Categories
Football Business

บทเรียนของ ลิเวอร์พูล จากความผิดพลาดในโศกนาฎกรรม ESL

แม้จะไม่ใช่สโมสรแรกที่ถอนตัวจาก ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ลีก – ESL แต่ ลิเวอร์พูล เป็นสโมสรที่ “ชัดเจน” ที่สุดในบรรดา 6 สโมสรพรีเมียร์ลีกกับแอ็คชั่น “ขอโทษ” ผ่าน VDO เจ้าของทีม จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี้ แถลงการณ์ยอมรับความผิด และขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ผมต้องการจะขอโทษไปยังแฟนบอล และผู้สนับสนุนสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลทุกคนต่อเรื่องราวความวุ่นวายที่เกิดขึ้นโดยต้นเหตุเพราะผมในช่วงเวลา 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา”

“มันเกิดขึ้นโดยไม่มีการบอกกล่าว แต่สามารถได้พูดว่าโครงการที่เกิดขึ้นจะดำเนินไปไม่ได้เลย หากปราศจากการสนับสนุนของแฟนบอล ไม่มีใครเห็นต่างไปจากนั้น กว่า 48 ชั่วโมงที่เราได้เห็นอย่างชัดเจนว่ามันไม่อาจจะเป็นไปได้ เราได้ยินพวกคุณ และผมก็รับฟังพวกคุณ”

“ผมอยากจะขอโทษอีกครั้ง และขอรับผิดชอบต่อผลเสียที่เกิดขึ้นอย่างไม่จำเป็นช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาแต่เพียงผู้เดียว นี่จะเป็นเรื่องที่ผมไม่มีวันลืม เพราะมันแสดงให้เห็นถึงพลังของแฟนบอลในวันนี้ และจะยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปในอนาคต”

นี่เป็นคำขอโทษผ่านวิธีการที่ดีที่สุด แต่แฟนบอลเองจะมองว่า “จริงใจ” เพียงพอ หรือปล่อยผ่านได้เพียงใดนั้น คือ อีกเรื่องหนึ่ง

เพราะแฟนบอลก็คือ แฟนบอล ซึ่งเป็นมนุษย์พันธุ์พิเศษดังที่เราได้เห็นการต่อสู้ทุกรูปแบบ และมีส่วนไม่มากก็น้อยในการเป็น stakeholders หรือหนึ่งในผู้มีผลประโยชน์ร่วมกับทีมฟุตบอลในการขัดขวางการก่อกำเนิด ESL

-ย้อนกลับไปในเดือนกุมภาพันธ์ 2016 จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี้ เคยออกมากล่าวอะไรคล้าย ๆ กันแบบนี้มาก่อน ในเหตุการณ์หลังความพยายามจะขึ้นค่าตั๋วในเกมเหย้าสโมสร จากเดิม 59 ปอนด์ ไปเป็น 77 ปอนด์ ส่งผลให้แฟน ๆ ซูป้ายประท้วงในเกมกับ ซันเดอร์แลนด์ ก่อนวอล์กเอาต์ออกนอกสนามเมื่อเกมดำเนินมาถึงนาทีที่ 77 โดยหลังจากนั้น บอร์ดบริหารลิเวอร์พูล ได้แถลงการณ์ขอโทษแฟนบอล และยกเลิกแผนการขึ้นค่าตั๋วที่ว่า ในคราวนั้น จอห์น เฮนรี ก็ได้ออกมาพูดดังนี้

“เราเชื่อว่าเราได้แสดงให้เห็นถึงความเต็มใจที่จะรับฟังเสียงของแฟนบอลอย่างรอบคอบก่อนพิจารณาจุดยืนของเราใหม่ และดำเนินการทันที ความสัมพันธ์ที่เป็นเอกลักษณ์ และศักดิ์สิทธิ์ระหว่างสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล และบรรดาแฟนบอลเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในความคิดของเรา มันแสดงถึงจังหวะการเต้นของหัวใจ ณ สโมสรฟุตบอลที่ไม่ธรรมดาแห่งนี้ ยิ่งกว่าปัจจัยอื่นใดความผูกพันอันนี้คือสิ่งที่ผลักดันให้เราทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในนามของสโมสรต่อไปในอนาคต”

ส่วนอีกครั้งเกิดขึ้นในปีที่แล้วในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่พวกเขาเตรียมจะออกประกาศพักงานลูกจ้างของสโมสรให้ไปรับเงินชดเชย 80 เปอร์เซ็นต์ของรายได้จากรัฐบาล (Government Job Retention Scheme สมทบทุน 80% ของเงินเดือน แต่ไม่เกิน 2,500 ปอนด์ โดยสโมสรจะจ่ายที่เหลือ 20% ให้แรงงานสโมสรพวกเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการในหน่วยต่าง ๆ ระหว่างที่ไม่มีเกมการแข่งขัน ในช่วงพักงาน หรือ furlough)

หลายทีมเข้าร่วม นิวคาสเซิล, สเปอร์ส, บอร์นมัธ และนอริช รวมถึงลิเวอร์พูล ที่กลายเป็นว่า หงส์แดงโดนถล่มหนักสุดโดยสโมสรจะจ่ายส่วนต่างที่เหลือให้ครบเต็มจำนวนเงินเดือน ทำให้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากการที่มีผลประกอบการมากถึง 533 ล้านปอนด์ในฤดูกาล 2018-19 ตัดสินใจเช่นนั้น จนในที่สุด FSG ก็ยอมถอย และออกมาขอโทษแฟนบอล

“เราเชื่อว่าเราได้ข้อสรุปที่ผิดพลาดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในการประกาศว่าเราตั้งใจที่จะขอเข้าแผนในการรักษางานจากการระบาดของไวรัสโคโรนา และพักงานสโมสรเนื่องจากการที่พรีเมียร์ลีกมีการพักการแข่ง และเราเสียใจต่อเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง ความตั้งใจเดิมของเรา และยังเป็นสิ่งที่เราตั้งใจอยู่ในตอนนี้คือการปกป้องคนงานของเราให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จากการที่รายได้จะถูกลด หรือสูญเสียรายได้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้”

นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เราเห็นว่า ทำไมแฟนบอลจำนวนมาก ยัง “ฝังใจ” การกระทำในเชิงความรับผิดชอบ และทำเพื่อสังคมกับบอร์ดบริหารง่าย ๆ หลังจากเหตุการณ์ ESL จบลง เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาเคยกล่าวไปแล้วว่าจะ “รับฟัง” แฟนบอล แต่การตัดสินใจเข้าร่วมกับอีก 11 ทีมเพื่อก่อตั้งลีกใหม่คราวนี้ พวกเขาไม่ได้ฟังใคร เพราะแม้แต่ เยอร์เกน คล็อปป์ หรือ บิลลี โฮแกน (ซีอีโอ ของสโมสร) ก็ยังไม่รู้เรื่องด้วย (รายชื่อทั้งสองเป็นรายชื่อที่ถูกเอ่ยถึงเพื่อทำการขอโทษอย่างเป็นทางการจาก จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี้ ด้วย)

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แฟนบอลที่ยังมี “แผล” ฝังใจจะกลับมาตั้งคำถามถึงจอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี้ และ เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป (FSG) อีกครั้ง เพราะการกระทำในครั้งนี้ นอกจากจะไม่ฟังเสียจากแฟนบอล และมองผลประโยชน์เป็นที่ตั้งแล้ว มันยังแสดงออกถึงความไม่เข้าใจในวัฒนธรรมลูกหนัง และประวัติศาสตร์ของฟุตบอลอังกฤษ และหรือรวมไปถึงธรรมชาติของอุตสาหกรรมฟุตบอลไปพร้อม ๆ กันอีกด้วย 

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่บรรดาผู้บริหารทีมจะตัดสินใจผิดพลาดเกี่ยวกับนโยบายสโมสรซึ่งมีให้เห็นบ่อย ๆ เช่น จากการเลือกซื้อนักเตะที่ผิดพลาด การเลือกกุนซือ หรือทีมงาน หรือการทำโปรเจคต์โน้นนี้นั้น

แต่นโยบายการบริหารทีมขั้นสูงสุดขนาดเปลี่ยนโครงสร้าง ปรับโมเดล ผ่านกระบวนการลับ ๆ และมีเบื้องหลังมากมาย ถ้าพลาดแล้ว นอกจากทำลายภาพลักษณ์สโมสร มันยังทำลายความรู้สึกของแฟนบอลอีกด้วย 

อย่างไรก็ดี ความงดงามของโลกลูกหนังก็คือ การได้เห็นบรรดาแฟนบอลของ ลิเวอร์พูล และนักเตะ (เกิดกับทุก ๆ ทีมในข่าว) กลับยืนหยัดเป็นหนึ่งเดียวกันในการต่อต้านแนวคิดของ ESL อย่างชัดเจน เรียกได้ว่าเป็นระดับหัวหอก หรือแกนนำ เฉพาะอย่างยิ่ง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ในฐานะกัปตันทีมของสโมสร ได้ติดต่อหาบรรดากับตันทีมอื่น ๆ ในพรีเมียร์ลีก เพื่อมานั่งพูดคุยเกี่ยวกับกรณีนี้

“เราไม่ชอบสิ่งนี้ และเราไม่อยากให้มันเกิดขึ้น นี่คือจุดยืนร่วมกันสำหรับเรา สำหรับความมุ่งมั่นทุ่มเทของเราที่มีให้กับสโมสรฟุตบอลแห่งนี้ และต่อแฟนบอลเป็นสิ่งที่แน่นอน และไม่มีเงื่อนไข” เฮนโด้ ทวีตลงโซเชียลมีเดีย พร้อมกับ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ และเจมส์ มิลเนอร์ ก่อนจะเป็นกระแสตามมาทั่วโลกซึ่งแน่นอนมีผลถึง stakeholders สำคัญอื่น ๆ เช่น สเปอนเซอร์ ที่เริ่มออกมาแสดงจุดยืนจะ “ผงะ” จาก ESL 

โดยทาง มิลลี เองก็ถูกถามหลังเกมที่เสมอกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด เกี่ยวกับประเด็นนีอีกครั้ง และเขาก็ไม่เลี่ยงที่จะแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมา

“ผมไม่ชอบเลย และหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้น” มิลเนอร์ตอบสกาย สปอร์ตส์ “ผมพูดได้แค่เฉพาะมุมมองของผมเอง ผมไม่ชอบ และหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้น ผมจินตนาการได้เลยว่าความเห็นจะออกมาเป็นอย่างไร และผมก็อาจจะเห็นด้วยกับหลาย ๆ ความเห็น”

ด้าน เยอร์เกน คล็อปป์ ก็เป็นคนแรก ๆ ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นสวนทางกับ จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี้ แม้จะไม่สามารถพูดอะไรได้มากนักก็ตาม แต่ก็ถือว่า พูดไป “กลืนเลือด” ไปชัดเจน

“สิ่งหนึ่งที่ผมเข้าใจ และคนอื่น ๆ คิดว่าไม่ถูกต้อง คือ (ESL) มันไม่มีการแข่งขัน ผมชอบความจริงที่ว่า เวสต์แฮมฯ อาจได้เล่น แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า ซึ่งผมไม่ต้องการแบบนั้น เพราะผมต้องการให้พวกเราอยู่ที่นั่น แต่สิ่งที่ผมชอบคือพวกเขามีโอกาส” คล็อปป์ กล่าวก่อนเกมกับ ลีดส์

บรรดานักฟุตบอล และแฟนบอลของ ลิเวอร์พูล ต่างมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน หาใช่เพราไม่ได้ชอบเม็ดเงินที่จะได้จากการแข่งขัน หากแต่เข้าใจธรรมชาติ และวัฒนธรรมของฟุตบอลซึ่งยึดโยงกับคน “ทุกกลุ่ม” หาใช่เพียง “กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง” เท่านั้น 

ดังนั้น คำขอโทษของ จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี ในฐานะเจ้าของทีมที่ออกมา อาจจะช่วยให้เหล่าแฟน ๆ เย็นลงได้บ้าง แต่แน่นอนว่า มันคนละเรื่องกับการ “ให้อภัย” หรือ “ไว้ใจ”

นี่จึงกลายเป็นบทเรียนครั้งสำคัญอีกครั้งที่ จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี้ และเอาเข้าจริง ๆ แล้วก็คือ ผู้บริหารทุกสโมสรใหญ่ที่คิดมานานแล้ว หรือคิดมาตลอดจะ “ก่อการ” ตั้งแต่ยูโรเปี้ยน คัพ มายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มา G14 กระทั่งถึง ESL จะต้องเรียนรู้ สำเหนียก และใส่ใจให้มาก 

เพราะหลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ถ้าจะมีความผิดพลาดอันเกิดมาจากการไม่ใส่ใจ ไม่รับฟัง หรือเห็นแก่ผลประโยชน์มากเกินไปซ้ำอีกล่ะก็ กระแสอาจกระหน่ำใส่ FSG และจอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี้ จนเกินกว่าจะรับไหวก็ได้

ที่สำคัญต้องอย่าลืมว่า เมื่อใดก็ตามที่แฟนบอลหันหลังให้ เมื่อนั้นต่อให้มีเงินมากมายเพียงใด ก็ไม่อาจซื้อความเชื่อใจกลับคืนมาได้