้เทียบกับ 6.8 ครั้ง ซีซันที่แล้ว และ 7.5 ครั้ง ซีซัน 2021-22 

แม้เวิร์ตซ์ยังจะอยู่ในทีมป้องกันแชมป์บุนเดสลีกา แต่เลเวอร์คูเซนจะสามารถรักษาขุนพลสำคัญไว้ครบไหมในซีซัน 2024-25 อย่างเช่น ชากา, กรีมัลโด, ฮอฟมันน์, โรเบิร์ต อันดริช รวมถึงนักเตะที่อยู่กับทีมยาวนานอย่างทาห์และฮราเด็ตสกี ขณะที่มีข่าวออกมาว่า สโมสรพรีเมียร์ลีกให้ความสนใจอย่างจริงจังกับเอ็ดมงด์ ทัปโซบ และฟริมบง แต่คอนเนลลีเชื่อว่า ปกติแล้วสโมสรมักไม่หวั่นหากเสียสตาร์ไปสัก 1-2 คน แล้วก็จ่ายเงินน้อยกว่าไปซื้อผู้เล่นที่มีความแตกต่างไม่มากนัก

แต่ตัวแปรที่สำคัญสูงสุดคือ อลอนโซ ซึ่งตัดสินใจสานต่อโปรเจ็คท์ที่เลเวอร์คูเซน ไม่ย้ายไปคุมทีมลิเวอร์พูลหรือบาเยิร์น อย่างน้อยก็ซีซัน 2024-25 คงต้องติดตามต่อไปว่า อลอนโซจะทำได้เหมือนเยอร์เกน คลอปป์ ไหม ซึ่งนำแชมป์บุนเดสลีกามาให้ดอร์ทมุนด์ 2 ปีติดต่อกันในซีซัน 2010-11 และ 2011-12 

อย่างไรก็ตาม เลเวอร์คูเซนจะทำให้เป็นจริงหรือไม่ขึ้นอยู่กับบาเยิร์นไม่ใช่น้อย แม้ทีมเสือใต้จะเพลี่ยงพล้ำเสียถาดแชมป์ที่รักษาไว้นาน 11 ปี แต่บาเยิร์นยังเป็นบาเยิร์น ซึ่งล่าสุดล้มอาร์เซนอล ผ่านเข้าไปตัดเชือก แชมเปียนส์ ลีก กับเรอัล มาดริด รวมถึงดอร์ทมุน์กับไลป์ซิก ซึ่งเพียรพยายามล้มบัลลังก์ของบาเยิร์น แม้กระทั่งอาจมีทีมที่สร้างปาฏิหาริย์เหลือเชื่อปรากฎขึ้นอย่างซตุ๊ตการ์ท ซึ่งอยู่อันดับ 3 ตอนนี้ทั้งที่ซีซันที่แล้ว จบอันดับ 16 แต่สามารถต่ออายุบุนเดสลีกาได้ด้วยการชนะฮัมบวร์ก จากลีก 2 ในแมตช์เพลย์ออฟ

ทั้งหมดนี้ทำให้การแย่งถาดแชมป์ Die Meisterschale มีความสนุกสนานขึ้นในรอบหลายๆปีสำหรับแฟนบอลบุนเดสลีกาที่ไม่ใช่กองเชียร์บาเยิร์น

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer)