Categories
Football Business

วิลเลียม สเปียร์แมน : ตัวละครลับ ช่วย “ลิเวอร์พูล” คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก

#SSxKMD | 25 มิถุนายน 2020 การรอคอยอันแสนยาวนานของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล สิ้นสุดลงเสียที เมื่อคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษเป็นสมัยที่ 19 และเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี

เมื่อทีมฟุตบอลที่ตัวเองตามเชียร์ประสบความสำเร็จ ก็มักจะยกความดีความชอบให้นักเตะและโค้ช แต่ความจริงแล้วยังมีทีมงานหลังบ้านอีกจำนวนหนึ่ง คอยปิดทองหลังพระอยู่เบื้องหลัง

ซึ่งมีบุคคลหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า “นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล” ที่หลายคนอาจไม่เคยได้ยินอาชีพนี้มาก่อน แต่นั่นคือฟันเฟืองสำคัญ ที่ทำให้หงส์แดงคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ในวันนี้ เมื่อ 2 ปีก่อน

แล้ว “ข้อมูล” มีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้ลิเวอร์พูลกลับมายิ่งใหญ่ได้อย่างไร ? วันนี้ SoccerSuckไข่มุกดำ จะมาขยายให้ฟังกันครับ

ทำความรู้จัก “วิทยาศาสตร์ข้อมูล”

คำว่า “วิทยาศาสตร์ข้อมูล” (Data Science) หมายถึงการนำข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) มาวิเคราะห์ตามกระบวนการตั้งสมมติฐาน ทดลอง และหาผลลัพธ์ที่กลั่นกรองออกมาเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป

โดยผู้ที่ทำอาชีพด้าน Data Science จะเรียกว่า “นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล” (Data Scientist) ซึ่งจะต้องมีองค์ความรู้หลากหลายแขนง ทั้งด้านคอมพิวเตอร์, คณิตศาสตร์/สถิติ และธุรกิจ

มีการคาดการณ์กันว่า ในปี 2030 สายงาน Data Scientist ในอุตสาหกรรมกีฬา จะมีมูลค่าสูงถึง 1,850 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์จากปัจจุบัน ถึงแม้จะเกิดวิกฤตโควิด-19 ก็ตาม

สำหรับวงการฟุตบอลในยุคสมัยใหม่ ก็ได้มีการออกแบบการจัดเก็บ “ข้อมูล” ที่ละเอียดและหลากหลายมากกว่าในอดีต ซึ่งใครก็ตามที่มีข้อมูลหรือเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำกว่า ก็แทบจะมีชัยไปมากกว่าครึ่งแล้ว

แต่การมีข้อมูลเยอะ ๆ มันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าไม่ได้นำมาผ่านกระบวนการวิเคราะห์ให้ตกผลึก และผู้บริหารสูงสุด รวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงไม่เปิดใจที่จะรับฟัง ทำให้ข้อมูลไม่ได้ถูกใช้งานจริง ๆ

สโมสรฟุตบอลในปัจจุบัน ต่างก็มีทีมวิเคราะห์ข้อมูลอยู่แล้ว แต่สำหรับลิเวอร์พูล ในยุคที่กลุ่มเฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป (FSG) เข้ามาบริหารทีม ได้นำข้อมูลมาใช้อย่างจริงจัง จนสร้างความแตกต่างที่โดดเด่น

วิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของผู้บริหาร

เมื่อปี 2002 จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี่ ที่ในขณะนั้นเป็นเจ้าของทีมเบสบอล บอสตัน เรด ซ็อกซ์ เคยใช้เงิน 12.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ดึงตัวบิลลี่ บีน ผู้จัดการทีมเจ้าของคอนเซปต์ “Moneyball” ที่ใช้ข้อมูลในการสร้างทีมให้ยิ่งใหญ่

กระทั่งการเข้ามาซื้อสโมสรลิเวอร์พูลของกลุ่ม FSG จอห์น เฮนรี่ ไม่ได้แค่เข้ามากอบกู้ซากปรักหักพัง ที่เจ้าของทีมในอดีตทิ้งไว้เท่านั้น ยังได้นำแนวคิดเรื่อง “ข้อมูล” มาใช้บริหารทีม จนประสบความสำเร็จ

จอห์น เฮนรี่ ได้ดึงตัวเอียน เกรแฮม มารับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวิจัยข้อมูล และยังมีทีมงานที่อยู่ภายใต้แกรแฮมอีก 6 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ดร.วิลเลียม สเปียร์แมน ผู้จบปริญญาเอกด้านฟิสิกส์ ด้านอนุภาคพลังงานสูง

ดร. สเปียร์แมน เคยทำงานวิจัยเรื่องการวัดขนาดและความกว้างของสนามพลังฮิกส์ ที่องค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป (CERN) ก่อนที่ในปี 2015 จะได้มาเป็นนักวิเคราะห์ข้อมูลด้านกีฬาให้กับฮูเดิ้ล (Hudl) ที่สหรัฐอเมริกา

และที่ Hudl นี่เอง ที่ทำให้ดร. สเปียร์แมน ได้มีความสนใจในเรื่องราวของกีฬา “ฟุตบอล” ที่มีจังหวะการเล่นต่อเนื่อง และมองว่าข้อมูลที่ซับซ้อนในเกมลูกหนัง ยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากเท่าใดนัก

กระทั่งในเดือนมีนาคม 2018 ดร. สเปียร์แมน ได้เข้ามาเป็นทีมงานในฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูลของลิเวอร์พูล หน้าที่ของเขาคือ เก็บข้อมูลเพื่อใช้วิเคราะห์การแข่งขันของผู้เล่นในสนาม และการสรรหาผู้เล่นใหม่

ดร. สเปียร์แมน ได้นำโมเดลจาก Hudl ซึ่งเป็นโมเดลที่ใช้ติดตามการเคลื่อนที่ของผู้เล่นทั้ง 22 คน และลูกฟุตบอล ด้วยการใช้กล้องที่ติดตั้งไว้รอบ ๆ สนาม จับภาพในอัตรา 25 เฟรมต่อวินาที

เครื่องมือดังกล่าว ทำให้สามารถประเมินระยะห่างระหว่างผู้เล่นกับลูกฟุตบอล และคำนวณเปอร์เซ็นต์การครองบอลที่แท้จริง ซึ่งเป็นประโยชน์กับแท็กติก “เกเก้นเพรสซิ่ง” ของเจอร์เก้น คล็อปป์

ตัวอย่างจากโมเดล Pitch Control

ตัวอย่างการใช้ “วิทยาศาสตร์ข้อมูล” ของลิเวอร์พูล ที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง โดยดร.วิลเลียม สเปียร์แมน และ ดร.ทิม วาสเกตต์ ได้ร่วมกันอธิบายโมเดลการคุมพื้นที่ในขณะที่ครอบครองบอล หรือ Pitch Control

ดร. สเปียร์แมน ได้นิยาม Pitch Control ไว้ว่า “มันคือการที่ผู้เล่นคนหนึ่ง หรือเพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ ได้ควบคุมพื้นที่ในบริเวณหนึ่งของสนาม ดังนั้นต้องผ่านบอลในจุดที่ได้เปรียบ เพื่อรักษาการครองบอลของทีมไว้”

ส่วน ดร.วาสเกตต์ กล่าวเสริมว่า “เราได้วิเคราะห์การเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เพื่อหาช่องว่างที่ผู้เล่นสามารถแย่งพื้นที่จากอีกฝั่งไว้ได้ และจะส่งผลถึงโอกาสการทำประตู ณ จุดหนึ่งบนสนาม ในอีก 15 วินาทีข้างหน้า”

ซึ่งข้อมูลทั้งหมดจากทีมนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล จะถูกส่งไปให้เจอร์เก้น คล็อปป์ เพื่อใช้ประกอบในการฝึกซ้อม และการวางแท็กติก ควบคู่กับมันสมองในเกมลูกหนังที่ยอดเยี่ยมของกุนซือชาวเยอรมันวัย 55 ปี

หากจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัด ๆ อย่างเช่นในเกมที่ลิเวอร์พูล บุกชนะท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ 1 – 0 เมื่อเดือนมกราคม 2020 ลิเวอร์พูลยิงขึ้นนำก่อนตั้งแต่ครึ่งแรก พอถึงช่วงท้ายเกมสเปอร์พยายามจะตีเสมอให้ได้

แต่แล้ว ลิเวอร์พูลได้ใช้เทคนิคให้ผู้เล่นเอาต์ฟิลด์ทั้ง 10 คน ยืนแพ็คกันอยู่บริเวณกลางสนามด้วยระยะห่างกันไม่ถึง 20 หลา บีบให้สเปอร์ทำได้แค่ส่งบอลไปรอบ ๆ ไม่สามารถเจาะช่องเข้าไปได้จนจบการแข่งขัน

นอกจากนี้ ฟูลแบ็ก 2 ฝั่งทั้งแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน (ซ้าย) และเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาโนลด์ (ขวา) มีการส่งบอลข้ามฝากให้กันในเปอร์เซ็นต์ที่สูงอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งก็มาจากโมเดล Pitch Control เช่นเดียวกัน

ความลับจากวิทยาศาสตร์ข้อมูล ที่ทรงพลังจนเห็นผลของจริงในสนาม มีส่วนช่วยให้ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2019/20 ต่อยอดจากแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อ 1 ซีซั่นก่อนหน้านั้น

“ข้อมูล” เบื้องหลังความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่

ลิเวอร์พูล เป็นสโมสรแรก ๆ ของพรีเมียร์ลีก ที่เห็นความสำคัญของ “ข้อมูลขนาดใหญ่” ที่นำมากลั่นกรองจนตกผลึก และเป็นเบื้องหลังความสำเร็จกับแชมป์ 6 รายการ ในยุคของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์

จาก Data Science สู่การนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการวิเคราะห์ข้อมูล อย่างบริษัท Zone7 ที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงเรื่องปัญหาการบาดเจ็บของผู้เล่นในทีม

และยังมีเครื่องมือจาก Neuro11 ที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลการทำงานของสมองสำหรับนักเตะในการเล่นลูกนิ่ง เช่น ความเครียดในการเล่นจังหวะหนึ่ง, ท่าที่เหมาะสมที่สุดเมื่อต้องยิงฟรีคิก เตะมุม หรือจุดโทษ

เมื่อลิเวอร์พูลพิสูจน์ให้เห็นแล้วในช่วงปี 2019-2020 ทีมคู่แข่งสำคัญอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ได้แต่งตั้งลอรี่ ชอว์ อดีตนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ มาเป็นทีมงานข้อมูลหลังบ้าน เมื่อช่วงต้นปี 2021

รวมถึงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคที่เปลี่ยนโครงสร้างการบริหารใหม่ ก็เริ่มที่จะแสดงความก้าวหน้า ด้วยการดึงโดมินิค จอร์แดน มาเป็นผู้อำนวยการฝ่าย Data Scientist คนแรกของสโมสร เมื่อปลายปีที่แล้ว

จะเห็นได้ว่า ผู้ที่นำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ก่อนคนอื่น จะเป็นผู้ที่ได้เปรียบ เพราะในโลกธุรกิจยุคสมัยใหม่ จะเป็น “ปลาเร็วกินปลาช้า” ไม่ใช่ “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” เหมือนในอดีตอีกต่อไป

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

– https://www.liverpoolfc.com/news/cern-lfc-weird-journey-william-spearman-liverpools-lead-data-scientist

– https://www.liverpool.com/liverpool-fc-news/features/liverpool-transfer-news-jurgen-klopp-17569689

– https://theathletic.com/2041669/2020/09/09/meet-william-spearman-liverpools-secret-weapon-15-seconds/

– https://www.liverpoolecho.co.uk/sport/football/football-news/harvard-physicist-opens-up-role-22959333

– https://zone7.ai/how-physicists-are-taking-on-the-challenge-of-interpreting-football-data/

https://www.bbc.com/news/business-56164159

– https://medium.com/the-spekboom/how-math-and-data-science-made-liverpool-the-best-team-on-the-planet-a72d50b325

Categories
Special Content

“คล็อปป์” กับปฏิบัติการสร้างลิเวอร์พูล “เน็กซ์-เจน” ไล่ล่าความสำเร็จช่วงสี่ปีถัดจากนี้

สองเดือนก่อน เยอร์เกน คล็อปป์ ได้ขยายสัญญากับลิเวอร์พูลเพิ่มสองปีไปสิ้นสุดยังปี 2026 นั่นเท่ากับว่ายอดกุนซือเยอรมันวัย 55 ปี จะคุม “เดอะ เรดส์” นานสิบเอ็ดปีนับตั้งแต่เข้ามาทำหน้าที่แทน เบรนแดน รอดเจอร์ส เมื่อเดือนตุลาคม 2015

สี่ซีซั่นถัดไปกับผลงานล่าสุดที่เกือบหอบสี่โทรฟี่สำคัญเข้าไปวางในตู้โชว์ถิ่นแอนฟิลด์ แม้ไม่ปริปากบอกออกมาแต่เชื่อว่า คลอปป์รู้ดีว่าเขาสามารถชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก, พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และลีก คัพ ในปีเดียวกันได้ นั่นหมายถึงขุมกำลังผู้เล่นต้องสมบูรณ์ครบเครื่องทั้งจำนวนและคุณภาพ ตัวจริงตัวสำรองทดแทนกันได้ เราจึงเห็นปฎิบัติการในตลาดนักเตะช่วง 1-2 ปีอย่างมีนัยยะ ลิเวอร์พูลภายใต้การนำของ จูเลียน วอร์ด ผู้อำนวยการด้านกีฬา จึงซื้อน้อยแต่เน้นถูกจุดถูกคน ยอมเปย์หนักเมื่อถึงเวลาอย่างกรณี ดาร์วิน นูนเญซ ที่จ่ายระดับสร้างสถิติสูงสุดใหม่ของสโมสร

ว่ากันว่า หงส์แดงจบภารกิจในตลาดปีนี้ไปแล้วหลังจากได้ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ มิดฟิลด์ตัวรุกวัย 19 ปี ทีมชาติโปรตุเกส ยู-21 จากฟูแลม, นูนเญซ กองหน้าวัย 22 ปี ทีมชาติอุรุกวัยจากเบนฟิกา และ คัลวิน แรมเซย์ แบ็คขวาวัย 18 ปี ทีมชาติสกอตแลนด์ ยู-21 จากอเบอร์ดีน รวมถึง หลุยส์ ดิอาซ ปีกซ้ายวัย 25 ปี ทีมชาติโคลอมเบียจากปอร์โต เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

ลิเวอร์พูลวางแผนระดับ “บิ๊ก ดีล” อีกสิบสองเดือนข้างหน้าไว้เรียบร้อยสำหรับการเสริมตำแหน่งมิดฟิลด์กลางสนาม ซึ่งลือให้แซ่ดว่า “เอาแน่” กับ จูด เบลลิงแฮม มิดฟิลด์วัย 18 ปี ทีมชาติอังกฤษของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ซึ่งสามารถเล่นมิดฟิลด์ริมสนามทั้งซ้ายขวาด้วย

จะเห็นว่าระยะหลัง ลิเวอร์พูลเน้นเสริมผู้เล่นใหม่อายุไม่เกิน 25 ปีเพื่อเป็นการเปลี่ยนถ่ายจากรุ่นสู่รุ่นแม้ตัวหลักที่นำความสำเร็จมาให้ยังอยู่และมีอายุยี่สิบปลายๆถึง 30 ปี

ถึงเวลา “คลอปป์” เปลี่ยนกระดูกสันหลังหงส์แดงใหม่

ย้อนเวลาไปยังปี 2015 โรแบร์โต เฟียร์มิโน เป็นหนึ่งในนักเตะที่ เยอร์เกน คล็อปป์ ใช้เป็นศูนย์กลางในการสร้างทีมหงส์แดงของเขา ฟอร์มกองหน้าทีมชาติบราซิลอยู่ในช่วงพีคด้วยวัยประมาณ 24 ปี 

กูรูลูกหนังบางคนมองว่า เฟียร์มิโนเป็นชิ้นแรกของกระดูกสันหลังของหงส์แดงยุคกุนซือเยอรมัน ตามมาด้วย เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ในเดือนมกราคม 2018 เป็นชิ้นที่สองด้วยสถิติค่าตัวแพงที่สุด(ขณะนั้น)ของสโมสร และหกเดือนต่อมา คล็อปป์ก็ได้ ฟาบินโญ และ อลิสซอน เบคเกอร์ เพื่อประกอบเป็นกระดูกสันหลังที่สมบูรณ์

ผลลัพธ์คือถ้วยชนะเลิศ แชมเปียนส์ ลีก, พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ, ยูฟา ซูเปอร์ คัพ และฟีฟา คลับ เวิลด์ คัพ อย่างละหนึ่งสมัยภายในเวลาเพียงสี่ปี ยังไม่นับตำแหน่งรองแชมป์ แต่ถึงเวลาที่คล็อปป์ต้องหาชิ้นส่วนเพื่อประกอบกระดูกสันหลังของลิเวอร์พูลขึ้นมาใหม่เพื่อสานต่อความสำเร็จอีกสี่ปีข้างหน้าตามระยะเวลาของสัญญา

ตอนนี้ เฟอร์มิโนและฟาน ไดจ์ค อายุ 30 ปีแล้ว อลิสซอน 29 และ ฟาบินโญ 28 แม้นายประตูเมืองกาแฟจะเล่นระดับท็อปได้นานกว่าคนอื่น แต่สักวันคล็อปป์ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องหาคนมารับหน้าที่แทน

เดอะ เรดส์ เพิ่งได้นูนเญซในวัยเพียง 22 ปี ซึ่งน่าจะเป็นกองหน้าแกนหลักให้ทีมจนถึงปลายทศวรรษ และสิบสองเดือนก่อนหน้า อิบราฮิมา โกนาเต เซ็นเตอร์แบ็ควัย 23 ปี ที่มีส่วนสูง 6 ฟุต 4 นิ้ว ได้ย้ายมาจาก แอร์เบ ไลป์ซิก เมื่อรวมกับอลิสซอน ก็เหลือกระดูกสันหลังชิ้นสุดท้ายที่คล็อปป์ต้องหามาให้ได้ ซึ่งสื่อมวลชนฟันธงเรียบร้อยแล้วว่า เขาจะรออีกหนึ่งปีเพื่อดึงเบลลิงแฮมมาจากดอร์ทมุนด์

ส่วนซาลาห์นั้น พิจารณาจากสภาพร่างกายน่าจะยังเล่นระดับสูงได้อีก 2-3 ปี เรื่องของสัญญาที่ยังเหลือถึงปลายเดือนมิถุนายน 2023 ก็ยังคลุมเคลือ มีความเป็นไปได้ที่ลิเวอร์พูลอาจปล่อยให้เขาหมดสัญญากลายเป็นฟรีเอเยนต์เนื่องจากสตาร์ทีมชาติอียิปสต์เรียกร้องค่าเหนื่อยใหม่สูงถึง 400,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ มากกว่าที่ได้รับตอนนี้ถึงสองเท่า ขณะที่ฟาน ไดจ์ค ซึ่งเป็นผู้เล่นหงส์แดงที่รับค่าจ้างสูงสุดตอนนี้ มีรายได้เพียง 220,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์เท่านั้น

มาเนได้เก็บข้าวของย้ายไปร่วมถ้ำเสือที่บาเยิร์น มิวนิก เป็นที่เรียบร้อย เหลือเพียงเฟอร์มิโน ซึ่งน่าจะเป็นกองหน้าสามประสานรุ่นแรกคนเดียวที่ยังได้ไปต่อกับคลอปป์ กองหน้าเลือดแซมบาอาจพอใจที่จะต่อสัญญา 1-2 ปีและเรียกร้องค่าเหนื่อยที่ลิเวอร์พูลพอรับไหว

“คลอปป์” อาจกลับไปใช้แผน 4-2-3-1 เหมือนที่ดอร์ทมุนด์

ผู้สันทัดกรณีวิเคราะห์ว่า มีเรื่องหนึ่งที่ “เดอะ เรดส์” รุ่นต่อไปของ เยอร์เกน คลอปป์ อาจเปลี่ยนไปนั่นคือ “ระบบการเล่น” จากเดิมหมากกระดาน 4-3-3 ซึ่งมีสามประสานกองหน้า โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน และโรแบร์โต เฟอร์มิโน เป็นดาราชูโรง แต่ฤดูกาล 2022-23 บรรดา “เดอะ ค็อป” อาจเห็นฟอร์แมท 4-2-3-1 มากขึ้น และอาจเข้ามาแทนที่ 4-3-3 เต็มตัวในอนาคต การเปลี่ยนแปลงนี้ก็เพื่อสนับสนุนกองหน้า “เน็กซ์-เจน” ให้งัดศักยภาพออกมาได้มากที่สุด

ย้อนกลับไปที่ปี 2016 หลังจากคลอปป์ทำงานที่แอนฟิลด์ได้หนึ่งปี ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนถ่ายอย่างมีนัยยะจาก 4-2-3-1 ที่เขาใช้กับดอร์ทมุนด์และระยะแรกกับลิเวอร์พูล มาเป็น 4-3-3 ที่นำความสำเร็จมาให้กับสโมสรตลอดช่วงที่ผ่านมา

4-2-3-1 เอื้ออำนวยให้กุนซือเยอรมันวางมิดฟิลด์กลางสนามเพียงสองคนแทนสามคน ทั้งคู่จะมีหน้าที่รับผิดชอบลดน้อยลงเพื่อดูแลพื้นที่ตรงกลางจากหน้ากรอบเขตโทษระหว่างสองฝั่งสนามเท่านั้น

การเข้ามาของนูนเญซจากเบนฟิกาอาจทำให้คลอปป์กลับไปใช้ 4-2-3-1 หรืออย่างน้อยอาจได้เห็น 4-2-3-1 มากขึ้นในซีซั่นใหม่ บางทีอาจเริ่มจาก “ศึกแดงเดือด” กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในสนามราชมังคลากีฬาสถาน กรุงเทพฯ ในวันที่ 12 กรกฎาคมนี้ก็ได้

กูรูลูกหนังเยอรมันและแฟนบอลส่วนหนึ่งของบาเยิร์น มิวนิก รู้สึกผิดหวังที่ทีมเสือใต้ไม่พยายามที่จะดึงนูนเญซมาแทนโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี ที่ขอขึ้นบัญชีย้ายทีมไปเรียบร้อยแม้เหลือสัญญาอีกหนึ่งปี โดยก่อนหน้าย้ายมาอยู่กับมหาอำนาจลีกเมืองเบียร์ ศูนย์หน้าทีมชาติโปแลนด์คือคนสำคัญของคลอปป์ในทีมดอร์ทมุนด์ ด้วยสไตล์ที่คล้ายคลึงของเลวานดอฟสกีและนูนเญซทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ว่า นูนเญซคือเลวานดอฟสกีคนใหม่ของคลอปป์ในยูนิฟอร์มสีแดง นั่นทำให้ 4-2-3-1 ถูกหยิบมาใช้อีกครั้ง

หรือระหว่างรอ เบลลิงแฮม มิดฟิลด์ตัวความหวัง แผน 4-2-3-1 ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลย คลอปป์มีแนวรุกเหลือเฝือที่จะให้อยู่ข้างหลังนูนเญซจากนั้นเลือกกองกลางสองคนจาก ฟาบินโญ, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เธียโก อัลกันตารา, นาบี คิเอตา และ เจมส์ มิลเลอร์ ส่วน เคอร์ติส โจนส์ อาจถ่างออกไปด้านข้างฝั่งซ้ายซึ่งเขาทำได้ดีไม่แพ้กลางสนาม

ใครจะอยู่ข้างหลังนูนเญซบนหมากกระดาน 4-2-3-1 คลอปป์มีตัวเลือกหลายคนขึ้นอยู่กับว่าต้องการเพลย์เมคเกอร์ เบอร์สิบ หรือหน้าต่ำ ตัวซัพพอร์ทศูนย์หน้า ซึ่งเฟอร์มิโนรับจ็อบทั้งสองอย่างสบาย หรืออัลกันตาราที่เพียบพร้อมด้วยเทคนิคและครีเอทีฟ พร้อมลงตำแหน่งเบอร์สิบ แม้กระทั่งนักเตะหนุ่ม ฮาร์วีย์ เอลเลียต และ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ บางทีเบอร์สิบอาจเหมาะกับทั้งคู่ที่มีเล่นได้สารพัดประโยชน์กับแผน 4-3-3 หรือถ่างออกพื้นที่กว้างของ 4-2-3-1

ตัวเลือกอีกคนคือ ดีโอโก โซตา ซึ่งบางครั้งเคยทำหน้าที่ใกล้เคียงกันในทีมวูลฟ์แฮมป์ตัน อยู่ข้าง ๆ หรือด้านหลัง ราอูล ฆิเมเนซ ที่เป็นศูนย์หน้าตัวเป้า อย่างซีซั่นที่แล้วโซตาแสดงให้เห็นสัญชาติญาณจบสกอร์ในเขตโทษแถมมีการเล่นลูกกลางอากาศได้น่าประทับใจ ลองจิตนาการการรอโหม่งของโซตาที่อยู่หลังนูนเญซ ซึ่งรองรับหมากเกม 4-2-4 ของคลอปป์ในจังหวะที่ต้องไล่ล่าประตูเพิ่มได้ โดยฤดูที่แล้ว โซต้าและนูนเญซทำสกอร์จากศีรษะคนละ 6 ประตูให้กับต้นสังกัด หรือคลอปป์อาจปรับให้ เทรนท์ อเลกซานเดอร์-อาร์โนลด์ เข้าไปอยู่แดนกลางมากกว่ารอจังหวะโอเวอร์แลป ซึ่งจะกลายเป็น 2-3-5

หากคล็อปป์ยังยึดมั่นกับ 4-3-3 ต่อไป เขาสามารถมอบหมายให้นูนเญซเล่นปีกซ้ายเปิดบอลไปให้ศูนย์หน้า เฟอร์มิโนหรือ ดีโอโก โซตา หรืออาจเป็น 4-4-2 เพราะที่ลีกโปรตุเกส นูนเญซเคยยืนกองหน้าคู่เพื่อเปิดโอกาสให้ลิเวอร์พูลแพ็คแดนกลางให้แน่นขึ้น

ความจริงแล้วนูนเญซเป็นกองหน้าสารพัดประโยชน์ เล่นได้ทั้งศูนย์หน้าตัวเป้า, หน้าต่ำ และปีกซ้าย จึงน่าติดตามทีเดียวว่า คลอปป์จะใช้ลูกทีมใหม่ค่าตัว 85 ล้านปอนด์อย่างไร เมื่อรวมกับเหล่าลูกทีมเจนเนอเรชั่นต่อไปที่เข้ามาแอนฟิลด์ช่วงหลัง จะทำให้คลอปป์วางหมากเกมได้หลากหลายรูปแบบขึ้น ช่วยสร้างความตื่นตาตื่นใจกับการรับชมเกมบนฟลอร์หญ้าของสาวกหงส์แดงอย่างแน่นอน

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา 

Categories
Special Content

“ฮาลันด์ – นูเญซ” เร่งองศาความเดือดชิง “โกลเด้น บู้ท อะวอร์ด”

การเดินทางเข้ามาค้าแข้งบนเกาะอังกฤษของสองกองหน้าดาวรุ่ง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ และ ดาร์วิน นูเญซ สร้างความคึกคักให้กับพรีเมียร์ลีกอย่างใหญ่หลวง ทั้งแฟนบอล กูรูลูกหนัง และสื่อมวลชน ต่างตั้งวงถกกันเป็นที่ครึกครื้นว่า ใครเหนือกว่ากัน ใครจะสร้างอิมแพ็คให้ต้นสังกัดมากกว่ากัน และใครจะได้สัมผัส “รองเท้าทองคำ” เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2022-23

หยิบตัวเลขมาดู ฮาลันด์แจ้งเกิดกับ เรดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก ด้วยสถิติ 27 นัด 29 ประตู ผลิตสกอร์ให้ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 89 นัด 86 ประตู และทีมชาตินอร์เวย์ 21 นัด 20 ประตู เฉลี่ยหยาบๆ ศูนย์หน้าวัย 21 ปี ส่งลูกหนังซุกก้นตาข่ายได้เกือบทุกนัด ขณะที่นูเญซเล่น 41 นัด 34 ประตูให้กับ เบนฟิก้า ฤดูกาลที่แล้ว แม้ค่าเฉลี่ยต่ำกว่าฮาลันด์แต่ยังถือเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจ

เฉพาะเกมลีกซีซั่นที่ผ่านมา ฮาลันด์เล่นให้เสือเหลือง 24 นัด ทำ 22 ประตู 8 แอสซิสต์ นูเญซลงสนามให้พญาอินทรีแห่งลิสบอน 28 นัด ทำ 26 ประตู 4 แอสซิสต์ ไม่ยิ่งหย่อนกว่า 23 ประตูของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ซน ฮึง-มิน ซึ่งครองอันดับ 1 ดาวซัลโวสูงสุดพรีเมียร์ลีกร่วมกัน

ย้อนไปดูสถิติระยะหลังของ “โกลเด้น บู้ท อะวอร์ด” นับตั้งแต่ซาลาห์ผลิต 32 ประตูในซีซั่น 2017-18 เป็นเวลา 8 ปีติดต่อกันที่ดาวซัลโวสูงสุดจบสกอร์ได้แค่ 22 ประตู (2 ซีซั่น) และ 23 ประตู (6 ซีซั่น) ไม่มากไม่น้อยกว่านั้น  แสดงให้เห็นถึงความโหดหินของเกมรับในพรีเมียร์ลีกที่ฮาลันด์และนูเญซต้องพิสูจน์ตัวเองว่า เครื่องจักรผลิตสกอร์ยังใช้งานได้มีประสิทธิภาพเหมือนเดิมหรือไม่บนสังเวียนหญ้าแห่งใหม่

20 ประตูที่บุนเดสลีกากับปรีไมราลีกา จะยากหรือง่ายเมื่อเทียบกับ 20 ประตูในพรีเมียร์ลีก ฮาลันด์และนูเญซจะรู้ภายในหนึ่งปีข้างหน้า

ฮาลันด์และนูเญซ กับการปรับตัวเข้ากับสโมสรใหม่

สังเวียนใหม่แล้ว สโมสรใหม่ เพื่อนร่วมทีมใหม่ และระบบการเล่นใหม่ ล้วนมีผลกับ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ และ ดาร์ซิน นูเญซ แตกต่างกันไป ยังมีเกิดคำถามขึ้นมาว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือ ลิเวอร์พูล ที่ต้องการกองหน้าใหม่มากกว่ากัน

เป็นที่ทราบกันดีผ่านหน้าสื่อ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มองหาศูนย์หน้าตัวจบสกอร์มาตั้งแต่ตลาดซัมเมอร์ปีที่แล้ว แฮร์รี่ เคน กัปตันทีมชาติอังกฤษ คือเป้าหมายเดียวแต่ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ แสดงเจตนารมณ์ว่าไม่ต้องการขายด้วยการโก่งค่าตัวไปถึง 150 ล้านปอนด์ ไม่ใยดีต่อการเรียกร้องขอย้ายทีมจากเคน

ยอดกุนซือเรือใบสีฟ้าแก้ปัญหาด้วยการใช้ผู้เล่น “ฟอลส์ ไนน์” สลับเปลี่ยนหมุนเวียนระหว่าง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, แบร์นาโด ซิลวา และ ฟิล โฟเด้น รวมถึง กาเบรียล เซซุส ที่ถูกใช้งานไม่บ่อยนัก แต่ศูนย์หน้าเบอร์ 9 ธรรมชาติอย่างเคนและฮาลันด์ยังเป็นที่ต้องการแม้กวาร์ดิโอล่าจะพาทีมจนรักษาแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ก็ตาม พร้อมถล่มตาข่ายได้สูงถึง 99 ประตู

ที่เยอรมนี ฮาลันด์คือศูนย์หน้าตัวเป้าและไม่น่าต้องปรับเปลี่ยนบทบาทอะไรนักที่อังกฤษ กวาร์ดิโอล่าน่าจะวางศูนย์หน้าร่างยักษ์ที่หมายเลข 9 บนหมากกระดาน และปรับเปลี่ยนผู้เล่นคนอื่นให้สนับสนุนความเป็นเครื่องจักรผลิตสกอร์ของฮาลันด์ได้มากขึ้น กูรูลูกหนังส่วนใหญ่มั่นใจว่า คงเป็นเรื่องเหลือเชื่อหากอัตราการทำประตูของฮาลันด์ดร็อปลงหากพิจารณาจากพรีเมียร์ลีกซีซั่นล่าสุดที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถล่มตาข่ายได้เกือบแตะหลักร้อย ขาดไปเพียงประตูเดียว

หากไม่บาดเจ็บหรือต้องพักร่างกาย ฮาลันด์มีโอกาสติดรายชื่อผู้เล่น 11 คนแรกมากกว่านูเญซแน่นอน ขณะที่บทบาทของฮาลันด์ค่อนข้างชัดเจน แต่นูเญซกลับขึ้นอยู่กับ เยอร์เกน คล็อปป์ จะใช้งานเขาอย่างไรเพราะที่เมืองฝอยทอง นูเญซถูกจับให้เล่นทั้งศูนย์หน้าตัวเป้า หน้าต่ำ และปีกซ้าย ที่สำคัญคล็อปป์มีกองหน้าดีๆหลายคนให้เลือกใช้งานตามสถานการณ์แต่ละนัดโดยเฉพาะ ดีโอโก โซต้า และ โรแบร์โต ฟีร์มิโน่ ที่อาจเป็นคนที่จะแย่งเวลาลงสนามกับสมาชิกใหม่วัย 22 ปี ขณะที่ซาลาห์ยังเป็นความหวังอันดับหนึ่งในเรื่องจำนวนสกอร์ ซึ่งบอลลีกที่จบไป ลิเวอร์พูลถล่มตาข่ายมากถึง 94 ประตู เป็นผลผลิตของสตาร์ทีมชาติอียิปต์ถึง 23 ประตูหรือราว 25 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งนับตั้งแต่ย้ายเข้าแอนฟิลด์เมื่อปี 2017 ซาลาห์ทำเฉลี่ย 23.6ประตูต่อหนึ่งฤดูกาลพรีเมียร์ลีก

เนดัม โอนูฮา อดีตเซ็นเตอร์แบ็กวัย 35 ปี ซึ่งเคยเล่นกับทีมเรือใบสีฟ้า ให้ความเห็นว่า เขาเชื่อฮาลันด์จะทำสกอร์ได้มากกว่านูเญซในปีแรกของทั้งคู่เพราะฮาลันด์จะได้เล่นมากกว่า ส่วนนูเญซน่าจะลงเป็นตัวจริงได้ประมาณครึ่งหนึ่งของโปรแกรมตลอดซีซั่น

ฮาลันด์หรือนูเญซ ใครจะผลิตผลงานคุ้มค่าเงินกว่ากัน

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จ่ายเงินก้อนแรก 51 ล้านปอนด์เป็นค่าฉีกสัญญาของ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ แต่ถ้าบวกค่านายหน้าของเอเยนต์และโบนัสแอดออนตามผลงาน ตัวเลขจะเพิ่มไปที่ 85 ล้านปอนด์โดยประมาณ

ลิเวอร์พูล วางเงินก้อนแรก 64 ล้านปอนด์เพื่อซื้อตัว ดาร์วิน นูเญซ และหากรวมเงื่อนไขในสัญญา เงินที่ต้องจ่ายให้เบนฟิก้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 85 ล้านปอนด์ จึงสามารถตีค่าตัวเบ็ดเสร็จของฮาลันด์และนูเญซได้ว่าเท่ากันที่ 85 ล้านปอนด์

สำหรับค่าเหนื่อย ฮาลันด์รับจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ สัปดาห์ละ 375,000 ปอนด์ มากกว่าเกือบสามเท่าเมื่อเทียบกับ 140,000 ปอนด์ที่ลิเวอร์พูลจ่ายให้นูเญซ มาถึงตรงนี้มีความชัดเจนแล้วว่า เรือใบสีฟ้าเป็นทีมที่ลงทุนไปกับสตาร์กองหน้าคนใหม่มากกว่า แต่จะคุ้มค่ากว่าหรือไม่ต้องนำผลงานของทั้งคู่มาพิจารณาประกอบ โดยฮาลันด์ วัย 21 ปี เซ็นสัญญา 5 ปี และนูเญซ วัย 22 ปี เซ็นสัญญา 6 ปี ทั้งสองเป็นการลงทุนระยะยาวของสโมสรต้นสังกัด

พอล โรบินสัน อดีตผู้รักษาประตูวัย 42 ปีของ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ และ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ให้ทรรศนะว่า ลิเวอร์พูลอาจรู้สึกว่าพวกเขาคุ้มค่าเงินที่จ่ายไปหากนูเญซทำประตูได้มากกว่าฮาลันด์

“ค่าตัวดูเหมือนพอๆกัน แต่ลิเวอร์พูลอาจคุ้มต่อการลงทุนมากกว่าในมุมของค่าเหนื่อย ในโลกฟุตบอลมักจะมีดีลที่เหลือเชื่อแบบนี้แหละ ถ้าคุณเปรียบเทียบรายได้ระหว่างนูเญซกับฮาลันด์ มันมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด”

“คงจะมีการถกเถียงกันตลอด 12 เดือนข้างหน้าเมื่อเราเห็นว่าใครทำประตูได้มากกว่ากันในพรีเมียร์ลีก ทั้งคู่จะต้องปรับสไตล์ตัวเองให้เหมาะกับตำแหน่งเบอร์ 9 พวกเขาต่างมีจุดมุ่งหมายให้โฟกัสแล้ว”

การเข้ามาของนูเญซ แผนงานระยะยาวของคล็อปป์

เยอร์เกน คล็อปป์ กำลังทำภารกิจสร้างแนวรุก เน็กซ์-เจน หรือรุ่นต่อไปเพื่อทดแทนสามประสาน โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต ฟีร์มิโน่ บางที ดาร์วิน นูเญซ อาจเป็นตัวปิดจ็อบเพื่อที่คล็อปป์จะได้หันไปโฟกัสขุมกำลังอื่นโดยเฉพาะกองกลาง

คล็อปป์กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ทำให้ดีลนี้สำเร็จ “เป็นสุดยอดข่าว สุดยอดข่าวดีจริงๆ ผมขอขอบคุณทุกคนในสโมสรเป็นอย่างสูงที่ทำให้มันเกิดขึ้น พวกเราได้แสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานที่จะยกระดับทีม”

“ดาร์วินเป็นผู้เล่นที่เหลือเชื่อมากแต่ยังมีช่องให้พัฒนาขึ้นไปอีก เขามีพร้อมทั้งอายุ ความปรารถนา และความกระหายที่จะเป็นนักเตะที่เก่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เขาเชื่อมั่นในแผนงานของสโมสร”

“เชาเชื่อว่าทีมเราเหมาะกับเขา และเราก็เชื่อว่าเขาเป็นชิ้นส่วนที่เข้ากับเรา เขามีคุณสมบัติทุกอย่างที่เรามองหา เขาสามารถเซตจังหวะเกม นำพลังงานมาสู่ทีม สามารถสร้างพื้นที่ว่างทั้งจากตรงกลางและด้านกว้าง มีการเคลื่อนที่ที่เหลือเชื่อ เขาเล่นโดยปราศจากความหวาดกลัว ผมรู้ดีว่าเขาต้องทำให้แฟนบอลเราตื่นเต้นแน่”

“แต่มีสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องตระหนักคือ เรากำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนทำงานกับดาร์วิน จึงไม่ควรสร้างแรงกดดันให้เขามากเกินไป เกมบุกของเรามีแนวทางที่หลากหลายและเขาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งแล้วตอนนี้ เขาเซ็นสัญญากับเราระยะยาว ดังนั้นคอยดูการเจริญเติบโตที่จะเกิดขึ้น”

 “ดาร์วินมาเป็นสมาชิกใหม่คนล่าสุดที่เข้ามาอยู่ในครอบครัว ลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ ซึ่งวิเศษสุด ผมมั่นใจว่าแฟนบอลของเราจะทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในบ้านตั้งแต่ย่างก้าวแรกที่เข้ามาพร้อมนกลิเวอร์อยู่บนหน้าอกของเขา”

เคนคาดศึกชิง “โกลเด้น บู้ท” ซีซั่นนี้ดุเดือดเผ็ดร้อนแน่

ไม่ใช่แค่แฟนบอลและสื่อมวลชนที่ตื่นเต้นกับการเดินทางจากแผ่นดินใหญ่ทวีปยุโรปมาสู่เกาะอังกฤษของ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ และ ดาร์วิน นูเญซ แต่ยังมีเพื่อนร่วมอาชีพด้วย หลายคนได้แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อมวลชนรวมถึง แฮร์รี่ เคน ดาวซัลโวของ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ เจ้าของรางวัลรองเท้าทองคำ 3 สมัย 

เคน ซึ่งเกือบได้ย้ายไปรับหน้าที่หัวหอกให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว มองว่า การมาของฮาลันด์และนูเญซจะเป็นประโยชน์อย่างมากแก่ตัวเขาและทีมไก่เดือยทอง

สกายเบต หนึ่งในบริษัทรับพนันถูกกฎหมายในอังกฤษ ยกให้ฮาลันด์เป็นเต็งหนึ่งที่จะครอบครอง “โกลเด้น บู๊ท อะวอร์ด” ฤดูกาล 2022-23 ตามมาด้วยซาลาห์และเคน อันดับถัดมาได้แก่ คริสเตียโน่ โรนัลโด, ซน ฮึง-มิน และนูเญซ

เคน ในวัย 28 ปี ซึ่งยังไม่เคยคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ร่วมกับสเปอร์สเลย เคยได้ตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดของพรีเมียร์ลีกในซีซั่น 2015-16 จำนวน 25 ประตู, ซีซั่น 2016-17 จำนวน 29 ประตู และซีซั่น 2020-21 จำนวน 23 ประตู ส่วนซีซั่นที่แล้ว เคนลงเล่น 37 นัด ทำได้ 17 ประตู น้อยกว่าเจ้าของรองเท้าทองคำร่วม ซาลาห์และซน 6 ประตู

เคนมองว่า  ฮาลันด์และนูเญซจะช่วยให้การแข่งขันในพรีเมียร์ลีกเข้มข้นดุเดือดขึ้น ดีลทั้งสองถือเป็นข่าวดีสำหรับกุนซือของเขา อันโตนิโอ คอนเต้ และ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์

“การต่อสู้แย่งชิงโกลเด้นบู้ทเป็นงานหินเสมอ พรีเมียร์ลีกเป็นสังเวียนที่ผลิตท็อปสไตรคเกอร์มานานหลายปี ทุกๆซีซั่นที่ผ่านมา ผมต้องลงเล่นท่ามกลามสมรภูมิรบที่ดุเดือดแห่งนี้เสมอเพื่อครอบครองรองเท้าทองคำ ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน”

“คุณคาดหวังได้เลยว่า กองหน้าชั้นยอดต่างปรารถนาที่จะย้ายเข้ามาเล่นพรีเมียร์ลีก และการเซ็นสัญญาของทั้งคู่เป็นอีกตัวอย่าง แต่ผมคิดว่า นี่จะช่วยผมในฐานะนักฟุตบอลที่จะมีโอกาสเผชิญหน้าการแข่งขันที่ดีมีคุณภาพ มันจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้ผมพัฒนาและเก่งขึ้น ผมกำลังรอคอยงานที่ท้าทายนั้น”

ฤดูกาลหน้า เคนและซนมีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ระดับทวีปในการแข่งขันยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งจะช่วยยกระดับฝีเท้าของสองกองหน้าทีมสเปอร์สอย่างแน่นอน ขณะที่ใครก็ไม่สามารถตัดซาลาห์ออกจากโผลุ้นรองเท้าทองคำแม้อายุแตะหลัก 30 ปี รวมกับการเข้ามาของบรรดากองหน้ารุ่นต่อไปของลิเวอร์พูล

เหล่าดาวซัลโวหัวแถวของพรีเมียร์ลีกพร้อมแล้วที่จะรับการท้าทายของสองสมาชิกใหม่ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ และ ดารวิน นูเญซ

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา

Categories
Special Content

ความลับที่ไม่ลับ : ฟุตบอลอังกฤษ กับการเปิดรับความหลากหลายทางเพศ

#SSxKMD | ในเดือนมิถุนายนของทุกปี กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ จะออกมาเฉลิมฉลองและรณรงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้เรื่องความหลากหลายทางเพศ หรือที่เรียกกันว่า “Pride month”

ถ้าจะโฟกัสเฉพาะวงการฟุตบอล มีนักเตะระดับอาชีพเพียงไม่กี่คน ที่ตัดสินใจก้าวข้ามความเงียบ ด้วยการประกาศตัวเองว่า เป็นชาวสีรุ้ง หรือ LGBTQ+ ในยุคที่สังคมปัจจุบันเปิดกว้างมากกว่าในอดีต

แล้วลูกหนังเมืองผู้ดี มีส่วนเกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางเพศได้อย่างไร ? วันนี้ SoccerSuck x ไข่มุกดำ จะมาขยายให้ฟังกันครับ

ทำความรู้จักกับ “Pride month”

Pride month หมายถึง เดือนแห่งความภาคภูมิใจของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTQ+ โดยจะมีการจัดกิจกรรมเดินขบวนพาเหรด รวมถึงกิจกรรมอื่นๆ ตลอดเดือนมิถุนายนของทุกปี

สาเหตุที่ Pride month เกิดขึ้นในมิถุนายนนั้น เนื่องจากเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์จลาจลที่ “สโตนวอลล์ อินน์” (Stonewall Inn) ซึ่งเป็นบาร์เกย์ในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1969

ในช่วงเวลานั้น การรักร่วมเพศ หรือการแต่งตัวที่ไม่ตรงกับเพศสภาพ เป็นสิ่งผิดกฎหมาย ยังไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม สโตนวอลล์ อินน์ จึงถือเป็นบาร์เกย์เพียงไม่กี่แห่ง ที่เปิดกว้างสำหรับคนรักร่วมเพศ

แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ไปตรวจค้น และทำการควบคุมตัวกลุ่มคนรักร่วมเพศในบาร์เกย์แห่งนี้ ทำให้กลุ่มคนรักร่วมเพศ แสดงการต่อต้านเจ้าหน้าที่ และเกิดการปะทะกัน จนลุกลามกลายเป็นจลาจลอยู่หลายวัน

1 ปีต่อมา หลังจากเหตุการณ์ที่สโตนวอลล์ อินน์ ผู้คนในสหรัฐอเมริกา ได้ออกมาเดินขบวนเรียกร้องสิทธิสำหรับกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นครั้งแรก และกลายเป็นต้นแบบของ Pride month ในปัจจุบัน

ในส่วนของวงการฟุตบอล พรีเมียร์ลีก ลีกสูงสุดของอังกฤษ ได้สนับสนุนแคมเปญรณรงค์ต่อต้านการเหยียดบุคคลที่มีรสนิยมรักร่วมเพศ มาตั้งแต่ปี 2016 โดยทั้ง 20 สโมสรต่างก็ให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดี

แต่ละทีมได้แสดงสัญลักษณ์ความหลากหลายทางเพศ ยกตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนสีพื้นหลังบนสื่อโซเชี่ยลมีเดียเป็นสีรุ้ง, กัปตันทีมสวมปลอกแขนสีรุ้ง หรือผูกเชือกรองเท้าสตั๊ดสีรุ้งในวันแข่งขัน เป็นต้น

ขอบคุณภาพ https://web.facebook.com/Everton/

ตัวอย่างจากฟาชานู และฮิตเซิลสแปร์เกอร์

หลายคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า ฟุตบอลเป็นเรื่องของชายชาตรีเท่านั้น แต่นักเตะอย่างจัสติน ฟาชานู และโธมัส ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ กลับตัดสินใจเปิดเผยตัวเองว่าเป็นกลุ่มชายรักชาย หรือ “เกย์” (Gay)

ฟาชานู อดีตกองหน้ายุค 1980s ถือเป็นนักเตะระดับอาชีพชาวอังกฤษคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่ออกมาประกาศว่าเป็นเกย์ เขาเคยค้าแข้งกับหลายสโมสรในอังกฤษทั้งระดับดิวิชั่น 1 และดิวิชั่น 2

แต่จุดเปลี่ยนของฟาชานู เกิดขึ้นในปี 1990 เมื่อ “เดอะ ซัน” แท็บลอยด์จอมแฉเมืองผู้ดี พาดหัวหน้าหนึ่งว่า “นักเตะค่าตัว 1 ล้านปอนด์ ยอมรับแล้ว ผมเป็นเกย์” สร้างความตกตะลึงไปทั้งวงการลูกหนัง

ในช่วงยุค 1980s ถึง 1990s รสนิยมความหลากหลายทางเพศยังไม่เป็นที่ยอมรับ ฟาชานูพยายามที่จะปกปิดไว้ไม่ให้ใครรู้ว่าตัวเองไปเที่ยวที่บาร์เกย์ แต่ภายหลังก็ออกมายอมรับกับความจริงในที่สุด

ฟาชานู ประกาศแขวนสตั๊ดในปี 1997 และในเดือนพฤษภาคม ปีต่อมา อดีตนักเตะผิวสีคนแรกของลีกอังกฤษที่มีค่าตัวถึง 1 ล้านปอนด์ ก็ตัดสินใจจบชีวิตด้วยการแขวนคอตัวเอง จากไปในวัยเพียง 37 ปี

ขณะที่ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติเยอรมัน เคยค้าแข้งกับ 3 สโมสรในพรีเมียร์ลีกกับแอสตัน วิลล่า, เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และเอฟเวอร์ตัน ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการกีฬาของสตุ๊ตการ์ท ในบุนเดสลีกา

หลังจากประกาศแขวนสตั๊ดเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพได้ไม่นาน ฮิตเซิลสแปร์เกอร์ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อเมื่อเดือนมกราคม 2014 โดยเปิดใจถึงเรื่องของรสนิยมชายรักชาย ที่เก็บเป็นความลับมานานหลายปี

“มันเป็นช่วงเวลาที่ยากและยาวนาน ในการคิดและทบทวนเรื่องที่อยากจะบอกกับทุกคน หลังจากประกาศว่าตัวตนที่แท้จริงคือการมีความรักกับผู้ชาย ผมคิดว่าชีวิตของผมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นนะ”

“ตอนนี้โลกเปลี่ยนไปมากแล้ว คนที่ยังไม่ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้คนอื่นๆ รู้ มันเป็นอะไรที่เจ็บปวด คุณจะเป็นเพศอะไรไม่สำคัญ แต่ขอให้กล้าที่จะบอกว่า เราไม่ยอมรับการเหยียดเพศ”

แข้งเกย์เลือดผู้ดีคนแรกรอบ 32 ปี

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เจค แดเนียลส์ กองหน้าดาวรุ่งวัย 17 ปี จากสโมสรแบล็คพูล ในลีกแชมเปี้ยนชิพ เป็นนักเตะอาชีพชาวอังกฤษคนแรกนับตั้งแต่จัสติน ฟาชานู เมื่อ 32 ปีก่อน ที่ออกมาประกาศตัวว่าเป็นเกย์

แดเนียลส์ เพิ่งได้ประเดิมลงสนามให้กับทีมชุดใหญ่ของแบล็คพูลเป็นนัดแรก ในเกมนัดปิดซีซั่นที่พบกับปีเตอร์โบโร่ โดยเจ้าตัวถูกเปลี่ยนลงมาเป็นตัวสำรองในช่วง 10 นาทีสุดท้าย ซึ่งทีมของเขา จบอันดับที่ 16

ข้อความของแดเนียลส์ ที่ระบุไว้บนเว็บไซต์ของ “เดอะ ซีไซเดอร์ส” ความว่า “เรื่องนอกสนามผมต้องปิดบังมาตลอดว่าผมเป็นใครกันแน่ ผมรู้อยู่แล้วว่าเป็นเกย์ และผมก็พร้อมแล้วที่จะเปิดเผยเรื่องนี้เสียที”

“แต่การจะมาถึงจุดนี้ได้ ผมได้รับการสนับสนุนและคำแนะนำจากครอบครัว เอเย่นต์ และองค์กร Stonewall อีกทั้งกำลังใจจากเพื่อนร่วมทีมแบล็กพูล ที่ยอมรับการตัดสินใจในการเปิดเผยตัวตนของผม”

“คุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวตนของคุณ เพียงเพื่อให้เข้ากับคนอื่น ขอแค่ให้คุณเป็นตัวของตัวเองและมีความสุข นี่แหละคือสิ่งสำคัญที่สุด”

การออกมาเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของแดเนียลส์ วงการฟุตบอลอังกฤษได้ออกมาชื่นชมในความกล้าหาญ แทบทุกสโมสรรวมถึงนักฟุตบอลหลายๆ คน ต่างส่งกำลังใจให้กับดาวรุ่งวัย 17 ปีรายนี้

ทางด้านพรีเมียร์ลีก ก็ออกมาแถลงเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “เราขอสนับสนุนเจค และเชื่อว่าเกมฟุตบอลเป็นของทุกคน นี่คือเหตุผลที่เราต่อต้านการเหยียดเพศ รวมถึงให้การสนับสนุนกลุ่มคนที่เป็น LGBTQ+”

การที่นักฟุตบอลเริ่มกล้าที่จะเปิดเผยรสนิยมทางเพศของตัวเอง ช่วยส่งแรงกระเพื่อมต่อสังคม ทำให้วงการฟุตบอลอังกฤษและทั่วโลก เปิดใจยอมรับนักเตะที่อยู่ในกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น

แต่นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ยังต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยในการพิสูจน์กับบทดสอบที่ยิ่งใหญ่ เพื่อสร้างความเข้าใจ และยอมรับรสนิยมทางเพศที่แตกต่างไปจากคนส่วนใหญ่ในสังคม

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://theathletic.com/3313956/2022/05/16/jake-daniels-blackpool/

https://theathletic.com/2991105/2021/12/03/how-to-be-an-ally-for-lgbt-community-in-football/

https://theathletic.com/1561229/2020/01/26/thomas-hitzlsperger-stuttgart-villa-everton-west-ham/

https://www.premierleague.com/news/511487

https://www.blackpoolfc.co.uk/news/2022/may/16/a-message-from-jake-daniels/

https://www.bbc.co.uk/newsround/52872693

Categories
Special Content

เคล็ดลับลุ้น 4 แชมป์ : เจาะเบื้องหลัง “ลิเวอร์พูล” ลงเล่น 63 นัดในซีซั่นเดียว

#SSxKMD | ลิเวอร์พูล ในฤดูกาล 2021/22 ที่ผ่านมา ถือเป็นฤดูกาลที่ลงเล่นครบทุกนัดทั้ง 4 รายการที่ลงแข่งขัน รวมทั้งสิ้น 63 เกม แพ้แค่ 4 เกม ได้มา 2 แชมป์ คือคาราบาว คัพ และเอฟเอ คัพ

แฟนๆ “เดอะ ค็อป” อาจจะน่าเสียดายที่พลาด 2 ถ้วยที่ใหญ่ที่สุดทั้งพรีเมียร์ลีก และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในสัปดาห์สุดท้ายของซีซั่น แต่การได้ลุ้นถึงจนถึงนัดสุดท้ายทุกถ้วย ก็ถือว่าน่าประทับใจ

เหตุผลสำคัญที่ “หงส์แดง” มาถึงจุดนี้ได้ คือการที่นักเตะภายในทีมแทบจะไม่มีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวน ทำให้สามารถประคับประคองทีมจนเกือบสร้างประวัติศาสตร์ทำ “ควอดรูเพิล”

วันนี้ SoccerSuckไข่มุกดำ จะนำเบื้องหลังซีซั่นที่เหลือเชื่อที่สุดในประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูล มาขยายให้ฟังกันครับ

หลังบ้านมีปัญหาเมื่อซีซั่นที่แล้ว

ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2019/20 แต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้นักเตะได้รับผลกระทบเรื่องสภาพร่างกายจากการล็อกดาวน์พักซีซั่นชั่วคราว รวมถึงการลงเล่นอย่างต่อเนื่อง

จนกระทั่งเข้าสู่ฤดูกาล 2020/21 ลิเวอร์พูลต้องเจอกับซีซั่นที่เจ็บปวด หลังจากสูญเสียนักเตะในเกมรับหลายคนจากอาการบาดเจ็บตั้งแต่ช่วงต้นซีซั่น จนส่งผลกระทบต่อผลงานของทีมอย่างหนัก

เริ่มจากเฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ตามมาด้วยโจ เกเมซ ที่ต้องปิดซีซั่นตั้งแต่เดือนตุลาคม และพฤศจิกายนตามลำดับ โจเอล มาติป ก็เจ็บตามไปในเดือนมกราคม หลังฝืนลงเล่นหลายนัดในช่วงครึ่งซีซั่นแรก

เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือลิเวอร์พูล ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการนำฟาบินโญ่ ที่เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ มาเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็กแทนฟาน ไดค์ อาจจะทำได้ไม่ดีเท่า แต่ก็ยังพอไปได้

อย่างไรก็ตาม มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฟาบินโญ่บาดเจ็บ คล็อปป์ได้สลับคู่เซนเตอร์แบ็กถึง 16 คู่ นักเตะอย่างจอร์แดน เฮนเดอร์สัน, รีห์ส วิลเลี่ยมส์ และแน็ต ฟิลลิปส์ ล้วนต้องมาเล่นเซ็นเตอร์แบ็กจำเป็น

วิกฤตอาการบาดเจ็บของนักเตะเกมรับในซีซั่น 2020/21 คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ลิเวอร์พูลไม่สามารถคว้าแชมป์รายการใดๆ ได้เลย ซึ่งคล็อปป์ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นแล้ว

แก้ปัญหาด้วย “ปัญญาประดิษฐ์”

จากปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อซีซั่นก่อน ลิเวอร์พูลได้นำเทคโนโลยีที่เรียกว่าปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ซึ่งหมายถึงการสร้าง “สมองเทียม” ที่สามารถประมวลผล และวิเคราะห์ได้คล้ายกับสมองของมนุษย์

ก่อนที่ฤดูกาล 2021/22 จะเริ่มขึ้น ลิเวอร์พูลได้ว่าจ้างบริษัท “โซนเซเว่น” (Zone7) จากแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในการนำเทคโนโลยี AI มาช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยงเรื่องปัญหาการบาดเจ็บของผู้เล่นภายในทีม

การทำงานของ Zone7 เป็น AI ที่นำข้อมูลทุกอย่างรวบรวมเป็น “Big Data” มาเข้ากระบวนการอัลกอริทึมที่ได้ออกแบบไว้ จากนั้นจะวิเคราะห์ ก่อนส่งให้ผู้จัดการทีมและสต๊าฟฟ์ที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณา

ตัวอย่างของ “ข้อมูล” ในกีฬาฟุตบอล อาทิเช่น ข้อมูลส่วนตัวผู้เล่น, ข้อมูลในสนามซ้อมและแข่งขันจริง, ความแข็งแกร่งของร่างกาย, ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ, ระดับความเครียด เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม AI ของ Zone7 ต้องใช้เวลาพัฒนาอย่างยาวนาน กว่าที่จะวิเคราะห์ออกมาได้อย่างแม่นยำ ในปัจจุบันนี้ Zone7 สามารถตรวจจับอาการบาดเจ็บได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ล่วงหน้า 7 วัน ก่อนบาดเจ็บจริง

ทาล บราวน์ ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Zone7 กล่าวว่า “โลกของฟุตบอลเต็มไปด้วยข้อมูล ถ้าสามารถหาประโยชน์จากข้อมูลที่มีได้ จะได้เปรียบในการแข่งขัน และตอนนี้ข้อมูลได้ถูกนำมาใช้ประเมินนักเตะแล้ว”

“AI ของเรา ช่วยจำลองสถานการณ์ที่เหมาะสมที่สุดของผู้เล่น ทำให้ผู้เล่นยังรักษาฟอร์มการเล่นที่ดีไว้ได้นานที่สุด และลดความเสี่ยงให้มากที่สุด บางครั้งความเสี่ยงอาจจะหมายถึงการลดภาระในการทำงานลงก็ได้”

“มนุษย์” คือนักวางแผนที่ดีที่สุด

ถึงแม้ว่า ลิเวอร์พูลจะนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วย แต่การวางแผนเพื่อเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ยังขึ้นอยู่กับเจอร์เก้น คล็อปป์ และทีมงานเหมือนเดิม ไม่สามารถแทนที่มนุษย์ 100 เปอร์เซนต์ในเวลานี้

ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ AI ของ Zone7 ทำให้กุนซือชาวเยอรมัน ตัดสินใจทดลอง “โรเตชั่น” ผู้เล่นตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นซีซั่น ซึ่งโดยสถิติ ลิเวอร์พูลจะมีการหมุนเวียนผู้เล่นเฉลี่ย 4 ตำแหน่งในแต่ละนัด

ความสามารถของ Zone7 ร่วมกับการตัดสินใจของเจอร์เก้น คล็อปป์ และทีมงาน ทำให้ลิเวอร์พูลสามารถลดจำนวนวันบาดเจ็บของผู้เล่นทั้งระยะสั้น และระยะยาวลงได้อย่างมีนัยสำคัญ

ข้อมูลจาก Premier Injuries ระบุว่า ลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2020/21 มีจำนวนวันที่ผู้เล่นในทีมบาดเจ็บรวมกัน 1,513 วัน และในฤดูกาล 2021/22 ลดลงเหลือ 1,008 วัน หรือลดลงคิดเป็น 33 เปอร์เซ็นต์

ในส่วนของผู้เล่นที่บาดเจ็บระยะยาวมากกว่า 9 วัน (Days lost from substantial injuries) ในฤดูกาลล่าสุด ก็ลดลงเมื่อเทียบกับฤดูกาลก่อนเช่นกัน จาก 1,409 วัน เหลือ 841 วัน หรือลดลง 40 เปอร์เซ็นต์

โค้ชคนอื่นๆ มักจะไม่นิยมหมุนเวียนนักเตะช่วง 1 – 2 เดือนแรกของซีซั่น แต่คล็อปป์กล้าทำ และกลายเป็นผลดีในช่วงครึ่งซีซั่นหลัง ลิเวอร์พูลสามารถโรเตชั่นผู้เล่น สำหรับการลงเตะสัปดาห์ละ 2 นัด แบบไม่มีปัญหา

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือในเกมพรีเมียร์ลีก นัดที่ลิเวอร์พูลบุกไปชนะเซาธ์แธมป์ตัน 2 – 1 ช่วงกลางเดือนพฤษภาคม คล็อปป์โรเตชั่นผู้เล่น 9 ตำแหน่ง หลังจากชนะจุดโทษเชลซีในเอฟเอ คัพ เมื่อ 3 วันก่อนหน้านั้น

เบื้องหลังของลิเวอร์พูล กับฤดูกาลที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ คือการมองเห็นคุณค่าจากเทคโนโลยี แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หัวจิตหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ของนักเตะ ตลอดเส้นทางการลุ้นแชมป์ในทุกรายการ

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://theathletic.com/3321871/2022/05/25/liverpool-63-matches-van-dijk/

– https://www.telegraph.co.uk/football/2022/05/18/revealed-silicon-valley-algorithm-helping-liverpool-cope-history/

– https://zone7.ai/

Categories
Column

“เปริซิช และ สเปอร์ส” ความท้าทายสูตรเด็ด “สามสิบยังแจ๋ว”

แม้ได้มาฟรีกับค่าเหนื่อยไม่ถึงหนึ่งแสนปอนด์ต่อสัปดาห์ แต่มีคำถามผุดขึ้นมาว่า อิวาน เปริซิช ในวัย 33 ปี ช่วงปลายอาชีพค้าแข้ง เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าไหมสำหรับ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ทีมอันดับ 4 บนตารางพรีเมียร์ลีก

ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ประกาศข่าวเซ็นสัญญา 2 ปีกับ อิวาน เปริซิช นักเตะสารพัดประโยชน์วัย 33 ปี ทีมชาติโครเอเชีย ซึ่งปิดฉากชีวิต 7 ปีกับ อินเตอร์ มิลาน หลังหมดสัญญาในวันที่ 30 มิถุนายนนี้

ขอบคุณภาพจาก : https://www.facebook.com/TottenhamHotspur

เปริซิชเป็นหนึ่งในเป้าหมายเสริมทัพของ อันโตนิโอ คอนเต้ เพราะเปริซิชเล่นได้หลายตำแหน่งบนหมากกระดานของกุนซือชาวอิตาเลียน รวมทั้งวิงแบ็คและมิดฟิลด์ตัวรุก โดยเปริซิช ซึ่งได้รับการติดต่อจากเชลซีด้วย เซ็นสัญญากับสเปอร์สเป็นเวลา 2 ปี รับค่าเหนื่อยปีละ 5.1 ล้านปอนด์ หรือเฉลี่ย 98,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์

เปริซิช ซึ่งเล่นให้ทีมชาติโครเอเชีย 113 นัด ได้โพสต์อำลาแฟนบอลเนรัซซูรี่บนอินสตาแกรมส่วนตัวอย่างซาบซึ้ง ทิ้งไว้ด้วยภาพจำการรับใช้สโมสร 254 นัด 55 ประตู 49 แอสซิสต์ 3 โทรฟี่ และ 18,934 นาที นับตั้งแต่ย้ายเข้าเป็นสมาชิกของอินเตอร์ มิลาน เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2015

ที่มหานครลอนดอน เปริซิชจะได้ร่วมงานอีกครั้งกับคอนเต้หลังจากทั้งคู่และทีมงูใหญ่ครองสคูเดตโต้ ฤดูกาล 2020-21 ดับความหวังของยูเวนตุสที่จะครองแชมป์ลีกเมืองมะกะโรนีติดต่อกัน 10 ปี ก่อนที่คอนเต้ทำให้ทุกคนช็อคด้วยการโบกมืออำลาอินเตอร์ มิลาน

นอกเหนือเป็นลูกทีมที่เข้าขากันดีแล้ว เปริซิชยังสามารถเล่นเข้ากับระบบของคอนเต้ ไม่ว่าจะเป็นวิงแบ็คตามฟอร์แมท 3-4-3 หรือรับหน้าที่มิดฟิลด์ริมสนามและกองหน้ากึ่งปีก ไม่เพียงเท่านั้นคอนเต้อาจใช้เปริซิชเป็นตัวแก้สถานการณ์ ปรับตำแหน่งให้ยืนศูนย์หน้าแทน แฮร์รี่ เคน ในบางครั้งได้อีกด้วย

แม้วัยเข้าช่วงปลายอาชีพค้าแข้ง แต่เปริซิชยังไม่ส่งสัญญาณว่ามีปัญหาเรื่องความฟิต เขาลงเล่นให้สโมสรและทีมชาติถึง 58 นัดในซีซั่นที่ผ่านมา ส่งลูกหนังซุกก้นตาข่าย 12 ครั้ง

“เปริซิช” ตามรอย “สามสิบยังแจ๋ว” ของแมนฯ ยูไนเต็ด

เพียงแค่ชูเสื้อยังไม่ได้ลงซ้อมกับทีมใหม่ แต่กลับมีคำถามขึ้นมาแล้วว่า คอนเต้คิดถูกแล้วหรือที่ซื้อนักเตะวัย 33 ปี ที่เล่นตำแหน่งที่ต้องสูญเสียพลังงานมากแม้ฟรีค่าตัวและค่าเหนื่อยไม่แรง

ความจริงแล้วการเซ็นสัญญาระยะสั้นเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากับนักเตะที่อายุอยู่ช่วงปลาย (แต่ฝีเท้าต้องขั้นเทพ) เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ผู้จัดการทีมนิยมใช้กัน ตัวอย่างเช่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งได้ เอดินสัน คาวานี่ มาจากตลาดฟรีเอเยนต์กลางปี 2020 ขณะนั้น “มาธาดอร์” ในวัย 33 ปี เพิ่งหมดสัญญากับ ปารีส แซงต์ แยร์กแมง

แม้ถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องสภาพร่างกายจะทนต่อความโหดของพรีเมียร์ลีกได้หรือไม่ แต่คาวานี่ได้พิสูจน์คุณค่าทั้งในและนอกสนาม กลายเป็นขวัญใจของเหล่าเรด อาร์มี่ อย่างรวดเร็ว จนปีศาจแดงใช้ออปชั่นขยายสัญญาเป็นปีที่สอง แต่น่าเสียดาย คาวานี่มีปัญหาบาดเจ็บเรื้อรัง บวกกับการมาของ คริสเตียโน โรนัลโด้ ทำให้ลงสนามแค่ 20 นัด 910 นาที มีผลงาน 2ประตู 1 แอสซิสต์ รวมทุกรายการ

ซีซั่นที่เพิ่งจบไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ใช้กลยุทธ์เดิม เซ็นสัญญา 2 ปีกับ คริสเตียโน โรนัลโด้ ซึ่งถูกตั้งคำถามอีกเช่นกัน แต่ท้ายที่สุด ซูเปอร์สตาร์ทีมชาติโปรตุเกสกลายเป็น “เดอะ แบก” ในวัย 37 ปี ถ้านับเฉพาะพรีเมียร์ลีกกับแชมเปี้ยนส์ลีก “ซีอาร์เซเว่น” เล่น 37 นัด 3,071 นาที ผลิต 24 ประตู 3 แอสซิสต์ ขณะที่ เอริค เทน ฮาก ประกาศทันทีที่รับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ว่า โรนัลโด้เป็นคนสำคัญของทีม

ซีซั่นหน้า นอกจากเปริซิคแล้ว กลยุทธ์นี้กำลังจะถูกพิสูจน์จากกรณี โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ดาวซัลโวทีมชาติโปแลนด์วัย 33 ปี ซึ่งวอนเชิงขู่ บาเยิร์น มิวนิก ให้ปล่อยตัวเขาไปแม้ยังเหลือสัญญาอีกหนึ่งปีก็ตาม แน่นอนว่าฝีเท้าเวิลด์คลาสแบบเลวานดอฟสกี้จะต้องถูกทีมชั้นนำในยุโรปจับจ้องตาเป็นมันแน่นอน

ครบเครื่องทั้งฝีเท้า ประสบการณ์ และคาแรกเตอร์

เปริซิชลงเป็นตัวจริงนัดที่ 35 ในศึกลูกหนังกัลโช่ เซเรีย อา เกมปิดซีซั่นที่เจอกับซามพ์โดเรีย สตาร์โคแอตทำสกอร์ให้อินเตอร์ มิลาน ได้ในนาทีที่ 49 แต่ถูกเปลี่ยนตัวออกไปอีกสิบนาทีต่อมาเพราะบาดเจ็บน่อง เขาต้องใช้ไม้ค้ำยันหลังจบเกม แต่ผลสแกนเอ็มอาร์ไอไม่แสดงปัญหาร้ายแรง ขณะที่การตรวจร่างกายของแพทย์ทีมสเปอร์สก็ผ่านไปด้วยดี 

นอกเหนือทักษะขั้นสูงผ่านตัวเลข 10 ประตู 9 แอสซิสต์ ซึ่งทำให้เนรัซซูรี่ในซีซั่นสุดท้าย คอนเต้ยังหวังพึ่งพาประสบการณ์และบุคลิกผู้นำทั้งในสนามแข่งและสนามฝึกซ้อมของเปริซิช ที่สั่งสมมาจากการเล่นกว่า 650 นัดในระดับสโมสรและทีมชาติ พร้อมโปรไฟล์แชมป์บุนเดสลีกา 2 สมัย, แชมป์เซเรีย อา, แชมป์โคปปา อิตาเลีย และแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีก รวมถึงมีส่วนสำคัญพาโครเอเชียทะลุถึงรอบชิงชนะเลิศ เวิลด์ คัพ 2018 ซึ่งพ่ายต่อฝรั่งเศส 2-4 และเขาทำได้หนึ่งประตู

การดำรงอยู่เป็นเวลาสองปีของเปริซิชจึงเป็นเรื่องน่าติดตามทีเดียวว่า นักเตะสารพัดประโยชน์วัย 33 ปี ที่มีฝีเท้าระดับเวิลด์คลาส จะสร้างอิมแพ็คให้กับท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ มากน้อยเพียงไหน บวกกับการได้ร่วมงานกับโค้ชที่มีคู่มือการใช้งาน บางที “ลิลลี่ไวท์ส” อาจจะได้กลับเข้าสู่นัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์สโมสรก็ได้หลังจากได้เพียงรองแชมป์ปี 2019 เมื่อแพ้ต่อ ลิเวอร์พูล 0-2 

และหากเปริซิชเป็นตัวแปรกสำคัญ นั่นอาจทำให้ “สามสิบยังแจ๋ว” กลายเป็นกระแสความเชื่อที่ได้รับความนิยมอย่างมีนัยยะก็เป็นได้

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Editor)

Categories
Special Content

ทอม เวอร์เนอร์ : ไม่มีใครอยากคิดถึงวันที่ “คล็อปป์” อำลาลิเวอร์พูล

เหลืออีกเพียงไม่กี่ชั่วโมง ลิเวอร์พูล จะทำศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ กับเรอัล มาดริด ซึ่งเป็นการลุ้นแชมป์ที่ 3 ของฤดูกาลนี้ และเข้าชิงชนะเลิศถ้วยใหญ่ยุโรปเป็นครั้งที่ 3 จาก 5 ซีซั่นหลังสุด 

นับตั้งแต่กลุ่มแฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป (FSG) เข้ามาซื้อกิจการของลิเวอร์พูล เมื่อเกือบ 12 ปีก่อน ในช่วงที่สโมสรเกือบจะล้มละลาย แต่ด้วยการบริหารที่ชาญฉลาด ทำให้สถานการณ์ทางการเงินดีขึ้นเรื่อยๆ

และการเข้ามาของเจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมัน คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้สโมสรกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง คว้าแชมป์มาแล้ว 6 รายการ แถมยังตกลงต่อสัญญาอยู่คุมทีมต่อไป จนถึงปี 2026

วันนี้ SoccerSuckไข่มุกดำ ได้นำบทสัมภาษณ์ของทอม เวอร์เนอร์ ประธานสโมสรลิเวอร์พูล มาฝากกัน เพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อย ก่อนเกมนัดสำคัญในคืนวันเสาร์นี้

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

การเดินทางเกือบ 12 ปี นับตั้งแต่เข้ามาบริหารสโมสร

เกมแรกของลิเวอร์พูล ภายใต้การบริหารของกลุ่ม FSG คือเกมบุกไปแพ้เอฟเวอร์ตัน ที่กูดิสัน พาร์ค 0 – 2 เมื่อเดือนตุลาคม 2010 สถานการณ์ในตอนนั้น พวกเขาอยู่ในอันดับรองสุดท้ายของตารางคะแนน

ผ่านไปเกือบ 12 ปี ลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2021/22 กลายเป็นทีมที่ลุ้นแชมป์ 4 รายการ แบบใกล้เคียงที่สุดในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลอังกฤษ ถึงแม้จะไม่เกิดขึ้นจริงๆ แต่พวกเขามาได้ไกลมากๆ แล้ว

เวอร์เนอร์ ได้เปิดใจถึงการเข้ามาบริหารสโมสรแห่งนี้ว่า “ตอนที่เราซื้อสโมสรลิเวอร์พูล เราพยายามคิดให้ออกว่า ในช่วง 5 – 10 ปีต่อจากนี้ จะอยู่ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้กี่ปี ? เราจะติดท็อปโฟร์ได้กี่ปี ?”

“แต่ในตอนนี้ การเข้าชิงแชมเปี้ยนส์ ลีก 3 จาก 5 ปีหลังสุด มันน่าทึ่งมาก เราไม่เคยคิดมาก่อนเลย ไม่ว่าผลการแข่งขันที่ปารีสจะเป็นอย่างไร มันคือฤดูกาลที่พิเศษสุดๆ ของสโมสร เวลามันเป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว”

เกมพรีเมียร์ลีก นัดสุดท้ายของซีซั่น ลิเวอร์พูล เอาชนะวูล์ฟแฮมป์ตัน 3 – 1 แต่ไม่เพียงพอที่จะแซงแมนฯ ซิตี้คว้าแชมป์ เนื่องจากทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า พลิกเอาชนะแอสตัน วิลล่า 3 – 2 ทั้งๆ ที่ถูกนำก่อนถึง 2 ประตู

เวอร์เนอร์ กล่าวเสริมว่า “ตอนที่วิลล่ายิงประตูได้ ผมคิดว่าเรามีโอกาสคว้าแชมป์ แต่อย่างไรก็ตาม การที่ทีมได้ลุ้นจนถึงนัดสุดท้าย คือความสำเร็จที่สุดยอดแล้ว เราได้แชมป์มาแล้ว 2 รายการ และกำลังจะลุ้นแชมป์ที่ 3”

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

ความเหลื่อมล้ำทางการเงิน คืออุปสรรคสำคัญ

สิ่งหนึ่งที่ทำให้กลุ่ม FSG รู้สึกผิดหวัง นับตั้งแต่เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร คือการที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คู่แข่งสำคัญที่แย่งความสำเร็จในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ถูกลงโทษจากกรณีละเมิดกฏไฟแนนเชี่ยล แฟร์เพลย์

ข้อมูลจาก CIES Football Observatory เปิดเผยว่า ในรอบ 10 ปีหลังสุด แมนฯ ซิตี้ใช้เงินไป 1.5 พันล้านปอนด์ ซื้อขายผู้เล่นสุทธิ 842 ล้านปอนด์ ขณะที่ลิเวอร์พูล แม้จะใช้เงินไป 965 ล้านปอนด์ แต่ซื้อขายสุทธิแค่ 297 ล้านปอนด์เท่านั้น

เวอร์เนอร์ กล่าวว่า “แน่นอนว่าพวกเขา (แมนฯ ซิตี้) มีกำลังการเงินมากกว่าเรา เรากำลังแข่งขันในลีกที่ยากมาก แต่สิ่งที่เราแสดงให้เห็นมาตลอดนับตั้งแต่เข้ามาเมื่อ 12 ปีก่อน คือเราใช้จ่ายเงินอย่างยุติธรรม”

เมื่อเดือนที่แล้ว ยูฟ่าได้อนุมัติกฎควบคุมการเงินใหม่ โดยให้ทุกสโมสรขาดทุนไม่เกิน 60 ล้านยูโร ใน 3 ปีหลังสุด และให้ใช้จ่ายได้ไม่เกิน 70 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ของสโมสร โดยจะเริ่มใช้กฎใหม่นี้ในปี 2024

เวอร์เนอร์ กล่าวต่อว่า “ผมหวังว่าพรีเมียร์ลีกจะยังทำตามเจตนารมณ์ของกฎ FFP ทุกสโมสรต้องถูกควบคุม เพราะจะช่วยให้ทุกสโมสร ไม่ใช่แค่ลิเวอร์พูลเท่านั้น แข่งขันภายใต้ระบบที่ยุติธรรม และมีความยั่งยืน”

“มันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเราในการปฎิบัติตามกฎระเบียบ ไม่ว่าใครจะมีการลงทุนมหาศาลแค่ไหน แต่ถ้าทุกสโมสรอยู่ภายใต้กฎระเบียบเดียวกัน เราก็ยินดี ไม่มีปัญหาอะไร”

ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ แม้ไม่มีเงินมหาศาล

ลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2021/22 คือฤดูกาลที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร ถึงแม้จะไม่มีกลุ่มทุนเงินหนาอยู่เบื้องหลัง แต่การบริหารการเงิน และทรัพยากรภายในทีมที่ชาญฉลาด ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่

เวอร์เนอร์ กล่าวว่า “แน่นอนว่าในปีนี้ เราพิสูจน์ให้เห็นแล้ว เรามีผู้ช่วยผู้จัดการทีมที่ดีอย่างเป๊ป ลินเดอร์ส และมีหัวหน้าฝ่ายโภชนาการที่ยอดเยี่ยมอย่างโมนา เนมเมอร์ และบรรดานักเตะอยากเล่นให้กับลิเวอร์พูล”

“ตอนที่เราเข้ามาบริหารใหม่ๆ เรามีความท้าทายที่จะเซ็นสัญญากับผู้เล่น 2 – 3 คน แต่จริงๆ แล้วเราเสียนักเตะออกจากทีมไป เพราะพวกเขารู้สึกว่าลิเวอร์พูลไม่ใช่สโมสรที่จะฝากอนาคตอะไรได้”

“เราต้องใช้ความพยายามอย่างมากเลย แต่เมื่อลองมองย้อนกลับไป ก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งกับความมุ่งมั่นของเราในการตั้งหลักกันใหม่ ผลงานในสนามดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และการเงินก็ดีขึ้นมาก”

“ตอนนี้เรามีความแข็งแกร่งทั้งในและนอกสนาม สิ่งที่เราพยายามสร้างมาอย่างหนัก มันกำลังออกดอกออกผลแบบเงียบๆ และสามารถแข่งขันกับใครก็ได้แล้ว”

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของฝ่ายเทคนิคหลังจบซีซั่น

หลังจากจบเกมชิงดำแชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พบกับเรอัล มาดริด ในวันเสาร์นี้ ลิเวอร์พูลจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในฝ่ายเทคนิค ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ จะสิ้นสุดหน้าที่ผู้อำนวยการกีฬาของสโมสร

เอ็ดเวิร์ดส์ อยู่กับลิเวอร์พูลมาตั้งแต่ปี 2011 เริ่มงานจากตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ ต่อมาได้รับการเลื่อนตำแหน่งมาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค และก้าวสู่ผู้อำนวยการกีฬาในปี 2016

ผลงานที่เป็นภาพจำของเอ็ดเวิร์ดส์ คือการเป็นผู้อยู่เบื้องหลังดีลสำคัญๆ ที่มีส่วนในการสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ อาทิเช่น โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์, ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่, อลิสซง เบ็คเกอร์, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ เป็นต้น

และผู้ที่จะก้าวเข้ามารับหน้าที่นี้แทน คือ จูเลี่ยน วอร์ด ผู้ช่วยผู้อำนวยการกีฬา ซึ่งเวอร์เนอร์เชื่อว่า วอร์ดจะเป็นตัวแทนที่ยอดเยี่ยมสำหรับตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬาคนใหม่ของหงส์แดง

“ผมได้ดูจูเลี่ยนตอนที่นำหลุยส์ ดิอาซ มาร่วมทีมเมื่อเดือนมกราคม เขามีส่วนมากๆ ในการเปลี่ยนใจหลุยส์ ที่กำลังตัดสินใจย้ายไปอยู่กับท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ จนมาสร้างความแตกต่างให้กับลิเวอร์พูล”

คล็อปป์ กับผู้อยู่เบื้องหลังคนสำคัญในการต่อสัญญาใหม่

เมื่อเดือนที่แล้ว มีข่าวหนึ่งที่ทำให้สโมสรน่ากังวลใจ คืออนาคตของเจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือคนเก่ง เนื่องจากเหลือสัญญาคุมทีมอีกแค่ 2 ปี พร้อมกับเตรียมหาผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากเขา

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีส่วนสำคัญในการเกลี้ยกล่อมให้คล็อปป์ยอมอยู่กับลิเวอร์พูลต่อไป คืออุลล่า แซนด์ร็อค ภรรยาของเขา โดยเวอร์เนอร์ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง พร้อมยอมรับว่าไม่มีใครอยากเห็นคล็อปป์อำลาทีม

“ผมต้องให้เครดิตอูลล่าเลย เธอมีส่วนอย่างมากในการแนะนำให้เจอร์เก้นอยู่กับลิเวอร์พูลต่อไป ไมค์ กอร์ดอน คุยกับเขาทุกวัน และพยายามแจ้งความคืบหน้ามาโดยตลอดว่า เขากำลังพิจารณาเรื่องต่อสัญญาใหม่”

“และเมื่อเขาตัดสินใจอยู่ต่อ ผมรู้สึกโล่งทีเดียว เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อที่เขาอยู่กับสโมสรไปอีก 2 – 3 ปี ผมดีใจมากๆ เพราะคงไม่มีใครอยากนึกภาพในวันที่เขาไม่ได้เป็นผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลแล้ว”

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

อนาคต “ซาล่าห์-มาเน่” จะอยู่กับลิเวอร์พูลต่อไปหรือไม่ ?

ลิเวอร์พูล ได้ผู้เล่นใหม่มาเสริมทัพเป็นคนแรกในตลาดนักเตะช่วงซัมเมอร์นี้ คือ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ กองหน้าดาวรุ่งวัย 19 ปี จากฟูแล่ม ซึ่งจะย้ายเข้าสู่ถิ่นแอนฟิลด์อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้

แต่สำหรับ 2 ดาวยิงคนสำคัญ ทั้งโมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ และซาดิโอ มาเน่ กำลังจะหมดสัญญาในช่วงกลางปีหน้า ทางสโมสรจะเจรจากับเอเย่นต์ของนักเตะอีกครั้ง หลังจบเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก ในวันเสาร์นี้

“ผมจะไม่เปิดเผยว่า นักเตะกับเอเย่นต์คุยอะไรกันบ้าง แต่เราได้อธิบายความปรารถนาของเราแล้วว่า พวกเขาจะยังอยู่กับสโมสรนี้ต่อไป เรื่องนี้ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของจูเลี่ยน”

“ตอนนี้เรากำลังจะได้แข่งขันกับสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากสโมสรหนึ่ง หลังจากเกมที่ปารีสจบลง เราจะกลับไปคุยกันถึงอนาคตของพวกเขา” เวอร์เนอร์ กล่าวปิดท้าย

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

#SoccerSuck #SS #ไข่มุกดำ #ลิเวอร์พูล #แชมเปี้ยนส์ลีก #คล็อปป์ #ทอมเวอร์เนอร์

อ้างอิง :

– https://theathletic.com/3330723/2022/05/25/liverpool-chairman-tom-werner-jurgen-klopp/

Categories
Special Content

ย้อนรอยโมเมนต์สุดประทับใจ ก่อนศึก “หงส์ VS ชุดขาว” ชิงบิ๊กเอียร์โทรฟี่ ภาคสาม

เยอร์เกน คลอปป์ กำลังจะพาลิเวอร์พูลลงสนามนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นครั้งที่ 3 นับตั้งแต่รับตำแหน่งผู้จัดการทีมหงส์แดงในเดือนตุลาคม 2015 ต่อจากเบรนแดน ร็อดเจอร์ส โดยสองครั้งก่อนหน้าเป็นรองแชมป์ 1 สมัย แพ้เรอัล มาดริด 1-3 ในปี 2018 ที่กรุงเคียฟ ประเทศยูเครน และเป็นแชมป์ 1 สมัย ชนะท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ 2-0 ในปี 2019 ที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2022 ลิเวอร์พูลจะเผชิญหน้ากับทีมราชันชุดขาวอีกครั้งที่เมืองแซ็ง-เดอนี ประเทศฝรั่งเศส เป็นการช่วงชิงบิ๊กเอียร์โทรฟี่ครั้งที่ 3 ระหว่างสองสโมสร ซึ่งที่ผ่านมาต่างฝ่ายกำชัยชนะทีมละหนึ่งครั้งโดยการเจอกันครั้งแรกเมื่อปี1981 หงส์แดงเฉือนชนะ 1-0 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

เมื่อพลิกปูมประวัติศาสตร์จะพบเหตุการณ์ที่คล้ายซ้ำรอย ย้อนกลับไปการแข่งขันพรีเมียร์ลีกนัดสุดท้ายของฤดูกาล 2016-17ซึ่งเป็นปีที่สองในการคุมทีมของคลอปป์และต้องว่างเว้นจากทัวร์นาเมนท์สโมสรยุโรปเนื่องจากซีซั่นก่อนหน้า ลิเวอร์พูลตกไปอยู่อันดับ 8 แม้เข้าถึงนัดชิงชนะเลิศยูโรป้า ลีก แต่แพ้ต่อเซบีญ่า 1-3 ได้แค่รองแชมป์

DÉJÀ VU…คว้าตั๋ว UCL หลังชนะรองบ๊วย นัดปิดซีซั่นพรีเมียร์ลีก

วันที่ 21 พฤษภาคม 2017 ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟิลด์ถลุงทีมรองบ๊วย มิดเดิลสโบรห์ 3-0 จบซีซั่นด้วยอันดับ 4 บนตารางพรีเมียร์ลีก เฉือนอันดับ 5 อาร์เซนอล แค่คะแนนเดียวแต่ก็มากพอที่จะคว้าตั๋วแชมเปี้ยนส์ลีก แม้ต้องลงสนามรอบคัดเลือกแต่หงส์แดงยังตะลุยจนถึงนัดชิงและพ่ายต่อราชันชุดขาว

การเจอกับเรอัล มาดริด ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ลิเวอร์พูลต้องลุ้นโควต้าแชมเปี้ยนส์ลีกในนัดสุดท้ายของซีซั่น 2020-21 เพื่อได้มาซึ่งอันดับ 3 บนตารางพรีเมียร์ลีก มี 69 คะแนนจาก 38 นัด เหนือเชลซีและเลสเตอร์ 2 และ 3 คะแนนตามลำดับ

วันที่16 พฤษภาคม 2021 ฮีโร่ของลิเวอร์พูลก็คือ อลิสซง เบ็คเกอร์ ถ้าไม่ใช่เพราะศีรษะของนายประตูจอมหนึบชาวบราซิล คลอปป์และลูกทีมหงส์แดงอาจเป็นเพียงผู้ชมแมตช์แชมเปี้ยนส์ลีก ไฟนัล 2022 ก็ได้ และถ้าลิเวอร์พูลล้มยักษ์ใหญ่แดนกระทิงดุและสร้างตำนานแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกสมัยที่ 7 ได้สำเร็จ เหตุการณ์นัดปิดซีซั่นที่แล้วต้องเป็นเกร็ดประวัติศาสตร์ที่เหล่าเดอะค็อประลึกถึง

ลูกโหม่งของอลิสซง ขีดเส้นทางสู่กรุงปารีสในวันเสาร์นี้

วันนั้นบังเอิญเหลือเกิน เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน คู่แข่งทีมสุดท้ายของลิเวอร์พูล จบโปรแกรมด้วยตำแหน่งรองบ๊วยเหมือนมิดเดิลสโบรห์ ในซีซั่น 2016-17 เกมทำท่าจบลงด้วยสกอร์ 1-1 จนกระทั่งช่วงทดเวลาเจ็บผ่านไป 5 นาที ลิเวอร์พูลได้ลูกเตะมุมซึ่งน่าจะเป็นโอกาสทำประตูครั้งสุดท้ายของแมตช์ อลิสซงวิ่งหน้าเริดจากประตูฝั่งตัวเองมายังประตูฝั่งตรงข้ามเพื่อสร้างปาฏิหาริย์ด้วยการโหม่งทำประตูชัยจากลูกเตะมุมของ เทรนด์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ให้ลิเวอร์พูลเฉือนชนะ 2-1 ได้สิทธิเล่นรอบคัดเลือกของแชมเปี้ยนส์ลีกแบบฉิวเฉียด (ส่วนเหตุการณ์ครั้งนี้จะ DÉJÀ VU ซ้ำรอยแบบสมบูรณ์แบบกับปี 2018 หรือไม่ ต้องติดตามผลแข่งขันคืนวันเสาร์กับเรอัล มาดริด)

หลังจบเกม นายด่านจากเมืองกาแฟที่ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ ได้เปิดใจว่า “คุณไม่สามารถอธิบายเรื่องราวแบบนี้ได้หรอก แต่ก็นั่นแหละ นี่คือฟุตบอล”

อลิสซงเป็นผู้รักษาประตูคนที่ 6 ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่ทำสกอร์ได้ และเป็นคนแรกของสโมสรลิเวอร์พูล (นับเฉพาะแมตช์แข่งขันอย่างเป็นทางการ) ในฤดูกาล 2020-21 ชีวิตของอลิสซงมีทั้งทุกข์และสุข เขาเพิ่งสูญเสียคุณพ่อไปก่อนหน้านัดดังกล่าวไม่ถึงสามเดือน แต่สามารถเก็บคลีทชีทในบอลลีกได้ถึง 20 นัด ขณะที่สโมสรต้นสังกัดก็มีกราฟชีวิตสวิงขึ้นลง ลิเวอร์พูลยืนบนแป้นจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกในวันคริสต์มาสติดต่อกันเป็นปีที่ 3 แต่สิ้นสุดสถิติไม่แพ้ใครในบ้าน 68 นัด และโดนคู่แข่งเข้ามาขย่มคาแอนฟิลด์ 6 นัดติดต่อกัน สถานการณ์ตอนนั้นอย่าว่าลุ้นแชมป์เลย ลำพังติดท็อป-4 ยังยาก แต่หงส์กลับกลายเป็นนกฟินิกซ์ ฟื้นคืนชีพปลายซีซั่นและได้ตั๋วรอบควอลิฟายด์ของแชมเปี้ยนส์ลีกจากลูกโหม่งของอลิสซง ซึ่งคลอปป์กล่าวภายหลังว่า มันเป็นเทคนิคที่บ้าเอามากๆ เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นด้วยตาตัวเองทั้งช่วงค้าแข้งและคุมทีม

จอห์น อัคเตอร์แบร์ค โค้ชผู้รักษาประตู เป็นคนตะโกนสั่งการให้อลิสซงขึ้นไปลุยโลดกับเพลย์สุดท้ายของเกม ขณะที่นายด่านทีมชาติบราซิลพูดติดตลกว่าเห็นทีต้องฝึกซ้อมลูกนี้บ่อยครั้งขึ้นเผื่อเกิดสถานการณ์เรียกร้องขึ้นอีก

อัคเตอร์แบร์ค โค้ชผู้รักษาประตู ภายใต้ผู้จัดการทีมหงส์แดง 3 ยุค

อัคเตอร์แบร์ค หนุ่มใหญ่ชาวดัตช์วัย 50 ปี มีส่วนสำคัญในความสำเร็จของอลิสซงนับตั้งแต่ย้ายจากทีมโรม่าเข้าแอนฟิลด์ด้วยค่าตัวสูงถึง 66.8 ล้านปอนด์ในเดือนกรกฎาคม 2018 และอลิสซงเคยให้สัมภาษณ์ผ่านเว็บไซต์สโมสรเมื่อต้นซีซั่นว่า “จอห์นได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าไม่ใช่แค่โค้ชผู้รักษาประตูที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่อีกด้วย เขาช่วยให้ผมผ่านแต่ละวันด้วยความสงบและผ่อนคลาย เราเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เขาช่วยให้ผมสามารถพัฒนาตัวเองในสนาม”

หลังจากอำลาตำแหน่งผู้เล่นและโค้ชของ ทรานเมียร์ โรเวอร์ส อัคเตอร์แบร์คได้เข้ามาทำงานกับลิเวอร์พูลเมื่อเดือนมิถุนายน 2009 ในฐานะโค้ชผู้รักษาประตูของทีมสำรองและอะคาเดมี่ ก่อนถูกโปรโมทขึ้นสตาฟฟ์โค้ชทีมชุดใหญ่กลางปี 2011 จนถึงปัจจุบัน ได้ร่วมงานกับผู้จัดการทีม 3 คนคือ เคนนี่ เดลกลิช, ร็อดเจอร์ส และ คล็อปป์

5 เกมถ้วยยุโรป บรรยากาศฟินสุดๆที่แอนฟิลด์

แน่นอนว่า อัคเตอร์แบร์คมีโอกาสสัมผัสเกมของทีมหงส์แดงจากข้างสนามเป็นเวลา 11 ปี และต่อไปนี้เป็น 5 แมตช์บอลถ้วยยุโรปของลิเวอร์พูลที่แข่งในสนามแอนฟิลด์ซึ่งโค้ชนายทวารชาวดัตช์ประทับใจบรรยากาศมากที่สุดในยุคของคลอปป์

ลิเวอร์พูล 2 แมนฯยูไนเต็ด 0 (ยูโรป้า ลีก 2016 รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก)

เป็นศึกแดงเดือดนัดแรกบนสังเวียนระดับทวีปซึ่งไม่สร้างความผิดหวังให้กับบรรดาเดอะค็อปด้วยสกอร์ของ ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ และ โรแบร์โต ฟีร์มิโน่ 

“เมื่อเข้ามาอยู่ที่ลิเวอร์พูล คุณใช้เวลาไม่นานที่จะรู้ว่าเกมที่ยิ่งใหญ่คือนัดไหน ดังนั้นการได้เจอพวกเขาในเกมยุโรปจึงยิ่งใหญ่แบบสุดๆ บรรยากาศไม่ได้ร้อนแรงแค่ในสนามแต่รวมถึงข้างสนามด้วย นัดนี้ผมอยู่บนเมนสแตนด์ ยังจำได้แหกปากตะโกนกันขนาดไหนตอนที่เราทำประตูแรกได้ บรรยากาศของแฟนบอลเหลือเชื่อจริงๆ ซึ่งช่วยยกระดับฟอร์มการเล่นของทีมทางอ้อมด้วย”

ลิเวอร์พูล 4 ดอร์ทมุนด์ 3 (ยูโรป้า ลีก 2016 รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดสอง)

เดยัน ลอฟเรน ทำประตูที่ 4 ช่วงทดเวลาเจ็บ ส่งให้ลิเวอร์พูลเข้ารอบรองชนะเลิศด้วยสกอร์รวมสองนัด 5-4 หลังจากตามอยู่สองประตูก่อนหน้านี้ 9 นาที

“ผมถึงกับขนลุกเลยกับเสียงร้องเพลงและการตะโกนของแฟนบอล ซึ่งแน่นอน มันพลักดันให้การเล่นของนักเตะดีขึ้น ช่วยให้พวกเขาได้รับแรงกระตุ้น จิตวิญญาณ และทัศนคติที่ดีระหว่างการแข่งขัน แล้วผมไม่เคยเห็นเจ้านายเป็นอะไรแบบนั้น เหมือนเขามีความกระหายเป็นอย่างมากที่จะพาทีมประสบความสำเร็จ”

ลิเวอร์พูล 3 แมนฯซิตี้ 0 (แชมเปี้ยนส์ ลีก 2018 รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดแรก)

 ลิเวอร์พูลใช้เวลาเพียง 19 นาทีในการขึ้นนำ 3-0 จากสกอร์ของ อเล็กซ์ ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ และ ซาดิโฮ มาเน่

“คืนก่อนหน้าการแข่งขัน ผมนอนไม่หลับเอาเสียเลยเพราะมัวแต่กังวลว่าอะไรจะเกิดขึ้นได้บ้างทั้งทางดีและร้าย ผมจะลดความกดดันของผู้รักษาประตูได้ไหม เขาจะเล่นได้ดีไหม และหวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี อย่างที่รู้กันว่าซิตี้เป็นทีมที่ยอดเยี่ยมและโชว์ฟอร์มได้ดีมาก พวกเขาดูเหมือนจะเหนือกว่าเราช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่แล้วทุกอย่างก็เข้าทางเราและทำให้อยู่ในสถานการณ์ได้เปรียบสำหรับนัดสอง”

ลิเวอร์พูล 5 โรม่า 2 (แชมเปี้ยนส์ ลีก 2018 รอบรองชนะเลิศ นัดแรก)

ขอบคุณภาพจาก  https://www.taiwannews.com.tw/en/news/3413468

เกมนี้ อลิสซง ซึ่งขณะนั้นอยู่ในทีมโรม่า ได้สัมผัสบรรยากาศในแอนฟิลด์เป็นครั้งแรก ก่อนที่จะเรียกสนามนี้ว่าบ้านอีกสามเดือนต่อมา แนวรุกทั้งสามต่างมีชื่อบนสกอร์บอร์ด ซาลาห์ 2, มาเน่ 1 และ ฟีร์มิโน่ 2 ลิเวอร์พูลขึ้นโด่ง 5-0 ในนาทีที่ 69 มากพอที่จะทำให้ความปราชัย 2-4 ที่กรุงโรม ไม่สามารถขวางเส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศก่อนเป็นฝ่ายพ่ายต่อเรอัล มาดริด

“สัมผัสได้ถึงบรรยากาศความเป็นบิ๊กแมตช์ บอลถ้วยยุโรปเป็นเกมที่พิเศษเสมอ สำหรับเอลี่ (อลิสซง) ผมติดตามเขามาเป็นเวลานานแล้วตั้งแต่ปี 2012 สมัยอยู่กับทีมอินเตอร์นาซิอองนาล และเป็นโอกาสดีที่ได้เห็นเขาเล่น จริงอยู่นัดนี้เขาเสียประตูเยอะแต่เขาทำอะไรไม่ได้มากนักหรอก ทีมเราเล่นได้เหนือชั้นจริงๆ”

“ผมเห็นเอลี่เล่นในสนามกับตาตัวเองครั้งแรกที่สหรัฐอเมริกาเป็นแมตช์อุ่นเครื่องกับโรม่าที่สหรัฐอเมริกา ก่อนหน้านี้ผมเคยพูดถึงเอลี่ให้เจ้านายฟัง เขาเริ่มชอบเอลี่จากนัดนั้น ก่อนเซ็นสัญญากับเอลี่ เราคุยกับผู้รักษาประตูคนอื่นด้วยเช่น มานูเอล นอยเออร์ ทีมชาลเก้, ซาเมียร์ ฮันดาโนวิช ทีมอูดิเนเซ่ และ มาร์ก อังเดร แทร์ สเตเก้น ทีมโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค”

“ตอนนั้น เราได้งบประมาณมาเยอะ เจ้าของสโมสรก็ต้องการให้เราได้นายทวารฝีมือดีที่สุด ผมบอกกับบอสส์ว่าเขา (อลิสซง) เป็นคนเดียวที่ผมยอมจ่ายเงินมหาศาลเพื่อซื้อเข้ามา บอสส์เป็นคนตัดสินใจเอง ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีเหลือเชื่อ”

ลิเวอร์พูล 4 บาร์เซโลน่า 0 (แชมเปี้ยนส์ ลีก 2019 รอบรองชนะเลิศ นัดสอง)

แม้ขาดผู้เล่นสำคัญถึงสองคนในการเจอกับบิ๊กทีมทวีปยุโรป แต่ตัวเลขสกอร์ที่ออกมากลับขาดลอยเหลือเชื่อหลังจาก ดิว็อค โอริกี้ สังหารประตูที่ 4 ทำให้สกอร์รวมสองนัดแซงหน้าเป็น 4-3 ลอยลำเข้าไปชิงถ้วยหูใหญ่กับท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์

“เราไม่มีบ็อบบี้กับโม และชากิรีลงตัวจริง ตอนนั้นใครต่างกาชื่อเราออกไปจากทัวร์นาเมนท์แล้วเมื่อมองผลแข่งขันนัดเยือนเกมแรก แต่จากข้างสนาม ผมเห็นว่าเราต้องยิงประตูได้ในไม่ช้า จากนั้น 2-3 ประตูก็เกิดขึ้น”

“เจ้านายพูดว่า เขารู้ดีว่าทุกคนตัดชื่อเราออกไปแล้ว แต่เขาศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวนักเตะเสมอ นั่นจึงทำให้เรื่องราวยิ่งใหญ่เกิดขึ้นที่เราสามารถสร้างประวัติศาสตร์เพื่อให้ลูกหลานได้รับรู้”

“ระหว่างการประชุมทีม เจ้านายพูดว่า ถ้าทีมไหนสักทีมทำสำเร็จ หนึ่งในนั้นต้องเป็นเรา ผมมั่นใจว่าทุกคนในนั้นต้องจำคำพูดปลุกเร้าของเจ้านายได้แน่นอน”

อ้างอิง : 

https://www.thisisanfield.com/2022/05/the-goal-that-brought-us-back-how-one-alisson-header-led-liverpool-to-paris/

https://www.thisisanfield.com/2022/04/anfields-5-best-european-nights-under-jurgen-klopp-as-told-by-john-achterberg/

Categories
Special Content

วิเคราะห์ “ลิเวอร์พูล” กับการชนะดวลจุดโทษ เกมชิงดำเอฟเอ คัพ

#SSxKMD | เบื้องหลังความสำเร็จของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล กับ เชลซี ที่สู้กันลืมตายจนต้องลงเอยด้วยการดวลจุดโทษในฟุตบอล เอฟเอ คัพ ที่ผ่านมา สู่การชิงชัยลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกนัดสุดท้ายในวันพรุ่งนี้ จะเป็นอย่างไร

เมื่อลิเวอร์พูล ย้ำชัยเหนือเชลซีอีกครั้ง ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยของอังกฤษ 2 รายการติดต่อกัน ทั้งคาราบาว คัพ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และเอฟเอ คัพ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ ชนะการดวลจุดโทษทั้ง 2 ถ้วย โดยใช้นักเตะรวมกันทั้งหมด 18 คน ยิงเข้าถึง 17 คน มีเพียงซาดิโอ มาเน่ คนเดียวเท่านั้น ที่สังหารไม่เข้าในเอฟเอ คัพ

แล้วเคล็ดลับสู่ชัยชนะการดวลเป้าของ “หงส์แดง” คืออะไร ? วันนี้ SoccerSuckไข่มุกดำ ได้นำบทวิเคราะห์ของแกร์ จอร์เดต์ นักจิตวิทยาฟุตบอล มาขยายให้ฟังกันครับ

ขอบคุณภาพ : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

พร้อมเป็นคนแรกมักจะได้เปรียบ

หลังจากลงเตะ 120 นาที ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยแล้ว ยังหาผู้ชนะไม่ได้ สิ่งแรกที่ผู้จัดการทีมจะต้องทำคือ สื่อสารกับนักเตะภายในทีม เพื่อคัดเลือก 5 คนแรก ออกมาดวลจุดโทษ

ดูเหมือนว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ จะทำได้ดีกว่าโธมัส ทูเคิ่ลเป็นอย่างมาก โดยคล็อปป์ได้พูดคุยกับนักเตะอย่างเป็นกันเอง ใช้เวลาประชุมทีมไม่ถึง 2 นาที ก็พร้อมแล้วสำหรับเกมวัดใจระยะ 12 หลา

จอร์เดต์ พูดถึงประเด็นนี้ว่า “สิ่งที่คล็อปป์และลิเวอร์พูลทำคือตัวอย่าง พวกเขาใช้เวลาไม่นานในการปลุกใจลูกทีม ผมเชื่อว่าการใช้เวลาประชุมทีมที่รวดเร็ว คือการสร้างความกดดันให้กับเชลซี”

นายทวารช่วยให้นักเตะมีสมาธิ

อลิสสัน เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูชาวบราซิล ได้นำลูกบอลมาให้เพื่อนร่วมทีมทุกคนที่ได้รับหน้าที่สังหารจุดโทษ เขาได้ทำเช่นเดียวกับที่ควีวีน เคลเลเฮอร์ นายทวารมือสอง ในนัดชิงชนะเลิศลีก คัพ

หลายคนอาจจะไม่ทราบเลยว่า การที่อลิสซง และเคลเลเฮอร์ ได้ทำแบบนั้น มันคือแท็กติกที่ช่วยให้เพื่อนร่วมทีมหงส์แดงมีสมาธิ ก่อนเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับจุดโทษระยะ 12 หลาอย่างมั่นใจ

จอร์เดต์ มองว่า “มันไม่ใช่แค่การส่งมอบบอลธรรมดาๆ การยืนปิดกั้นสายตาระหว่างผู้รักษาประตูฝ่ายตรงข้าม กับผู้ยิงจุดโทษฝั่งตัวเอง เป็นเกมจิตวิทยาที่คู่แข่งไม่อาจทราบได้เลย”

ขอบคุณภาพ : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

ลำดับการยิงจุดโทษก็สำคัญ

ผู้สังหารจุดโทษ 5 คนแรกของลิเวอร์พูล ในนัดชิงดำคาราบาว คัพ ประกอบด้วยเจมส์ มิลเนอร์, ฟาบินโญ่, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และโมฮัมเหม็ด ซาลาห์

แต่ในเกมชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ไม่มีทั้งฟาบินโญ่, ฟาน ไดค์ กับซาลาห์ที่บาดเจ็บ โดยมิลเนอร์ เป็นผู้รับหน้าที่คนแรกเช่นกัน และยิงเข้าไป ซึ่งถือว่ากดดันไม่น้อย เพราะมีผลกับคนต่อๆ ไปด้วย

จอร์เดต์ กล่าวว่า “นักเตะที่มีสถิติการยิงจุดโทษที่ดี มักจะได้รับเลือกให้ยิงเป็นคนแรก และมิลเนอร์ก็เริ่มต้นได้ดี มันสมเหตุสมผลแล้วที่เขาได้เริ่มต้น เพราะมีผลงานที่ดีกว่านักเตะคนอื่นๆ”

ขอบคุณภาพ : https://twitter.com/ThaiLFC

จดจ่อกับสิ่งที่ตัวเองทำให้เต็มที่

หลังจากเซซาร์ อัสปิลิกวยต้า ผู้สังหารจุดโทษคนที่ 2 ของเชลซียิงพลาด นั่นคือโอกาสทองของติอาโก้ อัลคันทาร่า ที่จะทำให้ลิเวอร์พูลพลิกขึ้นนำเป็นครั้งแรก เพื่อกุมความได้เปรียบเอาไว้ก่อน

ติอาโก้ มีการเรียกพลังก่อนที่จะยิงจุดโทษ จากนั้นวิ่ง 3 ก้าวเข้าหาบอล มีการหยุดชะงักหนึ่งจังหวะเพียงเสี้ยววินาที รอให้เอดูอาร์ เมนดี้ เสียหลัก ก่อนซัดไปทางซ้ายมือของตัวเอง เข้าประตูไป

จอร์เดต์ กล่าวว่า “ติอาโก้เป็นนักเตะที่มีประสิทธิภาพมาก เมื่อผมเห็นเขายิงจุดโทษ ผมรู้สึกได้เลยว่าเขามุ่งมั่น และทุ่มเทในสิ่งที่เขาทำอย่างมาก เขาทำทุกอย่างเพื่อส่งบอลเข้าประตูให้ได้”

“เมนดี้” ไม่สามารถทำลายสมาธิคู่แข่ง

เอดูอาร์ เมนดี้ นายทวารเชลซี พยายามที่จะทำลายสมาธิการยิงจุดโทษของนักเตะลิเวอร์พูล เช่นการขยับตัวไปมาอยู่หลายครั้ง แต่ต้องยอมรับว่าแท็กติกของเมนดี้ หยุดหงส์แดงไม่ได้จริงๆ

จอร์เดต์ กล่าวว่า “เมนดี้พยายามเข้าหานักเตะลิเวอร์พูลในจังหวะยิงจุดโทษ และพยายามทำตัวให้กระฉับกระเฉงในเวลานั้น แต่ทำอะไรคู่แข่งไม่ได้เลย และเขาไม่ได้มีสถิติเซฟจุดโทษที่ดีอีกด้วย”

“แม้ว่าเขาจะเป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในการเล่นแบบโอเพ่นเพลย์ แต่การรับมือกับจุดโทษ เขาไม่ค่อยมีความมั่นใจมากเหมือนที่ผู้รักษาประตูคนอื่นมี”

ขอบคุณภาพ : https://twitter.com/LFC_Da4ry

อย่าเพิ่งดีใจจนกว่าจะเป็นผู้ชนะ

เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ผู้สังหารจุดโทษคนที่ 4 และยิงไม่พลาด ซึ่งเจ้าตัวไม่แสดงอาการเฉลิมฉลองหลังทำประตูได้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการโยนความกดดันให้กับเชลซีมากขึ้นด้วย

จอร์เดต์ กล่าวว่า “แน่นอน ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายสำหรับนักเตะ ที่จะฉลองหลังทำประตูได้เมื่ออยู่ต่อหน้าแฟนบอลของตัวเอง ถ้ามีโอกาสที่จะเป็นผู้ชนะมากขึ้น ก็ต้องดีใจเป็นเรื่องปกติ”

“แต่ทุกสิ่งทุกอย่างยังไม่มีอะไรแน่นอน สถานการณ์สามารถพลิกผันได้ตลอดเวลา จนกว่าจะแน่ใจแล้วว่าเป็นผู้ชนะจริงๆ”

ปลอบใจ “มาเน่” ในวันที่ผิดพลาด

ซาดิโอ มาเน่ คือนักเตะลำดับที่ 5 ที่เป็นผู้สังหารจุดโทษ โดยหวังที่จะซ้ำรอยนัดชิงชนะเลิศแอฟริกัน คัพ กับฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ที่เจ้าตัวรับหน้าที่นี้เป็นคนสุดท้าย และเซเนกัลเป็นผู้ชนะทั้ง 2 ครั้ง

แต่ในแมตช์ชิงดำเอฟเอ คัพ ดาวเตะเซเนกัล เหมือนจะมีอาการประหม่าก่อนยิงจุดโทษ และในที่สุดเขาก็ยิงไปติดเซฟนายทวารเชลซี ทำให้การดวลจุดโทษต้องยืดเยื้อต่อไป ด้วยเงื่อนไขแบบ “ซัดเดน เดธ”

จอร์เดต์ กล่าวว่า “เมื่อมีนักเตะคนหนึ่งกำลังสูญเสียความมั่นใจหลังยิงจุดโทษพลาด เพื่อนร่วมทีมต้องมีวิธีสื่อสารกับนักเตะคนนั้นในทางสร้างสรรค์ทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อทำให้เขายังรู้สึกดีต่อไป”

การเอาชนะความกดดันของ “โจต้า”

5 คนแรกของทั้ง 2 ฝั่ง สกอร์ยังเสมอกัน ดิเอโก้ โจต้า จึงเป็นผู้ยิงจุดโทษคนที่ 6 หลังจากฮาคิม ซิเย็ค ยิงขึ้นนำไปก่อน ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ถ้ายิงพลาด ส่งมอบแชมป์ให้เชลซีอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ดาวยิงทีมชาติโปรตุเกส ก็สามารถเอาชนะความกดดันของตัวเองได้สำเร็จ สังหารด้วยเท้าขวา บอลพุ่งไปยังมุมบนด้านขวาตุงตาข่าย ช่วยให้ลิเวอร์พูลยังอยู่ในเกมต่อไป

จอร์เดต์ กล่าวว่า “ผมประทับใจในความสามารถของโจต้ามาก ไม่ใช่แค่ยิงประตู แต่เป็นเพราะเขารู้วิธีการรับมือกับความกดดันได้ดี มีนักเตะ 60 เปอร์เซ็นต์ ที่ทำประตูได้ในช่วงเวลาที่ยากแบบนี้”

ขอบคุณภาพ : https://twitter.com/ThaiLFC

“สเกาท์เซอร์ กรีก” ดวลเป้าครั้งแรกในชีวิต

คอสตาส ซิมิคาส แบ็กซ้ายทีมชาติกรีซ เป็นผู้รับหน้าที่สังหารคนที่ 7 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ตัวเขาได้สัมผัสบรรยากาศการดวลจุดโทษตัดสิน เพื่อพาลิเวอร์พูล คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ สมัยที่ 8

หลังจากที่เมสัน เมาท์ สังหารพลาดไปแล้ว นั่นหมายความว่า ถ้าซิมิคาสไม่พลาด ลิเวอร์พูลจะเป็นผู้ชนะทันที และ “สเกาท์เซอร์ กรีก” ยิงด้วยเท้าซ้าย บอลพุ่งไปทางด้านซ้ายมือเข้าไป

“ถ้าเขายิงลูกนั้นพลาด เกมยังต้องยืดเยื้อต่อไป แต่หากยิงเข้าไป ก็ชนะทันที เห็นได้ชัดเลยว่ามีความกดดันสูง แต่ก็สามารถนำแรงกดดัน มาเป็นพลังในด้านบวกเช่นกัน” จอร์เดต์ สรุปปิดท้าย

“ประสาทวิทยา” เบื้องหลังความสำเร็จ

หนึ่งในเคล็ดลับชองลิเวอร์พูล สู่การเอาชนะจุดโทษทั้งคาราบาว คัพ และเอฟเอ คัพ คือ Neuro11 บริษัทด้านประสาทวิทยา ที่เข้ามาช่วยพัฒนาสถิติการยิงจุดโทษให้ดีขึ้น

สำหรับ Neuro11 ก่อตั้งในประเทศเยอรมนี โดยดร.นิคลาส ฮอยเลอร์ เน้นการพัฒนาในแขนงประสาทวิทยาโดยเฉพาะ ซึ่งลิเวอร์พูลได้เข้าร่วมกับริษัทนี้ ตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา

Neuro11 เป็นเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์การทำงานของสมองสำหรับนักเตะในการเล่นลูกนิ่ง เช่น ความเครียดในการเล่นจังหวะหนึ่ง, ท่าที่เหมาะสมที่สุดเมื่อต้องยิงฟรีคิก เตะมุม หรือจุดโทษ

เมื่อค้นพบจุดสมดุลแล้ว ช่วยให้สมองของนักเตะผ่อนคลาย มีประสิทธิภาพตามมา ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ ลิเวอร์พูลได้ประตูจากลูกเซ็ตพีซในฤดูกาลนี้เกือบๆ 30 เปอร์เซ็นต์ เลยทีเดียว

เจอร์เก้น คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์หลังพาทีมคว้าแชมป์เอฟอ คัพ ว่า “Neuro 11 ได้ติดต่อมาหาเรามานานแล้ว และเสนอไอเดียเรื่องประสาทวิทยา เราก็ตัดสินใจลองดู พวกเขาจึงมีส่วนกับความสำเร็จในครั้งนี้”

หลังจากลงเตะพรีเมียร์ลีกในนัดสุดท้าย ลิเวอร์พูลยังมีคิวเตะนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ปารีส ถ้าต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษอีกครั้ง หลายคนเชื่อว่าพวกเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแน่นอน

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

– https://theathletic.com/3314138/2022/05/17/liverpool-chelsea-fa-cup-victory/

– https://twitter.com/GeirJordet/status/1525755974346321921

https://neuro11.de/wp-content/uploads/2022/02/220218_The_Times_newpaper.pdf

https://www.footballtransfers.com/en/transfer-news/uk-fa-cup/2022/05/klopp-explains-how-neuroscience-company-helped-liverpool-win-fa-cup-final

Categories
Special Content

หลุยส์ ดิอาซ ยกระดับกองหน้าหงส์แดงจาก FAB THREE เป็น FAB FIVE

ต้องถูกจัดให้ติดหนึ่งในสุดยอดการซื้อขายที่คุ้มค่ามากที่สุดอันดับต้นๆในประวัติศาสตร์ตลาดนักเตะฤดูหนาวนับตั้งแต่พรีเมียร์ลีกเริ่มใช้ระบบ transfer window ในฤดูกาล 2002-03 อย่างแน่นอนสำหรับ หลุยส์ ดิอาซ ปีกและกองหน้าฝั่งซ้ายของ ลิเวอร์พูล ซึ่งแทบไม่ต้องใช้เวลาปรับตัวกับชีวิตใหม่ในถิ่นแอนฟิลด์เลย สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงอย่างรวดเร็วและช่วยให้หงส์แดงชู 2 ถ้วยแชมป์ภายในเวลาสามเดือนครึ่งแรก คาราวบาว คัพ และ เอฟเอ คัพ

เยอร์เกน คลอปป์ เคยให้สัมภาษณ์ถึงอดีตปีกทีมปอร์โตว่า “หลุยส์เป็นผู้เล่นที่โดดเด่น เป็นนักเตะในแบบที่เรามองหามานานแล้ว ตอนที่แข่งกับเขาต้นซีซั่น เรารู้ทันทีว่าเขาเป็นตัวอันตรายและรวดเร็วขนาดไหน เขาเข้ามาช่วยยกระดับทีมของเราอย่างแน่นอน”

ขอบคุณภาพจาก  https://www.thesun.co.uk/sport/football/17598470/luis-diaz-liverpool-tottenham-transfer/

“สเปอร์ส” ช่วยกระตุ้นให้คลอปป์เร่งซื้อดิอาซเร็วขึ้นกว่าครึ่งปี

ดีลนี้เหล่า เดอะ ค็อป ต้องให้เครดิตท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ เพราะคลอปป์อยากได้ตัวปีกวัย 25 ปีทีมชาติโคลอมเบียเพราะประทับใจฟอร์มตอนเจอ เอฟซี ปอร์โต ในแชมเปี้ยนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่ม และตั้งใจเปิดโต๊ะเจรจาช่วงตลาดซัมเมอร์กลางปี แต่พอรู้ข่าวทีมไก่เดือยทองสนใจดิอาซระดับเอาแน่ คลอปป์จึงเร่งเครื่องปาดหน้าเค้กไฮแจ็คดิอาซจากลีกโปรตุเกสด้วยสัญญา5 ปี เมื่อวันที่ 30 มกราคม จ่ายค่าตัว 37.5 ล้านปอนด์ บวกโบนัสแอดออน 12.5 ล้านปอนด์

พ่อของดิอาซเปิดเผยภายหลังว่า “ท็อตแนมสนใจลูกชายของผมจริงๆ โรมาก็อีกหนึ่งทีม แต่พวกเขาลังเลมากไปและปล่อยให้ลิเวอร์พูลเข้ามา ลิเวอร์พูลเร็วกว่าสองทีม พวกเขาต้องการหลุยส์และโฉบตัวไป”

แม้ดิอาซเพิ่งเข้าประเทศอังกฤษได้ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์เนื่องจากเสียเวลาเคลียร์ปัญหาเวิร์คเพอร์มิท คลอปป์ได้รีบใช้งานเขาอีกสองวันต่อมา ส่งลงสนามแทน เคอร์ติส โจนส์ ในนาทีที่ 58 ของ เอฟเอ คัพ รอบ 4 ซึ่งลิเวอร์พูลชนะคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ 3-1 โดยดิอาซทำแอสซิสต์จากสกอร์ของ ทาคุมิ มินามิโนะ

19 กุมภาพันธ์ ดิอาซที่เพิ่งลงตัวจริงบอลพรีเมียร์ลีกเป็นนัดที่สอง เบิกสกอร์แรกในสีเสื้อลิเวอร์พูลได้ ทำประตูที่สามให้ต้นสังกัดชนะนอริช ซิตี้ 3-1 จากนั้นไม่ถึงสองสัปดาห์ เขาเป็นหนึ่งในขุนพล 11 คนแรกชุดแชมป์ คาราบาว คัพ 2022 และล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ยังได้รับเลือกให้เป็นแมนออฟเดอะแมตช์ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ 2022

ดิอาซยังมีโอกาสลุ้นแชมป์กับลิเวอร์พูลอีกสองรายการคือพรีเมียร์ลีกและแชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งมีคิวเตะรอบชิงชนะเลิศกับ เรอัล มาดริด ในวันที่ 28 พฤษภาคม โดยตอนนี้ ดิอาซมีผลงานกับลิเวอร์พูล 24 นัด 6 ประตู คลอปป์ไม่ใช้งานดิอาซแค่สองนัดเท่านั้น

ขอบคุณภาพจาก https://www.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

หงส์ขึ้นนำพรีเมียร์ลีกหากคิดผลแข่งช่วงดิอาซร่วมทีม

หากนับผลแข่งขันเฉพาะเกมพรีเมียร์ลีกตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ กับ เลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งเป็นนัดแรกในยูนิฟอร์มหงส์แดงของดิอาซจนถึงเกมล่าสุดของลิเวอร์พูลที่บุกไปเฉือน แอสตัน วิลล่า 2-1 ลิเวอร์พูลจะมี 38 คะแนนจาก 14 นัด มากที่สุดในพรีเมียร์ลีก ทิ้งห่างอันดับสอง อาร์เซนอล ที่มี 30 คะแนน (14 นัด) ส่วน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รั้งอันดับสาม มี 26 คะแนน (11 นัด) เท่ากับอันดับสี่ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ (14 นัด) แต่ผลต่างสกอร์ดีกว่า 6 ประตู นั่นแสดงให้เห็นถึงลิเวอร์พูลได้รับอิมแพ็คมากเพียงใดหลังจากได้ดิอาซ

ริโอ เฟอร์ดินานด์ ตำนานเซ็นเตอร์แบ็คของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยพูดถึงดิอาซว่า “ดิอาซเป็นตัวสร้างความแตกต่างให้กับทีม มีชั้นเชิงที่สามารถดวลตัวต่อได้เหนือชั้น การเลี้ยงบอลของเขาทำให้กองหลังต้องปวดหัวและอาจช็อคกับลูกเล่นที่เจอ เขาเป็นนักเตะที่มหัศจรรย์ สำหรับผมแล้ว ดิอาซเป็นหนึ่งในการเซ็นสัญญายอดเยี่ยมแห่งปี เพื่อนร่วมทีมต้องรักเขาและพลังงานที่เขาส่งออกมาบนสนาม”

ดิอาซติดอันดับ 10 ดีลการซื้อสุดคุ้มค่าของคลอปป์

ราวกลางเดือนมีนาคม planetfootball ได้วิเคราะห์ 25 อันดับการเซ็นสัญญายอดเยี่ยมของคลอปป์นับตั้งแต่คุมทีมหงส์แดงในเดือนตุลาคม 2015 ปรากฏว่า ดิอาซถูกจัดให้อยู่อันดับสิบ ซึ่งเป็นการประเมินค่าที่สูงมากจากการเข้ามาอยู่ถิ่นแอนฟิลด์เพียงหนึ่งเดือนครึ่ง ลงสนาม 11 นัด ทำ 2 ประตู ซึ่งหากปีกทีมชาติโคลอมเบียยังรักษาฟอร์มเก่งได้อย่างต่อเนื่องตลอด 3-4 ปีข้างหน้า อันดับของเขาคงเลื่อนขึ้นสูงระดับท็อป-5 ได้ไม่ยาก ซึ่งตอนนี้ โม ซาลาห์ รั้งอันดับหนึ่งตามด้วย เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, แอนดี้ โรเบิร์ตสัน, ซาดิโอ มาเน่ และ อลิสซง เบ็คเกอร์

เมื่อครั้งชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ลีก 2019 และ พรีเมียร์ลีก 2020 ลิเวอร์พูลสร้างความยิ่งใหญ่ด้วยกองหน้า Fab Three แต่หลังการเข้ามาของ ดีโอโก้ โซต้า ในเดือนกันยายน 2020 ตามด้วยดิอาซ ทำให้คลอปป์มีแผงหน้าระดับ Fab Five ซึ่ง ราล์ฟ รังนิก ผู้จัดการทีมชั่วคราวของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งตกเป็นข่าวอยากได้ดิอาซในเดือนมกราคม ยังเคยเสนอแนะบอร์ดบริหารให้ซื้อกองหน้าสไตล์ โมเดิร์น สไตรเกอร์ ระดับท็อปเข้ามาอย่างน้อยสองคน เพื่อเลือกใช้งานได้หลากหลายและสะดวกต่อการโรเตชั่นเหมือนกับทีมหงส์แดงและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มีกองหน้าสมัยใหม่ฝีเท้ายอดเยี่ยมถึงห้าคน

ซีซั่นที่แล้ว ซึ่งลิเวอร์พูลเสียถ้วยพรีเมียร์ลีกคืนให้กับทีมเรือใบสีฟ้า มีคำถามขึ้นมาว่าลิเวอร์พูลจะเป็นอย่างไรหากขาด ซาลาห์, มาเน่ และ โรแบร์โต ฟีร์มิโน่ แต่คำตอบก็ชัดเจนแล้วเมื่อคลอปป์ได้โซต้าและดิอาซเข้ามา ซึ่งยังช่วยให้บรรดาเดอะ ค็อป รู้สึกอุ่นใจมากขึ้นกับสถานการณ์ที่ Fab Three กำลังจะหมดสัญญาหลังสิ้นสุดฤดูกาลหน้า

ดิอาซช่วยให้หงส์อุ่นใจหากเสียมาเน่หรือซาลาห์

โอกาสที่ลิเวอร์พูลจะเสีย Fab Three คนใดคนหนึ่งหรือกระทั่งสองคนในตลาดซัมเมอร์ปีนี้มีความเป็นไปได้สูง ซาลาห์เรียกร้องค่าเหนื่อยมากขึ้น ส่วนมาเน่ไม่คิดย้ายออกแต่สโมสรรอจบซีซั่นนี้ก่อนจึงจะหยิบสัญญาฉบับใหม่ขึ้นมาคุยกับโต๊ะ

มีรายงานว่า มาเน่ ดาราทีมชาติเซเนกัล ต้องการค่าเหนื่อย 250,000 – 300,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งจะทำให้เขาเป็นนักเตะที่รับค่าเหนื่อยสูงสุดในลิเวอร์พูลเว้นเสียแต่กลุ่มทุน เฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ป จะยอมอัพค่าเหนื่อยให้ซาลาห์ขึ้นเป็น 400,000 ปอนด์ตามที่สตาร์ทีมชาติอียิปต์เรียกร้อง ซึ่งดูเหมือนว่าไม่น่าเป็นไปได้ นั่นเท่ากับว่าลิเวอร์พูลอาจจำใจต้องปล่อยซาลาห์หรือมาเน่ออกไป

ผู้สันทัดกรณีมองว่า ลิเวอร์พูลอาจเลือกมาเน่ ซึ่งประเมินค่าตัวไว้ที่ 50-80 ล้านปอนด์ แล้วนำเงินไปซื้อกองหน้าที่อายุอ่อนกว่าและถูกกว่าทั้งค่าตัวและค่าเหนื่อย พร้อมกับลุ้นให้ดิอาซหรือโซต้าสามารถก้าวขึ้นมาแบกภาระผลิตสกอร์อย่างต่ำ 20ประตูต่อซีซั่น โดยการเข้ามาของโซต้าและดิอาซทำให้ตอนนี้คลอปป์ไม่จำเป็นต้องมีซาลาห์หรือมาเน่มากเทียบกับสถานการณ์หกเดือนก่อนหน้านี้ ขณะที่บอร์ดบริหารก็ดูเหมือนกุมความได้เปรียบบนโต๊ะเจรจากับดารากองหน้าทั้งสองคน

แน่นอนว่า การเซ็นสัญญากับดิอาซในตลาดเดือนมกราคมช่วยให้คลอปป์หายใจหายคอโล่งขึ้นกับปัญหากองหน้า โชคดีที่ทีมสเปอร์สช่วยเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้กุนซือชาวเยอรมันเลื่อนคิวเซ็นสัญญาเร็วขึ้นกว่าครึ่งปี “ผมดีใจมากที่เราสามารถปิดดีลนี้ได้” คลอปป์เปิดใจเมื่อครั้งเพิ่งได้ตัวปีกวัย 25 ปีอย่างเป็นทางการ

อะไรที่ทำให้คลอปป์ต้องการดิอาซมากขนาดนั้นหลังเห็นฟอร์มจากข้างสนามในเกมปะทะกับปอร์โต 2 นัดช่วงต้นฤดูกาล

คลอปป์เห็นความอันตรายของดิอาซในเสื้อปอร์โต

ดิอาซเป็นปีกซ้ายที่เล่นบอลด้วยเท้าขวา มีความคล่องแคล่วว่องไวและเคลื่อนไหวตัวได้ชาญฉลาด บ่อยครั้งขณะที่เติมเกมรุกทางฝั่งซ้าย เขาจะสปีดหนีกองหลังวิ่งเข้าตรงกลางในตำแหน่งศูนย์หน้าเพื่อรอรับบอลที่เพื่อนร่วมทีมเจาะทะลุฝ่ายตรงข้าม ซึ่งดิอาซสามารถใช้เท้าขวารับบอลและง่ายต่อการลากบอลจี้เข้าหาประตูเพื่อเผด็จศึกจังหวะสุดท้าย หรือหากคู่ต่อสู้ปราดเข้ามาสกัดอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้นักเตะปอร์โตเป็นอิสระ ดิอาซสามารถเลือกจ่ายบอล ซึ่งการสร้างสรรค์เกมรุกเป็นความอันตรายอีกข้อหนึ่งของปีกทีมชาติโคลอมเบีย

สปีดของดิอาซสร้างความปั่นป่วนให้ตัวประกบทั้งการวิ่งอินไซด์และเอาท์ไซด์ อาวุธเก่งคือการตัดเข้าด้านในและครอสส์บอลไปทางเสาไกล หรือเลี้ยงจี้เข้าไปในกรอบเขตโทษเพื่อผ่านบอลไปบริเวณหน้าเส้นประตูหวังให้เพื่อนร่วมทีมอยู่ในตำแหน่งที่สามารถเข้าชาร์จ เขายังเป็นคนที่เล่นบอลในพื้นที่แคบได้ดีอีกด้วย แต่มักไม่ค่อยเห็นเขาเลี้ยงบอลไปถึงเส้นหลังประตูแล้วเปิดบอลยัดเข้ามา

อิดาซยังมีความสามารถจบสกอร์ด้วยตัวเอง อย่างในจังหวะที่ลากบอลผ่านเส้นกรอบเขตโทษและเห็นช่องว่างของแผงหลังฝ่ายตรงข้าม เขาจะแต่งบอลเพื่อสร้างจังหวะซัลโวด้วยการขยับถอยหลังแล้วง้างเท้ายิงด้วยความรุนแรงแม้การจัดร่างกายไม่เอื้ออำนวย

ยามไม่มีบอล ดิอาซยังใช้สปีดเคลื่อนที่ไปตามพื้นที่ต่างๆอย่างรวดเร็ว สามารถเข้าเพรสส์คู่ต่อสู้อย่างมีประสิทธิภาพ บ่อยครั้งมีการเร่งสปีดขึ้นด้วยเวลาอันน้อยนิดเพื่อเคาน์เตอร์แอ็ทแท็คหรือกดดันฝ่ายตรงข้าม นอกจากนี้ปีกทีมชาติโคลอมเบียยังถอยหลังลงไปช่วยฟูลแบ็คในยามจำเป็น อาศัยความดุดันและนิสัยกัดไม่ปล่อยดวลกับกองหน้าตัวต่อตัว พร้อมระเบิดความเร็วออกไปข้างหน้าเมื่อแย่งบอลมาครอบครอง เปลี่ยนรับเป็นรุกอย่างรวดเร็ว

กับทีมปอร์โต ดิอาซถูกวางตัวอยู่ฝั่งซ้ายทั้งระแบบ  4-2-3-1 และ 4-4-2 หากเป็น 4-2-3-1 เมื่อเปิดเกมรุก ดิอาซได้รับไฟเขียวให้เคลื่อนตัวเข้าตรงกลางเพื่อช่วยศูนย์หน้า แต่ถ้าเป็น 4-4-2 ดิอาซจะเปลี่ยนตำแหน่งไปเล่นเป็นกองหน้าแทนเพื่อนร่วมทีมคนหนึ่งที่ถอยลงไปเป็นมิดฟิลด์ หรือบางครั้งก็เปลี่ยนแผนเป็น 4-3-3 ใช้ประโยชน์จากดิอาซทั้งแอสซิสต์และการจบสกอร์

ในทีมชาติโคลัมเบอร์ ผู้เล่นตำแหน่งเบอร์ 10 จะฉีกตัวไปด้านซ้ายเพื่อเปิดโอกาสให้ดิอาซเลี้ยงบอลเข้าด้านในและยิงประตู บางครั้งเบอร์ 9 และ 10 จะดันตัวขึ้นสูงเพื่อกดดันเซ็นเตอร์แบ็คให้ถอยหลังกลับไป สร้างช่องว่างบริเวณแนวรับให้ดิอาซทะลวงเข้าไป

ด้วยทักษะและเชิงชั้นเหล่านี้เองเมื่อดิอาซเข้ามาอยู่ในระบบ 4-3-3 ภายใต้การคุมทีมของคลอปป์ บวกกับเพื่อนร่วมทีมรอบตัวที่มีเซนส์บอลสูงทันกัน จึงทำให้ดิอาซกลายเป็นตัวอันตรายอย่างที่กุนซือชาวเยอรมันให้สัมภาษณ์ไว้เพราะเคยประสบด้วยตาตนเอง

ผลงานในสนามตลอดสามเดือนครึ่งที่ผ่านมาของดิอาซในสีเสื้อลิเวอร์พูลเป็นประจักษ์พยานที่ชัดเจนอยู่แล้ว จากการลงสนาม 24 นัดจาก 4 รายการ 1,536 นาที 6 ประตู 4 แอสซิสต์ กับเหรียญรางวัลชนะเลิศ คาราบาว คัพ และ เอฟเอ คัพ

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา

อ้างอิง : 

https://www.planetfootball.com/trending/luis-diaz-liverpool-villarreal-impact-sub-best-january-signing-goal-champions-league/

https://www.planetfootball.com/quick-reads/luis-diaz-liverpool-premier-league-table-since-debut-february-impact/

https://www.planetfootball.com/quick-reads/ranking-every-signing-jurgen-klopp-has-made-as-liverpool-manager/

https://www.90min.com/posts/luis-diaz-instant-impact-means-liverpool-can-do-without-sadio-mane