พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2023-24 ได้ปิดฉากอย่างสมบูรณ์หลังจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เฉือนชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี 2-1 ครองแชมป์เอฟเอ คัพ เป็นสมัยที่ 13 ในประวัติศาสตร์สโมสร ขณะที่แมนฯซิตี ชนะเลิศพรีเมียร์ลีกเป็นสมัยที่ 4 ติดต่อกัน และลิเวอร์พูละครองแชมป์อีเอฟแอล คัพ
ในส่วนของโควตาฟุตบอลสโมสรยุโรป ทีมท็อป 4 แมนฯซิตี, อาร์เซนอล, ลิเวอร์พูล และแอสตัน วิลลา ได้ไปแข่งขันแชมเปียนส์ ลีก, ทีมอันดับ 5 ทอตแนม ฮอตสเปอร์ และแชมป์เอฟเอ คัพ แมนฯยูไนเต็ด ได้ไปเล่นยูโรปา ลีก ส่วนทีมอันดับ 6เชลซี จากที่ควรได้สิทธิยูโรปา ลีก แต่เพราะ “เรด เดวิลส์” ได้ชูถ้วยใบเก่าแก่อายุกว่า 150 ปีของเมืองผู้ดี “เดอะ บลูส์” จึงต้องลงสนามรอบเพลย์ออฟของคอนเฟอเรนซ์ ลีก แทน
ภายหลังศึกลูกหนังเทียร์ 1 ของอังกฤษ รูดม่านลง Sky Sports สื่อกีฬาคุณภาพเมืองผู้ดี ได้ประมวลเหตุการณ์ที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นในพรีเมียร์ลีก ซีซัน 2023-24 ในหลายหลายประเด็น ซึ่งทีมงานไข่มุกดำได้คัดเลือกบางหัวข้อ นำมาแปลและเรียบเรียงนำเสนอต่อคอลูกหนังบ้านเราดังต่อไปนี้
ประตูมากขึ้น ผู้เล่นอังกฤษทำสกอร์สูงขึ้น
นับตั้งแต่ซีซัน 2020-21 การทำประตูในพรีเมียร์ลีกเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 ปีติดต่อกัน นับจากค่าเฉลี่ย 2.69 ประตูต่อนัด เพิ่มเป็น 2.82 ประตูในซีซัน 2021-22, 2.85 ประตูในซีซัน 2022-23 และ 3.28 ประตูในซีซัน 2023-24 แต่ที่น่าสังเกตเป็นพิเศษคือ ฤดูกาลที่เพิ่งจบไปเพิ่มขึ้นจากซีซันก่อนหน้าถึง 15%
ตัวแปรที่น่าให้ความสำคัญคือ ค่าเฉลี่ยการเกิดสกอร์ต่อนัดยังสูงกว่าช่วงก่อนฤดูกาล 1995-96 ซึ่งมีจำนวนสโมสร 22 ทีม รวมการแข่งขันทั้งโปรแกรม 420 นัดต่อซีซัน ก่อนลดจำนวนเหลือ 20 ทีมหรือ 380 นัดต่อซีซัน โดยซีซัน 2023-24 แฟนบอลได้เห็นบอลวิ่งซุกก้นตาข่ายรวมแล้ว 1,246 ครั้ง ช่างเป็นลีกที่น่าตื่นเต้นเร้าใจจริงๆ
Sky Sports ยังโฟกัสผู้เล่นอังกฤษเป็นพิเศษ แม้รางวัลรองเท้าทองคำยังตกเป็นของ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ดาวซัลโวทีมชาตินอร์เวย์ของแมนฯซิตี เป็นปีที่ 2 ติดต่อกันด้วยตัวเลข 31 นัด 27 ประตู แต่อันดับท็อป 10 ซีซันนี้มีนักเตะเมืองผู้ดีติดเข้ามาถึง 6 คน นำโดย โคล พาลเมอร์ (เชลซี, 34 นัด 22 ประตู) รั้งอันดับ 2 ตามด้วยอันดับ 4 (ร่วม) 19 ประตู มี 3 คนเท่ากันคือ โดมินิค โซลันกี (บอร์นมัธ, 38 นัด), โอลลี วัตกินส์ (วิลลา, 37 นัด), ฟิล โฟลเดน นักฟุตบอลแห่งปีของ FWA (แมนฯซิตี, 35 นัด) และอันดับ 9 (ร่วม) 16 ประตู มี 2 คนเท่ากันคือ บูกาโย ซากา (อาร์เซนอล, 35 นัด) กับ จาร์รอด โบเวน (เวสต์แฮม, 36 นัด)
ถือเป็นปีทองของวัตกินส์กับพาลเมอร์ก็ว่าได้จนได้รับเลือกจากแกเรธ เซาธ์เกต ใส่ไว้ในรายชื่อทีมชาติอังกฤษ 33 คนแรกของชุดยูโร 2024 โดยกองหน้าวิลลาทำแอสซิสต์ได้ 13 ครั้ง สูงเป็นอันดับ 1 ในพรีเมียร์ลีก พาลเมอร์ตามเป็นอันดับ 2แบบติดๆ 11 ครั้ง
Sky Sports ยังรายงานว่า นักเตะอังกฤษในพรีเมียร์ลีกทำสกอร์รวมกันซีซันนี้ 369 ประตู เป็นจำนวนมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมา ซึ่งหากดูข้อมูลตั้งแต่ซีซัน 1995-96 ซึ่งมีตัวเลขสูงถึง 597 ประตู จากนั้นก็ค่อยๆลดจำนวนลงเรื่อยๆจนต่ำระดับหลัก 400 ตั้งแต่ซีซัน 2001-02 คือ 392 ประตู
ตัวเลขยังอยู่โซน 300 จนกระทั่งซีซัน 2012-13 หลุดลงไปที่ 296 ประตู และขยับขึ้นมาเป็น 325 ประตูในซีซัน 2013-14ก่อนกลับลงไปสู่หลัก 200 ติดต่อกัน 5 ฤดูกาล และฟื้นขึ้นหลัก 300 ติดต่อกัน 5 ฤดูกาล ก่อนมาพีคสุดที่ซีซัน 2023-24 คือ 369 ประตู
Sky Sports ให้ข้อสังเกตว่า นักเตะท้องถิ่นผลิตสกอร์ได้เป็นกอบเป็นกำขนาดนี้ทั้งที่มีเวลาอยู่ในสนามหรือ game-time รวมกัน 224,730 นาที ซึ่งเกือบเป็นตัวเลขน้อยที่สุดนับตั้งแต่ซีซัน 1998-99 สำหรับลีกที่ประกอบด้วยนักเตะต่างชาติเก่งๆมากมายที่เข้ามาสร้างสีสันบนเกาะอังกฤษ จนดูเหมือนบดบังราศีของนักเตะท้องถิ่น สิ่งที่เกิดขึ้นนับว่าเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับวงการลูกหนังอังกฤษ
โควตาตัวสำรอง 5 คน ส่งผลอย่างไร
เริ่มที่ 2022-23 พรีเมียร์ลีกอนุญาตให้แต่ละทีมเปลี่ยนผู้เล่นได้นัดละ 5 คน หลังจากโดนตั้งคำถามเรื่องสวัสดิภาพการทำงานและความอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจของผู้เล่นอยู่หลายปี ผลลัพธ์ของกฎใหม่นี้ทำให้เกมสนุกสนานขึ้นเพราะเอื้ออำนวยให้ผู้จัดการทีมได้ส่งนักเตะลงมาเพื่อแก้เกมปรับเปลี่ยนแทคติก อีกทั้งยังได้ความสดใหม่จากผู้เล่นม้านั่งสำรอง
กฎดังกล่าวทำให้จำนวนตัวสำรองที่ลงสนามสูงขึ้นอย่างมีนัยยะใน 2 ปีล่าสุดคือ 2,985 คนในซีซัน 2022-23 และ 3,024 คนในซีซัน 2023-24 มากที่สุดนับตั้งแต่ซีซัน 2010-11 ซึ่งมีการเปลี่ยนตัวผู้เล่นเพียง 1,995 คนเท่านั้นพรีเมียร์ลีกซีซัน 2023-24 ที่ผ่านมา ไบรท์ตันเป็นทีมที่ใช้โควตาดังกล่าวมากที่สุดคือ 176 คน ส่วนอันดับ 2 (ร่วม) มี 4 ทีมที่ใช้ผู้เล่นสำรอง 170 คนเท่ากันคือ เบรนท์ฟอร์ด, บอร์นมัธ, สเปอร์ส และฟูแลม ตามด้วยอันดับ 5 ลิเวอร์พูล 166 คน โดยเวสต์แฮมกับแมนฯซิตีเปลี่ยนผู้เล่นน้อยที่สุดคือ 109 คน และ 115 คน ตามลำดับ
![](https://cdn.mos.cms.futurecdn.net/eoD4u5fs6UcH5U2b3RWap5-1200-80.jpg.webp)
การส่งตัวสำรองลงมายังช่วยให้เปลี่ยนโมเมนตัมโดยเฉพาะช่วงเวลาที่มีอิทธิพลต่อการแข่งขันมากที่สุดคือท้ายเกม ซึ่งสถิติระบุว่า พรีเมียร์ลีกซีซันล่าสุดเกิดการทำประตูหลังนาทีที่ 75 รวมแล้ว 307 ประตู โดย 25 นาทีสุดท้ายของเวลาแข่งขันปกติบวกทดเวลา ยังเป็นช่วงที่ผู้จัดการทีมเปลี่ยนตัวผู้เล่นมากที่สุดด้วย
Sky Sports เสริมข้อมูลที่น่าสนใจคือ ลิเวอร์พูล ทีมอันดับ 3 ของพรีเมียร์ลีก ทำสกอร์ได้ถึง 27 ประตูระหว่างนาทีที่ 76 ถึง 90+ นำโด่งอันดับ 2 “แชมป์” แมนฯซิตี ซึ่งทำได้ 21 ประตู ขณะที่ “รองแชมป์” อาร์เซนอล ก็ทำผลงานไม่น้อยหน้าคือ 20ประตูเท่ากับลูตันและนิวคาสเซิล
Comeback Wins ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากหลุม
นอกเหนือการเกิดสกอร์ท้ายเกมแล้ว การพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายชนะหลังเสียประตูก่อน เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สร้างสีสันความเร้าใจให้กับแฟนบอล ซึ่งซีซัน 2023-24 เกิดเหตุการณ์ comeback wins ทั้งสิ้น 63 นัด เป็นสถิติสูงสุดใหม่ของพรีเมียร์ลีก อย่างเช่น 2 กันยายน 2023 สเปอร์สชนะเบิร์นลีย์ 5-2 และ 27 เมษายน 2024 นิวคาสเซิลชนะเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 5-1
Comeback Kings เป็นคุณสมบัติหรือตำแหน่งที่ควรคู่กับแคแรกเตอร์ของแมนฯซิตี แชมป์พรีเมียร์ลีก 4 สมัยติดต่อกัน ทีมเรือใบสีฟ้าสามารถเปลี่ยนจากแพ้เป็นชนะได้ 7 นัดเท่ากับลิเวอร์พูลและสเปอร์ส ขณะที่รองแชมป์ 2 สมัยซ้อนอย่างอาร์เซนอล กลับทำได้แค่ 3 นัด รวมถึงนัดปิดซีซันที่เฉือนชนะเอฟเวอร์ตัน 2-1 นั่นมองได้ว่า ทีมปืนใหญ่แทบไม่ตกอยู่ในสถานการณ์สกอร์เป็นรองระหว่างฤดูการแข่งขัน
พรีเมียร์ลีก ลีกที่รวดเร็วที่สุดในโลกลูกหนัง
ไม่เพียงการทำประตูเยอะๆ การเกิดสกอร์ท้ายเกม และการพลิกกลับไปมาของตัวเลขบนสกอร์บอร์ด ความเร็วของเกมยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างความนิยมแก่พรีเมียร์ลีก ซึ่งมีแฟนบอลทั่วโลกติดตามมากที่สุด
รายงานเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาของ Football Observatory ช่วยยืนยันว่า พรีเมียร์ลีกเป็นลีกที่มีความเร็วที่สุดในโลก โดยอ้างอิงจากดัชนีการให้คะแนน ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีได้รับคะแนนเต็ม 100 ทั้งการวิ่งเต็มฝีเท้าหรือด้วยความเร็วสูงสุด (sprints), ความเร็ว (speed) และความเร่งหรืออัตราการเปลี่ยนแปลงความเร็ว (accelerations)
ลีกที่มีความเร็วสูงเป็นอันดับ 2 คือ แชมเปียนชิพ หรือเทียร์ 2 ของอังกฤษ มีค่าดัชนีเฉลี่ย 85.5 แบ่งเป็น sprints 84, speed 79 และ accelerations 100 ตามด้วย กัลโช เซเรีย อา อิตาลี มีค่าดัชนีเฉลี่ย 75.1 แบ่งเป็น sprints 81, speed 80 และ accelerations 73 ส่วนลีกท็อป 5 ของยุโรปที่เหลืออีก 3 ลีกได้แก่ ลีกเอิง ฝรั่งเศส อยู่อันดับ 8 (เทียบกับลีกเดอซ์หรือระดับเทียร์ 2 อยู่อันดับ 6), ลา ลีกา สเปน อยู่อันดับ 10 และบุนเดสลีกา เยอรมนี อยู่อันดับ 15
รายงานฉบับดังกล่าวยังระบุว่า พรีเมียร์ลีกซีซันที่จบไปมีค่าเฉลี่ยของการวิ่งเต็มฝีเท้า 139.63 ครั้งต่อนัด สูงที่สุดนับตั้งแต่สถิตินี้ถูกบันทึกในซีซัน 2020-21 แต่ความจริงแล้ว averaging sprints ก็เพิ่มขึ้นทุกปีตลอดระยะเวลา 4 ปีคือ 127.44 ครั้ง, 129.4 ครั้ง, 133.68 ครั้ง และ 139.63 ครั้ง ตามลำดับ
Sky Sports ให้ความเห็นเสริมว่า การทำประตูที่เพิ่มขึ้น บวกกับความเร็วของการเล่น แสดงให้เห็นว่าสโมสรในพรีเมียร์ลีกยกระดับ risk and reward หรืออัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทนให้สูงขึ้น ด้วยการดันนักเตะขึ้นไปโจมตีบนพื้นที่สูงขึ้น ขณะที่กองหลังก็เตรียมพร้อมที่จะใช้ความรวดเร็วรุกโต้กลับหรือเคาน์เตอร์แอทแทคเมื่อแย่งบอลมาจากฝ่ายตรงข้าม ตัวอย่างในการแข่งขันกับเบรนท์ฟอร์ดในเดือนมกราคมที่ผ่านมา มิกกี ฟาน เดอ เวน เซ็นเตอร์แบ็คของสเปอร์ส เคยใช้ความเร็วเฉลี่ย 37.38 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งถือเป็น top speed ของพรีเมียร์ลีก ซีซัน 2023-24
พรีเมียร์ลีกลดอายุเฉลี่ยนักเตะตัวจริง
อีกเรื่องหนึ่งที่ซีซัน 2023-24 สร้างความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในพรีเมียร์ลีกนั่นคือ อายุเฉลี่ยของนักเตะตัวจริงลดลงเหลือ 26.74 ปี หรือ 26 ปี 269 วันเท่านั้น ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ซีซัน 2010-11 ที่ตัวเลขเฉลี่ยต่ำกว่า 27 ปี โดยระหว่าง 13 ปีก่อนหน้านี้ ตัวเลขอายุเฉลี่ยน้อยที่สุดของผู้เล่น 11 คนแรกคือ 27.05 ปี ซึ่งเคยเกิดขึ้นในซีซัน 2019-20 และ 2020-21 ขณะที่ซีซัน 2022-23 ก็มีอายุเฉลี่ยต่ำเช่นกันคือ 27.08 ปี
ทีมที่มีอายุเฉลี่ยผู้เล่นตัวจริงน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีกซีซันล่าสุดคือ เชลซี 24.64 ปี หรือ 24 ปี 233 วัน ซึ่งเป็นสถิติน้อยที่สุดอันดับ 4 ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก นอกจาก “เดอะ บลูส์” มีอีก 3 ทีมที่อายุเฉลี่ยตัวจริงน้อยกว่า 26 ปีได้แก่ ทีมอันดับรองบ๊วยของลีก เบิร์นลีย์ 24.68 ปี ซึ่งมากกว่าเชลซีเพียง 10 วันเท่านั้น ตามด้วยอาร์เซนอล 25.43 ปี และสเปอร์ส 25.53 ปี ขณะที่ทีมที่อายุเฉลี่ยมากที่สุด 2 อันดับแรกคือ ฟูแลม 28.87 ปี และเวสต์แฮม 28.82 ปี ซึ่งเป็น 2 สโมสรที่มีอายุเฉลี่ยสูงกว่า 28 ปี
นักฟุตบอลบาดเจ็บระนาวจนเป็นสถิติใหม่
ผู้เล่นบาดเจ็บเป็นสถิติอีกหมวดที่เกิด new all-time high ของพรีเมียร์ลีก ทั้ง 20 สโมสรมีจำนวนวันที่นักเตะของตัวเองลงแข่งไม่ได้เนื่องจากบาดเจ็บรวมทั้งสิ้น 25,886 วัน เป็นตัวเลขสูงที่สุดนับตั้งแต่เว็บไซต์ Premier Injuries ได้บันทึกสถิตินี้ในฤดูกาล 2020-21 ซึ่งเท่ากับ 18,405 วัน ตามด้วย 19,475 วันในซีซัน 2021-22 และ 21,163 วันในซีซัน 2022-23
![](https://talksport.com/wp-content/uploads/sites/5/2023/10/solly-march-brighton-hove-albion-853915748.jpg?strip=all&quality=100&w=960)
ในมุมมองของสโมสร นิวคาสเซิลเป็นทีมที่ไม่สามารถใช้งานผู้เล่นเพราะบาดเจ็บรวมเป็นจำนวนวันมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก รองลงมาได้แก่ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และเชลซี
สโมสรช็อปปิงถล่มทลาย 2 ตลาดซัมเมอร์ติด
มาถึงเรื่องการลงทุนเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แต่ละทีมในพรีเมียร์ลีก ถ้ามองเพียงตลาดซัมเมอร์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทีมมากกว่าตลาดฤดูหนาว กลางปี 2023 หรือตลาดซัมเมอร์ครั้งหลังสุด สโมสรเทียร์ 1 อังกฤษใช้เงินซื้อผู้เล่นรวมกันสูงถึง 2.44 พันล้านปอนด์ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากตัวเลข 2.14 พันล้านปอนด์ในปี 2022 โดย 7 ปีก่อนหน้านี้ 20 สโมสรจับจ่ายใช้สอยประมาณ 1.20 – 1.30 พันล้านปอนด์ ยกเว้นปี 2017 ที่ตัวเลขพุ่งถึง 1.49 พันล้านปอนด์ และลดลงเหลือ 1.12 พันล้านปอนด์ในปี 2021
แน่นอนอย่างที่ทราบถ้วนกันผ่านสื่อมวลชน ตลาดซัมเมอร์ปีที่แล้ว เชลซีทุ่มเงินลงไปถึง 434.5 ล้านปอนด์ และเมื่อรวมกับตลาดกลางปี 2022 ตัวเลขพุ่งสูงทะลุ 1 พันล้านปอนด์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทอดด์ โบห์ลีย์ มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรแห่งกรุงลอนดอน
Sky Sports ยังชี้ให้เห็นว่า มิดฟิลด์เป็นตำแหน่งผู้เล่นที่สโมสรพรีเมียร์ลีกให้ความสนใจเสริมแกร่งมากที่สุดในตลาดซัมเมอร์ปี 2023 เชลซีสร้างสถิติใหม่ของสหราชอาณาจักรด้วยค่าทุ่มเงิน 115 ล้านปอนด์ ซื้อมอยเซส ไกเซโด มาจากไบรท์ตัน ทั้งที่ตลาดเดือนมกราคมปีเดียวกันเพิ่งได้ เอ็นโซ เฟร์นานเดซ มาจากเบนฟิกาด้วยค่าตัว 106.8 ล้านปอนด์
สำหรับตลาดฤดูร้อนรอบล่าสุด นอกจากไกเซโด ผู้เล่นที่ค่าตัวสูงสุดติดท็อป 5 อีก 4 คนได้แก่ เดแคลน ไรซ์ 105 ล้านปอนด์ จากเวสต์แฮมไปอาร์เซนอล, ยอสโก กวาร์ดิโอล 77.6 ล้านปอนด์ จากไลป์ซิกไปแมนฯซิตี, ราสมุส ฮอยลุนด์ 72 ล้านปอนด์ จากอตาลันตาไปแมนฯยูไนเต็ด และ ไค ฮาแวร์ตซ์ 65 ล้านปอนด์ จากเชลซีไปอาร์เซนอล
เก้าอี้เหนียว ผู้จัดการทีมส่วนใหญ่ทำหน้าที่ครบเทอม
ทิ้งท้ายด้วยเรื่องของผู้จัดการทีม เป็นสถิติต่ำที่สุดนับตั้งแต่ดิวิชัน 1 เปลี่ยนชื่อเป็นพรีเมียร์ลีก ซึ่งมีการเปลี่ยนผู้จัดการทีมถาวรก่อนหน้าและระหว่างฤดูกาลแข่งขันเพียงแค่ 4 คน เทียบเท่าที่เคยเกิดขึ้นในซีซัน 2005-06
วันที่ 9 สิงหาคม 2023 หรือ 2 วันก่อนซีซัน 2023-24 คิกออฟ วูลฟ์แฮมป์ตันได้แต่งตั้งแกรี โอ’นีล เป็นผู้จัดการทีมแทนจูเลน โลเปเตกี ซึ่งพ้นตำแหน่งเพราะมีปัญหาขัดแย้งกับบอร์ดบริหาร และระหว่างซีซัน พรีเมียร์ลีกมีการเปลี่ยนผู้จัดการทีมถาวร 3คนคือ พอล เฮคกิงบอตทอม ทีมเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด, สตีฟ คูเปอร์ ทีมนอตติงแฮม ฟอเรสต์ และรอย ฮอดจ์สัน ทีมคริสตัล พาเลซ ซึ่งยื่นใบลาออกเองเนื่องจากมีปัญหาสุขภาพ
![](https://www.nottinghamworld.com/jpim-static/image/2023/12/19/16/46/GettyImages-1843392463.jpg.jpg?trim=1,0,1,0&width=990&quality=65&enable=upscale)
นอกจากนี้ เยอร์เกน คลอปป์ ทีมลิเวอร์พูล, โรแบร์โต เด แซร์บี ทีมเชลซี และเดวิด มอยส์ ทีมเวสต์แฮม ได้ยุติบทบาทผู้จัดการทีมหลังปฏิบัติหน้าที่จนถึงนัดปิดซีซัน
สำหรับพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2024-25 จะเริ่มทำการแข่งขันวันที่ 17 สิงหาคม 2024 จนถึง 25 พฤษภาคม 2025 เป็นการแข่งขันครั้งที่ 33 ในชื่อนี้ และเป็นครั้งที่ 126 ในฐานะลีกฟุตบอลเทียร์ 1 ของอังกฤษ โดยโปรแกรมแข่งขันแบ่งเป็นแมตช์สุดสัปดาห์ 33 นัด, แมตช์กลางสัปดาห์ 4 นัด และแมตช์วันหยุดธนาคาร 1 นัด
ในส่วนของการซื้อขายผู้เล่น ตลาดฤดูร้อนของพรีเมียร์ลีกจะเปิดทำการตั้งแต่วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน 2024 จนถึง 5 ทุ่มของวันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2024 ตามเวลาท้องถิ่น ส่วนตลาดฤดูหนาวจะมีขึ้นตั้งแต่วันพุธที่ 1 มกราคม 2025 จนถึง 5 ทุ่มของวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2025
เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer)
![](https://khaimukdam.com/wp-content/uploads/2022/05/2218155-1.jpg)
Senior Football Editor