Categories
Column

เรื่องจากแรงบัลดาลใจได้เห็นการเล่นของ โดมินิก โซบอสซ์ไล

ย้อนความไปเกม คืนวันศุกร์ 20 ส.ค.ผมมีโอกาสคัฟเวอร์เกมระหว่าง RB Leipzig vs. Stuttgart (นั่งชมเกมนี่แหละ แต่ตั้งใจหน่อย) และสะดุดกับนักเตะรายหนึ่งที่ได้รับความไว้วางใจจากเทรนเนอร์ เจสซี่ มาร์ช เป็นอย่างมากจนแอบฉงน และถึงกับมอบหมายบทบาทสำคัญในทีมให้ทั้ง ๆ ที่อายุเพิ่งจะ 20 ปีเท่านั้น 

คำถาม “ทำไม” ดังขึ้นในหัวทันที พร้อมกับสเต็ปตามมาว่า อยากหาคำตอบ จนเป็นที่มาของบทความชิ้นนี้ครับ

โดมินิก โซบอสซ์ไล มิดฟิลด์วันเดอร์คิดชาวฮังการี คือ ดาวเตะหนุ่มแห่งพารากราฟแรก โดยเจ้าตัวเป็นหนึ่งในผลิตผลที่ได้รับการฟูมฟัก ปลุกปั้น และเติบโตขึ้นในอาณาจักรฟุตบอลแฟรนไชส์สไตล์เร้ดบูลล์ 

สายการผลิตที่เห็นนักเตะอย่าง เออร์ริ่ง ฮาลันด์, ดาโยต์ อูปาเมกาโน่, ติโม แวร์เนอร์, นาบี เกอิต้า หรือแม้แต่ ซาดิโอ มาเน่ เจิดจรัสฉายแสงอยู่ในสโมสรใหญ่ ๆ ในลีกดังของยุโรป คือเหล่ารุ่นพี่ของ โซบอสซ์ไล

เร้ดบูลล์อีกแล้วหรือ? … หลายๆ คนอาจจะนึกในใจ (เหมือนผม)

บ้างอาจจะอยากให้สโมสรที่ตัวเองเชียร์ไปซื้อแมวมองเร้ดบูลล์มาซะเลย 555

ทำนั้นไม่ง่ายเหมือนพูดครับ เพราะการจะทำให้ได้ผลผลิตจากกระบวนอย่างเร้ดบูลล์ จำเป็นต้องมีความชัดเจนในโครงสร้างนโยบายการทำทีม เป้าหมาย และความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งของเจ้าของสโมสร และทีมบริหาร 

ภายใต้สโลแกนของเร้ดบูลล์ที่ว่า “เราจะติดปีกให้คุณ” หรือ “Red bull gives you wings” … อันเป็นที่มาของกลยุทธ์หลัก และแนวทางปฏิบัติของสโมสรที่ใช้ดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด 

ผมใช้คำว่า “ธุรกิจ” เพราะเร้ดบูลล์มองการทำทีมฟุตบอลเป็นธุรกิจชัดเจน ซื้อถูก ขายแพง สร้างมูลค่า สร้างกำไร (และอาจจะขายเครื่องดื่มบำรุงกำลังได้เพิ่มปีละ 2 ล้านกระป๋อง! 😅) 

งานแมวมอง (Scouting) จึงเป็นแก่น หรือหัวใจที่คอยสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายก็ว่าได้ เพราะคำว่า “Scouting” มีที่มามาจากการทหารที่ต้องส่งหน่วยลาดตระเวนไปสอดส่องพื้นที่เวลาไปสู้รบตบมือโจมตีฝ่ายตรงข้าม หรือแม้กระทั่งไปตั้งหลักถิ่นฐานระหว่างสงครามก็ต้องมีสมรภูมิที่ดี ไม่เสียเปรียบ

ภูมิประเทศบริเวณไหนที่มีจุดอ่อนก็อาจจะต้องวางกำลังป้องกันแน่นหนาหน่อย ไม่งั้นอาจจะโดนลอบโจมตีได้ 

ไม่ต่างกับงานแมวมองที่ต้องส่งคน ส่งเจ้าหน้าที่ไปคอยสอดส่องเฝ้ามองนักเตะที่มีแวว และ “พยายามเซ็นสัญญามาให้ได้ก่อนคู่แข่ง และหากเป็นไปได้ในช่วงอายุที่น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้” นี่คือหนึ่งในหลักการของเร้ดบูลล์ ซาลส์บวร์ก 

ปัจจุบันมีฐานข้อมูล วีดิโอคลิปเป็นหมื่นเป็นแสน และคอมพิวเตอร์ช่วยในการบันทึก และประมวลผลขีดความสามารถ และช่วยกลั่นกรองนักเตะตามเกณฑ์ชี้วัดต่าง ๆ ที่กำหนดได้ 

การที่แมวมองของทีมชั้นนำไปดูนักเตะในสนามนั่นหมายความว่าเป้าหมายนั้นผ่านการคัดกรองมาแล้วส่วนหนึ่ง 

เร้ดบูลล์เปรียบเทียบการเฟ้นหานักเตะเหมือนถนนสามเลน

เลนขวาที่รถวิ่งช้าสุด (รถยุโรปพวงมาลัยซ้าย) สำหรับนักเตะท้องถิ่น เลนนี้คุณทำงานได้มาก และสร้างความคืบหน้าอย่างรวดเร็ว แถมไม่มีข้อจำกัดเรื่องอายุ แต่บางครั้งคุณติดรถบรรทุกที่วิ่งช้า ซึ่งก็เหมือนกับความจำกัดของจำนวนนักเตะที่มีพรสวรรค์ที่มีอยู่ในท้องถิ่น ดังนั้นบางครั้งคุณจำเป็นต้องแซงข้ามเลน 

เลนกลางเป็นเลนส์ของนักเตะภาคพื้นยุโรปที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป (ตามกฏหมายของสหภาพยุโรป) แต่มันก็มีความเสี่ยงที่นักเตะเหล่านั้นอาจจะไม่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะคนสำคัญ หรือกลายมาเป็นนักเตะอาชีพได้ ซึ่งบรรดาสโมสรชั้นนำในยุโรปอาจจะไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงตรงนั้นมาก แต่เร้ดบูลล์มองมันเป็นโอกาส และความท้าทาย 

เลนเร็วเป็นพื้นที่ของนักเตะระดับ international ที่สามารถเข้ามายกระดับของทีมได้ทันที มีอายุระหว่าง18-23 ปี (แต่บางเคสที่พิเศษจริง ๆ ก็มีข้อยกเว้นได้ เช่น หากเห็นว่านักเตะคนนั้นมีคุณภาพที่จะสามารถเข้ามาช่วยประคับประครองนักเตะดาวรุ่งในทีมได้ เป็นต้น) 

เหมือนไม่ยาก แต่ไม่ง่าย ขั้นตอนการมองหานักเตะเริ่มขึ้นก่อนหน้าการเซ็นสัญญาหลายปี (เฉลี่ย 3 ปี) ทุกครั้งเริ่มต้นที่คำถามว่าเราต้องการผู้เล่นที่มีโพรไฟล์แบบไหนในแต่ละตำแหน่ง? เป็นคำถามที่ Sporting Director และทีมโค้ชชิ่งสต๊าฟฟ์เป็นผู้ให้คำตอบ พวกเขามีไอเดียที่ชัดเจนในรูปแบบปรัชญาฟุตบอลที่ต้องการเล่น และลักษณะของนักเตะที่เข้ากัน 

หลักใหญ่ใจความอยู่ที่
• มีสไตล์การเล่นที่มุ่งมั่น
• สามารถเล่นเกมทรานส์ซิชั่นได้อย่างรวดเร็ว
• มีความเเข็งแกร่งด้านจิตใจ 

ราล์ฟ รังนิค ได้รับการแต่งตั้งจากเร้ดบูลล์เข้ามาดำรงตำแหน่ง Director of Football เมื่อปี 2012 เพื่อปฏิรูป ปรับรากฐาน และวางระบบของสโมสรด้านที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอล 

Ralf Rangnick (RB Leipzig, Trainer, head coach); Porträt, Einzelbild

ถามว่ารังนิคต้องเปลี่ยนอะไรบ้าง? คำตอบที่รังนิคบอกกับดีทริช เมเทสซิทซ์ เจ้าของเร้ดบูลล์ คือ แทบจะทุกอย่าง! 

รังนิคได้งบมาสร้างทีม เพื่อเป้าหมายพาไลป์ซิกเลื่อนชั้นจากระดับ 4 ของปิระมิดฟุตบอลเยอรมันจากตอนที่เร้ดบูลล์ซื้อทีมมาเมื่อปี 2009 ให้ขึ้นมาเล่นในระดับสูงสุดของประเทศให้ได้ภายใน 8 ปี … หมายความว่ารังนิคเหลือเวลาอีกแค่ 5 ปี ที่จะทำให้สำเร็จ 

แผนของรังนิคจึงไม่มีอะไรซับซ้อน … “ทำอย่างไรก็ได้ให้ประสบความสำเร็จสูงสุดในระยะเวลาอันสั้นที่สุด” 

ด้วยปรัชญาฟุตบอลที่รังนิคยึดมั่น ประกอบกับการทำงานอย่างหนัก ที่ต้องการห็นการพัฒนาที่ดีขึ้นตลอดเวลาจากทุกภาคส่วน และการมีทีมงานที่มีเป้าหมายและยึดมั่นวิถีเดียวกันทำให้ อาร์เบ ไลป์ซิก ก้าวขึ้นมายืนอยู่บนเวทีบันเดสลีกาได้อย่างเต็มภาคภูมิ 

ไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จบนสนามฟุตบอลเท่านั้น เร้ดบูลล์ยังทำกำไรมหาศาลจากนโยบาลซื้อถูกขายแพง เเละเหมือนว่าพวกเขาจะมีนักเตะขึ้นมาทดแทนกันได้อย่างไม่ขาดสาย แม้ว่าจะต้องเสียนักเตะตัวหลักออกจากทีมแทบทุกฤดูกาล 

โยฮันเนส สปอร์ส ผู้เคยร่วมงานกับรังนิคสมัยฮอฟเฟ่นไฮม์ และต่อมาที่ไลป์ซิกในฐานะหัวหน้าทีมแมวมอง กล่าวว่า 

“กุญแจสำคัญของนักเตะดาวรุ่งในช่วงอายุ 17-20 ปี คือการได้ลงเล่นเกมอย่างสม่ำเสมอในระดับที่สูงพอแก่การพัฒนา แต่ไม่สูงจนเกินไป” 

ฮาลันด์ สมัยที่เล่นให้กับซาลซ์บูร์ก คือตัวอย่างที่ดี ออสเตรียคือเวทีที่ดีที่จะให้เขาลองผิดลองถูก เรียนรู้และพัฒนา สิ่งสำคัญคือ 

“ฮาลันด์รู้ว่าหากเขาทำผิดพลาดในเกม เขาจะได้รับโอกาสอีกครั้งในเกมถัดไป (เพื่อทำให้ถูกต้อง)” สำหรับทีมใหญ่ในเวทีระดับสูงสุด มันไม่ใช่เรื่องง่าย 

เร้ดบูลล์เติบโตอย่างรวดเร็ว และแข็งแกร่งแบบนี้ก็ไม่ได้มีแต่คนชื่นชมเสมอไป 

และเขียนมาตั้งยาวแต่ไม่มีสักประโยคที่พูดถึงแฟนบอล 

ใช่ครับ! เร้ดบูลล์ไม่ได้เป็นที่รักของแฟนบอลในเยอรมันเท่าไหร่นักเนื่องจากเป็นสโมสรที่ค่อนข้างใหม่ แถมมีภาพความเป็นสโมสรนักลงทุนอย่างชัดเจนด้วยเจ้าของคนเดียวทำธุรกิจเบ็ดเสร็จ ขณะที่ส่วนใหญ่ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณีในเยอรมัน สโมสรจะมีโครงสร้างแบบ “50+1” 

ผมไม่คิดว่าเร้ดบูลล์จะแคร์กับเรื่องนี้มากนัก ตราบใดที่โมเดลทางธุรกิจของพวกเขายังสามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง อย่างที่รังนิคพูดถึงปรัชญาฟุตบอลของเขาว่า 

“ฟุตบอลเป็นเรื่องของการต่อสู้กันของไอเดียที่หลากหลายแตกต่างกัน แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือไอเดียที่เรายึดมั่น” 

ปล. รู้หรือไม่: ถึงแม้ว่า ไลป์ซิก จะเป็นเมืองที่ค่อนข้างโมเดิร์น มีคนรุ่นใหม่อาศัยอยู่เยอะเพราะมีมหาวิทยาลัยอยู่มาก แต่คนเหล่านี้มักจะมาจากต่างเมือง และซัพพอร์ตสโมสรบ้านเกิด

Categories
Football Business

บทเรียนของ ลิเวอร์พูล จากความผิดพลาดในโศกนาฎกรรม ESL

แม้จะไม่ใช่สโมสรแรกที่ถอนตัวจาก ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ลีก – ESL แต่ ลิเวอร์พูล เป็นสโมสรที่ “ชัดเจน” ที่สุดในบรรดา 6 สโมสรพรีเมียร์ลีกกับแอ็คชั่น “ขอโทษ” ผ่าน VDO เจ้าของทีม จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี้ แถลงการณ์ยอมรับความผิด และขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ผมต้องการจะขอโทษไปยังแฟนบอล และผู้สนับสนุนสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลทุกคนต่อเรื่องราวความวุ่นวายที่เกิดขึ้นโดยต้นเหตุเพราะผมในช่วงเวลา 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา”

“มันเกิดขึ้นโดยไม่มีการบอกกล่าว แต่สามารถได้พูดว่าโครงการที่เกิดขึ้นจะดำเนินไปไม่ได้เลย หากปราศจากการสนับสนุนของแฟนบอล ไม่มีใครเห็นต่างไปจากนั้น กว่า 48 ชั่วโมงที่เราได้เห็นอย่างชัดเจนว่ามันไม่อาจจะเป็นไปได้ เราได้ยินพวกคุณ และผมก็รับฟังพวกคุณ”

“ผมอยากจะขอโทษอีกครั้ง และขอรับผิดชอบต่อผลเสียที่เกิดขึ้นอย่างไม่จำเป็นช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาแต่เพียงผู้เดียว นี่จะเป็นเรื่องที่ผมไม่มีวันลืม เพราะมันแสดงให้เห็นถึงพลังของแฟนบอลในวันนี้ และจะยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปในอนาคต”

นี่เป็นคำขอโทษผ่านวิธีการที่ดีที่สุด แต่แฟนบอลเองจะมองว่า “จริงใจ” เพียงพอ หรือปล่อยผ่านได้เพียงใดนั้น คือ อีกเรื่องหนึ่ง

เพราะแฟนบอลก็คือ แฟนบอล ซึ่งเป็นมนุษย์พันธุ์พิเศษดังที่เราได้เห็นการต่อสู้ทุกรูปแบบ และมีส่วนไม่มากก็น้อยในการเป็น stakeholders หรือหนึ่งในผู้มีผลประโยชน์ร่วมกับทีมฟุตบอลในการขัดขวางการก่อกำเนิด ESL

-ย้อนกลับไปในเดือนกุมภาพันธ์ 2016 จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี้ เคยออกมากล่าวอะไรคล้าย ๆ กันแบบนี้มาก่อน ในเหตุการณ์หลังความพยายามจะขึ้นค่าตั๋วในเกมเหย้าสโมสร จากเดิม 59 ปอนด์ ไปเป็น 77 ปอนด์ ส่งผลให้แฟน ๆ ซูป้ายประท้วงในเกมกับ ซันเดอร์แลนด์ ก่อนวอล์กเอาต์ออกนอกสนามเมื่อเกมดำเนินมาถึงนาทีที่ 77 โดยหลังจากนั้น บอร์ดบริหารลิเวอร์พูล ได้แถลงการณ์ขอโทษแฟนบอล และยกเลิกแผนการขึ้นค่าตั๋วที่ว่า ในคราวนั้น จอห์น เฮนรี ก็ได้ออกมาพูดดังนี้

“เราเชื่อว่าเราได้แสดงให้เห็นถึงความเต็มใจที่จะรับฟังเสียงของแฟนบอลอย่างรอบคอบก่อนพิจารณาจุดยืนของเราใหม่ และดำเนินการทันที ความสัมพันธ์ที่เป็นเอกลักษณ์ และศักดิ์สิทธิ์ระหว่างสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล และบรรดาแฟนบอลเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในความคิดของเรา มันแสดงถึงจังหวะการเต้นของหัวใจ ณ สโมสรฟุตบอลที่ไม่ธรรมดาแห่งนี้ ยิ่งกว่าปัจจัยอื่นใดความผูกพันอันนี้คือสิ่งที่ผลักดันให้เราทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในนามของสโมสรต่อไปในอนาคต”

ส่วนอีกครั้งเกิดขึ้นในปีที่แล้วในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่พวกเขาเตรียมจะออกประกาศพักงานลูกจ้างของสโมสรให้ไปรับเงินชดเชย 80 เปอร์เซ็นต์ของรายได้จากรัฐบาล (Government Job Retention Scheme สมทบทุน 80% ของเงินเดือน แต่ไม่เกิน 2,500 ปอนด์ โดยสโมสรจะจ่ายที่เหลือ 20% ให้แรงงานสโมสรพวกเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการในหน่วยต่าง ๆ ระหว่างที่ไม่มีเกมการแข่งขัน ในช่วงพักงาน หรือ furlough)

หลายทีมเข้าร่วม นิวคาสเซิล, สเปอร์ส, บอร์นมัธ และนอริช รวมถึงลิเวอร์พูล ที่กลายเป็นว่า หงส์แดงโดนถล่มหนักสุดโดยสโมสรจะจ่ายส่วนต่างที่เหลือให้ครบเต็มจำนวนเงินเดือน ทำให้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากการที่มีผลประกอบการมากถึง 533 ล้านปอนด์ในฤดูกาล 2018-19 ตัดสินใจเช่นนั้น จนในที่สุด FSG ก็ยอมถอย และออกมาขอโทษแฟนบอล

“เราเชื่อว่าเราได้ข้อสรุปที่ผิดพลาดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในการประกาศว่าเราตั้งใจที่จะขอเข้าแผนในการรักษางานจากการระบาดของไวรัสโคโรนา และพักงานสโมสรเนื่องจากการที่พรีเมียร์ลีกมีการพักการแข่ง และเราเสียใจต่อเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง ความตั้งใจเดิมของเรา และยังเป็นสิ่งที่เราตั้งใจอยู่ในตอนนี้คือการปกป้องคนงานของเราให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จากการที่รายได้จะถูกลด หรือสูญเสียรายได้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้”

นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เราเห็นว่า ทำไมแฟนบอลจำนวนมาก ยัง “ฝังใจ” การกระทำในเชิงความรับผิดชอบ และทำเพื่อสังคมกับบอร์ดบริหารง่าย ๆ หลังจากเหตุการณ์ ESL จบลง เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาเคยกล่าวไปแล้วว่าจะ “รับฟัง” แฟนบอล แต่การตัดสินใจเข้าร่วมกับอีก 11 ทีมเพื่อก่อตั้งลีกใหม่คราวนี้ พวกเขาไม่ได้ฟังใคร เพราะแม้แต่ เยอร์เกน คล็อปป์ หรือ บิลลี โฮแกน (ซีอีโอ ของสโมสร) ก็ยังไม่รู้เรื่องด้วย (รายชื่อทั้งสองเป็นรายชื่อที่ถูกเอ่ยถึงเพื่อทำการขอโทษอย่างเป็นทางการจาก จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี้ ด้วย)

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แฟนบอลที่ยังมี “แผล” ฝังใจจะกลับมาตั้งคำถามถึงจอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี้ และ เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป (FSG) อีกครั้ง เพราะการกระทำในครั้งนี้ นอกจากจะไม่ฟังเสียจากแฟนบอล และมองผลประโยชน์เป็นที่ตั้งแล้ว มันยังแสดงออกถึงความไม่เข้าใจในวัฒนธรรมลูกหนัง และประวัติศาสตร์ของฟุตบอลอังกฤษ และหรือรวมไปถึงธรรมชาติของอุตสาหกรรมฟุตบอลไปพร้อม ๆ กันอีกด้วย 

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่บรรดาผู้บริหารทีมจะตัดสินใจผิดพลาดเกี่ยวกับนโยบายสโมสรซึ่งมีให้เห็นบ่อย ๆ เช่น จากการเลือกซื้อนักเตะที่ผิดพลาด การเลือกกุนซือ หรือทีมงาน หรือการทำโปรเจคต์โน้นนี้นั้น

แต่นโยบายการบริหารทีมขั้นสูงสุดขนาดเปลี่ยนโครงสร้าง ปรับโมเดล ผ่านกระบวนการลับ ๆ และมีเบื้องหลังมากมาย ถ้าพลาดแล้ว นอกจากทำลายภาพลักษณ์สโมสร มันยังทำลายความรู้สึกของแฟนบอลอีกด้วย 

อย่างไรก็ดี ความงดงามของโลกลูกหนังก็คือ การได้เห็นบรรดาแฟนบอลของ ลิเวอร์พูล และนักเตะ (เกิดกับทุก ๆ ทีมในข่าว) กลับยืนหยัดเป็นหนึ่งเดียวกันในการต่อต้านแนวคิดของ ESL อย่างชัดเจน เรียกได้ว่าเป็นระดับหัวหอก หรือแกนนำ เฉพาะอย่างยิ่ง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ในฐานะกัปตันทีมของสโมสร ได้ติดต่อหาบรรดากับตันทีมอื่น ๆ ในพรีเมียร์ลีก เพื่อมานั่งพูดคุยเกี่ยวกับกรณีนี้

“เราไม่ชอบสิ่งนี้ และเราไม่อยากให้มันเกิดขึ้น นี่คือจุดยืนร่วมกันสำหรับเรา สำหรับความมุ่งมั่นทุ่มเทของเราที่มีให้กับสโมสรฟุตบอลแห่งนี้ และต่อแฟนบอลเป็นสิ่งที่แน่นอน และไม่มีเงื่อนไข” เฮนโด้ ทวีตลงโซเชียลมีเดีย พร้อมกับ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ และเจมส์ มิลเนอร์ ก่อนจะเป็นกระแสตามมาทั่วโลกซึ่งแน่นอนมีผลถึง stakeholders สำคัญอื่น ๆ เช่น สเปอนเซอร์ ที่เริ่มออกมาแสดงจุดยืนจะ “ผงะ” จาก ESL 

โดยทาง มิลลี เองก็ถูกถามหลังเกมที่เสมอกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด เกี่ยวกับประเด็นนีอีกครั้ง และเขาก็ไม่เลี่ยงที่จะแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมา

“ผมไม่ชอบเลย และหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้น” มิลเนอร์ตอบสกาย สปอร์ตส์ “ผมพูดได้แค่เฉพาะมุมมองของผมเอง ผมไม่ชอบ และหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้น ผมจินตนาการได้เลยว่าความเห็นจะออกมาเป็นอย่างไร และผมก็อาจจะเห็นด้วยกับหลาย ๆ ความเห็น”

ด้าน เยอร์เกน คล็อปป์ ก็เป็นคนแรก ๆ ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นสวนทางกับ จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี้ แม้จะไม่สามารถพูดอะไรได้มากนักก็ตาม แต่ก็ถือว่า พูดไป “กลืนเลือด” ไปชัดเจน

“สิ่งหนึ่งที่ผมเข้าใจ และคนอื่น ๆ คิดว่าไม่ถูกต้อง คือ (ESL) มันไม่มีการแข่งขัน ผมชอบความจริงที่ว่า เวสต์แฮมฯ อาจได้เล่น แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า ซึ่งผมไม่ต้องการแบบนั้น เพราะผมต้องการให้พวกเราอยู่ที่นั่น แต่สิ่งที่ผมชอบคือพวกเขามีโอกาส” คล็อปป์ กล่าวก่อนเกมกับ ลีดส์

บรรดานักฟุตบอล และแฟนบอลของ ลิเวอร์พูล ต่างมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน หาใช่เพราไม่ได้ชอบเม็ดเงินที่จะได้จากการแข่งขัน หากแต่เข้าใจธรรมชาติ และวัฒนธรรมของฟุตบอลซึ่งยึดโยงกับคน “ทุกกลุ่ม” หาใช่เพียง “กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง” เท่านั้น 

ดังนั้น คำขอโทษของ จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี ในฐานะเจ้าของทีมที่ออกมา อาจจะช่วยให้เหล่าแฟน ๆ เย็นลงได้บ้าง แต่แน่นอนว่า มันคนละเรื่องกับการ “ให้อภัย” หรือ “ไว้ใจ”

นี่จึงกลายเป็นบทเรียนครั้งสำคัญอีกครั้งที่ จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี้ และเอาเข้าจริง ๆ แล้วก็คือ ผู้บริหารทุกสโมสรใหญ่ที่คิดมานานแล้ว หรือคิดมาตลอดจะ “ก่อการ” ตั้งแต่ยูโรเปี้ยน คัพ มายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มา G14 กระทั่งถึง ESL จะต้องเรียนรู้ สำเหนียก และใส่ใจให้มาก 

เพราะหลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ถ้าจะมีความผิดพลาดอันเกิดมาจากการไม่ใส่ใจ ไม่รับฟัง หรือเห็นแก่ผลประโยชน์มากเกินไปซ้ำอีกล่ะก็ กระแสอาจกระหน่ำใส่ FSG และจอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี้ จนเกินกว่าจะรับไหวก็ได้

ที่สำคัญต้องอย่าลืมว่า เมื่อใดก็ตามที่แฟนบอลหันหลังให้ เมื่อนั้นต่อให้มีเงินมากมายเพียงใด ก็ไม่อาจซื้อความเชื่อใจกลับคืนมาได้

Categories
Football Business

มอง…การช่วยเหลือของ ‘พรีเมียร์ลีก’

หากพอจะจำกันผมเคยเขียนถึง “โปรเจคต์ Big Picture” ที่ “พรีเมียร์ลีก” วางแผนจะช่วย “ฟุตบอลลีก” จากพิษโควิด-19 เป็นเงินเบื้องต้น 250 ล้านปอนด์ และเป็นข่าวดังเมื่อเดือน ต.ค.แล้วต้องล้มพังพาบมาแล้วเพราะสโมสรสมาชิกปฏิเสธจะเดินตามแผนของ 2 ทีมตั้งต้น: ลิเวอร์พูล และแมนฯยูไนเต็ด

(อ่านเพิ่มเติมเรื่อง “โปรเจคต์ Big Picture” นะครับ https://bit.ly/2Ic0LGk)

ครั้งนี้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา พรีเมียร์ลีก และฟุตบอลลีกอังกฤษ (อีเอฟแอล) ได้เห็นชอบให้จัดสรรเงินกู้ 250 ล้านปอนด์ เพื่อช่วยเหลือบรรดาสโมสรในลีกระดับล่าง ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แบบไม่มี hidden agenda ใด ๆ กับการปรับโครงสร้างพรีเมียร์ลีก หรือจะยุบถ้วย คอมมิวนิตี้ ชิลด์, ลดจำนวนทีมในพรีเมียร์ลีก ฯลฯ

รวมความแล้วก็ต้องบอกครับ “ซะที!” หลังตั้งแต่เดือน มี.ค.ไม่ได้มีแฟนบอลเข้าสนามกระทั่งสุดสัปดาห์นี้ในบางสเตเดี้ยม และบางพื้นที่ของประเทศได้ถูกอนุมัติให้แฟนบอลส่วนหนึ่งเข้าชมได้ อันหมายถึง “รายได้” จากการเก็บค่าผ่านประตูนั้นหายไป และอื่น ๆ จาก แมตช์เดย์ เช่น ขายของที่ระลึก ฯลฯ ก็หายไปเพียบ

การช่วยเหลือครั้งนี้ของพรีเมียร์ลีกสู่ทีมในลีกรอง ๆ อย่างน้อยจึงช่วย “ต่อท่อ” อ๊อกซิเจนได้บ้างครับ—

โครงการนี้ มีที่มาที่ไปอย่างไร ?

นับตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา ทุกสโมสรในอังกฤษ ขาดรายได้จากตั๋วเข้าชมการแข่งขัน ซึ่งก่อนหน้านี้ทางอีเอฟแอล เคยปฏิเสธเงินช่วยเหลือ 50 ล้านปอนด์จากพรีเมียร์ลีกมาแล้ว เพราะมองว่ามันน้อยเกินไป (ต.ค.2020)

ต่อมาในเดือนเดียวกัน สโมสรยักษ์ใหญ่ในพรีเมียร์ลีก นำโดยลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2 ทีมคู่ปรับตลอดกาล ได้มีแนวคิดปรับโครงสร้างฟุตบอลลีกอังกฤษ หรือ Project Big Picture

ซึ่งในแนวคิด Project Big Picture มีข้อเสนออยู่ข้อหนึ่ง คือ จะให้เงิน 250 ล้านปอนด์ เพื่อช่วยเหลือทีมในลีกล่าง ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่ท้ายที่สุด พรีเมียร์ลีกไม่ตอบรับข้อเสนอนี้ เพราะกระแส “ต่อต้าน” นั้นแรงมาก• มาถึงเดือนพฤศจิกายน สโมสรในลีกวัน และลีกทู ได้ “ตกลงในหลักการ” เพื่อขอรับความช่วยเหลือจากพรีเมียร์ลีก หลังจากได้รับข้อมูลว่า มีสโมสรสมาชิกของอีเอฟแอล ประมาณ 10 ทีม ไม่มีเงินจ่ายค่าจ้างนักเตะ

ถึงแม้จะมีการเริ่มต้นปลดล็อก ให้แฟนฟุตบอลเข้ามาชมเกมในสนาม ตามความเสี่ยงการแพร่ระบาดของแต่ละพื้นที่แล้ว แต่ด้วยสถานการณ์ที่ยังไม่ปกติ ทำให้แต่ละสโมสรยังคงไม่สามารถสร้างรายได้ให้เพียงพอกับรายจ่ายได้ในเร็ววัน

จนกระทั่งการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา บอร์ดบริหารของอีเอฟแอล และสโมสรสมาชิกพรีเมียร์ลีก ได้อนุมัติข้อตกลงการช่วยเหลือสโมสรที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เป็นเงินกู้จำนวน 250 ล้านปอนด์ เสริมจากทางรัฐบาลอังกฤษ เตรียมช่วยเหลือเงินเพิ่มเติมอีก 300 ล้านปอนด์ (แต่ไม่ได้ให้กับฟุตบอลอาชีพชาย) ให้กับฟุตบอลหญิง, ฟุตบอลนอกลีกอาชีพ และกีฬาประเภทอื่น ๆ ที่ประสบปัญหาด้วยเช่นเดียวกัน

เงินจำนวนนี้ จัดสรรอย่างไร ?

ทั้งพรีเมียร์ลีก และอีเอฟแอล จะช่วยกันระดมทุน 250 ล้านปอนด์ เพื่อเป็นเงินกู้ โดยจะแบ่งให้ลีกแชมเปี้ยนชิพ 200 ล้านปอนด์ และลีกวัน รวมกับลีกทู อีก 50 ล้านปอนด์ ในส่วนของลีกแชมเปี้ยนชิพ จะแบ่งเงินให้ทั้ง 24 สโมสรเท่าๆ กัน หรือเฉลี่ยได้ทีมละ 8.33 ล้านปอนด์ เป็นเงินกู้ไม่มีดอกเบี้ย และกำหนดชำระคืนภายในเดือนมิถุนายน 2024 สำหรับอีก 48 สโมสร ในลีกวัน และลีกทู เงินกู้จำนวน 50 ล้านปอนด์นี้ จะถูกแบ่งออกเป็น 2 กอง

กองที่ 1 จำนวน 30 ล้านปอนด์ เป็นค่าชดเชยรายได้จากการไม่มีผู้เข้าชมการแข่งขันในฤดูกาล 2019-20 และ 2020-21 แบ่งย่อยออกเป็น 3 ส่วน- 24 ทีมในลีกวัน จะได้รับเงินกู้อย่างน้อยทีมละ 375,000 ปอนด์ (รวม 9 ล้านปอนด์)- 24 ทีมในลีกทู จะได้รับเงินกู้อย่างน้อยทีมละ 250,000 ปอนด์ (รวม 6 ล้านปอนด์)- เงินกู้อีก 15 ล้านปอนด์ที่เหลือ จะคำนวณจากส่วนแบ่งรายได้ของค่าตั๋วเข้าชมการแข่งขันที่หายไป

กองที่ 2 จำนวน 20 ล้านปอนด์ จะเก็บไว้สำหรับสโมสรที่ต้องการชดเชยค่าเสียหายเพิ่มเติม ซึ่งจะมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ และกำหนดคุณสมบัติสำหรับสโมสรที่เข้าร่วมต่อไป

โดยบรรดาสโมสรในลีกล่างทั้ง 3 ลีก ที่ได้รับเงินกู้นั้น จะต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดเรื่องการซื้อตัวผู้เล่น และการจ่ายค่าจ้างของผู้เล่นด้วย

ริค แพร์รี่ (อดีต CEO ลิเวอร์พูล และหัวโจกในการแอบชนดีล Big Picture ตั้งแต่ ค.ศ.2017) ประธานอีเอฟแอล หวังว่าโครงการดังกล่าว จะช่วยให้สโมสรเหล่านี้อยู่รอดได้ หลังจากได้รับผลกระทบทางการเงิน เพราะการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส ที่กินเวลามานานหลายเดือน

ขณะที่ ริชาร์ด มาสเตอร์ส ประธานบริหารพรีเมียร์ลีก เผยว่ารู้สึกยินดีที่ลีกระดับสูงสุดของอังกฤษ ได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสโมสรระดับลีกรองลงมา ไม่ให้ล้มละลาย อันเนื่องมาจากโควิด-19

ผมเขียนเรื่องนี้ทำไม?

นี่ก็เพราะ ขนาดลีกอาชีพแบบมาตรฐาน เช่น ลีกอังกฤษ ยังไม่ไหว ไปจะไม่รอด ในปีโควิด-19 รัฐบาลผู้ดีซึ่ง “กดดัน” พรีเมียร์ลีกซึ่งยังคงมีรายได้หลักอยู่จากลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดทีวี จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะ 300 ล้านปอนด์ก็ไม่ได้ตกมาสู่ฟุตบอลอาชีพชาย ลีกรอง ๆ จึง “ควานหา” รายได้ยากเหลือเกินครับ และการได้เงินช่วยเหลือแม้จะให้ยืมในครั้งนี้จึงถือว่ามีค่าอย่างมากให้ต่อลมหายใจ

ในมุม Football Business ที่น่าสนใจ คือ อุตสาหกรรมอื่นจะไม่มีทางให้ “หยิบยืม” ช่วยเหลือกันแบบพรีเมียร์ลีก ช่วยเหลือทีมรองในลีกล่าง ๆ แบบนี้ เพราะมีแต่จะ “ถีบส่ง” คู่แข่งทั้งน้อยใหญ่ให้ร่วงจมธรณี และเจ๊งชัยกันไป เพื่อให้ตัวเองอยู่รอดคนเดียว และครองความยิ่งใหญ่คนเดียว• แต่ฟุตบอลเตะกันเองดูกันเองไม่ได้ ฟุตบอลจำเป็นต้องมีคู่แข่ง มีลีก และต้องแข่งขันกันได้อย่างสมน้ำสมเนื้อพอประมาณไม่ใช่ “ผูกขาด” แค่ไม่กี่ทีม หรือคาดเดาผลแข่งขันได้ง่าย การช่วยเหลือครั้งนี้จึงเกิดขึ้น และเป็นกรณีศึกษาสำคัญในปีลำบาก ๆ แบบนี้ และเป็นการช่วยเหลือที่ไม่เพียงต่อลมหายใจให้หลายทีม หรือ 10 ทีมโดยประมาณที่กำร่อแร่ (จริง ๆ คงมากกว่านั้นเยอะ) ทว่ายังเป็นการช่วยประคองไม่ให้ “ลีกรอง ๆ” ถึงขั้นล่มสลายอันจะมี “ปัญหา” อีกมากมายตามมาด้วยครับ#ไข่มุกดำ✍ และ #ทีมไข่มุกดำ เรียบเรียง

Categories
Football Business

6 เหตุผลที่เราหลงรัก “ฟุตบอล”

มันน่าจะต้องมี “เหตุผล” เป็นร้อยเป็นพัน หรือ “ไม่มี” เลยแม้แต่ข้อเดียว ที่ทำให้เรา แฟนบอล หลงรักฟุตบอล และเฝ้าติดตามทีมโปรด หรือข่าวคราวของ The most beautiful game เกมกีฬาที่สวยงามที่สุดในโลกชนิดนี้

สำหรับ “ขอบเขต” งานในวันนี้ ผมได้ศึกษา และวางโครงเรื่องจากหัวข้องานชื่อ The ‘peculiar’ economics of professional football leagues หรือลักษณะพิเศษทางเศรษฐศาสตร์ของฟุตบอลลีกอาชีพ นะครับคร่าว ๆ ผมได้สรุปจาก “หัวข้อ” เนื้อหาที่ได้เรียนมาจาก ศาสตราจารย์คริสตีน เอาจ์ตัน (Christine Oughton) อาจารย์ของผมที่ Birkbeck College เมื่อ 10 กว่าปีก่อนนะครับ และเขียนเรื่องนี้อยู่เรื่อย ๆ แต่ปรับรายละเอียดให้เหมาะสมกับ “บริบท” ตามช่วงเวลาที่เขียนนะครับ

ทั้ง 6 ข้อ “เหตุผล” ตรวจสอบแล้วว่า ยังคงเหมาะสมกับการ “อ้างอิง” ได้อยู่ และมีดังนี้ (ตรวจสอบคอร์สปริญญาโท Sports Management and The Business of Football – MSc. ได้ที่นี่นะครับ http://www.bbk.ac.uk/…/postgraduate/programmes/TMSSMBUF_C

1.)

1.) “ฟุตบอล” เป็นผลผลิตร่วมระหว่าง “ลีก” และ “สโมสรฟุตบอล” (Joint product) ที่ต้องอาศัยกัน และกัน เพราะฟุตบอลจะเตะกันเอง ดูกันเอง ทีมเดียวไม่ได้ ต้องมีคู่แข่งขันมาร่วมด้วย และมีการจัดการลีกที่ดี เป็นในทิศทางเดียวกันตามหลักเกณฑ์จากผู้ปกครองสูงสุด (ฟีฟ่า)

แต่ธุรกิจทั่วไปจะไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น และอาจจะเป็นการดีกว่า หากเราริเริ่มธุรกิจใหม่ได้ก่อน เนื่องจากจะไม่มีคู่แข่ง (Monopoly) อันสามารถกำหนดราคา หรือควบคุมกลไกการตลาดได้

ในแง่นี้ “พรีเมียร์ลีก” เป็นต้นแบบแรกเริ่มที่ทำได้ค่อนข้างดีนับจากแยกจาก “ดิวิชั่น 1” เดิม มาก่อตั้ง “พรีเมียร์ลีก” ในปี ค.ศ.1992
เพราะอย่างน้อย มันได้เห็นซึ่งความพยายามในการรวมตัว และร่วมมือกันค่อนข้างสูงระหว่างลีก และสมาชิก พอ ๆ กับการสร้างให้เกิดความเข้มข้นในการแข่งขันกัน (Competitiveness)

สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย และบริษัทไทย ลีก จำกัด ในฐานะองค์กรสูงสุดในด้านการบริหารจัดการฟุตบอลในประเทศไทยก็มีนโยบายด้านนี้ที่ชัดเจน และดีขึ้นสอดคล้องกับนโยบาย “ฟีฟ่า” พื้นฐานจะมาจากกฎ “คลับ ไลเซนซิ่ง” ที่จะเป็นเสมือนใบเบิกทางพื้นฐานของสโมสรสมาชิกที่จะปฏิบัติตามแตกต่างกันไปตามมาตรฐานของ T1, 2, 3 และ 4

การจัดการด้านต่าง ๆ ก็คัดสรรทีมงานมืออาชีพเข้ามาผ่านกระบวนการสากล เช่น pitching หรือเสนองานจนถูกคัดเลือก หรือประมูล เช่น Plan B กับการได้สิทธิ์เป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ของสมาคมฯ และไทยลีก เป็นเวลา 3 ปีโดยเปิดซองชนะอีก 2-3 บริษัท เป็นต้น รวมถึง “ทุกด้าน” ของการบริหาร เช่น เทคนิค, ข้อมูลสถิติ, สื่อสารองค์กร, จัดการแข่งขัน, ฝ่ายผู้ตัดสิน ที่ถูกแบ่งแยกการทำงานไว้ชัดเจนร่วมกับสโมสรสมาชิก

2.) ธุรกิจฟุตบอลจะมีการกระจายรายได้ (Redistribution) ภายในลีก และระหว่างลีกใหญ่สู่ลีกเล็กรวมไปถึงทีมใหญ่รายได้ดีสู่ทีมเล็กรายได้น้อยเพื่อช่วยให้ลีก และทีมฟุตบอลแต่ละทีมมีความสมดุลกันมากที่สุด (Competitive Balance)

เพราะหาก “ช่องว่าง” ระหว่างลีกมีมากขึ้น หรือทีมเล็กนับวันยิ่งเล็กลงขณะที่ทีมใหญ่โตเอา ๆ โดยไม่ได้มีมาตรการใด ๆ ค้ำจุนเลย ที่สุดแล้วฟุตบอลก็จะดูไม่สนุก คาดเดาผลการแข่งขันได้ง่ายเนื่องจากความเหลื่อมล้ำที่มีมากอันจะนำมาซึ่งคนดูหนีหาย สปอนเซอร์ไม่สนใจ และสุดท้าย “เม็ดเงิน” ก็จะไม่ตกสู่ทั้งทีมเล็ก และทีมใหญ่ในลีก

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ธุรกิจฟุตบอลจำต้องอาศัยกุศโลบาย “รวมกันเราอยู่ แยกกันเราตาย” ตามคอนเซ็ปต์ “ผลผลิตร่วม” (Joint products) ระหว่างลีก กับสโมสรฟุตบอล นั่นเองบ้านเราก็จะเห็นข่าวการมอบเงินให้สโมสรต่าง ๆ จากลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด หรือจะเรียกว่า เงินบำรุงสโมสรก็สุดแล้วแต่

โดยทะยอยจ่ายเป็นงวด ๆ ไปเท่า ๆ กัน หาใช่จ่ายให้แชมป์มากสุด หรือทีมบ๊วยน้อยสุดแต่ “ไทยลีก” ยังไม่มีการช่วยเหลือทีม “ตกชั้น” จาก T1 ไป T2 หรือที่ “พรีเมียร์ลีก” อังกฤษเรียกว่า “Parachute money” เพื่อไม่ให้ทีมตกชั้นต้องเจอภาวะ “เคยรวย” มา “ยากจน” ฉับพลันเกินไป (เนื่องจากรายได้ “ทุกทาง” เช่น ค่าตั๋ว, สปอนเซอร์, ลิขสิทธิ์ทีวี, ของที่ระลึก จะลดลงฮวบฮาบ)

ประเด็นแบบนี้เราจะไม่ได้เห็นในธุรกิจอื่น ๆ เป็นอันขาด เพราะธุรกิจทั่วไปมีแต่จะได้เห็น “ปลาใหญ่” กิน “ปลาน้อย” ปลาสร้อยจนสูญพันธุ์ซะมากกว่าจะคิดแม้จะแค่เจียดเงินมาช่วย “ศัตรู”

3.) แฟนบอล (ลูกค้า) จะมีดีกรีความซื่อสัตย์สูงชนิดไม่จำเป็นต้องมี “เหตุผล” เพราะมันเป็นความรัก + ผูกพันด้วยใจโดยไม่มี “ผลประโยชน์” แอบแฝง

ดังจะเห็นได้จาก แฟนบอลทีมหนึ่งจะไม่เปลี่ยนใจไปเชียร์อีกทีมหนึ่งแม้ทีมตัวเองจะไม่ประสบสำเร็จ หรือย่ำแย่เพียงใดก็ตามแต่หากฟุตบอลเป็นเสมือน “โปรดักต์” อื่น ๆ แฟนบอล (ลูกค้า) จะพร้อมเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ “ยี่ห้ออื่น” ที่ดีกว่า ถูกกว่า แพ็คเกจดูดีกว่า คุ้มค่ากว่าได้ทันที

และตลอดเวลาทว่ากับฟุตบอลนั้นไม่ใช่ “โปรโมชั่น” นั้นไม่จำเป็น หนำซ้ำความซื่อสัตย์ยังสามารถส่งผ่านไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน เจนเนอเรชั่น ต่ออีกเจนเนอเรชั่นได้อีกด้วย

4.) ฟุตบอลเป็น “เกม” หรือเป็น “ธุรกิจ” ที่แตกต่างจากธุรกิจอื่น ๆ เพราะจะมีจุดมุ่งหมายพร้อม ๆ กัน 2 ประการ นั่นคือ ชนะในสนาม และ “ไม่แพ้” หรืออยู่ได้โดยไม่ขาดทุนนอกสนาม

อย่างไรก็ดีครับ “จุดมุ่งหมาย” 2 ประการนี้จะขัดแย้งกันเองโดยธรรมชาติ เพราะหากต้องการจะประสบความสำเร็จในสนาม สโมสรฟุตบอลก็ต้องใช้เงิน “ลงทุน” กับการซื้อตัวผู้เล่น หรือไม่ก็เป็นค่าเหนื่อยผู้เล่นที่ส่วนมากแล้วจะใช้เต็มจำนวนงบประมาณที่มีไม่นับการปรับปรุง “สาธารณูปโภค” ต่าง ๆ สำหรับทีม และแฟนบอล เช่น สนามซ้อม, ที่นั่งสนามแข่ง, ห้องน้ำ, สนามหญ้า ฯลฯ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการเล่นทีม และเพื่ออรรถรสในการชมฟุตบอลของแฟน ๆ

ขยับจากนั้นอีกขั้นก็คือ หน้าที่เพื่อสังคม ดังจะได้เห็นกิจกรรม CSR (Corporate Social Responsibilities) ต่าง ๆ มากมาย และเป็น “ภาคบังคับ” ที่ต้องกระทำ โดยเฉพาะโปรแกรมเพื่อเยาวชน และชุมชนที่สโมสรฟุตบอลก่อตั้ง ที่สุดแล้ว “กำไร” อย่าว่าแต่จะไม่เหลือเลย การทำงบดุลไม่ให้ติด “ตัวแดง” ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว

ฉะนั้นในทาง “อุดมคติ” ฟุตบอลจึงไม่ใช่ธุรกิจที่ผู้ถือหุ้นไม่ว่าจะในฐานะนิติบุคคล หรือบริษัทมหาชนจะ “นั่งรอ” ผลกำไรปลายปีเฉกเช่น ธุรกิจในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ครับ

5.) ตลาดแรงงานนักฟุตบอลนั้นมีกฎระเบียบค่อนข้างละเอียดอ่อนกว่าธุรกิจอื่น ๆ และผู้เล่นชั้นดีจะมีอำนาจในการต่อรองเงินเดือน และการเลือกทีมสูงมาก ลองดูราคานักเตะไทยใน “ไทยลีก” ที่เหมือนมีเยอะ แต่จริง ๆ แล้วมีน้อยมาก (นักเตะดีจริง ๆ)

ฉะนั้นจึงได้เห็นว่า ราคาการย้ายทีม (ค่าตัว) และเงินเดือนรวมเป็นแพ็คเกจแต่ละครั้งจะสูงมากไม่ว่าจะภายใน หรือต่างประเทศ

กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์, ชนาธิป สรงกระสินธ์ ต้องมีไม่ต่ำกว่า 2 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือจะธนบูรณ์ เกษารัตน์, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ในการย้ายในประเทศระดับ 50 ล้านบาท เงินเดือนนักเตะทีมชาติชุดใหญ่คิดว่าเท่าไหร่? ในเวลาที่ “ตัวท็อป” ไม่ติดทีมชาติมี 2 แสนอัพ หรือสามแสนกว่าไปแล้ว

อลิสสัน เบคเกอร์ ย้ายไปลิเวอร์พูลในตำแหน่งผู้รักษาประตูที่ 67 ล้านปอนด์ ถามว่าแพง ก็แพง แต่ตำแหน่งนี้หาไม่มี หรือที่มีก็ “ไม่ขาย” ราคาที่หงส์แดงจ่าย หรือตัวอย่างบางนักเตะไทยข้างต้นจึง “สะท้อน” ว่า นักเตะชั้นดีสามารถมีอำนาจต่อรองราคาที่ต้องการได้เลือกทีมได้ด้วย เช่น ธิโบต์ คูร์ตัวส์ อยากจะไปเรอัล มาดริด ใครจะทำไม, โรนัลโด้ เบื่อแล้วกับเกือบ 10 ปีที่มาดริดขอไปกินมะกะโรนี ยูเวนตุส ค่าตัว 100 ล้านปอนด์ แต่แค่วันเดียวก็ขายเสื้อได้ 50 ล้านปอนด์แล้วกระมัง

ส่วนตลาดแรงงานก็แล้วแต่สถานการณ์ ทว่ากฎระเบียบปรับได้ตลอด (อ่านด้านล่างกฎนักเตะต่างชาติของไทย) และขึ้นตรงกับ “ฟีฟ่า” เช่น หากมีคดีฟ้องร้องใด อาทิ สัญญาไม่เป็นธรรม, ไม่จ่ายค่าเหนื่อย ฯลฯ ผู้เล่นสามารถส่งตรงให้หน่วยงานของ “ฟีฟ่า” พิจารณาได้เลยไม่จำเป็นต้องใช้กฎหมายในประเทศนั้น ๆ และ “ฟีฟ่า” สามารถสั่งปรับเงิน, คะแนน ถึงขั้นระงับทีมไม่ให้เข้าร่วมการแข่งขันได้เลยโดยตรง

6.) ฟุตบอลเป็นเกมที่ควบคุมโดยกฎกติกาสากล ผสมผสานกับการบริหารโดยรัฐบาลลูกหนังหลายระดับตั้งแต่ระดับประเทศ, นานาชาติ, ทวีป และโลก คอยควบคุมดูแล, ปรับปรุง และแก้ไข เพื่อคุณภาพที่ดีของเกมพูดแล้วจะ “ยาวไหม” (555) เช่น ล่าสุดก็กับกฎนักเตะอาเซียน 3 คน, ต่างชาติ 3 คน และเอเชีย 1 คนของฟุตบอลลีกบ้านเราประเด็นคงไม่แตะว่า “เหมาะสม” หรือดีที่สุดไหม? แต่จะบอกว่า มันตอบโจทย์เรื่องการ “ปกครอง” เด็ดขาด และเบ็ดเสร็จโดยรัฐบาลลูกหนังที่ไม่จำเป็นต้องอิงกฎหมายนานาชาติใด ๆ

ข้อสรุปดังกล่าว อาจใช้แค่ซีซั่นเดียว และปรับเปลี่ยนอีกก็ได้ตามกระบวนการของรัฐบาลลูกหนังไทย แต่ต้องสอดคล้อง และรับรองโดย “ฟีฟ่า”

โดยเรื่องเกี่ยวข้องกับ “ฟุตบอล” ทุกเรื่อง ฟีฟ่าจะมีหน่วยงานรองรับการทำงานเสมือนเป็น “รัฐบาลกลาง” ของลูกหนังโลก ที่มีอำนาจสิทธิ์ขาด

จุดนี้จึงมีทั้ง “ข้อดี” และไม่ดีได้เหมือนกัน เช่น อำนาจบางครั้งก็อาจก่อให้เกิดการคอรัปชั่นเพราะการ “ตัดสินใจ” ขึ้นอยู่กับกลุ่มคน หรือคณะทำงานภายในไม่กี่คน

แต่ข้อดี คือ การบริหารจัดการจะเป็นในทิศทางเดียวกัน และเบ็ดเสร็จจากส่วนกลาง-ทั้งหมดในวันนี้ มีเป้าหมายจะนำเสนอในด้านที่ “แตกต่าง” อีกมิติหนึ่งของกีฬา “ฟุตบอล” โดยเฉพาะในเชิงเศรษฐศาสตร์ การบริหาร และจัดการกีฬาฟุตบอลโดยเฉพาะในส่วนการจัดการแข่งขันระดับลีก และบอลถ้วย รวมถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับทุกผู้มีผลประโยชน์ร่วม (stakeholders) เช่น แฟนบอล, นักเตะ, ผู้สนับสนุน, พันธมิตรหวังว่า เมื่อทราบ “ความต่าง” นี้ เรา ๆ ท่าน ๆ แฟนบอลจะหลงรักฟุตบอลมากยิ่งขึ้นนะครับ

Author : ณัฐวุฒิ ประเทืองศิลป์

Categories
Football Tactics

คลอปป์ถึงพอตเตอร์ : เขามีครบทุกอย่างที่ยอดโค้ชจะต้องมี เป็นนักคิดค้น และนักแสวงหา

คลอปป์ใช้คำว่า พอตเตอร์ มี all you need หรือมีครบ และเลือกคำได้สวยว่า innovator ที่ผมแปลว่า นักคิดค้น แทนนวัตกร และ advanturous ผมไม่ได้แปลว่า ผจญภัย แต่เลือกคำว่า แสวงหา (หนทางใหม่ ๆ ในการทำทีม)

คู่ควร และเหมาะสมครับกับ 2 เกมดี ๆ ผ่านแมนฯซิตี้ ที่ขนาดแพ้ 1-4 ยังได้รับชื่นชม และเกมนี้ที่ยันเสมอหงส์แดงได้ 2-2 ทั้งที่ตามหลัง 0-2 ในแอนฟิลด์

สิ่งที่ควรสังเกต คือ เฮนโด้ ไม่ได้ยืนตำแหน่ง “เบอร์ 6” สกรีนหน้าไลน์รับ (ไม่ได้บอกว่า ผิด นะครับ เพราะด้วยเหตุนี้ กัปตันเลยเติมรุก เล่นสามเหลี่ยม และสร้าง combination กับเพื่อนได้ รวมถึงยิง 1-0 ได้ – เคอร์ติส โจนส์ ยืนต่ำกว่าด้วยซ้ำ)

แต่ทว่า เกรแฮม พอตเตอร์ น่าจะทราบดีว่า ฟาบินโญ เจ็บ และเฮนโด จะเล่นอย่างไร ดังนั้นจึงส่ง เลอันโดร ทรอสซาร์ด ลงมาเป็น False 9 และเล่นหน้าแทน นีล โมเปย์

ทรอสซาร์ด ในภาพเรียกได้ว่า มีพื้นที่รับบอลระหว่างผู้เล่น (pocket) แบบสบาย ณ จุดที่ นาบี้ เกอิตา ยังอยู่ในสนาม

จะเห็นได้ว่า เลอันโดร ทรอสซาร์ด ดร็อปตัวลงเพิ่มจำนวน และสร้างโจทย์ให้เกมรับหงส์แดงซึ่งในภาพ อิบู โคนาเต ไม่ได้แย่กับการตัดสินใจตามลงประชิด แต่หากจะดีต้องไม่ให้ดาวเตะเบลเยียมพลิกเล่นได้ เพราะในภาพ ยาคุป โมเดอร์ กำลังวิ่งพาเทรนท์ ไปหาที่ว่างเพื่อรับบอลแล้ว

ปล.จะเห็นเช่นกันว่า เฮนเดอร์สัน ยังอยู่สูงกว่า อ๊อกซ์เลด และทำหน้าที่รุกขึ้นไปต่อสู้ เพื่อตัดเกมแดนบนที่นัดนี้เรามีคนแบบกัปตันในแดนกลางน้อยไป

นี่คือ ตำแหน่งคลาสสิค False 9 เพราะ เลอันโดร ทรอสซาร์ด ยืนทั้งระหว่างคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟ อิบู และ VvD และยืนต่ำกว่าไลน์รับเล็กน้อย เรียกได้ว่า พร้อม และเชื้อเชิญให้มิดฟิลด์นกนางนวลประเคนบอลให้เหลือเกิน

ขณะที่จะเห็นว่า “ช่องวาง” ระหว่างไลน์รับ กับมิดฟิลด์นั้นมีซึ่งพอรับได้ แต่ปัญหา คือ ไบร์ทตันไม่ควรได้โอกาสออกบอลง่ายเกินไปสู่ False 9 ของพวกเขาเช่นกัน

ที่ว่างด้านหลังเทรนท์ที่ตอนนี้กลายเป็น อิบู รับผิดชอบแทนคือ ประเด็น และจะเห็นถึงความเสี่ยงเนื่องจากทั้ง เลอันโดร ทรอสซาร์ด, ยาคุป โมเดอร์ และมาร์ก กูกูเรยา พร้อมเติมพร้อม ๆ กัน ขณะที่หงส์แดงมีตัวพร้อมรับมือเพียงคนเดียว

ครึ่งหลังเกิดสถานการณ์ลักษณะนี้บ่อย หรือคือ กูกูเรยา ได้บอลแบบไม่มีตัวประกบ และผ่านให้ ทรอสซาร์ด ในพื้นที่หน้าไลน์ หรือ pocket ระหว่างผู้เล่นไปสร้างสรรค์เกมต่อ หรือทำประตูได้ (รับบอลจาก ลัลลานา หลุดไปยิง 2-2)

Categories
Football Tactics

Inverted Full-back

พอดีเห็น “อึน ๆ” กันจากเกม แอตเลติโก มาดริด – ลิเวอร์พูล นะครับ ผมซึ่งได้คุยหลังเกมกับโค้ชบ้านเราหลาย ๆ ท่านเป็นประจำหลังแมตช์ใหญ่ ๆ อยู่แล้วให้บังเอิญว่าได้รับสิ่งนี้จากอีกเกม คลับ บรู๊ก – แมนฯซิตี้ มาฝากจาก “โค้ชน้อย” อนันต์ อมรเกียรติ

เรื่อง Inverted Full-back หรือแบ็คหุบใน

แน่นอนครับ เจา กานเซโล หรือไคล์ วอล์คเกอร์ ภายใต้แท็คติกส์ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ใช้แท็คติกนี้เป็นประจำอยู่แล้ว จะว่าไป เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ก็ด้วยอ่ะนะครับในบางจังหวะของเกม

แบ็คหุบใน หรือ Inverted Full-back คืออะไร? ติดตามอ่านกันได้เลยครับ ง่าย ๆ 3 ภาพ หวังว่าคงจะชอบ และหวังใจว่าจะช่วยให้พวกเรา “เข้าใจ” The beautiful game มาก ๆ ยิ่งขึ้น และมีความสุขมากขึ้นกับการชมฟุตบอลนะครับ

เจา กานเซโล ในบทบาท Inverted Full Back วิ่งตัวเปล่าจากบริเวณที่หุบในเข้ามากลางสนามเข้าสู่กรอบเขตโทษโดย “ไทม์มิ่ง” อย่างยอดเยี่ยมกับบอลชิพตักโด่งหลังไลน์ของ ฟิล โฟเดน

ดาวเตะโปรตุกีส ยังเฟิร์สทัช “พักอก” ได้งดงาม และสะกิดบอลผ่านลอดขา ซิมง มิโญเลต์ เข้าประตูไป จบบทบาทพิเศษของฟูลแบ็คหุบในที่ทั้งช่วยเติมโดยโพสิชั่นนิ่งตัวเองเกมกลางสนาม และยังหาจังหวะขึ้นมาทำประตูได้อีกด้วย

ไคล์ วอล์คเกอร์ ก็เช่นเดียวกันที่อาศัยความรวดเร็วทั้งเคลื่อนที่ (วิ่ง) และรับบอลจากจุดเริ่มต้นที่ไม่ได้อยู่ริมเส้นเหมือนแบ็คทั่วไป และหุบมาด้านในเสมือนมิดฟิลด์ ประสานงานกับเพื่อน และเลี้ยงบอลทะลวงเข้าสู่พื้นที่ half space ก่อนยิงประตูซึ่งไว้โอกาสหน้าจะมาพูดถึงเรื่องพื้นที่ Half Space กันครับ

แน่นอนว่า ใน Shape ปกติจะเห็นแมนฯซิตี้ในระบบ 4-3-3 ตามหน้ากระดาษสร้าง Shape ได้สวยขณะรุกได้คล้ายกับ 2-3-2-3 หรือจะเรียกว่า 2-3-5 ก็สุดแล้วแต่

อย่างไรก็ดีจะเห็นบทบาทในพื้นที่ระหว่างไลน์รับ และแดนกลางคู่แข่งของ “2” เควิน เดอ บรอย และแบร์นาโด ซิลวา ที่จะสนับสนุน “3” ตัวบนได้อย่างน่าสนใจ

แน่นอนเช่นกัน ในที่นี้ กานเซโล และวอล์คเกอร์ จะหุบในเข้ามาเสมือนอีกไลน์ยืนร่วมกับมิดฟิลด์ตัวรับแท้ ๆ โรดรี้ โดยมี ลาปอร์ต และดิอาส เป็น “2” สุดท้าย

***ที่น่าสนใจมาก ๆ คือ การยืนตรงกลางเหมือนมิดฟิลด์ และริมเส้นนั้น ใช้ทักษะ เทคนิค และความถนัดต่างกัน ทว่าทั้งวอล์คเกอร์ และกานเซโล สามารถยืน 2 พื้นที่ได้อย่างไม่เคอะเขิน และหาใช่ฟูลแบ็คทุกคนจะคิดหลบในเข้ามายืนได้อย่างสะดวกสบาย***

อย่างไรก็ดีจะเห็นบทบาทของ เอแดร์ซอน ที่สามารถ +1 กลายเป็น “3” ร่วมเซ็ตบอลแรกกับ ดิอาส และลาปอร์ต ได้เช่นกัน

การได้เห็นเชฟแบบนี้ และหากแฟนทีมที่บอลบาลานซ์ไม่สมดุล หรือไม่สม่ำเสมออย่าง แมนฯยูไนเต็ด ได้มาเห็น ท่านก็อาจจะพอมองได้ว่า จริง ๆ แล้ว หากยืนได้ดี มิดฟิลด์ตัวรับอาจไม่จำเป็น และไม่ใช่ทางออกเสมอไป

ฟุตบอลต้องรับ และรุกเป็นทีม มิดฟิลด์ทั้ง 6, 7, 8 คนที่ยูไนเต็ดมีอยู่ไม่ได้แย่ แต่แค่จะเล่นอย่างไรเท่านั้นเอง

สรุป: แมนฯซิตี้ ใช้ กานเซโล่ และวอล์คเกอร์ มาช่วยประคอง และดัน high line รุกสูงทำให้สะดวกเวลารุกแล้วพลาดแล้วจะได้ pressing คืน หรือเวลารุกที่จำนวนตัวผู้เล่นในแดนคู่แข่งก็จะมากเช่นกันครับ

วันหน้า ผมจะนำแท็คติกส์อะไรแบบนี้จากโค้ชบอลมาฝากกันอีก ช่วยไลค์ ช่วยแชร์ให้เกิดประโยชน์กับวงการก็จะเป็นพระคุณมากนะครับ• ลิงก์นี้เป็น Podcast ที่ผมเคยทำไว้กับอาจารย์ >>> https://www.facebook.com/watch/174800352574845/3001521610107874 ลองติดตามดูครับปล.ภาพ และคำอธิบายในภาพอาจไม่ชัดนัก เพราะเพิ่งทำนะครับ แต่ผมได้เขียนคำอธิบายไว้ใน caption แต่ละภาพเพิ่มเติมแล้ว

☕ณัฐวุฒิ ประเทืองศิลป์

✍📷 อนันต์ อมรเกียรติ

Categories
Football Tactics

Prime Target Area (PTA)

ก่อนเกม “แดงเดือด” แมนฯ ยูไนเต็ด – ลิเวอร์พูล ภาคนี้ ผมมี “มิติ” การครอสส์บอล และจุดนัดพบที่เรียกว่า Prime Target Area (PTA) มาฝากนะครับ โดยต้องขอบคุณ “โค้ชน้อย” อนันต์ อมรเกียรติ กับข้อมูลเหมือนเดิม

ก่อนอื่น คำถาม คือ ทำไมต้องโยนจากด้านข้าง หรือครอสส์บอลจากด้านข้างสนามเข้าสู่กรอบเขตโทษ?

คำตอบกำปั้นทุบดินที่สุด คือ หากเจาะเข้า “ไข่แดง” ตรงกลาง หรือที่เรียกว่า Zone 14 ซึ่งก็คือ บริเวณเซนเตอร์ฮาล์ฟ ทะลุผ่านหัวกะโหลกกรอบเขตโทษไม่ได้ หรือคือ เล่น “หน้าไลน์” ตรงกลางพื้นที่แนวรับไม่ได้ เพราะคู่แข่งนักษาอาณาเขตสำคัญนี้ได้ดี หรืออีกนัยคือ บีบให้เราต้องเล่นบอลจากพื้นที่ด้านข้าง

การเล่น หรือทำเกมรุกในส่วน Final Third แดนคู่แข่งจากด้านข้างจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การที่ต้องโยนจากด้านข้าง คือ แนวทางหนึ่งของการรุกจากบริเวณริมเส้น เช่น เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ โยนจากในภาพ คือ Deep area แบบที่เรานิยมเรียกว่า early cross (หากทำด้วยความรวดเร็วก่อนแนวรับจะตั้งกระบวนทาาได้ และทำด้วยจังหวะเวลาเหมาะสม) ก็เพราะพื้นที่ตรงกลางแนวรับนั้นแน่นหนา

ความแน่นหนา เกิดได้จากปัจจัย อาทิ กองหลังฝ่ายตรงข้ามรับแบบ compact ยืนเป็นรถบัส 2 ชั้น และเน้นรับพิเศษบริเวณไข่แดงตรงช่องว่างระหว่างเซนเตอร์แบ็ค หรือช่องระหว่างเซนเตอร์ฯ กับฟูลแบ็ค (Half space) หรือคือ Zone 14 ทั้งหมด ที่เห็นในภาพคือ central area

งานนี้ ฝ่ายรุก จึงต้องหันไปเจาะเกมจากด้านข้างแทน เทรนท์เอง ไม่ได้ถนัดพาบอลไปถึง Wide area และ Goal line area ได้ สุดท้ายก็ต้องรีบโยนจากจุด Deep area เป็นออฟชั่นหลักของตนเอง แต่หากมี จอร์แดน เฮนเดอร์สัน มาช่วยเกมรุกฝั่งขวา หลายครั้งจะเห็น เฮนโด้ สามารถไปได้ถึง Wide area แล้วโยน ได้ หรือจะให้เด็ดกว่านั้น โม ซาลาห์ หรือซาดิโอ มาเน ซึ่งมีความสามารถ และความเร็วในการลากกระชากกินตัวสามารถไปได้ถึง Goal line area ได้ และเด็ดกว่านั้น คือ ซาลาห์ ทำประตูกับแมนฯซิตี้ และวัตฟอร์ด ได้จากการเข้าไปดังกล่าว เป็น 2 ประตู talk of the town โดยไม่จำเป็นต้องเปิดเข้ากลางด้วยซ้ำ

วกมาตอบคำถาม เมื่อเจาะตรงกลางไม่ได้ จึงต้องเจาะจากด้านข้าง และหากใช้แท็คติกส์การโยนเข้าไป การโยนก็ต้องครอสส์เข้าไปในเขตโทษไปสู่จุดที่เป็นประเด็นวันนี้ คือ PTA

PTA ตามนิยามของปรมาจารย์ลูกหนัง ชาร์ลส ฮิวจ์ส (Charles Huges – ลองเสิร์ชชื่อดูนะครับ) และที่โค้ชน้อย ร่วมทำสรุปมาเป็นภาพ และคำอธิบายประกอบก็คือ พื้นที่เข้าไปในกรอบ 6 หลาประมาณ 2 หลา (1.8 เมตร) และลากออกมาจากเส้นกรอบ 6 หลาจนถึงจุดโทษ หรือคืออีกประมาณ 6 หลา (5.3 เมตร) รวมเป็นยาว 8 หลา และกว้างเท่ากับความยาวกรอบ 6 หลา (ตามภาพ)

ครับ บริเวณ PTA คือ พื้นที่ที่ควรครอสส์ หรือทำเกมจากด้านข้างเข้าสู่กรอบเขตโทษ เพราะเป็นพื้นที่ระหว่างไลน์รับคู่แข่งกับผู้รักษาประตู

คำถาม คือ เทรนท์ หรือใคร ทีมใดก็แล้วแต่ โยนเข้าจุดดังกล่าวไหม? และหากเข้า ทำไมไม่เกิดประสิทธิภาพ

คำตอบมีได้หลากหลาย เช่น คู่แข่งรับต่ำ รับด้วยจำนวนมาก หรือนายทวารออกมากำกับจัดการได้ดี เฉพาะอย่างยิ่ง ลูกโยนจาก Deep area ที่ป้องกันได้ง่ายกว่า

นอกจากนี้ เทคนิคการครอสส์ก็สำคัญ ผมขอยกตัวอย่าง เดวิด เบคแคม หรือคอสตาส ซิมิกาส ที่โยนลักษณะ Whipped cross ซึ่งเร็ว แรง โค้ง แต่ไม่สูง ทำให้กองหลังตัวโตไม่มีประโยชน์ แต่นักเตะแนวรุกจะสามารถพุ่งเข้าชาร์จได้เลย

ไม่ได้บอกว่า เทรนท์ หรือคนอื่น ๆ ครอสส์ไม่ดี แต่การครอสส์ก็เหมือนการเปิดบอลที่มีหลายเทคนิค ฝากไว้เบา ๆ เป็นน้ำจิ้มก่อน “แดงเดือด” และประกอบการรับชมบอลให้สนุก มีความสุขนะครับ

☕ณัฐวุฒิ ประเทืองศิลป์

📷✍อนันต์ อมรเกียรติ