Categories
Special Content

จากเด็กติดพ่อที่หายใจเป็นฟุตบอล สู่ฉายา “เดอะ เน็กซ์ ปุสกัส” ของโซบอสไล

โดมินิก โซบอสไล (Dominik Szoboszlai) เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่คนที่ 2 ของลิเวอร์พูลในตลาดซัมเมอร์ปี 2023 ด้วยค่าตัว 60 ล้านปอนด์ แพงเป็นอันดับ 4 ในประวัติศาสตร์สโมสร รองจากดาร์วิน นูนเญซ 85.36 ล้านปอนด์, เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค 75 ล้านปอนด์ และอลิสซง เบคเกอร์ 65 ล้านปอนด์

แม้อายุเพิ่ง 22 ปี แต่โซบอสไลมีดีกรีเป็นถึงกัปตันทีมชาติฮังการีโดยสวมปลอกแขน C นัดแรกกลางเดือนพฤศจิกายน 2022 เป็นแมตช์อุ่นเครื่องเสมอลักเซมเบิร์ก 2-2 และก่อนบอลยูโร 2024 รอบคัดเลือกในเดือนกันยายน 2023 โซบอสไลเล่นให้ทีมชาติ 32 นัด ทำ 7 ประตู 

ลิเวอร์พูลยังได้มอบเสื้อเบอร์ 8 ให้กับโซบอสไล ซึ่งเป็นหมายเลขที่ตำนานนักเตะ สตีเวน เจอร์ราร์ด ครอบครองยาวนานตั้งแต่ปี 2004 ถึง 2015 ก่อนว่างเว้น 3 ปี และถูกส่งต่อให้ นาบี กิเอตา ในปี 2018 จนกระทั่งมิดฟิลด์ทีมชาติกินีออกจากทีมเมื่อหมดสัญญากับสโมสรกลางปี 2023 นอกจากนี้ “สตีวี จี” ยังเป็น 1 ใน 2 นักเตะไอดอลวัยเด็กของโซบอสไล อีกคนคือ คริสเตียโน โรนัลโด

เจสซี มาร์ช อดีตผู้จัดการทีมลีดส์ ยูไนเต็ด ซึ่งเคยเป็นนายใหญ่ของโซบอสไลที่เรด บูลล์ ซัลซ์บวร์ก เคยเปรียบเปรยอดีตลูกทีมชาวฮังกาเรียนว่า “โมเดิร์น-เดย์ เดวิด เบคแฮม” เพราะยามใดที่บอลอยู่เท้าขวา โซบอสไลสามารถส่งไปที่ไหนก็ได้ตามใจปรารถนา ด้วยความแม่นยำและความเร็วที่เหลือเชื่อ ส่วนสาเหตุที่เลือกใช้คำว่า “สมัยใหม่” เนื่องจากโซบอสไลเคลื่อนที่มากกว่าและคล่องตัวมากกว่าเมื่อเทียบกับการเล่นฟุตบอลครั้งอดีต

มาร์ชยังเล่าด้วยว่า ช่วงพักผ่อนกับครอบครัวที่กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี เขาเห็นใบหน้าโซบอสไลปรากฏอยู่ทุกหนแห่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโซบอสไลดังขนาดไหนในบ้านเกิด ว่ากันว่าโซบอสไลเป็นความหวังและความภูมิใจของชาวฮังกาเรียนจนได้รับสมญานามว่า “เดอะ เน็กซ์ ปุสกัส” ซึ่งหมายถึง เฟเรนซ์ ปุสกัส ตำนานนักเตะผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำ 83 ประตูจากการติดทีมชาติฮังการี 84 นัด

โซบอสไลถือว่าเติบโตบนถนนลูกหนังอาชีพอย่างรวดเร็ว ลงเตะให้ทีมชาติฮังการีชุดใหญ่นัดแรกตอนอายุ 19 ปี หลังจากเคยถูกเรียกตัวร่วมฝึกซ้อมตั้งแต่อายุเพียง 17 ปี ส่วนระดับเยาวชน เขาเล่นให้ 10 นัดให้ทีมชาติ ยู-17, 5 นัดให้ทีมชาติ ยู-19 และ 8 นัดให้ทีมชาติ ยู-21

ขอบคุณภาพจาก  https://www.hungarianconservative.com/articles/opinion/dominik_szoboszlai_country_image_nonpolitics_historical_success/

เกียรติประวัติระดับสโมสร ที่เรด บูลล์ ซัลซ์บวร์ก ครองแชมป์ ออสเตรียน บุนเดสลีกา 4 สมัยติดต่อกันในซีซัน 2017–18, 2018–19, 2019–20, 2020–21 ครองแชมป์ออสเตรียน คัพ 3 สมัยติดต่อกันในซีซัน 2018–19, 2019–20, 2020–21 และที่แอร์เบ ไลป์ซิก ชนะเลิศเดเอฟเบ โพคาล 2 สมัยติดต่อกันในซีซัน 2021–22, 2022–23

เริ่มออกผจญภัยในโลกฟุตบอลอันกว้างใหญ่ในวัย 16 ปี

ด้วยวัย 22 ปี โซบอสไลถือว่ามีฝีเท้าทักษะความสามารถเหนือมาตรฐานเฉลี่ยของนักเตะอายุใกล้เคียงกัน เล่นได้หลายตำแหน่งทั้ง บ็อกซ์-ทู-บ็อกซ์ มิดฟิลด์, มิดฟิลด์ตัวขวา และมิดฟิลด์ตัวรุก ซึ่งเกิดจากการเรียนรู้และสะสมประสบการณ์กีฬาลูกหนังตั้งแต่อายุยังน้อยร่วมกับ ซอลซ์ โซบอสไล คุณพ่อของเขาที่เคยเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เรื่องราวของ 2 พ่อลูกโซบอสไลมีแง่มุมที่น่าสนใจไม่น้อย แต่ก่อนที่จะเข้าสู่เรื่องราวของซอลซ์และโดมินิก ขอใช้เนื้อที่ช่วงต้นบทความนี้ไปกับประวัติโดยย่อของโซบอสไลผู้ลูกกันก่อน

โดมินิก โซบอสไล เกิดวันที่ 25 ตุลาคม 2000 ที่เมืองซีแกชแฟแฮร์วาร์ (Székesfehérvár) ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงบูดาเปสต์ เมืองหลวงของฮังการี ลงไปทางใต้ประมาณ 40 ไมล์ ชีวิตนักฟุตบอลเติบโตผ่านระบบเยาวชนของ วิดีโอตัน (2006–2007), โฟนิกซ์ โกลด์ (2007-2015), เอ็มทีเค บูดาเปสต์ (2015-2016) และ ลีฟแฟร์ริง (2016-2017) ซึ่งเป็นทีมสำรองของ เรด บูลล์ ซัลซ์บวร์ก ในดิวิชัน 2 ประเทศออสเตรีย 

โซบอสไลได้เลื่อนขึ้นไปร่วมทีมชุดใหญ่ของ ลีฟแฟร์ริง ซึ่งแข่งขันอยู่ในลีกา 2 ประเทศออสเตรีย ซีซัน 2017-18 ประเดิมลงสนามในเดือนกรกฎาคม 2017 และจบซีซันด้วยสถิติ 33 นัด 10 ประตู แต่ปลายซีซัน มิดฟิลด์ดาวรุ่งได้รับโอกาสจากซัลซ์บวร์ ลงสัมผัสเกมออสเตรียน บุนเดสลีกา 1 นัด ถูกเปลี่ยนลงไปนาทีที่ 57 ของแมตช์กับออสเตรียน เวียนนา วันที่ 27พฤษภาคม 2018

ซีซัน 2018-19 โซบอสไลยังเล่นควบ 2 ทีม สถิติเฉพาะบอลลีก ลีฟแฟร์ริง 9 นัด 6 ประตู และซัลซ์บวร์ก 16 นัด 3 ประตู ซึ่งประตูแรกเกิดขึ้นในแมตช์กับแวคเกอร์ อินส์บรุค วันที่ 17 มีนาคม 2019 

ซีซัน 2019-20 โซบอสไลกลายเป็นตัวหลักของซัลซ์บวร์ก เล่นบอลลีก 27 นัดจากทั้งหมด 32 นัด ทำ 9 ประตู 14 แอสซิสต์ อีกทั้งได้ประเดิมสนามแชมเปียนส์ ลีก เป็นครั้งแรก ทำ 1 ประตูจาก 5 นัด และยังได้เตะรอบน็อคเอาท์ ยูโรปา ลีก อีก 2 นัด ที่สำคัญเขาได้รับตำแหน่งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของออสเตรียน บุนเดสลีกา

ซีซัน 2020-21 โซบอสไลอยู่กับทีมซัลซ์บวร์กได้ครึ่งฤดูกาล ก่อนมีข่าวเซ็นสัญญา 4 ปีครึ่งกับ แอร์เบ ไลป์ซิก เมื่อวันที่ 17ธันวาคม 2020 ด้วยค่าตัว 20 ล้านยูโร สร้างสถิติเป็นนักเตะฮังกาเรียนค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่โชคร้ายได้รับบาดเจ็บ ไม่สามารถลงสนามให้ Die Roten Bullen แม้แต่นัดเดียว

โซบอสไลเปิดตัวในยูนิฟอร์มไลป์ซิกนัดแรกเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2021 เป็นการแข่งขันเดเอฟเบ โพคาล กับเอสเฟา ซานด์เฮาเซน เขาถูกเปลี่ยนตัวลงมานาทีที่ 78 และทำประตูแรกได้อีก 3 นาทีถัดมา โดย 2 ซีซัน โซบอสไลเล่นให้ไลป์ซิกรวมทุกรายการ 45 นัด 10 ประตูใน ซีซัน 2021-22 และ 46 นัด 10 ประตูใน ซีซัน 2022-23 พร้อมคว้าแชมป์เยอรมัน คัพ ทั้ง 2 ปี ก่อนย้ายไปร่วมทีม ลิเวอร์พูล ในเดือนกรกฎาคม 2023 ด้วยค่าฉีกสัญญา 70 ล้านยูโร

มีรายงานว่า ลิเวอร์พูลใช้เวลาไม่ถึงสัปดาห์จบดีลนี้ เริ่มต้นเปิดโต๊ะเจรจากับ มัตยาส เอสเตอร์ฮาซี ตัวแทนของโซบอสไลในวันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2023 ก่อนเงื่อนไขฉีกสัญญาหมดอายุที่เยอรมนีเพียง 5 วัน และได้ข้อสรุปในวันศุกร์ ทำให้โซบอสไลต้องยกเลิกโปรแกรมวันหยุดพักผ่อนที่โครเอเชียก่อนกำหนด 

โซบอสไลเล่าว่า “พวกเรากำลังสนุกสนานกัน แต่จู่ๆเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เอเยนต์ของผมแจ้งว่า ตอนนี้นายต้องหยุดกิจกรรมบันเทิงเริงรมย์ ต้องดูแลตัวเองดีๆ เพราะนายต้องย้ายสโมสรแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก แค่ 2-3 วันเท่านั้นเอง แต่ผมสัมผัสได้ตั้งแต่วันแรกแล้ว ผู้จัดการ (เยอร์เกน คลอปป์) โทรคุยกับผม ซึ่งนั่นเป็นการตัดสินใจขั้นสุดท้ายแล้วว่า โอเค ผมต้องการไปอยู่กับลิเวอร์พูล จากนั้นเอเยนต์ก็คุยกับสโมสร แล้ว 2 สโมสรก็คุยกัน”

โซบอสไลให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมาถึงเป้าหมายว่า “ผมคิดว่าทุกคนในพรีเมียร์ลีกที่มีโอกาสชนะ พวกเขาต่างปรารถนาคว้าชัยชนะเสมอ พวกเราต่างคิดเหมือนๆกัน ผมก็คิดเหมือนกัน ผมเป็นคนประเภทนั้น คนที่ชอบชนะ ผมจะทำทุกอย่างเพื่อทีม ถ้าถามว่าผมต้องการครองแชมป์พรีเมียร์ลีกไหม แน่นอน ผมต้องการชนะเลิศ เช่นเดียวกับยูโรปา ลีก และเอฟเอ คัพ ผมต้องการแชมป์ ทุกอย่างที่เราสามารถทำได้ในปีนี้ ผมต้องการชนะทุกสิ่งเพราะไม่มีใครมาถามคุณหรอกว่า รู้สึกอย่างไรที่ได้อันดับ 2”

อายุ 3 ขวบ พ่อจับหัดเลี้ยงบอลหลบขวดพลาสติก

ตอนที่โซบอลไลเกิด คุณพ่อ (ซอลท์) อายุ 23 ปี คุณแม่ (ซาเนตต์) อายุเพิ่ง 19 ปี ซอลท์เริ่มหัดลูกชายเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ให้เลี้ยงบอลหลบขวดพลาสติกที่วางอยู่บนพื้นภายในบ้านเพราะไม่มีสวนหรือสนามหญ้า

“ถ้าขวดมีน้ำเต็ม มันค่อนข้างง่ายกว่า ถ้าขวดล้ม ผมก็ต้องเริ่มต้นเลี้ยงลูกใหม่ ผมเลี้ยงไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะไม่ล้ม ผมทุ่มเทความพยายามจนกระทั่งการเลี้ยงสมบูรณ์แบบ พ่อยังให้ผมเล่นบอลขณะมือกำลูกกอล์ฟด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าผมไม่ทำฟาวล์ด้วยการใช้มือไปดึงเสื้อใคร พ่อไม่อยากให้ผมเติบโตด้วยนิสัยชอบทำฟาวล์ พ่อชอบให้ทำอะไรเพี้ยนๆแบบนั้นแหละ”

โซบอสไลเปิดเผยว่า คริสเตียโน โรนัลด์ และ สตีเวน เจอร์ราร์ด เป็นไอดอลหรือแบบอย่างในเรื่องความทุ่มเททำงานและแพสชันฟุตบอล “แต่พ่อเป็นแรงบันดาลมีอิทธิพลยิ่งใหญ่ต่อตัวผมมากที่สุด เราแทบจะทำทุกอย่างด้วยกัน คนเกือบ 90เปอร์เซ็นต์อาจเติบโตด้วยการอยู่กับแม่ แต่ผมอยู่กับพ่อทั้งวัน ผมเจอแม่แค่ตอนเช้า จากนั้นก็ไปขลุกอยู่กับพ่อ”

“ผมฝึกซ้อมกับพ่อมายาวนานมาก เขาเป็นโค้ชของผม สิ่งที่เรียนรู้เกือบทั้งหมดเป็นเรื่องเทคนิคและการยิง จนกระทั่งย้ายเข้าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรด บูลล์ ทั้งที่ซัลซ์บวร์กและไลป์ซิก ผมจึงได้เรียนรู้การเล่นกับลูกบอล แล้วก็เรื่องระบบ ทำให้ผมรู้จักยืนตำแหน่งเบอร์ 8 เบอร์ 10 บางทีครั้งก็เบอร์ 6 ผมเพียงพยายามเรียนรู้ทุกอย่างจากตรงนั้น แต่ชีวิตช่วงแรกค่อนข้างยากที่ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีเพื่อนฝูง ผมมีแฟนแล้วตอนนั้น ผมพูดภาษาไม่ได้ทั้งอังกฤษหรือเยอรมัน” โซบอสไลย้อนอดีตเมื่อครั้งต้องออกจากประเทศบ้านเกิดขณะอายุเพียง 16 ปี

มาอ่านเรื่องราวที่เล่าจากปากของซอลท์ โซบอสไล ซึ่งเคยเล่นฟุตบอลอาชีพลีกล่างในตำแหน่งหน้าต่ำ กันบ้าง “ทันทีที่โดมินิกเดินได้ ผมก็ให้ลูกบอลกับเขา เขามักมาดูผมแข่งขันด้วย เหมือนเขาจะสนุกกับมันนะ”

ประมาณปี 2007 ตอนโดมินิกอายุ 7 ขวบ หลังถูกวิดีโอตันปล่อยออกจากทีม ซอลท์ได้ร่วมก่อตั้งสถานบันสอนฟุตบอลที่ชื่อว่า โฟนิกซ์ โกลด์ ซึ่งที่นี่ โดมินิกมีโอกาสร่วมฝึกซ้อมทุกวัน “ถ้าไม่อยู่ที่โรงเรียน โดมินิกก็จะอยู่ที่สนามซ้อม” ขณะที่โดมินิกเล่าถึงชีวิตวัยเด็กว่า “ผมจำไม่ได้นะว่าเคยมีตัวต่อเลโกหรือตุ๊กตาหรือเปล่า สิ่งที่ผมสนใจมีอย่างเดียวคือ ลูกฟุตบอล”

โซบอสไลเป็นคนที่ชอบรอยสัก มีรอยสักมากมายทั้งภาพและตัวอักษรบนเรือนร่าง รวมถึงประโยคของเจอร์ราร์ดที่เขาชื่นชอบ “Talent is a blessing from God, but without incredible will and humility, it is worthless.” เขาเคยให้สัมภาษณ์ถึงรอยสักว่า “ตอนนั้นผมยังเป็นวัยรุ่นและชอบรอยสักข้อความ ผมจึงใช้มันเป็นเดิมพันกับพ่อ พ่อก็โอเคแล้วพูดว่า ลูกไปหาประโยคที่ต้องการมา ซึ่งผมตอบกลับทันทีว่า ผมมีอยู่แล้ว เรามาคุยเรื่องพนันกันเลยดีกว่า

เดิมพันครั้งนั้นเกี่ยวกับการทดสอบการวิ่งช่วงที่โดมินิกอยู่ในอะคาเดมีของซัลซ์บวร์ก ซอลท์บอกว่าเขายินดีจ่ายค่าสักให้หากโดมินิกทำลายสถิติการวิ่ง ซึ่งโซบอสไลคนลูกทำสำเร็จแล้วได้รอยสักสมใจนึก 

“เราพนันกันเล็กๆน้อยๆตลอดเวลา ผมเป็นคนชอบรถยนต์ พ่อจะพูดบ่อยๆว่า ลูกจะเอารถอะไรก็ได้อย่างที่ต้องการ แต่อันดับแรก ลูกต้องประสบความสำเร็จอะไรก่อน ผมเข้าทีมไลป์ซิก ผมก็ได้รถ พอผมย้ายไปลิเวอร์พูล ผมก็ได้รถอีก”

ซอลท์บอกว่า โดมินิกเหมือนเกิดมาเพื่อทำการแข่งขัน “บางครั้ง เขาก็เพียงท้าผมวิ่งแข่ง ว่าใครไปถึงประตูบ้านก่อนกัน แต่ผมไม่เคยปล่อยให้เขาชนะหรอกนะ เขายังเคยซ้อมเตะลูกฟรีคิกทุกวัน วันละ 100 หรือ 200 ครั้ง ความปรารถนาที่จะพัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆไม่เคยหมดไปจากเขาเลย”

เห็นได้ชัดว่า โซบอสไลใช้ชีวิตร่วมกับฟุตบอลตลอด สำหรับเขาในวัยเด็ก ลูกบอลคือออกซิเจน บ้านคือสนามฟุตบอล โซบอสไลเคยให้สัมภาษณ์กับ เนมเซติ สปอร์ต ว่า เขาไม่เคยใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไป ขณะที่เด็กคนอื่นไปโรงหนัง เขาอยู่สนามฟุตบอล

อะคาเดมีที่วิธีสอนแหวกแนว ยิ่งเทคนิคดี ยิ่งเล่นบอลสนุก

ซีแกชแฟแฮร์วาร์ อยู่ห่างจากกรุงบูดาเปสต์ประมาณ 1 ชั่วโมง เป็นเมืองอุตสาหกรรมที่เต็มไปด้วยโรงงานบริษัทใหญ่อย่างฟอร์ดและไอบีเอ็ม จนกระทั่งทศวรรษ 1980 เมืองนี้กลายเป็นที่รู้จักของแฟนบอลเมื่อสโมสรท้องถิ่น วิดีโอตัน เข้าไปเล่นรอบชิงชนะเลิศยูฟา คัพ แพ้ต่อเรอัล มาดริด ด้วยสกอร์รวม 1-3 ในเดือนพฤษภาคม 1985

วิดีโอตัน ซึ่งปัจจุบันคือ โมล แฟแฮร์วาร์ เอฟซี สโมสรใน NB I ลีกสูงสุดของฮังการี กลายเป็นหนึ่งในทีมยักษ์ใหญ่ของประเทศ หนึ่งในแฟนบอลคือ วิกตอร์ ออร์บาน นายกรัฐมนตรีประเทศฮังการี ซึ่งช่วยสนับสนุนให้สโมสรก่อตั้งอะคาเดมีที่ผลิตนักเตะดาวรุ่งฝีเท้าดีเข้าสู่ระบบ

สำหรับซอลท์ เขาได้ก่อตั้ง โฟนิกซ์ โกลด์ ซึ่งเป็นทั้งสโมสรและอะคาเดมีฟุตบอลในเมืองซีแกชแฟแฮร์วาร์ โรงยิมตั้งอยู่ท่ามกลางเขตโรงงานที่เต็มไปด้วยอาคารสภาพทรุดโทรมถ้ามองจากภายนอก ข้างในมีสนามฟุตบอลหญ้าเทียม 7 คน 2สนาม ที่นี่เป็นที่ที่โดมินิกใช้ชีวิตวัยเด็กเป็นส่วนใหญ่

รูปแบบการฝึกสอนของโฟนิกซ์ โกลด์ แตกต่างจากอะคาเดมีทั่วไป ซึ่งได้รับการสร้างสรรค์และพัฒนาโดยซอลท์และโค้ชกลุ่มเล็กๆ ถือเป็นนวัตกรรมใหม่สมัยนั้น นั่นคือโฟกัสไปที่เทคนิค ซึ่งเป็นสิ่งที่โดมินิกคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก

ที่โฟนิกซ์ โกลด์ สตาฟฟ์โค้ชเริ่มสอนเด็กๆตั้งแต่อายุยังน้อยและสอนกลุ่มเล็กๆด้วยไอเดียที่ค่อนข้างแปลกเช่น แทนสวมเสื้อเอี๊ยม พวกเขาให้เด็กคาดเฮดแบนด์ที่ศีรษะเพื่อบังคับให้เงยหน้าขึ้นมอง หรือให้กำลูกกอล์ฟไว้ในมือเพื่อไม่ให้ดึงเสื้อซึ่งกันและกัน เป็นทริกเล็กๆเพื่อสร้างนิสัยที่ดีสำหรับนักฟุตบอล

ซอลท์ให้สัมภาษณ์ว่า “ความมุ่งมั่นของเราอยู่ที่การเรียนรู้ทักษะทางเทคนิค ปรัญชาของเราคือ เมื่อมีทักษะทางเทคนิคที่ดี ก็จะมีความสนุกมากขึ้นเวลาลงเล่นฟุตบอล

โฟนิกซ์ โกลด์ ไม่เพียงสร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการลูกหนังฮังการีแทบจะทันทีแต่ยังประสบความสำเร็จด้วย ทีมฟุตบอลรุ่นอายุเดียวกับโดมินิกครองแชมป์ คอร์เดียล คัพ ในปี 2011 และ 2013 หลังจากผ่านคู่แข่งที่มีชื่อเสียงอย่าง บาเยิร์น มิวนิก, นอริช ซิตี, เอฟซี บาเซิล และเรด บูลล์ ซัลซ์บวร์ก

บรรดาแมวมองพากันให้ความสนใจเด็กๆของโฟนิกซ์ โกลด์ หลายคนถูกดึงตัวเข้าร่วมอะคาเดมีของสโมสรใหญ่ต่างประเทศ หลายคนเล่นอยู่ในลีกสูงสุดของฮังการีตอนนี้ ขณะที่โดมินิก ซึ่งได้รับฉายาว่า the small one หรือ “ตัวเล็ก” มักเล่นอยู่ในรุ่นอายุที่สูงกว่าเสมอแต่ทำผลงานได้โดดเด่น เขามีโอกาสไปทดสอบฝีเท้าที่อิตาลีและเนเธอร์แลนด์ แต่ท้ายที่สุดเป็นออสเตรีย

ซอลท์เล่าว่า “ซัลซ์บวร์กเห็นเขาขณะเล่นให้ทีมชาติรุ่น ยู-15 นัดหนึ่ง ตอนนั้นเขาอายุเพิ่ง 15 ปี จึงไม่สามารถเซ็นสัญญาได้” ซัลซ์บวร์กเฝ้าติดตามพัฒนาการและเชิญโดมินิกไปทดสอบฝีเท้าอยู่หลายครั้งจนกระทั่งอายุ 16 ปี กฎระเบียบจึงอนุญาตให้ซัลซ์บวร์กนำเขาเข้าสู่สโมสรได้ โดยโดมินิกถูกส่งตัวไปอยู่กับลีฟแฟร์ริงเป็นอันดับแรก

ลงซ้อมมื้อแรกที่ซัลซ์บวร์ก ทำคู่แข่งเลือดกลบปาก

ที่โฟนิกซ์ โกลด์ โดมินิกแทบไม่เคยเจอการท้าทายหรือการแข่งขันระดับที่เข้มข้นเลย แต่สถานการณ์ต่างไปเมื่อมาอยู่ซัลซ์บวร์ก ซึ่งในการซ้อมครั้งแรก สตาฟฟ์โค้ชจับจ้องว่าโดมินิกเป็นอย่างไรเมื่อเผชิญหน้ากับเพื่อนร่วมทีมใหม่ เขาเจอการต้อนรับแบบดุดันถึงขั้นเสื้อเอี๊ยมฉีกขาด แต่เด็กใหม่จากฮังการีไม่เบือนหน้าหนี การซ้อมวันนั้นจบลงด้วยคู่แข่งของโดมินิกออกจากสนามในสภาพปากเลือดไหล สร้างความพึ่งพอใจให้เหล่าโค้ช

คริสตอฟ ฟรอยด์ ผู้อำนวยการกีฬาของซัลซ์บวร์ก ยังจำเมื่อครั้งโดมินิกมาถึงสโมสรใหม่ๆได้ “เขามาอยู่เรด บูลล์ ซัลซ์บวร์ก ตอนเป็นหนุ่มน้อยมากๆ แต่เต็มไปด้วยทักษะความสามารถและความเชื่อมั่นในตัวเอง แต่ยังมีเรื่องต้องเรียนรู้อีกมากในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ดังนั้นการไปเล่นให้ลีฟแฟร์ริงจึงช่วยโดมินิกได้มากทั้งสกิลและสภาพจิตใจจนกลายเป็นนักฟุตบอลอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้”

ช่วงแค่ 2-3 เดือนที่อยู่กับซัลซ์บวร์ก โดมินิกทำผลงานได้ประทับใจในการลงแข่งขัน อัล คาสส์ อินเตอร์เนชันแนล คัพ ซึ่งเป็นฟุตบอลเยาวชนอายุไม่เกิน 17 ปี ที่กรุงดาฮา ประเทศกาตาร์ ที่มีสโมสรชั้นนำรุ่น ยู-17 จากทั่วโลกลงประชันฝีเท้า โดมินิกทำให้ผู้พบเห็นฮือฮาจากการยิงระยะไกล ส่วนที่ลีฟแฟร์ริง โดมินิกเพลิดเพลินกับการทำสกอร์ ลงแข่งขันยูฟา ยูธ ลีก และเลื่อนขึ้นมาเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของสโมสร ทั้งหมดเกิดขึ้นก่อนเขาอายุ 18 ปี

โดมินิก โซบอสไล ยังก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จากซัลซ์บวร์ก สู่ไลป์ซิก และลิเวอร์พูลในปัจจุบัน ด้วยวัยที่จะครบ 23 ปีบริบูรณ์ในเดือนตุลาคม 2023 สตาร์ฮังกาเรียน ผู้ได้รับฉายาว่า “เดอะ เน็กซ์ ปุสกัส” ยังสามารถพัฒนาความสามารถไปได้อีกไกล พร้อมสร้างเรื่องราวชีวิตในฐานะซูเปอร์สตาร์ลูกหนังได้อีกมาก นี่เป็นเพียงช่วงต้นของชีวิตค้าแข้งเท่านั้น

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Special Content

แรงน้อยแต่ใจใหญ่ : “หลุยส์ ดิอาซ” นักเตะผอมแห้งสู่ดาวดวงใหม่ของลิเวอร์พูล

หลุยส์ ดิอาซ ปีกทีมชาติโคลัมเบียวัย 25 ปี ประเดิมลงสนามนัดแรกให้กับลิเวอร์พูลเป็นที่เรียบร้อย โดยถูกเปลี่ยนลงมาเป็นสำรองในเกมเอฟเอ คัพ ที่เอาชนะคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ 3 – 1 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

แต่กว่าจะถึงวันนี้ ดิอาซต้องต่อสู้กับรูปร่างที่ผอมแห้ง เนื่องจากในวัยเด็กมีภาวะขาดสารอาหาร แต่สามารถพิสูจน์ตัวเอง จนกลายเป็นนักเตะที่ได้ร่วมงานกับหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกได้สำเร็จ

แล้วเส้นทางสู่การเป็นนักฟุตบอลของดิอาซเป็นอย่างไร ? วันนี้เพจ “ไข่มุกดำ” จะมาขยายให้ฟังกันครับ

เติบโตในเมืองที่แร้นแค้น

หลุยส์ ดิอาซ เกิดที่เมืองบาร์รานกาส ที่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของโคลัมเบีย ติดชายแดนเวเนซูเอลา ครอบครัวของเขาเป็นชนเผ่าวายู ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ

ชีวิตในวัยเด็กของดิอาซต้องเผชิญกับความแร้นแค้น เพราะในพื้นที่นั้นถือเป็นพื้นที่ที่เกิดภาวะขาดแคลนสารอาหารในอันดับต้น ๆ ของประเทศ มีเด็ก ๆ เสียชีวิตจากภาวะดังกล่าวหลายพันคน.ซึ่งสาเหตุที่เมืองบาร์รานกาส เป็นเมืองที่ยากไร้ด้านอาหาร เนื่องจากมีเหมืองถ่านหินเซร์เรโอน ที่ปล่อยมลพิษออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้เด็ก ๆ ที่อาศัยในย่านนั้นได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นั่นทำให้ดิอาซมีร่างกายที่ผอมแห้ง เนื่องจากขาดสารอาหาร แต่กลับได้เข้าสู่เส้นทางนักเตะแบบคาดไม่ถึง เพราะไปเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลระหว่างชนเผ่าพื้นเมือง เมื่อปี 2015 ขณะมีอายุ 17 ปี

และถือเป็นความโชคดีของดิอาซ ที่ฟอร์มการเล่นของเขาไปเข้าตาคาร์ลอส วัลเดอร์ราม่า สุดยอดดาวเตะตำนานหัวฟู ทีมชาติโคลัมเบีย ที่ได้เข้ามาชมการแข่งขันในทัวร์นาเมนท์ดังกล่าวด้วย

ถึงแม้ว่าศึกลูกหนังชนเผ่าในครั้งนั้น โคลัมเบีย ทีมของดิอาซ จะแพ้ปารากวัยในนัดชิงชนะเลิศ แต่ถือเป็นใบเบิกทางครั้งสำคัญในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ซึ่งจะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล

เส้นทางในระดับอาชีพ

ไม่น่าเชื่อว่า จากเด็กที่มีภาวะขาดสารอาหาร และแทบจะไม่ค่อยได้ออกจากหมู่บ้าน แต่หลุยส์ ดิอาซ ก็ฝ่าฟันกับอุปสรรคต่างๆ อีกทั้งแสดงความสามารถออกมาให้ทุกคนเห็น จนได้มาเป็นนักฟุตบอลอาชีพสมความตั้งใจ

สโมสรแรกของดิอาซในระดับอาชีพคือ บาร์รานกีย่า ทีมระดับดิวิชั่น 2 ของโคลัมเบีย แต่สิ่งที่เขาต้องทำเป็นอย่างแรกคือ เข้าโปรแกรมเพิ่มน้ำหนักขึ้นอีก 10 กิโลกรัม เพื่อให้สามารถรับมือการปะทะกับนักเตะทีมคู่แข่ง

เมื่อร่างกายค่อยๆ เข้าที่ ดิอาซก็โชว์ฟอร์มอย่างโดดเด่น ลงเล่น 34 นัด ทำได้ 3 ประตู จนได้รับโอกาสให้ไปค้าแข้งกับสโมสรที่ใหญ่ขึ้นอย่างแอตเลติโก จูเนียร์ ทีมในลีกสูงสุดอีก 2 ปี ลงเล่น 67 นัด ทำได้ 15 ประตู

ด้วยฝีเท้าที่จัดจ้านของดิอาซ ทำให้เจ้าตัวได้รับความสนใจจากหลายสโมสรในยุโรป และเป็นปอร์โต้ ยักษ์ใหญ่แห่งลีกโปรตุเกส ที่ได้ตัวมาร่วมทีมด้วยค่าตัวเพียงแค่ 7 ล้านยูโร เมื่อเดือนกรกฎาคม 2019

2 ฤดูกาลครึ่งกับปอร์โต้ ดิอาซโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรง ทำได้ 41 ประตู 20 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 125 นัดรวมทุกรายการ ทำให้เขาตกเป็นเป้าหมายของหลายทีมยักษ์ใหญ่ในระดับท็อปลีกของยุโรป

ส่วนผลงานกับทีมชาติโคลัมเบีย ลงเล่น 33 นัด ยิง 7 ประตู ผลงานสร้างชื่อคือโคปา อเมริกา ปี 2021 ที่ยิงได้ 4 ประตู ครองตำแหน่งดาวซัลโวประจำรายการร่วมกับลิโอเนล เมสซี่ ซูเปอร์สตาร์ทีมชาติอาร์เจนติน่า

สไตล์การเล่นของดิอาซ เป็นปีกที่เล่นได้ดีทั้งเท้าซ้ายและขวา มีความคล่องตัวสูง พาบอลทะลุทะลวงเจาะเกมรับคู่แข่ง อีกทั้งสามารถทำประตูได้ในทุกระยะ และกลายเป็นนักเตะใหม่ของลิเวอร์พูลในปัจจุบัน

ยินดีต้อนรับสู่อังกฤษ

เจอร์เก้น คล็อปป์ นำลิเวอร์พูลพบกับปอร์โต้ ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ฤดูกาลนี้ และประทับใจฟอร์มการเล่นของหลุยส์ ดิอาซ จึงตัดสินใจดึงตัวมาในช่วงตลาดนักเตะเดือนมกราคมที่ผ่านมา ด้วยค่าตัว 37 ล้านปอนด์

แต่สำหรับแฟนบอลของปอร์โต้แล้ว ด้วยศักยภาพของเขาที่มีอยู่เต็มเปี่ยม มันควรจะได้ค่าตัวที่มากกว่านี้ ซึ่งยูริโก้ โกเมส อดีตตำนานนักเตะปอร์โต้ ถึงกับออกมาบอกว่า “ลิเวอร์พูลซื้อดิอาซไปในราคาที่ถูกแบบเหลือเชื่อ”

ในที่สุด โอกาสของดิอาซในการลงเล่นกับลิเวอร์พูลเป็นครั้งแรกก็มาถึง ในเกมเอฟเอ คัพ รอบ 4 ที่เปิดบ้านพบกับคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทนเคอร์ติส โจนส์ ในนาทีที่ 58

และเพียงแค่นัดแรก ดาวเตะชาวโคลัมเบียคนแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ก็แสดงถึงความมุ่งมั่นออกมาให้เห็น ด้วยการวิ่งหาช่องจนมีส่วนร่วมกับประตู 2 – 0 ของทาคุมิ มินามิโนะ ในนาทีที่ 68 หรือ 10 นาทีหลังจากได้ลงสนาม

อย่างไรก็ตาม ช่วงท้ายเกม ดิอาซขึ้นแย่งโหม่งกับกองหลังคาร์ดิฟฟ์ แล้วจังหวะที่ลงพื้นนั้น ถูกนักเตะคู่แข่งย่ำที่ต้นขา แต่โชคดีที่ไม่เจ็บมาก ทำเอาเจอร์เก้น คล็อปป์ ถึงกับกล่าวติดตลกว่า “ยินดีต้อนรับสู่ประเทศอังกฤษ !”

เรื่องราวของหลุยส์ ดิอาซ ถือเป็นแรงบันดาลใจสำหรับคนที่มีอุปสรรคด้านร่างกาย แต่มีความฝันที่จะเป็นนักฟุตบอล และเขาได้เริ่มต้นการเรียนรู้สำหรับการต่อสู้กับหนึ่งในลีกฟุตบอลที่โหดหินอย่างพรีเมียร์ลีกแล้ว

✍ : จักรพันธ์ ภู่ทอง

📷 : 101 Great Goals

อ้างอิง : https://www.telegraph.co.uk/…/luis-diaz-went…/

#ไข่มุกดำ

#KMDFeature

#Liverpool

#หลุยส์ดิอาซ