Categories
Special Content

ลีกฟุตบอลสีเขียว : “พรีเมียร์ลีก” กับแผนความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม

พรีเมียร์ลีก อังกฤษ นอกจากจะมีหน้าที่จัดการแข่งขันฟุตบอลอาชีพแล้ว ยังเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญ และตระหนักถึงความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ที่เป็นความท้าทายระยะยาวของสังคมโลก

ทั้ง 20 สโมสรต่างมีผลงานในการปฏิบัติตามแผนงานเพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมมากน้อยแตกต่างกันออกไป โดยมีการจัดอันดับเหมือนกับตารางคะแนนในการแข่งขันฟุตบอลทั่วๆ ไป

แล้วสโมสรในลีกสูงสุดเมืองผู้ดี มีส่วนช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง ? วันนี้เพจ “ไข่มุกดำ” จะมาขยายให้ฟังกันครับ

สเปอร์ส – ลิเวอร์พูล แชมป์ร่วมรักษ์โลกปี 2021

บีบีซี สำนักข่าวชื่อดังของอังกฤษ และ Sport Positive Summit ได้ร่วมกันจัดอันดับ 20 สโมสรฟุตบอลในพรีเมียร์ลีก ที่ปฏิบัติตามมาตรการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา

สำหรับเกณฑ์ที่ใช้พิจารณา มีทั้งหมด 11 ข้อด้วยกัน แต่ละข้อมีคะแนน 2 คะแนน และยังมีคะแนนโบนัสอีก 2 คะแนน ถ้าผ่านเกณฑ์มาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อมระดับนานาชาติ รวม 24 คะแนนเต็ม

ผลปรากฏว่า ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ และลิเวอร์พูล เป็นสโมสรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ประจำปี 2021 ที่ผ่านมา มี 23 คะแนนเท่ากัน โดยเฉพาะสเปอร์สนั้น ครองแชมป์มาแล้ว 3 ปีติดต่อกัน

บิลลี่ โฮแกน ซีอีโอลิเวอร์พูล กล่าวว่า “เรื่องสิ่งแวดล้อมคือเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และจะมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกองค์กรต่างก็มีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่มีต่อชุมชน”

ขณะที่ดอนน่า-มาเรีย คัลเลน ผู้บริหารของสเปอร์ส ระบุว่า “การที่เราเป็นอันดับ 1 อีกครั้งในด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม ถือเป็นความยอดเยี่ยมของสโมสร เราจะท้าทายตัวเองในการรักษาแชมป์ต่อไป”

“การที่สโมสรเข้าร่วมโครงการ UN Race to Zero ถือเป็นก้าวต่อไปที่สำคัญของเรา ซึ่งทำให้เรามีแนวทางที่ชัดเจน และเป้าหมายลดการปล่อยมลพิษที่เราเตรียมพร้อมจะปฎิบัติตามอย่างแน่นอน”

ทีมในพรีเมียร์ลีก กับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม

เมื่อปีที่แล้ว ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ และลิเวอร์พูล ครองอันดับ 1 ร่วมกันในการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก อย่างไรก็ตาม หลายๆ สโมสร ก็มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน

เริ่มที่สเปอร์สกันก่อน พวกเขายืนหนึ่งเรื่องการให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมมายาวนาน จากการเป็นผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ 10:10 initiative และ Count Us In ที่มีเป้าหมายในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก

ที่สำคัญกว่านั้น “ไก่เดือยทอง” ยังได้จัดการแข่งขันฟุตบอลที่ปลอดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นครั้งแรกของโลก ในเกมพรีเมียร์ลีก ที่เปิดบ้านแพ้เชลซี 0 – 3 เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา

และล่าสุด ทีมจากลอนดอนเหนือทีมนี้ เพิ่งเข้าร่วมโครงการ Race to Zero และได้ประกาศเป้าหมายว่า จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ครึ่งหนึ่ง ภายในปี 2030 และจะเป็นศูนย์ภายในปี 2040

สำหรับโครงการ Race to Zero ได้เปิดตัวครั้งแรกในการประชุม COP26 ที่ประเทศสกอตแลนด์ เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากสเปอร์สแล้ว ยังมีลิเวอร์พูล, เซาธ์แธมป์ตัน และอาร์เซน่อลที่เข้าร่วมด้วย

นอกจากนี้ สเปอร์สใกล้ที่จะบรรลุเป้าหมายในการให้แฟนบอลใช้รถยนต์ส่วนตัวเดินทางมาชมเกมในวันแข่งขันให้ไม่เกิน 23 เปอร์เซ็นต์ (14,250 คน) รวมถึงสร้างฟาร์มปลูกผักเพื่อเป็นวัตถุดิบสำหรับเมนูอาหาร

มาดูที่ลิเวอร์พูลกันบ้าง ได้ทำการปลูกต้นไม้จำนวน 900 ต้น พร้อมไม้ประดับชนิดต่างๆ บริเวณอคาเดมี่ของสโมสร อีกทั้งยังปลูกผักสำหรับเป็นวัตถุดิบในการทำอาหาร และยังทำงานร่วมกับองค์กรพิทักษ์สัตว์ในชุมชน

ขอบคุณรูปภาพจาก : https://www.arsenal.com/news/renewable-energy-partnership-octopus-energy

สำหรับตัวอย่างการดำเนินงานเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมของสโมสรอื่นๆ ในพรีเมียร์ลีก ที่น่าสนใจ :

อาร์เซน่อล – สโมสรแรกของพรีเมียร์ลีก ที่เปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียน 100 เปอร์เซนต์

เอฟเวอร์ตัน – จัดตั้งโครงการ “Everton for Change” เพื่อแบ่งปันไอเดียรักษ์โลกกับแฟนบอลของสโมสร

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ – มีเป้าหมายที่จะหยุดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างถาวรภายในปี 2030

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด – ร่วมมือกับ Renewable Energy Group ในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก

ไบรท์ตัน – ร่วมกับโครงการ “On the Ball” เพื่อมอบสินค้าปลอดพลาสติกให้กับแฟนบอล และนักฟุตบอลทีมหญิง

นอริช ซิตี้ – ปลูกผักเพื่อเป็นวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร และพัฒนาแอปพลิเคชัน Player Nutrition ซึ่งเป็นเมนูอาหารจากพืชสำหรับนักฟุตบอล

แต่ที่เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย ก็เห็นจะเป็นเบรนท์ฟอร์ด ที่ออกมาประกาศว่า ในฤดูกาลหน้า จะยังคงใช้ชุดเหย้าเหมือนกับฤดูกาลนี้ เพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อม และช่วยให้แฟนบอลประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย

หวังเริ่มนำร่องแคมเปญรักษ์โลกตั้งแต่ซีซั่นหน้า

ปัญหาสิ่งแวดล้อม, มลภาวะ และความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่รุนแรง ทำให้สโมสรฟุตบอลระดับอาชีพทั้ง 92 สโมสร จาก 4 ดิวิชั่นของอังกฤษ ต้องให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

ทางพรีเมียร์ลีก และอีเอฟแอล ได้ส่งเอกสารแผนงานเบื้องต้นกว่า 100 หน้า ไปยังสโมสรสมาชิก เพื่อเตรียมปรับรูปแบบการดำเนินงานของแต่ละสโมสร ตามแผนงานเพื่อสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม

ยกตัวอย่างเช่น นักฟุตบอลและพนักงานของสโมสรให้ปั่นจักรยานมาทำงาน หรือลดการเดินทางมายังสโมสรถ้าไม่จำเป็น ให้ประชุมออนไลน์แทน (ถ้าสามารถทำได้) เพื่อลดปริมาณการใช้รถยนต์บนท้องถนน

รวมถึงให้พยายามใช้วัตถุดิบในกลุ่มโปรตีนทางเลือกที่ทำจากพืช (Plant-base food) ในเมนูอาหาร แต่สามารถแต่งรสชาติ กลิ่น สีสันให้เหมือนผลิตภัณฑ์จากสัตว์ได้ และให้ใช้พลังงานหมุนเวียนแบบ 100 เปอร์เซ็นต์

โดยสโมสรสมาชิกทั้ง 92 สโมสร ต้องตอบกลับภายในวันที่ 31 มีนาคมนี้ และถ้าเสียงส่วนใหญ่เห็นชอบ ก็จะมีการกำหนดกรอบปฏิบัติที่ชัดเจนมากขึ้น คาดว่าจะสามารถเริ่มได้ตั้งแต่ฤดูกาล 2022/23 เป็นต้นไป

ริชาร์ด มาสเตอร์ ประธานบริหารพรีเมียร์ลีก กล่าวว่า “แต่ละสโมสรได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการปฏิบัติเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และมีการรณรงค์เพื่อต่อยอดไปสู่แฟนฟุตบอล และชุมชนต่อไป”

ชัยชนะในการแข่งขันฟุตบอล เป็นวัฏจักรเพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่ง ไม่มีใครยิ่งใหญ่ค้ำฟ้าไปตลอดกาล แต่ชัยชนะในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม คือชัยชนะที่ยั่งยืน และจะเป็นชัยชนะร่วมกันของมวลมนุษยชาติ

Author : จักรพันธ์ ภู่ทอง

Photo : empireofthekop.com

อ้างอิง : 

Categories
Special Content

แรงน้อยแต่ใจใหญ่ : “หลุยส์ ดิอาซ” นักเตะผอมแห้งสู่ดาวดวงใหม่ของลิเวอร์พูล

หลุยส์ ดิอาซ ปีกทีมชาติโคลัมเบียวัย 25 ปี ประเดิมลงสนามนัดแรกให้กับลิเวอร์พูลเป็นที่เรียบร้อย โดยถูกเปลี่ยนลงมาเป็นสำรองในเกมเอฟเอ คัพ ที่เอาชนะคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ 3 – 1 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

แต่กว่าจะถึงวันนี้ ดิอาซต้องต่อสู้กับรูปร่างที่ผอมแห้ง เนื่องจากในวัยเด็กมีภาวะขาดสารอาหาร แต่สามารถพิสูจน์ตัวเอง จนกลายเป็นนักเตะที่ได้ร่วมงานกับหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกได้สำเร็จ

แล้วเส้นทางสู่การเป็นนักฟุตบอลของดิอาซเป็นอย่างไร ? วันนี้เพจ “ไข่มุกดำ” จะมาขยายให้ฟังกันครับ

เติบโตในเมืองที่แร้นแค้น

หลุยส์ ดิอาซ เกิดที่เมืองบาร์รานกาส ที่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของโคลัมเบีย ติดชายแดนเวเนซูเอลา ครอบครัวของเขาเป็นชนเผ่าวายู ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ

ชีวิตในวัยเด็กของดิอาซต้องเผชิญกับความแร้นแค้น เพราะในพื้นที่นั้นถือเป็นพื้นที่ที่เกิดภาวะขาดแคลนสารอาหารในอันดับต้น ๆ ของประเทศ มีเด็ก ๆ เสียชีวิตจากภาวะดังกล่าวหลายพันคน.ซึ่งสาเหตุที่เมืองบาร์รานกาส เป็นเมืองที่ยากไร้ด้านอาหาร เนื่องจากมีเหมืองถ่านหินเซร์เรโอน ที่ปล่อยมลพิษออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้เด็ก ๆ ที่อาศัยในย่านนั้นได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นั่นทำให้ดิอาซมีร่างกายที่ผอมแห้ง เนื่องจากขาดสารอาหาร แต่กลับได้เข้าสู่เส้นทางนักเตะแบบคาดไม่ถึง เพราะไปเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลระหว่างชนเผ่าพื้นเมือง เมื่อปี 2015 ขณะมีอายุ 17 ปี

และถือเป็นความโชคดีของดิอาซ ที่ฟอร์มการเล่นของเขาไปเข้าตาคาร์ลอส วัลเดอร์ราม่า สุดยอดดาวเตะตำนานหัวฟู ทีมชาติโคลัมเบีย ที่ได้เข้ามาชมการแข่งขันในทัวร์นาเมนท์ดังกล่าวด้วย

ถึงแม้ว่าศึกลูกหนังชนเผ่าในครั้งนั้น โคลัมเบีย ทีมของดิอาซ จะแพ้ปารากวัยในนัดชิงชนะเลิศ แต่ถือเป็นใบเบิกทางครั้งสำคัญในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ซึ่งจะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล

เส้นทางในระดับอาชีพ

ไม่น่าเชื่อว่า จากเด็กที่มีภาวะขาดสารอาหาร และแทบจะไม่ค่อยได้ออกจากหมู่บ้าน แต่หลุยส์ ดิอาซ ก็ฝ่าฟันกับอุปสรรคต่างๆ อีกทั้งแสดงความสามารถออกมาให้ทุกคนเห็น จนได้มาเป็นนักฟุตบอลอาชีพสมความตั้งใจ

สโมสรแรกของดิอาซในระดับอาชีพคือ บาร์รานกีย่า ทีมระดับดิวิชั่น 2 ของโคลัมเบีย แต่สิ่งที่เขาต้องทำเป็นอย่างแรกคือ เข้าโปรแกรมเพิ่มน้ำหนักขึ้นอีก 10 กิโลกรัม เพื่อให้สามารถรับมือการปะทะกับนักเตะทีมคู่แข่ง

เมื่อร่างกายค่อยๆ เข้าที่ ดิอาซก็โชว์ฟอร์มอย่างโดดเด่น ลงเล่น 34 นัด ทำได้ 3 ประตู จนได้รับโอกาสให้ไปค้าแข้งกับสโมสรที่ใหญ่ขึ้นอย่างแอตเลติโก จูเนียร์ ทีมในลีกสูงสุดอีก 2 ปี ลงเล่น 67 นัด ทำได้ 15 ประตู

ด้วยฝีเท้าที่จัดจ้านของดิอาซ ทำให้เจ้าตัวได้รับความสนใจจากหลายสโมสรในยุโรป และเป็นปอร์โต้ ยักษ์ใหญ่แห่งลีกโปรตุเกส ที่ได้ตัวมาร่วมทีมด้วยค่าตัวเพียงแค่ 7 ล้านยูโร เมื่อเดือนกรกฎาคม 2019

2 ฤดูกาลครึ่งกับปอร์โต้ ดิอาซโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรง ทำได้ 41 ประตู 20 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 125 นัดรวมทุกรายการ ทำให้เขาตกเป็นเป้าหมายของหลายทีมยักษ์ใหญ่ในระดับท็อปลีกของยุโรป

ส่วนผลงานกับทีมชาติโคลัมเบีย ลงเล่น 33 นัด ยิง 7 ประตู ผลงานสร้างชื่อคือโคปา อเมริกา ปี 2021 ที่ยิงได้ 4 ประตู ครองตำแหน่งดาวซัลโวประจำรายการร่วมกับลิโอเนล เมสซี่ ซูเปอร์สตาร์ทีมชาติอาร์เจนติน่า

สไตล์การเล่นของดิอาซ เป็นปีกที่เล่นได้ดีทั้งเท้าซ้ายและขวา มีความคล่องตัวสูง พาบอลทะลุทะลวงเจาะเกมรับคู่แข่ง อีกทั้งสามารถทำประตูได้ในทุกระยะ และกลายเป็นนักเตะใหม่ของลิเวอร์พูลในปัจจุบัน

ยินดีต้อนรับสู่อังกฤษ

เจอร์เก้น คล็อปป์ นำลิเวอร์พูลพบกับปอร์โต้ ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ฤดูกาลนี้ และประทับใจฟอร์มการเล่นของหลุยส์ ดิอาซ จึงตัดสินใจดึงตัวมาในช่วงตลาดนักเตะเดือนมกราคมที่ผ่านมา ด้วยค่าตัว 37 ล้านปอนด์

แต่สำหรับแฟนบอลของปอร์โต้แล้ว ด้วยศักยภาพของเขาที่มีอยู่เต็มเปี่ยม มันควรจะได้ค่าตัวที่มากกว่านี้ ซึ่งยูริโก้ โกเมส อดีตตำนานนักเตะปอร์โต้ ถึงกับออกมาบอกว่า “ลิเวอร์พูลซื้อดิอาซไปในราคาที่ถูกแบบเหลือเชื่อ”

ในที่สุด โอกาสของดิอาซในการลงเล่นกับลิเวอร์พูลเป็นครั้งแรกก็มาถึง ในเกมเอฟเอ คัพ รอบ 4 ที่เปิดบ้านพบกับคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทนเคอร์ติส โจนส์ ในนาทีที่ 58

และเพียงแค่นัดแรก ดาวเตะชาวโคลัมเบียคนแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ก็แสดงถึงความมุ่งมั่นออกมาให้เห็น ด้วยการวิ่งหาช่องจนมีส่วนร่วมกับประตู 2 – 0 ของทาคุมิ มินามิโนะ ในนาทีที่ 68 หรือ 10 นาทีหลังจากได้ลงสนาม

อย่างไรก็ตาม ช่วงท้ายเกม ดิอาซขึ้นแย่งโหม่งกับกองหลังคาร์ดิฟฟ์ แล้วจังหวะที่ลงพื้นนั้น ถูกนักเตะคู่แข่งย่ำที่ต้นขา แต่โชคดีที่ไม่เจ็บมาก ทำเอาเจอร์เก้น คล็อปป์ ถึงกับกล่าวติดตลกว่า “ยินดีต้อนรับสู่ประเทศอังกฤษ !”

เรื่องราวของหลุยส์ ดิอาซ ถือเป็นแรงบันดาลใจสำหรับคนที่มีอุปสรรคด้านร่างกาย แต่มีความฝันที่จะเป็นนักฟุตบอล และเขาได้เริ่มต้นการเรียนรู้สำหรับการต่อสู้กับหนึ่งในลีกฟุตบอลที่โหดหินอย่างพรีเมียร์ลีกแล้ว

✍ : จักรพันธ์ ภู่ทอง

📷 : 101 Great Goals

อ้างอิง : https://www.telegraph.co.uk/…/luis-diaz-went…/

#ไข่มุกดำ

#KMDFeature

#Liverpool

#หลุยส์ดิอาซ

Categories
Our Work

LaLiga Football Camping : ครั้งแรก! กิจกรรมสุดคูล กางเต็นท์ ฟังเพลง ชมดาว ดูศึกบาร์ซ่า ถล่มตราหมี

ด้วยกระแสแคมปิ้งที่กำลังมาแรง บวกกับสถานการณ์รับมือกับ โควิด-19 ทำให้เกิดความคิดจะนำกิจกรรมชมฟุตบอลมาผสมผสานกับการออกแคมป์ กางเต็นท์ขึ้น จนเกิดเป็นงานอีเวนต์เชียร์บอลสุดคูล LaLiga Football Camping ระหว่างวันที่ 6-7 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ณ APO Camp Life จังหวัดนครนายก ในรูปแบบแคมป์ริมน้ำเป็นครั้งแรก

ฟุตบอลคู่ดังกล่าวเป็นศึกใหญ่ประจำสัปดาห์ระหว่าง บาร์เซโลน่า ปะทะ แอตเลติโก มาดริด ที่แม้จะเตะกันวันอาทิตย์ เวลา 22.25 น. แต่ทว่า สาวกสายแคมป์ และคอฟุตบอล ยังไม่พลาดเดินทางไปเที่ยว ไปดูบอล ไปเจอเพื่อนใหม่ที่คุยเรื่องฟุตบอล และชื่นชอบกิจกรรมกางเต็นท์เหมือนกัน รวมไปถึงได้เจอ Influencer สายบอลสเปนอีกหลายคน ที่พร้อมจะร่วมเปิดประสบการณ์ กางเต็นท์ ดูบอล ฟังเพลง ชมดาว แบบชิว ๆ ชิค ๆ แบบอบอุ่น พร้อมร่วมกิจกรรมชิงของรางวัลมากมาย โดยมี ลาลีกา เป็นเจ้าภาพใหญ่จัดงาน

“เรารู้สึกยินดีที่ได้ต่อยอดการประชาสัมพันธ์ และทำให้ฟุตบอลสเปน ลีกลาลีกา ได้มีโอกาสเข้าถึงแฟนบอลไทยมากขึ้นต่อจากงานเลี้ยงขอบคุณเมื่อปลายปี และงานครบรอบ 5 ปีลาลีกาในประเทศไทยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

นี่ยังเป็นครั้งแรกกับรูปแบบกิจกรรมลักษณะนี้ ตั้งแคมป์ซึ่งเป็นเทรนด์สำหรับการชีวิตในยุคสมัยนี้ เข้ากับคอนเทนท์ฟุตบอล และเรายินดีกับกระแสตอบรับทีกิดขึ้น และหวังจะจัดกิจกรรมดี ๆ แบบนี้อีกในประเทศไทย”

มร.จอร์โจ ปอมปิลี รอสซี ตัวแทนลาลีกา ในประเทศไทย กล่าว

บรรยากาศงานอีเวนต์ LaLiga Football Camping

ภายในงาน เต็มไปด้วยสีสัน และความชื่นมื่น เหล่าสาวกของทั้ง 2 ทีมสุดยอดแห่งลาลีกา สเปน และชื่นชอบการแคมป์ปิ้งทั้งมือเก่า และใหม่ประมาณ 200 คน พากันตบเท้าเข้ามาร่วมสร้างความทรงจำ บันทึกประสบการณ์หน้าใหม่ไปด้วยกัน

ซึ่งในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่นนี้ก่อนเข้างานก็จะมีเจ้าหน้าที่ ทำการตรวจคัดกรอง ด้วยชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) วัดไข้ และได้มีการมอบของที่ระลึกให้กับทุกคนที่เข้าร่วมงาน โดยของที่ระลึกสำหรับงานนี้ ประกอบไปด้วย แก้วน้ำ และหลอดไฟ ที่ถูกใส่มาในถุงกระสอบสีน้ำตาลสวยสไตล์สายแคมป์ ตามด้วยแอลกอฮอล์ล้างมือ, ทิชชู่เปียก, หน้ากากอนามัย และพัด ใส่มาในถุงผ้าสีดำ และเสื้อสกรีน ที่ผู้เข้าร่วมงานสามารถเลือกได้ว่าจะรับเป็นของ ‘บาร์เซโลน่า’ หรือ ‘แอตเลติโก มาดริด’

ฟังดนตรี เล่นกิจกรรม ร่วมชิงของรางวัลมากมาย

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้ทุกคนได้ร่วมสนุกกันแบบอบอุ่น พร้อมชิงของรางวัลมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เสื้อแข่งขันของแท้ บาร์เซโลน่า, แอตเลติโก มาดริด และเซบีญ่า จำนวน 10 ตัวจาก M88 รวมไปถึง Boxset จาก beIN SPORTS 

ความสนุกยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะช่วงหัวค่ำมีดนตรีสดให้ฟัง เพลินไปกับเพลงในยุค 90s เผาหัวคอเพลงยุคเทปคาสเซ็ท ต่อด้วยอีก 1 วงเพลงฮิตติดขอบปัจจุบัน เอาใจแฟนบอลรุ่นใหม่ ทุกเพศทุกวัย ซึ่งได้รับความประทับใจจากผู้คนในงานเป็นอย่างมาก

นอกจากเพลงแล้วภายในงานก็จะมีบริการหมูกระทะ อาหาร และเครื่องดื่มอื่น ๆ อีกด้วย ที่ให้ทุกคนที่เข้าร่วมงานได้มาจอยด้วยกัน

ชมศึกบาร์ซ่า ถล่มตราหมี พร้อมวิเคราะห์เกมส์จาก 2 กูรูรับเชิญ

งานนี้ทางผู้จัดได้เชิญ 2 กูรูฟุตบอล มาร่วมสร้างสีสันให้ตื่นเต้นขึ้นด้วย คือ เจมส์ ลาลีกา และขวัญ ลามาเซีย ที่มาวิเคราะห์เกมระหว่าง ‘บาร์ซ่า’ ปะทะ ‘หมี’ ทั้งก่อนเกม ระหว่างพักครึ่ง และหลังจบการแข่งขัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุก มีจังหวะให้ลุ้น ให้เฮกันเป็นระยะ ซึ่งผลการแข่งขัน ลงเอยด้วยชัยชนะที่ตกเป็นของทัพอาซูลกรานา สบาย 4-2

โดยอีเวนต์นี้ได้รับการสนับสนุนจาก M88, Socios.com, Budweiser และ Puma โดยได้รับการอนุเคราะห์สัญญาณการถ่ายทอดสดจาก beIN SPORTS และทรู วิชั่นส์

เนื่องจากฟุตบอลเป็นกีฬายอดนิยมของคนไทย ที่นับวันแฟนบอลชาวไทย ก็จะเริ่มให้ความสนใจในลาลีกา มากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับไลฟ์สไตล์การแคมป์ปิ้ง ที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน เมื่อเรานำไลฟ์สไตล์ทั้ง 2 เข้ามาผนวกกัน ถือว่าตอบโจทย์และเห็นได้ชัดว่า งานนี้ได้รับกระแสตอบรับเป็นที่น่าพอใจมาก และเราหวังว่ากิจกรรมดี ๆ แบบนี้ จะเกิดขึ้นในประเทศไทยอีกแน่นอน

สำหรับงานนี้ จะอบอุ่น ตื่นเต้นและเต็มไปด้วยสีสันสักแค่ไหน เราได้เก็บภาพบรรยากาศ ความทรงจำครั้งแรกของ LaLiga Football Camping มาฝากทุกคนแล้ว

📝 : ภาวินีย์ สูญสิ้นภัย (แนน)

🙏 : LaLiga

Categories
Our Work

LaLiga Global Network : ลาลีกา บุกตลาดไทย ครบ 5 ปี พร้อมขยายตลาดต่อเนื่องในอนาคต

ตลอดเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ลาลีกา ได้นำความตื่นเต้นและใกล้ชิดกับการแข่งขัน มาสู่แฟนบอลชาวไทยและทั่วโลก มีการจัดกิจกรรมมากถึง 1,222 ครั้ง ใน 90 ประเทศ ภายใต้โครงการที่ชื่อว่า “LaLiga Global Network” ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการขยายกลุ่มเป้าหมายสู่นานาชาติ ให้สามารถเข้าถึงข่าวสารข้อมูลเชิงลึกมากขึ้น 

นอกจากนี้ยังได้สัมผัสถึงความร่วมมือต่าง ๆ กับพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจและแฟนฟุตบอลทั่วโลกอีกด้วย ไม่ว่าจะเรื่องลิขสิทธิ์การรับชมที่เข้าถึงได้หลากหลายช่องทาง หรือสปอนเซอร์ และพาร์ตเนอร์ที่เพิ่มมากขึ้น แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะลาลีกา พร้อมที่จะขยายตลาดให้มากขึ้นในอนาคต

ทำความรู้จัก LaLiga Global Network

โครงการ LaLiga Global Network เปิดตัวเป็นครั้งแรกในปี 2017 ปัจจุบันมีเครือข่ายอยู่ใน 41 ประเทศ มีสำนักงานระหว่างประเทศอีก 11 แห่ง และมีตัวแทน 44 คนที่ประจำการอยู่ทั่วโลก เป็นลีกฟุตบอลที่มีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียมากที่สุดในโลก โดยมีผู้ติดตามมากกว่า 140 ล้านคน จาก 17 แพลตฟอร์ม ใน 20 ภาษาที่แตกต่างกัน โดยมีสำนักงานใหญ่ในกรุงมาดริด ประเทศสเปน

นอกจากนี้ยังมีการร่วมทุนในทวีปอเมริกาเหนือกับจีน อีกทั้งมีเป้าหมายที่จะขยายตลาดให้ครอบคลุมอย่างน้อย 90 ประเทศ ความนิยมของลาลีกามีมากขึ้นเรื่อยๆ แฟนๆ ทั่วโลกต่างหลงใหลกับฟุตบอลสเปน และสนุกสนานไปกับการแข่งขันในแต่ละสัปดาห์

และไม่ใช่แค่เรื่องวัฒนธรรมฟุตบอลเพียงเท่านั้น เพราะลาลีกา ยังได้แบ่งปันความรู้ เพื่อให้ฟุตบอลระดับท้องถิ่นเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย ปัจจุบันลาลีกามีข้อตกลง 37 ฉบับกับลีก, สมาคม, สหพันธ์ และสถาบันอื่น ใน 28 ประเทศ รวมทั้งจัดตั้ง LaLiga Business School ผ่านสถาบันการศึกษา 24 แห่งทั่วโลก

นอกจากนี้ ลาลีกายังเป็นองค์กรระดับโลกที่ดำเนินงานภายใต้ความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นพื้นฐาน โดยเป็นลีกฟุตบอลอาชีพแห่งแรกของโลกที่ก่อตั้งลีกสำหรับนักฟุตบอลที่มีความพิการด้านสติปัญญา (LaLiga Genuine Santander)

ลาลีกา จัดงานร่วมฉลองความสำเร็จ ครบรอบ 5 ปี

เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2565 ถือเป็นโอกาสอันดี ที่ ลาลีกา ได้เชิญทุกคนมาร่วมฉลองความสำเร็จ กับการเข้าถึงแฟนบอลทั่วโลก ผ่านงาน LaLiga Global Network 5 years in Thailand โดยได้รับเกียรติสายตรงกรุงมาดริด จาก คุณออสการ์ มาโย กรรมการบริหารลาลีกา ร่วมกับคุณ จอร์โจ้ ปอมปิลี รอสซี ตัวแทนลาลีกาในประเทศไทย จัดงานที่ Pit8 Motorsport Cafe กรุงเทพฯ

บรรยากาศภายในงาน มีการลงทะเบียนเข้าร่วมงาน พร้อมรับของที่ระลึก และเพื่อความปลอดภัยในยุคโควิด ก่อนเข้างานได้มีการวัดไข้ และให้ทุกคนที่เข้าร่วมงาน ทำการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยตนเอง ด้วยชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK)

รอสซี กล่าวเปิดงาน ที่ Pit8 Motorsport Cafe กรุงเทพฯ และเชิญสื่อร่วมชมวิดีโอ LaLiga Global Network 5 years in Thailand จากนั้นก็แนะนำแกลลอรี่ภาพความประทับใจตลอด 5 ปีของลาลีกาในประเทศไทย มีการพูดคุย แลกเปลี่ยนกัน พร้อมทั้งรับประทานอาหาร และถือโอกาสนี้ ในการถ่ายภาพร่วมกัน เก็บไว้เป็นความทรงจำสักเล็กน้อย

หลังจากนั้น ได้มีการวิดีโอถ่ายทอดสดทั่วโลก โดย คุณออสการ์ มาโย ซึ่งคุณออสการ์ ได้กล่าวถึงการเข้าสู่มิติใหม่ของลาลีกาช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมาว่า “เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เราได้เริ่มต้นภารกิจที่จะนำความตื่นเต้นของลาลีกา เผยแพร่ไปสู่แฟนบอลทั่วโลก และช่วยให้ลีกเติบโตขึ้น เราภูมิใจมากที่ลาลีกาได้ใกล้ชิดกับผู้คนทั่วโลกมากกว่าที่เคยเป็น นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น และด้วยการสนับสนุนจาก CVC พันธมิตรใหม่ของเรา เราจะพยายามขยายตลาดให้มากขึ้น”

กลยุทธ์ในการขยายกลุ่มเป้าหมายสู่นานาชาติของลาลีกา เห็นผลอย่างชัดเจน ด้วยจำนวนผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดีย ที่สูงถึง 146 ล้านคน จาก 17 แพลตฟอร์ม มากที่สุดเมื่อเทียบกับ 5 ลีกใหญ่ของยุโรป และมีคอนเทนท์ที่ถูกแปลเป็น 20 ภาษาที่แตกต่างกัน เป็นการตอกย้ำว่า ฟุตบอลสเปนสามารถพูดคุยกันได้หลากหลายภาษา

คุณมาโย กล่าวต่ออีกว่า “เมื่อพูดถึงแฟนฟุตบอลนอกประเทศสเปน เรามักจะพูดเสมอว่า เราต้องการเป็นลีกที่มีความนิยมเป็นอันดับสอง รองจากฟุตบอลลีกของแต่ละประเทศ ลีกในประเทศถือเป็นกลไกสำคัญในการเติบโตของฟุตบอลในประเทศนั้น ๆ และนั่นคือเหตุผลที่ลาลีกาต้องการที่จะแบ่งปันความรู้ให้กับลีก สโมสร และสหพันธ์ทั่วโลก”

สัญญาณที่บ่งบอกถึงการเติบโตของ ‘ลาลีกา’

เมื่อความนิยมฟุตบอลสเปนเพิ่มขึ้น ก็เท่ากับว่าการเติบโตของ ลาลีกา ก็ดีขึ้นมากด้วยเช่นกัน โดยดูได้จากผู้ชมทางโทรทัศน์ทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นถึง 30 เปอร์เซ็นต์ นับจากฤดูกาล 2015/16 ซึ่งส่งผลให้มูลค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดนอกประเทศสเปนพุ่งสูงถึง 247 เปอร์เซ็นต์ นับจากฤดูกาล 2013/14 และเพิ่มมูลค่าให้กับลาลีกา ด้วยจำนวนสปอนเซอร์ที่เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าในช่วงเวลาเดียวกัน

คุณมาโย กล่าวเสริมอีกว่า “จำนวนผู้สนับสนุนที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการเติบโตของลาลีกา ทำให้แฟนบอลทั่วโลก ได้ใกล้ชิดกับลีกของเรา มากกว่าที่เคยเป็นพันธมิตรของเรา เป็นส่วนสำคัญในการมีส่วนร่วมของผู้คนที่มากขึ้น”

นอกจากนี้ อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ลาลีกาได้รับความนิยมไปทั่วโลก คือ การสร้างประสบการณ์ ในการรับชมการแข่งขันทางโทรทัศน์ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ลาลีกาได้ลงทุนในการนำเทคโนโลยีประกอบการถ่ายทอดสด เช่น โดรน กล้องสกายแคม และวิดีโอที่สามารถเปิดใช้งานรีเพลย์แบบ 360 องศา เป็นต้น

คุณมาโย ปิดท้ายว่า “เรากำลังมีการเดินทางที่น่าตื่นเต้น เพื่อสร้างความสนุกสนานให้กับแฟนๆ ทั่วโลก เราจะเดินหน้าต่อไป เพื่อนำการแข่งขันที่ยอดเยี่ยมไปทุกที่ และแนะนำให้ผู้คนทั่วโลกรู้จักลาลีกามากขึ้น นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น”

ปัจจุบันนี้เอง เห็นได้ชัดเจนว่า ประเทศไทย เป็นหนึ่งในประเทศสำคัญในเอเชีย ที่ลาลีกา ต้องการขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากฟุตบอลเป็นกีฬายอดนิยมของคนไทย ที่นับวันแฟนบอลชาวไทย ก็จะเริ่มให้ความสนใจในลาลีกา มากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน ด้วยเหตุนี้เอง เราไม่แปลกใจเลยที่ ตลาดลาลีกาในไทย จะได้รับความร่วมมือมากมาย ทั้งจากพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจและแฟนฟุตบอล ร่วมไปถึง การได้รับสนับสนุนจาก CVC พันธมิตรใหม่ของลาลีกา ที่พร้อมจะขยายตลาดให้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

Author : ภาวินีย์ สูญสิ้นภัย

🙏 : LaLiga

#ไข่มุกดำ

#KMDLaLiga

#KMDSportServices

#LaLiga

Categories
Special Content

เป็นฮีโร่ก็ลำบาก : “มาร์คัส แรชฟอร์ด” ดอกเตอร์ที่ยังไม่ก้าวข้ามดาวรุ่ง

ภาพจำของมาร์คัส แรชฟอร์ด ดาวยิงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ผู้คนในอังกฤษและทั่วโลกนึกถึง คือนักสังคมสงเคราะห์ สะสมความดีมากเพียงพอ จนได้รับการประกาศเกียรติคุณ เพื่อตอบแทนความดีที่สร้างไว้

ตรงข้ามกับชีวิตนักฟุตบอล ที่ในเวลานี้ต้องพบกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก ด้วยผลงานที่ตกลงไปจากเมื่อก่อนอย่างน่าใจหาย และอาจถูกมองว่า เป็นนักเตะที่ไม่สามารถก้าวข้ามความเป็น “ดาวรุ่งตลอดกาล” ได้

ชีวิตของแรชฟอร์ดจากนักเตะดาวรุ่ง ที่ยังพุ่งไปไม่สุดทางเป็นอย่างไร ? วันนี้เพจ “ไข่มุกดำ” จะมาขยายให้ฟังกันครับ

สุดยอดดาวรุ่งที่น่าจับตามอง

มาร์คัส แรชฟอร์ด เกิดจากครอบครัวที่มีฐานะไม่ค่อยสู้ดีนักในเมืองแมนเชสเตอร์ เริ่มต้นเส้นทางนักฟุตบอลตั้งแต่อายุ 5 ขวบกับเฟล็ทเชอร์ มอสส์ เรนเจอร์ส สโมสรระดับท้องถิ่นที่ปั้นนักเตะชื่อดังมาแล้วหลายราย

ปี 2005 เจ้าหนูแรชฟอร์ดในวัย 7 ขวบ ได้รับความสนใจจากทีมยักษ์ใหญ่ทั้งแมนฯ ยูไนเต็ด, แมนฯ ซิตี้ รวมถึงลิเวอร์พูล และสุดท้ายเป็น “ปิศาจแดง” ที่ได้เซ็นสัญญาเข้าร่วมทีมเยาวชนไปในที่สุด

แรชฟอร์ด ใช้เวลาอยู่กับทีมเยาวชนยาวนานมากกว่า 10 ปี ก่อนที่จะได้ประเดิมสนามกับยูไนเต็ดเป็นครั้งแรก ในเกมยูฟ่า ยูโรป้า ลีก รอบ 32 ทีมสุดท้าย นัดสอง ที่เปิดบ้านพบกับมิดทิลแลนด์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2016

ในแมตช์ดังกล่าว แรชฟอร์ดได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงแทนที่อองโตนี่ มาร์กซิยาล ที่ได้รับบาดเจ็บในช่วงวอร์มก่อนเริ่มเกม และกลายเป็นแมตช์แห่งความทรงจำของเขา เมื่อเหมาคนเดียว 2 ประตู ช่วยให้ทีมชนะ 5 – 1

ส่งผลให้แรชฟอร์ด ทุบสถิติเป็นนักเตะอายุน้อยสุดในประวัติศาสตร์สโมสร ที่ทำประตูได้ในฟุตบอลถ้วยยุโรป ด้วยวัย 18 ปี 117 วัน ก่อนที่สถิติของเขาจะถูกทำลายโดยเมสัน กรีนวูด เมื่อเดือนกันยายน ปี 2019 (17 ปี 353 วัน)

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของมาร์คัส แรชฟอร์ด เกิดขึ้นในฤดูกาล 2019/20 และ 2020/21 ที่ทำได้อย่างน้อย 20 ประตู รวมทุกรายการ 2 ฤดูกาลติดต่อกัน ก้าวขึ้นมาเป็นกองหน้าตัวความหวังในการจบสกอร์จนถึงปัจจุบัน

เด็กหนุ่มผู้เป็นฮีโร่ของอังกฤษ

เพราะเคยผ่านช่วงชีวิตที่ยากลำบากในวัยเด็ก ทำให้มาร์คัส แรชฟอร์ด มีความคิดริเริ่มที่จะช่วยเหลือผู้ที่ยากลำบากเหมือนกับตัวเอง จึงตัดสินใจที่จะรับบทบาทเป็นผู้ให้ และคืนอะไรกลับไปให้สังคมบ้าง

จุดเริ่มต้นการมีจิตสาธารณะของแรชฟอร์ด เกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2019 ก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ระบาดทั่วโลก ด้วยการบริจาคอาหาร 1,200 กล่อง เพื่อช่วยเหลือคนไร้บ้านในเมืองแมนเชสเตอร์

แต่ตัวเขาไม่รู้สึกพึงพอใจมากนัก เพราะคนที่เข้าถึงการช่วยเหลือยังน้อยเกินไป จึงต้องทุ่มเทกับกิจกรรมการกุศลมากกว่าเดิม โดยร่วมมือกับองค์กรการกุศลระดับประเทศ เข้ามาช่วยแจกจ่ายอาหารให้มากขึ้น

เข้าสู่ปี 2020 โควิด-19 ได้ระบาดหนักไปทั่วโลก รัฐบาลอังกฤษได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ ด้วยการระงับโครงการอาหารกลางวันฟรีแก่นักเรียน เป็นผลกระทบที่เกิดจาการสั่งปิดโรงเรียนในช่วงที่มีการล็อกดาวน์

จากการตัดสินใจดังกล่าวของรัฐบาล ช่วยให้แรชฟอร์ดทราบว่า มีเด็กนักเรียน 1.3 ล้านคน ที่ได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ เขาจึงตัดสินใจเขียนจดหมายเปิดผนึก ส่งถึงรัฐบาลอังกฤษ ในเดือนมิถุนายน ปี 2020

หลังจากที่จดหมายเปิดผนึกถูกเผยแพร่ออกไป ทำให้นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ตัดสินใจสนับสนุนโครงการของแรชฟอร์ด และเครือข่ายอย่างเต็มที่ โดยทุ่มเงิน 400 ล้านปอนด์ช่วยเหลือเด็กยากไร้ทั่วประเทศ

สิ่งที่แรชฟอร์ดพยายามส่งเสียงถึงผู้มีอำนาจรัฐ ได้รับรู้ถึงหัวใจของผู้คนทั้งประเทศ และเกิดอิมแพ็กต์อย่างเห็นได้ชัด จึงได้มีการตอบแทนคุณงามความดีครั้งสำคัญ ที่เขาและครอบครัวจะต้องจดจำไปตลอดชีวิต

เมื่อเดือนตุลาคม ปีที่แล้ว มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ได้มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ให้กับดาวเตะวัย 24 ปีรายนี้ และถือเป็นบุคคลที่อายุน้อยสุด ที่ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์อีกด้วย

แรชฟอร์ด ถือเป็นคนที่ 3 ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ได้รับการประกาศเกียรติคุณขั้นสูงสุดของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ต่อจากเซอร์แมตต์ บัสบี้ และเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน 2 ตำนานผู้จัดการทีมของสโมสร

และอีกเพียง 1 เดือนหลังจากนั้น แรชฟอร์ด ก็ยังได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น MBE จากเจ้าชายวิลเลียมส์ เป็นการตอกย้ำว่าสิ่งที่เขาได้ทำให้กับประเทศบ้านเกิด มันยิ่งใหญ่เพียงใด

ความมุ่งมั่นในการทำงานเพื่อสังคมของมาร์คัส แรชฟอร์ด เกิดจากการลุกขึ้นเพื่อต่อสู้กับความอยุติธรรมที่พบเจอ และสามารถเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น จนได้รับการยกย่องให้เป็นฮีโร่ของชาวอังกฤษทั้งชาติ

ฟอร์มการเล่นที่ไม่เหมือนเดิม

ชีวิตนอกสนามของมาร์คัส แรชฟอร์ด ได้สะสมคุณงามความดีไว้มากมาย จนได้รับปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ แต่ชีวิตในสนามของเขานั้น ถือว่ายังสอบไม่ผ่านในการที่จะก้าวจากสุดยอดดาวรุ่งสู่นักเตะเวิลด์คลาส

ผลงานของ ดร.แรชฟอร์ด ในฤดูกาล 2021/22 ทำได้เพียงแค่ 2 ประตู จาก 11 นัดที่ลงสนามในพรีเมียร์ลีก อีกทั้งยิงประตูไม่ได้เลย ใน 11 นัดหลังสุดที่ได้โอกาสลงเล่นนับรวมทุกรายการ

เกมล่าสุดที่แมนฯ ยูไนเต็ด เปิดบ้านเฉือนชนะแอสตัน วิลลา 1 – 0 ในเอฟเอ คัพ เมื่อคืนมันเดย์ไนท์ที่ผ่านมา เจ้าตัวถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องความทุ่มเทในสนาม โดยมีช็อตสำคัญที่กลายเป็นประเด็นใหญ่ในโลกโซเชียล

ช็อตที่ว่านั้น เกิดขึ้นในนาทีที่ 73 จังหวะที่เมสัน กรีนวูด ยิงไปติดเซฟของเอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ นายทวารวิลลา รับบอลกระฉอกออกมา ทว่าแรชฟอร์ดกลับยืนเซ็งเฉยๆ ไม่วิ่งเข้าหาบอลเพื่อลุ้นประตูเสียอย่างนั้น

นั่นทำให้แรชฟอร์ด ถูกบรรดาเรด อาร์มี่ ตำหนิอย่างรุนแรง และถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นมืออาชีพ เพราะมีพฤติกรรมที่แสดงว่าไม่ตั้งใจเล่นให้กับสโมสร ทั้งๆ ที่รับค่าเหนื่อยสูงถึง 2 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์

ว่ากันว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้แรชฟอร์ด มีฟอร์มการเล่นที่ดร็อปลงอย่างไม่น่าเชื่อในฤดูกาลนี้ เป็นเพราะปัญหาทั้งด้านสภาพจิตใจ และสภาพร่างกายที่ติดตัวมานานตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา

เรื่องสภาพจิตใจ แรชฟอร์ดคือหนึ่งในผู้ที่ยิงจุดโทษพลาด ทำให้อังกฤษแพ้อิตาลีในนัดชิงชนะเลิศ ยูโร 2020 แฟนบอลอังกฤษบางส่วนเลยไม่พอใจ ถึงขั้นทำลายภาพของเขาที่อยู่บนผนังในเมืองแมนเชสเตอร์

นอกจากนี้ เดลี่ เมล สื่อชื่อดังของอังกฤษยังระบุว่า เขาได้ติดต่อไปยังนักจิตวิทยาด้านกีฬา เพื่อขอคำปรึกษาเรื่องสภาพจิตใจ ซึ่งนั่นถือเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ต้องพึ่งนักจิตวิทยาด้านกีฬามาช่วยเหลือด้านจิตใจ

ส่วนเรื่องสภาพร่างกายนั้น เจ้าตัวมีอาการบาดเจ็บหัวไหล่เรื้อรังมาตั้งแต่ฤดูกาลก่อน และเข้ารับการผ่าตัดหลังจบฟุตบอลยูโร เมื่อกลางปีที่แล้ว แต่ก็ฝืนกลับมาลงเล่นให้ยูไนเต็ดอีกครั้งตั้งแต่ช่วงกลางเดือนตุลาคม

อีกสาเหตุหนึ่งที่ถือว่ามีส่วนอยู่ไม่น้อย ก็คือเรื่องของตำแหน่งการเล่นที่ยังไม่ชัดเจน นับตั้งแต่ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่เมื่อ 6 ปีที่แล้ว เนื่องจากสโมสรเปลี่ยนแปลงกุนซือบ่อย จึงมีความกังวลว่า เขาอาจจะไม่สามารถพัฒนาฝีเท้าได้อีก

เมื่อเดือนกันยายน ปี 2019 สแตน คอลีมอร์ อดีตตำนานกองหน้าลิเวอร์พูลยุค ‘90 เคยให้ความเห็นว่า “หากแรชฟอร์ดยังไม่รู้ตำแหน่งถนัดของตัวเอง อีกไม่นานอาจจะเป็นเหมือนธีโอ วัลคอตต์ ที่เคยเป็นยอดดาวรุ่ง แต่ไปไม่สุด”

ที่สำคัญ สัญญาของแรชฟอร์ดกับยูไนเต็ด จะหมดลงหลังจบฤดูกาลหน้า น่าสนใจว่าเขาจะยังฝากอนาคตไว้ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด หรือจะไปหาความท้าทายใหม่กับสโมสรอื่น ก็เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป

ถึงแม้ว่ามาร์คัส แรชฟอร์ด จะเป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษนอกสนามฟุตบอล แต่เรื่องราวในสนาม เขาต้องก้าวข้ามจากนักเตะดาวรุ่ง สู่นักเตะที่ประสบความสำเร็จในเกมลูกหนังให้ได้

Author : จักรพันธ์ ภู่ทอง

Photo : TEAMtalk

อ้างอิง :

https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-10391695/What-wrong-Marcus-Rashford-amid-Manchester-United-struggles.html

https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-10390207/Manchester-United-Marcus-Rashford-struggles-mystery-Ralf-Rangnick-fans.html

https://www.theguardian.com/football/2022/jan/11/marcus-rashford-manchester-united-looks-out-of-form-and-cheer#_=_

#ไข่มุกดำ

#KMDAnalysis

#แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

Categories
Special Content

ห้องแต่งตัวที่ยุ่งเหยิง : “ราล์ฟ รังนิก” กับปัญหาใหญ่ของปิศาจแดง

เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แพ้วูล์ฟแฮมป์ตันคาถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดหนแรกในรอบ 42 ปี แถมเป็นการปราชัยนัดแรก ในยุคของกุนซือราล์ฟ รังนิก อีกด้วย

ประเด็นควันหลงที่จะหยิบมาพูดถึง คือสภาพปัญหาภายในห้องแต่งตัวของยูไนเต็ดที่เรื้อรังมานาน ถึงแม้จะเปลี่ยนเฮดโค้ชมาเป็นรังนิก ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “โปรเฟสเซอร์” ในวงการลูกหนังก็ตาม

แล้วปัญหาของ “ปิศาจแดง” คืออะไร ? วันนี้เพจ “ไข่มุกดำ” จะมาขยายให้ฟังกันครับ

เพราะเฮี้ยบมากไปจึงอยู่ไม่ได้

หลังจากเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ประกาศรีไทร์ ยุติอาชีพผู้จัดการทีมในปี 2013 แฟนบอลของแมนฯ ยูไนเต็ด รู้ดีว่าหลังจากนี้ทีมคงไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าจะห่างหายแชมป์พรีเมียร์ลีกนานเกือบ 1 ทศวรรษ

เดวิด มอยส์ กุนซือ “ผู้ถูกเลือก” ล้มเหลวแบบสุด ๆ คุมทีมยูไนเต็ดไม่เต็มฤดูกาลก็ต้องแยกทาง ต่อมาได้แต่งตั้งหลุยส์ ฟาน กัล อดีตนายใหญ่ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ มาคุมทัพหลังจากจบฟุตบอลโลก 2014

เมื่อฟาน กัล เข้ามาที่ยูไนเต็ด ก็เริ่มสร้างวีรกรรมความเฮี้ยบ ด้วยการติดตั้งกล้องวงจรปิดทั่วสนามซ้อม เพื่อเกาะติดการซ้อมของนักเตะ อีกทั้งจัดระเบียบให้นักเตะรับประทานอาหารร่วมกันที่สนามซ้อมด้วย

นอกจากนี้ ฟาน กัล เป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงจนล้นทะลัก ทำให้นักเตะในทีมออกอาการไม่พอใจ อีกทั้งแนวทางการทำทีมของเขา ไม่เป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอลและบอร์ดบริหาร การตัดสินใจ “ปลด” จึงเกิดขึ้น

ถึงแม้ในฤดูกาลสุดท้ายของฟาน กัล จะพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพมาได้ แต่ไม่สามารถคว้าสิทธิ์ไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทำให้ต้องแยกทางกับ “ปิศาจแดง” และโชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือชาวโปรตุกีส ก็เข้ามารับช่วงต่อ

สไตล์การทำงานของมูรินโญ่ ก็เฮี้ยบไม่ต่างจากฟาน กัลเท่าใดนัก นี่อาจจะเป็นการ “หนีเสือปะจระเข้” ก็เป็นได้ ซึ่งปัญหาอย่างหนึ่งของมูรินโญ่ สมัยที่คุมทีมแมนฯ ยูไนเต็ด คือการสร้างบรรยากาศที่ย่ำแย่ภายในทีม 

อย่างเช่นกรณีของปอล ป็อกบา ที่กุนซือ “เดอะ สเปเชียล วัน” เคยปลดดาวเตะฝรั่งเศสออกจากกัปตันทีมระหว่างการฝึกซ้อม อีกทั้งกล่าวหานักเตะรายนี้ว่าเป็น “ไวรัส” ที่คอยบ่อนทำลายสโมสรอีกด้วย

ศึกวันแดงเดือดที่แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้ลิเวอร์พูลแบบหมดสภาพ เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2018 นั่นคือฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้บอร์ดบริหารของสโมสร ตัดสินใจไล่มูรินโญ่ ออกจากตำแหน่งกุนซือปิศาจแดงในที่สุด

ความสำเร็จของผู้จัดการทีมฟุตบอล ล้วนมีพื้นฐานจากระเบียบวินัยที่ไม่หย่อนยาน ทว่าทั้งฟาน กัล และมูรินโญ่ อยู่คุมแมนฯ ยูไนเต็ดได้ไม่นาน เพียงเพราะนักเตะบางคนต้องการล้มโค้ชที่ไม่ถูกจริตกันเท่านั้นเอง

ความใจดีที่เกินพอดีเลยพังพินาศ

หลังจากความวุ่นวายในยุคของโชเซ่ มูรินโญ่ แมนฯ ยูไนเต็ด ตัดสินใจแต่งตั้งโอเล่ กุนนาร์ โซลชา อดีตนักเตะที่ค้าแข้งในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดนาน 11 ปี และอดีตโค้ชทีมสำรองของสโมสร ทำหน้าที่กุนซือชั่วคราว

ซึ่งการเข้ามาของอดีตนักเตะเพชฌฆาตหน้าทารกนี่เอง เป็นการคืนความคึกคักให้กับปิศาจแดงอย่างไม่น่าเชื่อ ผลงานในช่วงแรกติดปีกแบบสุด ๆ ก่อนได้สัญญาคุมทีมถาวรในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2019

นับตั้งแต่วันแรกคุมทีม โซลชาทำทีมยูไนเต็ดพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะยังไม่ประสบความสำเร็จระดับคว้าโทรฟี่ แต่สิ่งที่โซลชาได้รับคำชื่นชม คือการอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เคยมีปัญหากับบอร์ดบริหารเลยแม้แต่น้อย

จุดเด่นของโซลชา คือความเป็นกันเองในห้องแต่งตัว ทำให้บรรดานักเตะในทีมต่างชื่นชอบนิสัยของโชลชา เมื่อเทียบกับ 2 กุนซือคนก่อนอย่างฟาน กัล กับมูรินโญ่ จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน

แต่ทว่า ความใจดีและความเป็นกันเองที่มากเกินไป จนสูญเสียอำนาจการปกครอง ก็กลับมาทำร้ายตัวเขาเองอย่างเจ็บปวด โดยเฉพาะการคุมทีมใหญ่ที่อุดมไปด้วยนักเตะดาวดังอย่างแมนฯ ยูไนเต็ด

อย่างเช่นกรณีที่โซลชา พยายามที่จะซื้อใจปอล ป็อกบา ที่มักทำตัวมีปัญหาบ่อย ๆ ให้ตั้งใจเล่นกับสโมสรมากขึ้น แต่กลับทำให้นักเตะคนอื่น ๆ ภายในทีมมองว่าโซลชา กำลังปฏิบัติกับพวกเขาอย่างไม่เป็นธรรม

นอกจากนี้ ปัญหาความไม่เข้าใจเรื่องแท็กติกในสนาม ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นักเตะหมดศรัทธากับโซลชา จากที่เคยมีแต่รอยยิ้มในห้องแต่งตัว พอผลงานย่ำแย่ ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปจนกลายเป็นบรรยากาศอึมครึม

ยกตัวอย่างกรณีของดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค ที่แทบจะไม่ได้รับโอกาสลงสนามเลย หรือการส่งแฮร์รี่ แม็คไกวร์ ลงสนามเป็นตัวจริงทันที ในเกมที่แพ้เลสเตอร์เมื่อเดือนตุลาคม ทั้ง ๆ ที่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บ เป็นต้น

ความพ่ายแพ้ต่อวัตฟอร์ดแบบหมดสภาพถึง 1 – 4 ทำให้บอร์ดบริหารยูไนเต็ดตัดสินใจแยกทางกับโซลชาในที่สุด แสดงให้เห็นว่า สถานะนักเตะระดับตำนานผู้เป็นที่รักของ “เรด อาร์มี่” ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย

รังนิกกำลังถูกท้าทายครั้งสำคัญ

เมื่อโอเล่ กุนนาร์ โซลชา ทำทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ไปไม่สุดทาง ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ราล์ฟ รังนิก กุนซือชาวเยอรมันวัย 63 ปี รับอาสาเข้ามาคุมทีมแบบขัดตาทัพจนกระทั่งจบฤดูกาลนี้

เมื่อมีกุนซือคนใหม่เข้ามา อาจจะเข้าทฤษฎี “บอลเปลี่ยนโค้ช” คือผลงานในช่วงแรกมักจะออกมาดี นัดแรกของรังนิก คือการเอาชนะคริสตัล พาเลซ 1 – 0 ชนิดที่ผู้เล่นทุ่มเทแบบสุด ๆ ไล่เพรสซิ่งแทบทุกจังหวะ

ทว่าหลังจากนั้น ฟอร์มการเล่นของบรรดานักเตะปิศาจแดง ค่อย ๆ ดร็อปลงอย่างน่าใจหาย คล้ายกับกำลังหมดแรงจูงใจ คาแร็กเตอร์ที่ยอดเยี่ยมในนัดที่ชนะพาเลซ เมื่อ 1 เดือนก่อน กำลังจะหายไปอีกแล้ว

ลุค ชอว์ ให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งหลังเกมแพ้วูล์ฟส์ว่า “เรามีขุมกำลังที่เต็มไปด้วยคุณภาพชั้นยอด แต่บางครั้งคุณภาพเพียงอย่างเดียวมันก็ไม่มากพอ เราต้องมีความเอาจริงเอาจังและแรงมุ่งมั่นมากกว่านี้”

ย้อนกลับไปหลังเกมที่เสมอนิวคาสเซิล 1 – 1 เมื่อเดือนธันวาคม มีรายงานจากสื่อที่ระบุว่า บรรยากาศภายในทีมเริ่มมีการแบ่งพรรคพวก นักเตะหลายคนเริ่มไม่มีความสุข และเตรียมย้ายออกในเดือนมกราคมนี้

สไตล์การทำทีมของเจ้าพ่อ “เกเก้นเพรสซิ่ง” คือการวิ่ง ทำงานให้หนัก เสียบอลแล้วต้องกดดันเอาบอลคืนมา ขี้เกียจไม่ได้เลย แน่นอนว่านักเตะบางคนไม่ถูกจริต เพราะติดกับดักความสบายจนเคยตัว

หรืออาจมีนักเตะอายุน้อยบางคน ที่ได้รับค่าเหนื่อยเกินอายุและฝีเท้า ซึ่งกลายเป็นผลเสียโดยไม่รู้ตัว เพราะจะทำให้นักเตะเหล่านั้นคิดว่า ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนขวนขวายอะไร ก็มีเงินมหาศาลเข้ากระเป๋า

ฟาน กัล, มูรินโญ่ และโซลชา ล้วนถูกปลดออกจากตำแหน่งเพราะผลงานที่ล้มเหลว อย่างไรก็ตาม การที่มีนักเตะฝีเท้าดี แต่ทัศนคติแย่ ก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบกับความล้มเหลวเช่นเดียวกัน

การเข้ามาของราล์ฟ รังนิก คือการวางรากฐานให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเพื่ออนาคต และต้องหาวิธีจัดการกับนักเตะบางคนที่เข้ากันไม่ได้กับแนวทางของเขา แต่ก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่งานที่ง่ายเลย

Author : จักรพันธ์ ภู่ทอง

Photo : Reuters

อ้างอิง :

#ไข่มุกดำ

#KMDStory

#ราล์ฟรังนิก

#แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

Categories
Football Business

8 ทศวรรษผู้ยิ่งใหญ่ : 8 พิมพ์เขียว “เซอร์อเล็กซ์” เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ

31 ธันวาคม 2021 เป็นวันที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตตำนานผู้จัดการทีมของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฉลองวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 80 ปี กับการทำงาน 27 ปี และความสำเร็จ 38 โทรฟี่ ที่ทำไว้กับ “ปิศาจแดง” จากวันแรกที่เข้ามาซ่อมและสร้างทีมจนประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง จนถึงวันสุดท้ายของการคุมทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ผู้คนทั่วโลก ต่างยกย่องสรรเสริญในความยอดเยี่ยมของยอดกุนซือเลือดสกอตรายนี้

และเนื่องในวาระพิเศษแบบนี้ ขอนำเสนอเรื่อง “พิมพ์เขียว” ของเซอร์อเล็กซ์ ในการบริหารงานให้ประสบความสำเร็จ 8 ข้อ ที่ถูกนำไปถ่ายทอดที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2012 มาฝากกัน

1. เริ่มต้นจากรากฐาน

สิ่งแรก ๆ ที่เซอร์อเล็กซ์ลงมือทำตั้งแต่เริ่มงานคุมยูไนเต็ด คือการสร้างรากฐานเพื่อให้เป็นแผนงานระยะยาวของสโมสร ทั้งการปรับโครงสร้างปลุกปั้นนักเตะเยาวชน และจ้างทีมแมวมองตระเวนออกค้นหานักเตะที่ฉายแววเก่งเข้ามา

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ “Class of 92” ที่มีทั้งเดวิด เบ็คแฮม, ไรอัน กิ๊กส์, พอล สโคลส์, แกรี่ เนวิลล์, นิคกี้ บัตต์ และฟิล เนวิลล์ขึ้นมาสร้างความสำเร็จ และต่อยอดความยิ่งใหญ่ที่ยาวนานตลอดช่วงยุคทศวรรษที่ 90 เป็นต้นมา

“ความคิดแรกของผู้จัดการทีมคนใหม่ 99% คือการทำทีมให้ชนะในเกม เพื่อความอยู่รอด ดังนั้นพวกเขาจึงนำผู้เล่นที่มีประสบการณ์เข้ามา มันคือเรื่องพื้นฐานอยู่แล้ว เพราะเราอยู่ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยผลการแข่งขัน” “ในบางสโมสร ถ้าคุณแพ้สัก 3 นัด คุณโดนไล่ออกแล้ว แต่การชนะเกมเป็นเรื่องของผลงานระยะสั้น นัดต่อมาคุณอาจจะแพ้แล้วก็ได้ ส่วนการสร้างรากฐานจะทำให้เกิดความมั่นคงและสม่ำเสมอ”

2. กล้าที่จะสร้างทีมขึ้นใหม่

แม้จะยืนระยะประสบความสำเร็จอย่างยาวนาน แต่เซอร์เฟอร์กี้่ ก็ไม่เคยหยุดที่จะพัฒนาทีมขึ้นใหม่อยู่เรื่อย ๆ นั่นหมายถึง การบริหารที่จำเป็นต้องใช้ทักษะของการตัดสินใจในเรื่องของขุมกำลังภายในทีม

แน่นอนว่า เขายินดีที่จะแบกรับความเสี่ยงในการปั้นนักเตะรุ่นใหม่ขึ้นมา ทว่าก็ไม่ลังเลที่จะขายนักเตะในช่วงที่ยังเหลือระยะค้าแข้งระดับสูงอยู่ออกไป ก็สามารถทำเงินเข้าสโมสรได้เป็นกอบเป็นกำ

“ผมเชื่อว่าวงจรของทีมที่ประสบความสำเร็จจะอยู่ได้ไม่เกิน 4 ปี หลังจากนั้นมันต้องเปลี่ยน ฉะนั้นจึงพยายามมองภาพทีมล่วงหน้าไป 3 หรือ 4 ปีข้างหน้า และทำการตัดสินใจอย่างเหมาะสม”

“สิ่งที่ยากที่สุดคือปล่อยนักเตะที่เคยยอดเยี่ยมมาก ๆ ออกไป แต่หลักฐานทั้งหมดอยู่บนสนาม ถ้าคุณมองเห็นการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะแง่ลบ คุณก็ต้องถามตัวเองว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต เช่นอีกสองปีข้างหน้า”

3. ตั้งมาตรฐานให้สูงเข้าไว้

สิ่งที่เซอร์อเล็กซ์เน้นย้ำมาโดยตลอด คือนอกจากการสร้างทักษะและเทคนิคเชิงฟุตบอลแล้ว ยังต้องการสร้างแรงบันดาลใจให้นักเตะสร้างสิ่งที่ดีกว่า และ “ไม่ยอมแพ้” ซึ่งก็มีความหมายเดียวกับการสร้างความเป็นผู้ชนะนั่นเอง

เขาได้ถ่ายทอดแนวคิดเหล่านี้ลงสู่นักเตะ และในช่วงเวลาหลายปีของการซึมซับ นักเตะแมนฯ ยูไนเต็ด ก็มีธรรมชาติของการไม่ยอมรับต่อ “ความไม่พยายามสู้” ที่เกิดขึ้นในตัวเพื่อนร่วมทีม ไม่ว่าจะเป็นดาวเด่นมาจากไหนก็ตาม

“ผมต้องยกระดับความคาดหวังของผู้เล่น พวกเขาต้องไม่ยอมแพ้ ผมพูดอยู่เสมอว่า การทำงานหนักตลอดชีวิตคือพรสวรรค์ แต่ผมคาดหวังมากกว่านั้นจากนักเตะชั้นนำ และพวกเขาก็ทำ พวกเขาพร้อมที่จะทำงานหนักขึ้นเสมอ”

“ซูเปอร์สตาร์ที่มีอีโก้อาจไม่ใช่ปัญหาอย่างที่ใคร ๆ คิด เพราะพวกเขามีความกระหายในชัยชนะอย่างแรงกล้า ความหมายคือพวกเขาพร้อมทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ พวกเขาตระหนักดีว่าการเป็นนักเตะแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ใช่เรื่องง่าย”

4. อย่าเสียอำนาจการปกครอง

หนึ่งในส่วนสำคัญของการสร้างมาตรฐานระดับสูง ก็คือการสร้างระเบียบวินัย เฟอร์กูสันไม่เกรงกลัวที่จะเนินการขั้นเด็ดขาดกับใครก็ตามที่ล่วงละเมิดกฎ ความผิดเล็ก ๆ อาจแค่ปรับเงิน แต่ถ้าหนักกว่านั้น ก็เชิญออกไปได้เลย

นักเตะดังทั้งยาป สตัม, เดวิด เบ็คแฮม, รอย คีน หรือแม้กระทั่งรุด ฟาน นิสเตอรอย ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เซอร์อเล็กซ์ ตอบสนองกับปัญหาเหล่านั้นได้อย่างรวดเร็ว ไม่ปล่อยเวลาให้ล่าช้าจนสายเกินการณ์

“คุณอย่าเสียการปกครองเด็ดขาด โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องจัดการกับนักเตะอาชีพ 30 คน ที่ล้วนแต่เป็นดาวดัง ถ้าใครบางคนต้องการทดสอบผม อยากท้าทายกฎเกณฑ์ของผม ก็มาเลย ผมพร้อมเสมอ” “ถ้าอยู่มาวันหนึ่ง ผู้จัดการทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ถูกควบคุมโดยบรรดาผู้เล่น ยูไนเต็ดก็จะไม่เป็นยูไนเต็ดอย่างที่เรารรู้จักกันอีกต่อไป ผมก็บอกตัวเองไว้อยู่แล้วว่าจะไม่ปล่อยให้ใครมามีอำนาจเหนือผม นั่นคือสิ่งสำคัญ”

5. มีศิลปะในการสื่อสาร

เมื่อถึงเวลาที่ต้องพูดกับนักเตะในบางเรื่อง เซอร์อเล็กซ์จะกองอำนาจบารมีเอาไว้ข้าง ๆ แล้วพยายามสื่อความอย่างเข้าอกเข้าใจในตัวนักเตะ และจะทำเป็นการส่วนตัวเสมอ ไม่มีการตำหนินักเตะออกสื่อโดยเด็ดขาด

ในระหว่างการซ้อม เฟอร์กี้และผู้ช่วยของเขาจะมุ่งเน้นไปที่การสร้างบรรยากาศในแง่บวก แม้ภาพจำของกุนซือชาวสกอตต์คือความเกรี้ยวกราดในช่วงพักครึ่งเวลาของแต่ละแมตช์ รวมถึงการประชุมทีมหลังจบเกมก็ตาม

“ไม่มีใครชอบโดนตำหนิ และมีไม่กี่คนที่จะดีขึ้นได้หลังโดนตำหนิ ดังนั้นผมจึงพยายามให้กำลังใจเต็มที่เมื่อผมทำได้ ในบางแง่ นักเตะก็เหมือนคนธรรมดา มันไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้ยินคำชื่นชม ไม่จำเป็นต้องประดิษฐ์คำพูดอะไร”

“แต่ขณะเดียวกัน ผมก็ต้องชี้ให้เห็นถึงข้อผิดพลาดเมื่อนักเตะไม่อาจตอบสนองความคาดหวังได้ การตำหนิจะเป็นสิ่งสำคัญในตอนนั้น และผมจะทำมันหลังจบเกมทันที แต่จบแล้วคือจบกัน หลังจากนั้นคือการโฟกัสไปที่เกมหน้าเลย”

6. จงเตรียมพร้อมที่จะชนะ

คุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งสำหรับแมนฯ ยูไนเต็ดยุคเศอร์เฟอร์กี้ คือความตายยาก หรือที่เรียกกันติดปากว่า “เฟอร์กี้ ไทม์” ใช้เวลาอึดใจสุดท้ายของการแข่งขันเปลี่ยนจากแพ้เป็นเสมอ จากเสมอเป็นชนะอยู่หลายเกม

ในการเก็บข้อมูลวิเคราะห์มากกว่า 10 ซีซั่น ยูไนเต็ดมีสถิติดีกว่าทีมอื่นในการคว้าชัยชนะ หากพวกเขาผ่านครึ่งแรกด้วยผลเสมอ หรือเข้าสู่ช่วง 15 นาทีสุดท้ายด้วยผลเสมอ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากการเตรียมความพร้อมไว้ก่อนแล้ว

“ชัยชนะคือธรรมชาติของผม ผมได้กำหนดมาตรฐานของผมเอาไว้เป็น ผมคาดหวังถึงชัยชนะในทุกเกม ผมมั่นใจว่านักเตะทุกคนของผมเตรียมพร้อมกันมาแล้ว และพร้อมเสมอในการโชว์ฟอร์ม เพราะทุกสิ่งได้ตระเตรียมกันมาแล้วก่อนที่จะลงสนาม”

“พยายามมองแง่บวกและพร้อมรับความเสี่ยง นี่คือสไตล์ของเรา เราลงสนามไปเพื่อเอาชนะ เราพร้อมทำทุกอย่างใน 15 นาทีสุดท้าย คุณอาจจะโดนยิงเพิ่มจากเกมโต้กลับ แต่รสชาติของชัยชนะเมื่อคุณกำลังจะแพ้ คือความรู้สึกที่มหัศจรรย์มาก”

7. สังเกตการณ์อยู่ตลอดเวลา

แม้หน้าที่ในการคุมนักเตะกลางสนามซ้อมจะเป็นของผู้ช่วย แต่เซอร์อเล็กซ์ก็แทบไม่เคยขาดการซ้อม ในฐานะผู้สังเกตการณ์” ซึ่งเขามองว่าสิ่งนี้ช่วยให้สามารถประเมินฟอร์มการเล่นของนักเตะได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น 

“การสังเกตการณ์คือส่วนสุดท้ายในโครงสร้างการจัดการของผม มันไม่ได้ทำให้ผมสูญเสียการควบคุม การแสดงตนและความสามารถในการดูแลทีมของผมยังคงอยู่เสมอ และสิ่งที่คุณได้รับจากการเฝ้ามองก็มีคุณค่าอย่างเหลือเชื่อ”

“มันกลายเป็นส่วนสำคัญของทักษะการจัดการของผมไปแล้ว ความสามารถในการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ เป็นสิ่งสำคัญ หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการมองเห็นสิ่งที่คุณไม่คาดหวังว่าจะได้เห็น”

8. อย่าหยุดที่จะปรับตัว

27 ปีของการทำงานกับแมนฯ ยูไนเต็ด โลกฟุตบอลเปลี่ยนแปลงไปหลายต่อหลายครั้ง การปรับตัวให้ทันกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป จึงไม่ใช่เรื่องง่าย และยิ่งยากกว่าสำหรับสโมสรที่รักษามาตรฐานสูงเอาไว้ร่วม 20 ปี

“มีเจ้าของทีม เงินทุนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามา และนั่นก็นำมาซึ่งแรงกดดันมหาศาลสำหรับคนเป็นผู้จัดการทีม ผู้เล่นทุกวันนี้มีชีวิตท่ามกลางสปอตไลท์ และเปราะบางมากกว่านักเตะในยุคอดีต”

“ผมไม่สามารถอยู่นิ่งไม่ยอมปรับเปลี่ยนอะไรได้ เราเป็นสโมสรที่ต้องการความสำเร็จ และผมพร้อมพัฒนาในทุกสิ่ง ผมทำงานอย่างหนักในทุกวัน งานของผมคือการสร้างโอกาสที่ดีที่สุดเพื่อชัยชนะ นั่นคือสิ่งที่ผลักดันผมเสมอมา”

จากพิมพ์เขียวทั้ง 8 ข้อ สามารถนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต และการบริหารในองค์กรต่าง ๆ ในยุคสมัยที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การยึดติดความสำเร็จในอดีต คือสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง

นี่คือบทเรียนชีวิตของยอดคนอย่างเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน สั่งสมประสบการณ์ชีวิตมาถึงอายุ 80 ปี และในตำแหน่งผู้จัดการทีมฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในวงการฟุตบอลอังกฤษ

Author : จักรพันธ์ ภู่ทอง

Photo : Daily Mail

อ้างอิง : https://hbr.org/2013/10/fergusons-formula

#ไข่มุกดำ
#KMDFeature
#KMDFootballBusiness
#เซอร์อเล็กซ์เฟอร์กูสัน
#แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

Categories
Special Content

สะเทือนใจแห่งปี 2021 : “อิริคเซ่น-กุน” นาทีชีวิตที่เกือบเป็นโศกนาฏกรรม

ปี 2021 ที่กำลังจะผ่านไป มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นมากมาย และอยู่ในความทรงจำของแฟนฟุตบอลทั่วโลก ทั้งเรื่องที่น่ายินดีจากความสำเร็จ และเรื่องที่น่าเศร้าที่คนในวงการลูกหนังต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่เหตุการณ์ที่ช็อกความรู้สึกและน่าสะเทือนใจของผู้คน เป็นเหตุการณ์ที่ดาวเตะดังทั้งคริสเตียน อิริคเซ่น และเซร์คิโอ กุน อเกวโร่ ที่เกิดอาการหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ทำให้อาชีพนักฟุตบอลถึงกับต้องสะดุด

วันนี้เพจ “ไข่มุกดำ” จะมาถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ 2 นักเตะในปีนี้ให้ฟังกันครับ

อันตรายที่ไร้สัญญาณเตือนภัย

ไม่น่าเชื่อว่าอาการหัวใจวายเฉียบพลัน จะเกิดขึ้นกับนักฟุตบอลอาชีพ ถึงแม้ว่าคนกลุ่มนี้จะมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ วิ่งได้ตลอด 90 นาที (หรือมากกว่านั้น) แต่กลับมีเคสนักเตะล้มลงด้วยอาการนี้ร่วมร้อยราย

ภาวะหัวใจหยุดเต้นฉียบพลัน (Sudden Cardiac Arrest : SCA) คือภาวะที่หัวใจไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้เพียงพอ เพราะมีปัญหาในระบบไฟฟ้าที่กำกับระบบจังหวะการเต้นของหัวใจ ความน่ากลัวของ SCA คือ เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่มีสัญญาณเตือนมาก่อน แล้วเวลาเกิดขึ้นจะมาแบบเฉียบพลัน ทำให้ไม่มีโอกาสเตรียมตัว โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาการเต้นของหัวใจผิดจังหวะ จะมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้อื่น

นักฟุตบอลที่มีโอกาสเกิดภาวะ SCA ส่วนใหญ่จะมาจากกลุ่มที่มีความผิดปกติของหัวใจตั้งแต่กำเนิด โดยความผิดปกติเกิดขึ้นใน 2 ส่วนหลัก ๆ คือ หัวใจหนาผิดปกติแต่กำเนิด และเส้นเลือดหัวใจผิดปกติแต่กำเนิด

หัวใจหนาผิดปกติแต่กำเนิด คือการเหนี่ยวนำไฟฟ้าของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติ จนนำไปสู่การทำงานของหัวใจที่ผิดปกติ จะเกิดขึ้นได้ช่วงที่มีการออกกำลัง

ส่วนเส้นเลือดหัวใจผิดปกติแต่กำเนิด คือการที่เลือดเดินช้ากว่าปกติ ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ไม่พอ จนเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

บทเรียนจากอดีตที่ช่วยคนรุ่นหลัง

อาการหัวใจวายเฉียบพลัน ในอดีตถือว่าเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ก็เลยไม่มีวิธีรับมือกับสถานการณ์นั้น แน่นอนว่าต้องแลกกับการสูญเสียชีวิตของนักฟุตบอล แต่ก็นำไปสู่การปฏิวัติครั้งสำคัญในวงการลูกหนัง

เคสแรกๆ ของกรณีหมดสติกลางสนามฟุตบอลแบบที่ไม่มีใครคาดคิด ก็จะนึกถึง มาร์ค-วิเวียน โฟเอ้ อดีตกองกลางทีมชาติแคเมอรูน ที่ลงเล่นฟุตบอลฟีฟ่า คอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ รอบรองชนะเลิศ เมื่อปี 2003

ในแมตช์ดังกล่าว อยู่ดี ๆ โฟเอ้ ก็ล้มลงกลางสนามแบบไปดื้อ ๆ โดยที่ไม่มีใครอยู่รอบข้างตัวเขาเลย ทีมแพทย์เข้ามาปั๊มหัวใจ ก่อนส่งโรงพยาบาล ใช้เวลากู้ชีพอยู่นานประมาณ 45 นาที แต่ไม่เป็นผล เสียชีวิตในที่สุด

จากเหตุการณ์ที่โฟเอ้เสียชีวิตคาสนาม นั่นทำให้สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ตัดสินใจครั้งสำคัญ ยกเครื่องด้านการแพทย์ใหม่ทั้งหมด เพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่มีโอกาสเกิดขึ้นในสนามฟุตบอลได้ตลอดเวลา

ในปี 2012 ก็มีเหตุการณ์ที่ฟาบริซ มูอัมบ้า กองกลางของโบลตัน วันเดอเรอร์ส ล้มลงบนพื้นสนาม ระหว่างเกมเอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ และผู้ชมที่รับชมการถ่ายทอดสด ซึ่งในเคสนี้ ทุกคนที่อยู่ในสนาม ต่างทราบว่า มูอัมบ้าแสดงอาการว่าอาจเป็น SCA ทำให้บรรดาผู้เกี่ยวข้องข้างสนามตัดสินใจตอบสนองในทันที ซึ่งเจ้าตัวเป็นเจ้าชายนิทรานานถึง 78 นาที ก่อนที่จะรอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์

หลังจากเผชิญเหตุการณ์นาทีชีวิตดังกล่าว มูอัมบ้า ตัดสินใจแขวนสตั๊ดทันที หลังจากได้รับคำแนะนำจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ว่า ร่างกายของเขาไม่อาจกลับมาเล่นฟุตบอลในระดับเดิมได้อีกแล้ว

มาถึงกรณีของคริสเตียน อิริคเซ่น ที่ล้มลงหมดสติ ระหว่างช่วยทีมชาติเดนมาร์ก ทำศึกยูโร 2020 นัดแรก ที่พบกับทีมชาติฟินแลนด์ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทำเอาผู้คนทั่วโลกถึงกับช็อก และภาวนาไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้นเหมือนในอดีต

นับเป็นความโชคดีของอิริคเซ่น ที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เนื่องจากเดนมาร์ก ถือเป็นประเทศที่มีพื้นฐานการช่วยชีวิตแบบ CPR ที่ดีที่สุดประเทศหนึ่งของโลก เนื่องจากได้มีการปลูกฝังเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็กเลยทีเดียว

โดยรัฐบาลเดนมาร์ก ได้บรรจุหลักสูตรการทำ CPR ให้กับประชาชนชาวเดนมาร์ก มาตั้งแต่ปี 2005 โดยเริ่มตั้งแต่เด็กระดับประถมศึกษา รวมถึงมีการบรรจุหลักสูตรการทำ CPR ให้กับผู้ที่จะสอบใบขับขี่อีกด้วย

ส่วนกรณีของกุน อเกวโร่ เกิดขึ้นในเกมลาลีกา สเปน ที่บาร์เซโลน่า ต้นสังกัดใหม่ที่ย้ายเข้ามาได้ไม่นาน เปิดบ้านพบกับอลาเบส เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม โดยมีอาการแน่นหน้าอก จนถูกเปลี่ยนตัวออกช่วงท้ายครึ่งแรก

เหตุการณ์ในปี 2003 ที่โฟเอ้จากไปอย่างไม่มีวันกลับนั้น ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สามารถช่วยชีวิตนักฟุตบอล ให้รอดชีวิตจากภาวะ SCA ได้อีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะนักฟุตบอลรุ่นหลัง ๆ ที่ได้รับบทเรียนจากอดีต

สุขภาพและชีวิตอาจต้องมาก่อน

ช่วงเวลาเลวร้ายที่สุดของกุน อเกวโร่ และอิริคเซ่นได้ผ่านไปแล้ว แต่การที่จะเล่นฟุตบอลต่อไปนั้น แน่นอนว่ามีความอันตราย การเลิกเล่นฟุตบอลคือการตัดสินใจที่เจ็บปวด แต่มันคือทางเลือกที่จะรักษาสุขภาพและชีวิตเอาไว้

กรณีของกุน อเกวโร่ ในเบื้องต้นมีการวินิจฉัยว่าต้องพักอย่างน้อย 3 เดือน แต่จากการตรวจเพิ่มเติมในเวลาต่อมา กลับพบว่าร้ายแรงกว่าที่คิด มีความเสี่ยงสูง ซึ่งแพทย์ได้เสนอทางเลือกว่าให้เลิกเล่นฟุตบอลอาชีพทันที

และในที่สุด อดีตดาวเตะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และทีมชาติอาร์เจนติน่า ก็ตัดสินใจประกาศแขวนสตั๊ด ยุติเส้นทางนักเตะในวัย 33 ปี เมื่อวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา

กุน อเกวโร่ แถลงเปิดใจทั้งน้ำตาว่า “ผมตัดสินใจที่จะเลิกเล่นฟุตบอล มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างมาก แต่ผมทำเพื่อสุขภาพของตัวเอง

“ผมอยากบอกทุกคนว่า ผมพยายามทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว ผมมีความฝันในการเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่ตอน 5 ขวบ ผมมีความสุขกับอาชีพของตัวเอง”

“ผมอยากขอบคุณอินเดนเพนเดียนเต้, แอต. มาดริด, แมนฯ ซิตี้ และบาร์เซโลน่า ที่ดูแลผมมาอย่างดี รวมถึงทีมชาติอาร์เจนตินาที่ผมรักที่สุด ขอบคุณทุกคนจริง ๆ”

ส่วนรายของคริสเตียน อิริคเซ่น หลังจากเหตุการณ์สุดช็อกในฟุตบอลยูโร ก็ได้กลับมาลงซ้อมเรียกความฟิตเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 6 เดือน กับโอบี โอเดนเซ่ สโมสรในบ้านเกิดสมัยเป็นนักเตะเยาวชน

หลังจากกุน อเกวโร่ประกาศเลิกเล่นได้เพียง 2 วัน อิริคเซ่นก็ตัดสินใจแยกทางกับอินเตอร์ มิลานเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากขัดกับกฎของฟุตบอลลีกอิตาลี ที่ไม่อนุญาตให้นักเตะที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจลงสนาม

อนาคตของดาวเตะชาวเดนมาร์กวัย 29 ปีนั้น ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะไปเล่นให้กับสโมสรใด ส่วนเรื่องการแขวนสตั๊ดประกาศเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ ก็มีความเป็นไปได้ ถ้าแพทย์ยืนยันว่าคือทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขา

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ คริสเตียน อิริคเซ่น และเซร์คิโอ กุน อเกวโร่ เป็นเครื่องเตือนใจอย่างดีว่า ความแน่นอนของชีวิตคือความไม่แน่นอน ความผิดพลาดคือบทเรียน และสุขภาพคือสิ่งที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด

ปี 2564 ที่กำลังจะจากไปในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ทีมงานเพจ “ไข่มุกดำ” ขออวยพรให้แฟนเพจทุกท่าน มีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ตลอดปีหน้า และตลอดไปครับ

สวัสดีปีใหม่ 2565 & Happy New Year 2022 ครับ

Author : จักรพันธ์ ภู่ทอง

Photo : Goodwordnews

อ้างอิง :

#ไข่มุกดำ

#KMDFeature

#คริสเตียนเอริคเซ่น

#เซร์คิโอกุนอเกวโร่

Categories
Special Content

แบรนด์ ชูสเตอร์ ตำนานขบถลูกหนังยอดอัจฉริยะ

หากจะกล่าวถึงทีมชาติเยอรมันตะวันตก ชุดที่ได้แชมป์ฟุตบอลยูโร เมื่อปี 1980 แล้วจะพบชื่อมิดฟิลด์คนหนึ่งที่สามารถแจ้งเกิดอย่างเต็มตัว ในการลงเล่นทัวร์นาเมนท์ใหญ่เป็นครั้งแรก เขาคนนั้นคือ แบรนด์ ชูสเตอร์

อย่างไรก็ดี ความสำเร็จดังกล่าว คือการสัมผัสกับฟุตบอลรายการใหญ่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ก่อนที่จะเลิกเล่นทีมชาติด้วยอายุที่ยังน้อย อีกทั้งมีประเด็นขัดแย้งกับทุกคนที่ร่วมงาน จนได้รับฉายาว่า “ขบถลูกหนัง” แล้วฉายา “ขบถลูกหนัง” ได้มาอย่างไร ? วันนี้ วันคล้ายวันเกิดของเขา 22 ธ.ค. เพจ “ไข่มุกดำ” จะมาขยายให้ฟังกันครับ

จากบ้านเกิด สู่การแจ้งเกิดกับทีมชาติ

แบรนด์ ชูสเตอร์ เกิดเมื่อ 22 ธันวาคม 1959 ที่เมืองเอาก์สบวร์ก ทางตอนใต้ของเยอรมันตะวันตก เริ่มเข้าสู่การเป็นนักฟุตบอลตั้งแต่อายุ 12 ขวบ กับทีมเยาวชนของฮัมเมอร์ชมิดท์ ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับเอาก์สบวร์ก เมื่ออายุ 16 ปี

ปี 1977 ชูสเตอร์ ถูกเรียกติดทีมชาติเยอรมันตะวันตก ชุดยู-18 และด้วยความที่ฉายแววเก่งเกินอายุ ทำให้ตกเป็นเป้าหมายของบรรดาสโมสรในบุนเดสลีกา และเป็นเอฟซี โคโลญจน์ ที่ได้ตัว “เทพบุตรผมบลอนด์” ไปร่วมทีมในปีถัดมา

ผลงาน 9 ประตู จาก 32 นัด ที่ลงเล่นให้กับโคโลญจน์ในลีกสูงสุด ฤดูกาล 1979/80 ทำให้ชูสเตอร์ได้โอกาสติดทีมอินทรีเหล็กชุดใหญ่ เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ปี 1980 ที่ประเทศอิตาลีเป็นเจ้าภาพ

สำหรับ “ยูโร 1980” นั้น (สมัยนั้น) มี 8 ทีมสุดท้ายเข้าร่วม แบ่งเป็น 2 กลุ่ม แชมป์กลุ่ม เข้าชิงชนะเลิศ ส่วนรองแชมป์กลุ่ม ไปชิงอันดับ 3 ซึ่งเยอรมันตะวันตก ภายใต้การคุมทีมของจุ๊ปป์ แดร์วัลล์ ได้เข้าชิงชนะเลิศ ในฐานะแชมป์กลุ่ม 1

จาก 4 นัด ของเยอรมันตะวันตก ชูสเตอร์ได้ลงสนาม 2 นัด คือนัดที่ชนะเนเธอร์แลนด์ 3 – 2 ในรอบแรก และนัดที่ชนะเบลเยียม 2 – 1 ในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งทัวร์นาเมนท์ที่อิตาลีนี่เอง ถือเป็นการแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวของเขา

นัดที่พบกับอัศวินสีส้ม เคลาส์ อัลลอฟส์ เหมาแฮตทริก ชูสเตอร์ทำ 1 แอสซิสต์ และนัดที่พบกับปิศาจแดงแห่งยุโรป ฮอร์ส ฮรูเบซ ยิงคนเดียว 2 ประตู ชูสเตอร์ก็ทำ 1 แอสซิสต์เช่นกัน พาอินทรีเหล็ก คว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 2 อย่างยิ่งใหญ่

ขบถลูกหนัง ผู้ไม่เคยสัมผัสฟุตบอลโลก

แบรนด์ ชูสเตอร์ กลับมาที่โคโลญจน์ในฐานะฮีโร่ของชาติ แต่การกลับมาครั้งนี้ เจ้าตัวไม่มีความสุขเหมือนเมื่อก่อน เนื่องจากภรรยาของเขาถูกคุกคามอย่างหนัก อีกทั้งไม่ลงรอยกับคาร์ล-ไฮนซ์ เฮเดอร์กอตต์ เทรนเนอร์คนใหม่ของ “แพะบ้า” อีกด้วย

ชูสเตอร์จึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า จะขอย้ายออกจากโคโลญจน์ และเป็นบาร์เซโลน่า ยักษ์ใหญ่แห่งลาลีกา สเปน ที่คว้าตัวไปร่วมทีม ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว ถือเป็นการเปิดตำนาน “ขบถลูกหนัง” ในชีวิตของเขา

หลังจากจบซีซั่น 1980/81 ซีซั่นแรกของชูสเตอร์ในสีเสื้อบาร์ซ่า จุ๊ปป์ แดร์วัลล์ กุนซือทีมชาติเยอรมัน ประกาศเรียกตัวพอล ไบรท์เนอร์ นักเตะตัวเก๋า กลับคืนทีมชาติอีกครั้ง เพื่อเตรียมทีมลงเล่นเวิลด์ คัพ 1982 รอบคัดเลือก

นั่นทำให้ชูสเตอร์มีปัญหาขัดแย้งกับไบรท์เนอร์ รวมถึงคาร์ล ไฮนซ์ รุมมินิกเก้ เนื่องจากมองว่าทั้งคู่จะเข้ามามีอิทธิพลภายในทีม แดร์วัลล์ไม่มีทางเลือก จึงตัดชื่อชูสเตอร์ออกจากทีมในนัดที่จะพบกับฟินแลนด์ทันที

จากปัญหาความขัดแย้งดังกล่าว ทำให้เฮอร์มันน์ นอยแบร์เกอร์ ประธานสหพันธ์ฟุตบอลเยอรมัน (เดแอฟเบ) ในขณะนั้น ได้พยายามเป็นกาวใจ ประสานรอยร้าวระหว่างชูสเตอร์ และคู่กรณีทุกฝ่าย แต่ก็ไม่เป็นผล

กระทั่งในเดือนธันวาคม ปี 1981 ชูสเตอร์ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจากการลงเล่นให้กับบาร์เซโลน่า หลังถูกอันโดนี่ กอยโกเชีย แข้งจอมโหดในตำนานของแอธเลติก บิลเบา เสียบสกัดรุนแรง พักยาวจนจบฤดูกาล

ถึงแม้ว่าชูสเตอร์จะหายจากอาการบาดเจ็บทันเวลา และมีโอกาสติดทีมไปลุยฟุตบอลโลกที่สเปน แต่โค้ชและเพื่อนร่วมทีมชาติเยอรมันบอกว่า ไม่จำเป็นต้องมีเขาก็สามารถคว้าแชมป์ได้ แต่ท้ายที่สุดเยอรมันก็แพ้อิตาลีในนัดชิงชนะเลิศ

นัดสุดท้ายของชูสเตอร์กับทีมชาติ เกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1984 ในเกมอุ่นเครื่องที่พบกับเบลเยียม และเจ้าตัวปฏิเสธช่วยทีมชาติในยูโร 1984 รอบสุดท้ายที่ฝรั่งเศส ซึ่งเยอรมันที่ปราศจากตัวเขา ก็ตกรอบแรกในฐานะแชมป์เก่า

หลังจากความล้มเหลวในยูโร 1984 ฟรานซ์ เบคเคนเบาวร์ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นเทรนเนอร์ของเยอรมันคนใหม่ เพื่อเตรียมสู้ศึกเวิลด์ คัพ 1986 แต่ “ไกเซอร์ฟรานซ์” ประกาศอย่างชัดเจนว่า จะไม่เรียกตัวชูสเตอร์มาติดทีมชาติอีกต่อไป

นั่นเท่ากับว่า ชูสเตอร์ ต้องยุติการรับใช้ทีมชาติในวัยเพียงแค่ 24 ปีเท่านั้น ทั้งๆ ที่เป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดของประเทศในยุคนั้น และเข้าทำเนียบนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ของวงการลูกหนัง ที่ไม่เคยลงเล่นฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย

ส่วนทีมอินทรีเหล็ก ที่ไร้เงาชูสเตอร์ ก็เข้าชิงชนะเลิศ 3 ครั้งติดต่อกันในรอบ 8 ปี ถึงแม้ว่าจะสุขสมหวัง ได้แชมป์เพียงแค่ครั้งเดียวในปี 1990 ที่อิตาลี แต่ก็ทำให้แฟนบอลเยอรมัน ลืมชื่อของเทพบุตรผมบลอนด์จอมขบถไปได้เลย

แข้งยอดอัจฉริยะ ผู้ก้าวข้ามความเกลียดชัง

แบรนด์ ชูสเตอร์ ค้าแข้งให้กับบาร์เซโลน่า 8 ปี คว้าแชมป์ 6 โทรฟี่ แต่เหตุการณ์หลังจากนั้น คือสิ่งที่ตอกย้ำในความเป็นขบถลูกหนังของเขา นั่นคือการย้ายไปค้าแข้งกับสโมสรที่เป็นคู่ปรับสำคัญทั้งในสเปน และเยอรมัน

หลังจากจบฤดูกาล 1987/88 ชูสเตอร์สร้างความประหลาดใจ ด้วยการย้ายไปเล่นให้เรอัล มาดริด ทีมคู่อริตลอดกาลชนิดที่ไม่มีใครคาดคิด ซึ่งภายหลังมีการเปิดเผยว่า เขามีเรื่องทะเลาะตั้งแต่เพื่อนร่วมทีม จนถึงประธานสโมสร

ทั้ง ๆ ที่มีหลายสโมสรให้ความสนใจคว้าตัวไปร่วมทีม แต่สาเหตุที่เจ้าตัวเลือกเรอัล มาดริด เพราะไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิตในเมืองบาร์เซโลน่าที่มีแต่ปัญหามากมาย แต่ก็ไม่ต้องการให้ครอบครัวของเขาย้ายออกจากที่นั่น

2 ฤดูกาลกับ “ราชันชุดขาว” คว้าแชมป์ลาลีกา 2 สมัยซ้อน ทว่าหลังจากจบฤดูกาล 1989/90 เจ้าตัวมีปัญหากับประธานสโมสร จึงตัดสินใจยกเลิกสัญญา และย้ายไปอยู่กับทีมคู่ปรับร่วมเมืองอย่างแอตเลติโก้ มาดริด

3 ซีซั่นกับแอต. มาดริด คว้าแชมป์โคปา เดล เรย์ 2 สมัยซ้อน ส่วนในซีซั่นสุดท้าย เขาพลาดการลงสนามไปนานหลายเดือน เนื่องจากอาการบาดเจ็บ แต่มีข่าวว่าชูสเตอร์ปฏิเสธการรักษาตามที่แพทย์แนะนำ ขอรักษาโดยวิธีธรรมชาติแทน

นั่นทำให้แอต. มาดริด ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ที่ชูสเตอร์สร้างประเด็นขัดแย้งขึ้นมา นั่นทำให้สโมสรไม่มีทางเลือก ดร็อปเขาเป็นตัวสำรอง และเมื่อจบฤดูกาล ชูสเตอร์ต้องอำลา “ตราหมี” และพาครอบครัวกลับเยอรมันทันที

ชูสเตอร์ เป็นเพียง 1 ใน 2 นักเตะในประวัติศาสตร์ของลีกสเปน ที่ลงเล่นกับ 3 สโมสรยักษ์ใหญ่ของประเทศ อีกคนหนึ่งคือมิเกล โซแลร์ ที่นอกจากค้าแข้งกับบิ๊ก 3 ลาลีกาแล้ว ยังเคยเล่นให้กับเอสปันญ่อลอีกด้วย

หลังจากใช้ชีวิตในลาลีกานานถึง 13 ปี ชูสเตอร์ก็กลับสู่บุนเดสลีกาอีกครั้ง กับไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ซึ่งก็เป็นทีมคู่ปรับในแถบไรน์ลันด์ (Rheinland) กับเอฟซี โคโลญจน์ สโมสรแรกของเขาในฐานะนักเตะอาชีพ

อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวก็ยังคงมีนิสัยหัวแข็งเช่นเดิม มีเรื่องขัดแย้งกับเอริค ริบเบ็ค เทรนเนอร์ของเลเวอร์คูเซ่นในเวลานั้น ก่อนที่ในปี 1996 ก็ย้ายไปค้าแข้งกับพูมาส ในเม็กซิโก แต่เล่นได้แค่ 9 นัด ก็ประกาศแขวนสตั๊ดในที่สุด

หลังจากเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ ชูสเตอร์ก็ผันตัวไปเป็นโค้ชให้กับหลายสโมสร รวมถึงโคโลญจน์ และเรอัล มาดริด ทีมเก่าสมัยเป็นนักเตะ แต่อายุงานในทุกทีมที่คุมนั้น เป็นช่วงสั้นๆ แค่ 1 – 2 ปีเท่านั้น ก่อนจะรีไทร์อาชีพโค้ชในปี 2019

นักฟุตบอลระดับซูเปอร์สตาร์บางคน มักจะมีความเป็นตัวของตัวเองสูง สร้างวีรกรรมความขัดแย้งไว้หลายครั้ง จนเกิดเรื่องวุ่นวาย แต่ด้วยพรสวรรค์ที่แสดงให้เห็นในสนาม ก็นับว่าเป็นสีสันอย่างหนึ่งที่โลกลูกหนังเคยมีมา

Author : จักรพันธ์ ภู่ทอง
ผู้สนับสนุนเนื้อหา: LaLiga

🙏อ้างอิง :
 http://soccernostalgia.blogspot.com/…/one-upon-time…
– http://www.midfielddynamo.com/players/profiles/schuster.htm

#ไข่มุกดำ

#แบรนด์ชูสเตอร์

#KMDLaLiga

Categories
Football Tactics

ทุกมิติกับบทบาทของกองหน้า “False 9”

ก่อนจะพักเบรกทีมชาติ “ฟีฟ่าเดย์” รอบนี้ มีคำพูดหนึ่งที่ยังก้องติดหูผมอยู่ก็คือ เควิน เดอ บรอย พูดเกี่ยวกับเกมบุกชนะ 2-0 ของแมนฯซิตี้เหนือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในโอลด์ แทรฟฟอร์ด ทำนองว่า เป๊ป กวาร์ดิโลนา ไม่แน่ใจทีมปิศาจแดงจะมาไม้ไหน เล่นแบบใด ก็เลยไม่ได้เตรียมการอะไรพิเศษในการรับมือ

แต่ผมก็เชื่อว่า ลึก ๆ ในการเปลี่ยนไป เปลี่ยนมาของ โอเล กุนนาร์ โซลชา มันไม่ได้มีอะไรใหม่ หรือเกินความคาดหมาย แต่มันแค่ ไม่มีอะไรแน่นอนเท่านั้นเองในรูปแบบการเล่นไม่กี่แบบ และยิ่งน้อยรูปแบบเข้าไปอีกหากจะมองว่า รูปแบบไหนทำงานได้เวิร์กกับทีมชุดนี้

สุดท้าย แมนฯยูฯ ใช้ระบบ “แบ็คทรี” เหมือนที่ชนะสเปอร์ส แต่ต่างตรงไม่มี ราฟาเอล วาราน ซึ่งเป็น “คาแรกเตอร์” สำคัญที่สุดของผู้เล่นตำแหน่งนี้ เนื่องจากอ่านเกมดี (ทำให้ตัดสินใจได้ดี) มีความเร็ว และออกบอลด้วยเท้าได้

แมนฯซิตี้ ปรับทั้ง “หน้างาน” และก่อนเกมหลังทราบแผนการนี้ได้ดีมากด้วยการใช้บริการแท็คติกส์ False 9 แบร์นาโด ซิลวา ขนาบด้วย ฟิล โฟเดน และกาเบรียล เฆซุส

ประเด็น คือ โซลชา ใช้เซนเตอร์ฮาล์ฟ 3 คน: บาญี่-ลินเดอเลิฟ-แม็คไกวร์ เรียงจากขวาไปซ้าย แต่ปรากฎว่า ทั้ง 3 หน่อไม่มีกองหน้าให้ประกบเนื่องจาก ซิลวา ไม่ได้ยืนแบบ “Lone Striker” หรือกองหน้าตัวเป้า ขณะที่โฟเดน และเฆซุส ก็ไม่ได้หุบในเข้ามาหาพื้น Half Space ที่ควบคุมโดย บาญี่ และแม็คไกวร์

มันจึงไม่ต่างอะไรกับการที่ทีมปิศาจแดง “พ่ายแพ้” ตั้งแต่ยังไม่เตะด้วยแท็คติกส์ 3 เซนเตอร์ฯเสียฟรี ไม่มีตัวประกบ หรือไม่ได้ถูกวางแผนมาว่า จะยอมเสียใครสัก 1 ใน 3 เซนเตอร์ฯเพื่อตาม ซิลวา

ขณะที่วิงก์แบ็ค ฟาน บิสซากา และชอว์ ที่ควรจะต้องเติมก็โดนขึงไว้โดยโฟเดน กับเฆซุส

ดังนั้นแดนกลาง 3 คน: แฟร์นันเดซ-แม็คโทฯ-เฟรด จึงโดนรุมกระจายสิครับโดยอย่างน้อย 3 มิดฟิลด์ซิตี้พ่วงด้วย แบ็คหุบใน (Inverted Full Back) ทั้งกานเซโล กับวอล์คเกอร์

รวมแล้ว ทุกพื้นที่ในแดนปิศาจแดงถูก overload โดยนักเตะแมนฯซิตี้ทุกหย่อมหญ้า

สุดท้ายทันทีในครึ่งหลัง เจดอน ซานโช ก็ต้องลงมาแทน เอริค บาญี่ และทัพปิศาจแดงปรับเป็น “แบ็คโฟร์” อันแสดงให้เห็นว่า สูตรที่ใช้ได้ดีกับสเปอร์ส ใช้อะไรไม่ได้เลยกับแมนฯซิตี้

ด้วยเพราะ “บทบาท” หรือ job description ของนักเตะกองหน้า False 9 ที่จะเล่นบนพื้นที่ระหว่าง “ไลน์รับ” (ในที่นี้ คือ “แบ็คทรี” แมนฯยูฯ กับ 2 ฟูลแบ็คที่โดนกดจนกลายเป็น “แบ็คไฟว์”) กับ “ไลน์มิดฟิลด์” อันเป็นอาณาเขตต้องห้ามกว้างประมาณ 8-10 หลาทำให้มิดฟิลด์ไม่กล้าทิ้งพื้นที่ตัวเองลงไปประกบ ขณะที่เซนเตอร์ฯ ก็ไม่กล้าหนีตำแหน่งทำให้ไลน์รับยืนเพี้ยนจากเพื่อนเช่นกันไม่ว่าจะแบ็คโฟร์ หรือแบ็คทรี

แบร์นาโด ซิลวา ได้แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ครับเกมนี้จากหลายสำนัก

ทีนี้ ผมได้ให้ทีมเรียบเรียงบทบาทเรื่อง False 9 ที่มีการแปลเป็นไทยไว้บ้างว่า “กองหน้าตัวหลอก” แต่ผมไม่ชินนักจาก coachesvoice และโค้ชน้อย อนันต์ อมรเกียรติ เอาไว้มาฝากกันพอสังเขป เป็นอีกหนึ่งคอนเทนท์ Football Tactics จากทางเพจนะครับ ลองไปติดตามกันครับ

อะไรคือ False 9

False 9 คือ กองหน้าตัวกลางที่เคลื่อนตัวต่ำลงเพื่อเข้าหาบอลจากตำแหน่งที่อยู่สูงกว่าในแดนบน (แนวรุก) และเป็นการเคลื่อนตัวลงต่ำเพื่อรับบอลตรงกลางแบบนี้บ่อยครั้ง โดยจุดประสงค์หลักของการเคลื่อนตัว คือ การหนีเซนเตอร์แบ็คเข้ารับบอลในพื้นที่ว่างระหว่างไลน์ และในการทำเช่นนั้น ก็เพื่อดึงผู้เล่นฝั่งตรงข้ามอาจจะเซนเตอร์แบ็ค หรือมิดฟิลด์ออกจากตำแหน่ง และปั่นป่วนการเล่นเกมรับของคู่ต่อสู้ รวมถึงสร้างประโยชน์ให้ทีมตัวเองจากการกระทำนั้น

คำว่า False 9 มาจากไหน?

เชื่อกันว่าตำแหน่ง False 9 ถูกใช้ครั้งแรกโดยสโมสรโครินเธียนส์ (ไม่ใช่สโมสรบราซิลนะครับ แต่เป็นทีมสมัครเล่นที่โด่งดังที่สุดในยุคนั้นของเกาะอังกฤษ) ในช่วงปลายทศวรรษ 1890 ตอนนั้น จีโอ สมิธ กองหน้าตัวเป้า (ชาวอังกฤษ) มักจะออกบอลทะลุให้ปีก และช่วยสร้างโอกาสให้ปีก หรือตัวริมเส้นมีบทบาทเข้าทำมากขึ้น นั่นจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมการเล่นของกองหน้าจากการยืนในตำแหน่งที่สูงที่สุดไว้ก่อนเป็นมีบทบาทช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมในแนวรุกมากขึ้น

ตัวอย่างเพิ่มเติม ได้แก่ ริเวอร์เพลท ในทศวรรษ 1920 ซึ่งกองหน้าตัวเป้าทำหน้าที่เป็น “ผู้ควบคุมเกม” ในแดนหน้า 5 คนในขณะนั้น ในช่วงทศวรรษที่ 1930s มัตธิอัส ซินเดอลาร์ ถูกใช้เป็นศูนย์หน้าที่ “ดร็อปตัวเอง” ลงต่ำในทีมชาติออสเตรีย ต่อมา นันเดอร์ ไฮเด็กกูติ และ ปีเตอร์ ปาโทลาส ถูกใช้ในลักษณะเดียวกันกับทีมฮังการีที่มีชื่อเสียงในช่วงทศวรรษ 1950s

อย่างไรก็ตาม ‘ฟอลต์ ไนน์’ เป็นคำที่ใช้ในยุคปัจจุบันเท่านั้น แนวความคิดคือกองหน้าอาจมีหมายเลข 9 อยู่บนหลังเสื้อก็จริง แต่กลับย้ายตัวเองไปเล่นอยู่ในตำแหน่งเหมือนไม่มีกองหน้าที่แท้จริงอยู่ตรงนั้น นั่นคือพื้นที่ที่มักจะไม่พบหมายเลข 9 (พื้นที่ระหว่างไลน์)

ความรับผิดชอบในการเล่น ‘ฟอลต์ ไนน์’ คืออะไร?

ความรับผิดชอบที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับ False 9 คือ การเคลื่อนตัวออกจากเซ็นเตอร์แบ็คฝั่งตรงข้ามเพื่อรับบอลระหว่างแนวรับ กับมิดฟิลด์ ทั้งในช่วงที่ครองบอลต่อเนื่อง หรือระหว่างทีมครอบครองเกม หรือเป็นตัวเชื่อมไปยังกองหน้าระหว่างการโต้กลับ (Transition จากไม่มีบอล หรือรับ เป็นรุก) การเคลื่อนที่ไปสู่ตำแหน่งที่ต่ำกว่านั้นอาจทำให้กองหลังของฝ่ายตรงข้ามมีปัญหาว่าจะตามไปประกบ หรือปล่อยให้พวกเขาอยู่ในช่องว่างนั้นต่อไป ดังนั้น หากผู้เล่นในตำแหน่ง False 9 ทำเกมได้ในจังหวะที่ถูกต้องก็อาจทำให้เกิดความหายนะในเกมรับฝั่งตรงข้ามได้ เพราะเขามักจะฟรีจากการโดนประกบนั่นเอง

False 9 ระดับท็อป จำเป็นต้องมีความตื่นตัวเป็นพิเศษ และมีความสามารถในการสแกนพื้นที่ว่างระหว่างไลน์ หรืออาจจะ pocket (พื้นที่ระหว่างผู้เล่นด้วยกัน) ในสนาม ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะรู้ว่าต้องสัมผัสบอลครั้งแรกที่ไหนเพื่อหลีกเลี่ยงการโดนเพรสซิ่งจากฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากด้านหลัง สิ่งนี้จะช่วยให้พวกเขาย้ายเข้าไปอยู่ในพื้นที่ว่างได้อย่างสะดวกสบายเพื่อเชื่อมต่อบอลทำเกมกับเพื่อนร่วมทีมได้สะดวกโยธิน• นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ ผู้เล่น False 9 ที่จะทำงานได้หลากหลาย และมีทักษะในการครองบอล เช่น การเลี้ยงเปลี่ยนทิศทาง หลอกล่ออย่างรวดเร็ว ทักษะการไปกับบอลที่ยอดเยี่ยม และต้องมีทักษะการจบสกอร์ด้วย

False 9 นั้นแตกต่างจากศูนย์หน้าจริง ๆ แบบดั้งเดิมในเวลาที่ทีมครอบครองบอล แต่ขณะไม่มีบอล หรือเล่นเกมรับ False 9 และศูนย์หน้าแบบดั้งเดิมนั้นทำหน้าที่คล้ายกัน

ยามรับ คือการต้อง เคาน์เตอร์ เพรสซิ่ง หรือกดดันเพื่อแย่งชิงบอลกลับมาด้วยการเสมือนเพิ่มจำนวนผู้เล่นมิดฟิลด์เพื่อ overload ให้ทีมมีประสิทธิภาพในการเพรสซิ่งดีขึ้น และช่วยบีบให้ฝ่ายตรงข้ามเล่นบอลได้เฉพาะด้านกว้าง

หรือต้องเป็นฝ่ายตั้งรับค่อนข้างเยอะ False 9 (เช่น เลอันโดร ทรอสซาร์ด ในเกมกับไบร์ทตัน กับลิเวอร์พูล) ยังสามารถช่วยสกรีนไม่ให้บอลจ่ายไปถึงมิดฟิลด์ หรือคอยทำหน้ากดดันเซนเตอร์แบ็คที่จะออกบอลแรก ได้ด้วย

ใครคือตัวอย่าง False 9 ที่ดีที่สุดบ้าง?

ลิโอเนล เมสซี

ลิโอเนล เมสซี ถูกใช้อย่างโด่งดังในฐานะ False 9 สมัยการคุมบาร์เซโลนาของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เนื่องมาจากความสามารถของเขาในการรับ-จ่ายบอล ระหว่างพื้นที่แดนกลาง และแดนหลังฝั่งตรงข้าม เขาสามารถพลิกตัว และแทงทะลุ รวมถึงการไปกับบอลด้วยการเลี้ยงบอลอันยอดเยี่ยม เมสซีเก่งฉกาจในการรับบอลแบบ ฮาล์ฟเทิร์น นั่นทำให้เขาสามารถสร้างตัวตนในพื้นที่ด้วยการถอยตัวเองลงมาต่ำแล้วพลิก และสามารถพาบอลจี้ไปที่เซ็นเตอร์แบ็คได้ อีกทางหนึ่ง ถ้าเขาถูกตามด้วย 1 ในเซ็นเตอร์แบ็ค เขาก็เลี้ยงบอลหนีความกดดัน และมองหาปีกซึ่งมักจะอยู่ในแนวหน้าที่ขึ้นไปทดแทนตำแหน่งหมายเลข 9 ที่ว่างลงไปได้ ปีกเหล่านี้ออกสตาร์ทในตำแหน่งริมเส้นเสมอ ก่อนจะวิ่งเข้าไปในพื้นที่ว่างระหว่างกองหลังเพื่อทำเกมบุก

เชส ฟาเบรกาส

เชส ฟาเบรกาส ได้ถูกใช้เป็น False 9 กับบาร์เซโลนาภายใต้การคุมทีมของ ตาตา มาร์ติโน และในทีมสเปน ชุดคว้าแชมป์ ยูโร 2012 ภายใต้ บิเซนเต เดล บอสเก โดยฟาเบรกาสถูกใช้เป็นส่วนใหญ่ เพราะความสามารถในการเล่นบอลภายใต้ความกดดันในพื้นที่ระหว่างไลน์ อีกทั้งตำแหน่งของฟาเบรกาสยังทำให้กองกลางฝ่ายตรงข้ามมักจะตามมาประกบ หรือพยายามสกัดกั้นการจ่ายบอลให้เขาจนเกิดช่องว่างให้เพื่อนร่วมทีมอย่าง เซร์คิโอ บุสเกสต์, ชาบี เอร์นานเดซ และ อันเดรียส อิเนียสตา – ทั้งในระดับสโมสร และประเทศ – เล่นได้ง่ายขึ้น คอนโทรลเกมได้เนียนขึ้น โดยเฉพาะการเจาะเข้าแดนสุดท้ายคู่แข่ง

คาริม เบนเซมา

คาริม เบนเซมา ได้แสดงให้เห็นคุณลักษณะของ ฟอลต์ ไนน์ ในบางครั้งตลอดอาชีพค้าแข้งของเขาที่เรอัล มาดริด แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การคุมทีมของ ซีเนอดีน ซีดาน การดร็อปตัวไปยังตำแหน่งด้านข้าง เปิดโอกาสให้นักเตะอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด หรือแกเร็ธ เบล ได้พุ่งไปรับบอลบนในพื้นที่ที่สูงกว่าเพื่อเข้าทำได้อย่างตื่นตาตื่นใจบ่อยครั้ง

ใครอีกบ้างที่เป็นตัวอย่างของ False 9?

แฮร์รี เคน ภายใต้การคุมทีมของ โชเซ มูรินโญ่ แห่ง ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ และภายใต้ แกเร็ธ เซาธ์เกต แห่งทีมชาติอังกฤษ

โรแบร์โต ฟีร์มิโน ที่เล่นให้ ลิเวอร์พูล ภายใต้ เจอร์เกน คล็อปป์

ฟรานเชสโก ต็อตติ เล่นให้กับ อาแอส โรมา ภายใต้การคุมทีมของ ลูเซียโน สปัลเล็ตติ

คาร์ลอส เตเบซ เล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

ไมเคิล เลาดรูป ภายใต้การทำทีมของ โยฮันน์ ครอยฟ์ ที่บาร์เซโลนา

โยฮันน์ ครอยฟ์ ภายใต้การทำทีมของ ไรนุส มิเชล ที่ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม

ราฮีม สเตอร์ลิง, แฟร์รัน ตอร์เรส, แบร์นาร์โด ซิลวา, เควิน เดอ บรอยน์ และ อิลกาย กุนโดกัน ฯลฯ ล้วนเล่นบทบาทนี้ให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้ เป๊ป กวาร์ดิโอลา

ประโยชน์ของการเล่น False 9 คืออะไร?

การดร็อปตัวลงของ False 9 จะช่วยสร้างพื้นที่ในแนวรับฝ่ายตรงข้ามให้เกิดขึ้น เพราะหากเซนเตอร์ฮาล์ฟตามมาเพรส พื้นที่ก็จะเกิดขึ้นด้านหลังให้เพื่อนร่วมทีมของเรา โดยปกติแล้วก็จะเป็นกองหน้าริมเส้น หรือมิดฟิลด์ตัวรุก ที่จะวิ่งพุ่งเข้าไป

หรือถ้าฟูลแบ็คหุบเข้ามา เพราะเซนเตอร์ฯ ตาม False 9 ไป พื้นด้านข้างก็จะว่างให้มิดฟิลด์ หรือกองหน้าตัวริมเส้นได้เล่นโดยง่าย

หรือหากไม่มีใครตามมา กองหน้า False 9 ก็จะจับบอล ครองบอล และเล่นกับบอลได้โดยง่ายในพื้นที่ระหว่างไลน์นั้น

หรือมิดฟิลด์ดร็อปตัวลงไปช่วยประกบ False 9 ผู้เล่นมิดฟิลด์ของเราก็จะเข้าไปครอบครองแดนกลางฝ่ายตรงข้ามได้ รวมความแล้ว หากมีนักเตะที่เข้าอกเข้าใจในหน้าที่นี้ False 9 จะมีคุณประโยชน์ในหลากหลายมิติการเล่นที่ยากจะป้องกัน

อะไรคือข้อเสียในการเล่น ฟอลต์ ไนน์?

การเล่น False 9 จำเป็นต้องมีกองหน้าคนทำหน้าที่นี้ที่ครองบอลได้อย่างดีเยี่ยม และไปกับบอลได้ดีภายใต้ความกดดันระหว่างพื้นที่แนวรับ และแนวมิดฟิลด์คู่แข่ง หากปราศจาก (ความเข้าใจ และความสามารถ) นั้น False 9 ก็จะไร้ประโยชน์ นอกจากนี้ การมี False 9 หมายความว่าจะไม่มีการโจมตีหลังไลน์รับของฝ่ายตรงข้ามทันทีจากตรงกลาง ดังนั้น กองหลังฝั่งตรงข้ามอาจจะมีความกดดันที่ลดลง

นอกจากนี้การดร็อปตัวของ False 9 ยังอาจทำให้ เชนเตอร์แบค ฝั่งตรงข้ามมีงานที่เบาลงตามไปด้วย เพราะบอลครอสส์จากด้านข้างเข้าตรงกลางจะไม่มีหน้าเป้าเข้าทำโดยตรง (เช่น เฟียร์มิโน ดังนั้นจึงต้องชมเชยว่า โชตา แก้ปัญหานี้ได้ดี)

และหากฝ่ายตรงข้ามตั้งกองหลังไว้สามคน พวกเขามักจะสามารถจัดการพื้นที่ตรงกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อเผชิญหน้ากับ False 9 เพราะกองหลังคนใดคนหนึ่งจะตามไปประกบได้โดยทิ้งอีก 2 คนไว้แบบไม่เสียหาย (ยกเว้น เคส แมนฯยูไนเต็ด 0 – 2 แมนฯซิตี้ ที่ผ่านมา!!!)

เรียบเรียง: ณัฐวุฒิ ประเทืองศิลป์ และสมศักดิ์ จันทวิชชประภา

ข้อมูล: อนันต์ อมรเกียรติ และ Coachesvoice