Categories
Special Content

บทสรุปพรีเมียร์ลีก ซีซัน 2022-23 4-2-3-1, เบอร์ 9, ปีกขวาเท้าซ้าย

การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2022-23 ปิดฉากบริบูรณ์เมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ซิตี ครองแชมป์ 3 สมัยติดต่อกันและเป็นครั้งที่ 5 ในรอบ 6 ปี อันดับ 2 คือ อาร์เซนอล ซึ่งยังไม่สามารถคว้าแชมป์นับจากซีซัน 2003-04 เซาแธมป์ตัน, ลีดส์ ยูไนเต็ด และเลสเตอร์ ซิตี ลงไปเล่นแชมเปียนชิพ ขณะที่เบิร์นลีย์ ซึ่งชนะเลิศแชมเปียนชิพด้วยแต้มสะสมสูงถึง 101 คะแนน, เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และลูตัน ทาวน์ เป็น 3 ทีมน้องใหม่ของพรีเมียร์ลีกซีซันหน้า

สำหรับสิทธิ์เล่นฟุตบอลสโมสรยุโรปฤดูกาล 2023-24 แมนฯซิตี, อาร์เซนอล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ได้เล่นแชมเปียนส์ ลีก, ลิเวอร์พูลกับไบรท์ตัน เล่นยูโรปา ลีก และแอสตัน วิลลา เล่นคอนเฟอเรนซ์ ลีก

นอกเหนือผลแข่งขัน 380 นัดตลอดซีซัน และอันดับตารางคะแนน ศึกลูกหนังลีกสูงสุดเมืองผู้ดียังเกิดเหตุการณ์น่าสนใจมากมายในช่วงประมาณ 10 เดือนที่ยาวกว่าปกติเพราะมีการแข่งขันเวิลด์คัพ 2022 ที่ประเทศกาตาร์ ระหว่างวันที่ 20พฤศจิกายนถึง 18 ธันวาคม โดยเว็บไซต์ khaimukdam ได้คัดเลือกบางเรื่องราว นำมาถ่ายทอดและบันทึกไว้ ณ โอกาสนี้

เปลี่ยนผู้จัดการทีมระหว่างซีซันมากที่สุด

พรีเมียร์ลีกมี 20 ทีมแต่ซีซันนี้มีผู้จัดการทีมที่ปฏิบัติหน้าที่มากถึง 39 คน ซึ่งตัวเลขนี้รวมถึงผู้จัดการชั่วคราวและรักษาการที่คุมทีมอย่างน้อย 1 นัด โดยตลอดซีซันมีการเปลี่ยนแปลงนายใหญ่ 14 ครั้ง รวมถึง 3 สโมสรที่ไล่กุนซือออก 2 คนคือ เชลซี (โธมัส ทูเคิล, แกรห์ม พอตเตอร์), ลีดส์ (เจสซี มาร์ช, ซาบี กราเซีย) และเซาแธมป์ตัน (ราล์ฟ ฮาเซนฮึทเทิล, นาธาน โจนส์) นั่นทำให้มีผู้จัดการเพียง 9 คนเท่านั้นที่คุมทีมลงสนามครบ 38 นัด

ความจริงแล้ว การเปลี่ยนแปลงกุนซือ 14 ครั้งเป็นการไล่ออก 13 ครั้งเนื่องจากพอตเตอร์กับไบรท์ตันแยกทางด้วยความสมัครใจทั้งสองฝ่าย พอตเตอร์ไปทำงานแทนทูเคิลในเดือนกันยายนที่เชลซีก่อนโดนไล่ออกในเดือนเมษายน แฟรงค์ แลมพาร์ด รับคุมทีมชั่วคราวจนกระทั่งจบซีซัน เช่นเดียวกับ รอย ฮอดจ์สัน (คริสตัล พาเลซ) กับ ไรอัน เมสัน (ทอตแนม ฮอตสเปอร์) เป็นอีก 2 คนที่เซ็นสัญญาระยะสั้น

ไม่ว่า 14 ครั้งของการเปลี่ยนตัวกุนซือหรือ 13 คนที่ถูกบอร์ดบริหารสั่งปลด ถือว่าเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก เริ่มจาก สกอตต์ ปาร์คเกอร์ (บอร์นมัธ) ปลายเดือนสิงหาคม ตามด้วยทูเคิล (เชลซี), บรูโน ลาเก (วูลฟ์แฮมป์ตัน), สตีเวน เจอร์ราร์ด (วิลลา), ฮาเซนฮึทเทิล (เซาแธมป์ตัน), แลมพาร์ด (เอฟเวอร์ตัน), มาร์ช (ลีดส์), โจนส์ (เซาแธมป์ตัน), ปาทริก วิเอรา (พาเลซ), อันโตนิโอ คอนเต (สเปอร์ส), รอดเจอร์ส (เลสเตอร์), พอตเตอร์ (เชลซี) และกราเซีย (ลีดส์) ซึ่งถูกปลดเป็นรายสุดท้ายต้นเดือนพฤษภาคม

เป็นที่น่าสังเกตว่า การเปลี่ยนผู้จัดการไม่ได้ช่วยให้เซาแธมป์ตัน, ลีดส์ และเลสเตอร์ หนีการตกชั้นพ้น ขณะที่เชลซีจบซีซันด้วยอันดับ 12 ต่ำกว่าตอนปลดพอตเตอร์อันดับเดียว ส่วนวิลลา, พาเลซ, เอฟเวอร์ตัน, บอร์นมัธ และวูลฟ์ส มีผลงานดีขึ้นหลังเปลี่ยนผู้จัดการ โดย 3 จาก 5 ทีมลงมือทำก่อนสิ้นเดือนตุลาคม โดยเฉพาะสิงห์ผงาดแห่งเมืองเบอร์มิงแฮม เป็นทีมที่มีผลงานพัฒนาแบบก้าวกระโดดมากที่สุด

สิงโตวิลลาผงาดเพราะกับดักล้ำหน้าของเอเมรี

แอสตัน วิลลา เป็นทีมสร้างเซอร์ไพรส์สุดๆ เพราะหากย้อนไปเดือนตุลาคมเมื่อปลดสตีเวน เจอร์ราร์ด “เดอะ ไลออนส์” ชนะ 2 จาก 11 นัดแรก หล่นไปอยู่อันดับ 16 เหนือโซนตกชั้นแค่แต้มเดียว ก่อนเซ็นสัญญากับ อูไน เอเมรี โดยยอมจ่ายค่าเสียหายให้บีญาร์เรอัล 6 ล้านยูโร

กุนซือสแปนิชวัย 51 ทำให้สิงโตวิลลา “ผงาด” สมฉายา ชนะ 12 จาก 18 นัด ทะยานขึ้นมาอยู่อันดับ 6 หลังถลุงนิวคาสเซิล 3-0 กลางเดือนเมษายน คว้าชัยพรีเมียร์ลีก 5 นัดติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับจากปี 1998 แม้ผ่วปลายแต่ก็ประครองตัวจบด้วยอันดับ 7 ได้ไปเล่นคอนเฟอเรนซ์ ลีก ฤดูหน้า

นับจากโดนอาร์เซนอลถลุง 2-4 กลางเดือนกุมภาพันธ์ วิลลาเสียเพียง 8 ประตูจากการลงสนาม 15 นัดสุดท้าย ไม่มีนัดไหนเสีย 2 ประตู เอเมรีเสริมใยเหล็กเกมรับจนแข็งแกร่งขึ้นผิดตา เป็นปัจจัยสำคัญของการคว้าสิทธิ์เล่นบอลถ้วยยุโรป คู่เซ็นเตอร์แบ็ค ไทโรน มิงส์ และ เอซรี คอนซา พัฒนาฝีเท้าและแคแร็กเตอร์มาไกลจากยุคกุนซือ “สตีวี จี” มิงส์เพิ่งถูกแกเรธ เซาธ์เกต เรียกตัวกลับเข้าทีมชาติอีกครั้งหลังจากเล่นให้อังกฤษครั้งหลังสุดในเดือนมีนาคม 2022 

หัวใจของการวางหมากเกมรับของเอเมรีอยู่ที่กับดักเช็คล้ำหน้า มิงส์และคอนซาประสานงานอย่างรู้ใจ หากคู่ต่อสู้จะฝ่าด่านไปได้จะต้องจ่ายบอลและวิ่งตัดหลังชนิดสมบูรณ์แบบ แต่หากไม่โดนไลน์แมนยกธงล้ำหน้า ก็จะต้องเผชิญหน้ากับความเหนียบหนึบของ เอมิเลียโน มาร์ติเนซ ยอดผู้รักษาประตูทีมชาติอาร์เจนตินาดีกรีแชมป์โลก

นับตั้งแต่เอเมรีเป็นผู้จัดการทีม วิลลาทำให้ฝ่ายตรงข้ามล้ำหน้า 102 ครั้ง ซึ่งเทียบกับอันดับ 2 ลิเวอร์พูลแล้วพบว่ามากกว่า 34 ครั้ง โดยทีมหงส์แดงได้รับฉายาว่า “เดอะ ออฟไซด์ คิง” จากการ “ยืนหนึ่ง” ตลอด 3 ซีซันก่อนหน้านี้ แต่ซีซันนี้ มงกุฎตกเป็นของวิลลา

เชลซีกับปีที่วุ่นวายและตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

ซีซัน 2022-23 น่าจะเป็นช่วงอยากลืมของเชลซีและแฟนบอล “เดอะ บูลส์” จบด้วยอันดับ 12 ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ซีซัน1995-96 ที่พวกเขาหล่นลงมาอยู่ครึ่งล่างของตารางพรีเมียร์ลีก แต่นั่นเป็นหน้าฉาก ด้านหลังยังมีความวุ่นวายมากกว่านั้นเยอะ

นับตั้งแต่มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ทอดด์ โบห์ลีย์ เทคโอเวอร์สโมสรในเดือนพฤษภาคม 2022 เชลซีจ่ายเงินราว 583 ล้านปอนด์ไปกับกลุ่มนักฟุตบอลและผู้จัดการทีม 4 คน (รวมกุนซือชั่วคราว) เฉพาะตลาดนักเตะเดือนมกราคมที่ผ่านมาก็ทะลุหลัก 300 ล้านปอนด์ ซึ่งส่วนหนึ่งคือ 107 ล้านปอนด์เป็นค่าตัวทำลายสถิติสหราชอาณาจักรที่ซื้อ เอ็นโซ แฟร์นานเดซ มาจากเบนฟิกา และ 62 ล้านปอนด์เพื่อซื้อ มิไคโล มูดริค จากชัคตาร์ โดเน็ตส์ค

ส่วนตลาดซัมเมอร์ปีที่แล้ว โบห์ลีย์ก็ลงทุนยกเครื่องขุมกำลังใหม่ให้โธมัส ทูเคิล ไปเบ็ดเสร็จ 270 ล้านปอนด์ แต่ต้นกันยายน เชลซีต้องปลดกุนซือเยอรมันแล้วดึงแกรห์ม พอตเตอร์ มาคุมทีมแทนด้วยสัญญา 5 ปี พร้อมจ่ายค่าชดเชย 21 ล้านปอนด์ให้ไบรท์ตันที่สูญเสียพอตเตอร์และทีมงาน

7 เดือนต่อมา พอตเตอร์ถูกไล่ออก เชลซีมอบหมายผู้ช่วยของเขา บรูโน ซัลตอร์ ทำหน้าที่แทน 1 นัด ก่อนดึงแฟรงค์ แลมพาร์ด ซึ่งเคยคุมทีมเชลซี 1 ปีครึ่งก่อนถูกปลดเดือนมกราคม 2021 กลับมารับหน้าที่ผู้จัดการอีกครั้ง รอบนี้แลมพาร์ดมีผลงานชนะนัดเดียวจาก 11 นัดสุดท้ายของซีซัน ส่วนทูเคิลรูดม่านกับบาเยิร์น มิวนิก ด้วยโล่แชมป์บุนเดสลีกา ขณะที่เชลซีประกาศแต่งตั้ง เมาริซิโอ โปเช็ตติโน เป็นนายใหญ่คนใหม่ของสแตมฟอร์ด บริดจ์ โดยจะเริ่มงานตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม

เป็นเรื่องน่าสนใจทีเดียวว่าตลาดซัมเมอร์กลางปีนี้ ยอดกุนซืออาร์เจนไตน์วัย 51 จะถ่ายเทนักเตะที่ล้นทีมราว 30 คนออกไปอย่างไร และใครจะมาเป็นนักเตะใหม่เพื่อลบล้างฝันร้ายให้กับกองเชียร์สิงโตน้ำเงินคราม

4-2-3-1 แผนยอดนิยม 4-4-2 ใช้น้อยลงเรื่อยๆ

ระบบการเล่นยังเป็นประเด็นที่ถูกหยิบมาพูดถึงและแสดงความคิดเห็นเสมอในหมู่สื่อมวลชน กูรูลูกหนัง และแฟนบอล แม้ความจริงแล้ว แต่ละทีมไม่มีแผนตายตัว ระหว่าง 90 นาทีสามารถเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ หรือแม้กระทั่งต่างกันในจังหวะมีบอล (บุก) หรือไม่มีบอล (รับ) ตัวอย่างชัดเจนที่สุดคือลิเวอร์พูลช่วงปลายซีซัน ซึ่งเปลี่ยนจาก 4-3-3 เมื่อเริ่มต้นเป็น 3-4-3 (หรือ 3-2-2-3) ขณะมีบอลโดยเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ดันตัวเองจากแบ็คขวาขึ้นไปยืนมิดฟิลด์แบบ double pivot คู่กับฟาบินโญ

สกาย สปอร์ตส์ สื่อกีฬาชั้นนำของอังกฤษ ได้เก็บสถิติ starting formations ทุกนัดของพรีเมียร์ลีกซีซันนี้และได้ข้อสรุปว่า 4-2-3-1 เป็นฟอร์แมทที่ถูกใช้บ่อยที่สุดคือ 261 ครั้ง รองลงมาได้แก่ 4-3-3 จำนวน 222 ครั้ง, 3-4-2-1 จำนวน 64ครั้ง และ 4-4-2 (Classic) จำนวน 62 ครั้ง ตามมาห่างๆคือ 3-5-2 จำนวน 23 ครั้ง และ 4-1-4-1 จำนวน 22 ครั้ง

ข้อมูลที่น่าสนใจคือมี 13 ทีมที่เริ่มต้นเกมด้วยแผนคลาสสิค 4-4-2 ซึ่งเคยได้รับความนิยมอย่างสูงช่วงกลางทศวรรษ 2000 โดยสกาย สปอร์ตส์ เริ่มบันทึกสถิติ starting formations ตั้งแต่ซีซัน 2006-07 ซึ่งมีการใช้ฟอร์แมท 4-4-2 มากถึง 498 ครั้ง ตามมาห่างๆด้วย 4-5-1 เพียง 71 ครั้ง และ 4-3-3 จำนวน 63 ครั้ง

4-4-2 ยังคง “ยืนหนึ่ง” อีก 5 ปีแต่จำนวนก็ลดลงเรื่อยๆจนกระทั่งลงมาที่ 251 ครั้งในซีซัน 2011-12 ก่อนเสียตำแหน่งให้ 4-2-3-1 ในซีซัน 2012-13 ที่จำนวน 335 ครั้ง เพิ่มจาก 125 ครั้งในซีซันก่อนหน้านี้ ส่วนซีซัน 2012-13 ตัวเลขของ 4-4-2 ลงมาเหลือเพียง 91 ครั้ง นับจากนั้นเป็นต้นมา 4-2-3-1 ก็เป็นหมากเกมที่ได้รับความนิยมสูงสุดในพรีเมียร์ลีก

สกาย สปอร์ตส์ ให้ข้อสังเกตว่า 4-2-3-1 เริ่มได้รับโมเมนตัมจากกุนซือลีกเมืองผู้ดีอย่างมีนัยยะตั้งแต่ซีซัน 2009-10 ขณะที่กระแส 4-3-3 เริ่มเข้ามาในปีต่อมา ส่วน 62 ครั้งของ 4-4-2 ในซีซันนี้เป็นสถิติต่ำที่สุดนับตั้งแต่ซีซัน 2006-07 ซึ่งสาเหตุมาจากผู้จัดการปรับใช้กลยุทธ์หมากเกมหลากหลายซับซ้อนขึ้นโดยเฉพาะหน้าที่ไฮบริดอย่าง inverted full-back และ inverted winger 

อีกประเด็นที่มองข้ามไม่ได้คือ เบิร์นลีย์กับเซาแธมป์ตัน สองทีมที่เป็นตัวหลักของ 4-4-2 ช่วงที่ผ่านมา โดยเบิร์นลีย์ลงไปอยู่แชมเปียนชิพพร้อมการจากไปของแซม ไดซ์ ส่วนเซาแธมป์ตันก็เล่นรูปแบบที่ต่างไปตามกุนซือ 3 คนในซีซันนี้

แต่ต้องบันทึกไว้เช่นกันว่า ทีมครึ่งบนตารางไม่ได้เพิกเฉยต่อ 4-4-2 ระบบที่หลายคนมองว่าตกยุคเช่น วิลลาใช้ 15 ครั้ง ไบรท์ตัน 3 ครั้ง ลิเวอร์พูล 2 ครั้ง และสเปอร์ส 2 ครั้ง แม้แต่แมนฯซิตียังใช้หนึ่งโอกาส

การถล่มประตูของเบอร์ 9 เหนือแนวรุกริมเส้น

แมนฯซิตีชนะเลิศพรีเมียร์ลีก ซีซัน 2021-22 ด้วยนักเตะตำแหน่ง false No 9 แต่ไม่เป็นความลับใดๆว่า เป๊ป กวาร์ดิโอลา ต้องการศูนย์หน้าหมายเลข 9 เมื่อพยายามเจรจาซื้อแฮร์รี เคน ดาวยิงทีมชาติอังกฤษในตลาดซัมเมอร์ปี 2021  แต่ต้องล้มโต๊ะเจรจาเพราะโดนสเปอร์สโก่งราคาถึง 100 ล้านปอนด์ ทีมเรือใบสีฟ้ามาสมหวังกลางปีที่แล้วเมื่อจ่ายเงินแค่ 51ล้านปอนด์ให้โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เพื่อแลกกับเออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ศูนย์หน้าดาวรุ่งทีมชาตินอร์เวย์

ขอบคุณภาพจาก  https://www.premierleague.com/news/3486228

ด้วยวัยเพียง 22 ปี และปีแรกในพรีเมียร์ลีก ฮาลันด์กระหน่ำสกอร์สูงถึง 36 ประตู ทำลายสถิติสูงสุด 34 ประตู ซึ่งอลัน เชียเรอร์ และแอนดี โคล สร้างไว้เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว ตามมาห่างๆด้วย 30 ประตู เคน (สเปอร์ส), 20 ประตู อีวาน โทนีย์ (เบรนท์ฟอร์ด), 19 ประตู โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ (ลิเวอร์พูล) และ 18 ประตู คัลลัม วิลสัน (นิวคาสเซิล)

สำหรับเคน แม้สเปอร์สจะทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐาน แต่เขายังกระซวกตาข่ายถึง 30 ประตู เท่ากับสถิติสูงสุดส่วนตัวในซีซัน 2017-18 และพัฒนาจากซีซันที่แล้ว ซึ่งทำได้เพียง 17 ประตู รั้งอันดับ 4 บนตารางดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก 

เป็นที่น่าสังเกตว่า ท็อป-5 ซีซันนี้เป็นนักเตะหมายเลข 9 ถึง 4 คนยกเว้นซาลาห์ที่ยืนฝั่งขวาของแนวรุกฟรอนท์ทรีให้ลิเวอร์พูล ต่างกับซีซันที่แล้ว ซน ฮึง-มิน (สเปอร์ส) และซาลาห์ ซึ่งครองรางวัลรองเท้าทองคำด้วยจำนวน 23 ประตูเท่ากัน และอันดับ 5 ซาดิโอ มาเน (ลิเวอร์พูล) 16 ประตูต่างเป็นแนวรุกริมเส้น ยกเว้นอันดับ 3-4 คริสเตียโน โรนัลโด (แมนฯยูไนเต็ด) 18ประตูกับเคน 17 ประตู ที่ยืนตำแหน่งศูนย์หน้าตัวเป้า 

หรือถ้าชายตามอง 5 อันดับถัดมาในซีซันที่แล้วมีเพียงอันดับ 6 (ร่วม) เจมี วาร์ดี (เลสเตอร์) ที่รับบทบาทหัวหอก ส่วนเควิน เดอ บรอยน์ (แมนฯซิตี) กับ ดีโอโก โซตา (ลิเวอร์พูล) ซึ่งทำ 15 ประตูเท่าเวอร์ดี รวมถึงอันดับ 9 วิลฟรีด ซาฮา (พาเลซ) 14 ประตู และอันดับ 10 ราฮีม สเตอร์ลิ่ง (แมนฯซิตี) 13 ประตู ต่างไม่ใช่ศูนย์หน้าเบอร์ 9

ซาลาห์จุดประกายปีกขวาเท้าซ้ายเป็นเทรนด์ฮิต

โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ปีกเท้าซ้ายดาวดัง ลากเลื้อยทำเกมรุกฝั่งขวาให้ลิเวอร์พูลตลอด 5 ซีซันล่าสุด คู่หูเท้าซ้ายของแมนฯซิตี ริยาด มาห์เรซ และ แบร์นาโด ซิลวา ต่างรับผิดชอบฟากขวาของสนาม บูกาโย ซากา ซึ่งเป็นอีกคนที่ถนัดเท้าซ้ายและเป็นคีย์แมนในความสำเร็จของอาร์เซนอลซีซันนี้ ก็สร้างอันตรายจากเกมรุกด้านขวา

ปีกขวาเท้าซ้ายจึงเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมในพรีเมียร์ลีกชนิดไม่อาจปฏิเสธได้ กล่าวได้ว่าเกือบทุกทีมบนครึ่งบนของตารางอันดับต่างใช้แทคติกนี้อย่างเช่น อันโตนี ของแมนฯยูไนเต็ด, มิเกล อัลมิรอน ของนิวคาสเซิล และไบรอัน เอ็มเบวโม ของเบรนท์ฟอร์ด ขณะที่เชลซีแม้จบด้วยอันดับ 12 แต่ตั้งแต่ปลายเมษายนได้ให้โอกาส โนนี มาดูเอเก ดาวรุ่งวัย 21 ปี ลงตัวจริงตำแหน่งปีกขวา เช่นเดียวกับ จาร์รอด โบเวน ของเวสต์แฮม และแฮร์รี วิลสัน ของฟูแลม

ต่อคำถามว่า “ทำไม” สามารถใช้ shot map ของซาลาห์ในพรีเมียร์ลีกซีซันนี้มาอธิบาย โดยแนวรุกทีมชาติอียิปต์กลับมาสร้างอันตรายให้คู่แข่งอีกครั้งจากบทบาท wide forward ซึ่งการตัดเข้าในทำให้ซาลาห์มีพื้นที่มากขึ้นในการยิงประตู แถมยังสามารถทะลวงไปถึงพื้นที่ตรงกลางได้มากขึ้น

“เป๊ป คอนเนคชัน” จุดไฟสมรภูมิพรีเมียร์ลีกเดือด

ขณะที่เป๊ป กวาร์ดิโอลา มอบถ้วยรางวัลพรีเมียร์ลีกแก่แมนฯซิตีเป็นครั้งที่ 5 ในรอบ 6 ปี มองไปทีมอันดับ 2-3 อาร์เซนอลกับแมนฯยูไนเต็ด ซึ่งถูกคาดหมายจะเขย่าบัลลังก์ทีมเรือใบสีฟ้าให้สั่นคลอนซีซันหน้า กุนซือของสองทีมมีความเชื่อมโยงกับกวาร์ดิโอลา

มิเกล อาร์เตตา เคยทำงานกว่า 3 ปีกับกวาร์ดิโอวาในฐานะผู้ช่วยผู้จัดการทีมในแมนเชสเตอร์ ก่อนย้ายมารับตำแหน่งใหญ่ของอาร์เซนอล และซีซันนี้ เขาเกือบพาทีมปืนใหญ่ครองแชมป์สมัยแรกนับจากยุคแชมป์ไร้พ่ายในซีซัน 2003-04 ส่วนเอริก เทน ฮาก ซึ่งใช้เวลาไม่ถึงปี พาแมนฯยูไนเต็ดกลับไปเล่นแชมเปียนส์ลีกอีกครั้ง ก็เคยคุมทีมบีของบาเยิร์น มิวนิก ช่วงที่กวาร์ดิโอลาเป็นเฮดโค้ชชุดใหญ่ 

แม้แต่ โรแบร์โต เด แซร์บี ซึ่งช่วยให้ไบรท์ตันได้ลงสังเวียนทวีปยุโรปเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ก็ยอมรับว่ากวาร์ดิโอลาเป็นแรงบันดาลใจให้เขามุ่งมั่นกับอาชีพโค้ช ขณะที่ แว็งซ็องต์ ก็องปานี ซึ่งเพิ่งพาเบิร์นลีย์ขึ้นสู่ลีกสูงสุดในฐานะแชมป์แชมเปียนชิพ ก็เคยสวมปลอกแขนกัปตันทีมแมนฯซิตีในยุคกวาร์ดิโอลา

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Special Content

สตีฟ คูเปอร์ ผู้บันดาล 2 ปี 2 ปาฎิหาริย์แก่ฟอเรสต์

วันเสาร์ที่ 20 พฤษภาคม 2023 เป็นหนึ่งในวันสำคัญของพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2022-23 เพราะการแข่งขันที่ซิตี กราวน์ ซึ่งน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ เฉือนชนะอาร์เซนอล 1-0 จากประตูนาทีที่ 19 ของ ไตโว อโวนิยี โดยทีมเจ้าป่าครองบอลเพียง 18% เป็นเปอร์เซ็นต์ต่ำที่สุดสำหรับทีมชนะในเกมพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่ซีซัน 2003-04

นัดนี้นัดเดียวทำให้เกิด 3 เรื่องสำคัญคือ  1. อาร์เซนอลหมดโอกาสครองแชมป์ลีกสูงสุดสมัยแรกในรอบเกือบ 2 ทศวรรษนับตั้งแต่ชนะเลิศซีซัน 2003-04 แบบไร้พ่าย  2. แมนเชสเตอร์ ซิตี ครองแชมป์สมัยที่ 5 ในรอบ 6 ปี  3. ฟอเรสต์รอดพ้นจากการกลับไปอยู่แชมเปียนชิพหลังจากได้สิทธิ์เลื่อนชั้นพรีเมียร์ลีกโดยชนะฮัดเดอร์ฟิลด์ 1-0 นัดชิงชนะเลิศเพลย์-ออฟ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2022

พรีเมียร์ลีก ซีซัน 2022-23 ถ้าไม่นับอันดับ 18 จากนัดเปิดสนามที่แพ้ 0-2 ในบ้านของนิวคาสเซิล “เดอะ เรดส์” เริ่มหล่นมาอยู่โซนตกชั้นตั้งแต่นัดที่ 6 ต้นเดือนกันยายนเมื่อแพ้บอร์นมัธ 2-3 ที่ซิตี กราวน์ ฟอเรสต์รั้งอันดับรองบ๊วยและวนเวียนอยู่ 3อันดับท้ายตารางจนปฏิทินเข้าสู่ปี 2023 จึงผุดขึ้นมาหายใจหายคอเหนือโซนสีแดงได้ตั้งแต่ออกไปเฉือนเซาแธมป์ตัน 1-0เมื่อวันที่ 4 มกราคม ขยับขึ้นมาอันดับ 15

แม้ติดทีมเต็งตกชั้นจากราคาต่อรองของบริษัทรับพนันแต่ฟอเรสต์ยังประคองตัวไม่ลงไปอยู่เขตอันตรายนาน 3 เดือน จนกระทั่งวันที่ 8 เมษายน แพ้แอสตัน วิลลา 0-2 (เยือน) ซึ่งเป็นความปราชัยบอลลีกนัดที่ 6 จาก 9 นัดล่าสุด ตกมาอยู่อันดับ 18

ฟอเรสต์ไม่มีแต้มเพิ่มต่ออีก 2 นัด แพ้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-2 (เหย้า) และแพ้ลิเวอร์พูล 2-3 (เยือน) ก่อนเถือไบรท์ตัน 3-1 (เหย้า) เมื่อวันที่ 29 เมษายน ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 17 ก่อนหล่นไปอยู่อันดับ 3 จากท้ายตารางอีกครั้งเมื่อแพ้เบรนท์ฟอร์ด 1-2 (เยือน)

เหมือนนักเตะฟอเรสต์งัดพลังสำรองขึ้นมาใช้ถูกที่ถูกเวลา เฉือนเซาแธมป์ตัน 4-3 (เหย้า), เสมอเชลซี 2-2 (เยือน) และชนะอาร์เซนอล 1-0 (เหย้า) เก็บเพิ่ม 7 แต้มจาก 3 นัด ได้รับการต่ออายุจากพรีเมียร์ลีกแม้ยังเหลือนัดปิดซีซันกับคริสตัล พาเลซ (เยือน) ในวันที่ 26 พฤษภาคม

สำหรับผลงานบอลถ้วย ฟอเรสต์สิ้นสุดเส้นทางเอฟเอ คัพ แค่ลงเตะนัดแรก แพ้แบล็คพูล 1-4 ในการแข่งขันรอบ 3 ส่วนอีเอฟแอล หรือ คาราบาว คัพ ทีมเจ้าป่าไปไกลถึงรอบรองชนะเลิศและแพ้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์รวม 0-5

ปาฏิหาริย์จากความศรัทธาและเชื่อมั่น

ความสำเร็จของ สตีฟ คูเปอร์ และลูกทีมฟอเรสต์ ทำให้ซีซันนี้เป็นครั้งที่ 4 ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่ 3 ทีมน้องใหม่ไม่กลับลงไปเล่นแชมเปียนชิพ กุนซือวัย 43 เปิดใจว่าเขาไม่เคยสูญเสียความศรัทธาและความเชื่อมั่นที่มีต่อนักเตะของเขาแม้กระทั่งช่วงวิกฤติ 2 ครั้งคือ 2 เดือนจากกลางสิงหาคมถึงกลางตุลาคมที่ฟอเรสต์ไม่ได้สัมผัสชัยชนะสักนัด และกว่า 2 เดือนครึ่งจากวันที่ 5 กุมภาพันธ์ถึง 26 เมษายน ซึ่งได้มาแค่ 3 แต้มจาก 11 นัด และหล่นไปอยู่ตำแหน่งรองบ๊วยขณะเหลือ 6 เกม

แต่อดีตผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ ยู-17 ชุดแชมป์โลก ไม่ยอมแพ้ พาฟอเรสต์ขึ้นมาจากโซนสีแดงได้สำเร็จ จึงไม่แปลกใจเลยเมื่อบรรยากาศในซิตี กราวน์ หลังชนะอาร์เซนอล ทั้งเจ้าของสโมสร บอร์ดบริหาร นักเตะ ทีมงานโค้ช สตาฟฟ์ฝ่ายต่างๆ และแฟนบอล จึงร่วมฉลองราวกับครองแชมป์ยูโรเปียน คัพ

คูเปอร์เปิดใจว่า “ไม่มีสักครั้งเลยที่ผมจะไม่รู้สึกศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวนักเตะของผม มันมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก เราผ่าน 2เดือนครึ่งโดยไม่ชนะใคร นี่เป็นปีที่ 4 ของผมในการคุมทีมชุดใหญ่ ผมรู้ดีว่ายังต้องสัมผัสประสบการณ์ความพ่ายแพ้มากกว่านี้ แต่ผมจำเป็นต้องซึมซับและผ่านเวลาที่ยากลำบากไปให้ได้ ผมคงต้องใช้เวลาอีกนานก่อนกลายเป็นผู้จัดการทีมที่เหมาะสม แต่ถ้าต้องแสดงให้เห็นว่าผมจริงจังกับการบริหารจัดการสโมสรแห่งนี้มากแค่ไหน ผมต้องทำให้เห็นในช่วงเวลาที่สาหัสสากรรจ์ด้วยเช่นกัน”

ทางด้าน อีวานเจลอส มารินาคิส เจ้าของสโมสรชาวกรีซ ยอมรับว่ามีความสุขมากที่ตัดสินใจสนับสนุนคูเปอร์ให้คุมทีมฟอเรสต์ต่อไป ทั้งนี้ต้นเดือนเมษายน แม้ฟอเรสต์โชว์ฟอร์มได้ย่ำแย่สุ่มเสี่ยงตกชั้นแต่มารินาคิสกล่าวกับนักข่าวว่า เขายังศรัทธาคูเปอร์แต่ผลแข่งขันและการเล่นจะต้องปรับปรุงอย่างรวดเร็ว

“เมื่อเทียบกับทีมอื่นๆ คงไม่มีทีมไหนสมควรเปลี่ยนสตาฟฟ์โค้ชมากไปกว่าฟอเรสต์อีกแล้ว แต่มันเป็นการตัดสินใจที่ซีเรียสมากๆหากต้องเปลี่ยนโค้ช ซึ่งหมายความว่าคุณต้องหาคนที่ดีกว่ามาทำงานแทน และเขายังต้องว่างตอนนั้นด้วย”

“ผมมองตัวเองว่าได้ให้การสนับสนุนเขามากเท่าที่ทำได้ และใช่ นั่นเป็นการตัดสินใจที่ฉลาด แต่ยอมรับว่ามีหลายครั้งที่ผมก็รู้สึกเห็นด้วยและเห็นต่างเหมือนกัน”

อนึ่งพรีเมียร์ลีก ซีซัน 2022-23 มีผู้จัดการถูกไล่ออกทั้งสิ้น 12 คนหลังจากเบรนแดน รอดเจอร์ส (เลสเตอร์) และแกรห์ม พอตเตอร์ (เชลซี) ตกงานวันเดียวกัน (2 เม.ย.) เป็นการทำลายสถิติสูงสุดเดิม 10 คน ที่เคยเกิดขึ้นห้าซีซัน (1994-95, 2008-09, 2013-14, 2017-18, 2021-22) ทั้งนี้ไม่นับกุนซือชั่วคราวและที่แยกทางกับสโมสรแบบสมัครใจทั้งสองฝ่าย โดยต้นเมษายนที่ผ่านมา คูเปอร์และเดวิด มอยส์ (เวสต์แฮม) ยังถูกมองว่าน่าจะเป็นกุนซือลำดับที่ 13 ที่จะตกงานปลายซีซัน

พาทีมชาติอังกฤษครองแชมป์โลก ยู-17

สตีฟ คูเปอร์ เป็นชาวเวลส์ เกิดวันที่ 10 ธันวาคม 1979 ที่เมืองพอนตีพริดด์ ประเทศเวลส์ เป็นบุตรชายของคีธ คูเปอร์ อดีตผู้ตัดสินฟุตบอล คูเปอร์ ซึ่งสมัยเด็กเป็นแฟนบอลลิเวอร์พูล เล่นตำแหน่งกองหลังแต่ไม่มีประวัติในฐานะนักฟุตบอลให้พูดถึงนัก ปลายทศวรรษ 1990 เคยร่วมทีมเร็กซ์แฮมแต่ไม่มีโอกาสลงสนาม ก่อนย้ายไปอยู่กับสโมสรในเวลส์ ฟุตบอล ลีก อย่าง Total Network Solutions, Rhyl, Bangor City และ Portmadog ระหว่างปี 1999 ถึง 2003 โดยบังกอร์ ซิตี เป็นทีมที่คูเปอร์ได้เล่นมากที่สุดแต่ก็แค่ 57 นัดบอลลีก มีผลงาน 3 ประตู และโมเมนต์ที่น่าจดจำคือลงเตะยูฟา คัพ กับ FK Sartid Smederevo เมื่อปี 2002

ช่วงอยู่เร็กซ์แฮมในปี 1998 – 1999 ไบรอัน ฟลินน์ ผู้จัดการทีมขณะนั้น แนะนำให้คูเปอร์ ซึ่งอายุแค่ 19-20 ปี เบนเข็มชีวิตไปเป็นโค้ช  ประวัติระบุว่า คูเปอร์เริ่มร่ำเรียนวิชาโค้ชตามระบบขณะยังมีอาชีพค้าแข้งจนได้รับเลือกเข้าไปทำงานในอะคาเดมีของเร็กซ์แฮม เขายังได้รับยูฟา โปร ไลเซนซ์ ขณะอายุแค่ 27 ปี

หลังใช้เวลาหลายปีกับเร็กซ์แฮม สโมสรได้โปรโมทคูเปอร์ขึ้นเป็นหัวหน้าฝ่ายพัฒนาเยาวชน ก่อนย้ายไปทำงานในสตาฟฟ์โค้ชทีมเยาวชนลิเวอร์พูลในเดือนกันยายน 2008 ช่วงแรกได้รับมอบหมายให้คุมทีม ยู-12

18 กรกฏาคม 2011 คูเปอร์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการอะคาเดมีของลิเวอร์พูล และคุมทีม ยู-18 ในซีซัน 2012-13 ซึ่งสามารถตะลุยเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ เอฟเอ ยูธ คัพ แต่แพ้ต่อเซลซี

10 ตุลาคม 2014 สมาคมฟุตบอลอังกฤษแต่งตั้งคูเปอร์เป็นผู้จัดการทีมชาติ ยู-16 ก่อนขยับไปคุมรุ่น ยู-17 ในเดือนกรกฎาคม 2015 มีโอกาสร่วมงานกับเจดอน ซานโช, ฟิล โฟเดน และคัลลัม ฮัดสัน-โอดอย คูเปอร์พาทีมเยาวชนสิงโตคำรามผ่านเข้าชิงแชมป์แห่งชาติทวีปยุโรป ยู-17 เมื่อปี 2017 แต่ได้เพียงรองแชมป์เมื่อแพ้ดวลจุดโทษสเปน 1-4 หลังจากเสมอกัน 2-2 ก่อนประสบความสำเร็จสูงสุด ครองแชมป์โลก ยู-17 ในเดือนตุลาคม 2017 โดยรอบตัดเชือก อังกฤษชนะบราซิล 3-1 ส่วนรอบชิง อังกฤษชนะสเปน 5-2

คูเปอร์ยังคุมทีม ยู-17 ของอังกฤษต่อไป โดยผลงานศึกลูกหนังยูโร 2018 ในฐานะแชมป์เก่า อังกฤษแพ้ดวลจุดโทษเนเธอร์แลนด์ในรอบรองชนะเลิศ ส่วนปี 2019 ไม่ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศแม้ชนะสวีเดน 3-1 ในนัดสุดท้ายรอบแบ่งกลุ่ม เขาพ้นตำแหน่งกลางปี 2019 มีผลงานคุมทีมอังกฤษ ยู-17 รวม 66 นัด ชนะ 45 นัด เสมอ 11 นัด แพ้ 10 นัด

เริ่มคุมทีมซีเนียร์ระดับสโมสรกลางปี 2019

13 มิถุนายน 2019 คูเปอร์เซ็นสัญญา 3 ปี เป็นผู้จัดการของ สวอนซี ซิตี ทีมในแชมเปียนชิพ ออกสตาร์ทงานกุนซือระดับสโมสรได้สวยงาม รับรางวัลผู้จัดการยอดเยี่ยมประจำเดือนสิงหาคม 2019 ของแชมเปียนชิพ โดย “เดอะ สวอนส์” ทีมลูกหนังเวลส์ ไม่แพ้ใครในการออกสตาร์ทซีซัน 2019-20 ยืนแป้นจ่าฝูงของลีก เก็บมาได้ 16 คะแนนจาก 6 นัด เป็นการเริ่มต้นฤดูใหม่ที่เยี่ยมที่สุดในรอบ 41 ปีของสโมสร

การระบาดของไวรัสโควิดทำให้แชมเปียนชิพพักแข่งขันชั่วคราว สวอนซีอยู่อันดับ 11 ของตาราง มีแต้มต่ำกว่าโซนเพลย์ออฟ 3 คะแนน จากนั้นบอลลีกกลับมาเตะและนัดสุดท้าย สวอนซีชนะเรดดิง 4-1 ทะยานขึ้นอันดับ 6 เบียดชนะฟอเรสต์ด้วยผลต่างประตู คว้าตั๋วเพลย์ออฟใบสุดท้าย แต่ทีมหงส์ขาวแพ้เบรนท์ฟอร์ดด้วยสกอร์รวม 2-3 ในรอบรองชนะเลิศ

ซีซันที่สอง 2020-21 คูเปอร์พาสวอนซีเล่นเพลย์ออฟอีกครั้งขณะยังเหลือคิวเตะ 2 นัดแม้โดนวิจารณ์เรื่องสไตล์การเล่นและฟอร์มที่กระท่อนกระแท่น สวอนซีจบด้วยอันดับ 4 แต่นัดชิงชนะเลิศแพ้เบรนท์ฟอร์ด 0-2 คูเปอร์และสโมสรประกาศแยกทางกันในเดือนกรกฎาคม 2021

21 กันยายน 2021 งานใหม่ของคูเปอร์ยังอยู่ในแชมเปียนชิพ เขาเซ็นสัญญาเป็นผู้จัดการทีมฟอเรสต์แทนคริส ฮิวจ์ตัน ที่ได้แต้มเดียวจาก 7 นัดแรกและรั้งอันดับบ๊วยของตาราง

คูเปอร์ลงมือปรับปรุงรูปแบบการเล่นของฟอเรสต์ทันที กระตุ้นให้นักเตะมีความมั่นใจมากขึ้นยามครองบอลและเพิ่มเปอร์เซ็นต์ในการบุก เขายังมีอิทธิพลต่อสภาพจิตใจให้มีทีมเวิร์คเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน พร้อมปลูกฝังแนวคิด “big club mentality” เน้นย้ำประวัติศาสตร์ของฟอเรสต์ที่เคยครองความยิ่งใหญ่โดยเฉพาะปลายทศวรรษ 1970 ซึ่งฟอเรสต์ชนะเลิศดิวิชัน 1 ซีซัน 1977-78 ตามด้วยแชมป์ยูโรเปียน คัพ 2 สมัยติดต่อกัน

ฟอเรสต์จบซีซันด้วยอันดับ 4 และเฉือนฮัดเดอร์ฟิลด์ 1-0 นัดชิงชนะเลิศเพลย์ออฟ วันที่ 29 พฤษภาคม 2022 กลับขึ้นมาเล่นพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่รั้งอันดับ 20 ในซีซัน 1998-99 ซึ่งระหว่างนี้ ฟอเรสต์เคยลงไปอยู่เทียร์ 3 หรือลีกวัน 3 ฤดูกาล ฟอเรสต์ตอบแทนคูเปอร์ในเดือนตุลาคมด้วยการขยายสัญญาจนถึงปี 2005

รวมหลายหัวใจเป็นหนึ่งเดียวที่น็อตติงแฮม

อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้กุนซือผู้มีประสบการณ์คุมสโมสรไม่ถึง 4 ปีเต็ม พาฟอเรสต์ผ่านวิกฤติรุนแรงได้ราวกับผู้จัดการทีมมากประสบการณ์ หนึ่งในทักษะที่คูเปอร์แสดงออกมาได้ชัดเจนคือ “จิตวิทยา”

ตลาดซัมเมอร์ปีที่แล้ว บอร์ดบริหารสนับสนุนคูเปอร์สำหรับการคืนสู่พรีเมียร์ลีกในรอบ 23 ปี ด้วยการเซ็นสัญญานักเตะใหม่ถึง 22 คน บวกอีก 7 คนในตลาดเดือนมกราคม ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องดีแต่อีกด้านหนึ่งทำให้ขุมกำลังฟอเรสต์เปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างมากเทียบกับซีซันก่อนในแชมเปียนชิพ จำนวนนักเตะมากมายจากหลายเชื้อชาติและต่างลีก แต่คูเปอร์ใช้เวลาอันสั้นสร้างอัตลักษณ์ จิตวิญญาณ และวัฒนธรรมขึ้นมาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเหมือนฟอเรสต์เป็นทีมที่ร่วมหัวจมท้ายมานาน

หลายคนแสดงถึงพัฒนาการตลอดซีซัน ไตโว อโวนิยี ซึ่งช่วง 2-3 เดือนแรกดูเหมือนก้อนคาร์บอนที่ยังไม่ได้เจียระไนเป็นเพชร เป็นเจ้าของประตูสำคัญในชัยชนะเหนืออาร์เซนอล ซึ่งเป็น 5 ประตูจาก 3 นัดล่าสุด, สามฮีโรจากซีซันที่แล้ว เบรนแนน จอห์นสัน, ไรอัน เยตส์ และโจ วอร์รัลล์ ต่างพิสูจน์ตัวเองว่าสมควรอยู่ในพรีเมียร์ลีก, มอร์แกน กิบส์-ไวท์ เป้าหมายเบอร์ 1 ของคูเปอร์ในตลาดกลางปีที่แล้ว สมควรได้รับตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของฟอเรสต์และถึงเวลาสำหรับทีมชาติอังกฤษ

ขณะที่เอฟเวอร์ตัน, ลีดส์ และเลสเตอร์ ต่างเจอวิกฤติทั้งในและนอกสนาม แต่บรรยากาศที่ซิตี กราวน์ กลับสงบเงียบราวกับอยู่กลางตารางอันดับ แฟนบอลไม่เคยสงสัยความทุ่มเทมุ่งมั่นของนักเตะและการสนับสนุนจากบอร์ดบริหาร

“เดอะ เรดส์” ได้รับกำลังใจจากแรงเชียร์ที่น่าทึ่งเสมอของแฟนบอลทั้งเกมเหย้าและเยือน สังเกตจากความทุ่มเทเกินร้อยในแมตช์กับบิ๊กทีมอย่างเสมอแมนฯซิตี 1-1 (เหย้า), แพ้ลิเวอร์พูล 2-3 (เยือน) และแน่นอน ชนะอาร์เซนอล 1-0 (เหย้า) สิ่งเดียวกันพวกเขาได้มอบให้ระหว่างช่วงเวลาที่เลวร้ายเช่น แพ้เลสเตอร์ -0-4 (เยือน) ยังมีเสียงตะโกนเรียกชื่อคูเปอร์เพื่อให้กำลังใจ และแทบไม่มีเสียงโห่ไล่ให้ได้ยินจากอัฒจันทร์ช่วงฟอเรสต์แพ้ 4 นัดรวดหรือไร้ชัยชนะติดต่อกัน 11 นัด

หนึ่งในเวทมนตร์ของคูเปอร์เห็นได้จากสนามฝึกซ้อม ซึ่งนักเตะและสตาฟฟ์โค้ชรวมหัวใจเป็นหนึ่งเดียว คูเปอร์ให้ความสำคัญกับการสื่อสารและสนับสนุนให้ผู้เล่นแสดงความคิดเห็นออกมา ซึ่งเป็นหนึ่งใน “พฤติกรรมประจำวัน” ของทีมขณะฝึกซ้อม ไม่สำคัญว่าพวกเขาเป็นใครมาจากไหนแต่ทุกคนคือครอบครัวเดียวกัน ดีน เฮนเดอร์สัน ผู้รักษาประตูที่บาดเจ็บ และสตีฟ คุ๊ก กองหลังที่หลุดจากรายชื่อ 25 นักเตะ ยังร่วมเดินทางไปให้กำลังใจเพื่อนๆในแมตช์เยือน

คูเปอร์ไม่ยอมให้ใครมาทำลายจิตวิญญาณของทีม เราจึงเห็นมุมเด็ดขาดจากกุนซือเวลส์ ตัวอย่างเช่น จอนโจ เชลวีย์ กองกลางที่ถูกตัดชื่อออกจากแมตช์เดย์หลังมีปฏิกิริยาแย่ๆไม่ได้อยู่ในทีมที่ไปเยือนแอนฟิลด์ หรืออนาคตของอดีตแนวรุกแมนฯยูไนเต็ด เจสซี ลินการ์ด หายวับไปหลังแสดงอาการไม่ทุ่มเทในครึ่งแรกของแมตช์เยือนที่แพ้ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์

ความละเอียดอ่อนของคูเปอร์ยังพบเห็นกับบุคคลนอกสโมสรด้วย เขาเชิญอดีตผู้เล่นชุดแชมป์ยูโรเปียน คัพ อย่างเช่น จอห์น แม็คโกเวิร์น และแกร์รี เบอร์เทิลส์ มาเยี่ยมชมการฝึกซ้อมบ่อยครั้ง หรือในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ลีห์ วู้ด นักมวยดังที่เป็นแฟนทีมฟอเรสต์ เสียเข็มขัดแชมป์โลกรุ่นเฟเธอร์เวทของสมาคมมวยโลก (WBA) คูเปอร์ได้เชิญมาที่ออฟฟิศของเขาเพื่อให้กำลังใจใน 2-3 วันต่อมา

กำลังใจล้นและเสียงโห่เบาบางในซิตี กราวน์

ซิตี กราวน์ สนามความจุ 30,332 คน ซึ่งเปิดใช้มาตั้งแต่ปี 1898 มีส่วนสำคัญต่อการต่ออายุพรีเมียร์ลีกเพราะก่อนหน้าเตะปิดท้ายในบ้านของพาเลซ จากทั้งหมด 37 คะแนนที่ฟอเรสต์เก็บได้ เป็นแมตช์เหย้าถึง 30 คะแนน แต่ละนัดให้บรรยากาศเหมือนจัดอีเวนท์ไม่ใช่เกมฟุตบอล ทำให้หวนรำลึกถึงยุคทองของสโมสรที่ผงาดเหนือทวีปยุโรป โดยเฉพาะแมตช์กลางคืนที่แสงไฟสะท้อนขึ้นมาจากแม่น้ำเทรนท์

น้ำหนึ่งใจเดียวกันที่คูเปอร์สร้างขึ้นมาแสดงให้เห็นอีกครั้งที่ซิตี กราวน์ วันเสาร์ที่ 20 พฤษภาคม ลินการ์ด ซึ่งลงตัวจริงบอลลีกแค่ 12 นัด และไม่อยู่ในรายชื่อตัวสำรองนัดนี้ด้วยซ้ำ ลงไปโชว์แดนซ์สเต็ปกับแซร์จ ออริเยร์ ก่อนเข้าไปสวมกอดจอห์นสัน และถ่ายรูปกับเพื่อนร่วมทีม

เฮนเดอร์สัน นายทวารที่ยืมมาจากแมนฯยูไนเต็ด เดินโขยกเขยกด้วยไม้เท้า โบกไม้โบกมือให้กองเชียร์, ฌูเลียง เบียงโกเน ซึ่งแทบไม่ได้ลงสนามเพราะบาดเจ็บ เข้ามาดีใจในห้องพักนักกีฬา, คุ๊ก ซึ่งอาจตัดสินใจอำลาฟอเรสต์หลังหลุดจากรายชื่อ 25 ผู้เล่นของทีม ยังเข้ามาสวมกอดคูเปอร์, เคย์เลอร์ นาวาส นายทวารมือ 2 ซึ่งได้เล่นบอลลีก 17 นัดเพราะเฮนเดอร์สันบาดเจ็บ ถ่ายรูปกับก๊วนผู้รักษาประตูและโค้ช แดนนี อัลค็อก, เรแนน โรดี ซึ่งยืมตัวจากแอตเลติโก มาดริด และลงตัวจริงบอลลีก 25 นัด ถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความปลาบปลื้ม

ขอบคุณภาพจาก  https://www.bbc.com/sport/football/65660335

ฟอเรสต์ใช้เวลากว่า 2 ทศวรรษเพื่อขึ้นมาเล่นพรีเมียร์ลีกและได้รับรู้ว่า การเลื่อนชั้นว่ายากแล้ว แต่ที่ยากกว่าคือรักษาตัวให้อยู่รอดปลอดภัยจากการตกชั้น คูเปอร์ ซึ่งเพิ่งมีประสบการณ์คุมทีมซีเนียร์ระดับสโมสรเมื่อกลางปี 2019 อาจไม่ได้รับรางวัลผู้จัดการยอดเยี่ยมแห่งปี แต่การจบพรีเมียร์ลีกซีซันแรกด้วยอันดับ 16 เป็นความสำเร็จใหญ่หลวงที่มองข้ามไม่ได้

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Special Content

อังเก ปอสเตโคกลู คนสู้ชีวิต จากกุนซือโนเนมสู่ฮีโรของเซลติก

อังเกโลส หรือ อังเก ปอสเตโคกลู ชื่อนี้เคยถูกเอ่ยอย่างหนาหูในหมู่แฟนบอลและสื่อไทยเมื่อครั้งคุมทีมโยโกฮามา เอฟ. มารินอส เพราะธีราทร บุญมาทัน แบ็คซ้ายทีมชาติไทย เป็นหนึ่งในลูกทีมของกุนซือออสซีตั้งแต่ยืมตัวจากเมืองทอง ยูไนเต็ด ในเดือนมกราคม 2019 ก่อนซื้อขาดในเดือนธันวาคมโดยปีนั้น มารินอสคว้าแชมป์ เจลีก 1 มาครองเป็นสมัยแรกในรอบ 15ปี

หลังทำงานในดินแดนปลาดิบ 3 ปีครึ่ง ปอสเตโคกลูเดินทางข้ามทวีปมารับตำแหน่งผู้จัดการทีมเซลติก ยักษ์ใหญ่สกอตแลนด์ เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2021 ด้วยสัญญาเพียง 12 เดือน จากกุนซือโนเนมกลายเป็นขวัญใจและฮีโรของแฟนบอลเซลติกภายในเวลาอันรวดเร็ว เพียงซีซันแรก 2021-22 กุนซือชาวออสเตรเลียนเชื้อสายกรีกก็ทำดับเบิลแชมป์ นำถ้วยสกอตติช พรีเมียร์ชิพ และสกอตติช ลีกคัพ ใส่ไว้ในตู้โชว์ถิ่นเซลติก ปาร์ก

ซีซันล่าสุด 2022-23 ปอสเตโคกลูซ้ำรอยความสำเร็จ รักษาแชมป์ลีกคัพด้วยการเฉือนเรนเจอร์ส 2-1 ในนัดชิงชนะเลิศ 26กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และคว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพสมัยที่ 11 ในรอบ 12 ปีเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมแม้เหลือโปรแกรมแข่งอีก 4นัด เซลติกยังมีโอกาสทำทริปเปิลแชมป์หากเอาชนะอินเวอร์เนสส์ คาเลโดเนียน ธิสเซิล คู่แข่งจากแชมเปียนชิพ ในนัดชิงชนะเลิศ สกอตติช คัพ (หรือเอฟเอ คัพ ของสกอตแลนด์) วันที่ 3 มิถุนายน

กลางเดือนพฤษภาคม กุนซือร่างใหญ่วัย 57 ยังได้รับรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปีจากสมาคมนักฟุตบอลอาชีพแห่งสกอตแลนด์ เคียงข้างสตาร์คู่ใจ เคียวโงะ ฟุรุฮาชิ ศูนย์หน้าวัย 28 ซึ่งรับตำแหน่งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสกอตติช พรีเมียร์ชิพ โดยกองหน้าทีมชาติญี่ปุ่น ซึ่งเหมา 2  ประตูในนัดชิงแชมป์ลีกคัพ มีสถิติลีกวิสกีขณะนี้ 32 นัด 24 ประตู

ก่อนหน้านี้ ปอสเตโกคลูได้รับรางวัลผู้จัดการยอดเยี่ยมแห่งปีจากการโหวตของสมาคมนักข่าวฟุตบอลสกอตแลนด์ด้วย

Who’s this guy? เป็นประโยคยอดฮิตในหมู่แฟนบอลเซลติกตอนที่สโมสรประกาศแต่งตั้งปอสเตโคกลู แน่นอนกองเชียร์คู่อริ เรนเจอร์ส นำมาล้อเลียนเป็นที่สนุกสนานเพราะไลท์บลูส์เพิ่งชนะสกอตติช พรีเมียร์ชิพ ซีซัน 2020-21 หยุดการครองแชมป์ลีกสูงสุดติดต่อกันของเซลติกไว้ที่ 9 ปี

รับบทอัศวินไร้หน้าขี่ม้าขาวกอบกู้เซลติก

ซีซัน 2020-21 ก่อนหน้าปอสเตโคกลูเข้ามารับงานใหญ่ในกลาสโกว์ เซลติกเพิ่งพลาดนั่งบัลลังก์พรีเมียร์ชิพ 10 ปีติดต่อกัน ได้แค่รองแชมป์ที่มีแต้มตามเรนเจอร์สถึง 25 คะแนน เรนเจอร์สยังเขี่ยพวกเขาตกรอบสกอตติช คัพ ส่วนลีกคัพ แพ้รอสส์ เคาน์ตี ก่อเกิดบรรยากาศอึมครึมในหมู่แฟนบอล ซึ่งเรียกร้องให้สโมสรเร่งเปลี่ยนแปลง นีล เลนนอน โดนปลดจากผู้จัดการทรีม ปีเตอร์ ลอว์เวลล์ ที่ทำหน้าที่ซีอีโอมายาวนาน ส่งสัญญาณพร้อมลาออก โดมินิค แม็คเคย์ เข้ามารับงานแทนแค่สองเดือนก็โบกมือลาด้วยเหตุผลที่ยากจะอธิบาย

เซลติกเฝ้ารอการเซย์เยสจากเอ็ดดี ฮาว เพื่อรับตำแหน่งผู้จัดการทีม ผ่านไปหลายเดือนก่อนที่สโมสรออกมายอมรับว่าดีลกับฮาวไม่มีทางเกิดขึ้นแล้ว และท้ายสุด ปอสเตโคกลูถูกเลือกให้มารับเผือกร้อนกู้วิกฤติเร่งด่วนของเซลติกท่ามกลางอากัปกิริยาเลิกคิ้วด้วยความมึนงงกับชื่อของนายใหญ่คนใหม่ที่ยังไม่เคยทำงานในยุโรปเลยแม้เคยเป็นเฮดโค้ชทีมชาติออสเตรเลียชุดใหญ่, ยู-20 และยู-17 รวมถึงดีกรีแชมป์ลีกญี่ปุ่น 1 สมัย แต่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับหลายสโมสรในออสเตรเลีย

แฟนบอลเซลติกหันมามองหน้ากันเพื่อถามหาคำตอบว่า “Ange Postecog-who?” ขณะที่อลัน บราซิล อดีตกองหน้าทีมชาติสกอตแลนด์ที่เป็นแฟนพันธุ์แท้เซลติก ยังหลุดปากในเชิงสงสัยการตัดสินใจของบอร์ดบริหารระหว่างรายการ talkSPORT ของตัวเอง แต่ถัดจากนั้นหนึ่งปี เขาได้ขอโทษปอสเตโคกลูเมื่อกุนซือออสซีนำสองแชมป์มาให้สโมสร

ทอม โรจิช อดีตมิดฟิลด์เซลติกที่เคยร่วมงานกับปอสเตโคกลูในทีมชาติออสเตรเลีย กล่าวว่า “ผมขำทุกครั้งที่มองย้อนไป แม้ผมรู้จักเขาดีแต่ก็มีแวบคิดว่าเขาเป็นใครกัน แต่ผู้คนใช้เวลาไม่นานหรอกที่จะตระหนักรู้ว่าเขาเก่งแค่ไหน และนั่นเป็นเหตุผลที่สโมสรนำเขาเข้ามา ผมยอมรับว่ามันง่ายที่จะพูดแบบนั้นตอนนี้ แต่เมื่อคุณพิจารณาผ่านประสบการณ์ ก็จะรู้ว่าเขาคือผู้จัดการทีมระดับท็อป”

เด็ก 5 ขวบนั่งเรือหนึ่งเดือนจากกรีซไปออสเตรเลีย

อังเก ปอสเตโคกลู (Ange Postecoglou) เป็นชาวออสเตรเลียน เล่นฟุตบอลตำแหน่งกองหลัง เคยเล่นให้ทีมชาติออสเตรเลีย ยู-20 จำนวน 13 นัดในปี 1985 เคยติดทีมชาติชุดใหญ่ระหว่างปี 1986 – 1988 ลงสนามเพียง 4 นัด แต่แท้จริงแล้วเขามีเชื้อสายกรีก เกิดวันที่ 27 สิงหาคม 1965 ที่ Nea Filadelfeia ย่านชานเมืองกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ

ช่วงเกิดรัฐประหารในประเทศเมื่อปี 1967 ทำให้ธุรกิจของ ดิมิทริส ปอสเตโคกลู ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น “จิม” ตัดสินใจพาครอบครัว วูลา ภรรยา กับลูกสองคน ลิซและอังเก นั่งเรือข้ามทวีปอพยพไปเริ่มชีวิตใหม่ที่เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลียในปี 1970 ตอนนั้นอังเกเพิ่งอายุ 5 ขวบ และ 4 ปีต่อมา เข้าร่วมสโมสรเซาธ์ เมลเบิร์น เฮลลาส ฝึกปรือฝีเท้ากับทีมเยาวชนระหว่างปี 1978 – 1983 ก่อนถูกโปรโมทร่วมทีมซีเนียร์ตั้งแต่ปี 1984 จนถึง 1993 เขาเล่นให้สโมสรเดียวตลอดอาชีพค้าแข้ง มีสถิติ 193 นัด 27 ประตู จากนั้นเบนเข็มทิศเป็นผู้จัดการทีมให้เซาธ์ เมลเบิร์น ระหว่างปี 1996 – 2000 ก่อนอำลาสโมสรเพื่อรับตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติออสเตรเลีย ยู-17

ปอสเตโคกลูเปรียบเทียบการเอาชนะคำสบประสาทของแฟนบอลและสื่อมวลชนในสกอตแลนด์ว่า เป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตไม่ต่างจากครอบครัวเขาเคยเผชิญเมื่อครั้งอพยพจากกรีซมาที่ออสเตรเลีย

กุนซือวัย 57 ซึ่งได้รับเบอร์ 24 เป็นหมายเลขประจำตัวผู้อพยพเมื่อปี 1970 ให้สัมภาษณ์ว่า “ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าพ่อแม่ผ่านอะไรมาบ้าง ท่านต้องพาครอบครัวเดินทางครึ่งโลก ใช้เวลาบนเรือ 30 วันไปยังประเทศที่ท่านพูดภาษาไม่ได้ อีกทั้งไม่มีบ้านไม่มีงานรออยู่”

“ผู้คนมักพูดกันว่า คุณไปประเทศอื่นเพื่อชีวิตที่ดีกว่า แต่ชีวิตพ่อแม่ผมไม่เคยดีขึ้นเลย ท่านต้องเดินทางไปออสเตรเลียเพื่อหาโอกาสให้ผมมีชีวิตที่ดีขึ้นต่างหาก”

ทางด้าน ลิซ พี่สาวที่อายุแก่กว่า 5 ปี เสริมว่า “พ่อแม่มีแค่กระเป๋าเดินทางตอนมาถึงเมลเบิร์น ต้องดูแลเด็กเล็กๆ 2 คน มันเป็นความลำบากยากเข็ญสำหรับแม่ ฉันจำได้ว่าได้ยินท่านนอนร้องไห้อยุ่หลายคืน”

ขอบคุณภาพจาก  https://www.bbc.com/sport/football/65509996

ปอสเตโคกลูกล่าวต่อว่า “ผมเข้าใจดีถึงสิทธิ์พิเศษที่ผมได้รับตอนนี้ ดังนั้นผมจึงไม่ยอมใช้ข้อได้เปรียบตรงนั้นเพราะตระหนักดีว่าพ่อและแม่เคยต้องทำงานหนักขนาดไหน พวกท่านเสียสละทั้งชีวิตเพื่อให้ผมมาอยู่ ณ จุดนี้ ทำให้ผมไม่ได้รู้สึกว่าทุกวันกำลังทำงาน แต่เป็นผมที่กำลังดำเนินชีวิตด้วยความฝันที่ก่อตัวขึ้นมาจากการเสียสละของผู้คน”

หลังใช้ชีวิตบนแผ่นดินใหม่ราว 5 ปี พ่อแม่ได้แจ้งเปลี่ยนชื่อของเขาต่อหน่วยงานรัฐจาก Angelos Postecoglou เป็น Angelos Postekos “เป็นค่านิยมสมัยนั้นที่ต้องเปลี่ยนชื่อให้สั้นลงถ้าคุณเป็นคนกรีก แต่ผมไม่เคยชอบมันเลยและไม่เคยใช้มันด้วย ผมภูมิใจในภูมิหลังของตัวเอง โอเคมันถูกใช้กับหนังสือเดินทางเล่มแรกและใบขับขี่เล่มแรกแต่นั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถทำอะไรได้”

อังเกน้อยนั่งดูเซาธ์ เมลเบิร์น เล่นทุกวันอาทิตย์

คุณพ่อของเขาเสียชีวิตเมื่อปี 2018 ปอสเตโคกลูยอมรับว่า ความสัมพันธ์ฉันท์พ่อลูกห่างไกลจากคำว่าสมบูรณ์แบบ พ่อมีวงจรชีวิตการทำงานแบบไม่รู้จักจบ ออกจากบ้านก่อนพระอาทิตย์ขึ้น พอกลับถึงก็เหนื่อยจนต้องล้มตัวลงนอนทันที

แต่มีอยู่หนึ่งวันต่อสัปดาห์ที่กิจวัตรได้ต่างออกไปให้จิมมีได้พักผ่อนร่างกายหลังต้องทำงานติดต่อกันตลอดสัปดาห์ด้วยการใช้เวลาบนอัฒจันทร์ นั่นทำให้อังเกน้อยได้เห็นอีกด้านหนึ่งของคุณพ่อ และเป็นสถานที่ที่ทำให้เขาตกหลุมรักกีฬาลูกหนัง

ทุกวันอาทิตย์ จิมมีจะพาลูกชายไปดูการแข่งขันของเซาธ์ เมลเบิร์น สโมสรลูกหนังที่ผู้อพยพชาวกรีกร่วมกันก่อตั้งขึ้น ในวันนั้นพวกเขาจะเข้าโบสถ์ช่วงเช้าก่อนไปดูฟุตบอล สำหรับปอสเตโกคลูแล้ว ฟุตบอลไม่ใช่เพียงกีฬาแต่เป็นโอกาสที่ให้เขามีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกับคุณพ่อ

“มันช่วยให้ผมเชื่อมโยงกับคุณพ่อได้รวดเร็ว ฟุตบอลเป็นอะไรที่ทำให้ท่านมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นถ้าผมรักในสิ่งนี้เหมือนท่าน นั่นจะช่วยให้ผมใกล้ชิดกับท่านมากขึ้น”

“ตอนเด็กผมจะนั่งอยู่ข้างๆคุณพ่อ ดูฟุตบอลด้วยกัน ท่านจะคอยชี้ให้เห็นความสนุกสนามของฟุตบอลและเวลาที่มีการทำประตูเกิดขึ้น ทั้งหมดได้ซึบซับเข้าไปอยู่จิตใต้สำนึกของผม เมื่อผมเป็นผู้จัดการทีม นั่นจึงเป็นลักษณะของทีมที่ผมอยากสร้างขึ้นมา”

ชีวิต one-club player และโค้ชเริ่มที่เซาธ์ เมลเบิร์น

ด้วยความผูกพันตั้งแต่เด็กบวกกับความเป็นสโมสรฟุตบอลชาวกรีก พออายุ 9 ขวบ ปอสเตโคกลูจึงเข้าร่วมฝึกวิชาลูกหนังกับเซาธ์ เมลเบิร์น เฮลลาส เขาใช้เวลาประมาณ 10 ปีเพื่อไต่เต้าตามระบบจนกลายเป็นแบ็คตัวหลักของทีมชุดใหญ่ มีส่วนในความสำเร็จกับตำแหน่งเนชันแนล ซอคเกอร์ ลีก แชมเปียนชิพ ของออสเตรเลีย 2 สมัยในปี 1984 และ 1991

คีมอน ตาเลียโดรอส อดีตเพื่อนร่วมทีม ให้สัมภาษณ์กับบีบีซี สกอตแลนด์ ว่า “อังเกเป็นหนึ่งในนักเตะผู้ยิ่งใหญ่และเป็นดาราของทีมตอนนั้น ขณะเดียวกันเขาก็ยกย่องเทิดทูนสโมสรเป็นอย่างมาก”

“เขาเป็นแบ็คซ้ายจอมลุยและเล่นแบบโอเวอร์แลป ซึ่งเหมือนกับนักฟุตบอลสมัยใหม่เล่นกันเลย เขามีความเร็วเหลือเชื่อ เต็มไปด้วยความกร้าวแกร่ง และใช้เท้าซ้ายได้สุดยอด อังเกคาดหวังกับตัวเองสูงไม่ว่าจะเจอใคร แม้ระหว่างฝึกซ้อมสนามเล็ก เขายังเป็นแบบนั้น เขากระหายชัยชนะเสมอ”

เฟเรนซ์ ปุสกัส อดีตตำนานแนวรุกทีมชาติฮังการี เป็นชื่อหนึ่งที่ปอสเตโคกลูได้ยินบ่อยครั้งจากปากของคุณพ่อเวลาพูดถึงนักฟุตบอลที่สร้างความบันเทิงให้กับคนดู และปอสเตโคกลูมีโอกาสเจอตัวจริงและทำงานใกล้ชิดตอนที่ปุสกัสเข้ามาคุมทีมเซาธ์ เมลเบิร์น ระหว่างปี 1989 – 1992 ซึ่งเป็นช่วงปลายอาชีพค้าแข้งของปอสเตโคกลู ทั้งคู่ร่วมกันพาทีมเฮลลาสชนะเลิศเอ็นเอสแอล ปี 1991 ซึ่งปีนั้นปอสเตโคกลูเป็นกัปตันทีมด้วย

ปอสเตโคกลูให้เครดิตปุสกัส ซึ่งเคยครองแชมป์ยูโรเปียน คัพ 3 สมัยเมื่อครั้งเป็นนักเตะเรอัล มาดริด ว่าเป็นหนึ่งในบุคคลทรงอิทธิพลต่ออาชีพนักฟุตบอลของเขามากที่สุด

ตาเลียโดรอส อดีตกองหน้าทีมชาติออสเตรเลีย ซึ่งเริ่มต้นอาชีพค้าแข้งที่เซาธ์ เมลเบิร์น ระหว่างปี 1987 – 1992 กล่าวว่า “อังเกเป็นผู้นำเสนอระหว่างฝึกซ้อม เขาพัฒนาจุดนี้ขึ้นมากช่วงปุสกัสคุมทีม เขาวางเป้าหมายให้กับเพื่อนร่วมทีม และพยายามทำให้จังหวะอยู่ ณ ระดับที่ถูกต้องเสมอ”

“ปุสกัสใช้แผนการเล่น 4-3-3 แต่อย่าลืมนั่นเป็นทศวรรษ 1980 เขาสั่งให้ปีกออกข้างและดันขึ้นสูง เขายังคาดหวังให้ฟูลแบ็คมีส่วนร่วมเกมบุกด้วย ชวนให้นึกถึงสไตล์การเล่นของทีมของอังเก”

กราฟชีวิตขึ้นๆลงๆก่อนคุมทีมชาติออสเตรเลีย

หลังจากเป็นนักเตะเซาธ์ เมลเบิร์น 9 ปี ปอสเตโกคลูซ้ำรอยความสำเร็จด้วยแชมป์เอ็นเอสแอล 2 สมัยในปี 1998 และ 1999 แต่ครั้งนี้ในฐานะผู้จัดการทีมซึ่งเขารับหน้าที่ระหว่างปี 1996 ถึง 2000 ผลงานที่โดดเด่นในลีกเมืองจิงโจ้ทำให้ทีมชาติออสเตรเลียมอบหมายให้เขาคุมทีม ยู-17 (2000 – 2005) และ ยู-20 (2000 – 2007) 

การทำงานกับทีมจิงโจ้น้อยสิ้นสุดหลังจากไม่สามารถพาทีมเยาวชนซอคเกอรูส์เข้าไปเล่นฟุตบอลโลก ยู-20 ในปี 2007 แถมยังก่อวิวาทะทางโทรทัศน์อย่างรุนแรงกับเคร็ก ฟอสเตอร์ อดีตผู้เล่นทีมชาติออสเตรเลียที่สบประสาทปอสเตโกคลูเรื่องประสบการณ์โค้ช โดยกุนซือเชื้อสายกรีกเปิดใจไม่นานมานี้ว่า เขาเชื่อว่าการออกสื่อครั้งนั้นทำให้เขาตกงาน

ถัดมา ปอสเตโกคลูทำงานช่วงสั้นๆที่ พานาไชกิ ซึ่งเล่นในลีกเทียร์ 3 ของกรีก (2008) และ วิทเธิลซี ซีบราส์ (2009) พร้อมเปิดคลินิกฟุตบอลในเมืองเมลเบิร์น ก่อนกลับไปสร้างชื่อเสียงอีกครั้งที่ บริสเบน รอร์ (2009 – 2012) โดยพาทีมครองแชมป์ลีกสูงสุด (ซึ่งรีแบรนด์จากเอ็นเอสแอล เป็น เอ-ลีก เมื่อปี 2005) ติดต่อกัน 2 สมัยในซีซัน 2010-11 และ 2011-12 

ปี 2012 ปอสเตโคกลูเซ็นสัญญาสามปีกับ เมลเบิร์น ซิตี แต่ทำงานได้เพียงปีเศษก็ได้รับข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธคือ ตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2013 ด้วยสัญญา 5 ปี

ทีมซอคเกอรูส์ผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล แต่สิ้นสุดเส้นทางเพียงรอบแรก แพ้ชิลี 1-3, แพ้เนเธอร์แลนด์ รองแชมป์เก่า 2-3 และแพ้สเปน แชมป์เก่า 0-3 อย่างไรก็ตาม ลูกทีมของเปสเตโคกลูก็ได้รับคำชมล้นหลามแม้ต้องอยู่ในกลุ่มแข็งจนสื่อมวลชนเชื่อว่า ทีมชาติออสเตรเลียกำลังก้าวสู่ยุคทอง ซึ่งพวกเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยตำแหน่งแชมป์เอเชียน คัพ ปี 2015 

ตาเลียโดรอสพูดถึงช่วงเวลานั้นว่า “เขาเตือนให้ฟุตบอลออสเตรเลียรู้ว่าพวกเราสามารถก้าวขึ้นสู่ระดับโลกได้ และด้วยอังเกเป็นผู้นำ พวกเรารู้สึกว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ เราอาจด้อยกว่าถ้าเทียบนักฟุตบอลตัวต่อตัว แต่ในฐานะทีม เขาทำให้เชื่อว่าพวกเราสามารถชนะทีมไหนก็ได้”

ปอสเตโกคลูสามารถพาออสเตรเลียผ่านรอบคัดเลือกไปเล่นฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย แต่ 2 สัปดาห์ต่อมา แฟนบอลทีมจิงโจ้ต้องช็อกเมื่อทราบข่าวปอสเตโกคลูประกาศอำลาตำแหน่งเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2017 ไรอัน แม็คโกเวน อดีตกองหลังทีมชาติออสเตรเลีย ให้มุมมองถึงเรื่องนี้ว่า “เขาไม่ใช่คนจำพวก ดีครับท่าน..ใช่ครับนาย เขาไม่พอใจการตัดสินใจบางอย่างของคนที่อยู่เหนือเขา เขาจึงเลือกเดินจากไป”

แต่ปอสเตโคกลูว่างงานไม่นาน โยโกฮามา เอฟ. มารินอส ประกาศแต่งตั้งเขาเป็นหัวหน้าโค้ชเมื่อวันที่ 19 ธันวาคมขณะที่กุนซือตอนนั้น เอริก มงบาร์ตส์ คุมทีมลงแข่งขัน เอ็มเพอเรอร์ส คัพ ซึ่งมารินอสเข้าถึงนัดชิงชนะเลิศแต่แพ้เซเรซโซ โอซากา ก่อนที่ปอสเตโคกลูจะรับหน้าที่อย่างเป็นทางการเมื่อปฏิทินเปลี่ยนสู่ปี 2018

ช่วงปีแรกของปอสเตโคกลูไม่ดีนัก มีบางช่วงที่มารินอสต้องดิ้นรนหนีโซนตกชั้น ก่อนจบ เจลีก 1 ซีซัน 2018 ด้วยอันดับ 12 มี 41 คะแนนจาก 34 นัด แม้ทำสกอร์ได้ 56 ประตู มากกว่าทุกทีม แต่ก็เสียไปถึง 56 ประตู สูงเป็นอันดับ 3 แต่มารินอสกลับไปได้สวยในบอลถ้วย พวกเขาแพ้โชนัน เบลล์มาเร 0-1 นัดชิงชนะเลิศ เจลีก คัพ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2018

หลังจากปฏิเสธข้อเสนอคุมทีมชาติกรีซ ปอสเตโกคลูได้รับการขยายสัญญาจากสโมสร เขาตอบแทนด้วยการพามารินอสครองแชมป์ เจลีก 1 ประจำปี 2019 ซึ่งเป็นสมัยแรกในรอบ 15 ปีของสโมสร เก็บ 70 คะแนนจาก 34 นัด เหนือรองแชมป์ เอฟซี โตเกียว 6 คะแนน แต่มารินอสป้องกันแชมป์ไม่สำเร็จ มี 47 คะแนนจาก 34 นัด จบซีซัน 2020 เพียงอันดับ 9 ก่อนปอสเตโกคลูลาออกไปคุมทีม กลาสโกว์ เซลติก ในเดือนมิถุนายน 2021

แคแร็กเตอร์ที่ปอสเตโคกลูนำมายังกลาสโกว์

ก่อนสองสโมสรออกแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ ธีราทร บุญมาทัน ได้โพสต์บนเฟสบุ๊กส่วนตัวว่า “ถึงเวลาประกาศเรื่องสำคัญแล้วสินะ ผมจะคิดถึงคุณ” โดยปอสเตโคกลูเป็นโค้ชที่ธีราทรให้ความเคารพจากสไตล์การทำทีมและจิตวิทยาที่สามารถเค้นศักยภาพนักเตะที่ยอดเยี่ยม กุนซือเมืองจิงโจ้มีส่วนพัฒนาบทบาท wing-back ที่วิ่งขึ้นลงเพื่อเล่นเกมรับและรุก มาเป็น inverted-back ที่หุบเข้าในเพื่อเล่นกองกลางในบางจังหวะ

ธีราทรเคยพูดถึงอดีตบอสใหญ่ว่า ปอสเตโกคลูเป็นโค้ชที่ขรึมและดุมาก หากนักเตะเล่นไม่ได้ตามที่ต้องการ เขาจะดุหมดไม่ว่าเป็นใคร เขาจริงจังในการฝึกซ้อมมากเพื่อให้ทุกคนอยู่ในแท็คติก ไม่เล่นนอกแท็คติกที่เขาวางไว้ “ผมเรียนรู้แท็คติกจากเขามากจริงๆ”

วาตารุ ฟุนากิ นักข่าวชาวญี่ปุ่น ยืนยันคำพูดของสตาร์ทีมชาติไทยว่า ปอสเตโคกลูเป็นโค้ชที่สอนแท็คติกเก่ง เขาเข้มงวดจริงจัง แต่อีกด้าน เขาเก่งเรื่องสร้างแรงจูงใจนักเตะ เขาไม่เคยวิจารณ์ลูกทีมเสียๆหายๆผ่านสื่อ ทุกคนรักเขา เขาทำให้สปิริตของทีมมารินอสเปลี่ยนไป

ธีราทรยังเคยพูดถึงปอสเตโคกลูช่วงเวลานั้นด้วยว่า “ขอบคุณที่ทำให้ได้รู้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ ในทุกวันทุกวินาทีต้องมีความคิดที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไรถ้ามีความคิดที่แข็งแกร่ง เราจะสามารถผ่านมันไปได้”

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สิ่งที่ปอสเตโคกลูมีความเชื่อและนำมาถ่ายทอดผ่านนักเตะและทีมฟุตบอลของเขา ล้วนมาจากชีวิตที่เข้มข้นนับตั้งแต่นั่งเรือร่วมเดือนเพื่อหนีความยากแค้นในบ้านเกิดไปยังแผ่นดินใหม่ รวมถึงประสบการณ์ที่สะสมมาตลอดกว่า 3ทศวรรษทั้งบทบาทผู้เล่นและผู้จัดการทีม

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Special Content

รอสโซเนรี่ vs เนรัซซูรี่ : สองยักษ์แห่งเมืองมิลาน กับความทรงจำในถ้วยยุโรป

เมื่อพูดถึงการพบกันระหว่างเอซี มิลาน กับอินเตอร์ มิลาน นี่คือคู่ปรับร่วมเมืองที่มีเรื่องราวความขัดแย้งทางด้านประวัติศาสตร์มานานร่วมศตวรรษ รวมถึงการแย่งชิงความสำเร็จทั้งในอิตาลี และยุโรป

และยามที่ 2 สโมสรจากเมืองเดียวกัน ต้องทำศึกดาร์บี้แมตช์ในรายการระดับทวีป ถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นได้บ่อยนักในโลกของฟุตบอล แต่ก็ยังคงความคลาสสิกไม่ต่างกับดาร์บี้แมตช์เกมอื่นๆ

“รอสโซเนรี่” และ “เนรัซซูรี่” กลับมาพบกันในถ้วยยุโรปเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2005 ที่เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายถึงขั้นต้องยกเลิกการแข่งขัน และทีมที่เป็นต้นเหตุก็ถูกลงโทษ ชดใช้ความผิดที่ได้ก่อขึ้นมา

ทั้ง 2 ทีม กำลังจะดวลกันในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ ซึ่งการันตีเข้าชิงชนะเลิศแน่นอน 1 ทีม และถ้าคว้าแชมป์ได้ ก็จะได้สิทธิ์กลับไปเล่นถ้วยนี้ในฤดูกาลหน้า โดยไม่ต้องสนใจอันดับในเซเรีย อา

ซีซั่น 2022/23 ทั้งคู่ต้องเจอกันถึง 5 เกม โดย 3 เกมที่ผ่านมา ประกอบด้วยลีกในประเทศ ชนะบ้านใครบ้านมันทีมละ 1 เกม (เอซี มิลาน 3 – 2, อินเตอร์ มิลาน 1 – 0) และศึกซูเปอร์คัพ เป็นอินเตอร์ ที่ถล่ม 3 – 0

เมืองเดียวในยุโรป ที่มี 2 สโมสรคว้าถ้วยยูซีแอล

แม้เอซี มิลาน และอินเตอร์ มิลาน จะเป็นคู่ปรับที่ชิงดีชิงเด่นกันมานาน แต่ความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งของเมืองนี้ คือเป็นเมืองเดียวในทวีปยุโรป ที่มี 2 สโมสร ช่วยกันคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมกัน 10สมัย

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/Inter

เริ่มจากช่วงทศวรรษที่ 1960s ทั้ง 2 ทีม ต่างซิวโทรฟี่ที่ยิ่งใหญ่สุดของยุโรป ทีมละ 2 สมัย โดยฝั่งเอซี มิลาน ทำได้ในปี 1963 กับอีกครั้งในปี 1969 ส่วนฝั่งสีน้ำเงิน-ดำ ทำได้ 2 ครั้งติดต่อกัน ในปี 1964 และ 1965

ซึ่งกุญแจสำคัญที่ทำให้ 2 ทีมเมืองมิลาน ผงาดในเวทียูโรเปี้ยน คัพ นั่นคือการเล่นสไตล์ “คาเตนัชโช่” (ภาษาอิตาลี แปลว่า กลอนประตู) ที่เน้นการตั้งรับลึก และใช้เกมเคาน์เตอร์แอทแท็ก โต้กลับอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้น เอซี มิลาน ก็คว้าแชมป์ 2 สมัยติดต่อกัน ในปี 1989 และ 1990 ยุคของกุนซืออาร์ริโก้ ซาคคี่ พร้อมกับตำนานแข้ง 3 ทหารเสือดัตช์ ที่ประกอบด้วย รุด กุลลิท, แฟรงค์ ไรจ์การ์ด และมาร์โก ฟาน บาสเท่น

ต่อเนื่องด้วยแชมป์สมัยที่ 5 ของเอซี มิลาน ในปี 1994 ฟาบิโอ คาเปลโล่ เป็นผู้จัดการทีม ซึ่งขาดนักเตะคนสำคัญหลายคน ทั้งบาดเจ็บ ติดโทษแบน รวมถึงกฎของยูฟ่าที่บังคับส่งนักเตะต่างชาติลงสนามได้แค่ 3 คนเท่านั้น

โดยนักเตะต่างชาติ 3 คน คาเปลโล่เลือกมาร์กแซล เดอไซญี่, ชโวนิเมียร์ โบบัน และเดยัน ซาวิเซวิช ลงเป็นตัวจริง แม้สภาพทีมของมิลานจะเป็นรอง แต่สุดท้ายถล่มบาร์เซโลน่า ชุดดรีมทีมของโยฮันน์ ครัฟฟ์ ขาดลอย 4 – 0

เท่านั้นยังไม่พอ ในยุค Y2K “รอสโซเนรี่” ยังคว้าแชมป์เพิ่มอีก 2 สมัย ยุคที่มีคาร์โล อันเชล็อตติ เป็นเฮดโค้ช ในปี 2003 ที่ชนะจุดโทษยูเวนตุส คู่ปรับร่วมลีก และปี 2007 ที่มีคีย์แมนสำคัญอย่างกาก้า กับฟิลิปโป้ อินซากี้

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/ACMilan

ขณะที่ฝั่ง “เนรัชซูรี่” กว่าจะได้แชมป์ถ้วยใหญ่ยุโรปเป็นสมัยที่ 3 ต้องรอนานถึง 45 ปี จากฝีมือของโจเซ่ มูรินโญ่ เทรนเนอร์ชาวโปรตุกีส ในปี 2010 และเป็นทีมแรกของอิตาลี ที่คว้า 3 แชมป์ใหญ่สุดภายในซีซั่นเดียว

ส่วนในปีนี้ (2023) ที่ทั้งคู่พบกันในรอบรองชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก นั่นหมายความว่า จะมี 1 ทีม ที่เป็นตัวแทนของเมืองในรอบชิงชนะเลิศอย่างแน่นอน โดยจะไปพบกับเรอัล มาดริด หรือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ย้อนรอยมิลาน ดาร์บี้ เวอร์ชั่นถ้วยยุโรปที่ดุเดือด

เอซี มิลาน และอินเตอร์ มิลาน เคยพบกันในฟุตบอลถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาแล้ว 2 ครั้ง รวมทั้งหมด 4 นัด และเป็นฝั่งสีแดง-ดำ ที่สามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้ทั้ง 2 ครั้ง พร้อมกับสถิติไร้พ่ายทุกนัดที่พบกัน

ครั้งแรก ในรอบรองชนะเลิศ ซีซั่น 2002/03 นัดแรก เอซี มิลาน อยู่ฝั่งเจ้าบ้านก่อน เสมอ 0 – 0 และนัดสอง สลับให้อินเตอร์ มิลาน เป็นทีมเจ้าบ้านบ้าง เสมอ 1 – 1 แต่ “รอสโซเนรี่” เข้าชิงชนะเลิศด้วยกฎอเวย์โกล

ครั้งต่อมา ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ซีซั่น 2004/05 เอซี มิลาน ได้สิทธิ์เป็นเจ้าบ้านเลกเรก เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2005 และทีมของ “อันเช่” เอาชนะไปได้ก่อน 2 – 0 จากประตูของยาป สตัม และอังเดร เชฟเชนโก้

อีก 6 วันต่อมา (12 เมษายน 2005) อินเตอร์ มิลาน สลับมาเป็นทีมเจ้าบ้าน ด้วยสถานการณ์ที่เป็นรองจากเลกแรก และยิ่งเป็นรองเข้าไปอีก เมื่อเชฟเชนโก้ ซัดด้วยซ้ายให้เอซี มิลาน บุกนำ 1 – 0 ในครึ่งแรก

ช่วง 20 นาทีสุดท้ายของเกม “เนรัซซูรี่” ได้เตะมุม เอสเตบัน กัมบิอัสโซ่ โขกจมตาข่าย แต่มาร์คุส แมร์ก ผู้ตัดสินชาวเยอรมันไม่ให้เป็นประตู เพราะมองว่ากัมบิอัสโซ่ไปทำฟาวล์ดีด้า ผู้รักษาประตูทีมเยือนก่อน

ซึ่งก่อนหน้านั้น แฟนบอลอินเตอร์ก็หงุดหงิดกับการตัดสินของมร.แมร์ก อยู่หลายครั้ง ความไม่พอใจสะสมมาเรื่อยๆ จนปะทุกลายเป็นความรุนแรง ด้วยการขว้างสิ่งของต่างๆ รวมถึงพลุไฟลงมาในสนาม

ทันใดนั้น มีพลุไฟอันหนึ่งถูกขว้างลงมาโดนที่หัวไหล่ของดีด้า จอมหนึบของมิลานเต็มๆ อีกทั้งยังมีภาพของรุย คอสต้า ยืนเคียงข้างกับมาร์โก้ มาเตรัซซี่ ท่ามกลางควันไฟ กลายเป็นภาพในตำนานของโลกลูกหนัง

มร.แมร์ก สั่งหยุดพักการแข่งขัน 10 นาที เพื่อเคลียร์สถานการณ์ ทว่าเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เหตุการณ์ความวุ่นวายไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง และเมื่อเห็นว่าไม่สามารถไปต่อได้ เขาจึงตัดสินใจยุติการแข่งขันในที่สุด

บทสรุปของเหตุการณ์เมื่อ 18 ปีก่อน ยูฟ่า ตัดสินให้งูใหญ่ถูกปรับแพ้ 0 – 3 ทำให้ตกรอบด้วยสกอร์รวม 0 – 5 นอกจากนี้ยังถูกปรับเงินเกือบ 200,000 ยูโร และลงเล่นเกมเหย้าถ้วยยุโรปแบบไม่มีคนดู 4 นัด

มีตั๋วลุยแชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นหน้าเป็นเดิมพัน

นับตั้งแต่ฤดูกาล 2022/23 เป็นต้นไป เซเรีย อา จะใช้ระบบ “เพลย์ออฟ” ในกรณีที่มีแต้มเท่ากัน สำหรับการลุ้นแชมป์ ระหว่างทีมจ่าฝูง พบกับทีมรองจ่าฝูง และการหนีตกชั้น ระหว่างอันดับ 17 พบกับอันดับ 18

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/Inter

ความสำคัญของดาร์บี้แมตช์เมืองมิลานฉบับยุโรป ไม่ใช่แค่การผ่านเข้าไปลุ้นแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เท่านั้น แต่ยังมีผลต่อการลุ้นอันดับท็อปโฟร์ ที่เอซี มิลาน และอินเตอร์ มิลาน มีคะแนนห่างกันไม่มาก

นาโปลี เป็นทีมแรกที่ได้สิทธิ์ไปยูซีแอล ซีซั่นหน้า ในฐานะแชมป์ลีก ส่วนตั๋วอีก 3 ใบที่เหลือ มีลุ้นแย่งกันถึง 6 ทีม โดยอันดับที่ 2 มีคะแนนมากกว่าทีมอันดับที่ 7 เพียง 6 แต้มเท่านั้น กับโปรแกรมที่เหลืออยู่ 4นัด

การจัดอันดับคะแนนในลีกอิตาลี ถ้าทีมที่มีคะแนนเท่ากัน (2 ทีม หรือมากกว่า) จะดูจากผลการแช่งขันในแมตช์ที่พบกันเอง หรือ “เฮด-ทู-เฮด” เป็นลำดับแรก ซึ่งจะใช้กฎนี้เฉพาะกลุ่มลุ้นโควตาฟุตบอลยุโรปเท่านั้น

การดูผลงานแบบ “เฮด-ทู-เฮด” ของลีกแดนมะกะโรนี จะไม่มีการนับประตูทีมเยือน (อเวย์โกล) และมีผลหลังจากจบฤดูกาลเรียบร้อยแล้ว ถ้าเฮด-ทู-เฮด เท่ากัน ให้ข้ามไปพิจารณาที่ประตูได้เสียนับรวมทั้งซีซั่น

อย่างไรก็ตาม ยูฟ่า กำหนดโควตาทีมที่ได้ไปแชมเปี้ยนส์ ลีก ไว้สูงสุดไม่เกิน 5 ทีม ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า ทีมที่จบอันดับ 4 ของลีกอิตาลี จะไม่ได้สิทธิ์เล่นถ้วยใหญ่สุด ถ้าเงื่อนไขสำคัญ 2 ข้อ เกิดขึ้นพร้อมกัน คือ

เงื่อนไขที่ 1 : เอซี มิลาน หรือ อินเตอร์ มิลาน ทีมใดทีมหนึ่ง คว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ไม่ติดท็อปโฟร์

เงื่อนไขที่ 2 : ยูเวนตุส หรือ โรม่า ทีมใดทีมหนึ่ง คว้าแชมป์ยูโรป้า ลีก แต่ไม่ติดท็อปโฟร์

ศึกดาร์บี้แมตช์ผ่าเมือง ในแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ ถือเป็นเกมที่เดิมพันสูงทั้งมิลาน และอินเตอร์ เพราะการที่ทีมใดทีมหนึ่งตกรอบไป ก็จะมีโอกาสเสี่ยงไม่น้อย ที่จะพลาดกลับมาเล่นถ้วยนี้ในฤดูกาลหน้า

โปรแกรมการแข่งขันเซเรีย อา 4 นัดสุดท้าย 

– ยูเวนตุส (66 คะแนน) : เครโมเนเซ่ (เหย้า), เอ็มโปลี (เยือน), มิลาน (เหย้า), อูดิเนเซ่ (เยือน)

– ลาซิโอ (64 คะแนน) : เลชเช่ (เหย้า), อูดิเนเซ่ (เยือน), เครโมเนเซ่ (เหย้า), เอ็มโปลี (เยือน)

– อินเตอร์ (63 คะแนน) : ซัสซูโอโล่ (เหย้า), นาโปลี (เยือน), อตาลันต้า (เหย้า), โตริโน่ (เยือน)

– มิลาน (61 คะแนน) : สเปเซีย (เยือน), ซามพ์โดเรีย (เหย้า), ยูเวนตุส (เยือน), เวโรน่า (เหย้า)

– อตาลันต้า (58 คะแนน) : ซาแลร์นิตาน่า (เยือน), เวโรน่า (เหย้า), อินเตอร์ (เยือน), มอนซ่า (เหย้า)

– โรม่า (58 คะแนน) : โบโลญญ่า (เยือน), ซาแลร์นิตาน่า (เหย้า), ฟิออเรนติน่า (เยือน), สเปเซีย (เหย้า)

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://www.thesun.co.uk/sport/football/3328970/inter-milan-ac-milan-champions-league-transfers-serie-a-titles/

https://en.wikipedia.org/wiki/Derby_della_Madonnina

Categories
Football Tactics

recap มุมมอง ของ โค้ชน้อย อนันต์ อมรเกียรติ กับเรื่องราว เมื่อ PEP แปลง (TRANSFORM) แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปสู่ทีมฟุตบอลแห่งอนาคตกาล

บันทึกกว่า 7 หน้ากระดาษที่ส่งตรงมาจาก “โค้ชน้อย” อนันต์ อมรเกียรติ ที่ปรึกษาด้านเทคนิค ทีมชาติไทย ยู-23 ปี ถึงเรื่องราว เมื่อ PEP แปลง (TRANSFORM) แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปสู่ทีมฟุตบอลแห่งอนาคตกาล บันทึกนี้เปี่ยมไปด้วย “คุณค่า” ที่น่าติดตาม ซึ่งทาง ไข่มุกดำ ก็พร้อมที่บอกต่อเรื่องราวนี้ ให้กับทุก ๆ คนได้อ่าน ในเว็ปไซต์กัน

Categories
Special Content

ทฤษฎีช้างตกต้นไม้ : ย้อนรอยทีมจ่าฝูงแพ้ภัยตัวเอง พลาดแชมป์แบบสุดช็อก

หลังเกมบิ๊กแมตช์พรีเมียร์ลีก ชี้ชะตาการลุ้นแชมป์ เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดบ้านถล่ม อาร์เซน่อล 4 – 1 ส่งผลให้ “แชมป์เก่า” ทำคะแนนไล่จี้เหลือ 2 แต้ม แถมเตะน้อยกว่าถึง 2 นัด

แม้โมเมนตัมในการลุ้นคว้าแชมป์จะเอียงไปทาง “เรือใบสีฟ้า” มากขึ้น แต่เมื่อสถานการณ์ยังไม่ทิ้งห่างแบบขาดลอย “ปืนใหญ่” ก็มีหวังเล็ก ๆ ในการกลับมาคว้าโทรฟี่พรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบเกือบ 20 ปี

มีเรื่องโจ๊กจากแฟนบอลในต่างประเทศ ที่เคยกล่าวไว้ว่า “อาร์เซน่อลที่อยู่ในอันดับ 1 ของตาราง เสมือนช้างที่อยู่บนต้นไม้ ไม่มีใครรู้ว่ามันปีนขึ้นไปได้อย่างไร แต่ทุกคนรู้ว่าสุดท้ายมันต้องตกลงมาอยู่ดี”

วลี “ช้างที่อยู่บนต้นไม้” คือการเปรียบเปรยถึงสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ หรือสิ่งที่ผิดธรรมชาติ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป โลกแห่งความเป็นจริง ก็จะกระชากจากภวังค์ให้กลับมาอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง

ในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา ได้มีเหตุการณ์ของทีมที่กำลังอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูง แต่พอพลาดท่าแพ้เกมสำคัญระหว่างฤดูกาล ให้กับคู่แข่งที่แย่งแชมป์แบบโดยตรง กลายเป็นจุดพลิกผันสู่ความผิดหวังในที่สุด

1989 : ลิเวอร์พูล 0 – 2 อาร์เซน่อล (26 พฤษภาคม)

ศึกลูกหนังดิวิชั่น 1 ลีกสูงสุดของอังกฤษในขณะนั้น เมื่อฤดูกาล 1988/89 ลิเวอร์พูล กับ อาร์เซน่อล คือคู่ชิงแชมป์ประจำซีซั่น และมีโปรแกรมพบกันเองในนัดสุดท้าย ซึ่ง “หงส์แดง” กุมความได้เปรียบอยู่

สถานการณ์ก่อนลงเตะนัดตัดสินแชมป์ที่แอนฟิลด์ ลิเวอร์พูลนำอันดับ 1 มี 76 คะแนน ผลต่างประตูได้-เสีย +39 โดยมีอาร์เซน่อล ตามมาติด ๆ ในอันดับ 2 มี 73 คะแนน ผลต่างประตูได้-เสีย +35

ที่สำคัญ ลิเวอร์พูลกำลังอยู่ในช่วงฟอร์มที่ดี 18 เกมหลังสุดในลีก ไม่แพ้ใคร และเสียประตูในบ้านเพียง 2 ลูก โยนความกดดันไปให้อาร์เซน่อล ที่ต้องชนะด้วยผลต่าง 2 ประตูขึ้นไป ถึงจะแซงคว้าแชมป์

ครึ่งแรกยังยิงกันไม่ได้ แต่เริ่มครึ่งหลังได้ไม่ถึง 10 นาที อลัน สมิธ โขกให้อาร์เซน่อลขึ้นนำก่อน 1 – 0 อย่างไรก็ตาม ถ้าจบด้วยสกอร์นี้ ลิเวอร์พูลยังเป็นฝ่ายที่ได้แชมป์ เพราะผลต่างประตูได้-เสียดีกว่า

เจ้าบ้านพยายามบุกหนักหวังตีเสมอให้ได้ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังทำไม่สำเร็จ เคนนี่ ดัลกลิช กุนซือลิเวอร์พูล ตัดสินใจเคาะบอลไปมาเพื่อเผาเวลาไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเกิดฟ้าผ่ากลางแอนฟิลด์ขึ้นจนได้

ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ไมเคิล โธมัส ยิงประตู 2 – 0 ส่งอาร์เซน่อลคว้าแชมป์ลีกสูงสุดหนแรกในรอบ 18 ปี โดยมีแต้ม และผลต่างประตูได้เสียเท่ากัน แต่มีจำนวนประตูได้ที่มากกว่าลิเวอร์พูล (73 ต่อ 65)

1996 : นิวคาสเซิล 0 – 1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (4 มีนาคม)

ฤดูกาล 1995/96 ลีกสูงสุดเมืองผู้ดี เปลี่ยนชื่อเป็น “พรีเมียร์ลีก” ได้ไม่นาน นิวคาสเซิล ทำผลงานได้อย่างโดดเด่น จนทำแต้มทิ้งห่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไกลถึง 12 แต้มในเดือนมกราคม 1996

แต่หลังจากนั้น นิวคาสเซิลก็เริ่มฟอร์มแกว่ง จนถูกแมนฯ ยูไนเต็ด ไล่จี้เข้ามา และทั้ง 2 ทีม มีโปรแกรมพบกันเองที่เซนต์ เจมส์ปาร์ค ช่วงต้นเดือนมีนาคม ซึ่งก่อนลงสนาม “สาลิกาดง” นำอยู่ 4 แต้ม

นิวคาสเซิล มีโอกาสบุกมากกว่า แต่ยิงอย่างไรก็ไม่ผ่านมือปีเตอร์ ชไมเคิล นายทวารแมนฯ ยูไนเต็ด สุดท้ายแล้ว เอริค คันโตน่า พังประตูชัยให้ “ปิศาจแดง” บุกชนะ 1 – 0 ลดช่องว่างเหลือแค่แต้มเดียว

เมื่อระยะห่างแคบลงเรื่อย ๆ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือแมนฯ ยูไนเต็ด จัดการเปิดสงครามจิตวิทยา และสุดท้าย เควิน คีแกน ก็ตกหลุมพรางจนสูญเสียความมั่นใจ และเริ่มรับมือกับความกดดันไม่ไหว

ช่วงที่เหลือของซีซั่น สถานการณ์ลุ้นแชมป์ก็กลับตาลปัตร นิวคาสเซิล ชนะ 5 เสมอ 2 แพ้ 3 สุดท้ายถูกแมนฯ ยูไนเต็ด ที่ชนะถึง 7 จาก 9 เกมสุดท้าย แซงคว้าแชมป์ด้วยการมีคะแนนมากกว่า 4 แต้ม

1998 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0 – 1 อาร์เซน่อล (14 มีนาคม)

ฤดูกาล 1997/98 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หวังจะเป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 ซีซั่นติดต่อกัน แต่สำหรับอาร์เซน่อล นี่คือครั้งแรกที่อาร์แซน เวนเกอร์ คุมทีมแบบเต็มซีซั่น

ช่วงกลางเดือนมีนาคม 1998 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นำเป็นจ่าฝูง มีแต้มนำอาร์เซน่อล 9 แต้ม แต่ทีมของกุนซืออาร์แซน เวนเกอร์ ลงเตะน้อยกว่าถึง 3 เกม และทั้ง 2 ทีม มีนัดปะทะกันที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด

เกมทำท่าว่าจะจบด้วยผลเสมอ แต่ในนาทีที่ 79 มาร์ค โอเวอร์มาร์ส วิ่งมาซัดด้วยขวาผ่านปีเตอร์ ชไมเคิล เป็นประตูชัยให้อาร์เซน่อล พร้อมกับลดช่องว่างเหลือ 6 แต้ม กับโปรแกรมที่ตกค้างในมือ 3 นัด

หลังบิ๊กแมตช์ที่โรงละคร “เดอะ กันเนอร์ส” กุมชะตากรรมไว้ในมือของตัวเองแล้ว โดยชนะถึง 8 จาก 10 เกมที่เหลือ ขณะที่แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 5 จาก 7 เกมสุดท้าย แต่ไม่เพียงพอต่อการป้องกันแชมป์

อาร์เซน่อล การันตีตำแหน่งอันดับ 1 หลังถล่มเอฟเวอร์ตัน 4 – 0 เมื่อเหลือ 2 นัดสุดท้ายของฤดูกาล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เป็นครั้งแรกในยุคของเวนเกอร์ โดยเฉือน “ปิศาจแดง” เพียงแต้มเดียวเท่านั้น

2010 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1 – 2 เชลซี (3 เมษายน)

หลังจากคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาแล้ว 3 ซีซั่นติดต่อกัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2009/10 หวังที่จะสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ชนิดที่ไม่มีทีมใดเคยทำมาก่อน ด้วยการคว้าแชมป์ต่อเนื่องเป็นซีซั่นที่ 4

และผู้ท้าชิงของพวกเขาคือ เชลซี ของกุนซือคาร์โล อันเชล็อตติ ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จนถึงแมตช์ที่ต้องพบกับทีมของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในเกมที่ 33 ของฤดูกาล ช่วงต้นเดือนเมษายน 2010

ก่อนเกมบิ๊กแมตช์ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด “ปิศาจแดง” อยู่ในตำแหน่งจ่าฝูง มีคะแนนนำหน้าเชลซี 1 แต้ม ต้องการชัยชนะเพื่อทำแต้มทิ้งห่างออกไป และถือเป็นการล้างแค้นจากเกมนัดแรกที่บุกไปแพ้ 0 – 1

เชลซี ออกนำก่อน 2 ประตู จากโจ โคล และดิดิเยร์ ดร็อกบา แม้เฟเดริโก้ มาเคด้า จะยิงตีตื้นให้แมนฯ ยูไนเต็ด ไล่มาเป็น 1 – 2 แต่ “สิงห์บูลส์” ก็ยันสกอร์นี้ไว้ได้จนจบเกม แซงขึ้นจ่าฝูง เมื่อเหลือ 5 นัดสุดท้าย

ซึ่งโปรแกรมที่เหลือของทั้ง 2 ทีม ต่างฝ่ายต่างชนะทีมละ 4 เกมเท่ากัน ส่งผลให้เชลซี เป็นฝ่ายที่คว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ ดับฝันแมนฯ ยูไนเต็ด ในการเป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 4 สมัยติดต่อกัน

2012 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1 – 0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (30 เมษายน)

ฤดูกาล 2011/12 ช่วงต้นเดือนเมษายน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยืนอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูง มีแต้มนำแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถึง 8 แต้ม เมื่อเหลืออีก 6 เกม ทำให้หลายคนมองว่า “ปิศาจแดง” น่าจะเข้าวินได้ไม่ยาก

ทว่า 3 นัดหลังจากนั้น แมนฯ ซิตี้ ชนะรวด สวนทางกับแมนฯ ยูไนเต็ด ที่ออกอาการสะดุดครั้งใหญ่ เมื่อบุกไปแพ้วีแกน แบบพลิกล็อก 0 – 1 และถูกเอฟเวอร์ตันไล่ตามตีเสมอ 4 – 4 คาโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

ก่อนเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม ถิ่นของ “เรือใบสีฟ้า” ในวันสิ้นเดือนเมษายน 2012 ยูไนเต็ดมีแต้มนำซิตี้เพียง 3 แต้ม นั่นหมายความว่า ถ้า “ปิศาจแดง” แพ้ จะหล่นมาเป็นอันดับ 2 ทันที

ในช่วงทดเจ็บครึ่งแรก แว็งซองต์ กอมปานี ทำประตูชัยให้กับแมนฯ ซิตี้ เก็บ 3 คะแนนสำคัญ แซงแมนฯ ยูไนเต็ด ขึ้นนำเป็นจ่าฝูง มี 83 แต้มเท่ากัน แต่ผลต่างประตูได้-เสีย ดีกว่าอยู่ 8 ลูก เมื่อเหลืออีก 2 เกม

นัดรองสุดท้าย 2 ทีมเมืองแมนเชสเตอร์ ชนะทั้งคู่ ส่วนผลแข่งในเกมที่ 38 แมนฯ ยูไนเต็ด ที่แข่งจบไปก่อน บุกชนะซันเดอร์แลนด์ 1 – 0 ขณะที่แมนฯ ซิตี้ ยังเสมอกับควีนสปาร์ค เรนเจอร์ส 2 – 2 ช่วงท้ายเกม

และนัดปิดซีซั่น คือหนึ่งในเหตุการณ์การคว้าแชมป์ที่ดราม่าที่สุดตลอดกาล กับประตูชัยของกุน อเกวโร่ นาทีที่ 93.20 ซึ่งเป็นโมเมนต์ที่ทำเอาแฟนๆ “เรด อาร์มี่” อยากจะลบออกจากความทรงจำเลยทีเดียว

2019 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2 – 1 ลิเวอร์พูล (3 มกราคม)

ฤดูกาล 2018/19 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และลิเวอร์พูล เป็นคู่ชิงแชมป์พรีเมียร์ลีกที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ แฟนบอลของทั้ง 2 ทีม ต่างลุ้นกันนัดต่อนัด ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาล

สิ้นปี 2018 ลิเวอร์พูล มีคะแนนนำแมนฯ ซิตี้ อยู่ 7 แต้ม หลังผ่านไป 20 เกม และเกมต่อมา คือเกมแรกของปี 2019 ทั้งคู่ต้องห้ำหั่นกันเอง ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม ถือเป็นนัดสำคัญที่มีผลต่อการลุ้นแชมป์โดยตรง

ขณะที่ยังเสมอกันอยู่ 0 – 0 ในนาทีที่ 20 ซาดิโอ มาเน่ ดาวยิงลิเวอร์พูล ซัดบอลไปชนเสา จอห์น สโตนส์ แนวรับแมนฯ ซิตี้ สกัดบอลโดนเอแดร์ซอน นายทวารเพื่อนร่วมทีม ก่อนที่สโตนส์จะเคลียร์บอลออกจากเส้น ขาดเพียง 11 มิลลิเมตร จะข้ามเส้นประตู

ซึ่งนั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้แมนฯ ซิตี้ เก็บ 3 คะแนนสุดล้ำค่า ด้วยชัยชนะ 2 – 1 ลดช่องว่างลงมาเหลือ 4 แต้ม แถมเป็นการยัดเยียดความปราชัยนัดแรก และนัดเดียวตลอดทั้งฤดูกาลชองลิเวอร์พูลด้วย

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เก็บชัย 2 นัดติด ก่อนบุกไปแพ้นิวคาสเซิล 1 – 2 และหลังจากนั้น สร้างสถิติสุดโหด ชนะ 14 นัดติดต่อกัน ฮึดแซงคว้าแชมป์ได้แบบน่าเหลือเชื่อ โดยเฉือนลิเวอร์พูลแค่แต้มเดียว (98 ต่อ 97)

และในฤดูกาล 2022/23 ทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็มีโอกาสทำสถิติชนะ 14 นัดรวด เหมือนเมื่อ 4 ซีซั่นก่อน หลังจากชัยชนะในเกมกับอาร์เซน่อลเมื่อกลางสัปดาห์ พวกเขาเก็บชัยชนะมาแล้ว 7 นัดติดต่อกัน

อย่างไรก็ตาม จากลิสต์นี้ ทีมที่นำจ่าฝูงแต่วืดแชมป์เมื่อจบฤดูกาล สามารถกลับมายืนแป้นอันดับ 1 ทันทีในซีซั่นถัดมาได้ถึง 5 ครั้ง แสดงให้เห็นถึงการนำบทเรียนจากความผิดหวัง เป็นแรงขับสู่ความสำเร็จ

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

– https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-12010655/The-pivotal-title-deciders-Man-City-host-Arsenal-Premier-League.html

– https://thearsenalelephant.com/the-arsenal-elephant-blog/f/the-elephant-that-never-fell-from-the-tree

Categories
Special Content

อลเวงโลโก้สองทีมแมนเชสเตอร์ ปมดรามาภาพเรือ โยงค้าทาส

พรีเมียร์ลีกกำลังเข้าสู่โค้งสุดท้ายของซีซัน 2022-23 การขับเคี่ยวอย่างดุเดือดกำลังเกิดขึ้นหลายโซนของตารางอันดับ ไม่ว่าจะเป็นการแย่งชิงแชมป์ระหว่างอาร์เซนอลกับแมนฯซิตี นั่นเท่ากับตั๋วยูฟา แชมเปียนส์ ลีก เหลือเพียงสองใบสำหรับอันดับ 3-4 แต่กลับมีทีมที่เข้าข่ายได้ลุ้นอย่างน้อยหกทีมคือ นิวคาสเซิล, แมนฯยูไนเต็ด, ท็อตแนม ฮอตสเปอร์, แอสตัน วิลลา, ลิเวอร์พูล และไบรท์ตัน ขณะที่ด้านล่างของตาราง เซาแธมป์ตัน, ฟอเรสต์, เอฟเวอร์ตัน, เลสเตอร์ และลีดส์ กำลังมีแต้มเบียดอยู่แถวโซนตกชั้น แม้แต่บอร์นมัธ, วูลฟ์แฮมป์ตัน และเวสต์แฮม ก็ยังชะล่าใจผ่อนคันเร่งไม่ได้

แต่แล้วเกิดเหตุนอกสนามที่ร้อนระอุไม่แพ้กันขึ้นกับสองทีมยักษ์ใหญ่แห่งเมืองแมนเชสเตอร์ แมนฯซิตี และแมนฯยูไนเต็ด ที่เกิดกระแสรณรงค์ให้สองสโมสรเปลี่ยนแปลงตราสัญลักษณ์ที่ใช้มายาวนานกว่าหนึ่งศตวรรษ โดยจุดที่เป็นปัญหาคือภาพเรือสำเภาสามเสากระโดงที่อยู่บนโลโก้ทีมเนื่องจากสื่อความหมายถึงการค้าทาสและการใช้แรงงานทาส ซึ่งสร้างความอึดอัดใจให้กับผู้รักความเท่าเทียมกันของมนุษย์ คล้ายคลึงกับกรณีที่เคยเกิดขึ้นกับทีมอเมริกันฟุตบอล วอขิงตัน เรดสกินส์ ซึ่งถูกสั่งให้ยกเลิกคำว่า “เรดสกินส์” และโลโก “อินเดียนแดง” เพราะนัยว่าเป็นการดูถูกเหยียดหยามชนพื้นเมืองอเมริกัน

ปฐมบทโยงเรือทาสอยู่ที่ผู้ก่อตั้ง นสพ.”เดอะ การ์เดียน”

จุดเริ่มต้นของการถกเถียงมาจากบทความที่เผยแพร่ช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาของ “เดอะ การ์เดียน” สื่อคุณภาพของอังกฤษ ซึ่งจากการสืบเสาะหาข้อมูลของนักประวัติศาสตร์พบว่า ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ของตนเองและเครือข่ายมีความเกี่ยวข้องกับการค้าทาส ก่อนที่ ไซมอน แฮทเทนสโตน นักข่าวของเดอะ การ์เดียน จะนำมาขยายต่อกลางเดือนเมษายนและสร้างประเด็นดรามาขึ้นมาว่า สมควรไหมที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะนำภาพเรือสำเภาสามเสากระโดงออกไปจากสัญลักษณ์สโมสรเพราะสื่อถึงการค้าและใช้แรงงานทาส

แฮทเทนสโตนยอมรับว่าเป็นแฟนบอลแมนฯซิตีกว่าครึ่งศตวรรษ สมัยเด็กชื่นชอบเรือสำเภาสีทองเป็นพิเศษเพราะทำให้จินตนาการถึงโจรสลัด ต่อมาปลายทศวรรษ 1990 มันถูกทดแทนด้วยนกอินทรีสีทองที่สามารถเชื่อมโยงถึงนาซี แต่สโมสรกลับไปใช้เรือสำเภาอีกครั้งในปี 2016 รวมถึงดอกกุหลาบสีแดง สัญลักษณ์ของแลงคาเชียร์ เขาไม่เคยตั้งคำถามอะไรกับเรือสำเภาจนกระทั่งอ่านบทความชิ้นนั้นที่เขียนโดย คาสแซนดรา กูปทาร์

แฮทเทนสโตนรู้สึกอึดอัดใจที่รู้ว่า จอห์น เอ็ดเวิร์ด เทย์เลอร์ พ่อค้าฝ้ายชาวอังกฤษและผู้ก่อตั้งเดอะ แมนเชสเตอร์ การ์เดียน เมื่อปี 1821 (ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็นเดอะ การ์เดียน ในปี 1959) มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหลายบริษัทที่นำเข้าฝ้ายดิบซึ่งเป็นผลผลิตของแรงงานทาสในอเมริกา และมีอย่างน้อย 9 จาก 11 กลุ่มทุนที่สนับสนุนเทย์เลอร์เกี่ยวข้องกับการขนส่งทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก นอกจากนี้ เซอร์จอร์จ ฟิลิปส์ หนึ่งในนักลงทุนยุคก่อตั้ง ยังเป็นเจ้าของ(ร่วม)สวนอ้อยในจาเมกาที่ใช้แรงงานทาสด้วย 

แฮทเทนสโตนได้ข้อสรุปว่าทุกเรื่องราวในบทความไม่ว่าจะเป็นการค้าขาย การเกษตร และทาส ล้วนมีเรือเป็นศูนย์กลาง ขณะที่ธุรกิจฝ้ายในแมนเชสเตอร์บูมสุดขีดช่วงทศวรรษ 1850 มีจำนวนโรงงานมากถึง 108 แห่ง จนกระทั่งแมนเชสเตอร์ได้รับฉายา Cottonopolis

เดอะ แมนเชสเตอร์ การ์เดียน ฉบับปฐมฤกษ์วางจำหน่ายในปี 1821 หรือหลังจากสหราชอาณาจักรได้ยกเลิกระบบทาสไปแล้วสิบสี่ปี แต่พ่อค้าฝ้ายยังเก็บเกี่ยวผลกำไรที่ได้รับจากทาสอย่างต่อเนื่อง ฝ้ายดิบที่เกิดจากหงาดเหงื่อของทาสในอเมริกา แคริบเบียน และบราซิล ยังถูกลำเลียงมายังท่าเรือของสหราชอาณาจักร ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งทอสินค้ารูปแบบต่างๆในโรงงานแถบแลงคาเชียร์ แล้วกระจายไปขายทั่วโลก แฮทเทนสโตนมองว่า “เรือ” ไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของ “การค้าขาย” ของแมนเชสเตอร์ แต่ยังสื่อความหมายถึง “การเอารัดเอาเปรียบ” อีกด้วย

เพื่อนคนหนึ่งของแฮทเทนสโตนชี้ให้เห็นว่า รูปเรือบนโลโกของแมนฯซิตีคล้ายกับเรื่องราวที่เขาเคยอ่านเกี่ยวกับเรือเสาเสากระโดงที่แล่นไปทั่ว “เดอะ เซเวน ซีส์” (The Seven Seas) ได้แก่มหาสมุทรอาร์กติก, แอตแลนติกเหนือ, แอตแลนติกใต้, แปซิฟิกเหนือ, แปซิฟิกใต้, อินเดีย และมหาสมุทรใต้ เพื่อรับ ขนส่ง และฝากสินค้าที่ผลิตโดยแรงงานทาส แม้กระทั่งทาสเองก็เป็นสินค้า เหตุการณ์นี้ดำเนินมายาวนานจนกระทั่งอเมริกาเลิกทาสเมื่อปี 1865

แฮทเทนสโตนให้ความเห็นว่า แน่นอนเรือเหล่านั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฟุตบอล แต่ผลผลิตของทาสยังฝังแน่นอยู่ในวัฒนธรรมและผู้คนมีความสุขเฉลิมฉลองความสำเร็จผ่านตราสโมสรที่สื่อถึงความกดขี่โดยไม่รู้ตัว

มีคำกล่าวอ้างถึงเรือบนสัญลักษณ์สโมสรของแมนฯซิตีว่า เพื่อเฉลิมฉลอง คลองเดินเรือแมนเชสเตอร์ (The Manchester Ship Canal) ซึ่งเป็นเส้นทางน้ำภายในประเทศความยาว 36 ไมล์ เชื่อมเมืองแมนเชสเตอร์กับทะเลไอริช และเปิดใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 1894 ปีเดียวกับทีมอาร์ดวิค แอสโซซิเอชัน (Ardwick Association F.C.) เปลี่ยนชื่อเป็นแมนเชสเตอร์ ซิตี แต่แฮทเทนสโตนเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องจริงเพราะแนวคิดภาพเรือนำมาจากตราแผ่นดินของแมนเชสเตอร์

แฮทเทนสโตนระบุเพิ่มเติมว่า มีสโมสรฟุตบอลอังกฤษไม่มีแห่งที่ใช้ภาพเรือในสัญลักษณ์ทีม และแต่ละทีมก็อธิบายที่มาที่ไปชัดเจนเช่น ทรานเมียร์ โรเวอร์ส เป็นเรือรบและบ่งบอกถึงประวัติศาสตร์ในฐานะเมืองแห่งการต่อเรือ, กริมสบี ทาวน์ เป็นเรือลากอวน ทีมมีฉายาว่า “เดอะ มาริเนอร์ส” และใช้กะลาสีเรือ “แฮร์รี เดอะ แฮดด็อค” เป็นตัวนำโชค, พลีมัธ อาร์ไกล์ ซึ่งโลโกเป็นเรือสำเภาขนาดใหญ่ แต่ถูกออกแบบเพื่อระลึกถึงเรือเมย์ฟลาวเวอร์ที่นำกลุ่มผู้แสวงบุญเดินทางจากอังกฤษไปยังโลกใหม่ (ทวีปอเมริกา) เมื่อปี 1620 ขณะที่สโมสรที่ตั้งอยู่ในเมืองท่าที่เกี่ยวข้องกับการค้าทาสโดยตรงอย่างลอนดอน บริสตอล และลิเวอร์พูล ล้วนหลีกเลี่ยงภาพเรือปรากฏบนตราสโมสร แม้ บริสตอล โรเวอร์ส ซึ่งสื่อใกล้เคียงเรือที่สุด ก็ใช้ภาพโจรสลัด

เรือเข้ามาในโลโกพร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น “แมนฯยูไนเต็ด”

มาถึงประวัติศาสตร์ของสองสโมสรยักษ์ใหญ่ แมนฯยูไนเต็ดก่อตั้งสโมสรในปี 1878 ก่อนหน้าแมนฯซิตีสองปี จากการรวมตัวของพนักงานรถไฟแผนกขนส่งสายแลงคาเชียร์และยอร์กเชียร์ เดิมใช้ชื่อว่า “นิวตัน ฮีธ” (Newton Heath) ก่อนเปลี่ยนมาเป็น “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ในปี 1902

ความเป็นมาของตราสโมสร นิวตัน ฮีธ ใช้ตราสโมสรสองแบบแต่ไม่เกี่ยวข้องกับเรือ ภาพเรือปรากฏครั้งแรกในปี 1902พร้อมเปลี่ยนชื่อทีมเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่สัญลักษณ์แตกต่างจากที่แฟนบอลคุ้นตาอย่างสิ้นเชิง คือเป็นรูปสิงโตและแอนทิโลป (antelope) บนตัวมีกุหลาบสีแดง ถือโล่ที่มีเรือสามเสากระโดงอยู่ด้านบน ด้านล่างเป็นแถบสีเหลืองสามแถบคาดบนพื้นสีแดง แถบทั้งสามหมายถึงแม่น้ำสามสาย Irwell, Irk และ Medlock ที่ไหลผ่านตัวเมือง

เหนือโล่เป็นหมวกเหล็กที่มีลูกโลกตั้งอยู่ข้างบน แสดงถึงทักษะทางการค้าของชาวเมือง และเรือในโล่ยังหมายถึงการค้าทางเรืออีกด้วย ส่วนบริเวณด้านล่างของโล่และเท้าของสัตว์ทั้งสองเป็นคำจารึกภาษาลาติน “’Concilio Et Labore” แปลว่า “ปัญญาและความมานะ”

โดยรวมแล้ว การออกแบบตราของแมนฯยูไนเต็ดได้รับแรงบันดาลจากสัญลักษณ์ประจำเมือง บวกกับประวัติศาสตร์ในฐานะเมืองที่ประสบความสำเร็จด้านการค้าโลกระหว่างยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม

แมนฯยูไนเต็ดใช้ตราสโมสรนั้นนานกว่าสี่สิบปี ก่อนเปลี่ยนระหว่างทศวรรษ 1940 ซึ่งคล้ายกับปัจจุบันคือ แถบด้านบนเป็นชื่อ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” และแถบด้านล่างเป็นคำว่า “ฟุตบอลคลับ” ตรงกลางเป็นโล่ที่มีเรืออยู่ด้านบนและปีศาจอยู่ด้านล่าง

โลโกใหม่สองครั้งต่อมาในปี 1958 และ 1970 ตัวปีศาจหายไป ถูกแทนที่ด้วยแถบสามเส้น ก่อนปีศาจกลับมาในเวอร์ชัน 1973, 1992 และ 1998 ซึ่งใช้จนถึงตอนนี้ อย่างไรก็ตาม เรือสำเภาไม่เคยหายไปจากโลโกทั้งหกแบบในยุคแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

เรืออยู่ในโลโก “แมนฯซิตี” ก่อนทีมเพื่อนบ้านแปดปี

แมนฯซิตีก่อตั้งสโมสรในปี 1880 จากสมาชิกโบสถ์เซนต์มาร์คในเวสต์ กอร์ดอน, แมนเชสเตอร์ ใช้ชื่อแรกเริ่มว่า “เซนต์มาร์คส (เวสต์ กอร์ดอน)” (St. Mark’s (West Gorton)) ก่อนเปลี่ยนเป็น “อาร์ดวิค แอสโซซิเอชัน ฟุตบอล คลับ” (Ardwick Association Football Club) ในปี 1887 และ “แมนเชสเตอร์ ซิตี” ในปี 1894 หรือสองปีหลังเข้าร่วมฟุตบอลลีก

เช่นเดียวกับทีมเพื่อนบ้าน สัญลักษณ์ของแมนฯซิตีตอนใช้ชื่อเซนต์มาร์คสฯและอาร์ดวิคฯไม่มีรูปเรือ เรือปรากฏครั้งแรกในปี1894 พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็นแมนเชสเตอร์ ซิตี โดยสัญลักษณ์ดังกล่าวก็คล้ายคลึงกับแมนฯยูไนเต็ดในปี 1902 แต่ความจริงคือ แมนฯซิตีเองก็ดัดแปลงจากตราประจำเมืองของแมนเชสเตอร์ที่มีตั้งแต่ปี 1842

แมนฯซิตีใช้สัญลักษณ์ดังกล่าวจนถึงปี 1960 จึงเปลี่ยนมาเป็นแบบใหม่ที่คล้ายกับโลโกตอนนี้ คือเป็นแถบวงกลมเขียนคำว่า “แมนเชสเตอร์ ซิตี เอฟ.ซี.” โดยมีโล่อยู่ข้างในวงกลม ด้านบนเป็นเรือสำเภาสามเสากระโดง ด้านล่างเป็นแถบสีเหลืองสามแถบหรือ Three Rivers

จากนั้นเป็นเวอร์ชันปี 1970 ที่ใกล้เคียงรูปแบบเดิมเปลี่ยนเพียงโทนสี, ปี 1972 ใช้กุหลาบสีแดงแทนสามแถบ, ปี 1976 เปลี่ยนโทนสี, ปี 1997 ถือเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ ภาพพญาอินทรีผงาดเหนือโล่ที่ข้างในเป็นเรือ, ตัวหนังสือ M.C.F.C. และแถบสีขาวสามแถบบนพื้นสีฟ้า เหนือนกอินทรีเป็นดาวห้าแฉกสามดวง ข้างล่างโล่เป็นคำขวัญภาษาลาติน “Superb in Proelio” แปลว่า “ความภาคภูมิใจในสนามรบ” โดยนกอินทรีสื่อความหมายถึงอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งสนามบินแมนเชสเตอร์เปรียบเสมือนหัวใจของประเทศอังกฤษตอนเหนือ

อย่างไรก็ตาม โลโกนี้ไม่ได้รับความนิยมในหมู่แฟนบอลและถูกเปลี่ยนใหม่ในปี 2016 ซึ่งคล้ายกับเวอร์ชัน 1972 แต่ปรับดีไซน์และสีให้ชัดเจนทันสมัย พร้อมใส่ปี 1894 ซึ่งเป็นปีแรกที่ใช้ชื่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี ลงไปในแถบวงกลม สโมสรยังใช้สัญลักษณ์นี้จวบจนปัจจุบัน

จากประวัติศาสตร์กว่าหนึ่งศตวรรษในช่วงที่ใช้ชื่อ แมนฯยูไนเต็ด (120 ปี) และแมนฯซิตี (129 ปี) เรือสำเภาถือเป็นส่วนสำคัญของสัญลักษณ์สโมสรมาตลอดเพื่อสื่อถึงความยิ่งใหญ่ในการค้าขายทางเรือของเมืองแมนเชสเตอร์

หลายเสียงยืนยัน “เรือ” เป็นประตูสู่การค้าขายทั่วโลก

เปรียบเทียบตราสโมสรของสองทีม เรือของแมนฯซิตีมีขนาดใหญ่กว่า กินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของโล่เท่ากับส่วนที่เป็นกุหลาบสีแดง ขณะที่เรือของแมนฯยูไนเต็ดจะอยู่หนึ่งส่วนสามของพื้นที่โล่ อีกสองส่วนสามเป็นปีศาจแดง

อย่างไรก็ตามตอนที่แมนฯซิตีเปลี่ยนจากพญาอินทรีกลับไปใช้รูปแบบเดิมเมื่อปี 2016 สโมสรได้ออกแถลงการณ์ว่า “ตราใหม่เป็นเสมือนต้นฉบับดั่งเดิมที่ดูทันสมัยขึ้น หวนกลับไปสู่รูปทรงกลมในอดีต พร้อมชุดสัญลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์ของแมนเชสเตอร์ได้แก่ เรือ แม่น้ำสามสาย และดอกกุหลาบสีแดง อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่สโมสรได้ใส่ตัวเลข 1894 ซึ่งเป็นปีก่อตั้งสโมสรไว้ด้วย เพื่อเป็นการเคารพแก่ประวัติศาสตร์อันยาวนานของชุมชนแมนเชสเตอร์

โจนาธาน สโคฟิลด์ นักประวัติศาสตร์ เปรียบเรือเป็นเสมือนลมหายใจของเมือง “มันคือสัญลักษณ์ของการค้าเสรี ภายใต้แนวคิดมนุษย์ในโลกใบนี้ต่างมีความเท่าเทียมกัน เพราะทุกคนล้วนมีสิทธิเท่าเทียมซึ่งกันและกันในการประกอบธุรกิจ และนี่แหละเป็นความหมายของเรือ”

แกรห์ม สตริงเกอร์ ส.ส.เขต Blackley และ Broughton จากพรรคแรงงาน ให้ความเห็นว่า “เมืองแมนเชสเตอร์ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการค้าทาสเลย จริงๆแล้วประชาชนที่นี่ในสมัยอเมริกาเกิดสงครามกลางเมืองเมื่อปี 1861 เคยรวมตัวประท้วงระบบทาสด้วยซ้ำ การรณรงค์เรื่องนี้ (เรือเป็นสัญลักษณ์ของการค้าและการใช้ทาส) เป็นสิ่งที่บ้าบอคอแตกเรื่องหนึ่งที่ผมเคยเจอมา”

แคเธอรีน เฟลทเชอร์ ส.ส.จากพรรคอนุรักษ์นิยม ซึ่งถือตั๋วปีของแมนฯยูไนเต็ด เป็นคนหนึ่งที่ไม่พอใจรายงานพิเศษชิ้นนั้นของเดอะ การ์เดียน “ผู้คนในเมืองแมนเชสเตอร์เป็นเจ้าบ้านที่ให้การต้อนรับผู้มาเยือนได้อบอุ่นมากที่สุดกลุ่มหนึ่งในโลก ดังนั้นเรือไม่สามารถนำไปใช้เป็นสัญลักษณ์แทนอะไรแบบนั้นแน่นอน”

เจพี โอ’นีล ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ของแมนฯยูไนเต็ด และเขียนหนังสือชื่อ “Red Rebels: United and the FC Revolution” ถึงขนาดระบุว่า ตรรกะของแฮทเทนสโตนเป็นเรื่องตลกเพราะมันย้อนแย้งกันเอง 

“ไม่ใช่แค่ตราสัญลักษณ์ของสโมสรเกิดขึ้นหลังการประกาศเลิกทาสนานมาก ตัวสโมสรเองยังก่อตั้งหลังระบบทาสสิ้นสุดลงหลายสิบปี แล้วต้องไม่ลืมว่าเรือลำแรกเดินทางมาถึงแมนเชสเตอร์ในปี 1894 พร้อมการเปิดคลองเรือ และที่แมนเชสเตอร์ คนงานโรงงานฝ้ายในยุคสงครามกลางเมืองอเมริกา พร้อมใจไม่ยอมทำงานยุ่งเกี่ยวกับฝ้ายดิบที่ได้มาจากแรงงานทาส แม้นั่นทำให้ชีวิตของพวกเขาสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายก็ตาม”

ทางด้านความคิดเห็นของแฟนบอล ไมค์ โกลด์สตีน นักบินวัย 57 ปี ซึ่งเริ่มดูการแข่งขันแมนฯซิตีในสนามตั้งแต่อายุแปดขวบ กล่าวว่า “ไร้สาระด้วยประการทั้งปวง คุณเอาแต่ย้อนเวลากลับไปแบบนั้นไม่ได้หรอก มันคล้ายกับคนอิตาเลียนยังบ้าคลั่งอาณาจักรโรมัน”

ปีเตอร์ ชอว์ แฟนบอลวัย 34 ปีของแมนฯยูไนเต็ด “ช่างไร้สาระจริงๆถ้าจะเอา(ภาพเรือ)ออกไป มันเกี่ยวข้องกับการฉลองเปิดคลองเรือ ไม่มีอะไรยุ่งกับการค้าทาสแม้แต่นิดเดียว”

เจมี พาร์คเฮาส์ พ่อครัวแฟนบอลแมนฯยูไนเต็ดวัย 37 ปี “เป็นเรื่องถูกต้องแล้วที่ผู้คนจะตั้งคำถามเรื่องการค้าทาสใช้แรงงานทาส แต่ไม่ใช่เรื่องนี้ (ภาพเรือ) ตราสัญลักษณ์สื่อถึงคลองเรือแมนเชสเตอร์ไม่ใช่ทาส การโยงโลโกสโมสรกับค้าขายเป็นอะไรที่มากจนเกินเลยไป”

เทียบ “เรดสกินส์” เปลี่ยนชื่อ-โลโกเพราะด้อยค่าอินเดียนแดง

ไม่กี่ปีที่แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นกับ “วอชิงตัน เรดสกินส์” (Washington Redskins) ทีมอเมริกันฟุตบอลเก่าแก่ของเนชันแนล ฟุตบอล ลีก (เอ็นเอฟแอล) ในสหรัฐอเมริกา

เมื่อปี 2020 เอ็นเอฟแอล มีมติให้ตัดคำว่า “เรดสกินส์” ออกจากชื่อ และยกเลิกตราสโมสรที่มีภาพอินเดียนแดง หลังจากถูกวิจารณ์มายาวนานเนื่องจากสื่อถึงชนพื้นเมืองอเมริกันอย่างไม่เหมาะสม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแรงกดดันจากบริษัทสปอนเซอร์ใหญ่อย่าง เฟดเอ็กซ์, ไนกี้, เป๊ปซี่ และธนาคารแห่งอเมริกา

ระหว่างหาชื่อถาวร ทีมเลือกใช้ชื่อ “วอชิงตัน ฟุตบอล ทีม” (Washington Football Team) เป็นการชั่วคราว ส่วนสัญลักษณ์ของทีมบนหมวกอเมริกันฟุตบอลจะใช้ตัวอักษร W จนกระทั่งต้นปี 2022 ทีมได้ประกาศใช้ชื่อใหม่ว่า “วอชิงตัน คอมมานเดอร์ส” (Washington Commanders) อย่างเป็นทางการ ขณะที่โลโก W ถูกออกแบบใหม่

วอชิงตัน โพสต์ สื่อยักษ์ใหญ่ในอเมริกา ระบุว่าการเปลี่ยนชื่อทีมและตราสัญลักษณ์จะใช้ค่าใช้จ่ายกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐในการดำเนินงานด้านต่างๆอาทิ การผลิตสินค้าของที่ระลึก ชุดแข่งขัน สนามแข่งขัน ฯลฯ แต่ในระยะยาวเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของทีมวอชิงตัน ทำให้ได้รับการสนับสนุนจากแฟนอเมริกันฟุตบอลมากขึ้น

อย่างไรก็ตามกรณีของวอชิงตันถือว่าแตกต่างกับแมนฯยูไนเต็ดและแมนฯซิตีอย่างเห็นได้ชัดทั้งประเด็นการสื่อความหมายและแรงกดดันจากสังคม

ไนเจล เคอร์รี ผู้ชำนาญการด้านแบรนดิ้ง ให้สัมภาษณ์ว่าการปรับเปลี่ยนตราสโมสรจะต้องใช้เงินหลายล้านปอนด์เช่นกัน “นี่จะเป็นการดำเนินงานใหญ่มากครั้งหนึ่งและต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมากในการเปลี่ยนตราสโมสรของแมนฯยูไนเต็ดและแมนฯซิตี”

“ความเชื่อมโยงเรื่องทาสไม่ได้ชัดเจนหรือแข็งแกร่ง แต่มันมีศักยภาพที่จะทำลายสร้างความเสียหายให้กับประวัติศาสตร์ด้านต่างๆที่เชื่อมโยงสโมสร  เหตุผลในการเปลี่ยนแปลงก็ดูไม่มีน้ำหนัก แน่นอนย่อมมีการถกเถียงกันต่อไปว่าแท้จริงแล้ว เรือเป็นตัวแทนของอะไรกันแน่ การอภิปรายจะดำเนินต่อไป แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงไม่น่าจะเกิดขึ้น”

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Special Content

8 นักเตะเกรดพรีเมียมในตลาดซัมเมอร์ เคน-เบลลิงแฮม-ไรซ์-โอซิมเฮน นำขบวน

ตลาดซื้อขายนักเตะกลางซีซัน (Winter/January transfer window) ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา สโมสรพรีเมียร์ลีกร่วมกันสร้างสถิติใหม่ใช้เงินรวมกัน 815 ล้านปอนด์ มากกว่าตลาดฤดูหนาวสี่ปีที่ผ่านมารวมกัน เชลซีนำโด่งหัวขบวน 323 ล้านปอนด์หรือ 329 ล้านยูโร ทีมเดียวมากกว่าทั้งกัลโช เซเรีย อา ทั้งลีกรวมกันไม่ถึง 28 ล้านยูโร เชลซียังสร้างสถิติใหม่ของสหราชอาณาจักรด้วยการทุ่ม 106.8 ล้านปอนด์เพื่อดึงเอ็นโซ แฟร์นานเดซ มาจากเบนฟิกา

ตลาดใหญ่ช่วงฤดูร้อน (Summer transfer window) กลางปีนี้ของพรีเมียร์ลีก ยังไม่ประกาศวันเปิดปิดแต่คาดว่าน่าจะเป็นต้นเดือนมิถุนายนเหมือนปีที่แล้ว ซึ่งเปิดวันที่ 10 มิถุนายน และปิดวันที่ 1 กันยายน โดยใช้จ่ายเงินรวมทั้งสิ้นเกือบ 2พันล้านปอนด์ มากกว่าอีกสี่ลีกบิ๊กไฟฟ์ บุนเดสลีกา, ลีกเอิง, เซเรีย อา และลา ลีกา รวมกัน

การซื้อขายเพื่อเสริมแกร่งให้กับขุมกำลังเพื่อสู้ศึกฤดูการแข่งขัน 2023-24 ยากที่จะคาดเดาว่าตัวเลขเงินหมุนเวียนในตลาดจะสูงเป็นประวัติศาสตร์หรือไม่ แต่ที่แน่นอนคือ นักเตะเนื้อหอมที่จะก้าวสู่ตลาดฤดูร้อนปีนี้จัดอยู่ในกลุ่มสตาร์เอบวกหลายคนนำโดย จูด เบลลิงแฮม มิดฟิลด์ว่าที่ GOAT ซึ่งคาดว่าโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ต้องการค่าตัวเริ่มต้นที่ 130 ล้านปอนด์, เฮนรี เคน ยอดศูนย์หน้าที่วัยใกล้พ้นช่วงพีคและมองหาทีมใหม่ที่จะทำให้เขาได้รับเกียรติยศระดับเมเจอร์ครั้งแรกในชีวิต, ดีแคลน ไรซ์ ยอดมิดฟิลด์ตัวรับที่ตกเป็นข่าวตลอด 1-2 ปีที่ผ่านมา และวิคเตอร์ โอซิมเฮน ดาวซัลโวระดับบล็อกบัสเตอร์อีกคนหนึ่ง

สกาย สปอร์ตส์ สื่อกีฬายักษ์ใหญ่ของอังกฤษ ได้รวบรวมรายชื่อนักเตะที่เข้าข่าย Big transfer moves ในตลาดใหญ่กลางปีดังต่อไปนี้

แฮร์รี เคน: ความคลุมเครือสู่สัญญาปีสุดท้ายกับสเปอร์ส

ขอบคุณภาพจาก  https://www.premierleague.com/news/3147101

การตัดสินใจของแฮร์รี เคน ซึ่งเหลือสัญญากับท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2024 เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของตลาดซัมเมอร์หลังจากเคยเกือบโบกมือลาสเปอร์สเมื่อปี 2021 แต่ดาเนียล เลวี ประธานสโมสร ทั้งโก่งราคาสูงลิ่วและยืนยันเสียงแข็งไม่ขายให้แมนฯซิตี แต่ปีนี้สถานการณ์ต่างออกไป เคนเหลือสัญญาปีเดียว อนาคตของทีมยังลุ่มๆดอนๆ ไม่รู้ว่าใครจะมาเป็นผู้จัดการทีมสเปอร์ส เขาอายุ 29 ปีแต่ยังไร้แชมป์ระดับเมเจอร์ และทีมยังไม่แน่ว่าจะได้เล่นบอลยุโรปถ้วยไหน

แน่นอน เคนรักสโมสร ครอบครัวเขาติดตามเชียร์ทั้งเกมหย้าเยือน แต่อันโตนิโอ คอนเต ซึ่งถูกตั้งความหวังว่าจะเป็นคนพาสเปอร์สไปสู่ความสำเร็จ โดนไล่ออกแบบสายฟ้าฟาด เช่นเดียวกับฟาบิโอ ปาราติซี ผู้อำนวยการฝ่ายกีฬา ก็มีอนาคตไม่ชัดเจน เคนจะยอมต่อสัญญาใหม่หรือไม่ซึ่งเชื่อว่าจะยาวพอให้เขาแขวนสตั๊คกับทีมที่อยู่มาตั้งแต่ปี 2004 ตอนอายุ 11 ขวบ

ไมเคิล บริดจ์ คอลัมนิสต์ของสกาย สปอร์ตส์ มองว่ายังมีความเป็นไปได้แม้น้อยนิดที่เลวีจะรั้งเคนอยู่ต่อจนหมดสัญญาและเป็นฟรีเอเยนต์ หรืออาจยอมปล่อยให้ทีมที่ต้องการศูนย์หน้าที่การันตี 20 ประตูต่อซีซันอย่างแมนฯยูไนเต็ดในราคา 80 ล้านปอนด์ ขณะที่บาเยิร์น มิวนิก ยังติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดแต่ดูเหมือนเคนยังอยากเล่นในพรีเมียร์ลีกต่อไปมากกว่า

จูด เบลลิงแฮม: ใช้เงินจูงใจไม่พอยังต้องมีแผนงานเด็ด

ฟอร์มในเวิลด์คัพที่กาตาร์เป็นเครื่องยืนยันระดับฝีเท้าของจูด เบลลิงแฮม มิดฟิลด์ดาวรุ่งทีมชาติอังกฤษและโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ว่าเป็นทองแท้ไม่ใช่ทองชุบที่หลุดลอกเมื่อต้องลงแข่งขันบนสังเวียนระดับสูง เขามีอายุแค่ 19 ปี ยังสามารถพัฒนาฝีเท้าได้อีกมาก บวกกับสัญญาที่สิ้นสุดในปี 2025 ทำให้ทีมเสือเหลืองตั้งราคาแบบไม่อยากขายที่ 130 ล้านปอนด์

แต่อะไรไม่สำคัญเท่าเบลลิงแฮมเองก็ไม่รีบร้อนตัดสินใจอนาคตเสียด้วย หากจะสะสมประสบการณ์กับดอร์ทมุนด์ต่ออีกสักหนึ่งปีก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรแม้มีบิ๊กทีมอย่างเรอัล มาดริด, แมนฯซิตี, ลิเวอร์พูล และแมนฯยูไนเต็ด พร้อมอ้าแขนรับเขาไปอยู่ด้วย 

เบลลิงแฮมเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาให้ความสำคัญอันดับแรกกับการพัฒนาทักษะความสามารถเพื่อขยายขอบเขตศักยภาพออกไปเรื่อยๆ ซึ่งนั่นทำให้เรอัล มาดริด เป็นเต็งหนึ่งเพราะเป็นทีมที่จะยกระดับให้เขาเป็นมิดฟิลด์ระดับโลก รวมถึงความสำเร็จสูงสุดอย่างเหรียญชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกและรางวัลบัลลงดอร์ แหล่งข่าววงในระบุว่า ทีมราชันชุดขาวถึงขนาดบอกว่า คีลิยัน เอ็มบัปเป เลือกผิดที่ยังอยู่กับปารีส แซงต์-แยร์แมง

เมลิสสา เรดดี คอลัมนิสต์ของสกาย สปอร์ตส์ อ้างอิงคนในครอบครัวเบลลิงแฮมที่เคยพูดว่า “มีทางเดียวที่จะชนะใจจูด คือขายแผนงานเกี่ยวกับฟุตบอล” เหมือนเมื่อครั้งเขาตัดสินใจย้ายจากเบอร์มิงแฮมไปอยู่ดอร์ทมุนด์แทนแมนฯยูไนเต็ด เพราะเชื่อว่าที่ดอร์ทมุนด์ เขามีโอกาสลงสนามมากกว่าและพัฒนาฝีเท้าได้ดีกว่า

ดีแคลน ไรซ์: ถึงย้ายทีมก็ยังใช้ชีวิตในลอนดอน

ดีแคลน ไรซ์ เป็นมิดฟิลด์เนื้อหอมตลอดช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา แต่ซัมเมอร์นี้ มิดฟิลด์ตัวรับวัย 24 น่าจะโบกมือลาเวสต์แฮมที่ยังเหลือสัญญาอีกสองปี เพราะที่กาตาร์ ไรซ์เคยพูดชัดเจนว่าเขาต้องการเล่นในระดับที่สูงขึ้น นักข่าวตีความว่า ไรซ์อยากสัมผัสเกมแชมเปียนส์ลีกและลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ซึ่งตอนนี้ เวสต์แฮมไม่ใช่ทีมที่ตอบโจทย์ต่อไปแล้ว

สื่อเชื่อว่าอาจเป็นไปได้ที่ไรซ์อาจกลับไปเล่นให้เชลซีที่เขาเคยฝึกปรือฝีเท้าในอะคาเดมีตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ และยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเมสัน เมาท์ แต่อาร์เซนอลเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายเพราะอย่างน้อยทีมปืนใหญ่ตกเป็นข่าวสนใจไรซ์ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา พวกเขาชัดเจนในความต้องการยกระดับมิดฟิลด์เมื่อเคยพยายามเซ็นสัญญากับมอยเซส ไกเซโด

ดาร์เมช เชธ คอลัมน์ของสกาย สปอร์ตส์ ระบุว่าเมื่อไรซ์ไม่ขยายเซ็นสัญญา เวสต์แฮมก็ต้องขายเขาปีนี้ไม่รอถึงปีหน้าให้เหลือสัญญาปีเดียว และสนนราคาไม่เบาแน่ เดวิด มอยส์ กุนซือทีมขุนค้อน เคยประเมินค่าตัวไรซ์ว่าทะลุหลัก 150 ล้านปอนด์แน่นอน

วิคเตอร์ โอซิมเฮน: วาดฝันชี้เป้าหมายไปเล่นพรีเมียร์ลีก

วิคเตอร์ โอซิมเฮน เป็นอีกหนึ่งสินค้าเนื้อหอมที่ยังเหลือสัญญาสองปีแต่ยังไม่มีข่าวต่อสัญญาใหม่กับนาโปลี ซึ่งแน่นอนที่ต้องการเก็บศูนย์หน้าวัย 24 ปีเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ในลีกอิตาลี และกลับไปลุ้นแชมป์แชมเปียนส์ลีกอีกครั้งหลังจากเพิ่งแพ้เอซี มิลาน ในรอบแปดทีมสุดท้าย

ในเซเรีย อา โอซิมเฮนทำไปแล้ว 21 ประตู 5 แอสซิสต์ บวกอีก 5 ประตูในบอลถ้วยยุโรป เขาตกเป็นข่าวกับแมนฯยูไนเต็ดที่ต้องการศูนย์หน้าระดับห้าดาวในซัมเมอร์นี้ แต่ทีมปีศาจแดงจะยอมทุ่มเงินถึงร้อยล้านปอนด์บวกหรือเปล่าทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแผนงานของตระกูลเกลเซอร์ หรือบางทีอาจต้องรอความชัดเจนว่ากลุ่มทุนไหนที่จะมาเทคโอเวอร์แมนฯยูไนเต็ด

ดาร์เมช เชธ คอลัมนิสต์ของสกาย สปอร์ตส์ ให้ความเห็นว่าคงต้องรอความเคลื่อนไหวเรื่องสัญญาใหม่จากสองฝ่าย แต่โอซิมเฮนเคยพูดชัดเจนว่า เขาจะทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อบรรลุความฝันในการจะได้เล่นพรีเมียร์ลีกสักวันหนึ่ง สโมสรระดับท็อปและรวยพอจ่ายค่าตัวร้อยล้านปอนด์ก็มีไม่กี่ทีม

มอยเซส ไกเซโด: ยากที่ไบรท์ตันยอมปล่อยถ้าไม่เปย์หนักจริง

เดือนมกราคมที่ผ่านมา อาร์เซนอลและเชลซีเสนอซื้อมอยเซส ไกเซโด แต่ถูกไบรท์ตันปฏิเสธรวมถึงเงิน 70 ล้านปอนด์จากทีมแรก ทีมนกนางนวลยืนยันไม่ขายไกเซโด และยังปิดดีลต่อสัญญาสี่ปีบวกออปชันปีที่ห้า

พอล บาร์เบอร์ ซีอีโอสโมสร ระบุไม่มีเงื่อนไขฉีกสัญญาหรือ release clause นั่นจึงทำให้หลายทีมพรีเมียร์ลีกที่หวังเติมพลังให้แดนกลางยังไม่ถอดใจ น่าติดตามว่าอาร์เซนอลกับเชลซีจะเคลื่อนไหวอย่างไรในฤดูร้อนนี้

ดาร์เมช เชธ คอลัมนิสต์ของสกาย สปอร์ตส์ ให้ความเห็นว่า ถ้าไบรท์ตันทำอันดับสูงพอคว้าโควตาแชมเปียนส์ลีกหรือยูโรปาลีก มิดฟิลด์วัย 21 ซึ่งเล่นให้เอกัวดอร์ 30 นัด คงจะร่วมงานท้าทายกับกุนซือโรแบร์โต เด แซร์บี แต่ถ้าไม่ ไกเซโดน่าจะยังสวมยูนิฟอร์มไบรท์ตันต่ออย่างน้อยหนึ่งซีซันอยู่ดี ยกเว้นบิ๊กทีมอังกฤษจะกล้าทุ่มเงินมหาศาลให้ไบรท์ตันชนิดยากที่จะปฏิเสธ แน่นอนต้องมากกว่า 70 ล้านปอนด์ที่รวมแอดออน

เมสัน เมาท์: การเลือกอนาคตที่ขึ้นกับปัจจัยมากมายของเชลซี

อนาคตของเมสัน เมาท์ ค่อนข้างคลุมเครือ เขาเหลือสัญญากับเชลซีแค่กลางปี 2024 การต่อสัญญาใหม่ยังไม่คืบหน้าเพราะสโมสรต้องปรับโครงสร้างค่าเหนื่อยนักเตะให้เข้ากับไฟแนนเชียล แฟร์เพลย์ แถมมีผู้เล่นมากเกินความจำเป็นจนต้องผ่องถ่ายออกในซัมเมอร์นี้ ขณะที่ยังไม่รู้ว่าใครจะมาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่และจะเริ่มงานเมื่อไร ส่วนฟอร์มของมิดฟิลด์วัย 24เองก็ดร็อปเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมทีมส่วนใหญ่ในยุคแกรห์ม พอตเตอร์ แถมเพิ่งบาดเจ็บกระดูกเชิงกราน หายหน้าไปจากสนามสี่นัด

ลิเวอร์พูลและนิวคาสเซิลเป็นสองทีมที่มีข่าวสนใจเมาท์อย่างจริงจัง บาเยิร์นก็มีข่าวเชื่อมโยงแต่สกาย เยอรมัน ระบุว่าสโมสรคงไม่ซื้อมิดฟิลด์เพิ่มแล้วเมื่อคอนราด ไลเมอร์ กองกลางทีมชาติออสเตรียของไลป์ซิก เตรียมตัวย้ายเข้านครมิวนิกแบบฟรีค่าตัวในฤดูร้อนนี้

ไลออล โธมัส คอลัมนิสต์ของสกาย สปอร์ตส์ ยอมรับว่าเป็นการคาดเดาที่ยากมากว่ามิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษรายนี้จะร่วมหัวจมท้ายกับเชลซีต่อหรือไม่ คิดอย่างไรกับการขยายสัญญา และถ้าเลือกออกจากสแตมฟอร์ดบริดจ์ เมาท์จะลงเอยกับทีมไหน

ชูเอา เฟลิกซ์: เนื้อหอมขึ้นมากหลังฟอร์มเด่นช่วงเชลซียืมตัว

ในตลาดหน้าหนาว เชลซียืมชูเอา เฟลิกซ์ จากแอตเลติโก มาดริด มาใช้งานจนจบซีซัน แต่ในสัญญาไม่มีออปชันหรือเงื่อนไขซื้อขาด เฟลิกซ์ทำไป 2 ประตูจาก 11 นัด (ตัวจริง 10 ตัวสำรอง 1) ถ้าไม่เจอใบแดงถูกแบนสามนัด เขาคงได้ลงเล่นทุกนัด ดูเหมือนแนวรุกวัย 23 จะไปได้สวยกับตำแหน่งเบอร์ 10 สตาฟฟ์โค้ชและฝ่ายบริหารด้านเทคนิคค่อนข้างพอใจผลงานของเฟลิกซ์

ไลออล โธมัส คอลัมนิสต์ของสกาย สปอร์ตส์ ให้ความเห็นว่า เฟลิกซ์แสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมาเรื่อยๆในสีเสื้อเดอะบลูส์ มีความเป็นไปได้ที่เชลซีจะยื่นซื้อขาดหรือยืมตัวต่อ แต่ติดตรงที่เชลซีคงไม่ได้เล่นบอลสโมสรยุโรปสักรายการ บวกกับคำถามว่าเขาจะอยู่ในแผนงานของผู้จัดการทีมคนใหม่หรือไม่ แต่ถึงไม่ใช่เชลซี เฟลิกซ์ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจทีเดียวสำหรับสโมสรชั้นนำของยุโรปที่จะเจรจาขอซื้อกับแอตเลติโก มาดริด

เจมส์ แมดดิสัน: น่าซื้อหากเลสเตอร์ไม่โก่งราคาสูงเว่อร์

ขอบคุณภาพจาก  https://www.bbc.com/sport/football/63126188

ซีซันนี้แม้มีอาการบาดเจ็บรบกวนแต่เจมส์ แมดดิสัน มีผลงาน 9 ประตู 6 แอสซิสต์จาก 24 เกมพรีเมียร์ลีก ในวัย 26 ปีเขาเหลือสัญญากับเลสเตอร์แค่ปีเดียว บวกกับเดอะฟ็อกซ์อาจลงไปเล่นแชมเปียนชิพฤดูกาลหน้า สโมสรน่าจะขายแมดดิสันได้ในราคาประมาณ 50 ล้านปอนด์ขึ้นไป ขณะที่ต้องเสียสตาร์อีกคน ยูริ ติเลอมองส์ ไปแบบฟรีๆเพราะหมดสัญญา

สเปอร์สและนิวคาสเซิลต่างให้ความสนใจแมดดิสันมายาวนาน สองทีมกำลังอยู่ในสมรภูมิแย่งชิงอันดับ 3-4 บนตารางพรีเมียร์ลีก แน่นอนโควตาแชมเปียนส์ลีกย่อมมีผลต่อการตัดสินใจเลือกทีมของแมดดิสันในซัมเมอร์นี้ ทีมสาลิกาดงอาจได้เปรียบกว่าในเรื่องสถานการณ์สโมสรที่มีความเสถียรทั้งบอร์ดบริหารและสตาฟฟ์โค้ช เอ็ดดี ฮาว กำลังพาทีมไปได้สวย ยกระดับตัวเองขึ้นไปอยู่แถวหน้าของลีก แถมยังได้รับเงินสนับสนุนชนิดใจถึงพึ่งได้จากกลุ่มทุนตะวันออกกลาง

ร็อบ ดอร์เซตต์ คอลัมนิสต์ของสกาย สปอร์ตส์ เชื่อว่าแมดดิสันคงย้ายออกเลสเตอร์หน้าร้อนนี้ และคงไม่ใช่แค่สเปอร์สกับนิวคาสเซิลที่พร้อมเสนอราคาซื้อให้เดอะฟ็อกซ์พิจารณา ทักษะตำแหน่งเบอร์สิบไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นสภาพร่างกายของแมดดิสันที่ยังมีเครื่องหมายคำถาม อีกตัวแปรที่ช่วยให้การเจรจาง่ายขึ้น เลสเตอร์ไม่ควรโก่งราคาเกินงาม

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Special Content

ทีมชาติหมู่เกาะมาร์แชลล์ เตะฟุตบอลให้มหาสมุทรกระเพื่อม

ปัจจุบันโลกมี 195 ประเทศ สองประเทศไม่ได้เป็นสมาชิกของสหประชาชาติคือ รัฐปาเลสไตน์ (State of Palestine) และ สันตะสำนัก (Holy See) ซึ่งเป็นรัฐอิสระบริหารส่วนกลางของคริสตจักรโรมันคาทอลิกทั้งหมด มีพระสันตะปาปาเป็นประมุข และมีนครรัฐวาติกันเป็นเมืองหลวง แต่สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติหรือฟีฟากลับมีสมาชิกมากถึง 211 ชาติ เนื่องจากฟีฟาอนุญาตให้ Dependent Territories หรือดินแดนที่ไม่ได้มีเอกราชทางการเมืองหรืออธิปไตยทางการเมืองเต็มรูปแบบสมัครเป็นสมาชิกได้ ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับโอลิมปิก

ไม่ใช่ทุกประเทศสมาชิกจะร่วมแข่งขันรายการที่ฟีฟาดูแล บางประเทศลงเล่นด้วยความเพลิดเพลินมากกว่าหวังผลแพ้ชนะหรือชิงความเป็นเลิศ หลายประเทศไม่ถูกสื่อต่างชาตินำเสนอข่าวความเคลื่อนไหว ไม่อยู่ในความสนใจของแฟนบอลที่อยู่อีกมุมหนึ่งของโลก และบางชาติกำลังพยายามเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมฟีฟาเพื่อโอกาสแข่งขันกับทีมฟุตบอลชาติอื่น

หนึ่งในนั้นคือ หมู่เกาะมาร์แชลล์ (Marshall Islands) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลล์ (Republic of the Marshall Islands)

หมู่เกาะมาร์แชลล์มีประชากรราวหกหมื่นคน กระจายอยู่บน 5 เกาะเดี่ยวและ 30 หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ยังไม่มีลีกฟุตบอล แต่คนกลุ่มหนึ่งกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อให้ฟุตบอลได้รับความนิยมในประเทศและเข้าเป็นส่วนหนึ่งของฟีฟา เป้าหมายดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นจากความรักระหว่างพ่อลูกคู่หนึ่ง ซึ่งย้อนกลับไปยังสมัยที่หมู่เกาะมาร์แชลล์ยังไม่มีทีมชาติฟุตบอล เชม ลิวาย (Shem Livai) นักธุรกิจท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง มาจูโร (Majuro) เป็นผู้นำกลุ่มที่หวังสร้างการเปลี่ยนแปลง

คาร์เตอร์ ลิวาย (Carter Livai) ลูกชายของเชม เล่นฟุตบอลเพราะรู้สึกเป็นกีฬาที่เล่นง่าย แค่ไล่เตะลูกฟุตบอลกับเพื่อนฝูงบริเวณชายหาดที่งดงามแห่งหนึ่งของมาจูโร หรือความจริงคือพวกเขาเล่นกันที่สนามหลังบ้านซึ่งมีข้อจำกัดด้วยการขึ้นลงของน้ำจากมหาสมุทร แต่พอคาร์เตอร์อายุ 11 ขวบ เขากับเพื่อนๆก็เลิกเล่นฟุตบอลเพราะเบื่อที่จะเตะกันเองสนุกแบบเด็กๆแล้ว พวกเขาอยากแข่งขันอย่างจริงจังแต่มาจูโรและส่วนอื่นๆของหมู่เกาะมาร์แชลล์ยังไม่มีลีกฟุตบอล

ด้วยความที่หมู่เกาะมาร์แชลล์ได้รับอิทธิพลจากสหรัฐอเมริกาที่เข้ามาเกี่ยวข้องในประวัติศาสตร์ความเป็นมาของประเทศตั้งแต่ศตวรรษที่แล้ว ชาวมาร์แชลล์จึงนิยมกีฬาอเมริกันชนอย่างบาสเกตบอล เบสบอล และอเมริกันฟุตบอล มากกว่าฟุตบอลหรือซอคเกอร์ เชม ลิวาย จึงเกิดไอเดียและเริ่มก่อตั้ง สหพันธ์ฟุตบอลหมู่เกาะมาร์แชลล์ (Marshall Islands Soccer Federation หรือ MISF) ขึ้นในปี 2020

ลิวายผู้พ่อให้สัมภาษณ์กับสื่ออีเอสพีเอ็นว่า “ผมเห็นพวกเด็กๆรักกีฬาฟุตบอลมากขนาดไหน แต่ที่นี่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่มีลีกฟุตบอล ผมตระหนักทันทีว่าต้องลงมือทำอะไรบางอย่างแล้ว”

เดือนธันวาคม 2022 ลิวายและผู้ร่วมอุดมการณ์กลุ่มหนึ่งได้แต่งตั้ง ลอยด์ โอเวอร์ส (Lloyd Owers) ชาวอังกฤษ ทำหน้าที่ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคคนแรกของประเทศ พวกเขายังเพิ่มตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการตลาดและผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารมวลชน และวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา พวกเขาแถลงข่าวจับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัทเพลเยอร์เลเยอร์ (PlayerLayer) ซึ่งดูแลเรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายให้กับฟอเรสต์ กรีน โรเวอร์ส สโมสรฟุตบอลที่เล่นในลีกวันของอังกฤษ ซึ่งเพิ่งครองแชมป์ลีกทู ฤดูกาล 2021-22

ไม่เป็นความลับใดๆถึงภารกิจนี้ที่มีวัตถุประสงค์มากกว่าการนำทีมฟุตบอลหมู่เกาะมาร์แชลล์ออกไปสู่สายตาชาวโลก พวกเขาต้องการให้ทีมชาติสร้างความตระหนักให้เกิดขึ้นในหมู่มนุษยชาติถึงการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศที่กำลังจะอุบัติขึ้นภายในปี 2030 ที่ถูกคาดหมายว่า พื้นที่ราว 40 เปอร์เซ็นต์ของมาจูโร ซึ่งบางส่วนครั้งหนึ่งเคยถูกทำลายจากการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ จะจมอยู่ใต้น้ำ

บ่อยครั้งที่กีฬาเป็นเครื่องมือทรงอานุภาพที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกโดยมีอนาคตของชาติเป็นเดิมพัน ครั้งนี้ก็เช่นกันที่หมู่เกาะมาร์แชลล์หวังจะใช้ทีมฟุตบอลทดสอบแนวคิดดังกล่าวว่ายังสามารถใช้ได้ผลอยู่หรือไม่

ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคคนแรกของมาร์แชลล์

ถึงลิวายเป็นตัวตั้งตัวตีจนโปรเจ็กต์นี้เกิดขึ้น แต่บุคคลสำคัญที่สานต่อจนความฝันเป็นรูปเป็นร่างจริงจังก็คือมืออาชีพอย่างโอเวอร์ส ซึ่งรับตำแหน่งทั้งที่ไม่เคยเดินทางมาหมู่เกาะมาร์แชลล์เลย เขาไม่เคยเจอบอสใหญ่ ลิวาย แบบซึ่งๆหน้าด้วยซ้ำ ทั้งสองติดต่อสื่อสารผ่านหน้าจอและโทรศัพท์ แต่นั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของงานเลย

โอเวอร์สได้รับการทาบทามหลังจากลิวายเข้าไปศึกษาเว็บไซต์ของเขา ตอนนั้นโอเวอร์สทำเนื้อหาถามตอบรายสัปดาห์ โฟกัสไปยังประเทศที่ฟุตบอลยังไม่มีเสถียรภาพ เขาถ่ายทอดความรู้ที่ได้รับสมัยเรียนมหาวิทยาลัยและเคยทำงานในสตาฟฟ์โค้ช รวมถึงตอนเป็นผู้จัดการทีม ยู-23 ของออกซ์ฟอร์ด ซิตี เขายังเคยทำงานที่ออกซ์ฟอร์ด ยูไนเต็ด, แมนส์ฟิลด์ ทาวน์ และโคลเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่สหรัฐ, แคนาดา และสวีเดน แต่เป็นบทความเรื่องซามัว ประเทศแถบมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ ที่ทำให้ลิวายสนใจอยากดึงโอเวอร์สมาทำงานให้กับ MISF

โอเวอร์สเล่าให้สื่ออีเอสพีเอ็นฟังว่า “เราสองคนคุยกันเยอะมาก แต่ผ่านทางข้อความเสียงที่ทิ้งไว้ใน WhatsApp ซึ่งพอผมตื่นขึ้นมาก็จะเห็นข้อความของเขาเพราะความต่างของเวลา ต่อมาเขาอยากให้ผมวางแผนระยะยาวตามแนวทางส่วนตัวของผม เพื่อดูว่ามันจะเข้ากับ MISF ได้มากน้อยแค่ไหน มารู้ตัวอีกทีเขาก็เสนอตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคให้ผม เราสร้างทุกอย่างขึ้นมาจากศูนย์จริงๆ”

แต่โอเวอร์สยอมรับว่า ก่อนตัดสินใจรับงานนั้น เขาต้องใช้กูเกิลเพื่อค้นหาคำตอบของข้อสงสัยสำคัญคือ หมู่เกาะมาร์แชลล์อยู่ส่วนไหนของโลก

สมรภูมิสงครามโลกและพื้นที่ทดสอบนิวเคลียร์

หากอธิบายพิกัดเพื่อให้นึกภาพง่ายที่สุดแม้ไม่ตรงความจริงเป๊ะ หมู่เกาะมาร์แชลล์จะอยู่ตรงกลางระหว่างประเทศออสเตรเลียและรัฐฮาวายของสหรัฐในมหาสมุทรแปซิฟิก มีประชากรประมาณหกหมื่นคน ย้อนกลับไปช่วงสงครามโลกครั้งที่สองประมาณปี 1939 ถึง 1945 หมู่เกาะมาร์แชลล์เป็นเสมือนศูนย์กลางการสั่นสะเทือนของการสู้รบแถบแปซิฟิก เคยอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศญี่ปุ่นช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ก่อนสหรัฐเข้ามาครอบครองในปี 1944 

ระหว่างปี 1946 ถึง 1958 สหรัฐได้ใช้พื้นที่หลายแห่งในหมู่เกาะมาร์แชลล์ และอีกสองสามแห่งในมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นสถานที่ทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ โดยตั้งชื่อสถานที่เหล่านั้นว่า Pacific Proving Grounds แม้เวลาผ่านกว่าเจ็ดสิบปีแต่ผลกระทบและสิ่งตกค้างจากรังสียังมีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตประจำวันและสุขภาพของคนท้องถิ่น

หมู่เกาะมาร์แชลล์ได้บัญญัติรัฐธรรมนูญของตนเองขึ้นมาเมื่อปี 1979 สามารถหลีกหนีจากอำนาจศาลของสหรัฐ แต่เกาะควาจาเลน (Kwajalein) ซึ่งเป็นเกาะที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับสอง ยังคงถูกใช้เป็นที่ตั้งของฐานทัพสหรัฐ เพื่อแลกกับการที่หมู่เกาะมาร์แชลล์ยังคงได้รับความช่วยเหลือทางการเงิน ทางการทหาร และการเข้าถึงบริการต่างๆจากสหรัฐ

สหประชาชาติยอมรับหมู่เกาะมาร์แชลล์เป็นสมาชิกเมื่อปี 1991 รายได้หลักของประเทศมาจากปลาทูนาและน้ำมันมะพร้าว ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญที่สุด

การเข้ามาของสหรัฐช่วงสงครามโลกส่งผลให้กีฬายอดนิยมของชาวอเมริกันอย่างบาสเกตบอล เบสบอล และอเมริกันฟุตบอล แพร่หลายเข้าไปในวิถีชีวิตของชาวมาร์แชลล์ แต่ข้อจำกัดอยู่ที่พื้นที่ใช้เล่น ตัวอย่างเช่นกรุงมาจูโร ประชากรสามหมื่นคนอาศัยอยู่บนที่ดินขนาดรัศมีไม่ถึงสิบกิโลเมตร โดยพื้นที่ของเกาะราว 97.8 เปอร์เซ็นต์เป็นน้ำ นั่นทำให้โอเวอร์สใช้เวลาประมาณ 40 ชั่วโมงเดินทางจากบ้านพักกในออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ไปยังหมู่เกาะมาร์แชลล์

แต่โอเวอร์สไม่เคยมองว่าการเดินทางที่ยากลำบากเป็นอุปสรรค เขาได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากภรรยาเมื่อ MISF ติดต่อเข้ามา “เธอบอกว่าลุยเลยเพราะมันเป็นโปรเจ็กต์ที่ใหญ่และส่งผลดี ส่วนตัวผมเองก็มีเป้าหมายส่วนตัวอยู่แล้วคือ อยากทำงานกับประเทศที่ฟีฟายอมรับ ซึ่งตอนนี้ก็เฝ้าหวังว่านั่นจะเป็นหมู่เกาะมาร์แชลล์”

ก่อนเดินทางมาเห็นหมู่เกาะมาร์แชลล์ด้วยตาตัวเอง โอเวอร์สยอมรับว่าเขาจินตนาการความเป็นจริงไม่ออกเมื่อมองชายหาด โรงแรม และสถานที่ต่างๆจากสิ่งที่เห็นผ่าน Google Maps สิ่งที่เขาเห็นมีแค่ที่ดินผืนเล็กๆและหญ้าเป็นหย่อมๆ จนไม่แน่ใจว่ามันจะใช้เป็นพื้นที่เล่นฟุตบอลได้จริงๆ ดังนั้นเขาต้องเดินทางไปที่นั่น

สนามใหม่จุสองพันประเดิมจัดมินิโอลิมปิก

แม้โครงการดังกล่าวผ่านไประยะเวลาหนึ่งพร้อมความคืบหน้าแต่ลิวายไม่ต้องการเร่งรัดคณะทำงานของเขา “ผมเพียงอวยพรให้ทุกคนสามารถทำงานให้ผ่านไปด้วยดี และต้องมั่นใจว่ารากฐานของเราแข็งแรงเพียงพอ”

แผนงานอันดับแรกๆคือพลักดันฟุตบอลเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตประจำวันของผู้คน และนับตั้งแต่โอเดอร์สรับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค สื่อมวลชนภายในประเทศได้ให้ความสนใจ MISF มากขึ้นเรื่อยๆ โอเวอร์สยังกระตุ้นให้ MISF เป็นที่รับรู้ในสหราชอาณาจักรเป็นวงกว้าง ซึ่งนำไปสู่การบริจาคเสื้อผ้าชุดแข่งและลูกฟุตบอลที่หลั่งไหลเข้ามาสู่หมู่เกาะมาร์แชลล์

โอเวอร์สกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “การบริจาคเหมือนเป็นฝันร้ายในเชิงขนส่ง แต่พอผมเดินทางไปที่หมู่เกาะมาร์แชลล์ ปัญหาก็คลี่คลายเพราะผมนำมันติดตัวไปด้วย ตอนนี้ผมเริ่มมองอะไรที่ไกลกว่านั้นเช่นนำฟุตบอลเข้าไปอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอนระดับชาติ ให้การศึกษาแก่ครูอาจารย์และฝึกสอนสตาฟฟ์โค้ช เรายังพยายามระดมทุนให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้”

ลิวายกล่าวเสริมว่า “ผมได้รับอีเมล์และโทรศัพท์มากมายจากพ่อแม่ผู้ปกครองที่อยากให้ลูกหลานเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็กต์ ผมยังหวังจะก่อตั้งลีกฟุตบอลท้องถิ่นที่เริ่มต้นด้วยหกสโมสร ผสมผสานระหว่างนักศึกษาระดับวิทยาลัยและผู้ใหญ่ตามหมู่บ้านต่างๆ”

ควบคู่ไปกับปลุกกระแสกีฬาลูกหนังในบ้านเกิด การขยับตัวให้เป็นที่รับรู้ของต่างประเทศก็สำคัญไม่พอกัน หนึ่งในกิจกรรมที่น่าจะสร้างอิมแพ็คได้แก่ “ไมโครนีเซีย เกมส์” (Micronesian Games) ซึ่งจะจัดแข่งขันที่กรุงมาจูโรในเดือนกรกฎาคมนี้ เป็นเสมือน “มินิ โอลิมปิก” ของไมโครนีเซีย กลุ่มเกาะที่อยู่ทางตอนเหนือของโอเชียเนีย ประกอบด้วย 5 ประเทศ คิริบาส, หมู่เกาะมาร์แชลล์, ไมโครนีเชีย, นาอูรู, ปาเลา และ 2 ดินแดน กวม (สหรัฐ), หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา (สหรัฐ) ส่วนใหญ่ในอดีตเคยตกเป็นอาณานิคมของสหรัฐในฐานะดินแดนในภาวะทรัสตีแห่งสหประชาชาติ

ไมโครนีเซีย เกมส์ ยังเป็นมหกรรมกีฬาระดับเมเจอร์รายการแรกที่จัดในสนามกรีฑาแห่งใหม่ความจุ 2,000 ที่นั่งในมาจูโร โดยในส่วนของ MISF ค่อนข้างมั่นใจว่าฟุตบอลจะได้รับความนิยมอย่างสูง และหลังการแข่งขันจบ MISF และคณะกรรมการโอลิมปิกหมู่เกาะมาร์แชลล์ (Marshall Islands National Olympic Committee) ก็จะเดินหน้าโฟกัสฟุตบอลเต็มที่หลังจากเคยส่งนักกีฬาทีมชาติลงแข่งขันกรีฑาทั้งลู่และลาน, เทควันโด, ว่ายน้ำ และยกน้ำหนักในโอลิมปิก เกมส์ 4 ครั้งที่ผ่านมา

สร้างฟุตบอลทีมชาติด้วยโมเดล “อเมริกัน ซามัว”

สำหรับนักฟุตบอลที่จะมาเป็นตัวแทนทีมชาติ โอเวอร์สเริ่มต้นมองหาและรวบรวมมาระยะเวลาหนึ่ง ความจริงแล้วทันทีที่ข่าวรับตำแหน่งของโอเวอร์สกระจายไปทั่วสื่อทวิตเตอร์ ได้มีนักเตะสามคนติดต่อเข้ามา หนึ่งในนั้นเป็นผู้เล่นระดับวิทยาลัยในสหรัฐที่มีบรรพบุรุษเป็นคนมาร์แชลล์ แต่เพราะยังไม่มีทีมชาติและโครงสร้างลีกที่ชัดเจนจึงเป็นเรื่องยากที่จะดึงดูดใจนักเตะเก่งๆเข้ามา

แม้ MISF มีแผนส่งทีมลงแข่งขันในไมโครนีเซีย เกมส์ แต่นั่นเป็นการรวมนักเตะอย่างไม่เป็นทางการ “เดิมทีผมตั้งใจจะรวมทีมชาติให้เป็นรูปร่างชัดเจนในปีนี้ แต่ผมไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นตอนนี้หรือเร็วๆนี้หรอก เอาจริงๆน่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิปีหน้าที่ทีมชาติจะลงแข่งขันแมตข์ทางการครั้งแรก ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงก็ยอดเยี่ยมมาก” โอเวอร์สให้สัมภาษณ์กับอีเอสพีเอ็น

“มีชาวมาร์แชลล์มากมายอยู่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งที่ผ่านมาเราพยายามเชื่อมโยงกับพวกเขาเพื่อกระตุ้นให้รู้ถึงโปรแกรมและโปรเจ็กต์นี้ของพวกเรา พร้อมดึงนักเตะเข้ามามีส่วนร่วม แต่แผนระยะยาว เราจะมีกลุ่มนักเตะที่อยู่ในสหรัฐ จากนั้นก็นักเตะท้องถิ่นในหมู่เกาะมาร์แชลล์ เราสามารถรวมสองกลุ่มเข้าด้วยกันเหมือนกับที่ชาวอเมริกันซามัวทำมาแล้วอย่างที่เห็นในสารคดีเรื่อง Next Goal Wins”

“ฟุตบอล เมเนเจอร์” (Football Manager) เกมคอมพิวเตอร์ยอดฮิตจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้ด้วย เป็นเกมสร้างทีมฟุตบอลเสมือนจริงด้วยการคัดเลือกนักเตะและสตาฟฟ์โค้ชจากฐานข้อมูลที่มีมากกว่าสี่แสนคน

แอนดรู ซินแคลร์ จากสปอร์ตส์ อินเตอร์แอคทีฟ บริษัทสร้างสรรค์เกมดังกล่าว เปิดเผยกับอีเอสพีเอ็นว่า “เรากำลังศึกษาความเป็นไปได้ที่จะบรรจุหมู่เกาะมาร์แชลล์ไว้ในซีรีส์ของฟุตบอล เมเนเจอร์ ที่ผ่านมาเราก็มีบางประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิกฟีฟาอยู่ในฐานข้อมูล จึงเป็นแบบอย่างที่จะเพิ่มประเทศอธิปไตยอย่างหมู่เกาะมาร์แชลล์เข้าไป”

“แต่ยังมีกระบวนการที่ต้องทำอีกมาก เรายังไม่แน่ชัดเรื่องจำนวนผู้เล่นว่ามากน้อยแค่ไหน พวกเขายังไม่มีสถิติการแข่งขันแมตช์นานาชาติ แต่เราจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อช่วยเหลือหมู่เกาะมาร์แชลล์”

สำหรับเป้าหมายสำคัญคือ ได้รับไฟเขียวจากฟีฟาให้ร่วมแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ซึ่งต้องเริ่มจากเป็นสมาชิกสมาพันธ์ฟุตบอลระดับทวีป อันดับแรก MISF จะต้องนำเสนอแผนงานและเป้าหมายให้พิจารณาลงคะแนนเสียงรับรอง ว่าหมู่เกาะมาร์แชลล์มีที่พักโรงแรม สถานที่ฝึกซ้อม และโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมหรือไม่ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าอาจไม่ผ่านการรับรองเหมือนอย่างที่ตูวาลู (Tuvalu) ประเทศหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก เคยได้สิทธิเป็นเพียงสมาชิกสมทบ (associate member) ของสมาพันธ์ฟุตบอลโอเชียเนีย (Oceania Football Confederation: OFC) และยังไม่ได้เป็นสมาชิกของฟีฟาเพราะขาดความเหมาะเรื่องโรงแรมและสิ่งอำนวยความสะดวก อย่างไรก็ตาม MISF ยังมองในแง่ดีว่า สนามกีฬาแห่งใหม่ในมาจูโร ซึ่งมีสนามฟุตซอลอยู่ข้างใน จะเป็นตัวแปรสำคัญช่วยให้ผ่านการรับรอง

มีความเป็นไปได้มากที่ MISF จะสมัครเป็นส่วนหนึ่งของ OFC มากกว่าสมาพันธุ์ฟุตบอลเอเชีย (Asia Football Confederation: AFC) ซึ่งออสเตรเลียเป็นสมาชิก หรือสมาพันธ์ฟุตบอลอเมริกาเหนือ อเมริกากลาง และแคริบเบียน (CONCACAF) ถ้าได้เข้าร่วม OFC แล้ว เป้าหมายจึงเปลี่ยนไปเป็นฟีฟา

โอเวอร์สกล่าวว่า “ลิวายต้องการให้เราเป็นสมาชิกฟีฟา เขาต้องการร่วมแข่งขันรอบคัดเลือกเวิลด์คัพ นี่เป็นเป้าหมายใหญ่ของเขา แต่ตอนนี้เรายังไม่ได้เป็นสมาชิก OFC เลย เหตุผลหลักคือขาดเงินทุน เราจึงต้องระดมทุนและขอความสนับสนุนจากหลายภาคส่วน เราได้สร้างหน้าเพจ GoFundMe ขึ้นมาแทบทันทีที่ผมรับตำแหน่ง ซึ่งมันไปได้สวยตั้งแต่แรกๆ แต่เรายังจำเป็นต้องสร้างความตระหนักรับรู้ให้กับโปรเจ็กต์นี้ รวมถึงประเทศของเรา และเป้าหมายระยะยาวที่เราพยายามทำให้สำเร็จ”

แผ่นดินบางส่วนจะจมอยู่ใต้น้ำภายในเวลาเจ็ดปี

เป้าหมายสูงสุดของพลเมืองมาร์แชลล์คือ ทำให้โลกตระหนักถึงสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งพวกเขาหวังว่าฟุตบอลจะช่วยส่งเสริมให้คนทั้งโลกรับรู้มหันตภัยนี้ ทั้งนี้มีการคาดคะเนว่าภายในปี 2030 หรืออีกแค่เจ็ดปีข้างหน้า แผ่นดินราว 40เปอร์เซ็นต์ของหมู่เกาะมาร์แชลล์จะจมอยู่ใต้น้ำ รวมถึงเกาะอีบีเย (Ebeye Island) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเกาะปะการังควาจาเลน (Kwajalein) ซึ่งเป็นเกาะที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับสองของประเทศ

ลิวายขยายความปัญหาที่น่าเป็นห่วงในบ้านเกิดว่า “สภาพอากาศที่นี่เปลี่ยนแปลงไปทุกๆวัน เราเห็นมันเป็นเรื่องประจำวัน ถ้าใครมาเยือนหมู่เกาะมาร์แชลล์ก็จะสังเกตได้ง่ายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น”

ถ้าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกยังเพิ่มขึ้นด้วยอัตราปัจจุบัน ส่วนหนึ่งของหมู่เกาะมาร์แชลล์จะจมอยู่ใต้น้ำภายในปี 2030 อย่างแน่นอน สิ่งก่อสร้างราว 40 เปอร์เซ็นต์ในกรุงมาจูโรจะถูกกลืนหายไปด้วยระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น บางเกาะผู้คนจะไม่สามารถพักอาศัยใช้ชีวิตได้อีกต่อไป ขณะที่โครงสร้างสนามกีฬาในมาจูโรถูกออกแบบโครงสร้างให้สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึงสองเท่าเพื่อป้องกันไม่ให้จมหายไป ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการป้องกัน King Tides ซึ่งเป็นช่วงที่กระแสน้ำขึ้นสูงสุดปีละสองครั้งในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐจากคลื่นมหาสมุทรแปซิฟิกที่พุ่งขึ้นสู่ชายหาด

ลิวายกล่าวต่อว่า “มหาสมุทรกำลังรุกล้ำพื้นที่หลังบ้านของเราและกัดเซาะผืนดินของเรา ต้นไม้ต่างพากันล้มลงในมหาสมุทรจากระดับน้ำที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เราจึงหวังการเล่นฟุตบอลจะทำให้ผู้คนตระหนักว่า เกาะเล็กๆกำลังเผชิญหน้ากับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง เหตุการณ์อยู่ใกล้ตัวเพียงแค่หลังบ้านเท่านั้นเอง”

“นี่เป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าฟุตบอลหรือการยอมรับจากฟีฟามากนัก มันจะสร้างความตระหนักรู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากเหตุการณ์ยังเป็นอย่างที่เป็นอยู่ไปเรื่อยๆ ผมภาวนาให้สิ่งนี้ (ฟุตบอล) ช่วยเหลือหมู่เกาะมาร์แชลล์ได้ และในระยะยาวจะช่วยรักษาชาวมาร์แชลล์ให้อยู่ในบ้านของพวกเขาได้ต่อไป”

ถึงกระนั้น ลิวายยอมรับว่านั่นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาวไกล แต่ระยะสั้น เขาต้องโฟกัสอยู่กับความฝันที่จะเห็นนักเตะกลุ่มหนึ่งเป็นตัวแทนของประเทศเล็กๆในมหาสมุทรแปซิฟิก “เราหวังจะได้เห็นชาวมาร์แชลล์เป็นตัวแทนประเทศพร้อมธงชาติลงแข่งขันในกีฬาที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน (อย่างฟุตบอล”

ท้ายสุด ลิวายได้เปรียบเทียบพวกเขาเหมือนกับภาพยนตร์ตลกกีฬาเรื่อง Cool Runnings (สี่เกล๊อะจาไมก้า) ซึ่งออกฉายในปี 1993 สร้างจากเรื่องจริงของชาวจาไมกากลุ่มหนึ่งที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆเพื่อจะได้เป็นประเทศแรกจากแอฟริกา ทวีปโซนร้อน ลงแข่งขันกีฬาเลื่อนน้ำแข็งในโอลิมปิกฤดูหนาวปี 1988

“นี่เป็นเรื่องของประเทศเล็กๆ แต่ฟุตบอลสามารถช่วยวางดินแดนแห่งนี้ไว้บนแผนที่โลกได้” เป็นคำกล่าวของนักธุรกิจชาวมาร์แชลล์ ผู้ที่เริ่มหันมาสนใจฟุตบอลเพื่อให้ลูกชายและเพื่อนๆได้เล่นฟุตบอลที่พวกเขารักต่อไป

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Special Content

การเดินทางของ “แว็งซองต์ กอมปานี” โค้ชอัจฉริยะผู้พาเบิร์นลี่ย์คืนสู่พรีเมียร์ลีก

เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เบิร์นลีย์ เป็นทีมแรกที่การันตีเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลหน้าเป็นที่เรียบร้อย หลังบุกไปชนะมิดเดิลสโบรช์ 2 – 1 โดยใช้เวลาเพียงซีซั่นเดียว กลับคืนสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง

เบิร์นลี่ย์ มีแต้มทิ้งห่างลูตัน ทาวน์ ทีมอันดับ 3 ที่เหลือโปรแกรมเพียง 6 นัด ขาดลอยถึง 19 แต้ม สร้างสถิติใหม่ เป็นทีมลีกแชมเปี้ยนชิพที่เลื่อนชั้นเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยที่ยังเหลืออีก 7 เกม

ทั้งหมดทั้งมวล ต้องยกเครดิตให้กับแว็งซองต์ กอมปานี ผู้จัดการทีมชาวเบลเยียม ที่เพิ่งมาคุมทีมในอังกฤษเป็นฤดูกาลแรก แต่สามารถฝ่าฟันวิกฤตของสโมสรที่ถาโถมเข้ามา จนได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่

อีกทั้งในวันจันทร์ที่ 10 เมษายน กอมปานี ฉลองวันเกิดอายุครบ 37 ปี ด้วยการนำ “เดอะ คลาเร็ตส์” เปิดเทิร์ฟ มัวร์ รับการมาเยือนของเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ทีมรองจ่าฝูงที่กำลังลุ้นเลื่อนชั้นอัตโนมัติ

เชฟฯ ยูไนต็ด คือทีมล่าสุดที่ยัดเยียดความปราชัยให้กับเบิร์นลี่ย์ ด้วยสกอร์ 5 – 2 เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้ว หลังจากนั้น จ่าฝูงแชมเปี้ยนชิพ ไร้พ่ายมา 19 นัดติด ก่อนดวลกับ “ดาบคู่” อีกครั้ง

จุดเริ่มต้นจากติดลบ, ตกชั้น และทีมแตก

นับตั้งแต่ฤดูกาล 2016/17 จนถึง 2021/22 เป็นเวลา 6 ฤดูกาลติดต่อกัน ที่เบิร์นลี่ย์อยู่ในลีกสูงสุดของอังกฤษ แต่พวกเขาก็ลงทุนไปไม่น้อย และส่วนหนึ่งต้องกู้เงินจากธนาคาร เป็นจำนวน 65 ล้านปอนด์

โดยเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2020 ALK Capital กลุ่มทุนจากสหรัฐอเมริกา ได้เข้ามาซื้อกิจการของสโมสร ซึ่งเงินกู้ธนาคาร 65 ล้านปอนด์นั้น ถูกรวมอยู่ใน 200 ล้านปอนด์ ที่เป็นมูลค่าการเทคโอเวอร์ด้วย

สำหรับเงินที่กู้มาจากธนาคารนั้น มีกำหนดชำระคืนภายในเดือนธันวาคม ปี 2025 แต่มีเงื่อนไขที่ว่า เบิร์นลีย์ต้องอยู่รอดในพรีเมียร์ลีกต่อไปถึงตรงนั้น หากตกชั้นจะต้องชำระเงินกู้คืนทันทีภายใน 3 เดือน

และในที่สุด เบิร์นลีย์ก็ตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกจริง ๆ ในซีซั่น 2021/22 นั่นหมายความว่า “เดอะ คลาเร็ตส์” จะต้องจ่ายเงินกู้คืนให้ธนาคารภายในเดือนสิงหาคม 2022 กระเทือนไปถึงการเงินภายในสโมสร

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/burnleyofficial

เมื่อการเงินของเบิร์นลี่ย์มีปัญหา ก็จำใจต้องปล่อยนักเตะตัวหลักออกไปแทบยกทีม ไม่ว่าจะเป็นนิค โป๊ป, นาธาน คอลลินส์, ดไวท์ แมคนีล รวมถึงแม็กซ์เวลล์ คอร์เนต์ 4 คนนี้ ได้เงินกลับเข้ามาเกือบ 70 ล้านปอนด์

โดยเงิน 70 ล้านปอนด์ที่ได้จากการขายนักเตะ ทางเบิร์นลีย์ได้เอาไปชำระหนี้ธนาคารทั้งหมด แต่พวกเขายังได้เงินก้อนเล็กๆ ในการเสริมผู้เล่นจากกฎการเงินชูชีพ (Parachute Payments) หลังตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก

“กอมปานี” เจองานหนักภายใต้ข้อจำกัด

เมื่อฌอน ไดซ์ ถูกปลดจากตำแหน่งผู้จัดการทีม ก่อนจบฤดูกาล 2021/22 เพียง 1 เดือน เบิร์นลีย์ได้แต่งตั้งแว็งซองต์ กอมปานี อดีตนักเตะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เข้ามารับงานเป็นกุนซือคนใหม่ เพื่อสู้ศึกในซีซั่นถัดไป

หลังจากสร้างตำนานคว้าแชมป์ 12 โทรฟี่ ตลอด 11 ปีกับแมนฯ ซิตี้ ในปี 2019 กอมปานีได้ย้ายไปอยู่กับอันเดอร์เลชท์ โดยรับบทบาททั้งผู้เล่นและผู้จัดการทีมในปีแรก ก่อนจะมาเป็นโค้ชแบบเต็มตัวในปีถัดมา

จากประสบการณ์งานโค้ช 2 ปีที่เบลเยียม สู่โลกที่โหดกว่าเดิมอย่างแชมเปี้ยนชิพ อังกฤษ ซึ่งกอมปานีรู้ดีว่า เบิร์นลีย์มีข้อจำกัดด้านการเงิน และเขาจะขอสร้างทีมขึ้นมาใหม่ตามแนวทางของตัวเอง

กอมปานี นำเงินที่ได้รับจาก Parachute Payments ซื้อนักเตะเข้ามามากกว่า 10 คน ใช้เงินรวมกันไม่ถึง 40 ล้านปอนด์ ล้วนเป็นนักเตะโนเนม และอายุไม่เกิน 26 ปี เอามาเจียระไนให้เป็นเพชรเม็ดงาม

ตัวอย่างเช่น 3 นักเตะจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้อย่าง ซีเจ อีแกน-ไรลีย์ (ค่าตัว 3 ล้านปอนด์), อาริยาเนต์ มูริค (ค่าตัว 3.5 แสนปอนด์) รวมถึงยืมตัวเทย์เลอร์ ฮาร์วูด-เบลลิส เซ็นเตอร์แบ็กดาวรุ่งวัย 21 ปี

หรือนักเตะที่ดึงมาจากลีกเบลเยียม เช่น จอช คัลเลน อดีตลูกทีมสมัยอยู่อันเดอร์เลชท์ (ค่าตัว 3 ล้านปอนด์), มานูเอล เบนสัน จากรอแยล อันท์เวิร์ป (ค่าตัว 3 ล้านปอนด์), อานาส ซารูรี่ จากชาเลอรัว (ค่าตัว 3.5 ล้านปอนด์) เป็นต้น

วินัย และเด็ดขาด คือเคล็ดลับความสำเร็จ

สมัยที่ฌอน ไดซ์ เป็นผู้จัดการทีม ได้ติดป้ายขนาดใหญ่เป็นม็อตโต้หน้าสนามซ้อมของเบิร์นลีย์ว่า “วิ่งด้วยขา, สู้ด้วยใจ, ไม่ยอมแพ้” นั่นคือมรดกชิ้นสำคัญที่ฌอน ไดซ์ ได้ทิ้งไว้ให้กับสโมสรจนถึงทุกวันนี้

เมื่อแว็งซองต์ กอมปานี เข้ามาเป็นกุนซือคนใหม่ของ “เดอะ คลาเร็ตส์” ในสภาพทีมที่แตกสลายหลังตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก ได้พูดคุยกับนักเตะเป็นเวลา 12 นาที เพื่อฝังดีเอ็นเอความเป็นผู้ชนะให้กับลูกทีม

เนื่องจากกอมปานี ไม่เคยมีประสบการณ์การคุมทีมในอังกฤษมาก่อน ทำให้งานคุมทีมเบิร์นลีย์ คือโอกาสในการเรียนรู้ที่ดีสำหรับเขา เขาเป็นคนที่มีวินัยในการทำงานที่สูงมาก และใส่ใจในทุกรายละเอียด

ตั้งแต่วันแรกที่ทำงานกับเบิร์นลีย์ กอมปานีมาถึงสโมสรเป็นคนแรก และกลับบ้านเป็นคนสุดท้ายเสมอ ซึ่งในแต่ละวันเขาได้ปรับปรุง และพัฒนางานของตัวเองอยู่เสมอ เพื่อยกระดับทีมให้แข็งแกร่งมากขึ้น

คุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งของกอมปานี คือเป็นโค้ชที่มีความเด็ดขาด ไม่สนใจว่านักเตะหน้าไหนที่ออกมาบ่นว่าไม่ได้ลงเล่น ลูกทีมทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกัน ถ้าพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าดีพอที่จะออกสตาร์ทเป็นตัวจริง

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/burnleyofficial

หนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงปรีซีซั่น เมื่อนักเตะคนหนึ่งได้ซื้อเค้กมาอวยพรวันเกิดให้กับแจ็ค คอร์ก กองกลางเพื่อนร่วมทีม แต่ถูกกอมปานีสั่งห้ามโดยเด็ดขาด เนื่องจากมองว่าเป็นอาหารที่ทำลายสุขภาพ

ซึ่งนักเตะภายในทีมก็เชื่อฟัง แสดงให้เห็นว่ากอมปานีได้รับความเคารพเป็นอย่างสูง และมองว่ากุนซือชาวเบลเยียมคือผู้นำที่จะนำพาเบิร์นลีย์ประสบความสำเร็จ เรียกได้ว่าเขาสามารถซื้อใจลูกทีมได้แล้ว

เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสด้วย “มันสมอง”

ด้วยความที่เบิร์นลี่ย์ เสียนักเตะตัวหลักออกไปเยอะในช่วงซัมเมอร์ปี 2022 ทำให้ถูกมองข้ามว่า โอกาสเลื่อนชั้นคงจะมีน้อย แต่พวกเขากลับทำสิ่งที่หลายคนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ให้เกิดขึ้นจริงแบบไม่น่าเชื่อ

เหตุผลสำคัญคือ แว็งซองต์ กอมปานี ได้เปลี่ยนแนวทางการเล่นจากยุคของฌอน ไดซ์ ที่เน้นพละกำลัง และบอลโยนยาวสไตล์อังกฤษขนานแท้ ให้เป็นการต่อบอลสั้น เซ็ตเกมจากแดนหลัง เหมือนกับแมนฯ ซิตี้ ยุคเป๊ป กวาร์ดิโอล่า

ด้วยแผนการเล่น 4-3-3 หรือบางครั้งใช้ 4-2-3-1 ทำให้ทีมของกอมปานี มีเปอร์เซ็นต์การครองบอลเฉลี่ย 64 เปอร์เซ็นต์ มากที่สุดในลีกรอง เมื่อเทียบกับซีซั่นก่อนในยุคฌอน ไดซ์ ที่ครองบอลเฉลี่ยเพียง 39เปอร์เซ็นต์

คีย์แมนคนสำคัญของเบิร์นลีย์ชุดนี้ คือ นาธาน เทลล่า มิดฟิลด์วัย 23 ปี ที่ยืมตัวมาจากเซาแธมป์ตัน ยิง 17 ประตู กับ 4 แอสซิสต์ แตกต่างจากช่วงเวลา 3 ปีในถิ่นเซนต์ แมรี่ส์ ที่เจ้าตัวทำได้แค่ประตูเดียวเท่านั้น

หรือ 2 กองหน้าวัยเก๋าอย่างเจย์ โรดริเกวซ กับแอชลีย์ บาร์นส์ วัย 33 ปีเท่ากัน ที่กำลังเข้าสู่ช่วงท้ายปลายทางของอาชีพค้าแข้ง ทำไป 9 และ 6 ประตู ตามลำดับ ติดอันดับท็อป 5 ดาวซัลโวของทีมอยู่ในเวลานี้

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ คือเบื้องหลังผลงานอันยอดเยี่ยมของเบิร์นลีย์ ในวันที่ได้รับการการันตีว่าเลื่อนชั้น ด้วยสถิติยิงได้มากที่สุด 76 ประตู เสียน้อยที่สุด 30 ประตู และมีโอกาสเก็บถึง 100 แต้ม ในอีก 7 นัดที่เหลือ

สำหรับเบิร์นลีย์โฉมใหม่ คือส่วนผสมระหว่างความสดกับความเก๋า ผู้จัดการทีมดาวรุ่งที่มีความกระหายชัยชนะ และสไตล์การเล่นที่น่าตื่นตาตื่นใจ พวกเขาคือทีมน้องใหม่พรีเมียร์ลีก ซีซั่นหน้าที่น่าจับตามองจริงๆ

ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา เบิร์นลี่ย์มีแต่ปัญหาที่เข้ามารุมเร้ามากมาย แต่ด้วยมันสมองที่ชาญฉลาดของแว็งซองต์ กอมปานี ก็ช่วยให้สโมสรเอาตัวรอดจากวิกฤต และกลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในที่สุด

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/burnleyofficial

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://theathletic.com/4389762/2023/04/07/vincent-kompany-burnley-promotion-premier-league/

https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-11951087/Vincent-Kompany-turned-burnt-Burnley-warriors-Premier-League.html