Categories
Special Content

เคล็ดลับลุ้น 4 แชมป์ : เจาะเบื้องหลัง “ลิเวอร์พูล” ลงเล่น 63 นัดในซีซั่นเดียว

#SSxKMD | ลิเวอร์พูล ในฤดูกาล 2021/22 ที่ผ่านมา ถือเป็นฤดูกาลที่ลงเล่นครบทุกนัดทั้ง 4 รายการที่ลงแข่งขัน รวมทั้งสิ้น 63 เกม แพ้แค่ 4 เกม ได้มา 2 แชมป์ คือคาราบาว คัพ และเอฟเอ คัพ

แฟนๆ “เดอะ ค็อป” อาจจะน่าเสียดายที่พลาด 2 ถ้วยที่ใหญ่ที่สุดทั้งพรีเมียร์ลีก และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในสัปดาห์สุดท้ายของซีซั่น แต่การได้ลุ้นถึงจนถึงนัดสุดท้ายทุกถ้วย ก็ถือว่าน่าประทับใจ

เหตุผลสำคัญที่ “หงส์แดง” มาถึงจุดนี้ได้ คือการที่นักเตะภายในทีมแทบจะไม่มีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวน ทำให้สามารถประคับประคองทีมจนเกือบสร้างประวัติศาสตร์ทำ “ควอดรูเพิล”

วันนี้ SoccerSuckไข่มุกดำ จะนำเบื้องหลังซีซั่นที่เหลือเชื่อที่สุดในประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูล มาขยายให้ฟังกันครับ

หลังบ้านมีปัญหาเมื่อซีซั่นที่แล้ว

ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2019/20 แต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้นักเตะได้รับผลกระทบเรื่องสภาพร่างกายจากการล็อกดาวน์พักซีซั่นชั่วคราว รวมถึงการลงเล่นอย่างต่อเนื่อง

จนกระทั่งเข้าสู่ฤดูกาล 2020/21 ลิเวอร์พูลต้องเจอกับซีซั่นที่เจ็บปวด หลังจากสูญเสียนักเตะในเกมรับหลายคนจากอาการบาดเจ็บตั้งแต่ช่วงต้นซีซั่น จนส่งผลกระทบต่อผลงานของทีมอย่างหนัก

เริ่มจากเฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ตามมาด้วยโจ เกเมซ ที่ต้องปิดซีซั่นตั้งแต่เดือนตุลาคม และพฤศจิกายนตามลำดับ โจเอล มาติป ก็เจ็บตามไปในเดือนมกราคม หลังฝืนลงเล่นหลายนัดในช่วงครึ่งซีซั่นแรก

เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือลิเวอร์พูล ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการนำฟาบินโญ่ ที่เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ มาเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็กแทนฟาน ไดค์ อาจจะทำได้ไม่ดีเท่า แต่ก็ยังพอไปได้

อย่างไรก็ตาม มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฟาบินโญ่บาดเจ็บ คล็อปป์ได้สลับคู่เซนเตอร์แบ็กถึง 16 คู่ นักเตะอย่างจอร์แดน เฮนเดอร์สัน, รีห์ส วิลเลี่ยมส์ และแน็ต ฟิลลิปส์ ล้วนต้องมาเล่นเซ็นเตอร์แบ็กจำเป็น

วิกฤตอาการบาดเจ็บของนักเตะเกมรับในซีซั่น 2020/21 คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ลิเวอร์พูลไม่สามารถคว้าแชมป์รายการใดๆ ได้เลย ซึ่งคล็อปป์ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นแล้ว

แก้ปัญหาด้วย “ปัญญาประดิษฐ์”

จากปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อซีซั่นก่อน ลิเวอร์พูลได้นำเทคโนโลยีที่เรียกว่าปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ซึ่งหมายถึงการสร้าง “สมองเทียม” ที่สามารถประมวลผล และวิเคราะห์ได้คล้ายกับสมองของมนุษย์

ก่อนที่ฤดูกาล 2021/22 จะเริ่มขึ้น ลิเวอร์พูลได้ว่าจ้างบริษัท “โซนเซเว่น” (Zone7) จากแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในการนำเทคโนโลยี AI มาช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยงเรื่องปัญหาการบาดเจ็บของผู้เล่นภายในทีม

การทำงานของ Zone7 เป็น AI ที่นำข้อมูลทุกอย่างรวบรวมเป็น “Big Data” มาเข้ากระบวนการอัลกอริทึมที่ได้ออกแบบไว้ จากนั้นจะวิเคราะห์ ก่อนส่งให้ผู้จัดการทีมและสต๊าฟฟ์ที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณา

ตัวอย่างของ “ข้อมูล” ในกีฬาฟุตบอล อาทิเช่น ข้อมูลส่วนตัวผู้เล่น, ข้อมูลในสนามซ้อมและแข่งขันจริง, ความแข็งแกร่งของร่างกาย, ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ, ระดับความเครียด เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม AI ของ Zone7 ต้องใช้เวลาพัฒนาอย่างยาวนาน กว่าที่จะวิเคราะห์ออกมาได้อย่างแม่นยำ ในปัจจุบันนี้ Zone7 สามารถตรวจจับอาการบาดเจ็บได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ล่วงหน้า 7 วัน ก่อนบาดเจ็บจริง

ทาล บราวน์ ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Zone7 กล่าวว่า “โลกของฟุตบอลเต็มไปด้วยข้อมูล ถ้าสามารถหาประโยชน์จากข้อมูลที่มีได้ จะได้เปรียบในการแข่งขัน และตอนนี้ข้อมูลได้ถูกนำมาใช้ประเมินนักเตะแล้ว”

“AI ของเรา ช่วยจำลองสถานการณ์ที่เหมาะสมที่สุดของผู้เล่น ทำให้ผู้เล่นยังรักษาฟอร์มการเล่นที่ดีไว้ได้นานที่สุด และลดความเสี่ยงให้มากที่สุด บางครั้งความเสี่ยงอาจจะหมายถึงการลดภาระในการทำงานลงก็ได้”

“มนุษย์” คือนักวางแผนที่ดีที่สุด

ถึงแม้ว่า ลิเวอร์พูลจะนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วย แต่การวางแผนเพื่อเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ยังขึ้นอยู่กับเจอร์เก้น คล็อปป์ และทีมงานเหมือนเดิม ไม่สามารถแทนที่มนุษย์ 100 เปอร์เซนต์ในเวลานี้

ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ AI ของ Zone7 ทำให้กุนซือชาวเยอรมัน ตัดสินใจทดลอง “โรเตชั่น” ผู้เล่นตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นซีซั่น ซึ่งโดยสถิติ ลิเวอร์พูลจะมีการหมุนเวียนผู้เล่นเฉลี่ย 4 ตำแหน่งในแต่ละนัด

ความสามารถของ Zone7 ร่วมกับการตัดสินใจของเจอร์เก้น คล็อปป์ และทีมงาน ทำให้ลิเวอร์พูลสามารถลดจำนวนวันบาดเจ็บของผู้เล่นทั้งระยะสั้น และระยะยาวลงได้อย่างมีนัยสำคัญ

ข้อมูลจาก Premier Injuries ระบุว่า ลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2020/21 มีจำนวนวันที่ผู้เล่นในทีมบาดเจ็บรวมกัน 1,513 วัน และในฤดูกาล 2021/22 ลดลงเหลือ 1,008 วัน หรือลดลงคิดเป็น 33 เปอร์เซ็นต์

ในส่วนของผู้เล่นที่บาดเจ็บระยะยาวมากกว่า 9 วัน (Days lost from substantial injuries) ในฤดูกาลล่าสุด ก็ลดลงเมื่อเทียบกับฤดูกาลก่อนเช่นกัน จาก 1,409 วัน เหลือ 841 วัน หรือลดลง 40 เปอร์เซ็นต์

โค้ชคนอื่นๆ มักจะไม่นิยมหมุนเวียนนักเตะช่วง 1 – 2 เดือนแรกของซีซั่น แต่คล็อปป์กล้าทำ และกลายเป็นผลดีในช่วงครึ่งซีซั่นหลัง ลิเวอร์พูลสามารถโรเตชั่นผู้เล่น สำหรับการลงเตะสัปดาห์ละ 2 นัด แบบไม่มีปัญหา

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือในเกมพรีเมียร์ลีก นัดที่ลิเวอร์พูลบุกไปชนะเซาธ์แธมป์ตัน 2 – 1 ช่วงกลางเดือนพฤษภาคม คล็อปป์โรเตชั่นผู้เล่น 9 ตำแหน่ง หลังจากชนะจุดโทษเชลซีในเอฟเอ คัพ เมื่อ 3 วันก่อนหน้านั้น

เบื้องหลังของลิเวอร์พูล กับฤดูกาลที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ คือการมองเห็นคุณค่าจากเทคโนโลยี แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หัวจิตหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ของนักเตะ ตลอดเส้นทางการลุ้นแชมป์ในทุกรายการ

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://theathletic.com/3321871/2022/05/25/liverpool-63-matches-van-dijk/

– https://www.telegraph.co.uk/football/2022/05/18/revealed-silicon-valley-algorithm-helping-liverpool-cope-history/

– https://zone7.ai/

Categories
Special Content

ทอม เวอร์เนอร์ : ไม่มีใครอยากคิดถึงวันที่ “คล็อปป์” อำลาลิเวอร์พูล

เหลืออีกเพียงไม่กี่ชั่วโมง ลิเวอร์พูล จะทำศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ กับเรอัล มาดริด ซึ่งเป็นการลุ้นแชมป์ที่ 3 ของฤดูกาลนี้ และเข้าชิงชนะเลิศถ้วยใหญ่ยุโรปเป็นครั้งที่ 3 จาก 5 ซีซั่นหลังสุด 

นับตั้งแต่กลุ่มแฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป (FSG) เข้ามาซื้อกิจการของลิเวอร์พูล เมื่อเกือบ 12 ปีก่อน ในช่วงที่สโมสรเกือบจะล้มละลาย แต่ด้วยการบริหารที่ชาญฉลาด ทำให้สถานการณ์ทางการเงินดีขึ้นเรื่อยๆ

และการเข้ามาของเจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมัน คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้สโมสรกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง คว้าแชมป์มาแล้ว 6 รายการ แถมยังตกลงต่อสัญญาอยู่คุมทีมต่อไป จนถึงปี 2026

วันนี้ SoccerSuckไข่มุกดำ ได้นำบทสัมภาษณ์ของทอม เวอร์เนอร์ ประธานสโมสรลิเวอร์พูล มาฝากกัน เพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อย ก่อนเกมนัดสำคัญในคืนวันเสาร์นี้

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

การเดินทางเกือบ 12 ปี นับตั้งแต่เข้ามาบริหารสโมสร

เกมแรกของลิเวอร์พูล ภายใต้การบริหารของกลุ่ม FSG คือเกมบุกไปแพ้เอฟเวอร์ตัน ที่กูดิสัน พาร์ค 0 – 2 เมื่อเดือนตุลาคม 2010 สถานการณ์ในตอนนั้น พวกเขาอยู่ในอันดับรองสุดท้ายของตารางคะแนน

ผ่านไปเกือบ 12 ปี ลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2021/22 กลายเป็นทีมที่ลุ้นแชมป์ 4 รายการ แบบใกล้เคียงที่สุดในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลอังกฤษ ถึงแม้จะไม่เกิดขึ้นจริงๆ แต่พวกเขามาได้ไกลมากๆ แล้ว

เวอร์เนอร์ ได้เปิดใจถึงการเข้ามาบริหารสโมสรแห่งนี้ว่า “ตอนที่เราซื้อสโมสรลิเวอร์พูล เราพยายามคิดให้ออกว่า ในช่วง 5 – 10 ปีต่อจากนี้ จะอยู่ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้กี่ปี ? เราจะติดท็อปโฟร์ได้กี่ปี ?”

“แต่ในตอนนี้ การเข้าชิงแชมเปี้ยนส์ ลีก 3 จาก 5 ปีหลังสุด มันน่าทึ่งมาก เราไม่เคยคิดมาก่อนเลย ไม่ว่าผลการแข่งขันที่ปารีสจะเป็นอย่างไร มันคือฤดูกาลที่พิเศษสุดๆ ของสโมสร เวลามันเป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว”

เกมพรีเมียร์ลีก นัดสุดท้ายของซีซั่น ลิเวอร์พูล เอาชนะวูล์ฟแฮมป์ตัน 3 – 1 แต่ไม่เพียงพอที่จะแซงแมนฯ ซิตี้คว้าแชมป์ เนื่องจากทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า พลิกเอาชนะแอสตัน วิลล่า 3 – 2 ทั้งๆ ที่ถูกนำก่อนถึง 2 ประตู

เวอร์เนอร์ กล่าวเสริมว่า “ตอนที่วิลล่ายิงประตูได้ ผมคิดว่าเรามีโอกาสคว้าแชมป์ แต่อย่างไรก็ตาม การที่ทีมได้ลุ้นจนถึงนัดสุดท้าย คือความสำเร็จที่สุดยอดแล้ว เราได้แชมป์มาแล้ว 2 รายการ และกำลังจะลุ้นแชมป์ที่ 3”

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

ความเหลื่อมล้ำทางการเงิน คืออุปสรรคสำคัญ

สิ่งหนึ่งที่ทำให้กลุ่ม FSG รู้สึกผิดหวัง นับตั้งแต่เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร คือการที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คู่แข่งสำคัญที่แย่งความสำเร็จในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ถูกลงโทษจากกรณีละเมิดกฏไฟแนนเชี่ยล แฟร์เพลย์

ข้อมูลจาก CIES Football Observatory เปิดเผยว่า ในรอบ 10 ปีหลังสุด แมนฯ ซิตี้ใช้เงินไป 1.5 พันล้านปอนด์ ซื้อขายผู้เล่นสุทธิ 842 ล้านปอนด์ ขณะที่ลิเวอร์พูล แม้จะใช้เงินไป 965 ล้านปอนด์ แต่ซื้อขายสุทธิแค่ 297 ล้านปอนด์เท่านั้น

เวอร์เนอร์ กล่าวว่า “แน่นอนว่าพวกเขา (แมนฯ ซิตี้) มีกำลังการเงินมากกว่าเรา เรากำลังแข่งขันในลีกที่ยากมาก แต่สิ่งที่เราแสดงให้เห็นมาตลอดนับตั้งแต่เข้ามาเมื่อ 12 ปีก่อน คือเราใช้จ่ายเงินอย่างยุติธรรม”

เมื่อเดือนที่แล้ว ยูฟ่าได้อนุมัติกฎควบคุมการเงินใหม่ โดยให้ทุกสโมสรขาดทุนไม่เกิน 60 ล้านยูโร ใน 3 ปีหลังสุด และให้ใช้จ่ายได้ไม่เกิน 70 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ของสโมสร โดยจะเริ่มใช้กฎใหม่นี้ในปี 2024

เวอร์เนอร์ กล่าวต่อว่า “ผมหวังว่าพรีเมียร์ลีกจะยังทำตามเจตนารมณ์ของกฎ FFP ทุกสโมสรต้องถูกควบคุม เพราะจะช่วยให้ทุกสโมสร ไม่ใช่แค่ลิเวอร์พูลเท่านั้น แข่งขันภายใต้ระบบที่ยุติธรรม และมีความยั่งยืน”

“มันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเราในการปฎิบัติตามกฎระเบียบ ไม่ว่าใครจะมีการลงทุนมหาศาลแค่ไหน แต่ถ้าทุกสโมสรอยู่ภายใต้กฎระเบียบเดียวกัน เราก็ยินดี ไม่มีปัญหาอะไร”

ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ แม้ไม่มีเงินมหาศาล

ลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2021/22 คือฤดูกาลที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร ถึงแม้จะไม่มีกลุ่มทุนเงินหนาอยู่เบื้องหลัง แต่การบริหารการเงิน และทรัพยากรภายในทีมที่ชาญฉลาด ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่

เวอร์เนอร์ กล่าวว่า “แน่นอนว่าในปีนี้ เราพิสูจน์ให้เห็นแล้ว เรามีผู้ช่วยผู้จัดการทีมที่ดีอย่างเป๊ป ลินเดอร์ส และมีหัวหน้าฝ่ายโภชนาการที่ยอดเยี่ยมอย่างโมนา เนมเมอร์ และบรรดานักเตะอยากเล่นให้กับลิเวอร์พูล”

“ตอนที่เราเข้ามาบริหารใหม่ๆ เรามีความท้าทายที่จะเซ็นสัญญากับผู้เล่น 2 – 3 คน แต่จริงๆ แล้วเราเสียนักเตะออกจากทีมไป เพราะพวกเขารู้สึกว่าลิเวอร์พูลไม่ใช่สโมสรที่จะฝากอนาคตอะไรได้”

“เราต้องใช้ความพยายามอย่างมากเลย แต่เมื่อลองมองย้อนกลับไป ก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งกับความมุ่งมั่นของเราในการตั้งหลักกันใหม่ ผลงานในสนามดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และการเงินก็ดีขึ้นมาก”

“ตอนนี้เรามีความแข็งแกร่งทั้งในและนอกสนาม สิ่งที่เราพยายามสร้างมาอย่างหนัก มันกำลังออกดอกออกผลแบบเงียบๆ และสามารถแข่งขันกับใครก็ได้แล้ว”

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของฝ่ายเทคนิคหลังจบซีซั่น

หลังจากจบเกมชิงดำแชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พบกับเรอัล มาดริด ในวันเสาร์นี้ ลิเวอร์พูลจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในฝ่ายเทคนิค ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ จะสิ้นสุดหน้าที่ผู้อำนวยการกีฬาของสโมสร

เอ็ดเวิร์ดส์ อยู่กับลิเวอร์พูลมาตั้งแต่ปี 2011 เริ่มงานจากตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ ต่อมาได้รับการเลื่อนตำแหน่งมาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค และก้าวสู่ผู้อำนวยการกีฬาในปี 2016

ผลงานที่เป็นภาพจำของเอ็ดเวิร์ดส์ คือการเป็นผู้อยู่เบื้องหลังดีลสำคัญๆ ที่มีส่วนในการสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ อาทิเช่น โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์, ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่, อลิสซง เบ็คเกอร์, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ เป็นต้น

และผู้ที่จะก้าวเข้ามารับหน้าที่นี้แทน คือ จูเลี่ยน วอร์ด ผู้ช่วยผู้อำนวยการกีฬา ซึ่งเวอร์เนอร์เชื่อว่า วอร์ดจะเป็นตัวแทนที่ยอดเยี่ยมสำหรับตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬาคนใหม่ของหงส์แดง

“ผมได้ดูจูเลี่ยนตอนที่นำหลุยส์ ดิอาซ มาร่วมทีมเมื่อเดือนมกราคม เขามีส่วนมากๆ ในการเปลี่ยนใจหลุยส์ ที่กำลังตัดสินใจย้ายไปอยู่กับท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ จนมาสร้างความแตกต่างให้กับลิเวอร์พูล”

คล็อปป์ กับผู้อยู่เบื้องหลังคนสำคัญในการต่อสัญญาใหม่

เมื่อเดือนที่แล้ว มีข่าวหนึ่งที่ทำให้สโมสรน่ากังวลใจ คืออนาคตของเจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือคนเก่ง เนื่องจากเหลือสัญญาคุมทีมอีกแค่ 2 ปี พร้อมกับเตรียมหาผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากเขา

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีส่วนสำคัญในการเกลี้ยกล่อมให้คล็อปป์ยอมอยู่กับลิเวอร์พูลต่อไป คืออุลล่า แซนด์ร็อค ภรรยาของเขา โดยเวอร์เนอร์ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง พร้อมยอมรับว่าไม่มีใครอยากเห็นคล็อปป์อำลาทีม

“ผมต้องให้เครดิตอูลล่าเลย เธอมีส่วนอย่างมากในการแนะนำให้เจอร์เก้นอยู่กับลิเวอร์พูลต่อไป ไมค์ กอร์ดอน คุยกับเขาทุกวัน และพยายามแจ้งความคืบหน้ามาโดยตลอดว่า เขากำลังพิจารณาเรื่องต่อสัญญาใหม่”

“และเมื่อเขาตัดสินใจอยู่ต่อ ผมรู้สึกโล่งทีเดียว เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อที่เขาอยู่กับสโมสรไปอีก 2 – 3 ปี ผมดีใจมากๆ เพราะคงไม่มีใครอยากนึกภาพในวันที่เขาไม่ได้เป็นผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลแล้ว”

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

อนาคต “ซาล่าห์-มาเน่” จะอยู่กับลิเวอร์พูลต่อไปหรือไม่ ?

ลิเวอร์พูล ได้ผู้เล่นใหม่มาเสริมทัพเป็นคนแรกในตลาดนักเตะช่วงซัมเมอร์นี้ คือ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ กองหน้าดาวรุ่งวัย 19 ปี จากฟูแล่ม ซึ่งจะย้ายเข้าสู่ถิ่นแอนฟิลด์อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้

แต่สำหรับ 2 ดาวยิงคนสำคัญ ทั้งโมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ และซาดิโอ มาเน่ กำลังจะหมดสัญญาในช่วงกลางปีหน้า ทางสโมสรจะเจรจากับเอเย่นต์ของนักเตะอีกครั้ง หลังจบเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก ในวันเสาร์นี้

“ผมจะไม่เปิดเผยว่า นักเตะกับเอเย่นต์คุยอะไรกันบ้าง แต่เราได้อธิบายความปรารถนาของเราแล้วว่า พวกเขาจะยังอยู่กับสโมสรนี้ต่อไป เรื่องนี้ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของจูเลี่ยน”

“ตอนนี้เรากำลังจะได้แข่งขันกับสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากสโมสรหนึ่ง หลังจากเกมที่ปารีสจบลง เราจะกลับไปคุยกันถึงอนาคตของพวกเขา” เวอร์เนอร์ กล่าวปิดท้าย

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

#SoccerSuck #SS #ไข่มุกดำ #ลิเวอร์พูล #แชมเปี้ยนส์ลีก #คล็อปป์ #ทอมเวอร์เนอร์

อ้างอิง :

– https://theathletic.com/3330723/2022/05/25/liverpool-chairman-tom-werner-jurgen-klopp/

Categories
Special Content

ย้อนรอยโมเมนต์สุดประทับใจ ก่อนศึก “หงส์ VS ชุดขาว” ชิงบิ๊กเอียร์โทรฟี่ ภาคสาม

เยอร์เกน คลอปป์ กำลังจะพาลิเวอร์พูลลงสนามนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นครั้งที่ 3 นับตั้งแต่รับตำแหน่งผู้จัดการทีมหงส์แดงในเดือนตุลาคม 2015 ต่อจากเบรนแดน ร็อดเจอร์ส โดยสองครั้งก่อนหน้าเป็นรองแชมป์ 1 สมัย แพ้เรอัล มาดริด 1-3 ในปี 2018 ที่กรุงเคียฟ ประเทศยูเครน และเป็นแชมป์ 1 สมัย ชนะท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ 2-0 ในปี 2019 ที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2022 ลิเวอร์พูลจะเผชิญหน้ากับทีมราชันชุดขาวอีกครั้งที่เมืองแซ็ง-เดอนี ประเทศฝรั่งเศส เป็นการช่วงชิงบิ๊กเอียร์โทรฟี่ครั้งที่ 3 ระหว่างสองสโมสร ซึ่งที่ผ่านมาต่างฝ่ายกำชัยชนะทีมละหนึ่งครั้งโดยการเจอกันครั้งแรกเมื่อปี1981 หงส์แดงเฉือนชนะ 1-0 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

เมื่อพลิกปูมประวัติศาสตร์จะพบเหตุการณ์ที่คล้ายซ้ำรอย ย้อนกลับไปการแข่งขันพรีเมียร์ลีกนัดสุดท้ายของฤดูกาล 2016-17ซึ่งเป็นปีที่สองในการคุมทีมของคลอปป์และต้องว่างเว้นจากทัวร์นาเมนท์สโมสรยุโรปเนื่องจากซีซั่นก่อนหน้า ลิเวอร์พูลตกไปอยู่อันดับ 8 แม้เข้าถึงนัดชิงชนะเลิศยูโรป้า ลีก แต่แพ้ต่อเซบีญ่า 1-3 ได้แค่รองแชมป์

DÉJÀ VU…คว้าตั๋ว UCL หลังชนะรองบ๊วย นัดปิดซีซั่นพรีเมียร์ลีก

วันที่ 21 พฤษภาคม 2017 ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟิลด์ถลุงทีมรองบ๊วย มิดเดิลสโบรห์ 3-0 จบซีซั่นด้วยอันดับ 4 บนตารางพรีเมียร์ลีก เฉือนอันดับ 5 อาร์เซนอล แค่คะแนนเดียวแต่ก็มากพอที่จะคว้าตั๋วแชมเปี้ยนส์ลีก แม้ต้องลงสนามรอบคัดเลือกแต่หงส์แดงยังตะลุยจนถึงนัดชิงและพ่ายต่อราชันชุดขาว

การเจอกับเรอัล มาดริด ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ลิเวอร์พูลต้องลุ้นโควต้าแชมเปี้ยนส์ลีกในนัดสุดท้ายของซีซั่น 2020-21 เพื่อได้มาซึ่งอันดับ 3 บนตารางพรีเมียร์ลีก มี 69 คะแนนจาก 38 นัด เหนือเชลซีและเลสเตอร์ 2 และ 3 คะแนนตามลำดับ

วันที่16 พฤษภาคม 2021 ฮีโร่ของลิเวอร์พูลก็คือ อลิสซง เบ็คเกอร์ ถ้าไม่ใช่เพราะศีรษะของนายประตูจอมหนึบชาวบราซิล คลอปป์และลูกทีมหงส์แดงอาจเป็นเพียงผู้ชมแมตช์แชมเปี้ยนส์ลีก ไฟนัล 2022 ก็ได้ และถ้าลิเวอร์พูลล้มยักษ์ใหญ่แดนกระทิงดุและสร้างตำนานแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกสมัยที่ 7 ได้สำเร็จ เหตุการณ์นัดปิดซีซั่นที่แล้วต้องเป็นเกร็ดประวัติศาสตร์ที่เหล่าเดอะค็อประลึกถึง

ลูกโหม่งของอลิสซง ขีดเส้นทางสู่กรุงปารีสในวันเสาร์นี้

วันนั้นบังเอิญเหลือเกิน เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน คู่แข่งทีมสุดท้ายของลิเวอร์พูล จบโปรแกรมด้วยตำแหน่งรองบ๊วยเหมือนมิดเดิลสโบรห์ ในซีซั่น 2016-17 เกมทำท่าจบลงด้วยสกอร์ 1-1 จนกระทั่งช่วงทดเวลาเจ็บผ่านไป 5 นาที ลิเวอร์พูลได้ลูกเตะมุมซึ่งน่าจะเป็นโอกาสทำประตูครั้งสุดท้ายของแมตช์ อลิสซงวิ่งหน้าเริดจากประตูฝั่งตัวเองมายังประตูฝั่งตรงข้ามเพื่อสร้างปาฏิหาริย์ด้วยการโหม่งทำประตูชัยจากลูกเตะมุมของ เทรนด์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ให้ลิเวอร์พูลเฉือนชนะ 2-1 ได้สิทธิเล่นรอบคัดเลือกของแชมเปี้ยนส์ลีกแบบฉิวเฉียด (ส่วนเหตุการณ์ครั้งนี้จะ DÉJÀ VU ซ้ำรอยแบบสมบูรณ์แบบกับปี 2018 หรือไม่ ต้องติดตามผลแข่งขันคืนวันเสาร์กับเรอัล มาดริด)

หลังจบเกม นายด่านจากเมืองกาแฟที่ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ ได้เปิดใจว่า “คุณไม่สามารถอธิบายเรื่องราวแบบนี้ได้หรอก แต่ก็นั่นแหละ นี่คือฟุตบอล”

อลิสซงเป็นผู้รักษาประตูคนที่ 6 ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่ทำสกอร์ได้ และเป็นคนแรกของสโมสรลิเวอร์พูล (นับเฉพาะแมตช์แข่งขันอย่างเป็นทางการ) ในฤดูกาล 2020-21 ชีวิตของอลิสซงมีทั้งทุกข์และสุข เขาเพิ่งสูญเสียคุณพ่อไปก่อนหน้านัดดังกล่าวไม่ถึงสามเดือน แต่สามารถเก็บคลีทชีทในบอลลีกได้ถึง 20 นัด ขณะที่สโมสรต้นสังกัดก็มีกราฟชีวิตสวิงขึ้นลง ลิเวอร์พูลยืนบนแป้นจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกในวันคริสต์มาสติดต่อกันเป็นปีที่ 3 แต่สิ้นสุดสถิติไม่แพ้ใครในบ้าน 68 นัด และโดนคู่แข่งเข้ามาขย่มคาแอนฟิลด์ 6 นัดติดต่อกัน สถานการณ์ตอนนั้นอย่าว่าลุ้นแชมป์เลย ลำพังติดท็อป-4 ยังยาก แต่หงส์กลับกลายเป็นนกฟินิกซ์ ฟื้นคืนชีพปลายซีซั่นและได้ตั๋วรอบควอลิฟายด์ของแชมเปี้ยนส์ลีกจากลูกโหม่งของอลิสซง ซึ่งคลอปป์กล่าวภายหลังว่า มันเป็นเทคนิคที่บ้าเอามากๆ เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นด้วยตาตัวเองทั้งช่วงค้าแข้งและคุมทีม

จอห์น อัคเตอร์แบร์ค โค้ชผู้รักษาประตู เป็นคนตะโกนสั่งการให้อลิสซงขึ้นไปลุยโลดกับเพลย์สุดท้ายของเกม ขณะที่นายด่านทีมชาติบราซิลพูดติดตลกว่าเห็นทีต้องฝึกซ้อมลูกนี้บ่อยครั้งขึ้นเผื่อเกิดสถานการณ์เรียกร้องขึ้นอีก

อัคเตอร์แบร์ค โค้ชผู้รักษาประตู ภายใต้ผู้จัดการทีมหงส์แดง 3 ยุค

อัคเตอร์แบร์ค หนุ่มใหญ่ชาวดัตช์วัย 50 ปี มีส่วนสำคัญในความสำเร็จของอลิสซงนับตั้งแต่ย้ายจากทีมโรม่าเข้าแอนฟิลด์ด้วยค่าตัวสูงถึง 66.8 ล้านปอนด์ในเดือนกรกฎาคม 2018 และอลิสซงเคยให้สัมภาษณ์ผ่านเว็บไซต์สโมสรเมื่อต้นซีซั่นว่า “จอห์นได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าไม่ใช่แค่โค้ชผู้รักษาประตูที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่อีกด้วย เขาช่วยให้ผมผ่านแต่ละวันด้วยความสงบและผ่อนคลาย เราเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เขาช่วยให้ผมสามารถพัฒนาตัวเองในสนาม”

หลังจากอำลาตำแหน่งผู้เล่นและโค้ชของ ทรานเมียร์ โรเวอร์ส อัคเตอร์แบร์คได้เข้ามาทำงานกับลิเวอร์พูลเมื่อเดือนมิถุนายน 2009 ในฐานะโค้ชผู้รักษาประตูของทีมสำรองและอะคาเดมี่ ก่อนถูกโปรโมทขึ้นสตาฟฟ์โค้ชทีมชุดใหญ่กลางปี 2011 จนถึงปัจจุบัน ได้ร่วมงานกับผู้จัดการทีม 3 คนคือ เคนนี่ เดลกลิช, ร็อดเจอร์ส และ คล็อปป์

5 เกมถ้วยยุโรป บรรยากาศฟินสุดๆที่แอนฟิลด์

แน่นอนว่า อัคเตอร์แบร์คมีโอกาสสัมผัสเกมของทีมหงส์แดงจากข้างสนามเป็นเวลา 11 ปี และต่อไปนี้เป็น 5 แมตช์บอลถ้วยยุโรปของลิเวอร์พูลที่แข่งในสนามแอนฟิลด์ซึ่งโค้ชนายทวารชาวดัตช์ประทับใจบรรยากาศมากที่สุดในยุคของคลอปป์

ลิเวอร์พูล 2 แมนฯยูไนเต็ด 0 (ยูโรป้า ลีก 2016 รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก)

เป็นศึกแดงเดือดนัดแรกบนสังเวียนระดับทวีปซึ่งไม่สร้างความผิดหวังให้กับบรรดาเดอะค็อปด้วยสกอร์ของ ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ และ โรแบร์โต ฟีร์มิโน่ 

“เมื่อเข้ามาอยู่ที่ลิเวอร์พูล คุณใช้เวลาไม่นานที่จะรู้ว่าเกมที่ยิ่งใหญ่คือนัดไหน ดังนั้นการได้เจอพวกเขาในเกมยุโรปจึงยิ่งใหญ่แบบสุดๆ บรรยากาศไม่ได้ร้อนแรงแค่ในสนามแต่รวมถึงข้างสนามด้วย นัดนี้ผมอยู่บนเมนสแตนด์ ยังจำได้แหกปากตะโกนกันขนาดไหนตอนที่เราทำประตูแรกได้ บรรยากาศของแฟนบอลเหลือเชื่อจริงๆ ซึ่งช่วยยกระดับฟอร์มการเล่นของทีมทางอ้อมด้วย”

ลิเวอร์พูล 4 ดอร์ทมุนด์ 3 (ยูโรป้า ลีก 2016 รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดสอง)

เดยัน ลอฟเรน ทำประตูที่ 4 ช่วงทดเวลาเจ็บ ส่งให้ลิเวอร์พูลเข้ารอบรองชนะเลิศด้วยสกอร์รวมสองนัด 5-4 หลังจากตามอยู่สองประตูก่อนหน้านี้ 9 นาที

“ผมถึงกับขนลุกเลยกับเสียงร้องเพลงและการตะโกนของแฟนบอล ซึ่งแน่นอน มันพลักดันให้การเล่นของนักเตะดีขึ้น ช่วยให้พวกเขาได้รับแรงกระตุ้น จิตวิญญาณ และทัศนคติที่ดีระหว่างการแข่งขัน แล้วผมไม่เคยเห็นเจ้านายเป็นอะไรแบบนั้น เหมือนเขามีความกระหายเป็นอย่างมากที่จะพาทีมประสบความสำเร็จ”

ลิเวอร์พูล 3 แมนฯซิตี้ 0 (แชมเปี้ยนส์ ลีก 2018 รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดแรก)

 ลิเวอร์พูลใช้เวลาเพียง 19 นาทีในการขึ้นนำ 3-0 จากสกอร์ของ อเล็กซ์ ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ และ ซาดิโฮ มาเน่

“คืนก่อนหน้าการแข่งขัน ผมนอนไม่หลับเอาเสียเลยเพราะมัวแต่กังวลว่าอะไรจะเกิดขึ้นได้บ้างทั้งทางดีและร้าย ผมจะลดความกดดันของผู้รักษาประตูได้ไหม เขาจะเล่นได้ดีไหม และหวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี อย่างที่รู้กันว่าซิตี้เป็นทีมที่ยอดเยี่ยมและโชว์ฟอร์มได้ดีมาก พวกเขาดูเหมือนจะเหนือกว่าเราช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่แล้วทุกอย่างก็เข้าทางเราและทำให้อยู่ในสถานการณ์ได้เปรียบสำหรับนัดสอง”

ลิเวอร์พูล 5 โรม่า 2 (แชมเปี้ยนส์ ลีก 2018 รอบรองชนะเลิศ นัดแรก)

ขอบคุณภาพจาก  https://www.taiwannews.com.tw/en/news/3413468

เกมนี้ อลิสซง ซึ่งขณะนั้นอยู่ในทีมโรม่า ได้สัมผัสบรรยากาศในแอนฟิลด์เป็นครั้งแรก ก่อนที่จะเรียกสนามนี้ว่าบ้านอีกสามเดือนต่อมา แนวรุกทั้งสามต่างมีชื่อบนสกอร์บอร์ด ซาลาห์ 2, มาเน่ 1 และ ฟีร์มิโน่ 2 ลิเวอร์พูลขึ้นโด่ง 5-0 ในนาทีที่ 69 มากพอที่จะทำให้ความปราชัย 2-4 ที่กรุงโรม ไม่สามารถขวางเส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศก่อนเป็นฝ่ายพ่ายต่อเรอัล มาดริด

“สัมผัสได้ถึงบรรยากาศความเป็นบิ๊กแมตช์ บอลถ้วยยุโรปเป็นเกมที่พิเศษเสมอ สำหรับเอลี่ (อลิสซง) ผมติดตามเขามาเป็นเวลานานแล้วตั้งแต่ปี 2012 สมัยอยู่กับทีมอินเตอร์นาซิอองนาล และเป็นโอกาสดีที่ได้เห็นเขาเล่น จริงอยู่นัดนี้เขาเสียประตูเยอะแต่เขาทำอะไรไม่ได้มากนักหรอก ทีมเราเล่นได้เหนือชั้นจริงๆ”

“ผมเห็นเอลี่เล่นในสนามกับตาตัวเองครั้งแรกที่สหรัฐอเมริกาเป็นแมตช์อุ่นเครื่องกับโรม่าที่สหรัฐอเมริกา ก่อนหน้านี้ผมเคยพูดถึงเอลี่ให้เจ้านายฟัง เขาเริ่มชอบเอลี่จากนัดนั้น ก่อนเซ็นสัญญากับเอลี่ เราคุยกับผู้รักษาประตูคนอื่นด้วยเช่น มานูเอล นอยเออร์ ทีมชาลเก้, ซาเมียร์ ฮันดาโนวิช ทีมอูดิเนเซ่ และ มาร์ก อังเดร แทร์ สเตเก้น ทีมโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค”

“ตอนนั้น เราได้งบประมาณมาเยอะ เจ้าของสโมสรก็ต้องการให้เราได้นายทวารฝีมือดีที่สุด ผมบอกกับบอสส์ว่าเขา (อลิสซง) เป็นคนเดียวที่ผมยอมจ่ายเงินมหาศาลเพื่อซื้อเข้ามา บอสส์เป็นคนตัดสินใจเอง ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีเหลือเชื่อ”

ลิเวอร์พูล 4 บาร์เซโลน่า 0 (แชมเปี้ยนส์ ลีก 2019 รอบรองชนะเลิศ นัดสอง)

แม้ขาดผู้เล่นสำคัญถึงสองคนในการเจอกับบิ๊กทีมทวีปยุโรป แต่ตัวเลขสกอร์ที่ออกมากลับขาดลอยเหลือเชื่อหลังจาก ดิว็อค โอริกี้ สังหารประตูที่ 4 ทำให้สกอร์รวมสองนัดแซงหน้าเป็น 4-3 ลอยลำเข้าไปชิงถ้วยหูใหญ่กับท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์

“เราไม่มีบ็อบบี้กับโม และชากิรีลงตัวจริง ตอนนั้นใครต่างกาชื่อเราออกไปจากทัวร์นาเมนท์แล้วเมื่อมองผลแข่งขันนัดเยือนเกมแรก แต่จากข้างสนาม ผมเห็นว่าเราต้องยิงประตูได้ในไม่ช้า จากนั้น 2-3 ประตูก็เกิดขึ้น”

“เจ้านายพูดว่า เขารู้ดีว่าทุกคนตัดชื่อเราออกไปแล้ว แต่เขาศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวนักเตะเสมอ นั่นจึงทำให้เรื่องราวยิ่งใหญ่เกิดขึ้นที่เราสามารถสร้างประวัติศาสตร์เพื่อให้ลูกหลานได้รับรู้”

“ระหว่างการประชุมทีม เจ้านายพูดว่า ถ้าทีมไหนสักทีมทำสำเร็จ หนึ่งในนั้นต้องเป็นเรา ผมมั่นใจว่าทุกคนในนั้นต้องจำคำพูดปลุกเร้าของเจ้านายได้แน่นอน”

อ้างอิง : 

https://www.thisisanfield.com/2022/05/the-goal-that-brought-us-back-how-one-alisson-header-led-liverpool-to-paris/

https://www.thisisanfield.com/2022/04/anfields-5-best-european-nights-under-jurgen-klopp-as-told-by-john-achterberg/

Categories
Special Content

วิเคราะห์ “ลิเวอร์พูล” กับการชนะดวลจุดโทษ เกมชิงดำเอฟเอ คัพ

#SSxKMD | เบื้องหลังความสำเร็จของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล กับ เชลซี ที่สู้กันลืมตายจนต้องลงเอยด้วยการดวลจุดโทษในฟุตบอล เอฟเอ คัพ ที่ผ่านมา สู่การชิงชัยลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกนัดสุดท้ายในวันพรุ่งนี้ จะเป็นอย่างไร

เมื่อลิเวอร์พูล ย้ำชัยเหนือเชลซีอีกครั้ง ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยของอังกฤษ 2 รายการติดต่อกัน ทั้งคาราบาว คัพ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และเอฟเอ คัพ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ ชนะการดวลจุดโทษทั้ง 2 ถ้วย โดยใช้นักเตะรวมกันทั้งหมด 18 คน ยิงเข้าถึง 17 คน มีเพียงซาดิโอ มาเน่ คนเดียวเท่านั้น ที่สังหารไม่เข้าในเอฟเอ คัพ

แล้วเคล็ดลับสู่ชัยชนะการดวลเป้าของ “หงส์แดง” คืออะไร ? วันนี้ SoccerSuckไข่มุกดำ ได้นำบทวิเคราะห์ของแกร์ จอร์เดต์ นักจิตวิทยาฟุตบอล มาขยายให้ฟังกันครับ

ขอบคุณภาพ : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

พร้อมเป็นคนแรกมักจะได้เปรียบ

หลังจากลงเตะ 120 นาที ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยแล้ว ยังหาผู้ชนะไม่ได้ สิ่งแรกที่ผู้จัดการทีมจะต้องทำคือ สื่อสารกับนักเตะภายในทีม เพื่อคัดเลือก 5 คนแรก ออกมาดวลจุดโทษ

ดูเหมือนว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ จะทำได้ดีกว่าโธมัส ทูเคิ่ลเป็นอย่างมาก โดยคล็อปป์ได้พูดคุยกับนักเตะอย่างเป็นกันเอง ใช้เวลาประชุมทีมไม่ถึง 2 นาที ก็พร้อมแล้วสำหรับเกมวัดใจระยะ 12 หลา

จอร์เดต์ พูดถึงประเด็นนี้ว่า “สิ่งที่คล็อปป์และลิเวอร์พูลทำคือตัวอย่าง พวกเขาใช้เวลาไม่นานในการปลุกใจลูกทีม ผมเชื่อว่าการใช้เวลาประชุมทีมที่รวดเร็ว คือการสร้างความกดดันให้กับเชลซี”

นายทวารช่วยให้นักเตะมีสมาธิ

อลิสสัน เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูชาวบราซิล ได้นำลูกบอลมาให้เพื่อนร่วมทีมทุกคนที่ได้รับหน้าที่สังหารจุดโทษ เขาได้ทำเช่นเดียวกับที่ควีวีน เคลเลเฮอร์ นายทวารมือสอง ในนัดชิงชนะเลิศลีก คัพ

หลายคนอาจจะไม่ทราบเลยว่า การที่อลิสซง และเคลเลเฮอร์ ได้ทำแบบนั้น มันคือแท็กติกที่ช่วยให้เพื่อนร่วมทีมหงส์แดงมีสมาธิ ก่อนเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับจุดโทษระยะ 12 หลาอย่างมั่นใจ

จอร์เดต์ มองว่า “มันไม่ใช่แค่การส่งมอบบอลธรรมดาๆ การยืนปิดกั้นสายตาระหว่างผู้รักษาประตูฝ่ายตรงข้าม กับผู้ยิงจุดโทษฝั่งตัวเอง เป็นเกมจิตวิทยาที่คู่แข่งไม่อาจทราบได้เลย”

ขอบคุณภาพ : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

ลำดับการยิงจุดโทษก็สำคัญ

ผู้สังหารจุดโทษ 5 คนแรกของลิเวอร์พูล ในนัดชิงดำคาราบาว คัพ ประกอบด้วยเจมส์ มิลเนอร์, ฟาบินโญ่, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และโมฮัมเหม็ด ซาลาห์

แต่ในเกมชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ไม่มีทั้งฟาบินโญ่, ฟาน ไดค์ กับซาลาห์ที่บาดเจ็บ โดยมิลเนอร์ เป็นผู้รับหน้าที่คนแรกเช่นกัน และยิงเข้าไป ซึ่งถือว่ากดดันไม่น้อย เพราะมีผลกับคนต่อๆ ไปด้วย

จอร์เดต์ กล่าวว่า “นักเตะที่มีสถิติการยิงจุดโทษที่ดี มักจะได้รับเลือกให้ยิงเป็นคนแรก และมิลเนอร์ก็เริ่มต้นได้ดี มันสมเหตุสมผลแล้วที่เขาได้เริ่มต้น เพราะมีผลงานที่ดีกว่านักเตะคนอื่นๆ”

ขอบคุณภาพ : https://twitter.com/ThaiLFC

จดจ่อกับสิ่งที่ตัวเองทำให้เต็มที่

หลังจากเซซาร์ อัสปิลิกวยต้า ผู้สังหารจุดโทษคนที่ 2 ของเชลซียิงพลาด นั่นคือโอกาสทองของติอาโก้ อัลคันทาร่า ที่จะทำให้ลิเวอร์พูลพลิกขึ้นนำเป็นครั้งแรก เพื่อกุมความได้เปรียบเอาไว้ก่อน

ติอาโก้ มีการเรียกพลังก่อนที่จะยิงจุดโทษ จากนั้นวิ่ง 3 ก้าวเข้าหาบอล มีการหยุดชะงักหนึ่งจังหวะเพียงเสี้ยววินาที รอให้เอดูอาร์ เมนดี้ เสียหลัก ก่อนซัดไปทางซ้ายมือของตัวเอง เข้าประตูไป

จอร์เดต์ กล่าวว่า “ติอาโก้เป็นนักเตะที่มีประสิทธิภาพมาก เมื่อผมเห็นเขายิงจุดโทษ ผมรู้สึกได้เลยว่าเขามุ่งมั่น และทุ่มเทในสิ่งที่เขาทำอย่างมาก เขาทำทุกอย่างเพื่อส่งบอลเข้าประตูให้ได้”

“เมนดี้” ไม่สามารถทำลายสมาธิคู่แข่ง

เอดูอาร์ เมนดี้ นายทวารเชลซี พยายามที่จะทำลายสมาธิการยิงจุดโทษของนักเตะลิเวอร์พูล เช่นการขยับตัวไปมาอยู่หลายครั้ง แต่ต้องยอมรับว่าแท็กติกของเมนดี้ หยุดหงส์แดงไม่ได้จริงๆ

จอร์เดต์ กล่าวว่า “เมนดี้พยายามเข้าหานักเตะลิเวอร์พูลในจังหวะยิงจุดโทษ และพยายามทำตัวให้กระฉับกระเฉงในเวลานั้น แต่ทำอะไรคู่แข่งไม่ได้เลย และเขาไม่ได้มีสถิติเซฟจุดโทษที่ดีอีกด้วย”

“แม้ว่าเขาจะเป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในการเล่นแบบโอเพ่นเพลย์ แต่การรับมือกับจุดโทษ เขาไม่ค่อยมีความมั่นใจมากเหมือนที่ผู้รักษาประตูคนอื่นมี”

ขอบคุณภาพ : https://twitter.com/LFC_Da4ry

อย่าเพิ่งดีใจจนกว่าจะเป็นผู้ชนะ

เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ผู้สังหารจุดโทษคนที่ 4 และยิงไม่พลาด ซึ่งเจ้าตัวไม่แสดงอาการเฉลิมฉลองหลังทำประตูได้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการโยนความกดดันให้กับเชลซีมากขึ้นด้วย

จอร์เดต์ กล่าวว่า “แน่นอน ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายสำหรับนักเตะ ที่จะฉลองหลังทำประตูได้เมื่ออยู่ต่อหน้าแฟนบอลของตัวเอง ถ้ามีโอกาสที่จะเป็นผู้ชนะมากขึ้น ก็ต้องดีใจเป็นเรื่องปกติ”

“แต่ทุกสิ่งทุกอย่างยังไม่มีอะไรแน่นอน สถานการณ์สามารถพลิกผันได้ตลอดเวลา จนกว่าจะแน่ใจแล้วว่าเป็นผู้ชนะจริงๆ”

ปลอบใจ “มาเน่” ในวันที่ผิดพลาด

ซาดิโอ มาเน่ คือนักเตะลำดับที่ 5 ที่เป็นผู้สังหารจุดโทษ โดยหวังที่จะซ้ำรอยนัดชิงชนะเลิศแอฟริกัน คัพ กับฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ที่เจ้าตัวรับหน้าที่นี้เป็นคนสุดท้าย และเซเนกัลเป็นผู้ชนะทั้ง 2 ครั้ง

แต่ในแมตช์ชิงดำเอฟเอ คัพ ดาวเตะเซเนกัล เหมือนจะมีอาการประหม่าก่อนยิงจุดโทษ และในที่สุดเขาก็ยิงไปติดเซฟนายทวารเชลซี ทำให้การดวลจุดโทษต้องยืดเยื้อต่อไป ด้วยเงื่อนไขแบบ “ซัดเดน เดธ”

จอร์เดต์ กล่าวว่า “เมื่อมีนักเตะคนหนึ่งกำลังสูญเสียความมั่นใจหลังยิงจุดโทษพลาด เพื่อนร่วมทีมต้องมีวิธีสื่อสารกับนักเตะคนนั้นในทางสร้างสรรค์ทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อทำให้เขายังรู้สึกดีต่อไป”

การเอาชนะความกดดันของ “โจต้า”

5 คนแรกของทั้ง 2 ฝั่ง สกอร์ยังเสมอกัน ดิเอโก้ โจต้า จึงเป็นผู้ยิงจุดโทษคนที่ 6 หลังจากฮาคิม ซิเย็ค ยิงขึ้นนำไปก่อน ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ถ้ายิงพลาด ส่งมอบแชมป์ให้เชลซีอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ดาวยิงทีมชาติโปรตุเกส ก็สามารถเอาชนะความกดดันของตัวเองได้สำเร็จ สังหารด้วยเท้าขวา บอลพุ่งไปยังมุมบนด้านขวาตุงตาข่าย ช่วยให้ลิเวอร์พูลยังอยู่ในเกมต่อไป

จอร์เดต์ กล่าวว่า “ผมประทับใจในความสามารถของโจต้ามาก ไม่ใช่แค่ยิงประตู แต่เป็นเพราะเขารู้วิธีการรับมือกับความกดดันได้ดี มีนักเตะ 60 เปอร์เซ็นต์ ที่ทำประตูได้ในช่วงเวลาที่ยากแบบนี้”

ขอบคุณภาพ : https://twitter.com/ThaiLFC

“สเกาท์เซอร์ กรีก” ดวลเป้าครั้งแรกในชีวิต

คอสตาส ซิมิคาส แบ็กซ้ายทีมชาติกรีซ เป็นผู้รับหน้าที่สังหารคนที่ 7 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ตัวเขาได้สัมผัสบรรยากาศการดวลจุดโทษตัดสิน เพื่อพาลิเวอร์พูล คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ สมัยที่ 8

หลังจากที่เมสัน เมาท์ สังหารพลาดไปแล้ว นั่นหมายความว่า ถ้าซิมิคาสไม่พลาด ลิเวอร์พูลจะเป็นผู้ชนะทันที และ “สเกาท์เซอร์ กรีก” ยิงด้วยเท้าซ้าย บอลพุ่งไปทางด้านซ้ายมือเข้าไป

“ถ้าเขายิงลูกนั้นพลาด เกมยังต้องยืดเยื้อต่อไป แต่หากยิงเข้าไป ก็ชนะทันที เห็นได้ชัดเลยว่ามีความกดดันสูง แต่ก็สามารถนำแรงกดดัน มาเป็นพลังในด้านบวกเช่นกัน” จอร์เดต์ สรุปปิดท้าย

“ประสาทวิทยา” เบื้องหลังความสำเร็จ

หนึ่งในเคล็ดลับชองลิเวอร์พูล สู่การเอาชนะจุดโทษทั้งคาราบาว คัพ และเอฟเอ คัพ คือ Neuro11 บริษัทด้านประสาทวิทยา ที่เข้ามาช่วยพัฒนาสถิติการยิงจุดโทษให้ดีขึ้น

สำหรับ Neuro11 ก่อตั้งในประเทศเยอรมนี โดยดร.นิคลาส ฮอยเลอร์ เน้นการพัฒนาในแขนงประสาทวิทยาโดยเฉพาะ ซึ่งลิเวอร์พูลได้เข้าร่วมกับริษัทนี้ ตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา

Neuro11 เป็นเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์การทำงานของสมองสำหรับนักเตะในการเล่นลูกนิ่ง เช่น ความเครียดในการเล่นจังหวะหนึ่ง, ท่าที่เหมาะสมที่สุดเมื่อต้องยิงฟรีคิก เตะมุม หรือจุดโทษ

เมื่อค้นพบจุดสมดุลแล้ว ช่วยให้สมองของนักเตะผ่อนคลาย มีประสิทธิภาพตามมา ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ ลิเวอร์พูลได้ประตูจากลูกเซ็ตพีซในฤดูกาลนี้เกือบๆ 30 เปอร์เซ็นต์ เลยทีเดียว

เจอร์เก้น คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์หลังพาทีมคว้าแชมป์เอฟอ คัพ ว่า “Neuro 11 ได้ติดต่อมาหาเรามานานแล้ว และเสนอไอเดียเรื่องประสาทวิทยา เราก็ตัดสินใจลองดู พวกเขาจึงมีส่วนกับความสำเร็จในครั้งนี้”

หลังจากลงเตะพรีเมียร์ลีกในนัดสุดท้าย ลิเวอร์พูลยังมีคิวเตะนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ปารีส ถ้าต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษอีกครั้ง หลายคนเชื่อว่าพวกเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแน่นอน

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

– https://theathletic.com/3314138/2022/05/17/liverpool-chelsea-fa-cup-victory/

– https://twitter.com/GeirJordet/status/1525755974346321921

https://neuro11.de/wp-content/uploads/2022/02/220218_The_Times_newpaper.pdf

https://www.footballtransfers.com/en/transfer-news/uk-fa-cup/2022/05/klopp-explains-how-neuroscience-company-helped-liverpool-win-fa-cup-final

Categories
Special Content

หลุยส์ ดิอาซ ยกระดับกองหน้าหงส์แดงจาก FAB THREE เป็น FAB FIVE

ต้องถูกจัดให้ติดหนึ่งในสุดยอดการซื้อขายที่คุ้มค่ามากที่สุดอันดับต้นๆในประวัติศาสตร์ตลาดนักเตะฤดูหนาวนับตั้งแต่พรีเมียร์ลีกเริ่มใช้ระบบ transfer window ในฤดูกาล 2002-03 อย่างแน่นอนสำหรับ หลุยส์ ดิอาซ ปีกและกองหน้าฝั่งซ้ายของ ลิเวอร์พูล ซึ่งแทบไม่ต้องใช้เวลาปรับตัวกับชีวิตใหม่ในถิ่นแอนฟิลด์เลย สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงอย่างรวดเร็วและช่วยให้หงส์แดงชู 2 ถ้วยแชมป์ภายในเวลาสามเดือนครึ่งแรก คาราวบาว คัพ และ เอฟเอ คัพ

เยอร์เกน คลอปป์ เคยให้สัมภาษณ์ถึงอดีตปีกทีมปอร์โตว่า “หลุยส์เป็นผู้เล่นที่โดดเด่น เป็นนักเตะในแบบที่เรามองหามานานแล้ว ตอนที่แข่งกับเขาต้นซีซั่น เรารู้ทันทีว่าเขาเป็นตัวอันตรายและรวดเร็วขนาดไหน เขาเข้ามาช่วยยกระดับทีมของเราอย่างแน่นอน”

ขอบคุณภาพจาก  https://www.thesun.co.uk/sport/football/17598470/luis-diaz-liverpool-tottenham-transfer/

“สเปอร์ส” ช่วยกระตุ้นให้คลอปป์เร่งซื้อดิอาซเร็วขึ้นกว่าครึ่งปี

ดีลนี้เหล่า เดอะ ค็อป ต้องให้เครดิตท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ เพราะคลอปป์อยากได้ตัวปีกวัย 25 ปีทีมชาติโคลอมเบียเพราะประทับใจฟอร์มตอนเจอ เอฟซี ปอร์โต ในแชมเปี้ยนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่ม และตั้งใจเปิดโต๊ะเจรจาช่วงตลาดซัมเมอร์กลางปี แต่พอรู้ข่าวทีมไก่เดือยทองสนใจดิอาซระดับเอาแน่ คลอปป์จึงเร่งเครื่องปาดหน้าเค้กไฮแจ็คดิอาซจากลีกโปรตุเกสด้วยสัญญา5 ปี เมื่อวันที่ 30 มกราคม จ่ายค่าตัว 37.5 ล้านปอนด์ บวกโบนัสแอดออน 12.5 ล้านปอนด์

พ่อของดิอาซเปิดเผยภายหลังว่า “ท็อตแนมสนใจลูกชายของผมจริงๆ โรมาก็อีกหนึ่งทีม แต่พวกเขาลังเลมากไปและปล่อยให้ลิเวอร์พูลเข้ามา ลิเวอร์พูลเร็วกว่าสองทีม พวกเขาต้องการหลุยส์และโฉบตัวไป”

แม้ดิอาซเพิ่งเข้าประเทศอังกฤษได้ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์เนื่องจากเสียเวลาเคลียร์ปัญหาเวิร์คเพอร์มิท คลอปป์ได้รีบใช้งานเขาอีกสองวันต่อมา ส่งลงสนามแทน เคอร์ติส โจนส์ ในนาทีที่ 58 ของ เอฟเอ คัพ รอบ 4 ซึ่งลิเวอร์พูลชนะคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ 3-1 โดยดิอาซทำแอสซิสต์จากสกอร์ของ ทาคุมิ มินามิโนะ

19 กุมภาพันธ์ ดิอาซที่เพิ่งลงตัวจริงบอลพรีเมียร์ลีกเป็นนัดที่สอง เบิกสกอร์แรกในสีเสื้อลิเวอร์พูลได้ ทำประตูที่สามให้ต้นสังกัดชนะนอริช ซิตี้ 3-1 จากนั้นไม่ถึงสองสัปดาห์ เขาเป็นหนึ่งในขุนพล 11 คนแรกชุดแชมป์ คาราบาว คัพ 2022 และล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ยังได้รับเลือกให้เป็นแมนออฟเดอะแมตช์ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ 2022

ดิอาซยังมีโอกาสลุ้นแชมป์กับลิเวอร์พูลอีกสองรายการคือพรีเมียร์ลีกและแชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งมีคิวเตะรอบชิงชนะเลิศกับ เรอัล มาดริด ในวันที่ 28 พฤษภาคม โดยตอนนี้ ดิอาซมีผลงานกับลิเวอร์พูล 24 นัด 6 ประตู คลอปป์ไม่ใช้งานดิอาซแค่สองนัดเท่านั้น

ขอบคุณภาพจาก https://www.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

หงส์ขึ้นนำพรีเมียร์ลีกหากคิดผลแข่งช่วงดิอาซร่วมทีม

หากนับผลแข่งขันเฉพาะเกมพรีเมียร์ลีกตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ กับ เลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งเป็นนัดแรกในยูนิฟอร์มหงส์แดงของดิอาซจนถึงเกมล่าสุดของลิเวอร์พูลที่บุกไปเฉือน แอสตัน วิลล่า 2-1 ลิเวอร์พูลจะมี 38 คะแนนจาก 14 นัด มากที่สุดในพรีเมียร์ลีก ทิ้งห่างอันดับสอง อาร์เซนอล ที่มี 30 คะแนน (14 นัด) ส่วน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รั้งอันดับสาม มี 26 คะแนน (11 นัด) เท่ากับอันดับสี่ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ (14 นัด) แต่ผลต่างสกอร์ดีกว่า 6 ประตู นั่นแสดงให้เห็นถึงลิเวอร์พูลได้รับอิมแพ็คมากเพียงใดหลังจากได้ดิอาซ

ริโอ เฟอร์ดินานด์ ตำนานเซ็นเตอร์แบ็คของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยพูดถึงดิอาซว่า “ดิอาซเป็นตัวสร้างความแตกต่างให้กับทีม มีชั้นเชิงที่สามารถดวลตัวต่อได้เหนือชั้น การเลี้ยงบอลของเขาทำให้กองหลังต้องปวดหัวและอาจช็อคกับลูกเล่นที่เจอ เขาเป็นนักเตะที่มหัศจรรย์ สำหรับผมแล้ว ดิอาซเป็นหนึ่งในการเซ็นสัญญายอดเยี่ยมแห่งปี เพื่อนร่วมทีมต้องรักเขาและพลังงานที่เขาส่งออกมาบนสนาม”

ดิอาซติดอันดับ 10 ดีลการซื้อสุดคุ้มค่าของคลอปป์

ราวกลางเดือนมีนาคม planetfootball ได้วิเคราะห์ 25 อันดับการเซ็นสัญญายอดเยี่ยมของคลอปป์นับตั้งแต่คุมทีมหงส์แดงในเดือนตุลาคม 2015 ปรากฏว่า ดิอาซถูกจัดให้อยู่อันดับสิบ ซึ่งเป็นการประเมินค่าที่สูงมากจากการเข้ามาอยู่ถิ่นแอนฟิลด์เพียงหนึ่งเดือนครึ่ง ลงสนาม 11 นัด ทำ 2 ประตู ซึ่งหากปีกทีมชาติโคลอมเบียยังรักษาฟอร์มเก่งได้อย่างต่อเนื่องตลอด 3-4 ปีข้างหน้า อันดับของเขาคงเลื่อนขึ้นสูงระดับท็อป-5 ได้ไม่ยาก ซึ่งตอนนี้ โม ซาลาห์ รั้งอันดับหนึ่งตามด้วย เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, แอนดี้ โรเบิร์ตสัน, ซาดิโอ มาเน่ และ อลิสซง เบ็คเกอร์

เมื่อครั้งชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ลีก 2019 และ พรีเมียร์ลีก 2020 ลิเวอร์พูลสร้างความยิ่งใหญ่ด้วยกองหน้า Fab Three แต่หลังการเข้ามาของ ดีโอโก้ โซต้า ในเดือนกันยายน 2020 ตามด้วยดิอาซ ทำให้คลอปป์มีแผงหน้าระดับ Fab Five ซึ่ง ราล์ฟ รังนิก ผู้จัดการทีมชั่วคราวของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งตกเป็นข่าวอยากได้ดิอาซในเดือนมกราคม ยังเคยเสนอแนะบอร์ดบริหารให้ซื้อกองหน้าสไตล์ โมเดิร์น สไตรเกอร์ ระดับท็อปเข้ามาอย่างน้อยสองคน เพื่อเลือกใช้งานได้หลากหลายและสะดวกต่อการโรเตชั่นเหมือนกับทีมหงส์แดงและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มีกองหน้าสมัยใหม่ฝีเท้ายอดเยี่ยมถึงห้าคน

ซีซั่นที่แล้ว ซึ่งลิเวอร์พูลเสียถ้วยพรีเมียร์ลีกคืนให้กับทีมเรือใบสีฟ้า มีคำถามขึ้นมาว่าลิเวอร์พูลจะเป็นอย่างไรหากขาด ซาลาห์, มาเน่ และ โรแบร์โต ฟีร์มิโน่ แต่คำตอบก็ชัดเจนแล้วเมื่อคลอปป์ได้โซต้าและดิอาซเข้ามา ซึ่งยังช่วยให้บรรดาเดอะ ค็อป รู้สึกอุ่นใจมากขึ้นกับสถานการณ์ที่ Fab Three กำลังจะหมดสัญญาหลังสิ้นสุดฤดูกาลหน้า

ดิอาซช่วยให้หงส์อุ่นใจหากเสียมาเน่หรือซาลาห์

โอกาสที่ลิเวอร์พูลจะเสีย Fab Three คนใดคนหนึ่งหรือกระทั่งสองคนในตลาดซัมเมอร์ปีนี้มีความเป็นไปได้สูง ซาลาห์เรียกร้องค่าเหนื่อยมากขึ้น ส่วนมาเน่ไม่คิดย้ายออกแต่สโมสรรอจบซีซั่นนี้ก่อนจึงจะหยิบสัญญาฉบับใหม่ขึ้นมาคุยกับโต๊ะ

มีรายงานว่า มาเน่ ดาราทีมชาติเซเนกัล ต้องการค่าเหนื่อย 250,000 – 300,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งจะทำให้เขาเป็นนักเตะที่รับค่าเหนื่อยสูงสุดในลิเวอร์พูลเว้นเสียแต่กลุ่มทุน เฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ป จะยอมอัพค่าเหนื่อยให้ซาลาห์ขึ้นเป็น 400,000 ปอนด์ตามที่สตาร์ทีมชาติอียิปต์เรียกร้อง ซึ่งดูเหมือนว่าไม่น่าเป็นไปได้ นั่นเท่ากับว่าลิเวอร์พูลอาจจำใจต้องปล่อยซาลาห์หรือมาเน่ออกไป

ผู้สันทัดกรณีมองว่า ลิเวอร์พูลอาจเลือกมาเน่ ซึ่งประเมินค่าตัวไว้ที่ 50-80 ล้านปอนด์ แล้วนำเงินไปซื้อกองหน้าที่อายุอ่อนกว่าและถูกกว่าทั้งค่าตัวและค่าเหนื่อย พร้อมกับลุ้นให้ดิอาซหรือโซต้าสามารถก้าวขึ้นมาแบกภาระผลิตสกอร์อย่างต่ำ 20ประตูต่อซีซั่น โดยการเข้ามาของโซต้าและดิอาซทำให้ตอนนี้คลอปป์ไม่จำเป็นต้องมีซาลาห์หรือมาเน่มากเทียบกับสถานการณ์หกเดือนก่อนหน้านี้ ขณะที่บอร์ดบริหารก็ดูเหมือนกุมความได้เปรียบบนโต๊ะเจรจากับดารากองหน้าทั้งสองคน

แน่นอนว่า การเซ็นสัญญากับดิอาซในตลาดเดือนมกราคมช่วยให้คลอปป์หายใจหายคอโล่งขึ้นกับปัญหากองหน้า โชคดีที่ทีมสเปอร์สช่วยเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้กุนซือชาวเยอรมันเลื่อนคิวเซ็นสัญญาเร็วขึ้นกว่าครึ่งปี “ผมดีใจมากที่เราสามารถปิดดีลนี้ได้” คลอปป์เปิดใจเมื่อครั้งเพิ่งได้ตัวปีกวัย 25 ปีอย่างเป็นทางการ

อะไรที่ทำให้คลอปป์ต้องการดิอาซมากขนาดนั้นหลังเห็นฟอร์มจากข้างสนามในเกมปะทะกับปอร์โต 2 นัดช่วงต้นฤดูกาล

คลอปป์เห็นความอันตรายของดิอาซในเสื้อปอร์โต

ดิอาซเป็นปีกซ้ายที่เล่นบอลด้วยเท้าขวา มีความคล่องแคล่วว่องไวและเคลื่อนไหวตัวได้ชาญฉลาด บ่อยครั้งขณะที่เติมเกมรุกทางฝั่งซ้าย เขาจะสปีดหนีกองหลังวิ่งเข้าตรงกลางในตำแหน่งศูนย์หน้าเพื่อรอรับบอลที่เพื่อนร่วมทีมเจาะทะลุฝ่ายตรงข้าม ซึ่งดิอาซสามารถใช้เท้าขวารับบอลและง่ายต่อการลากบอลจี้เข้าหาประตูเพื่อเผด็จศึกจังหวะสุดท้าย หรือหากคู่ต่อสู้ปราดเข้ามาสกัดอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้นักเตะปอร์โตเป็นอิสระ ดิอาซสามารถเลือกจ่ายบอล ซึ่งการสร้างสรรค์เกมรุกเป็นความอันตรายอีกข้อหนึ่งของปีกทีมชาติโคลอมเบีย

สปีดของดิอาซสร้างความปั่นป่วนให้ตัวประกบทั้งการวิ่งอินไซด์และเอาท์ไซด์ อาวุธเก่งคือการตัดเข้าด้านในและครอสส์บอลไปทางเสาไกล หรือเลี้ยงจี้เข้าไปในกรอบเขตโทษเพื่อผ่านบอลไปบริเวณหน้าเส้นประตูหวังให้เพื่อนร่วมทีมอยู่ในตำแหน่งที่สามารถเข้าชาร์จ เขายังเป็นคนที่เล่นบอลในพื้นที่แคบได้ดีอีกด้วย แต่มักไม่ค่อยเห็นเขาเลี้ยงบอลไปถึงเส้นหลังประตูแล้วเปิดบอลยัดเข้ามา

อิดาซยังมีความสามารถจบสกอร์ด้วยตัวเอง อย่างในจังหวะที่ลากบอลผ่านเส้นกรอบเขตโทษและเห็นช่องว่างของแผงหลังฝ่ายตรงข้าม เขาจะแต่งบอลเพื่อสร้างจังหวะซัลโวด้วยการขยับถอยหลังแล้วง้างเท้ายิงด้วยความรุนแรงแม้การจัดร่างกายไม่เอื้ออำนวย

ยามไม่มีบอล ดิอาซยังใช้สปีดเคลื่อนที่ไปตามพื้นที่ต่างๆอย่างรวดเร็ว สามารถเข้าเพรสส์คู่ต่อสู้อย่างมีประสิทธิภาพ บ่อยครั้งมีการเร่งสปีดขึ้นด้วยเวลาอันน้อยนิดเพื่อเคาน์เตอร์แอ็ทแท็คหรือกดดันฝ่ายตรงข้าม นอกจากนี้ปีกทีมชาติโคลอมเบียยังถอยหลังลงไปช่วยฟูลแบ็คในยามจำเป็น อาศัยความดุดันและนิสัยกัดไม่ปล่อยดวลกับกองหน้าตัวต่อตัว พร้อมระเบิดความเร็วออกไปข้างหน้าเมื่อแย่งบอลมาครอบครอง เปลี่ยนรับเป็นรุกอย่างรวดเร็ว

กับทีมปอร์โต ดิอาซถูกวางตัวอยู่ฝั่งซ้ายทั้งระแบบ  4-2-3-1 และ 4-4-2 หากเป็น 4-2-3-1 เมื่อเปิดเกมรุก ดิอาซได้รับไฟเขียวให้เคลื่อนตัวเข้าตรงกลางเพื่อช่วยศูนย์หน้า แต่ถ้าเป็น 4-4-2 ดิอาซจะเปลี่ยนตำแหน่งไปเล่นเป็นกองหน้าแทนเพื่อนร่วมทีมคนหนึ่งที่ถอยลงไปเป็นมิดฟิลด์ หรือบางครั้งก็เปลี่ยนแผนเป็น 4-3-3 ใช้ประโยชน์จากดิอาซทั้งแอสซิสต์และการจบสกอร์

ในทีมชาติโคลัมเบอร์ ผู้เล่นตำแหน่งเบอร์ 10 จะฉีกตัวไปด้านซ้ายเพื่อเปิดโอกาสให้ดิอาซเลี้ยงบอลเข้าด้านในและยิงประตู บางครั้งเบอร์ 9 และ 10 จะดันตัวขึ้นสูงเพื่อกดดันเซ็นเตอร์แบ็คให้ถอยหลังกลับไป สร้างช่องว่างบริเวณแนวรับให้ดิอาซทะลวงเข้าไป

ด้วยทักษะและเชิงชั้นเหล่านี้เองเมื่อดิอาซเข้ามาอยู่ในระบบ 4-3-3 ภายใต้การคุมทีมของคลอปป์ บวกกับเพื่อนร่วมทีมรอบตัวที่มีเซนส์บอลสูงทันกัน จึงทำให้ดิอาซกลายเป็นตัวอันตรายอย่างที่กุนซือชาวเยอรมันให้สัมภาษณ์ไว้เพราะเคยประสบด้วยตาตนเอง

ผลงานในสนามตลอดสามเดือนครึ่งที่ผ่านมาของดิอาซในสีเสื้อลิเวอร์พูลเป็นประจักษ์พยานที่ชัดเจนอยู่แล้ว จากการลงสนาม 24 นัดจาก 4 รายการ 1,536 นาที 6 ประตู 4 แอสซิสต์ กับเหรียญรางวัลชนะเลิศ คาราบาว คัพ และ เอฟเอ คัพ

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา

อ้างอิง : 

https://www.planetfootball.com/trending/luis-diaz-liverpool-villarreal-impact-sub-best-january-signing-goal-champions-league/

https://www.planetfootball.com/quick-reads/luis-diaz-liverpool-premier-league-table-since-debut-february-impact/

https://www.planetfootball.com/quick-reads/ranking-every-signing-jurgen-klopp-has-made-as-liverpool-manager/

https://www.90min.com/posts/luis-diaz-instant-impact-means-liverpool-can-do-without-sadio-mane

Categories
Special Content

พรีวิว ลิเวอร์พูล เอฟเอ คัพ ไฟนอล 2022: ย้อนรอยความกล้าหาญ เจอร์รี่ เบิร์น ตำนานฮาร์ดแมน หงส์แดง 117 นาทีไหปลาร้าหัก คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ สมัยแรกที่เฝ้ารอ 73 ปี

Everybody loves a hardman” ว่ากันว่านักเตะสไตล์ฮาร์ดแมนชนะใจแฟนบอลเสมอ พวกเขาแสดงออกผ่านร่างกาย เล่นบอลเข้าบอลด้วยพลังเกินร้อยไม่หวั่นกระดูกหัก อยู่ในสนามพร้อมสภาพกล้ามเนื้อปูดหนังฉีกเลือดชะโลม วิ่งพล่านประหนึ่งรับยาม้าก่อนคิกออฟ พวกเขาแสดงออกผ่านจิตวิญญาณ ทุ่มเททั้งกายทั้งใจตั้งแต่วินาทีแรก ไม่รู้จักคำว่ายอมแพ้ยกธงขาวจนเสียงนกหวีดสุดท้ายดังขึ้น

แม้วงการลูกหนังคำนึงถึงความปลอดภัยของนักเตะมากขึ้น แต่บ่อยครั้งที่ยังเห็นนักฟุตบอลฝืนวิ่งในสภาพทั้งที่บาดเจ็บ มีเลือดไหลออกมาจากผ้าที่พันไว้ แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปกว่าครึ่งศตวรรษ ภาพพวกนี้คือความปกติที่เกิดขึ้นบนสนามหญ้าเพราะยุคนั้นมีนักเตะต้องเล่นต่อทั้งที่กระดูกหักหรือร้าวให้เห็นบ่อยครั้ง

ยุคสมัยไร้ผู้เล่นสำรองให้เปลี่ยนตัว

เชื่อหรือไม่ว่าช่วง 11 ปี ระหว่างกลางทศวรรษ 1950 – 1960 มีถึง 5 ครั้งของนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ของอังกฤษ ที่นักเตะอย่างน้อยหนึ่งคนต้องเล่นต่อทั้งที่กระดูกชิ้นใดชิ้นหนึ่งแตกร้าวระหว่างเกม ค่าเฉลี่ยปีเว้นปี สาเหตุเนื่องจากสมัยนั้นยังไม่มีกฎการเปลี่ยนตัวผู้เล่น อีกนัยหนึ่งคือแต่ละทีมต้องใช้ผู้เล่น 11 คนเท่าที่ส่งรายชื่อก่อนเกม ไม่มีผู้เล่นสำรองเพื่อเปลี่ยนตัวระหว่างการแข่งขัน

ฟุตบอลลีกเมืองผู้ดีเพิ่งให้เปลี่ยนนักเตะลงแทนคนที่บาดเจ็บในฤดูกาล 1965-66 คนแรกคือ คีธ พีค็อก ของชาร์ลตัน ที่ลงมาแทนนายทวารร่วมทีมเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 1965 หลังเกมเริ่มไปแค่ 11 นาที 

ขณะที่ เอฟเอ คัพ ออกกฎนี้ตามมาในซีซั่น 1967-68 ทำให้เกิดหนึ่งในเรื่องราวยอดตำนานฮาร์ดแมนขึ้นใน เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ ปี 1965 ซึ่งเป็นครั้งที่ลิเวอร์พูลครองแชมป์รายการนี้เป็นสมัยแรกในประวัติศาสตร์หลังจากรอคอยยาวนานถึง 73 ปี  โดย เจอร์รี่ เบิร์น แบ็คซ้ายทีมหงส์แดง ต้องฝืนทนความเจ็บปวดอยู่ในสนามเพราะกระดูกไหปลาร้าหักเกือบ 120 นาที แถมเก็บอาการไม่ให้คู่แข่งรู้อีกด้วย 

ขอบคุณภาพจาก : https://www.pinterest.es/pin/496592296409986126/

แชมป์ เอฟเอ คัพ ที่เฝ้ารอคอยถึง 73 ปี

แม้ลิเวอร์พูลกวาดแชมป์ ดิวิชั่น 1 มาแล้ว 6 สมัย รวมถึงซีซั่นก่อนหน้านี้ (1963–64) แต่กับบอลถ้วย (ตอนนั้นยังไม่มีลีกคัพ) พวกเขายังไม่สามารถนำ เอฟเอ คัพ มาประดับตู้โชว์ได้เลยหลังจากทำได้ดีที่สุดเพียงรองแชมป์เมื่อแพ้ เบิร์นลีย์ ปี 1914 และ อาร์เซนอล ปี 1950 ตรงข้ามกับเพื่อนบ้าน เอฟเวอร์ตัน ที่ชนะเลิศมาแล้วในปี 1906 และ 1933 ส่วนลีกสูงสุด ท็อฟฟี่สีน้ำเงินครอบครองแชมป์ในจำนวนเท่ากัน รวมถึงครั้งหลังสุด ฤดูกาล 1962–63 ก่อนเสียตำแหน่งให้ลิเวอร์พูลในซีซั่นถัดมา

ลิเวอร์พูลจึงหมายมั่นปั่นมือกับนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ที่สนามเวมบลีย์ ในวันที่ 1 พฤษภาคม 1965 เพื่อลดช่องว่างกับคู่อริแห่งเมอร์ซี่ย์ไซด์ แต่คู่แข่งขันคือทีมพลังหนุ่ม ลีดส์ ยูไนเต็ด ของยอดกุนซือ ดอน เรวี่ ที่ฟอร์มกำลังร้อนแรง

มีเกร็ดเล็กน้อยก่อนคิกออฟเมื่อพระราชินีเสด็จมายังสนามเวมบลีย์พร้อมทรงแต่งชุดสีแดง แฟนหงส์แดงพากันตะโกนลั่นสนามว่า “Ee aye addio, the Queen’s wearing red!” (นัดนั้น ลิเวอร์พูลสวมเสื้อแดงกางเกงแดง ลีดส์ใส่ชุดขาวล้วน)

เกมเริ่มไปเพียงสามนาทีก็เกิดเหตุปะทะรุนแรงบริเวณหน้าประตูฝั่งลิเวอร์พูล บ็อบบี้ คอลลินส์ กองกลางที่สูงเพียง 5 ฟุต 3 นิ้ว แต่โดดเด่นด้วยสไตล์ถึงลูกถึงคน ซึ่งเคยเล่นให้เอฟเวอร์ตันระหว่างปี 1958 – 1962 ปราดเข้าแย่งบอล เท้าขวาปะทะหน้าแข้งของ เจอร์รี่ เบิร์น อย่างจัง กรรมการไม่รีรอมอบใบเหลืองให้คอลลินส์

บ็อบ เพรสลีย์ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นผู้ช่วยของ บิล แชงคลีย์ ผู้จัดการทีม รีบลงไปดูอาการของไบรน์ที่นอนอยู่บนสนามในสภาพเหมือนไม่บาดเจ็บหนักหนา แต่มุมมองจากข้างสนามของเพรสลีย์ที่ได้รับใบประกาศนักกายภาพบำบัด เขามีลางสังหรณ์ว่า เหตุร้ายเกิดกับแบ็คซ้ายรายนี้แล้ว

กระดูกไหปลาร้าหักตั้งแต่นาทีที่ 3

เพรสลีย์เขียนไว้ในหนังสือ My 50 Golden Reds ซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี 1990 ว่า “ผมรู้ทันทีว่าเกิดเรื่องร้ายแรงกับ เจอร์รี่ เบิร์น แน่นอน ด้วยประสบการณ์หลายปีสอนให้ผมแยกแยะระหว่างผู้เล่นที่นอนบนสนามเพื่อพักกับเพราะบาดเจ็บได้ ทันทีที่เข้าถึงตัวเจอร์รี่ ผมมั่นใจว่าสิ่งที่คิดข้างสนามนั้นถูกต้อง แกร์รี่ไหปลาร้าหัก แต่เขารู้ดีว่าไม่มีทางที่ลิเวอร์พูลจะเอาชนะลีดส์ด้วยผู้เล่นสิบคน”

“ปฏิกิริยาแรกที่ผมควรทำตอนนั้นคือ โบกมือไปที่ข้างสนามเพื่อร้องขอเปลหาม แต่เจอร์รี่มองมาที่ผมด้วยสายตาวิงวอน ‘อย่าบอกใคร’ ผมพูดกลับไปว่า ‘นายรู้ใช่ไหมว่ากระดูกหัก’ แน่นอนแกร์รี่รู้แต่เขายืนยันที่จะเล่นต่อตลอด 87 นาทีที่เหลือ หรืออาจต้องบวกเพิ่มอีกครึ่งชั่วโมงหากเกมต้องต่อเวลา”

“เขาเอ่ยกับผมอย่างท้าทายว่า ‘ผมทำได้แน่’ และเขาก็ทำได้จริงๆ เป็นหนึ่งความห้าวหาญที่ผมประจักษ์ด้วยสายตาตัวเองในเวมบลีย์”

ความลับที่ห้ามฝั่งลีดส์ระแคะระคายเด็ดขาด

“ผมกลับไปนั่งข้างสนามแล้วบอกแชงคลีย์และทุกคนว่า เจอร์รี่กระดูกไหปลาร้าหัก แต่ไม่มีใครเชื่อผมเลยสักคนจนกระทั่งแพทย์ยืนยันนั่นแหละ พวกเขาจึงเชื่อ ส่วนฝั่งทีมลีดส์ ผมสาบานจะเก็บเป็นความลับไม่ให้ใครรู้ทั้งสตาฟฟ์โค้ชหรือนักเตะ เราหลอกพวกเขาด้วยการพูดเอะอะโวยวายเรื่องที่เจอร์รี่โดนอัดหน้าแข้งเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ”

ทางด้านไบรน์กล่าวถึงเหตุการณ์วันนั้นว่า “ตอนแรกผมห่วงหน้าแข้งมากกว่าเพราะบ็อบบี้ คอลลินส์ เข้าบอลหนักและถลกหนังหน้าแข้งผม ถ้าเป็นสมัยนี้คงเป็นใบแดง ส่วนผมคงโดนหามออกนอกสนามไปแล้ว แต่สมัยนั้นยังไม่มีการเปลี่ยนตัวผู้เล่น ผมไม่ได้ตระหนักว่าจะเกิดเรื่องเสียหายตามมาอย่างไรแต่ยอมรับว่ามันเจ็บมาก”

“บ็อบ เพรสลีย์ ตรวจอาการผมอีกครั้งช่วงพักครึ่งและยืนยันว่าอะไรเกิดขึ้น ทั้งเขาและบิล แชงคลีย์ ต่างแปลกใจว่าผมทนเล่นต่อได้อย่างไร แต่ผมยืนยันต้องการเล่นต่อ บ็อบเอาสำลีกับเทปมายึดไหปลาร้าแล้วผมก็ลงสนามไปพร้อมกับคนอื่น”

ทำแอสซิสต์ในสภาพไหปลาร้าหัก

ทั้งสองฝ่ายต้องดวลสตั๊ดท่ามกลางฝนและไม่สามารถส่งลูกหนังซุกก้นตาข่ายได้ นั่นหมายความว่าไบรน์ต้องข่มความเจ็บปวดเพิ่มอีก 30 นาที แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อแบ็คซ้ายผู้เติบโตในย่านสกอตแลนด์โร้ดของเมืองลิเวอร์พูลได้บอลจาก วิลลี่ สตีเว่น ก่อนโยนจากฝั่งซ้ายไปให้ โรเจอร์ ฮันท์ ทำสกอร์ขึ้นนำในนาทีที่ 93 ฮันท์ถูกแวดล้อมด้วยทีมเมทที่ร่วมแสดงความยินดีรวมถึงไบรน์ที่โอบกอดด้วยแขนข้างเดียว

เพียงเจ็ดนาทีต่อมา บิลลี่ เบรมเมอร์ ซัดฮาล์ฟวอลเลย์ลูกพุ่งเสียบมุมบนสุดปัญญาที่ ทอมมี่ ลอว์เรนซ์ ป้องกันได้ สกอร์เป็น 1-1 อย่างไรก็ตาม เอียน เซ็นต์จอห์น ปิดโอกาสไม่ให้แมตช์ยืดเยื้อถึงนัดรีเพลย์หลังจากโขกบอลระยะเผาขนเข้าไปในนาทีที่117 ทำให้ลิเวอร์พูลเฉือนชนะลีดส์ 2-1

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

แชงคลีย์ยอมรับว่าแชมป์ เอฟเอ คัพ สมัยแรก เป็นชัยชนะที่ดีที่สุดในช่วงชีวิตคุมทีมลิเวอร์พูลของเขา และไม่เคยสงสัยเลยที่จะระบุฮีโร่ตัวจริงของเกมนี้

“มันเกิดจากความกล้าหาญของ เจอร์รี่ เบิร์น เขาควรรับเหรียญรางวัลทั้งหมดไปคนเดียว ไม่มีใครอีกแล้วที่จะทำได้แบบเขา หนุ่มคนนี้ต้องเล่นร่วมหนึ่งชั่วโมงครึ่งทั้งที่กระดูกไหปลาร้าหัก”

“เราเห็นตอนพักครึ่งแล้ว กระดูกไหปลาร้าเขาหักชัดเจน แพทย์ประจำทีมพยายามจัดให้มันเข้าที่แต่ไม่สำเร็จ เราทำได้เพียงซ่อนไม่ให้ลีดส์รับรู้ นี่เป็นตัวอย่างของเกมจิตวิทยาที่ช่วยให้เราชนะรายการนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร แกร์รี่คือวีรบุรุษและเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่”

โบกมืออำลาวงการด้วยวัยเพียง 30 ปี

ไบรน์รักษาอาการบาดเจ็บและหายทันลงสนามฤดูกาลต่อมา (1965-66) ซึ่งลิเวอร์พูลจบซีซั่นด้วยแชมป์ ดิวิชั่น 1 สมัยที่สองในรอบสามปี โดยไบรน์มีสถิติลงสนาม 53 นัดรวมทุกรายการ และมีโอกาสโชว์ธาตุทรหดอีกครั้งเมื่อต้องเล่นทั้งที่กระดูกข้อศอกเคลื่อนในการแข่งขัน ยูโรเปี้ยน คัพวินเนอร์ส คัพ รอบรองชนะเลิศ นัดแรก กับ กลาสโกว์ เซลติก ที่สนามปาร์คเฮด

“ผมต้องกลับเข้าห้องพักนักกีฬาเพื่อให้แพทย์ของทีมจับกระดูกแขนให้กลับเข้าที่ มันปวดระยำเลยและผมต้องออกจากสนามก่อนจบเกมสิบนาที แขนของผมดำคล้ำตั้งแต่ข้อมือถึงหัวไหล่ ผมยังจำแชงคลีย์ทำท่าประหลาดใจเมื่อผมบอกว่าพร้อมที่จะเล่นบอลลีกกับสโต๊คในวันเสาร์”

อย่างไรก็ตาม ไบรน์ต้องแขวนสตั๊ดเร็วกว่าวัยอันควรเนื่องจากบาดเจ็บหัวเข่าหลังฟุตบอลโลก 1966 รอบสุดท้าย และไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง เขาสิ้นสุดอาชีพค้าแข้งในปี 1969 ขณะวัยเพียง 30 ปี เขายอมรับว่าไม่สามารถเหยียดหรืองอขาได้เหมือนปกตินับจากนั้น

ปิดฉากตำนานเจ้าของฉายา The Crunch

ปีต่อมา สโมสรจัดเทสติโมเนียลแมตช์ให้กับเบิร์นเป็นกรณีพิเศษ ทำให้เขาประหลาดใจมากที่ได้รับเกียรติครั้งนี้ “คืนนั้นฝนตกที่แอนฟิลด์ ผมคิดว่าคงไม่มีใครมาแน่ แต่กลับมีแฟนบอลถึง 42,000 คนเข้ามา พวกเขาตะโกนเรียก The Crunch (ฉายาของไบรน์)”

เบิร์นมีโอกาสทำงานในสตาฟฟ์โค้ชที่แอนฟิลด์ระยะหนึ่งก่อนลาออกเนื่องจากเป็นโรคอัลไซเมอร์ เขาเสียชีวิตด้วยวัย 77 ปี ในเดือนพฤศจิกายน 2015

ขอบคุณภาพจาก : https://www.skysports.com/football/news/11669/10081959/liverpool-legend-gerry-byrne-passes-away-at-the-age-of-77

วันที่ 14 พฤษภาคมนี้ ลิเวอร์พูล จะลงแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ กับ เชลซี หากทำสำเร็จจะเป็นแชมป์สมัยที่ 8 ของหงส์แดง กับถ้วยใบนี้ที่เคยต้องรอคอยนานถึง 73 ปี กับแมตช์ระดับตำนานของชายที่ชื่อว่า แกร์รี่ ไบรน์ ผู้ไม่เพียงกัดฟันต่อสู้ในสภาพกระดูกไหปลาร้าหักเกือบ 120 นาที แต่ยังเป็นคนทำแอสซิสต์ประตูนำร่องให้กับลิเวอร์พูลด้วย

อ้างอิง : https://www.liverpoolecho.co.uk/sport/football/football-news/never-nutmeg-him-think-you-23794612

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา

Categories
Special Content

ย้อนรอยความสูญเสีย : 33 ปี “ฮิลส์โบโร่” โศกนาฎกรรมลูกหนังที่ไม่มีวันลืมเลือน

หากจะกล่าวถึงเหตุการณ์ที่สร้างความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดของวงการฟุตบอลอังกฤษ หนึ่งในนั้นจะต้องเป็นเหตุการณ์ “ฮิลส์โบโร่” ระหว่างการแข่งขันฟุตบอลเอฟเอ คัพ ในวันนี้เมื่อ 33 ปีก่อน

นี่คือความทรงจำอันเจ็บปวดของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น พร้อมทั้งได้เห็นการต่อสู้เพื่อคืนความยุติธรรมของครอบครัวผู้สูญเสีย และบทเรียนที่ได้รับหลังจากความหายนะที่เกิดขึ้น

และในโอกาสที่ลิเวอร์พูล มีโปรแกรมเตะเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ พบกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในวันรุ่งขึ้น จึงถือโอกาสนี้นำเหตุการณ์ที่เป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรมาฝากกัน

เรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงบทสรุปเป็นอย่างไร ? วันนี้เพจ “ไข่มุกดำ” จะมาขยายให้ฟังกันครับ

ขอบคุณรูปภาพจาก : https://www.facebook.com/ThailandLiverpoolFC/

จุดเริ่มต้นแห่ง “หายนะ”

ข้ามเวลากลับไปในวันที่ 15 เมษายน 1989 การแข่งขันฟุตบอลเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ ระหว่าง ลิเวอร์พูล VS น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ที่สนามฮิลส์โบโร่ บ้านของสโมสรเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์

การแข่งขันแมตช์ดังกล่าว มีแฟนบอลจำนวนมากที่ต้องการเข้าชม โดยเฉพาะฝั่งลิเวอร์พูล ที่เข้ามาแบบกระจุกอยู่ที่บริเวณทางเข้าสนาม และเป็นความโชคไม่ดี ที่การจัดการเกิดความผิดพลาด

ความผิดพลาดแรก คือการจัดโซนที่นั่งบนอัฒจันทร์ให้แฟนบอลแต่ละทีม แฟนลิเวอร์พูลที่มีจำนวนมากกว่า กลับต้องไปนั่งในโซนที่จุผู้ชมได้น้อยกว่า และแฟนฟอเรสต์ ไปนั่งในโซนที่จุผู้ชมได้มากกว่า

และความผิดพลาดที่สอง คือปล่อยให้ผู้ชมในบางโซนแออัดจนแน่นพื้นที่ ยิ่งใกล้เวลาแข่งขัน แฟนบอลด้านหลังต่างก็พยายามผลักดันแฟนบอลด้านหน้า เพื่อจะได้เข้าสนามเร็วขึ้น

ขณะที่แฟนบอลบางคนที่ไม่มีตั๋วเข้าชมก็ถูกกันอยู่ตรงทางเข้า เมื่อเจ้าหน้าที่สนามเห็นฝูงชนที่แออัด จึงได้ตัดสินใจเปิดอีกโซนหนึ่งที่ไม่มีช่องเช็คตั๋ว ทำให้แฟนบอลต่างแห่กันเข้าไปช่องทางนั้นกันหมด

เมื่อแฟนบอลจำนวนมากที่ถูกอัดอยู่ด้านหน้าทางเข้าเริ่มทนไม่ไหว ได้พยายามดิ้นรนหนีตายกันอลหม่าน บ้างก็ถูกอัดติดกับรั้วลูกกรง ขยับไปไหนไม่ได้ เหยียบกันตาย หายใจไม่ออก

เกมในสนามเพิ่งเริ่มได้ไม่นาน ท่ามกลางสถานการณ์ที่โกลาหลอย่างมาก จนในที่สุดแมตช์นี้ดำเนินได้ไปแค่ 6 นาที ต้องยกเลิกการแข่งขัน จังหวะที่ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ ยิงชนคาน คือช็อตสุดท้ายของเกม

เหตุการณ์นี้มีผู้เสียชีวิตทันทีในวันเกิดเหตุ 94 ราย แล้วเพิ่มเป็น 95 ในวันถัดมา และในปี 1993 แฟนบอลรายหนึ่ง ที่อาการโคม่า รักษาตัวมานานถึง 4 ปี ก็จบชีวิตลงเป็นรายที่ 96 บาดเจ็บกว่า 700 คน

หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น สมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) ได้สั่งให้ทุกสโมสรในลีกสูงสุด เปลี่ยนอัฒจันทร์ที่ให้แฟนบอลยืนชม ให้เป็นที่นั่งทั้งหมด และต้องรื้อรั้วเหล็กที่กั้นสนามออกทั้งหมดด้วย

เก้าอี้สีแดง 96 ตัว ภายในอัฒจันทร์สนามเวสต์บรอมฯ ได้ติดตั้ง เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้สียชีวิตเหตุการณ์ฮิลล์สโบโรห์ ขอบคุณรูปภาพจาก : https://www.facebook.com/ThailandLiverpoolFC/

ถูกใส่ร้าย… ตายทั้งเป็น ?

หลังเกิดเหตุร้ายที่สนามฮิลส์โบโร่ ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและสื่อมวลชนบางราย ที่แสดงถึงความ “ไร้จรรยาบรรณ” ด้วยการโยนความผิดให้แฟนบอลลิเวอร์พูลว่า คือตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมดังกล่าวขึ้น

ในวันรุ่งขึ้น “เดอะ ซัน” สื่อดังของอังกฤษ พาดหัวตัวโตว่า “The Truth” พร้อมด้วยข้อความกล่าวโทษ 96 ศพ ดังต่อไปนี้

“Some fans picked pockets of victims.

Some fans urinated on the brave cops.

Some fans beat up PC giving kiss of life.”

แปลเป็นไทย ความว่า… “นี่คือความจริง พวกเขาขโมยทรัพย์สินพวกเดียวกันเองที่บาดเจ็บ, ทำร้ายและปัสสาวะใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ, พยายามจะเปลื้องผ้าศพหญิงสาวที่ถูกเหยียบย่ำ

พอแฟนบอลหงส์แดง และชาวเมืองลิเวอร์พูลได้รับรู้การนำเสนอข่าวแบบนั้น แน่นอนว่าพวกเขาโกรธแค้นเป็นทวีคูณ ตัวเองเป็นผู้เสียหาย แล้วยังถูกยัดเยียดว่าเป็นฝ่ายผิดอีก

กระทั่งในปี 2012 แฟนบอลลิเวอร์พูล ที่รอคอยความยุติธรรมมาแล้ว 23 ปี ก็เริ่มมีความหวัง เมื่อมีรายงานฉบับหนึ่ง ความยาว 400 หน้า ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก

ใจความสำคัญ อยู่ที่หน้า 394 ความว่า “เจ้าหน้าที่ตำรวจ และนักการเมืองบางคน ได้โยนความผิดให้กับ 96 ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ว่าเป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมอันน่าเศร้าทั้งหมด”

นั่นทำให้ นายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ต้องออกมาขอโทษแฟนบอลลิเวอร์พูล ที่ปล่อยเรื่องนี้ให้เงียบหายไป พร้อมทั้งไม่มีการสอบสวนหาความจริง

นายคาเมรอน ยังยอมรับว่า เป็นความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ละเลยหน้าที่ และปล่อยให้แฟนบอลเข้าไปเกินความจุ จนทำให้เกิดเหตุการณ์สะเทือนใจในครั้งนี้

ขณะที่ “เดอะ ซัน” ที่ถึงแม้จะออกมาแถลงขอโทษอย่างเป็นทางการ แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่ชาวเมืองลิเวอร์พูล ปิดประตูล็อกตาย ไม่ต้อนรับสำนักข่าวแห่งนี้อีกตลอดไป

ขอบคุณรูปภาพจาก : https://www.facebook.com/ThailandLiverpoolFC/

ความยุติธรรมที่กลับคืน

ครอบครัวผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ “ฮิลส์โบโร่” ได้เพียรพยายามต่อสู้เพื่อค้นหาความจริง และคืนความยุติธรรมให้กับผู้ล่วงลับทั้งหมด จนในที่สุดวันที่พวกเขารอคอยมาอย่างยาวนาน ก็มาถึงจนได้

เดือนเมษายน 2016 คณะลูกขุนในศาล ได้ลงมติด้วยคะแนนเสียงส่วนใหญ่ 7 ต่อ 2 ตัดสินให้ 96 ศพ ในเหตุการณ์ฮิลส์โบโร่ เป็นผู้บริสุทธิ์ สาเหตุเกิดจากความผิดพลาดของฝ่ายจัดการแข่งขัน รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ผลการตัดสินของศาล ทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูล รวมไปถึงครอบครัวของผู้เสียชีวิต ต่างน้ำตาคลอยินดีที่พวกเขา “ปลดแอก” ได้เสียที หลังจากต้องต่อสู้เพื่อทวงคืนความยุติธรรมมานานถึง 27 ปี

ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2021 แอนดรูว์ เดอไวน์ แฟนบอลที่เข้าชมการแข่งขันที่ฮิลส์โบโร่ เสียชีวิตเป็นรายที่ 97 หลังจากได้รับบาดเจ็บที่สมองอย่างรุนแรง จนไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกเลยนับจากนั้น

ทำให้สโมสรลิเวอร์พูล ได้ดำเนินการเปลี่ยนชื่อบริเวณนอกสนามจาก 96 Avenue เป็น 97 Avenue พร้อมทั้งเปลี่ยนตัวเลขที่บริเวณท้ายทอยของเสื้อจาก 96 เป็น 97 ตั้งแต่ฤดูกาล 2022-23 เป็นต้นไป

ล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ มีโปรแกรมพบกับลิเวอร์พูล ในเอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 33 ปี ที่ทั้งคู่พบกันในรายการนี้ นับตั้งแต่เหตุการณ์ฮิลส์โบโร่

โดยสนามซิตี้ กราวน์​ รังเหย้าของฟอเรสต์ ได้จัดการเว้นว่างที่นั่งเอาไว้ 97 ที่ เพื่อ​ให้ดวงวิญญาณของแฟนบอลทั้ง 97 คนที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์หายนะที่ฮิลส์โบโร่ ได้มาร่วมนั่งชมเกมลูกหนังที่พวกเขารัก

โศกนาฎกรรม “ฮิลส์โบโร่” ที่เกิดขึ้น ทำให้ได้เรียนรู้จากความผิดพลาด เป็นเหมือนแรงกระตุ้นที่ทำให้เกิดการจัดการต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพ และการรักษาความปลอดภัยในสนามที่เข้มงวดมากขึ้น

และอีกอย่างที่ต้องจารึกไว้คือ การไม่ยอมแพ้ในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมเป็นเวลาถึง 27 ปี ไม่ได้หมายถึงเพียงเพื่อคนที่จากไป แต่มันยังมีความหมายถึงคนที่ยังอยู่ด้วยเช่นกัน

You’ll Never Walk Alone…

Author : จักรพันธ์ ภู่ทอง

Photo : BBC

อ้างอิง :

– https://www.bbc.com/news/uk-england-merseyside-58005871

https://www.bbc.com/news/uk-england-nottinghamshire-60812866

Categories
Special Content

วิเคราะห์หลังเกมหยุดโลก : แมนฯซิตี้ – ลิเวอร์พูล กับการท้าชิงแชมป์พรีเมียร์ลีกแห่งความคลาสสิก

หลังจากซูเปอร์บิ๊กแมตช์พรีเมียร์ลีก ที่เอดิฮัด สเตเดี้ยม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2 – 2 ลิเวอร์พูล เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ต้องเรียกว่าคือเกมคุณภาพ สมราคาผู้ท้าชิงแชมป์พรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาลนี้

ย้อนกลับไปในนัดแรกที่แอนฟิลด์ ลิเวอร์พูล นำ 2 ครั้งไม่ชนะ ส่วนยกสองที่พบกันล่าสุด แมนฯ ซิตี้ นำ 2 ครั้งไม่ชนะเหมือนกัน เรียกได้ว่าแทบจะก็อปปี้กันมาเลยทีเดียว เพียงแค่กลับข้างกันเท่านั้น

วันนี้เพจ “ไข่มุกดำ” จะมาวิเคราะห์สิ่งที่ได้เห็นตลอด 90 นาที ของ 2 ทีมที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีกกันครับ

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

“เรือใบ” ไม่ชนะแม้ครองเกมได้ดีกว่า

ระบบ 4-3-3 ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ใช้สามประสานแนวรุกอย่างฟิล โฟเด้น, กาเบรียล เชซุส และราฮีม สเตอร์ริ่ง ที่รับบทเป็น “False 9” หรือหน้าตัวหลอก เพื่อให้กองหลังคู่แข่งเปิดช่องว่างให้กลางตัวรุกโจมตี

ประตูขึ้นนำก่อน 1-0 ตั้งแต่ 5 นาทีแรก จุดเริ่มต้นจากจังหวะฟรีคิก แบร์นาโด้ ซิลวา เล่นเร็วโดยที่แนวป้องกันของลิเวอร์พูลยังไม่ทันได้ตั้งหลัก บอลมาถึงเควิน เดอ บรอยน์ หลอกฟาบินโญ่หนึ่งจังหวะ ก่อนซัดแฉลบโจแอล มาติป เข้าไป

เดอ บรอยน์ ในเกมล่าสุด แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเท วิ่งไม่มีหมดตลอดทั้งเกม ถึงแม้ว่าในช่วงต้นครึ่งหลังจะเงียบหายไปบ้าง แต่โดยภาพรวมแล้ว เดอ บรอยน์ คือ “The Best” ในเกมนี้

ประตูแซงขึ้นนำ 2 – 1 ของซิตี้ ต้องชมความฉลาดของกาเบรียล เชซุส ที่แอบอยู่ข้างหลังเทรนท์ หลังจากที่คานเซโล่ เปิดบอลข้ามไลน์แนวรับลิเวอร์พูล แล้วเชซุส ก็วิ่งแซง แล้วแปกระแทกคานตุงตาข่าย

ต้องชมเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ถึงแม้จะไม่มีศูนย์หน้าตัวเป้า แต่การใช้แท็กติกครอสบอลยาวจากแดนหลัง แล้วให้นักเตะที่มีความเร็วสูง วิ่ง sprint สู้กับ “ไฮไลน์ ดีเฟนซ์” ของหงส์แดง ซึ่งทำได้แม่นยำเลยทีเดียว

ในช่วง 45 นาทีแรก ทีมของเป๊ป ครองบอลได้เหนือกว่า บีบให้ลิเวอร์พูลรับแล้วรอโต้อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ไม่สามารถเปลี่ยนโอกาสให้เป็นประตูเพิ่มเติมได้

ช่วงเวลาที่แย่ที่สุดของซิตี้ คือช่วง 15 นาทีแรกของครึ่งหลัง โดยเฉพาะจังหวะเสียประตูตีเสมอ 2 – 2 ตั้งแต่ยังไม่ทันถึงนาที แนวรับเสียสมาธิ โดนโจมตีเร็ว แต่พอตั้งหลักได้ก็ค่อยๆ เล่นได้ดีขึ้น

ยังไม่นับอีก 2 จังหวะที่แมนฯ ซิตี้ น่าได้ประตูสุดๆ ทั้งลูกยิงของราฮีม สเตอร์ริ่ง แต่ถูก VAR ริบคืนอย่างฉิวเฉียด และนาทีสุดท้ายของช่วงทดเจ็บ ริยาด มาห์เรซ ยิงข้ามคาน ที่อาจจะเป็นประตูตัดสินชัยชนะได้เลย 

“หงส์แดง” เล่นไม่เนี้ยบแต่เฉียบขาด

ลิเวอร์พูล กับแผนการเล่น 4-3-3 เช่นเดียวกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แน่นอนว่าบทถนัดของเจอร์เก้น คล็อปป์ คือ การไล่ “เพรสซิ่ง” ตั้งแต่แดนบน เมื่อตัดบอลได้ ก็จะบุกจู่โจมอย่างรวดเร็ว

ช่วงเริ่มต้นเกมในครึ่งแรก ดูเหมือนว่าแผงแนวรับ 4 ตัวของหงส์แดง เกิดอาการประหม่า ตั้งตัวไม่ติด แต่คุณสมบัติอย่างหนึ่งที่ลูกทีมของคล็อปป์มี คือ รู้จักหาวิธียิงประตูได้แม้รูปเกมเป็นรอง

ประตูตีเสมอ 1 – 1 เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ แข้งจอมแอสซิสต์ จ่ายบอลให้ดิเอโก้ โจต้า สังหารเข้าไป แสดงให้เห็นว่า โจต้าคือนักเตะ “อัจฉริยะ” ในกรอบเขตโทษที่ดีที่สุดคนหนึ่งของพรีเมียร์ลีก

อีกจุดหนึ่งที่ลิเวอร์พูลมีปัญหา คือ “แดนกลาง” ทั้งฟาบินโญ, จอร์แดน เฮนเดอสัน และติอาโก อัลคันทาร่า เป็นรองแดนกลางแมนฯ ซิตี้ชัดเจน พอโดนโจมตี ตัดบอลไม่ได้ มักจะทำฟาวล์จนเสียใบเหลือง

ช่วงพักครึ่ง ดูเหมือนว่ากุนซือชาวเยอรมัน จะไปปลุกให้ลูกทีมเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น และตอบสนองได้ยอดเยี่ยมหลังจากเสียประตูที่ 2 ในช่วง 10 นาทีท้ายของครึ่งแรก

เพียงแค่ 47 วินาทีของครึ่งหลัง ประตูไล่ตีเสมอ 2 – 2 ทีเด็ดของเฟอร์จิล ฟาน ไดค์ คือการครอสบอลยาวถึงแดนหน้า โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ เห็นซาดิโอ มาเน่ ขยับขึ้นไป แล้วแอสซิสต์ให้มาเน่ ซัดตุงตาข่าย

ตลอดช่วง 45 นาทีหลัง แนวรับของลิเวอร์พูลช่วยกันได้ดี ทำเอาเควิน เดอ บรอยน์ มิดฟิลด์แมนฯ ซิตี้ ถึงกับเล่นไม่ออก นอกจากนี้ยังช่วยประคองแผงมิดฟิลด์ เมื่อเสียบอลตรงกลาง ทำให้แนวรุกซิตี้ไม่มีโอกาสโจมตีมากนัก

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

มองไปข้างหน้ากับเส้นทางที่เหลือ

บทสรุปที่ได้จากเกมที่เอดิฮัด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อาจจะเสียดาย ที่ไม่สามารถเก็บชัยชนะได้ ขณะที่ลิเวอร์พูล 1 คะแนนที่ได้มา ด้วยรูปเกมที่ไม่ได้เหนือกว่า ก็ถือว่าน่าพอใจ เพราะยังคงตามหลังจ่าฝูง 1แต้มเท่าเดิม

และทั้ง 2 ทีม ยังต้องเจอกันอีกครั้งในเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ เสาร์ที่ 16 เมษายน แต่งวดนี้ต้องมีผู้ชนะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งทีมใดก็ตามที่เข้าชิงชนะเลิศ แน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อโปรแกรมพรีเมียร์ลีกด้วย

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/mancity

โปรแกรมพรีเมียร์ลีก 7 นัดสุดท้ายของแมนเชสเตอร์ ซิตี้

– 20 เมษายน VS ไบรท์ตัน (เหย้า)

– 23 เมษายน VS วัตฟอร์ด (เหย้า)

– 30 เมษายน VS ลีดส์ (เยือน)

– 8 พฤษภาคม VS นิวคาสเซิล (เหย้า)

– 11 พฤษภาคม VS วูล์ฟแฮมตัน (เยือน)

– 15 พฤษภาคม VS เวสต์แฮม (เยือน)*

– 22 พฤษภาคม VS แอสตัน วิลล่า (เหย้า)

(* ถ้าแมนฯ ซิตี้ เข้าชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ จะเลื่อนไปแข่งวันที่ 17 หรือ 18 พฤษภาคม)

โปรแกรมพรีเมียร์ลีก 7 นัดสุดท้ายของลิเวอร์พูล

– 19 เมษายน VS แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (เหย้า)

– 24 เมษายน VS เอฟเวอร์ตัน (เหย้า)

– 30 เมษายน VS นิวคาสเซิล (เยือน)

– 7 พฤษภาคม VS สเปอร์ส (เหย้า)

– 10 พฤษภาคม VS แอสตัน วิลล่า (เยือน)

– 15 พฤษภาคม VS เซาธ์แธมป์ตัน (เยือน)*

– 22 พฤษภาคม VS วูล์ฟแฮมป์ตัน (เหย้า)

(* ถ้าลิเวอร์พูล เข้าชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ จะเลื่อนไปแข่งวันที่ 17 หรือ 18 พฤษภาคม)

เกมที่เหลือของซิตี้ ต้องเจอกับทีมหนีตาย 3 นัดติดต่อกันทั้งวัตฟอร์ด, ลีดส์ และนิวคาสเซิล ส่วนการเจอวูล์ฟแฮมตัน กับเวสต์แฮม ที่กำลังลุ้นไปถ้วยยุโรป ก็ไม่ใช่งานง่าย

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

ขณะที่ฝั่งลิเวอร์พูล เริ่มจากการเจอทั้งแมนฯ ยูไนเต็ด และเอฟเวอร์ตัน ถึงแม้ว่าสภาพทีมของ 2 คู่ปรับสำคัญจะเละเทะขนาดไหน ก็ห้ามประมาทโดยเด็ดขาด และต้องไม่ลืมสเปอร์ส ที่ฟอร์มดีมากๆ ในช่วงหลัง

เมื่อเทียบโปรแกรมนัดที่เหลือของทั้ง 2 ทีม คนส่วนใหญ่มองว่าลิเวอร์พูล เจองานที่หนักกว่า ถ้าดูแค่ชื่อทีม แต่ถ้าจะเจาะลึกลงไปในรายละเอียดแล้ว คู่แข่งหลายๆ ทีม ยังมีลุ้นเป้าหมายของตัวเองทั้งสิ้น

และที่สำคัญ แม้ “เรือใบ” จะนำจ่าฝูงอยู่ก็จริง แต่นำแค่แต้มเดียว แถมผู้ที่ตามไล่ล่า ไม่ใช่ใครที่ไหน “หงส์แดง” นั่นเอง ความกดดัน ความผิดพลาด หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด อาจเกิดขึ้นได้

Author : จักรพันธ์ ภู่ทอง

Photo : The Telegraph

อ้างอิง :

– https://www.bbc.com/sport/football/61061827

– https://www.bbc.com/sport/football/61060907

– https://www.bbc.com/sport/football/60970965

– – https://www.telegraph.co.uk/football/2022/04/10/extraordinary-kevin-de-bruyne-peaking-just-right-time-man-citys/

– https://www.telegraph.co.uk/football/2022/04/10/manchester-city-vs-liverpool-player-ratings-kevin-de-bruyne/

– https://www.telegraph.co.uk/football/2022/04/10/manchester-city-vs-liverpool-live-score-premier-league-latest/

Categories
Football Tactics

วิเคราะห์ทุกมิติเกมหยุดโลก ลิเวอร์พูล – แมนฯซิตี้ เกมที่มอบทั้งความสุข และบทเรียนลูกหนังชั้นเลิศ ให้แฟนบอลทั่วโลกได้เสพชนิดหาได้ยากยิ่ง

โปรดใช้วิจารณญาณอย่างลึกซึ้งระหว่างอ่านบทความนี้นะครับ ผมไม่ได้มีเจตนาจะ “ชี้นำ” แต่อยากจะบาลานซ์ความคิด และนำเสนอมุมมองฟุตบอลจากเกมนัดหนึ่งที่ถึงตอนนี้ 72 ชั่วโมงหลังแมตช์ไปแล้ว เรา ๆ ท่าน ๆ ก็ยังแอบ “อมยิ้ม” ถึงศึกลิเวอร์พูล 2 – 2 แมนฯซิตี้ จากแอนฟิลด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมากันอยู่

ความยาวบทความ 2,500 คำ ใช้เวลาอ่าน 10 นาที

  • อันดับแรก

ทำความเข้าใจก่อนว่า ลิเวอร์พูล ของเยอร์เกน คลอปป์ เป็น “บอลบุก” และเล่นด้วยความเข้มข้น หรือ intensity เกมที่สูง ประมาณว่า ชอบเดินหน้าฆ่ามัน หรือถอยหลังหกล้ม

หงส์แดงจะชอบ “เพรสซิ่ง” คู่ต่อสู้ขณะที่มีบอลด้วยรูปแบบวิธีหลากหลายทั้งทางตรง และทางอ้อม แต่ที่เห็นบ่อยหน่อย คือ ทำกันอย่างเป็นระบบ เป็น unit และร่วมด้วยช่วยกัน collective ตั้งแต่แดนบน

และจะมีการ “ไล่ล่า” (Chasing) คู่แข่งขันเพื่อแย่งบอลกลับคืน โดยส่วนใหญ่ก็นั่นแหละครับในแดนคู่แข่งตั้งแต่พวกเขาพยายามจะเปิดเกมรุก หรือหลังจากเราเสียการครองบอลแล้วเกิด transition จากรับเป็นรุก

การไล่ล่าจะทำด้วยการ “กดดัน” เข้าพื้นที่ที่คู่แข่งมีบอลด้วยตัวใกล้สุด และอาจจะเพิ่มจำนวนกลายเป็นไล่ล่า หรือเพรสซิ่งเป็นกลุ่มก้อนในพื้นที่ที่คู่แข่งมีบอล

ครั้นชนะ แย่งบอลได้ก็จะ transition จากรับเป็นรุกด้วยความรวดเร็วเข้าสู่แดนสุดท้าย หรือ Final Third ของคู่แข่งขัน

ทั้งนี้หากว่าแพ้ คู่แข่งแกะบอลออกมาได้ ลิเวอร์พูลจะอาศัยความสามารถเฉพาะตัวที่ยอดเยี่ยม และความรวดเร็วของคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟคอย “เก็บกิน” 

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

ดังนั้น มันจึงยากในระบบ Lone Striker หรือกองหน้าคนเดียวผ่านระบบหลักฟุตบอลในตอนนี้ไม่ว่าจะ 4-2-3-1, 4-5-1, 4-3-3, 3-4-3 จะเอาชนะ เวอร์จิล ฟานไดต์ หรือโจเอล มาติป ไปได้จากแค่บอลข้ามศรีษะไปหลังไลน์ที่ “รับสูง” แบบ high line

หรือเราก็จะมี อลิสซง เบคเกอร์ คอยอ่านเกมเสมือนเป็นเซนเตอร์ฯ คนที่ 3 คอยออกมาตัดบอลอีกด้วย นั้นคือ ในภาวะปกติ

แต่หากในภาวะไม่ปกติ เช่น เกมนี้กับซิตี้ หรือก่อนหน้านี้กับ เบรนท์ฟอร์ด ที่ยอดทีมลอนดอน ตะวันตก ใช้กองหน้าคู่ พักผ่อน เก็บบอล และประสานงานกันได้ดี “หน้าไลน์” เพราะตัวใหญ่ (อีวาน โทนีย์) เล่นกับบอลดี และรวดเร็ว ไบรอัน เอมบูโม เราก็ลำบากเหมือนกัน

ไม่นับ เฟส 2 จากการครองบอล และบุก โธมัส แฟรงค์ ยังใช้บอลโยนทะแยง (อันเป็นอีกจุดอ่อนของหงส์แดง) ครอสส์จากฝั่งซ้ายไปตก และรุมแบ็คขวา เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เป็นต้น

(เกมกับเชลซี โรเมลู ลูคาคู และเพื่อน ๆ ก็ทำอะไรเราไม่ได้)

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/mancity

ส่วนเกมนี้ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ฉลาด ช่างคิด สมกับเป็นนักนวัตกรลูกหนัง ตามสไตล์ด้วยการอ่านเรื่อง “ความเร็ว” ของ ฟิล โฟเดน ว่าจะมีผลต่อ เจมส์ มิลเนอร์ มากกว่าจับ แจ็ค กรีลิช ไปยืนตามที่คาดการณ์ไว้

หรือเอาโฟเดน ไปยืนฝั่งขวาให้เผชิญหน้าแบ็คซ้าย แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่เคยโดนโฟเดน “เผา” มาแล้วเมื่อ ก.พ.ชนะ 4-1 คาแอนฟิลด์

แต่กลับไปใช้ กาเบรียล เฆซุส ที่ก็มีความเร็วชน รบส. และโฟเดน ชน ท่านรอง โดยให้ กรีลิช ยืนเล่นช่องว่างระหว่างมิดฟิลด์ของเรา และไลน์รับ (อันเป็นอีก 1 จุดอ่อน) เป็นครั้งแรกตามหลังเพื่อน ๆ อย่าง แฟร์รัน ตอร์เรส, ราฮีม สเตอร์ลิง หรือแม้แต่ โฟเดน เองที่เคยลิ้มลองการเป็น False 9 มาแล้วทั้งสิ้น

นั่นคือ “ภาพกว้าง ๆ” และแผนเบื้องต้นที่เป๊ป คิดเอาไว้นะครับ

_ _ _

  • อันดับ 2

คงจะต้อง “ยอมรับ” นะครับว่า การคำนึงถึงคู่ต่อสู้ แล้วปรับแผนที่ไม่ใช่ปรับ “ตัวตน” เป๊ป เรียนรู้เยอะจากการเจอกับเรา และเจอกับคู่แข่งใน UCL กุนซือสแปนิช จึง “ปรับทีม” เสมอเพื่อสิ่งที่มองว่า ดีที่สุดสำหรับทีมตนเอง

หลายครั้งการปรับกลยุทธ์ และแท็คติกส์ ของเป๊ป ถึงกับถูกมองได้ว่า “มากไป” หรือ “คิดเยอะ” ได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ใน UCL Final ที่แพ้เชลซี เพราะ (ว่ากันว่า) ไม่ส่งมิดฟิลด์ตัวรับแท้ ๆ ลง โดยมีเหตุผลว่า ต้องการ “คอนโทรล” มิดฟิลด์ และเอาชนะแดนกลางให้ได้ 100% และกดใส่เชลซี ที่จะต้องมารับเต็มตัว

แต่กับเกมนี้ เป็นตัวอย่างที่ดีในอีกด้าน เพราะเป๊ปปรับแล้ว ทีมทำผลงานได้ดีตั้งแต่ประมาณนาทีที่ 15 ของครึ่งแรก จนจบ 45 นาทีแรก

และครึ่งหลัง แม้หงส์แดงจะ “be brave” (อ่านปาก คลอปป์ สิครับ “be brave” ในระหว่างเกมจากข้างสนาม) มากขึ้นจากที่แดนหน้าทั้ง 3 กรูลงมาช่วยเกมรับต่ำ หรือมิดฟิลด์เองก็ไม่กล้าดันขึ้นเพรสซิ่งในพื้นที่สูงกว่า เช่น ในแดนคู่แข่ง ตามสไตล์ถนัด หรือไม่กล้าเล่น “The Extra pass” อันเป็นคำที่ คลอปป์ อธิบายหลังเกมที่น่าจะหมายถึง กล้าเล่นบอล ที่แปลว่า กล้าส่ง กล้าครองบอล กล้าเลี้ยง หรือคือ ไม่รีบเตะทิ้งยาวออกไป แล้วก็จะโดนระลอกคลื่นสีฟ้าถาโถมกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า ที่ครึ่งหลังทำได้ดีขึ้นทันที

ประตู 1-0 แน่นอน “ตอบโจทย์” ทุกคีย์เวิร์ดของ คลอปป์ ไม้ว่าจะ be brave, the extra pass, compact (การเล่นแน่นร่วมกันเป็นกลุ่ม เช่น 3 เหลี่ยมในพื้นที่ต่าง ๆ)

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

ประตู 2-1 ที่เคอร์ติส โจนส์ คงอายกับการได้ชื่อว่า assist เพราะ โม ซาลาห์ โซโล่ซะขนาดนั้น ก็เกิดจากความกล้า ความมั่นใจที่ยังมีอีกหลายเพลย์ “ฉายภาพ” นี้ออกมาในครึ่งหลังแม้จังหวะเหล่านั้นจะไม่ได้ประตู

หรือแม้กระทั่งท้ายเกมหลังเสมอ 2-2 หงส์แดงก็ยัง be brave กล้าลุยจนเกือบได้ประตูจาก ฟาบินโญ่ หรือแน่นอนเกือบเสียจากจังหวะวอลเลย์ของ เฆซุส ที่ไปโดนตัว รบส.บล็อกเอาไว้

กล่าวคือ คลอปป์ และเด็ก เลือกจะ “เล่นรับ” แบบนี้

หรือคือ ใช้แดนหน้า และกลาง “เพรส” เข้าหาคู่ต่อสู้ที่มีบอลทันทีอย่างรวดเร็ว

ลิเวอร์พูล ไม่ได้ “เลือกรับ” ด้วยการรีบ “ถอยร่น” มายืนแพ็คเกมรับระหว่างไลน์กลาง และหลังแบบ compact อย่างรวดเร็ว (อาจทำได้หลังแดนบนเพรสซิ่งไม่สำเร็จ เช่น ตามกฎ 6 วินาที หรือไม่ต้องเพรสเลย คือ ตัดสินใจถอยมากระชับพื้นที่เลยหลังเสียการครองบอล)

แต่รับแบบนั้น ไม่ใช่ลิเวอร์พูล และไม่ใช่คลอปป์

ไม่งั้น จะได้ยินคลอปป์พูดแบบนั้นหรือครับหลังเกมว่า ครึ่งแรกเราไม่กล้า เราไม่เพรสซิงในพื้นที่ในเวลาเหมาะสม และทำให้ได้เห็นซิตี้ ต่อบอลง่ายไปมา หรือเลือกเปิดทะแยง เปิดบอลยาวได้ง่ายที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่บอสส์เคยดูซิตี้มาหลายเกม (จริง ๆ คือ ดูนับครั้งไม่ถ้วนนั่นแหละ)

_ _ _

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC
  • อันดับ 3

ผมไม่ได้ “แก้ตัว” แทนจอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เคอร์ติส โจนส์ หรือกระทั่ง ฟาบินโญ ในแดนกลางที่โดน “ทัวร์ลง” พอควร เช่น เฮนโด ไม่ช่วยมิลเนอร์, โจนส์ ตัดบอลไม่ได้ เล่นรับไม่ดี หรือฟาบินโญ่ ยืนห่างจากไลน์รับเกินไป ฯลฯ

ในโพสต์ LIVE กับพี่กบ Captain No.12 หรือโพสต์ Teaser ของโพสต์นี้ (https://www.facebook.com/khaimukdam/photos/a.174800505908163/4342449355809903/) ผมก็มีโอกาสได้พูดสิ่งเหล่านั้นไปเช่นกัน

ซึ่งแน่นอนว่า นั่นเป็นสิ่งที่เรา ๆ ท่าน ๆ เห็น และแบบที่ผมเคยเรียนไว้ต้องมาเห็นด้วยภาพนิ่งแบบ Freeze frame ด้วย เพราะดูไฮไลต์มองไม่ทันได้จับอะไร

หรือมาอ่านบทวิเคราะห์ อะไรต่อมิอะไรหลังเกมแล้วทำให้เห็นภาพว่า มันมี “ช่องห่าง” ระหว่างไลน์ที่ห่างเกินไปจริง ๆ (เกิน 7-8 หลา – อ้างอิง โค้ชน้อย อนันต์ อมรเกียรติ)

ขณะที่มองไว ๆ คือ “ไลน์รับ” ยืนเรียงสวย 4 คนอยู่ในแนวเดียวกัน และระยะใกล้กันอยู่แล้ว แบบไม่น่ามีปัญหาอะไร

หรือ เดอ บรอย กับแบร์นาโด ซิลบา ยังสามารถแกะตัว แกะบอล ออกมาเปิดไปเล่นหลังฟูลแบ็คเราได้ก่อนจู่โจมแบบรวดเร็ว

(โดยเราต้องเข้าใจตรงกันก่อนว่า ลิเวอร์พูล ไม่ได้เสียประตูจากการโดน “เจาะตรง” เข้าใจกลางเซนเตอร์ฮาล์ฟ หรือเข้าพื้น half spaces แต่จะโดนบอลทะแยงจากขวาไปซ้าย หรือเลี้ยงตัดจากขวาไปซ้ายเข้าทำลายพื้นที่บริเวณโซน 13 และ 16 ของมิลเนอร์ และโจ โก — นั่นแปลว่า งานป้องกันเบื้องต้น คือ ถูกต้องแล้ว แต่เราโดนบอลทะแยง และการเลี้ยง การเปิดบอลเร็วหน้าไลน์จากฝั่งขวา ไปฝั่งซ้ายบริเวณแบ็คขวาของเรา)

ประเด็นนี้ ผมไม่อยากใช้คำว่า “แหม…ก็บอสส์ ไม่ได้ลงมาวิ่งในสนาม จะรู้ได้อย่างไร?”

ครับ ด้วยความเคารพ นักบอลไทย บ่นแบบนั้นแน่ ๆ หากโค้ชสั่งให้ be brave และรุกลุย ลักษณะนี้ เพราะอะไร?

นี่คือ แมนฯซิตี้ และขอโทษ วอล์คเกอร์ กับการตีรถด่วนทางตรงยาว ๆ, กานเซโล กับบทบาทเพลย์เมคเกอร์ (แต่ขอโทษ เกมรับก็ห่วย ship หายจาก 2 จังหวะเบื้องต้นที่พลาดง่ายไปให้ ซาลาห์), แบร์นาโด ซิลวา แกะตัวจากการโดนรุมได้อย่างไร เช่น นาทีที่ 20 ครึ่งแรกเริ่มจาก เฮนโด พลาดเสียบอลแล้วรวมตัวกับเพื่อน 4-5 คนรวมถึง VvD กับภาพลงไปก้นจ้ำเบ้า หรือประตู 2-2 จากบอลทุ่มข้างสนามธรรมดาของกานเซโล ให้โฟเดน ต่อไปที่แบร์นาโด ที่สามารถครองบอล และแกะการเพรสซิงลิเวอร์พูลได้ โดยมี เดอ บรอย ที่ภาษาฟุตบอลเรียกว่า “ซื้อใจ” เพื่อน หรือคือ หากมรึงเก่งจริง มรึงหลุดได้ กรูก็หลุดยาว และพวกมันจะพินาศ

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/mancity

เฆซุส, โฟเดน และเดอ บรอย รวมกันแล้วสุด ๆ ครับ เฉพาะอย่างยิ่งหากดัน shape เกมรุกมาเข้าข่าย 2-3-5 และดันสูงขึ้นมาได้เมื่อไหร่ อย่าว่าแต่เราเลย ทุกทีมเหนื่อยหมด

เขียนถึงตรงนี้ แท้จริงแล้ว คลอปป์ แทนที่จะสั่ง be brave แต่สั่งแบบ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน หรือโธมัส ทูเคิล ว่า be cautious เราอาจได้ผลการแข่งขันอีกแบบ

เพราะหลัง เปแอสเช ออกนำเร็วแมนฯซิตี้ ในบ้านตัวเอง ปารีส แท้ ๆ พวกเขา “รับเต็ม” และรอโต้ให้ เอ็มบับเป, เนย์มาร์, เมสซี, ดิ มาเรีย เล่นกันแค่ 4 ตัว และแบ็ค เช่น ฮาคิมี เติมบ้าง ไรบ้าง แค่นี้ซิตี้ก็ยิงไม่ได้ และโดนอีกลูกจากเมสซี แพ้ 0-2 แต่นั่นไม่ใช่ลิเวอร์พูลไงครับ!

เหนือสิ่งอื่นใด เปแอสเช หากต้องบุกบ้าง ก็โดน แรนส์ ship หายไปเช่นกัน 0-2 หรือซิตี้ เจอทีมมารับจัด ๆ แล้วโต้เร็ว ๆ อย่างที่แพ้ สเปอร์ส หรือเจอแบบ เลสเตอร์, เชลซี ก็ไม่เคยเป็นอะไรที่ง่ายอยู่แล้ว ไม่นับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ดังนั้น อย่า “แปลกใจ” ที่สัมภาษณ์หลังเกม เป๊ปเองแทบจะลืมเรื่อง “ใบเหลือง 2 ใบ” ของเจมส์ มิลเนอร์ ไปเลย เพราะสบถแต่ The best league in the world ๆ 

คลอปป์ กับบทวิเคราะห์นำมาซึ่งบทความนี้ และบอกตรง ๆ ว่า บทสัมฯของคลอปป์ และการเล่นแบบ toe-to-toe ตามภาษามวย หรือเท้าชนเท้า ทำให้ผม และพวกเราได้ “เข้าใจ” ฟุตบอลขึ้นอีกมากทีเดียว

ครับ ไอ้ ship หาย (ครั้งที่ 3 แล้ว!) จะมีกี่ครั้งในโลกที่เราได้ยินโค้ชมา “ยอมรับ” ว่า ทำอะไรได้ดี ไม่ได้ดี ในครึ่งแรก หรือครึ่งหลัง หรือต้องการจะทำอะไร และทำได้ หรือทำไม่ได้ หลังจบเกมให้ชาวโลกได้ฟัง

แต่นี่คือ คลอปป์ และตัวเขาได้กระทำ และได้พูดในสิ่งเหล่านี้

_ _ _

  • อันดับสุดท้าย

(พูดแบบคนพอมีประสบการณ์นะ) หากผมเป็นเฮนโด และนักเตะลิเวอร์พูล สิ่งที่ผมจะมองตัวผมเองก่อน คือ หากบอสส์ให้ be brave ด้วยวิธีการเล่น และแท็คติกส์ ต่าง ๆ ผมจะต้องพิจารณา “หน้างาน” และอ่านสถานการณ์ให้ชัดเจนด้วยเช่นกัน

คือ ผมจะพูดว่า หากโค้ช หรือผู้มีพระคุณสั่งให้ผมทำอะไร แล้วผมทราบว่า ผมจะ “ไปตาย” ผมจะทำทำไม?

ดังนั้น มิดฟิลด์ของเรา “กล้า” ได้ แต่ในเวลาเดียวกัน พวกคุณต้องมองคน มองสถานการณ์รอบด้านด้วย เช่น การจะเข้ารุมแบร์นาโด แต่ด้านหลังแมร่งมี เดอ บรอย ยืนถือมีดดาบอยู่

คุณต้องประเมินสถานการณ์เองแล้ว ถูกไหม?

คือ เข้าได้ be brave ได้ แต่หากไม่ได้ (ห้าม commit เช่น สไลด์ล้มตัว หรือพรวด ฯลฯ หรือจะแลกก็ต้องฟาล์วเลย) ต้องทราบว่า ด้านหลังมรึงมีใคร แล้วต้องรีบถอนตัว หากปฏิบัติการแรกล้มเหลว

ไม่ใช่ เชียะอะไร เค้าสั่งให้กระโดดน้ำ พวกมรึงก็กระโดด แล้วจมลงไปโดยไม่ได้ดูเลยว่า “น้ำลึก” แค่ไหน? ห่างฝั่งแค่ไหน? มีห่วงยางหรือเปล่า? น้ำเย็นขนาดไหน?

หรือ มิลเนอร์ หรือโจ โก พวกคุณต้องรู้ว่า โฟเดน มันเร็วแค่ไหน?

การที่ยืนใกล้มาติป ถูกต้องแล้ว เพราะพื้นที่ “ตรงกลาง” โซน 14 คือ “ไข่แดง” ที่พวกคุณห้ามโดนเจาะ แต่หากคุณจะขยับมาใกล้แล้วไล่ตามคู่แข่งริมเส้นไม่ทัน (ผมไม่ได้หมายถึงในทุกจังหวะ หรือตอนโดน 2v1 นะ เช่น จังหวะใบเหลือง 1 v 1 มิลเนอร์ พลาดไปจริง เสียเหลี่ยมให้โฟเดน) มันก็ไม่ใช่

กล่าวคือ ผู้เล่น สามารถหารือกับโค้ชได้ คุยกันได้

แต่เหนือสิ่งอื่นใด ไม่ว่าจะเลือกวิธีไหน มิดฟิลด์ลิเวอร์พูล ต้องรู้สถานการณ์รอบข้างดีกว่าในเกมนี้ และทรานซิชั่นเร็วกว่าในเกมนี้ และสื่อสารกับทั้งแดนบน เรื่องจะเพรสซิ่ง ไม่เพรสซิ่ง เพรสใคร ยังไง และต้องทำด้วยกัน รวมถึงกับแนวรับที่เขายืนจัดระเบียบได้ดีแล้ว แต่อาจยืนห่างไปให้ดีกว่านี้ว่าจะทำอย่างไร เช่น ให้เขาดันขึ้นมา หรือตัวเองสักคนไปยืนโคเวอร์ไว้หน้าคู่เซนเตอร์ฯ (มิลเนอร์ หรือโจ โก ก็จะได้ถ่างห่างออกไปหาโฟเดน ได้มากขึ้น เป็นต้น)

ทั้งหมด คือ การเรียนรู้ของทีม และของพวกเราไปด้วย “พร้อม ๆ กัน”

สุดท้าย ผมขอกล่าวอีกครั้งว่า ฟุตบอลแบบเกมนี้ทั้งก่อน, ระหว่างแข่ง และหลังเกม มันเป็นเกมที่ครบทุกอรรถรส ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ 

ผมต้องขอขอบคุณ โค้ชน้อย อนันต์ อมรเกียรติ, โค้ชนพ นพพร เอกศาสตรา, โค้ชแดง ทรงยศ กลิ่นศรีสุข, โค้ชใหม่ เจตนิพัทธ รัชตเฉลิมโรจน์ และโค้ชโจ ธีระศักดิ์ โพธิ์อ้น ที่ได้ร่วมสนทนาธรรมเกมนี้กับผม และก็พี่กบ Captain No.12 และแน่นอนพวกเราทุกคนในเพจแห่งนี้

That’s why we do love the beautiful game ครับ

☕ ณัฐวุฒิ ประเทืองศิลป์

Categories
Football Tactics

เจาะการยิง “ลูกพร้อม” อันลือลั่น ครั้งนี้สาธิตให้ชมโดย ธิอาโก อัลคันทารา

ผมน่าจะได้ดู “ช็อตยิง” จังหวะนี้ของ ธิอาโก อัลคันทารา ประมาณ 100 ครั้ง และได้คุยกับยอดโค้ชเมืองไทยหลายคนว่าควรจะเรียกการยิง (ลูกวอลเลย์) ลักษณะนี้ว่าอย่างไรดี?

มองเร็ว ๆ มันเหมือนพวกเราสมัยเด็กน้อย หยิบก้อนหินแบน.ๆ หรือแผ่นกระเบื้องมาขว้างเฉือน ๆ ให้สัมผัสผิวน้ำแล้วกระดอน ๆ ๆ พุ่งไปข้างหน้านะครับ

สวยงาม เพราะหาก “ปาหิน” ได้จังหวะ ได้เหลี่ยมมุม ถูกต้อง วิถีการพุ่ง และลักษณะการสัมผัสผิวน้ำจะสะเทิ้นสะท้านสวยงาม รวดเร็ว พุ่งตรง

จังหวะวอลเลย์นี้ที่เรียกเป็นภาษาฟุตบอลว่า “Half Volley” หรือภาษาบ้าน ๆ หน่อยว่า “ลูกพร้อม” ก็ไม่ต่างกันครับ

กล่าวคือ จะต้องยิงทันทีที่บอลกระดอนขึ้นจากพื้นหญ้า ณ จุดที่ลูกบอลยังลอยไม่สูงมากนัก และจริง ๆ แล้วก็เป็น “เทคนิค” อันหนึ่งที่ผู้รักษาประตูชอบใช้ (จะเรียกว่า Drop Kick) เพราะบอลจะพุ่งเร็วสู่เป้าหมายได้ทันที และคำนวณได้ว่า จะเอา แรง+เร็ว ประมาณไหน (จะดีกว่า โยนแล้วเตะ แน่นอน)

อย่างไรก็ดี การยิงครั้งของ ธิอาโก ไม่ใช่แค่ยิงทันทีที่บอลกระดอนขึ้นมาเล็กน้อยแบบธรรมดา ๆ แต่ยังเป็นการใช้หลังเท้า “ยิงตัด” ลูกบอลครึ่งบนในลักษณะเฉือนสไลด์ติดไซด์นิด ๆ แล้วยังกดเท้าลงอีกด้วย (ไม่นับที่ว่า น่าจะมีเทคนิคการเปิดบอลแบบ Low Drive เข้ามาผสมด้วย – ไว้ผมจะมาพูดถึงภายหลัง)

หรือคือ ทำประมาณอย่างน้อย 3 – 4 เทคนิคกับเท้า และลูกบอล• นั่นคือ ความชำนาญที่ฝึกฝน และเป็นทั้งทักษะ และเทคนิคเฉพาะตัวที่เกิดขึ้นหลังจากทักษะเบื้องต้น นั่นคือ การต้องอ่านจังหวะบอลได้ดีมาก ๆ และคำนวณระยะการตก, การกระดอน, มุม-องศา-ทิศทาง ของลูกบอลตั้งแต่จังหวะสกัดแล้วลอยบนอากาศ แล้วตกลงพื้น แล้วมุมที่จะเล็งเพื่อปล่อยเท้าสู่เป้าหมาย

โอ้ววว แม่เจ้า! ต้องพูดดีเทลกันแบบนี้เลยจริง ๆ ครับ ไม่งั้นมันไม่เห็นภาพที่แท้จริง

เหมือนคนใกล้เหตุการณ์อย่าง เพื่อนร่วมทีม อิบู โคนาเต หรือโจเอล มาติป ปรากฎภาพในโซเชียลทำท่ากุมศรีษะอย่างไม่เชื่อสายตาในสิ่งที่ได้เห็น

ขอบคุณรูปภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

ขณะที่นักเตะปอร์โต ต้องใช้คำว่า “stun” แน่นิ่ง ชะงักงันไปทั้งทีม

คำถามอื่น ๆ ยังมี เช่น บอลที่ยิงออกไปแท้จริงแล้วกระดอนโดนผืนหญ้าไหม? เพราะได้เห็นวิถีบอลพุ่งลง แล้วลอยสะเทิ้นขึ้นอีกครั้งก่อนเสียบโคนเสา ดิโอโก คอสตา ที่ไม่มีทางจะเซฟได้

ฟลุ๊ค หรือจังหวะพอดี หรืออย่างไร? เยอร์เกน คลอปป์ ก็ได้ตอบแล้วว่า เคยเห็นธิอาโก้ทำอยู่ในสนามซ้อม ในรายละเอียดอื่น ๆ ที่น่าสนใจก็ เช่น

ดาวเตะวัย 30 ปีจริง ๆ ยืนอยู่ไลน์สุดท้ายในเกมรับ (ถัดไปก็ อลิสซงแล้ว) นอกจอทีวีจากจังหวะเริ่มต้น ฟรีคิกทางฝั่งขวาของ อเล็กซ์ ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน แต่แบบที่บอกครับว่า “อ่านจังหวะ” โหม่งสกัดไม่ดีของปอร์โต้แล้วพุ่งเข้ามาจนเพื่อน ๆ รุ่นน้องที่อยู่ใกล้กว่า อย่าง เนโก วิลเลียมส์ และคอสตาส ซิมิกาส ต้องหลบกระเจิงให้

นั่นแสดงว่า “สมอง” ธิอาโก คำนวณ เลือกโหมดการเล่น และบันทึกภาพการทำประตูนี้ไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว

ใครจะแสดงความชื่นชม หรือความเห็นเพิ่มเติมก็จัดมาได้เลยนะครับ

หรือจะ “ขยี้” อีกนิด คือ ธิอาโก ยังมี “เทคนิคพิเศษ” อื่น ๆ ที่ใช้ประจำอีกมาก เช่น ใช้เท้าเหยียบจับบอลแล้วแตะในจังหวะเดียวในลักษณะเดียวกับนักฟุตซอล, การใช้ข้างเท้าด้านนอกจ่ายบอลเสมอ ๆ (หลัง ๆ นักเตะหงส์คนอื่น ๆ ก็เล่นตามเยอะนะ), ลูกชิพเปิดบอลยาวหลากหลายรูปแบบ เช่น Low Drive (พอล ป๊อกบา เป็นอีกคนที่ใช้บ่อย), จังหวะ half turn ตอนจะรับบอล

ขอบคุณรูปภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

อย่างไรก็ดี จะให้ดี ธิอาโก อัลคันทารา ต้องมีความสม่ำเสมอ และผสมผสานเทคนิค และทักษะอันงดงามเหล่านั้นให้เกิด “ผลลัพธ์” มากกว่านี้ และเจ็บให้น้อยลง

เพื่อ “ศักยภาพสูงสุด” ของเขาจะไม่พุ่งขึ้น และตกลงเหมือนพลุไฟ แต่จะเป็นเหมือน “ดาว” ที่ลอยค้างฟ้าเป็นตำนานสโมสรได้ต่อไปมากกว่าครับ

✍☕ณัฐวุฒิ ประเทืองศิลป์

🙏ขอบคุณข้อมูล : โค้ชน้อย อนันต์ อมรเกียรติ, โค้ชนพ นพพร เอกศาสตรา, โค้ชแดง ทรงยศ กลิ่นศรีสุข, โค้ชใหม่ เจตนิพัทธ์ รชตเฉลิมโรจน์ และโค้ชโจ ธีระศักดิ์ โพธิ์อ้น