Categories
Football Business

พรี-ซีซั่น 2022 : เรื่องเงินๆ ทองๆ ของยักษ์ใหญ่ลีกยุโรป

หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กินเวลามากว่า 2 ปี ทำให้สโมสรฟุตบอลชั้นนำจากยุโรป ต้องงดการเดินทางไปเตะอุ่นเครื่อง “พรี-ซีซั่น” ที่ต่างประเทศเป็นการชั่วคราว

ต่อมาเมื่อสถานการณ์โควิดดีขึ้นตามลำดับ ดูเหมือนว่าบรรดาทีมลูกหนังยักษ์ใหญ่ ต่างมีแผนที่จะกลับมาเตะอุ่นเครื่องนอกยุโรป เพื่อหวังชดเชยรายได้ที่สูญเสียไปตลอด 2 ปีที่ผ่านมา

ซึ่งการตะลอนทัวร์เพื่อเตะอุ่นเครื่องในปีนี้ มีเกม “บิ๊กแมตช์” ระดับโลก เกิดขึ้นถึง 2 แมตช์ ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน คือศึก “แดงเดือด” ในประเทศไทย กับ “เอล กลาซิโก้” ที่สหรัฐอเมริกา

เกมพรี-ซีซั่นในต่างแดนของลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า หรืออื่น ๆ เกี่ยวข้องกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ อย่างไร วันนี้ SoccerSuckไข่มุกดำ จะมาขยายให้ฟังกันครับ

เปิดตำนาน “แดงเดือด” นอกเมืองผู้ดี

ลิเวอร์พูล กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ว่าจะเจอกันที่ไหน ถือว่าเป็นแมตช์ที่ยิ่งใหญ่ สมกับเป็นคู่ปรับที่แย่งชิงความสำเร็จมาตลอด ซึ่งก่อนหน้านี้ 2 ทีมคู่ปรับตลอดกาล เคยพบกันนอกเกาะอังกฤษมาแล้ว 3 ครั้ง

ครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อปี 1983 ในเกมอุ่นเครื่อง “เทสติโมเนียล แมตช์” ให้บิลลี่ เดรนแนน เลขาธิการสมาคมฟุตบอลไอร์แลนด์ โดยจัดแข่งที่ประเทศไอร์แลนด์เหนือ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายชนะ 4 – 3

ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2014 ในรายการอินเตอร์เนชั่นแนล แชมเปี้ยนส์ คัพหรือ “ไอซีซี คัพ” ที่รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ทั้งคู่พบกันในรอบชิงชนะเลิศ ปิศาจแดง เอาชนะได้อีกครั้ง ด้วยสกอร์ 3 – 1

ส่วนครั้งที่ 3 เกิดขึ้นในปี 2018 ในรายการไอซีซี คัพ เช่นเดียวกัน ที่รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ท่ามกลางผู้ชมกว่า 1 แสนคน คราวนี้เป็นฝ่ายหงส์แดง ที่ล้างแค้นได้สำเร็จ เอาชนะไป 4 – 1

สำหรับเกมพรี-ซีซั่น “แดงเดือด” ครั้งที่ 4 ศึกอุ่นเครื่องรายการพิเศษ “เดอะ แมตช์ แบงค็อก เซ็นจูรี่ คัพ 2022” ในวันที่ 12 กรกฎาคมนี้ เป็นการพบกันนอกเมืองผู้ดีครั้งแรกในประเทศไทย และทวีปเอเชีย

และหลังจากจบแมตช์ที่กรุงเทพมหานคร ลิเวอร์พูลจะเดินทางต่อไปที่สิงคโปร์, เยอรมัน และออสเตรีย ขณะที่ยูไนเต็ด จะไปต่อที่ออสเตรเลีย และนอร์เวย์ ก่อนที่จะกลับสู่ประเทศอังกฤษ

ขอบคุณภาพ https://web.facebook.com/manchesterunited

ย้อนรอย “เอล กลาซิโก้” ในต่างแดน

ทางด้านเรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลน่า 2 ทีมยักษ์ใหญ่ของ ลาลีกา สเปน ก็เคยมีประวัติศาสตร์การพบกันในเกมอุ่นเครื่อง “พรี-ซีซั่น” นอกแดนกระทิงดุมาแล้ว 3 ครั้ง เท่ากับศึกแดงเดือดนอกอังกฤษ

ครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อปี 1982 ในรายการพิเศษ “เวเนซูเอล่า คัพ” อุ่นเครื่องก่อนฟุตบอลโลก ที่ประเทศเวเนซูเอล่า รอบชิงอันดับ 3 เรอัล มาดริด เอาชนะไป 1 – 0 จากประตูชัยของบิเซนเต้ เดล บอสเก้

ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2017 ในรายการอินเตอร์เนชั่นแนล แชมเปี้ยนส์ คัพหรือ “ไอซีซี คัพ” ที่สนามฮาร์ด ร็อก สเตเดี้ยม รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา เป็นบาร์เซโลน่า ที่เอาชนะด้วยสกอร์ 3 – 2

ส่วนครั้งที่ 3 เกิดขึ้นเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ในรายการ “สแปนิช ซูเปอร์ คัพ” ที่ประเทศซาอุดีอารเบีย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของการพบกันในแมตช์อย่างเป็นทางการ ที่จัดขึ้นนอกประเทศสเปนอีกด้วย

เกมในรอบรองชนะเลิศ ที่สนามคิง ฟาฮัด อินเตอร์เนชั่นแนล สเตเดี้ยม ในกรุงริยาดห์ ผลปรากฏว่า “ราชันชุดขาว” ชนะ “เจ้าบุญทุ่ม” 3 – 2 หลังต่อเวลาพิเศษ เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้ เป็นผู้ยิงประตูชัยในเกมนี้

และในครั้งที่ 4 ของ “เอล กลาซิโก้” นอกแผ่นดินสเปน จะมีขึ้นที่สนามแอลลีเจียนท์ สเตเดี้ยม ในลาส เวกัส สหรัฐอเมริกา วันที่ 23 กรกฎาคมนี้ ถือเป็นการกลับมาอุ่นเครื่องที่อเมริกาเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี

EL CLÁSICO 2017 at Santiago Bernabéu
ขอบคุณภาพ https://web.facebook.com/fcbarcelona

ทีมบอลยุโรปได้อะไรจาก “พรี-ซีซั่น”

การเดินทางมาเตะอุ่นเครื่องในต่างประเทศ เป็นวิธีหนึ่งในการทำเงิน เพราะนอกจากจะได้ค่าจ้างแล้ว ยังได้ขยายฐานแฟนบอล ทำให้สโมสรเป็นที่รู้จักมากขึ้น ชนิดที่ไม่ต้องประเมินเลยว่าคุ้มค่าหรือไม่

เท่านั้นยังไม่พอ ได้สายสัมพันธ์กับบริษัทระดับชั้นนำในประเทศนั้น ๆ และมีโอกาสได้มาเป็นสปอนเซอร์ให้กับสโมสรในอนาคตเพื่อต่อยอดทางธุรกิจ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเหตุผลเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ทั้งสิ้น

หลายทีมในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ จะเน้นเไปที่ทวีปเอเชีย ส่วน 2 ยักษ์ใหญ่ลาลีกา สเปน อย่างเรอัล มาดริด และบาร์เซโลน่า จะเน้นเจาะตลาดที่สหรัฐอเมริกา ผ่านรายการอุ่นเครื่องไอซีซี คัพ (ปัจจุบันยกเลิกแล้ว)

ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด คือเกมอุ่นเครื่องไอซีซี คัพ เมื่อปี 2014 ระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับเรอัล มาดริด ที่มิชิแกน สเตเดี้ยม สร้างสถิติมีผู้เข้าชมการแข่งขันสูงสุดถึง 109,138 คน

แหล่งข่าวรายหนึ่งระบุว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เรอัล มาดริด และยักษ์ใหญ่บางทีมในยุโรป ได้ค่าจ้างไม่ต่ำกว่า 2 ล้านปอนด์ ต่อการจัดแข่งขันฟุตบอลพรี-ซีซั่นในต่างประเทศ 1 นัด

แต่เมื่อมีสถานการณ์โควิด-19 เข้ามา ทั่วโลกมีข้อจำกัดในด้านการเดินทางข้ามประเทศ ทำให้ไม่สามารถจัดเกมพรี-ซีซั่นในต่างแดนได้ ส่งผลกระทบกับทีมฟุตบอลที่ต้องสูญเสียรายได้ในส่วนนี้ไป

มีรายงานว่า แมนฯ ยูไนเต็ด มีรายได้ในรอบปัญชีปี 2020-2021 (สิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2021) ลดลงเกือบ 50 ล้านปอนด์ จาก 279 ล้านปอนด์ เหลือ 232.2 ล้านปอนด์ จากผลกระทบโควิด-19

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สโมสรฟุตบอลในปัจจุบัน เป็น “ธุรกิจ” เต็มรูปแบบ โดยเฉพาะบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ ที่พร้อมจะหาเงินทุกทางที่สามารถทำได้ เพื่อนำผลประโยชน์เข้าสู่สโมสรให้ได้มากที่สุด

ขอบคุณภาพ https://web.facebook.com/fcbarcelona

และมุมคนจ่ายสตางค์ คุ้มค่าแค่ไหน ?

การเชิญสโมสรฟุตบอลชื่อดังของยุโรป มาเตะอุ่นเครื่องในประเทศของตัวเอง ผู้ที่จ่ายเงินเป็นลำดับแรก คือ “เจ้าภาพจัดการแข่งขัน” ซึ่งต้องมีทุนหนามากพอในการจ้างทีมเหล่านี้มาแข่งขัน

กรณีของลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มาเตะอุ่นเครื่องในไทย แน่นอนว่า การจ้าง 2 สโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอังกฤษ ต้องใช้เงินมหาศาล แต่ก็มีการหารายได้มาจากเงินที่เสียไปเช่นเดียวกัน

ซึ่งคุณวินิจ เลิศรัตนชัย ในฐานะผู้จัด “แมตช์แห่งศตวรรษ” ก็ไม่ได้คาดหวังว่าการลงทุนในครั้งนี้จะต้องคืนทุน แต่ที่แน่ ๆ ขื่อของผู้บริหารเฟรชแอร์ เฟสติวัล ได้กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างเรียบร้อยแล้ว

ขณะที่ “แฟนบอล” ในฐานะลูกค้าคนสำคัญ ก็พร้อมที่จะจ่ายเงินแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด เพราะรู้ดีว่าโอกาสที่จะได้ดูทีมที่ตัวเองรัก นักเตะที่ตัวเองชอบ แบบไม่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ คงไม่ได้มีบ่อย ๆ

แต่ก็มีนักเตะระดับบิ๊กเนม หรือซูเปอร์สตาร์บางคน ก็เลือกที่จะไม่เดินทางมากับทีม หรือมาด้วยแต่ไม่ขอลงเล่น เพราะมองว่าการไปอุ่นเครื่องต่างแดน อาจส่งผลกระทบต่อสภาพร่างกายก่อนเปิดซีซั่นใหม่

ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีนักเตะระดับดาวดังลงสนามในเกมอุ่นเครื่อง แต่ชื่อ “แบรนด์” ของสโมสรระดับโลก ที่มาแข่งขันในประเทศของตัวเอง ยังไงก็ดึงดูดแฟนบอลให้เข้ามาชมแบบเต็มสนามได้ไม่ยาก

ซึ่งราคาบัตรเข้าชมการแข่งขัน แมตช์ “แดงเดือด” ในไทย ต่ำสุด 5,000 บาท สูงสุด 25,000 บาท ส่วนเกม “เอล กลาซิโก้” ที่อเมริกา ต่ำสุด 9,000 บาท สูงสุด 32,400 บาท โดยประมาณ (1 USD = 36 THB)

เกมอุ่นเครื่องพรี-ซีซั่นในต่างประเทศ ทีมฟุตบอลได้ผลประโยชน์ทางธุรกิจ ส่วนผู้จัดและแฟนบอล ต่างก็คาดหวังว่า การแข่งขันจะมอบความสุขมาให้ โดยที่ไม่ต้องมาคิดเสียดายเงินที่จ่ายไปในภายหลัง

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://theathletic.com/3392107/2022/07/01/premier-league-preseason-fixture-revenue/

https://www.si.com/soccer/2022/06/10/soccer-champions-tour-real-madrid-barcelona-clasico-las-vegas

https://www.si.com/soccer/2020/07/02/la-liga-north-america-usa-market-tv-deal-barcelona-real-madrid-icc

https://www.sportingfree.com/football/how-much-money-do-clubs-make-during-pre-season/

https://www.totalsportal.com/football/how-much-do-football-clubs-earn-in-the-preseason-tours/

https://www.thenationalnews.com/business/football-s-preseason-season-is-a-major-money-spinner-for-some-1.616477

Categories
Special Content

อักเซล วิตเซล : มิดฟิลด์ใหม่วัยเก๋า “ตราหมี” กับ 5 เรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้

อักเซล วิตเซล เป็น 1 ในมิดฟิลด์ประสบการณ์สูง ที่ผ่านการค้าแข้งในหลายประเทศ แต่เขาตัดสินใจแยกทางกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ หลังหมดสัญญา 4 ปี เมื่อสิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

ในที่สุด แอตเลติโก มาดริด ก็ได้จัดการสอยตัววิตเซล กองกลางทีมชาติเบลเยียม มาร่วมทีมแบบไม่มีค่าตัว และกลายเป็นผู้เล่นใหม่คนแรกของ “ตราหมี” ในช่วงตลาดนักเตะซัมเมอร์ปีนี้

วิตเซล เริ่มต้นเส้นทางนักฟุตบอลตั้งแต่อายุ 6 ขวบ กับทีมเยาวชนของอาร์อาร์ซี ว็อตเท่ม, ซีเอส วิเซ่ จนได้เข้าสู่อคาเดมี่ของสตองดาร์ด ลีแอซ สโมสรชื่อดังในบ้านเกิดของเขา เมื่อปี 1999

หลังจากใช้เวลาอยู่กับอคาเดมี่ของลีแอชนานถึง 7 ปี วิตเซลก็ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของลีแอชได้สำเร็จ และระเบิดฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมในตำแหน่งปีก ก่อนที่จะย้ายมาเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง

ตลอด 5 ปี ที่วิตเซลค้าแข้งกับลีแอช ลงเล่น 194 นัด ยิง 45 ประตู กับ 18 แอสซิสต์ พาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเบลเยียม 2 สมัยติดต่อกัน, แชมป์เบลเยียม คัพ 1 สมัย และแชมป์ซูเปอร์คัพ 2 สมัยติดต่อกัน

ต่อมาในปี 2011 วิตเซลได้หาประสบการณ์ค้าแข้งนอกประเทศบ้านเกิด เริ่มจากเบนฟิก้า ยักษ์ใหญ่ลีกโปรตุเกส, เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ทีมดังลีกรัสเซีย และเทียนจิน ฉวนเจียน สโมสรในประเทศจีน

จนกระทั่งในปี 2018 วิตเซลได้ย้ายมาค้าแข้งกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งบุนเดสลีกา เยอรมัน เซ็นสัญญา 4 ปี ในช่วง 2 ฤดูกาลแรกกับ “เสือเหลือง” เจ้าตัวได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ

อย่างไรก็ตาม ในเดือนมกราคม 2021 วิตเซลได้รับบาดเจ็บเอ็นร้อยหวายฉีก ต้องพักยาวจนจบซีซั่น2020/21 และมีความกังวลว่า เขาอาจจะฟื้นตัวไม่ทันสำหรับการช่วยทีมชาติเบลเยียม สู้ศึกฟุตบอลยูโร 2020

ซึ่งเป็นความโชคดีของวิตเซล ที่สามารถเรียกความฟิตกลับมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ และได้ลงสนามในฟุตบอลยูโร เมื่อช่วงกลางปีที่แล้ว ทั้งหมด 4 นัด ช่วยให้ “ปีศาจแดงแห่งยุโรป” ผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย

สำหรับฤดูกาล 2021/22 ที่ผ่านมา วิตเซลก็กลับมาลงเล่นอย่างสม่ำเสมออีกครั้ง แต่หลังจากจบซีซั่น เขาตัดสินใจไม่อยู่กับดอร์ทมุนด์ต่อไป จึงเลือกที่จะย้ายไปหาความท้าทายใหม่ๆ กับ แอต. มาดริด ในที่สุด

ในส่วนของการรับใช้ทีมชาติเบลเยียมนั้น ดาวเตะวัย 33 ปี ลงสนามไปแล้วถึง 124 นัด มากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากยาน แฟร์ตองเก้น (139 นัด) และเคยผ่านประสบการณ์ฟุตบอลโลก และฟุตบอลยูโร อย่างละ 2 สมัย

ด้วยคุณภาพ และประสบการณ์ที่ผ่านเกมระดับสูงมากว่า 600 นัด อักเซล วิตเซล อาจเป็นดีลที่ตอบโจทย์สำหรับแอต. มาดริด ก็เป็นได้ และนี่คือ 5 เรื่องราวของเขา ที่คุณอาจยังไม่เคยรู้

ในวัยเด็ก เคยเล่นฟุตซอลมาก่อน

ก่อนที่จะมาเล่นฟุตบอล วิตเซลในวัยเด็ก ได้ใช้เวลาไปกับการเล่นฟุตซอลโดยส่วนใหญ่ เพราะได้แรงบันดาลใจมาจากเธียร์รี่ คุณพ่อของเขา ที่เคยเป็นอดีตนักฟุตซอลในระดับลีกดิวิชั่น 1 ของเบลเยียม แต่ท้ายที่สุดแล้ว คุณพ่อได้แนะนำให้ลูกชายเลือกฟุตบอล เพราะมองเห็นอนาคตที่ดีกว่า

มีออพชั่นเลือกเล่นให้กับทีมชาติฝรั่งเศสได้

คุณพ่อเธียร์รี่ เป็นชาวเกาะมาร์ตินีก เกาะทางตะวันออกของทะเลแคริบเบียน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในดินแดนของประเทศฝรั่งเศส ทำให้อักเซล สามารถเลือกเล่นให้กับทีมชาติฝรั่งเศส ตามสัญชาติของคุณพ่อได้ แต่อักเซลตัดสินใจเลือกเล่นให้กับทีมชาติเบลเยียม ตั้งแต่ปี 2008 จนถึงปัจจุบัน

สังหารจุดโทษ พาทีมคว้าแชมป์ลีก

ในนัดสุดท้ายของลีกสูงสุดเบลเยียม ฤดูกาล 2008/09 สตองดาร์ด ลีแอซ บุกไปชนะเกนท์ 1 – 0 จากจุดโทษของวิตเซล ทำให้มีแต้มเท่ากับอันเดอร์เลชท์ ต้องตัดสินทีมแชมป์ด้วยการเตะเพลย์ออฟแบบเหย้า-เยือน และเกมในเลกสองที่บ้านของลีแอซ วิตเซลก็เป็นฮีโร่อีกครั้ง ด้วยการสังหารลูกโทษเช่นเดิม พาทีมชนะ 1 – 0 และคว้าแชมป์ไปครอง ด้วยสกอร์รวม 2 – 1

เคยถูกขู่ฆ่า เพราะย่ำใส่คู่แข่งจนเจ็บหนัก

วันที่ 30 สิงหาคม 2009 วิตเซลในวัย 20 ปี ลงเล่นให้กับสตองดาร์ด ลีแอซ ในเกมที่บุกไปเยือนอันเดอร์เลชท์ คู่ปรับตลอดกาลของพวกเขา และถูกไล่ออกจากสนาม เพราะไปย่ำใส่ข้อเท้าของมาร์ซิน วาซิเลวสกี้ อดีตเซ็นเตอร์แบ็กทีมชาติโปแลนด์จนขาหัก ทำให้แฟนบอลเจ้าบ้าน และแฟนบอลชาวโปแลนด์โกรธแค้นเจ้าตัวอย่างหนัก ถึงขั้นขู่ฆ่าเอาชีวิตเลยทีเดียว

สวมเสื้อเบอร์ 28 กับทุกสโมสรที่เคยค้าแข้ง

ตลอดชีวิตการเป็นนักฟุตบอลระดับอาชีพ กับสตองดาร์ด ลีแอซ, เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก, เทียนจิน ฉวนเจียน และโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ วิตเซลได้สวมเสื้อหมายเลข 28 ครบทุกสโมสรที่เคยค้าแข้ง แต่สำหรับแอตเลติโก้ มาดริด คงจะเป็นเรื่องยากลำบากพอสมควร ในการสวมเสื้อเบอร์นี้

การเข้ามาของวิตเซล ทำให้ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ มีตัวเลือกเพิ่มในแดนกลางอีก 1 คน ซึ่งในตอนนี้มีทั้งเอคเตอร์ เอร์เรร่า, เชฟเฟ่ กงด็อกเบีย, โรดริโก้ เดอ ปอล, ซาอูล นีเกซ และโกเก้ ที่เป็นมิดฟิลด์ธรรมชาติ

อักเซล วิตเซล เป็นกองกลางจอมเทคนิค เล่นได้หลากหลายตำแหน่งในแผงมิดฟิลด์ และรักษาสมดุลในแดนกลางเหมือนที่เคยทำไว้กับดอร์ทมุนด์ ถือเป็นหนึ่งในนักเตะที่น่าจับตามอง ในซีซั่นใหม่ที่จะถึงนี้

Categories
Special Content

ส่องสถิติการครองบอลในลาลีกา ฤดูกาล 2021/22

การครองบอล คืออีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ที่นอกเหนือจากการผ่านบอลและทีมเวิร์ก เพราะเป็นการสร้างทางเลือกเพื่อทำให้ฝั่งตัวเองได้เปรียบ ถือเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังอย่างยิ่ง ในการเอาชนะฝั่งตรงข้าม

และเมื่อพูดถึงสไตล์การเล่นที่เป็นจุดเด่นมาช้านานของลาลีกา สเปน คือการครองบอลให้มากที่สุด และเน้นความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะ ในความพยายามที่จะหาช่องในการเข้าทำประตูให้ได้มากที่สุด

Mediacoach และ Microsoft ได้เปิดเผยข้อมูลการครองบอลของทีมและผู้เล่น ไล่ตั้งแต่แผงมิดฟิลด์ฝั่งตรงข้าม, แนวรับฝั่งตรงข้าม จนนำไปสู่การลุ้นยิงประตู ในการแข่งขันตลอดซีซั่น 2021/22 ที่ผ่านมา

ครองบอลเพื่อทำลายแผงมิดฟิลด์คู่แข่ง

อันดับแรก เริ่มที่การครองบอลในการหาทางเจาะแนวกองกลางฝ่ายตรงข้าม เพื่อขยายพื้นที่ในการพาบอลเข้าไปสู่แนวรับต่อไป โดยเรอัล มาดริด, เซลต้า บีโก้ และบาร์เซโลน่า คือ 3 ทีมที่มีสถิติในการครองบอลส่วนนี้ดีที่สุด

ขณะที่นักเตะที่มีสถิติครองบอลเพื่อเจาะมิดฟิลด์คู่แข่งดีที่สุด 5 อันดับแรก มีนักเตะเซลต้า บีโก้ ติดมา 2 คน คือ เนสตอร์ อเราโฆ่ กับฆาเวียร์ กาลัน ส่วนที่เหลือประกอบด้วยฟราน การ์เซ๊ย (ราโย บาเยกาโน่), เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้ (เรอัล มาดริด) และโยฮัน โมจิก้า (เอลเช่)

ครองบอลเพื่อทำลายแนวรับคู่แข่ง

เมื่อฝ่ายบุกได้ทะลวงผ่านบริเวณกลางสนามไปแล้ว ก็ต้องหาทางเจาะกองหลังคู่แข่ง เพื่อเปิดพื้นที่ และพาบอลเข้ากรอบเขตโทษของฝ่ายรับให้มากขึ้น โดยทีมที่ทำได้ดีที่สุด 3 อันดับแรก คือบาร์เซโลน่า, กาดิซ และเอสปันญ่อล

ในส่วนของ 5 อันดับนักเตะที่ครองบอลเพื่อเจาะแนวรับได้ดีที่สุด ได้แก่ อาเดรีย เปโดรซ่า (เอสปันญ่อล), อีวาน อเลโฆ่ (กาดิซ), หลุยส์ ริโอฆา (อลาเบส), วินิซิอุส จูเนียร์ (เรอัล มาดริด) และโยฮัน โมจิก้า (เอลเช่) เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่มีนักเตะบาร์เซโลน่าคนใด ติดอยู่ในท็อป 5 เลย

ครองบอลที่นำไปสู่โอกาสการทำประตู

ปิดท้ายด้วยการครองบอลเพื่อสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมลุ้นยิงประตู อาจมีการผ่านบอลเพียง 1 – 2 จังหวะ ก่อนจบด้วยความพยายามที่จะส่งบอลเข้าไปในตาข่าย ซึ่งเรอัล มาดริด, เรอัล เบติส และบียาร์เรอัล คือทีมที่ติดท็อป 3 ในส่วนนี้

สำหรับนักเตะที่มีสถิติครองบอลเพื่อนำไปสู่โอกาสในการยิงประตูมากที่สุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย วินิซิอุส จูเนียร์ (เรอัล มาดริด), นาบิล เฟคีร์ (เรอัล เบติส), หลุยส์ ริโอฆา (อลาเบส), อุสมาน เดมเบเล่ (บาร์เซโลน่า) และยาโก้ อัสปาส (เซลต้า บีโก้)

ความสำคัญของการครองบอล ไม่ได้มีแค่การควบคุมหรือบังคับบอล เพื่อไม่ให้ถูกคู่แข่งแย่งไปเท่านั้น แต่รวมถึงการสร้างโอกาสในการทำประตู ที่อาจจะเป็นตัวตัดสินผลการแข่งขันก็เป็นได้

ส่วนในฤดูกาล 2022/23 ที่กำลังจะมาถึงนี้ จะมีทีมใดหรือนักเตะคนไหน ติดอยู่ในลิสต์การครองบอลที่ดีที่สุดกันบ้าง หลังจบซีซั่นช่วงกลางปีหน้า คงจะได้ทราบกันอย่างแน่นอน

Categories
Special Content

คืนเสรีภาพ “ยืนเชียร์” ให้แฟนบอลอังกฤษหลังแบนเกือบสามสิบปี

แฟนบอลพรีเมียร์ลีกและแชมเปี้ยนชิพของอังกฤษกำลังจะได้รับไฟเขียวให้กลับมายืนเชียร์อีกครั้งหลังโดนแบนเกือบสามทศวรรษซึ่งมีผลมาจากรัฐบาลอังกฤษสั่งให้สนามฟุตบอลทุกแห่งระดับเทียร์ 1-2 ปรับเป็นอัฒจันทร์สำหรับนั่งอย่างเดียวเพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยโศกนาฏกรรมที่ฮิลล์สโบโรห์เมื่อปี 1989 ที่พรากชีวิตแฟนบอลลิเวอร์พูลไปถึง 97 คน

กฎหมายที่ระบุให้สโมสรพรีเมียร์ลีกและแชมเปี้ยนชิพปรับปรุงอัฒจันทร์ให้เป็นแบบนั่งชมทั้งสนาม (All-seater Stadium) เริ่มมีผลบังคับใช้ครั้งแรกในฤดูกาล 1994-95 หลังได้รับการพิจารณาสาเหตุของโศกนาฏกรรมฮิลล์สโบโรห์จาก “เทย์ลอร์ รีพอร์ต” ซึ่งเป็นรายงานการสอบสวนของคณะกรรมการที่รับผิดชอบโดย ลอร์ดจัสติน เทย์เลอร์ ที่ออกมาเผยแพร่ในเดือนมกราคม 1990

เกือบสามทศรรษที่อัฒจันทร์โซน “ยืนดูบอล” โดนแบนแต่ไม่ได้หมายความว่าแฟนบอลจะนั่งเชียร์ก้นติดเก้าอี้ตลอดแมตช์การแข่งขันเพราะบางช่วงที่เกมบนฟลอร์หญ้าสู้กันดุเดือดคู่คี่สูสี กองเชียร์ก็อดใจไม่ไหวต้องลุกขึ้นมากำหมัดชูแขนตะโกนเชียร์ตะเบงเสียงร้องเพลงเป็นระยะๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทำได้เพียงจับตามองอย่างเฝ้าระวัง ไม่กระทำการใดๆหากสถานการณ์ยังไม่ส่อแววเกิดอันตราย

แต่เชื่อว่าภายในอนาคต เกมลูกหนังพรีเมียร์ลีกและแชมเปี้ยนชิพจะได้รับอนุญาตให้แฟนๆยืนดูอย่างถูกกฎหมายในโซนsafe standing ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของอัฒจันทร์สนามที่ได้รับการปรับปรุงให้ดูบอลอย่างปลอดภัย

การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นสืบเนื่องจากผลลัพธ์ที่น่าพอใจทั้งความปลอดภัยและความสนุกสนานขณะเชียร์บอลผ่านโครงการทดลอง เซฟ สแตนดิ้ง เมื่อต้นปีที่แล้ว ซึ่งนำร่องโดยสี่สโมสรยักษ์ใหญ่พรีเมียร์ลีก แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี และ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ รวมถึง คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ อีกหนึ่งทีมจากแชมเปี้ยนชิพ ไม่รวมลิเวอร์พูลที่ลงมือทดลองกับสนามแอนฟิลด์ไปแล้ว

ทั้งห้าทีมได้ปรับปรุงพื้นที่ส่วนหนึ่งให้เป็นโซน “ยืนอย่างปลอดภัย” ก่อนประเดิมการใช้งานนัดแรกเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2021 ซึ่งเป็นช่วงที่มาตรการโควิด-19ได้รับการผ่อนปรน เป็นการแข่งขันที่สนามสแตมฟอร์ดบริดจ์ระหว่าง เชลซี กับ ลิเวอร์พูล ซึ่งเสมอกันไป  2-2 ตามด้วยวันต่อมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้อนรับ วูลฟ์แฮมป์ตัน ที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด

อะไรคือ “เซฟ สแตนดิ้ง” กับความสำเร็จของโครงการยืนเชียร์ปลอดภัย

โซนยืนเชียร์ปลอดภัยหรือ Safe Standing เป็นพื้นที่ที่อนุญาตให้แฟนบอลยืนดูการแข่งขันได้ตลอดทั้งแมตช์ อัฒจันทร์ส่วนนี้ได้รับการปรับปรุงให้เป็นที่นั่งแบบ Rail Seat คือมีเก้าอี้พับได้ให้แฟนบอลเลือกกางนั่งหรือพับเก็บเวลายืนเชียร์ก็ได้ โดยล็อคติดกับราวโลหะที่สูงระดับเอวเพื่อให้แฟนบอลยืนพิงได้สะดวกสบาย โครงที่นั่งถูกติดตั้งแบบถาวรและมีระยะห่างเท่ากับที่นั่งมาตรฐาน เฟรมเชื่อมต่อกันเพื่อสร้างรางที่มีความแข็งแรงสูงตลอดความยาวของแต่ละแถว

สโมสรแรกในสหราชอาณาจักรที่ได้ทำ Rail Seat ขึ้นได้แก่ กลาสโกว์ เซลติก ยักษ์ใหญ่ของสกอตแลนด์ ซึ่งเริ่มใช้งานพื้นที่เซฟสแตนดิ้ง ความจุ 2,600 ที่นั่งภายในสนามเซลติก พาร์ค เมื่อเดือนกรกฎาคม 2016 ขณะที่พื้นที่อื่นๆยังเป็นแบบนั่งดูตามปกติ

Rail Seat อาจยังไม่แพร่หลายในประเทศอังกฤษ ต่างกับประเทศเยอรมนีซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งของสโมสรในบุนเดสลีกาได้จัดสรรพื้นที่เซฟสแตนดิ้งแล้ว รวมถึงโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่ทำจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะซึ่งผู้คนเรียกชื่อมันว่า Yellow Wall หรือกำแพงสีเหลือง

เจค โคเฮน แฟนบอลทีมเชลซี ได้กล่าวถึงการมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์เมื่อวันที่ 2 มกราคมปีที่แล้วว่า “ผมดีใจที่เชลซีได้เป็นทีมนำร่อง ผมตื่นเต้นที่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับอัฒจันทร์เชดเอนด์ และแมทธิว ฮาร์ดดิ้ง ชั้นล่าง การยืนเชียร์บอลเป็นบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่ ไม่ต้องสงสัยเลยโซนเซฟสแตนดิ้งช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสบการณ์ที่ดีในแมตช์เดย์”

ทางด้าน มาร์ติน เคลาเก้ ประธานร่วมของ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ซัพพอร์ตเตอร์ส ทรัสต์ เปิดเผยว่า แฟนบอลทีมสเปอร์สให้การสนับสนุนอย่างล้มหลามเป็นเวลาหลายปีนับตั้งแต่แนวคิดนี้เริ่มถูกพลักดัน โดยจากรายงานประจำปีระบุว่ามีผู้เห็นด้วยสูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้จากความจุ 62,850 คนของท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ สเตเดี้ยม ถูกจัดสรรให้เป็นเซฟสแตนดิ้ง 5,000 คนสำหรับเซาธ์สแตนด์ชั้นล่าง บวกชั้นบน 1,442 คน และเซ็คชั่นทีมเยือนอีก 3,000 คน

หน่วยงานด้านความปลอดภัยของสนามกีฬาได้ตีพิมพ์รายงานผลการทดลองเบื้องต้นไว้ว่า การนั่งชมในโซนยืนดูไม่ถูกบดบังวิสัยทัศน์ของการมองเห็นเกมในสนาม, การดีใจหลังเกิดการทำประตูมีความปลอดภัย แฟนบอลไม่เคลื่อนไหวไปข้างหน้าหรือถอยหลังที่สุ่มเสี่ยงให้เกิดอันตราย, ราวกั้นช่วยให้แฟนบอลเดินบนอัฒจันทร์อย่างมีระเบียบ แม้กระทั่งคนที่เข้าสนามหลังเกมเริ่มไปแล้วยังสามารถเดินไปยังที่นั่งได้รวดเร็ว, ราวกั้นช่วยจัดแฟนบอลเป็นกลุ่มเป็นก้อนทำให้เจ้าหน้าที่สนามเฝ้าจับตาได้ง่าย

ในส่วนรายงานฉบับล่าสุดของคณะกรรมาธิการที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลให้รับผิดชอบโครงการหลังดำเนินการทดลองเซฟสแตนดิ้งเป็นระยะเวลาหนึ่งปีครึ่ง ค่อนข้างออกไปทางบวกสำหรับแฟนบอลทั้งด้านปลอดภัยและประสบการณ์การชมที่ดีขึ้น ซึ่งคาดว่ารัฐมนตรีกระทรวงกีฬา ไนเจล ฮัดเดิลสตัน จะแถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่สนามเหย้าของท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ซึ่งเขาเคยเดินทางมาชมการแข่งขันเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งสเปอร์สเฉือนชนะเบิร์นลีย์ 1-0

แหล่งข่าววงในของรัฐบาลเปิดเผยว่า “เราอยู่เคียงข้างแฟนบอลเสมอ และตั้งใจที่จะทำตามสัญญาในการนำการยืนดูบอลอย่างปลอดภัยไปยังสนามฟุตบอล และพัฒนาประสบการณ์ที่วิเศษสุดของการดูบอลให้กับพรีเมียร์ลีกและแชมเปี้ยนชิพ”

“รัฐบาลไม่เคยประนีประนอมหากเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย เราจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับสโมสรฟุตบอล กลุ่มแฟนบอล และเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อส่งมอบ ‘เซฟ สแตนดิ้ง’ ซึ่งเราตระหนักดีว่าเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการ”

ดูเหมือนว่าในอนาคตอันใกล้ แฟนบอลทุกสนามแข่งขันของสองลีกสูงสุดของประเทศอังกฤษจะได้กลับมาสัมผัสบรรยากาศการเชียร์ที่ตื้นเต้นเร้าใจในอารมณ์ที่คอลูกหนังเมื่อกว่าสามสิบปีก่อนคุ้นเคยอีกครั้ง นั่นคือ “การยืนลุ้นบอลตลอดแมตช์”

“เยลโล่ วอลล์” ของดอร์ทมุนด์ สุดยอดบรรยากาศยืนเชียร์บอลยุคใหม่

“เซฟ สแตนดิ้ง” ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับหลายประเทศในยุโรป รวมถึงสหรัฐอมริกาและออสเตรเลีย แต่หากใครต้องการสัมผัสบรรยากาศการยืนเชียร์บอล(แบบปลอดภัย)ที่สุดยอดที่สุดในโลกต้องเป็นที่สนาม “เวสท์ฟาเลินชตาดิโยน” ความจุ 81,365 คนของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์

ใครที่มีโอกาสสัมผัส “กำแพงเหลือง” (Yellow Wall) หรืออัฒจันทร์ฝั่งเซาธ์แบงค์ของกองเชียร์ดอร์ทมุนด์ คงอดขนลุกขนชันไม่ได้กับภาพแฟนบอลกว่า 24,000 คนที่ยืนตะโกนร้องเพลงเชียร์บนพื้นที่ที่เปรียบเสมือนระเบียงที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรปพร้อมด้วยทะเลธงสีเหลืองดำ

รูเบน ดรัคเกอร์ หนึ่งในแฟนบอลดอร์ทมุนด์ผู้ถือตั๋วปีโซนกำแพงเหลืองที่สนนราคาไม่ถึง 200 ปอนด์ กล่าวว่า “เดอะ วอลล์ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากเพราะแสดงถึงการเชื่อมโยงระหว่างแฟนบอลเกือบ 25,000 คนที่ยืนเคียงข้างกันแบบไหล่ชนไหล่ อาจเรียกได้ว่าเป็นส่วนผสมที่บ้าคลั่งของคนกลุ่มหนึ่ง”

“แฟนบอลทุกเพศทุกวัยสามารถเข้ามาเชียร์บอลตรงนี้ได้ จะมาคนเดียวหรือมาทั้งครอบครัว ผู้ชายผู้หญิง คนรายได้ต่ำหรือสูง ตอนแรกพวกเขาอาจเข้าสนามเพราะการชักชวนของคุณพ่อ พี่ชาย หรือเพื่อนฝูง แต่เมื่อมาเป็นส่วนหนึ่งของเดอะวอลล์ มันก็เสมือนสายใยที่เชื่อมโยงกับคนอื่นๆผ่านทางร่างกายที่ใกล้ชิด เป็นการมอบประสบการณ์ใหม่ที่เหลือเชื่อให้แก่พวกเขา”

ฟลอเรียน โธมัส แฟนบอลทีมเสือเหลืองวัย 31 ปี ซึ่งซื้อตั๋วปีมาตั้งแต่ซีซั่น 2008-09 สมัยที่ เยอร์เกน คล็อปป์ เพิ่งก้าวขึ้นคุมทีมดอร์ทมุนด์ เล่าให้ฟังว่า “ผมยังจำครั้งแรกที่ไปดูการแข่งขันกับพ่อตอนอายุสิบสอง เราได้ที่นั่งฝังเวสต์สแตนด์ ประตูอยู่ขวามือผม มีผู้คนเต็มไปหมดและอยู่ชิดกันมาก บรรยากาศแบบนั้นสถานที่แบบนั้น ไม่มีอะไรเหมือนแล้ว”

“ผมเคยพาเพื่อนจากอังกฤษไปดูเกมหนึ่งของเรา พวกเขาตื่นตาตื่นใจเพราะมันต่างจากประสบการณ์ในพรีเมียร์ลีก ช่วงโควิดระบาดผมไม่ได้ไปดูแมตช์เหย้าเลยเพราะคนน้อย มันไม่เหมือนเดิมหากปราศจากเยลโล่วอลล์ที่อัดแน่นและไม่มีพวกแฟนบอลอัลตร้า ผมรู้ดีว่าเพื่อนๆก็คิดอย่างเดียวกัน”

“ถึงเป็นตั๋วยืนและคุณไปอยู่ตรงไหนก็ได้(ภายในเซ็คชั่นที่กำหนด) แต่แฟนบอลมักยืนตรงที่ประจำ มันแปลกมากที่ผู้คนหลากหลายแตกต่างมารวมตัวกันเพื่อสนับสนุนสโมสร พวกเขาไม่มีความสัมพันธ์กันนอกสนามบอลแต่กลับร้องเพลงร่วมกันกระโดดกอดกัน”

“ผมเจอผู้คนใหม่ๆในสนามที่อยากบอกเลยว่าเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่ต่างคนต่างรู้เรื่องชีวิตนอกสนามกันน้อยมาก นี่เป็นสถานที่เดียวที่พวกเรามีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน”

“การยืนดูบอลสร้างความแตกต่างให้ผมในเรื่องของสาเหตุที่เข้ามาดูเกมในสนาม ผมยืนเพื่อสนับสนุนสโมสร บางครั้งก็ไม่ได้ยืนอยู่ในจุดที่เห็นเกมสนามชัดเจนนัก บางครั้งก็มีธงบัง มีหัวมีแขนบังสายตา แต่ผมยอมรับมันได้ มันเป็นเรื่องของความใกล้ชิดซึ่งเอื้ออำนวยให้ร่วมตะโกนร้องเพลงตะโกนเชียร์เป็นธรรมชาติ”

“บอกตามตรง ผมไม่ชอบดูการแข่งขันของดอร์ทมุนด์ในสนามหากไม่ได้อยู่ในเซ็คชั่นยืน แต่มีอยู่ 2-3 ครั้งที่เป็นแบบนั้น ซึ่งผมรู้สึกทำผิดพลาดมาก”

ถึงเวลาต้อง “มูฟ ออน” จากโศกนาฏกรรมที่ฮิลล์สโบโรห์

แนวคิดที่อยากให้แฟนบอลในพรีเมียร์ลีกและแชมเปี้ยนชิพกลับไปยืนเชียร์บอลเริ่มก่อตัวอย่างช้าๆ จนกระทั่งเกิดเป็นรูปธรรมช่วงก่อนการเลือกตั้งในปี 2019 เมื่อทั้งพรรคอนุรักษ์นิยมและพรรมแรงงานต่างให้คำมั่นสัญญากับประชาชนว่าจะดำเนินการเพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ของนโยบาย “เซฟ สแตนดิ้ง” จนกระทั่งวันที่ 22 กันยายน 2020 ไนเจล ฮัดเดิลสตัน รัฐมนตรีกระทรวงกีฬา ได้ประกาศอนุญาตให้ห้าสโมสรจัดทำโซนยืนดูบอลอย่างถูกกฎหมายขึ้น

แม้การทดลองของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี, ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ และคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ จะประสบความสำเร็จในระดับน่าพอใจ แต่ยังมีขั้นตอนสำคัญในการแก้ไขกฎหมาย รวมถึงแต่ละสโมสรต้องลงทุนปรับปรุงสภาพสนามเพื่อให้ตรงกับข้อระเบียบของเซฟ สแตนดิ้ง ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรกว่าที่แฟนบอลอังกฤษในสองดิวิชั่นแรกจะได้กลับไปสัมผัสยืนเชียร์กันทั่วทุกสนาม

มาร์กาเรต แอสพินอลล์ ซึ่งสูญเสียลูกชายเจมส์จากเหตุการณ์ในสนามฮิลล์สโบโรห์ ให้ความคิดเห็นว่า “มุมมองของฉันเปลี่ยนไปจากเมื่อ 2-3 ปีก่อน”

“ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ฉันหวังว่าเราได้เรียนรู้จากบทเรียนครั้งนั้น แฟนบอลจะต้องไม่ถูกกระทำเหมือนยุค 1970และ 1980 ที่ถูกต้อนเหมือนวัวควายอยู่ในคอก ทุกสิ่งเปลี่ยนไปและถึงเวลาที่เราต้องก้าวไปข้างหน้าเสียที มีแฟนบอลรุ่นใหม่และรุ่นเก่าที่ชอบยืนดูการแข่งขัน แต่ยังจำเป็นที่จะต้องจัดสรรที่นั่งให้กับทุกคน”

“เราต้องดำเนินการเรื่องนี้ไปอย่างช้าๆ ต้องมั่นใจเรื่องความปลอดภัยและเห็นความก้าวหน้าเกิดขึ้นอย่างชัดเจน สิ่งสำคัญที่สุดคือแฟนบอลและความปลอดภัยของพวกเขา ตราบใดที่มันยังถูกตระหนัก ฉันก็โอเคกับมัน”

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Editor)

Categories
Special Content

กาปฏิทินลุ้นระทึก “ลิเวอร์พูล X เบลลิงแฮม” ซูเปอร์บิ๊กดีลปีหน้า

#SSxKMD | ขณะที่หลายสโมสรกำลังชุลมุนฝุ่นตลบกับการเจรจาซื้อขายนักเตะในตลาดซัมเมอร์ 2022 ซึ่งเปิดทำการเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน เรื่อยไปจนถึง 1 กันยายน แต่ลิเวอร์พูลกลับเสร็จสิ้นภารกิจไปอย่างรวดเร็วหลังจากได้นักเตะครบสามคนตามเป้าหมาย ได้แก่ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ มิดฟิลด์ตัวรุกทีมฟูแลม, ดาร์วิน นูนเยซ กองหน้าทีมเบนฟิกา และคัลวิน แรมซีย์ แบ็คขวาทีมอเบอร์ดีน

แม้ลิเวอร์พูลยังปรากฏบนหน้าสื่ออย่างต่อเนื่องแต่เป็นข่าวการขายและปล่อยยืม หรือไม่ก็เซ็นสัญญาระดับเยาวชน แต่หากเป็นประเด็นเสริมขุมกำลังก็เป็นการจับแพะชนแกะ ตีไข่ใส่สี หรือวิเคราะห์คาดการณ์ของนักข่าวเสียมากกว่าเป็นการเคลื่อนไหวจริง ๆ ของสโมสร

อย่างเช่นรายของ อุสมาน เดมเบเล่ ปีกขวาวัย 25 ปี ซึ่งหมดสัญญากับบาร์เซโลนาและเป็นฟรีเอเยนต์ สื่อสเปนตีข่าวครึกโครมว่าจะเล็งเซ็นซาลาห์ เซ็นแล้ว 3 ปี วีคละ 350K สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์สโมสร

หรือกรณีของ โอตาวิโอ ตัวรุกวัย 27 ปี ของปอร์โต แชมป์ปรีไมรา ลีกา ซึ่งเล่นกองกลางริมเส้นซ้ายขวาและมิดฟิลด์ตัวรุก ถูกหยิบมาเสนอข่าวเพราะลิเวอร์พูลกำลังสานต่อโมเดล “โปรตุกีส คอนเน็คชั่น” หลังจากซื้อหลุยส์ ดิอาซ และดาร์วิน นูนเยซ ห่างกันไม่ถึงครึ่งปี แต่กลับเป็นกูรูจากค่ายโกล สื่อลูกหนังระดับโลก ที่ออกมาสยบข่าวลือ อ้างว่าเป็นไปไม่ได้ที่ “เดอะ เรดส์” จะซื้อนักเตะอายุ 27 ปี แถมยังไม่ต้องการนักเตะตำแหน่งนี้เพิ่มด้วย ก่อนสรุปนิ่ม ๆ ว่า โอตาวิโอไม่ได้เป็นและไม่เคยเป็นเป้าหมายของลิเวอร์พูล

แม้ลิเวอร์พูล(น่าจะ)ไม่ทำธุรกิจฝั่งผู้ซื้อในตลาดรอบนี้แล้ว แต่กระแสข่าวจากสำนักใหญ่ที่มีความน่าเชื่อถือต่างชี้ไปทางเดียวกันว่า “มิดฟิลด์กลางสนาม” เป็นเป้าหมายสำคัญอันดับหนึ่งที่หงส์แดงพร้อมเปย์หนักระดับซูเปอร์บิ๊กดีลในตลาดซัมเมอร์ปีหน้า หลังจากรอบนี้ได้ทุ่มเงิน 85 ล้านปอนด์ สร้างสถิตินักเตะค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรกับตำแหน่งกองหน้า

ถึงเวลาสร้างคลื่นลูกใหม่ของขุนพล “เดอะ เรดส์”

ลิเวอร์พูลแสดงการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนว่า เยอร์เกน คล็อปป์ กำลังสร้างทีมใหม่รุ่นที่สองทดแทนบรรดาขุนพลที่ร่วมสร้างความยิ่งใหญ่ในช่วง 6 ปีแรกของการคุมทีม นักเตะใหม่ที่ซื้อมาระยะหลังจึงมีอายุน้อย

จากการศึกษาของสมาคมสื่อสารมวลชนะระบุว่า ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่พึ่งพานักเตะสูงอายุมากกว่าทีมใดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2021-22

หากคิดตามจำนวนนาทีรวมที่ผู้เล่นลิเวอร์พูลอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไปลงสนามซีซั่นที่แล้ว จะคิดเป็น 46.2 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด ตามด้วยอันดับสอง นิวคาสเซิล 39.9 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ส่งนักเตะรุ่นโอเวอร์ 30 ลงไปไล่ล่าแชมป์พรีเมียร์ลีกแค่ 22.1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่กับฤดูกาลใหม่ ตัวเลขของลิเวอร์พูลย่อมลดลงแน่นอนจากการเข้ามาของ นูนเยซ (23), คาร์วัลโญ (19) และแรมซีย์ (18) พร้อมการจากไปของ ซาดิโอ มาเน (30), ดิวอค โอริกี (27) และ ทาคูมิ มินามิโนะ (27) หรืออาจรวมถึง เนโก วิลเลียมส์ (21) ที่เล่นตำแหน่งเดียวกับแรมซีย์

อิบราฮิมา โกนาเต (23) เริ่มเบียดแย่งเวลาบนฟลอร์หญ้ามาจาก โจเอล มาติป (30) ได้มากขึ้น ขณะที่ เคอร์ติส โจนส์ (21) และ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ (19) เริ่มมีอนาคตสดใสเพิ่มเรื่อยๆ แล้วยังมีเหล่าดาวรุ่งตัวความหวังอย่าง เคด กอร์ดอน (17), ไทเลอร์ มอร์ตัน (19) และ โอเวน เบค (19)

อย่างไรก็ตามตัวหลักวัยเก๋าที่ยังสามารถยึดครองตำแหน่งตัวจริงต่อไปในซีซั่นหน้าได้แก่ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค (30), โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (30), จอร์แดน เฮนเดอร์สัน (32) และ ติอาโก อัลกันตารา (31) ซึ่งจะเห็นว่า หัวใจห้องเครื่องของหงส์แดงกำลังโรยราด้วยวัยทั้งเฮนเดอร์สันและติอาโก รวมถึง เจมส์ มิลเนอร์ (36) ซึ่งเพิ่งต่อสัญญาใหม่แต่คงปิดฉากชีวิตในแอนฟิลด์หลังซีซั่น 2022-23 จบลง ขณะที่ อเล็กซ์ ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน (28) และ ฟาบินโญ (28) มีอนาคตไม่แน่นอนในแอนฟิลด์

นั่นจึงทำให้คล็อปป์เริ่มให้น้ำหนักกับการหาตัวตายตัวแทนหรือ “เน็กซ์-เจน” ของมิดฟิลด์กลางสนาม ซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญมากต่อความสำเร็จของลิเวอร์พูลในอนาคต จึงเห็นว่ากุนซือเยอรมันมีข่าวอยากได้ ออเรเลียง ชูเอาเมนี กองกลางตัวเก่งวัย 22 ปีของโมนาโกอย่างจริงจัง ก่อนถอยทัพเมื่อเรอัล มาดริด เข้ามาพร้อมจะเปย์หนักแบบไม่อั้น

ถึงแม้เสร็จสิ้นภารกิจตลาดรอบนี้ในฐานะผู้ซื้อไปแล้ว แต่ลิเวอร์พูลยังถูกสื่อมวลชนเสนอข่าวโยงกับมิดฟิลด์หลายคนอย่างเช่น นิโกลา บาเรลลา ของอินเตอร์ มิลาน, อาเดรียง ราบิโอต์ ของยูเวนตุส และ คาร์นีย์ ชุควูเอกา ของแอสตัน วิลลา อย่างไรก็ตาม ชื่อที่เป็นกระแสแรงและมีน้ำหนักมากที่สุดได้แก่ จูด เบลลิงแฮม

คล็อปป์หมายตา “เบลลิงแฮม” คือหัวใจในอนาคตของทีม

จูด เบลลิงแฮม ฉายแสงขณะอายุแค่ 16 ปี เป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ลงสนามนัดแรกในประวัติศาสตร์ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ เมื่อปี 2019 เขาเล่นให้ทีมลูกโลก 44 นัดก่อนย้ายไปค้าแข้งกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เมื่อปี 2020 ด้วยค่าตัวกว่า 30 ล้านปอนด์ ขณะที่เบอร์มิงแฮมถึงขั้นอำลาเบอร์เสื้อหมายเลข 22 ให้กับมิดฟิลด์ดาวรุ่งโรจน์คนนี้

เบลลิงแฮมเพิ่งฉลองวันเกิด 19 ปี ไปไม่นานแต่ติดทีมชาติอังกฤษไปแล้ว 15 นัด เป็นหนึ่งในขุนพลตัวหลักของทีมเสือเหลืองกับผลงาน 10 ประตู 18 แอสซิสต์จากทั้งหมด 90 นัด

เบลลิงแฮมเป็นมิดฟิลด์ครบเครื่องกระเทียมดอง มองหยาบ ๆ ในดอร์ทมุนด์เขาคือมิดฟิลด์กลางสนาม แต่สามารถขยับไปทางขวาและซ้ายสวมตำแหน่งเบอร์ 6 และ 10 ได้ด้วย แสดงให้เห็นถึงทักษะที่หลากหลายสารพัดประโยชน์ แต่กูรูลูกหนังยกให้เขาเป็นผู้เล่นเบอร์ 8 ที่เชื่อมเกมในฐานะซัพพอร์ตติ้งมิดฟิลด์ โอเวอร์แลปขึ้นไปบุกจากสองฝั่งสนาม ส่วนกับทีมชาติอังกฤษ เบลลิงแฮมมักลงไปลึกมากขึ้นแสดงให้เห็นถึงความนิ่งและวุฒิภาวะเกินวัย สามารถครองบอลได้ดีภายใต้แรงกดดันและมองหาพื้นที่ว่างได้เฉียบคมเหลือเชื่อ

แน่นอนด้วยความสามารถเอกอุขนาดนี้บวกกับวัยไม่ถึงยี่สิบ ลิเวอร์พูลจึงต้องการเบลลิงแฮมมาเป็นผู้บัญชาเกมกลางสนามรุ่นต่อไปแทนเฮนเดอร์สัน, ติอาโก และมิลเลอร์ คล็อปป์สามารถใช้งานเขาได้ทั้งหมากเกม 4-3-3 และ 4-2-3-1 ซึ่งอาจเป็นฟอร์แมตแห่งอนาคตของหงส์แดง ร่ายล้อมด้วยมิดฟิลด์รุ่นใหม่อย่างคาร์วัลโญ, โจนส์ และเอลเลียตต์ หรืออีกนัยหนึ่ง คล็อปป์ต้องการเบลลิงแฮมมาสืบทอดตำนานต่อจากเฮนเดอร์สัน

เรอัล มาดริด เป็นทีมหนึ่งที่หมายตาเบลลิงแฮมเพื่อให้มาเป็นลูกา โมดริช คนใหม่ของพวกเขา เช่นเดียวกับ เชลซี ก็วางแผนร่วมล่าลายเซ็นของมิดฟิลด์ดาวรุ่งทีมชาติอังกฤษด้วย ทำให้สื่อหลายสำนักประเมินค่าตัวเบลลิงแฮมไปทางเดียวกันคือแตะหลัก 100 ล้านปอนด์ หรืออย่างต่ำไม่น่าหลุด 80 ล้านปอนด์ นั่นทำให้ลิเวอร์พูลคงต้องทำลายสถิตินักเตะค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นปีที่สองติดต่อกัน

นีล โจนส์ กูรูของสื่อโกล มองว่าเบลลิงแฮมมีใจให้ลิเวอร์พูลไม่ใช่น้อยเพราะมีสตีเวน เจอร์ราร์ด เป็นไอดอล และมีความสัมพันธ์แนบชิดกับเฮนเดอร์สันในทีมชาติอังกฤษ ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้หลังเพิ่งตกเป็นข่าวแรง เบลลิงแฮมโพสต์ถึงเฮนเดอร์สัน กัปตันทีมหงส์แดง ในฐานะตำนาน

กระแสข่าวบนหน้าสื่อฟุตบอลทั่วโลกชี้ตรงกันว่า “ซูเปอร์บิ๊กดีล” ระหว่างลิเวอร์พูลและดอร์ทมุนด์จะเกิดขึ้นในตลาดซัมเมอร์ปีหน้าอย่างแน่นอน ขณะที่สัญญาของเบลลิงแฮมยังเหลือถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2025

คุณค่าของ “เบลลิงแฮม” คุ้มค่าแก่การรอคอยหรือไม่

ปีหน้าเป็นช่วงเวลาเหมาะสำหรับดีล จูล เบลลิงแฮม ระหว่างสองสโมสร ลิเวอร์พูลเพิ่งทุ่มเงินไปร่วม 85 ล้านปอนด์ไปกับนูนเยซคนเดียว และขุมกำลังแดนกลางที่มีตอนนี้ก็มากพอสำหรับใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพหนึ่งซีซั่น ส่วนดอร์ทมุนด์คงไม่ต้องการเสียซูเปอร์สตาร์พร้อมกันสองคนในปีนี้หลังจาก เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ย้ายไปแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และยังมี เจดอน ซานโช ที่ไปอยู่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หนึ่งปีก่อนหน้านี้

ลิเวอร์พูลตระหนักดีถึงคุณค่าของการรอคอย ไม่พลีพลามเปลี่ยนเป้าหมายที่คิดรอบคอบแล้วย้ายไปยังทางเลือกอื่น ๆ หงส์แดงเคยพยายามแต่ล้มเหลวกับการเซ็นสัญญา เวอรกิล ฟาน ไดค์จ ในตลาดซัมเมอร์ปี 2017 แล้วรอเพื่อพยายามใหม่กับตลาดหน้าหนาวปี 2018 ซึ่งประสบความสำเร็จ เป็นดีลที่ดีมากที่สุดครั้งหนึ่งของสโมสรที่ได้เซ็นเตอร์แบ็คเวิลด์คลาสเข้ามาอยู่แอนฟิลด์

ลูกา ซูชิซ มิดฟิลด์ดาวดวงใหม่วัย 19 ปีของทีมชาติโครเอเชีย ถูกนำมาเปรียบเทียบกับเบลลิงแฮม เขาแจ้งเกิดอย่างรวดเร็วหลังย้ายมาอยู่เรดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก เมื่อปี 2020 ช่วงสองฤดูเขาลงสนาม 71 นัด ทำไป 13 ประตู 6 แอสซิสต์ และมีสัญญากับทีมกระทิงแดงถึงปี 2025

ชูชิซ ที่เป็นแฟนบอลบาร์เซโลน่าและมีลูกา โมดริช เป็นไอดอลวัยเด็ก ได้รับความสนใจจากยักษ์ใหญ่อย่าง ยูเวนตุส, เอซี มิลาน, อินเตอร์ มิลาน, ลาซิโอ, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และนิวคาสเซิล รวมถึงลิเวอร์พูล

กูรูลูกหนังหลายคนกล่าวว่า หากมีมิดฟิลด์ที่ควรค่าแก่การรอคอย (และจ่ายหนัก) จูล เบลลิงแอม เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น นั่นทำให้บรรดาเดอะ ค็อป เฝ้าลุ้นระทึกอีกหนึ่งปีข้างหน้า พวกเขาจะได้เบลลิงแฮมหรือไม่ และเบลลิงแฮมจะเฉิดฉายภายใต้ยูนิฟอร์ม “เดอะ เรดส์” อย่างที่คาดหวังหรือเปล่า

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Editor)

Categories
Our Work

สุดคึกคัก “LaLiga Futbol Cup 2022” ศึกฟุตบอลกระชับมิตร ครั้งแรก !! สนุก มันส์ ซ่า แบบครอบครัวลาลีกา

ห่างหายจากกิจกรรมสุดพิเศษจากลาลีกากันไปเดือนกว่า ๆ ก่อนเปิดฤดูกาล 2022/2023กลับมาครั้งนี้ ลาลีกาจัดเต็ม ระเบิดศึกความมันส์แบบไม่มีกัก กับศึกลูกหนังทัวร์นาเม้นท์พิเศษครั้งแรก!! ภายใต้งาน “LaLiga Futbol Cup by M88 2022” ที่สนาม kpc soccer km.9 เทพารักษ์ จ. สมุทรปราการ ชวนมาเตะบอลกระชับมิตร เชื่อมความสัมพันธ์ ความสามัคคี ที่เต็มไปด้วยความสนุกเเละมิตรภาพเเบบครอบครัว ลาลีกา โดยมี จอร์โจ้ ปอมปิลี รอสซี่ ตัวแทน ลาลีกา ประจำประเทศไทย เป็นประธานในพิธี

นี่ไม่ใช่กิจกรรมแรก ที่ทางลาลีกาได้ทำเพื่อสร้างสัมพันธ์กับแฟนบอล ก่อนหน้านี้ ทั้ง LaLiga Football Camping กางเต็นท์ ดูบอล จ. นครนายก ที่ได้ผลตอบรับดีเกินคาด ตามด้วยElClasico Boat Trip ล่องเรือดูบอล ชมวิวริม 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และล่าสุด LaLiga Pool Party ดูบอลมันส์ ดนตรีสด ริมสระน้ำบน Rooftop bar ย่านเอกมัย ที่ได้จัดมาแล้ว

ต่อเนื่องจากกิจกรรมดังกล่าว ครั้งนี้ถือเป็น activation การมอบประสบการณ์ร่วมกับฟุตบอลสเปนให้กับแฟนบอลชาวไทย ที่เพิ่มโอกาสให้แฟนบอล ได้ร่วมรับประสบการณ์ดี ๆ ที่มากขึ้น หลังจากการระบาดของโควิด-19 เบาบางลง และแทบจะเป็นเรื่องปกติในปัจจุบันแล้ว เนื่องจากครั้งนี้เป็นรูปแบบของการแข่งขันฟุตบอล จากครั้งแรก ๆ ที่ต้องจำกัดจำนวนตามมาตรการ มีแค่หลักสิบ หรือมากสุดไม่เกิน 70-80 คน

สำหรับการแข่งขันฟุตบอลทัวร์นาเมนท์พิเศษนี้ เป็นแบบ 7 คน จะแข่งขันทั้งหมด 20 ทีม สามารถส่งชื่อเพื่อนร่วมทีมได้ทั้งหมด 10 คน ไม่จำกัดอายุ เพียงแค่คุณพร้อมที่จะลุย ก็มาสนุกกันได้เลย

งานนี้จัดกันทั้งวันแบบเต็มอิ่ม ตั้งแต่ 09.00 – 17.30 น. เริ่มต้นลงทะเบียน บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความคึกคัก แน่นอนว่า งานนี้ยังคงจัดขึ้นและปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ อยู่เสมอ ผู้เข้าแข่งขันทุกคน ทำการตรวจ ATK มายื่นแสดงผลหน้างาน

จากนั้นแต่ละทีมจะส่งตัวแทนมาจับสลาก เพื่อลุ้นว่าจะได้เสื้อสกรีนโลโก้สโมสรอะไรในลาลีกา ซึ่งจะมีเสื้อฟุตบอลสกรีนโลโก้ทีมแจกให้ใส่เพื่อทำการแข่งขันฟรี! และมีน้ำดื่มให้ฟรี ทีมละ 2 แพ็ค 24 ขวด รวมไปถึงของที่ระลึกต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น แอลกอฮอล์ล้างมือ ปฏิทิน ผ้าเช็ดหน้า พัด หน้ากากอนามัย เป็นต้น

เวลา 10.30 เริ่มเปิดศึกการแข่งขันในรอบแรก จะแบ่งเป็น 4 สาย สายละ 5 ทีม ทำการแข่งขัน 2 สนาม เพื่อหาผู้ผ่านเข้ารอบต่อไป ซึ่งรอบแรกจะทำการแข่งขันคู่ละ 10 นาที ระหว่างการแข่งขันแม้อากาศจะร้อน แต่ทุกทีมก็เล่นกันอย่างสนุกสนาน วิ่งหาจังหวะส่องประตูทีมตรงข้ามแบบไม่มีกั๊ก

เวลาล่วงเลยมาจนถึงรอบไฟนอล ก็ได้คู่ชิงระหว่าง ทีม KTFC พบกับ ทีมเอื้อทาธร เอฟซี คู่นี้เล่นแบบไม่มีใครยอมใคร แต่ยังรักษาไว้ซึ่งกฎและมารยาทที่ดีต่อกัน เช่นเดียวกับ MC ข้างสนาม ก็พากย์บอลกันสุดมันส์ เติมเต็มบรรยากาศอันคึกคักให้ทั้งนักกีฬาและกองเชียร์ข้างสนามได้เป็นอย่างดี

โดยทัวร์นาเมนท์นี้ มีถ้วยรางวัลให้ พร้อมลูกฟุตบอลแท้ที่ใช้สำหรับการแข่งขันลาลีกา ซึ่งผลการแข่งขันมีดังนี้ ผู้ชนะเลิศอันดับ 1 คือ ทีม KTFC จับสลากได้สโมสร เรอัล มาดริด, รองชนะเลิศอันดับ 1 คือ ทีมเอื้อทาธร เอฟซี จับสลากได้สโมสร อาลาเบส, รางวัลทีมแฟร์เพลย์ อวอร์ด คือ ทีม Monkey จับสลากได้สโมสร เรอัล เบติส และรางวัลนักเตะยอดเยี่ยม ตกเป็นของ หมายเลข 8 “คุณท็อป” จากทีม KTFC

นอกจากนี้ในงาน มีอาหารให้ทานฟรีอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น ก๋วยเตี๋ยวร้อน ๆ ทานคล่องคอ, ดับร้อนด้วยไอศกรีมโบราณ หวาน เย็นชื่นใจ แล้วไปเติมพลังความซ่าด้วยน้ำจรวด หรือน้ำอัดลมโบราณ และชุดแสน็ค เฟรนช์ฟราย แซนด์วิช

ไม่เพียงเท่านั้นยังมีบูธกิจกรรมจาก M88 ทั้งกิจกรรมเตะบอล ถ่ายภาพโพลารอยด์ ที่พร้อมจะมอบความสุขให้กับทุกท่าน และกองเชียร์ผู้ติดตามได้ร่วมมันส์กัน

ผลตอบรับสำหรับกิจกรรมนี้ ดีเกินคาด เพราะนอกจากแฟนบอลจะได้เตะบอล ออกกำลังกาย รวมทีมมาร่วมสนุกไปด้วยกันแล้วนั้น ยังถือเป็นการต่อยอดประสบการณ์ดี ๆ ให้กับคอบอลสเปนในประเทศไทย ได้ร่วมสนุกและสร้างสัมพันธ์อันดีกับแฟนบอลให้เป็นที่รู้จักกันมากขึ้นอีกด้วย กิจกรรมดี ๆ แบบนี้ จะเกิดขึ้นในประเทศไทยอีกแน่นอน โปรดติดตามกันต่อไป

ดูภาพกิจกรรมเพิ่มเติม คลิก https://drive.google.com/drive/folders/1oZlO1WOA4o_F8W9j4NLk6uU22Ylpb5nR?usp=sharing

📝 ภาวินีย์ สูญสิ้นภัย (แนน)

Categories
Special Content

เจย์ สเปียริ่ง : นักเตะลิเวอร์พูล ที่ตามรอยโมเดลคืนสู่ทีมเก่าปั้นเยาวชน

1 กรกฎาคม 2022 ถือเป็นวันแรกของ 3 นักเตะใหม่ลิเวอร์พูล ทั้งฟาบิโอ คาร์วัลโญ่, ดาร์วิน นูนเญซ และคาลวิน แรมซี่ย์ ที่ได้ย้ายเข้าสู่ถิ่นแอนฟิลด์อย่างเป็นทางการ

แต่สำหรับนักเตะอย่างเจย์ สเปียริ่ง ที่ “เดอะ ค็อป” บางคน อาจจะลืมเชื่อเขาไปแล้ว เขาเคยลงเล่นให้กับลิเวอร์พูลชุดใหญ่ 55 นัด และตอนนี้ได้คัมแบ็กคืนสู่ทีมเก่าอีกครั้งในรอบ 9 ปี

มิดฟิลด์วัย 33 ปี กับบทบาทใหม่ในการประคองนักเตะรุ่นน้อง ที่ใช้แนวทางเดียวกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมคู่ปรับของพวกเขา วันนี้ SoccerSuck x ไข่มุกดำ จะมาขยายให้ฟังกันครับ

⚽️ เลือดเมอร์ซีย์ไซด์ขนานแท้

เจย์ สเปียริ่ง เกิดที่วอลลาซีย์ ในย่านเมอร์ซี่ย์ไซด์ เข้าสู่เส้นทางการเป็นนักฟุตบอลตั้งแต่อายุ 9 ขวบ กับอคาเดมี่ของลิเวอร์พูล ต่อมาได้เป็นกัปตันทีมลิเวอร์พูล ชุด U-18 ที่คว้าแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ เมื่อปี 2007

ในฤดูกาล 2008/09 สเปียริ่งได้ก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของ “หงส์แดง” ในยุคที่ราฟาเอล เบนิเตซ เป็นผู้จัดการทีม ได้ลงเล่นไป 2 นัด ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พบกับพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น และเรอัล มาดริด

จนกระทั่งในฤดูกาล 2011/12 ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีก คัพ แต่สเปียริ่งมีชื่อเป็นเพียงแค่ตัวสำรอง ขณะที่นัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ เขาลงเล่นเป็นตัวจริง อยู่ในสนาม 54 นาที ก่อนที่ทีมจะแพ้เชลซี 1 – 2

5 ฤดูกาลในถิ่นแอนฟิลด์ สเปียริ่งลงเล่นทั้งหมด 55 นัด นอกจากนี้ เลสเตอร์ ซิตี้ และโบลตัน วันเดอเรอร์ส ได้ยืมตัวไปใช้งานในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่โบลตันจะดึงตัวไปร่วมทีมอย่างถาวร ในปี 2013

ช่วงที่สเปียริ่งอยู่กับโบลตัน เคยถูกแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ยืมตัวไปใช้งานช่วงสั้น ๆ เป็นเวลา 6 เดือน ก่อนที่ในปี 2017 เขาย้ายไปร่วมทีมแบล็คพูล ค้าแข้งอยู่ 3 ฤดูกาล จึงแยกทางจากถิ่นบลูมฟิลด์ โร้ด

สโมสรสุดท้ายของสเปียริ่ง ในฐานะนักเตะระดับซีเนียร์คือ ทรานเมียร์ โรเวอร์ส ในลีกทู (ดิวิชั่น 4) เป็นทีมจากย่านเมอร์ซี่ย์ไซด์ เช่นเดียวกับลิเวอร์พูล และเอฟเวอร์ตัน ก่อนที่จะอำลาทีมหลังจบซีซั่น 2021/22

⚽️ ก็อปปี้ต้นแบบจาก “ปีศาจแดง”

ลิเวอร์พูลดึงตัวสเปียริ่งกลับมาร่วมงานอีกครั้ง เพื่อใช้ประสบการณ์ในการดูแลนักเตะรุ่นน้อง สู่เป้าหมายหลักในการเป็นโค้ชอคาเดมี่แบบเต็มตัว ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับพอล แม็คเชน ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

แม็คเชน เป็นอดีตนักเตะอคาเดมี่ของแมนฯ ยูไนเต็ด เคยพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ เมื่อปี 2003 จากนั้นในปีต่อมา ได้มีชื่ออยู่ในทีมชุดใหญ่ ก่อนอำลาทีมในปี 2006 โดยที่ไม่เคยลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่เลย

หลังออกจากโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อดีตเซ็นเตอร์แบ็ก “ปิศาจแดง” ก็พเนจรไปค้าแข้งกับอีกหลายสโมสรในอังกฤษ ก่อนจะกลายเป็นนักเตะฟรีเอเย่นต์ เมื่อหมดสัญญากับรอชเดล ในลีก วัน หลังจบซีซั่น 2020/21

กระทั่งในเดือนกรกฎาคม 2021 แม็คเชน ในวัย 35 ปี ได้กลับสู่แมนฯ ยูไนเต็ด ทีมเก่าอีกครั้ง แต่การคัมแบ็กในครั้งนี้ เขาได้ลงสนามในชุด U-23 ของสโมสร ในฐานะ 1 ใน 3 นักเตะอายุเกินที่อนุญาตให้ลงสนามได้

แม็คเชน ลงเล่นกับแมนฯ ยูไนเต็ด U-23 ทั้งหมด 6 นัด ควบคู่กับการเป็นโค้ชในทีมชุดเดียวกัน ก่อนที่จะแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการหลังจบซีซั่นที่ผ่านมา และตอนนี้เขาได้ทำหน้าที่โค้ช U-23 แบบเต็มเวลาแล้ว

นิค ค็อกซ์ หัวหน้าอคาเดมี่ของยูไนเต็ด ให้เหตุผลถึงการดึงตัวแม็คเชนว่า “บทบาทใหม่นี้ เราได้พิจารณาอย่างรอบคอบ และเพิ่มการสนับสนุนอีกระดับหนึ่งให้กับผู้เล่นของเรา ในการช่วยเหลือเยาวชนสู่ทีมชุดใหญ่”

“เราเชื่อว่า พอลมีคุณสมบัติที่ดีพอสำหรับงานนี้ เพื่อผลักดันเด็ก ๆ สู่ระดับสูงสุด ในฐานะที่เขาเคยเป็นนักเตะในอคาเดมี่ เขารู้จักสโมสรในทุกมิติ และสามารถถ่ายทอดความรู้ให้กับเด็ก ๆ ได้ตลอดเวลา”

นอกเหนือจากแมนฯ ยูไนเต็ด ก็ยังมีสโมสรอื่น ๆ ที่เคยใช้โมเดลแบบเดียวกันนี้ เช่น ไบรท์ตัน ที่เซ็นสัญญาแอนดรูว์ ครอฟส์ เมื่ออายุ 35 ปี และเซาธ์แธมป์ตัน ที่ดึงตัวโอลลี่ แลงคาเชียร์ เมื่ออายุ 32 ปี

⚽️ บทบาทใหม่ในอคาเดมี่ “หงส์แดง”

การกลับสู่ลิเวอร์พูลเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี เจย์ สเปียริ่ง จะรับหน้าที่โค้ชในเคิร์กบี้ อคาเดมี่ ให้กับทีมชุด U-18 ควบคู่กับการเป็น 1 ในโควตานักเตะอายุเกินสำหรับทีมชุด U-21 ที่มีแบร์รี่ ลิวทัส เป็นผู้จัดการทีม

สำหรับฟุตบอลลีกเยาวชน รุ่น U-21 มีกฎข้อหนึ่งที่ระบุไว้ว่า สโมสรจะได้รับอนุญาตให้ส่งนักเตะอายุเกินลงสนามได้ นัดละ 5 คน (จากเดิม 3 คน) และมีผู้รักษาประตูอายุเกินได้อีก 1 คน ในกรณีจำเป็น

อเล็กซ์ อิงเกิลโธร์ป ผู้จัดการของเคิร์กบี้ อคาเดมี่ กล่าวว่า “เจย์จะมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่กับนักเตะเยาวชนของเรา และประสบการณ์ของเขาที่เคยลงเล่นทั้ง 4 ดิวิชั่นในระดับอาชีพ จะช่วยได้ไม่น้อยเลย”

“ถ้าเขาสามารถดึงศักยภาพทุกอย่างออกมา แล้วถ่ายทอดให้บรรดานักเตะดาวรุ่งได้ ผมคงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะเป็นโค้ชที่ดีได้จริง ๆ ผมคิดว่าเจย์คือคนที่ใช่กับสโมสรที่ใช่ ในช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้ว”

ขณะที่สเปียริ่ง ให้สัมภาษณ์กับ The Athletic ว่า “มันน่าเหลือเชื่อมากที่ได้กลับมาลิเวอร์พูลอีกครั้ง และตอนนี้ผมกำลังเริ่มต้นบทบาทใหม่ ในการช่วยให้เด็ก ๆ เติบโตสู่ทีมชุดใหญ่ในอีกไม่นานนี้”

“ผมใช้เวลาคิดอยู่นาน และมั่นใจว่าคืองานในฝันของผม รู้สึกดีใจที่อิงเกิลโธร์ปและสโมสรเชื่อมั่นในตัวผม และจะตอบแทนความไว้ใจที่มีให้กัน ผมคิดว่านี่คือการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของผมเลยทีเดียว”

นักเตะเยาวชนชุด U-18 ที่สเปียริ่งจะมีโอกาสดูแลอย่างใกล้ชิด เช่น สเตฟาน บาจเซติก นักเตะนอกสหราชอาณาจักรคนสุดท้ายที่ได้เซ็นสัญญามาร่วมทีม, เบน ดัค, เทรนต์ โคน-โดเฮอร์ตี้, บ็อบบี้ คลาร์ก ฯลฯ

ส่วนนักเตะชุด U-18 ที่ลงเล่นในลีกเยาวชนเมื่อฤดูกาล 2021/22 และมีโอกาสขยับขึ้นสู่ชุด U-21 ในฤดูกาลใหม่ เช่น โอคลีย์ คันโนนิเออร์, จาเรลล์ ควานซาห์, ลุค แชมเบอร์ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ได้มีแข้งดาวรุ่งบางส่วน ที่ได้รับโอกาสลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของเจอร์เก้น คล็อปป์แล้ว อาทิ ไคเค กอร์ดอน, ไทเลอร์ มอร์ตัน, โอเว่น เบ็ค, แม็กซ์ โวล์ทแมน, ฮาร์วีย์ แบลร์, เมลคามู ฟราเอนดอร์ฟ เป็นต้น

ในเวลานี้ ลิเวอร์พูลมีดาวรุ่งที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์อยู่มากมาย และเจย์ สเปียริ่ง กำลังจะเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ที่น่าตื่นเต้น ในการเชื่อมต่อกับนักเตะรุ่นใหม่ สู่รุ่นใหญ่ในอนาคตต่อไป

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://theathletic.com/3389548/2022/06/30/jay-spearing-liverpool-coach/

– https://www.liverpoolfc.com/news/jay-spearing-makes-return-liverpool-u18s-coach

https://www.liverpoolworld.uk/sport/football/liverpool/liverpool-copying-innovative-manchester-united-transfer-trick-to-help-next-generation-of-stars-3737500

https://www.manutd.com/en/news/detail/man-utd-announce-paul-mcshane-signing-in-innovative-player-coach-role

https://www.goal.com/en/news/why-35-year-old-journeyman-paul-mcshane-man-utd-u23s/6xmkhib8886s18867zyrnpdoa

Categories
Football Business

เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ของ “ลิเวอร์พูล” จากกรณีศึกษา “ไตโว อโวนิยี่”

เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวเล็ก ๆ ที่อาจไม่น่าสนใจสำหรับแฟนบอลอังกฤษส่วนใหญ่ยกเว้นสาวกเจ้าป่า น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ซึ่งกำลังใจจดจ่อกับประเด็นปรับปรุบขุมกำลังต้อนรับการกลับขึ้นมายังลีกสูงสุดนับจากตกชั้นดิวิชั่น 1 (เดิม) เมื่อปี 1999 หรืออาจรวมถึงเดอะ ค็อป บางส่วนที่คลิกอ่านเพราะสะดุดตาคำว่า ex-Liverpool striker บนพาดหัวข่าวหรือท่อนโปรยนำ

กองเชียร์ที่กำลังรอฟอเรสต์ปิดดีลสัญญายืมตัว ดีน เฮนเดอร์สัน ผู้รักษาประตูจอมหนึบของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งน่าจะช่วยให้ทีมมีโอกาสเสียประตูน้อยลง ต่างตื่นเต้นกับข่าวสโมสรสร้างสถิติซื้อผู้เล่นแพงที่สุดขึ้นมาใหม่ด้วยการทุ่มเงิน 17.5 ล้านปอนด์ คว้าตัว ไตโว อโวนิยี่ ศูนย์หน้าไนจีเรียวัย 24 ปีมาจากยูเนี่ยน เบอร์ลิน ทีมอันดับ 5 ในบุนเดสลีกา เพื่อทะลุทะลวงเกมรับท็อปคลาสของคู่แข่งร่วมลีก

อโวนิยี่เป็น “อดีต” สไตรคเกอร์ของลิเวอร์พูลและมีชื่อเป็นสมาชิกคนหนึ่งของแอนฟิลด์ยาวนานหกปี แต่เขาไม่เคยลงเล่นให้หงส์แดงสักนัดแม้กระทั่งเกมอุ่นเครื่องปรีซีซั่นก็ยังไม่มีโอกาส เพราะเกือบทันทีหลังซื้อตัวมาจาก อินพีเรียล ซอคเกอร์ อะคาเดมี่ ปลายเดือนสิงหาคม 2015 ลิเวอร์พูลได้ส่งเขาไปให้เอฟเอสเฟา แฟรงค์เฟิร์ต ยืมตัวในซีซั่น 2015-16

และเหมือนสัญญายืมตัวกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่อโวนิยี่ต้องเซ็นชื่อทุกซีซั่น เขาจึงกลายเป็นนักเตะพเนจรย้ายถิ่นทุกปี ไปให้เล่นให้ เอ็นอีซี ไนจ์เมเกน, รัวยา แล็กแซล มูครง, เคเอเอ เกนท์, ไมน์ซ 05 และ ยูเนี่ยน เบอร์ลิน ตามลำดับ

จนกระทั่งเกิดจุดเปลี่ยนของชีวิตอโวยินี่ เมื่อยูเนี่ยน เบอร์ลิน พอใจผลงานของศูนย์หน้าไนจีเรียระหว่างยืมตัวในซีซั่น 2020-21 จึงตัดสินใจซื้อขาดจากลิเวอร์พูลเป็นเงิน 6.5 ล้านปอนด์ ซึ่งอโวนิยี่ไม่ทำให้ต้นสังกัดผิดหวัง ช่วงสองปีที่ค้าแข้งในเมืองเบียร์ เขาทำผลงาน 25 ประตู 9 แอสซิสต์จาก 65 นัด ไม่มีเพื่อนร่วมทีมคนไหนทำสกอร์ได้มากเท่าเขาในช่วงเวลานั้น

ศึกลูกหนังบุนเดสลีกา ฤดูกาล 2021-22 ที่ผ่านมา อโวนิยี่ส่งลูกหนังซุกก้นตาข่าย 15 ประตูจาก 31 นัด แถมยังถูกเรียกตัวติดทีมชาติไนจีเรีย 4 นัด ทำ 1 ประตูนับตั้งแต่ประเดิมยูนิฟอร์มอินทรีมรกตในเดือนตุลาคม 2021 ซึ่งด้วยฟอร์มร้อนแรง เขาจึงถูกดึงให้เป็นชิ้นส่วนหนึ่งในการสร้างทีมของ สตีฟ คูเปอร์ กุนซือเวลส์วัย 42 ปี ด้วยค่าตัวที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์น็อตติงแฮม ฟอเรสต์

ฤดูกาลหน้า อโวนิยี่จะได้รับโอกาสพิสูจน์ตัวเองบนสังเวียนพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรก และแน่นอนจะได้เผชิญหน้ากับทีมเก่า ลิเวอร์พูล ในวันเสาร์ที่ 22 ตุลาคมที่สนามซิตี้ กราวน์ เป็นนัดแรก

สไตล์การเล่นของอโวยินี่ถูกนำไปเปรียบเทียบกับ ราชิดี เยกินี่ ตำนานผู้ทำประตูรวมได้มากที่สุดตลอดกาลของไนจีเรีย ขณะที่ เยอร์เกน คล็อปป์ ก็เคยชื่นชมการยิงที่เฉียบคมและพละกำลังของศูนย์หน้าวัย 24 ปีจากกาฬทวีปรายนี้

“หงส์แดง” ทำเงินเฉียดแปดล้านปอนด์จากนักเตะที่ไม่เคยใช้งาน

หาก ไตโว อโวนิยี่ เป็นการลงทุนก็ถือว่าสร้างผลกำไรงามให้กับลิเวอร์พูลถึงแม้ไม่เคยถูกใช้งานในฐานะนักเตะเลยสักนัดเดียว เชื่อหรือไม่ว่า “เดอะ เรดส์” มีรายได้เข้ากองคลังเกือบ 8 ล้านปอนด์จากศูนย์หน้าไนจีเรียผู้นี้

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2010 ขณะอายุ 13 ปี อโวนิยี่ได้รับตำแหน่งเอ็มวีพีหรือผู้เล่นทรงคุณค่าของการแข่งขันฟุตบอลระดับเยาวชนรายการหนึ่งที่กรุงลอนดอน ซึ่งมี โคคา-โคลา เป็นสปอนเซอร์ บวกกับฟอร์มฉายแววจึงถูกเชิญเข้าร่วมฝึกซ้อมและลงแข่งขันให้กับ อินพีเรียล ซอคเกอร์ อะคาเดมี่

อีกห้าปีต่อมา อโวนิยี่เซ็นสัญญาอาชีพกับลิเวอร์พูลเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2015 หลังจากหงส์แดงเคาะราคาซื้อจากอิมพีเรียล ซอคเกอร์ อะคาเดมี่ เป็นเงินประมาณ 400,000 ปอนด์ แต่ถูกปล่อยให้ เอฟเอสเฟา แฟรงค์เฟิร์ต ยืมตัวทันที และคล้อยหลังไม่กี่เดือน เยอร์เกน คล็อปป์ ได้เข้ามาเริ่มงานผู้จัดการทีมในแอนฟิลด์

ตลอดหกฤดูกาล อโวนิยี่ต้องไปเล่นที่อื่นด้วยสัญญายืมตัวทั้งหมด 6 สโมสรไม่ซ้ำกัน ก่อนยูเนี่ยน เบอร์ลิน ขอซื้อขาดในราคา 6.5 ล้านปอนด์ ทำกำไรให้กับลิเวอร์พูลถึง 6.1 ล้านปอนด์ แต่ “ดิ ไอรอน วันส์” ใช้งานศูนย์หน้าไนจีเรียแค่ปีเดียวก็ขายต่อให้น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ 17.5 ล้านปอนด์ ฟันกำไรเหนาะ ๆ 11 ล้านปอนด์ แต่สโมสรต้องแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปให้ลิเวอร์พูล

ส่วนหนึ่งในสัญญาเมื่อปี 2021 ระหว่างลิเวอร์พูลกับยูเนี่ยน เบอร์ลิน เป็นเงื่อนไขส่วนแบ่งการขายหรือ Sell-on Clause ทำให้สโมสรเมืองเบียร์ต้องแบ่ง 10 เปอร์เซ็นต์ของค่าตัวที่ขายได้ให้กับทีมหงส์แดง ซึ่งเท่ากับ 1.75 ล้านปอนด์นั่นเอง

นั่นเท่ากับว่า ลิเวอร์พูลได้เงินจากอโวยินี่ทั้งทางตรงทางอ้อมรวมกัน 7.85 ล้านปอนด์ ซึ่งยังไม่รวมรายได้จากการปล่อยยืมให้กับ 6 สโมสรเข้าไปด้วย ลิเวอร์พูลสามารถนำเงินจำนวนนี้ไปซื้อนักเตะดาวรุ่งแววดีที่ผ่านการพิสูจน์ผลงานแล้วได้หนึ่งคน หรือเก็บสะสมเพื่อเอาไปทุ่มซื้อ จู้ด เบลลิงแฮม มิดฟิลด์ว่าที่ซูเปอร์สตาร์ของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในตลาดซัมเมอร์รอบหน้าก็ยังได้

เงื่อนไข “เซลล์-ออน” แหล่งรายได้ส้มหล่นของเหล่าสโมสรเล็ก

เซลล์-ออน มักเป็นแหล่งรายได้ของสโมสรเล็ก ๆ จากการขายนักเตะที่พวกเขามองว่าน่าจะไปได้ไกลในอนาคต ตัวอย่างที่เกิดขึ้นประมาณสองปีที่แล้วกับ แมทท์ โดเฮอร์ตี้ ฟูลแบ็คชาวไอริช ซึ่งย้ายจากวูลฟ์แฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส ไปอยู่กับท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2020 ด้วยค่าตัวระหว่าง 18-21 ล้านปอนด์หลังจากเล่นให้กับวูลฟ์สยาวนานหนึ่งทศวรรษ ลงสนาม 260 นัด

วูลฟ์แฮมป์ตันค้นพบโดเฮอร์ตี้ระหว่างเตะอุ่นเครื่องปรีซีซั่นกับ โบฮีเมี่ยนส์ เอฟซี ทีมในลีกไอร์แลนด์ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2010 แม้โดเฮอร์ตี้ไม่เคยเล่นทีมชุดใหญ่ของโบฮีเมี่ยนส์เลยสักนัด แต่ถูกเรียกตัวเข้ามาทดสอบฝีเท้าและได้เซ็นสัญญาสองปีกับทีมหมาป่า ซึ่งจ่ายค่าตัวให้ต้นสังกัดไปครั้งนั้น 75,000 ปอนด์

โดเฮอร์ตี้ย้ายไปค้าแข้งในพรีเมียร์ลีกกับวูลฟ์สและแฟนบอลโบฮีเมี่ยนส์อาจลืมชื่อเขาไปแล้วจนกระทั่งตกเป็นข่าวย้ายไปทีมสเปอร์สด้วยค่าตัว 18-21 ล้านปอนด์ เนื่องจากสัญญาเมื่อสิบปีที่แล้วระหว่างโบฮีเมี่ยนส์กับวูลฟ์สมีเงื่อนไขเซลล์-ออน 10เปอร์เซ็นต์รวมอยู่ด้วย ทำให้โบฮีเมี่ยนส์รับส่วนแบ่งไป 1.8-2.1 ล้านปอนด์ ซึ่งจำนวนอาจดูเล็กน้อยแต่มันคือรายได้ก้อนใหญ่มากของสโมสรไอริชแห่งนี้ที่มีแฟนบอลเป็นเจ้าของ และเมื่อปี 2016 มีรายได้รวมทั้งปีแค่ 945,000 ปอนด์ (ยังไม่หักหนี้สิน)

ยังมีสโมสรเล็กๆอีกหลายทีมที่ได้รับประโยชน์จากเงินส่วนแบ่งการขายอย่างเช่นเมื่อครั้ง อายเมริค ลาปอร์เต้ เซ็นเตอร์แบ็คชาวฝรั่งเศส ย้ายจากแอธเลติค บิลเบา ไปแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อปี 2018 ด้วยค่าตัว 57 ล้านปอนด์

ขณะอายุ 12 ปี ลาปอร์เต้เข้าร่วมทีมเยาวชนอะคาเดมี่ของ อาแฌ็ง ซึ่งแข่งขันในดิวิชั่น 8 ของลีกฝรั่งเศส และใช้เวลาที่นั้นนานสี่ปีก่อนย้ายไปอยู่กับอะคาเดมี่ของแอธเลติก บิลเบา เมื่อปี 2010 ด้วยวัย 16 ปี โดยอาแฌ็งจะได้รับส่วนแบ่ง 1เปอร์เซ็นต์ของการขยายลาปอร์เต้ในอนาคต

เซ็นเตอร์แบ็คดาวรุ่งจากเมืองน้ำหอมสามารถแจ้งเกิดได้สำเร็จบนแผ่นดินกระทิงดุ ลาปอร์เต้เล่นให้ทีมชุดใหญ่ของบิลเบาระหว่างปี 2012-2018 ลงสนาม 116 นัด ก่อนถูกแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซื้อตัวไปในตลาดหน้าหนาวปี 2018 ด้วยราคา 57 ล้านปอนด์ ทำให้เงินเกือบหกแสนปอนด์ถูกโอนเข้าบัญชีของอาแฌ็ง ช่วยให้สโมสรรอดพ้นจากการล้มละลายได้

“หงส์แดง” ลุ้นรอรับเงินจาก “เซลล์-ออน” ในสัญญาอีกหลายราย

เซลล์-ออน ไม่ได้คำนวณจากเปอร์เซ็นต์ของเงินขายนักเตะเท่านั้น แต่อาจคิดจากผลกำไรได้อีกด้วยอย่างเช่น ดาร์วิน นูนเยซ กองหน้าดาวรุ่งทีมชาติอุรุกวัยที่เพิ่งย้ายไปอยู่ลิเวอร์พูลด้วยค่าตัวเมื่อรวมเงื่อนไขแอด-ออนแล้วตก 85 ล้านปอนด์ เคยมีเงื่อนไขเซลล์-ออนที่กำหนดว่า เบนฟิก้าต้องจ่าย 20 เปอร์เซ็นต์ของกำไรการขายให้กับ อัลเมเรีย ต้นสังกัดเก่าของนูนเยซในสเปนก่อนย้ายเข้าเบนฟิก้าเมื่อปี 2020 

สัญญาซื้อขายนักฟุตบอลก็คือเอกสารทางกฎหมายอย่างหนึ่งแต่มีเงื่อนไขผูกมัดหลายประเด็น แต่ข้อมูลที่ปรากฏบนหน้าสื่อมักเป็นเพียงค่าตัว ค่าเหนื่อย และระยะเวลา ช่วงหลังๆจะพบอ็อปชั่นซื้อขาด, อ็อปชั่นต่อสัญญา และโบนัสแอด-ออน ซึ่งเป็นเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มตามผลงานของนักเตะหรือสโมสรใหม่ แต่ความจริงแล้วยังมีเงื่อนไขปลีกย่อยอื่นๆอีกดังเช่น เซลล์-ออน ที่ถูกหยิบมาพูดถึงจากกรณีของ ไตโว อโวนิยี่

ในอนาคต ลิเวอร์พูลอาจได้เงินส้มหล่นลักษณะนี้อีกเพื่อนำไปใช้จ่ายซื้อนักเตะใหม่เพื่อเสริมเขี้ยวเล็บไล่ล่าแชมป์พรีเมียร์และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สองเป้าหมายใหญ่ของสโมสร เพราะเท่าที่ได้รับการเปิดเผยยังมีอดีตผู้เล่นของลิเวอร์พูลมีพันธะเซลล์-ออนกับสโมสรที่ซื้อไปรวม 15 คนคือ

  • หลุยส์ อัลแบร์โต้ (ลาซิโอ) – 30 เปอร์เซ็นต์
  • แดนนี่ วอร์ด (เลสเตอร์) – 20 เปอร์เซ็นต์
  • ไรอัน เคนท์ (เรนเจอร์ส) – 20 เปอร์เซ็นต์
  • ราฟา คามาโช (สปอร์ติ้ง ลิสบอน) – 20 เปอร์เซ็นต์
  • โดมินิค โซแลงเก้ (บอร์นมัธ) – 20 เปอร์เซ็นต์ จากกำไร
  • อัลแลน โรดริเกวส (แอตเลติโก ไมเนียโร)  – 10 เปอร์เซ็นต์
  • ไรอัน บริวสเตอร์ (เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด) – 15 เปอร์เซ็นต์
  • ไค-จานา ฮูเวอร์ (วูลฟ์แฮมป์ตัน) – 15 เปอร์เซ็นต์
  • โอวี่ อียาเรีย (เรดดิ้ง) – 20 เปอร์เซ็นต์
  • เฮอร์บี เคน (บาร์สลีย์) – 15 เปอร์เซ็นต์
  • คามิล กราบารา (โคเปนเฮเกน) – 20 เปอร์เซ็นต์
  • เลียม มิลลาร์ (บาเซิล) – 20 เปอร์เซ็นต์
  • แฮร์รี่ วิลสัน (ฟูแลม) – 15 เปอร์เซ็นต์
  • มาร์โก กรูซิช (ปอร์โต) – 10 เปอร์เซ็นต์

ในอดีต ลิเวอร์พูลเคยได้รับประโยชน์ทั้งจากส่วนแบ่งการขายและเงื่อนไขเซลล์-ออนหมดอายุมาแล้วกับกรณีของ ไอบ์, เซอร์ไก คานอส, แบรด สมิธ, ติอาโก อิลอรี, บ็อบบี้ ดันแคน และ มาริโอ บาโลเตลลี่

ลิเวอร์พูลยังมีช่องทางใช้ประโยชน์จากเงื่อนไขเซลล์-ออนที่เคยทำไว้กับหลายทีม รวมถึงตัวอย่างที่ไม่ได้พบบ่อยกับการซื้อตัวกลับมาเช่น รายของแฮร์รี่ วิลสัน ปีกชาวเวลส์ ซึ่งฟูแลมเพิ่งซื้อขาดหลังประทับใจผลงานช่วงยืมตัว สมมุติว่าวันหนึ่ง ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ เจรจาขอซื้อจากฟูแลมที่ค่าตัว 25 ล้านปอนด์ ลิเวอร์พูลสามารถขอซื้อด้วยราคาหลังหักส่วนลด 15เปอร์เซ็นต์ หรือ 21.25 ล้านปอนด์ เพื่อเซ็นสัญญากับอดีตผู้เล่นที่ไม่เคยได้เล่นกับทีมเลยระหว่างมีสัญญาในแอนฟิลด์ระหว่างปี 2015-2022 เพราะถูกปล่อยยืมตลอดเหมือนกับอโวนิยี่ หรือถ้าไม่ต้องการตัวกลับ ลิเวอร์พูลก็ยังได้ส่วนแบ่ง 15เปอร์เซ็นต์เมื่อฟูแล่มขายให้สเปอร์ส

บางทีการซื้อขายนักเตะสักคนหนึ่งใช้เวลาเนิ่นนานเยิ่นเย้อไม่ใช่เพราะตกลงค่าตัวค่าเหนื่อยกันไม่ได้ แต่อาจเป็นเงื่อนไขเล็กๆน้อยๆที่แทรกอยู่ในสัญญาก็เป็นได้

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา

Categories
Football Business

วิลเลียม สเปียร์แมน : ตัวละครลับ ช่วย “ลิเวอร์พูล” คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก

#SSxKMD | 25 มิถุนายน 2020 การรอคอยอันแสนยาวนานของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล สิ้นสุดลงเสียที เมื่อคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษเป็นสมัยที่ 19 และเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี

เมื่อทีมฟุตบอลที่ตัวเองตามเชียร์ประสบความสำเร็จ ก็มักจะยกความดีความชอบให้นักเตะและโค้ช แต่ความจริงแล้วยังมีทีมงานหลังบ้านอีกจำนวนหนึ่ง คอยปิดทองหลังพระอยู่เบื้องหลัง

ซึ่งมีบุคคลหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า “นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล” ที่หลายคนอาจไม่เคยได้ยินอาชีพนี้มาก่อน แต่นั่นคือฟันเฟืองสำคัญ ที่ทำให้หงส์แดงคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ในวันนี้ เมื่อ 2 ปีก่อน

แล้ว “ข้อมูล” มีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้ลิเวอร์พูลกลับมายิ่งใหญ่ได้อย่างไร ? วันนี้ SoccerSuckไข่มุกดำ จะมาขยายให้ฟังกันครับ

ทำความรู้จัก “วิทยาศาสตร์ข้อมูล”

คำว่า “วิทยาศาสตร์ข้อมูล” (Data Science) หมายถึงการนำข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) มาวิเคราะห์ตามกระบวนการตั้งสมมติฐาน ทดลอง และหาผลลัพธ์ที่กลั่นกรองออกมาเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป

โดยผู้ที่ทำอาชีพด้าน Data Science จะเรียกว่า “นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล” (Data Scientist) ซึ่งจะต้องมีองค์ความรู้หลากหลายแขนง ทั้งด้านคอมพิวเตอร์, คณิตศาสตร์/สถิติ และธุรกิจ

มีการคาดการณ์กันว่า ในปี 2030 สายงาน Data Scientist ในอุตสาหกรรมกีฬา จะมีมูลค่าสูงถึง 1,850 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์จากปัจจุบัน ถึงแม้จะเกิดวิกฤตโควิด-19 ก็ตาม

สำหรับวงการฟุตบอลในยุคสมัยใหม่ ก็ได้มีการออกแบบการจัดเก็บ “ข้อมูล” ที่ละเอียดและหลากหลายมากกว่าในอดีต ซึ่งใครก็ตามที่มีข้อมูลหรือเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำกว่า ก็แทบจะมีชัยไปมากกว่าครึ่งแล้ว

แต่การมีข้อมูลเยอะ ๆ มันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าไม่ได้นำมาผ่านกระบวนการวิเคราะห์ให้ตกผลึก และผู้บริหารสูงสุด รวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงไม่เปิดใจที่จะรับฟัง ทำให้ข้อมูลไม่ได้ถูกใช้งานจริง ๆ

สโมสรฟุตบอลในปัจจุบัน ต่างก็มีทีมวิเคราะห์ข้อมูลอยู่แล้ว แต่สำหรับลิเวอร์พูล ในยุคที่กลุ่มเฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป (FSG) เข้ามาบริหารทีม ได้นำข้อมูลมาใช้อย่างจริงจัง จนสร้างความแตกต่างที่โดดเด่น

วิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของผู้บริหาร

เมื่อปี 2002 จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี่ ที่ในขณะนั้นเป็นเจ้าของทีมเบสบอล บอสตัน เรด ซ็อกซ์ เคยใช้เงิน 12.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ดึงตัวบิลลี่ บีน ผู้จัดการทีมเจ้าของคอนเซปต์ “Moneyball” ที่ใช้ข้อมูลในการสร้างทีมให้ยิ่งใหญ่

กระทั่งการเข้ามาซื้อสโมสรลิเวอร์พูลของกลุ่ม FSG จอห์น เฮนรี่ ไม่ได้แค่เข้ามากอบกู้ซากปรักหักพัง ที่เจ้าของทีมในอดีตทิ้งไว้เท่านั้น ยังได้นำแนวคิดเรื่อง “ข้อมูล” มาใช้บริหารทีม จนประสบความสำเร็จ

จอห์น เฮนรี่ ได้ดึงตัวเอียน เกรแฮม มารับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวิจัยข้อมูล และยังมีทีมงานที่อยู่ภายใต้แกรแฮมอีก 6 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ดร.วิลเลียม สเปียร์แมน ผู้จบปริญญาเอกด้านฟิสิกส์ ด้านอนุภาคพลังงานสูง

ดร. สเปียร์แมน เคยทำงานวิจัยเรื่องการวัดขนาดและความกว้างของสนามพลังฮิกส์ ที่องค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป (CERN) ก่อนที่ในปี 2015 จะได้มาเป็นนักวิเคราะห์ข้อมูลด้านกีฬาให้กับฮูเดิ้ล (Hudl) ที่สหรัฐอเมริกา

และที่ Hudl นี่เอง ที่ทำให้ดร. สเปียร์แมน ได้มีความสนใจในเรื่องราวของกีฬา “ฟุตบอล” ที่มีจังหวะการเล่นต่อเนื่อง และมองว่าข้อมูลที่ซับซ้อนในเกมลูกหนัง ยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากเท่าใดนัก

กระทั่งในเดือนมีนาคม 2018 ดร. สเปียร์แมน ได้เข้ามาเป็นทีมงานในฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูลของลิเวอร์พูล หน้าที่ของเขาคือ เก็บข้อมูลเพื่อใช้วิเคราะห์การแข่งขันของผู้เล่นในสนาม และการสรรหาผู้เล่นใหม่

ดร. สเปียร์แมน ได้นำโมเดลจาก Hudl ซึ่งเป็นโมเดลที่ใช้ติดตามการเคลื่อนที่ของผู้เล่นทั้ง 22 คน และลูกฟุตบอล ด้วยการใช้กล้องที่ติดตั้งไว้รอบ ๆ สนาม จับภาพในอัตรา 25 เฟรมต่อวินาที

เครื่องมือดังกล่าว ทำให้สามารถประเมินระยะห่างระหว่างผู้เล่นกับลูกฟุตบอล และคำนวณเปอร์เซ็นต์การครองบอลที่แท้จริง ซึ่งเป็นประโยชน์กับแท็กติก “เกเก้นเพรสซิ่ง” ของเจอร์เก้น คล็อปป์

ตัวอย่างจากโมเดล Pitch Control

ตัวอย่างการใช้ “วิทยาศาสตร์ข้อมูล” ของลิเวอร์พูล ที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง โดยดร.วิลเลียม สเปียร์แมน และ ดร.ทิม วาสเกตต์ ได้ร่วมกันอธิบายโมเดลการคุมพื้นที่ในขณะที่ครอบครองบอล หรือ Pitch Control

ดร. สเปียร์แมน ได้นิยาม Pitch Control ไว้ว่า “มันคือการที่ผู้เล่นคนหนึ่ง หรือเพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ ได้ควบคุมพื้นที่ในบริเวณหนึ่งของสนาม ดังนั้นต้องผ่านบอลในจุดที่ได้เปรียบ เพื่อรักษาการครองบอลของทีมไว้”

ส่วน ดร.วาสเกตต์ กล่าวเสริมว่า “เราได้วิเคราะห์การเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เพื่อหาช่องว่างที่ผู้เล่นสามารถแย่งพื้นที่จากอีกฝั่งไว้ได้ และจะส่งผลถึงโอกาสการทำประตู ณ จุดหนึ่งบนสนาม ในอีก 15 วินาทีข้างหน้า”

ซึ่งข้อมูลทั้งหมดจากทีมนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล จะถูกส่งไปให้เจอร์เก้น คล็อปป์ เพื่อใช้ประกอบในการฝึกซ้อม และการวางแท็กติก ควบคู่กับมันสมองในเกมลูกหนังที่ยอดเยี่ยมของกุนซือชาวเยอรมันวัย 55 ปี

หากจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัด ๆ อย่างเช่นในเกมที่ลิเวอร์พูล บุกชนะท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ 1 – 0 เมื่อเดือนมกราคม 2020 ลิเวอร์พูลยิงขึ้นนำก่อนตั้งแต่ครึ่งแรก พอถึงช่วงท้ายเกมสเปอร์พยายามจะตีเสมอให้ได้

แต่แล้ว ลิเวอร์พูลได้ใช้เทคนิคให้ผู้เล่นเอาต์ฟิลด์ทั้ง 10 คน ยืนแพ็คกันอยู่บริเวณกลางสนามด้วยระยะห่างกันไม่ถึง 20 หลา บีบให้สเปอร์ทำได้แค่ส่งบอลไปรอบ ๆ ไม่สามารถเจาะช่องเข้าไปได้จนจบการแข่งขัน

นอกจากนี้ ฟูลแบ็ก 2 ฝั่งทั้งแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน (ซ้าย) และเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาโนลด์ (ขวา) มีการส่งบอลข้ามฝากให้กันในเปอร์เซ็นต์ที่สูงอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งก็มาจากโมเดล Pitch Control เช่นเดียวกัน

ความลับจากวิทยาศาสตร์ข้อมูล ที่ทรงพลังจนเห็นผลของจริงในสนาม มีส่วนช่วยให้ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2019/20 ต่อยอดจากแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อ 1 ซีซั่นก่อนหน้านั้น

“ข้อมูล” เบื้องหลังความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่

ลิเวอร์พูล เป็นสโมสรแรก ๆ ของพรีเมียร์ลีก ที่เห็นความสำคัญของ “ข้อมูลขนาดใหญ่” ที่นำมากลั่นกรองจนตกผลึก และเป็นเบื้องหลังความสำเร็จกับแชมป์ 6 รายการ ในยุคของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์

จาก Data Science สู่การนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการวิเคราะห์ข้อมูล อย่างบริษัท Zone7 ที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงเรื่องปัญหาการบาดเจ็บของผู้เล่นในทีม

และยังมีเครื่องมือจาก Neuro11 ที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลการทำงานของสมองสำหรับนักเตะในการเล่นลูกนิ่ง เช่น ความเครียดในการเล่นจังหวะหนึ่ง, ท่าที่เหมาะสมที่สุดเมื่อต้องยิงฟรีคิก เตะมุม หรือจุดโทษ

เมื่อลิเวอร์พูลพิสูจน์ให้เห็นแล้วในช่วงปี 2019-2020 ทีมคู่แข่งสำคัญอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ได้แต่งตั้งลอรี่ ชอว์ อดีตนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ มาเป็นทีมงานข้อมูลหลังบ้าน เมื่อช่วงต้นปี 2021

รวมถึงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคที่เปลี่ยนโครงสร้างการบริหารใหม่ ก็เริ่มที่จะแสดงความก้าวหน้า ด้วยการดึงโดมินิค จอร์แดน มาเป็นผู้อำนวยการฝ่าย Data Scientist คนแรกของสโมสร เมื่อปลายปีที่แล้ว

จะเห็นได้ว่า ผู้ที่นำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ก่อนคนอื่น จะเป็นผู้ที่ได้เปรียบ เพราะในโลกธุรกิจยุคสมัยใหม่ จะเป็น “ปลาเร็วกินปลาช้า” ไม่ใช่ “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” เหมือนในอดีตอีกต่อไป

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

– https://www.liverpoolfc.com/news/cern-lfc-weird-journey-william-spearman-liverpools-lead-data-scientist

– https://www.liverpool.com/liverpool-fc-news/features/liverpool-transfer-news-jurgen-klopp-17569689

– https://theathletic.com/2041669/2020/09/09/meet-william-spearman-liverpools-secret-weapon-15-seconds/

– https://www.liverpoolecho.co.uk/sport/football/football-news/harvard-physicist-opens-up-role-22959333

– https://zone7.ai/how-physicists-are-taking-on-the-challenge-of-interpreting-football-data/

https://www.bbc.com/news/business-56164159

– https://medium.com/the-spekboom/how-math-and-data-science-made-liverpool-the-best-team-on-the-planet-a72d50b325

Categories
Football Business

ระเบิดศึก ครั้งแรก! ฟุตบอลทัวร์นาเม้นท์พิเศษ “LaLiga Futbol Cup” ชวนเตะบอล 7 คน พร้อมรับความสนุกและมิตรภาพแบบครอบครัวลาลีกา

คอบอลอย่างเราพลาดได้อย่างไร หยิบสตั๊ด รวมเพื่อน มาเตะบอลกัน! กับกิจกรรมดีบอกต่อ ที่เปิดโอกาสให้ร่วมสนุกกับการแข่งขันฟุตบอล ภายใต้งาน “LaLiga Futbol Cup by M88 2022” งานที่จะชวนทุกท่าน ที่ชื่นชอบในการเตะบอล ออกกำลังกาย รวมทีมมาร่วมสนุกไปด้วยกัน กับการแข่งขันฟุตบอลทัวร์นาเมนท์พิเศษ ที่เต็มไปด้วยความสนุกเเละมิตรภาพเเบบครอบครัว ลาลีกา เตะบอลมันส์ Fun ให้สุด !

ฟุตบอลทัวร์นาเมนท์พิเศษ ครั้งแรก โดยลาลีกาครั้งนี้ เป็นการแข่งขันแบบ 7 คน ส่งชื่อเพื่อนร่วมทีมได้ทั้งหมด 10 คน ไม่จำกัดอายุ เพียงแค่คุณพร้อมที่จะลุย ก็สามารถสมัครเข้ามาได้เลย เปิดรับสมัครเพียง 20 ทีมเท่านั้น !! 

ภายในงานจะมีเสื้อฟุตบอลสกรีนโลโก้ทีมใน ลาลีกา สเปน 20 สโมสรแจกให้ใส่เพื่อทำการแข่งขันฟรี! โดยทำการจับสลากหน้างานว่า แต่ละทีมจะได้เสื้อสกรีนโลโก้สโมสรอะไร และมีน้ำดื่มให้ฟรี ทีมละ 2 แพ็ค 24 ขวด ซึ่งทัวร์นาเมนท์นี้ มีถ้วยรางวัลให้สำหรับผู้ชนะเลิศอันดับ 1, 2 และ 3 รวมถึงรางวัลทีมแฟร์เพลย์ อวอร์ด และรางวัลนักเตะยอดเยี่ยม

นอกจากนี้ในงานยังมีอาหารให้ทานฟรีอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวร้อน ๆ ทานคล่องคอ หรือดับร้อนด้วยไอศกรีมโบราณ หอม หวาน เย็นชื่นใจ ไม่เพียงเท่านั้นยังมีบูธกิจกรรมจาก M88 ที่พร้อมจะมอบความสุขให้กับทุกท่าน และกองเชียร์ผู้ติดตามได้ร่วมมันส์กันอีกด้วย

กติกาการสมัครเข้าร่วมกิจกรรม

1. สแกน QR Code หรือ คลิกที่ลิงนี้ https://bit.ly/3bcpubH แล้วกรอกข้อมูลตามขั้นตอน

2. แจ้งชื่อ-นามสกุล เบอร์ติดต่อ และ E-mail 

3. ส่งภาพถ่ายที่แสดงความเป็น “ทีม” ของคุณ กับลาลีกาเข้ามาในแบบฟอร์ม

สำหรับการประกาศผลว่าทีมไหนจะได้เข้าร่วมกิจกรรม จะทำการประกาศใน วันที่ 30 มิถุนายน 2565 (เวลา 15.00-16.00 น.)  ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อไป (หากไม่สามารถติดต่อได้เจ้าหน้าที่ขอสงวนสิทธิ์ให้กับผู้โชคดีทีมลำดับถัดไป)

หมายเหตุ : 

1. จำนวนทีมที่รับทั้งหมด 20 ทีม ทีมละ 10 คน

2. สมัครมาเป็นทีม โดยตัวแทนทีมลงทะเบียนครั้งเดียว แล้วใส่ชื่อสมาชิกในทีมได้เลย 10 คน

3. ค่ามัดจำทีม จำนวน  1,500 บาท สำหรับการลงทะเบียนเข้าร่วมทัวร์นาเมนท์ **

** หากไม่ได้รับการคัดเลือกจะโอนกลับในวันที่ 1 ก.ค.2565 สำหรับทีมที่ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมแข่งขัน และมารายงานตัวในวันที่จัดแข่งขัน จะได้รับเงินคืน โดยจะโอนเงินคืนให้กับหัวหน้า หรือตัวแทนทีมในวันถัดไปหลังจบงาน (กรณีที่โดนใบแดงทางผู้จัดขออนุญาตยึดมัดจำ)

4. สำหรับทีมที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมทัวร์นาเมนท์นี้ ต้องทำการถ่ายรูป ผลตรวจ ATK คู่กับบัตรประจำตัวประชาชน มายื่น ณ จุดลงทะเบียนหน้างาน 

.

*กรุณาทำตามทุกขั้นตอน*

– ผลตรวจจะต้องเป็นลบ (ไม่พบเชื้อ) 

– ผลตรวจจะต้องทำการตรวจไม่เกิน 24 ชั่วโมงก่อนเข้างาน

สถานที่ : สนามฟุตบอล kpc soccer km.9 (สนามฟุตบอลในร่ม)

พิกัด : https://goo.gl/maps/H4qY5sSs3s8bSDKu9

วันที่ : 2 กรกฏาคม 2565 

เวลา : 09.00 – 17.00 น.

สุดท้ายนี้ อย่าลืม ! แอดไลน์ @khaimukdam กันไว้นะคะ เพื่อไม่ให้พลาดกิจกรรมดี ๆ แบบนี้ และสามารถเข้ามาพูดคุย สอบถามกันได้

แล้วเตรียมตัว เตรียมใจ ฟิตร่างกาย มาโชว์ฝีเท้ากับพวกเราได้เลย