Categories
Special Content

ซานโดร โตนาลี นักเตะอิตาเลียนค่าตัวแพงที่สุดในโลก

พรีเมียร์ลีกเป็นลีกอันดับ 1 ของโลกในแง่ความนิยม แม้กระทั่งตัวนักเตะเองก็กระหายที่จะสัมผัสบรรยากาศลีกลูกหนังเทียร์ 1 เมืองผู้ดี จึงไม่แปลกที่จะมีนักบอลจากทั่วโลกหลั่งไหลเข้ามายังประเทศอังกฤษ ซึ่งข้อมูลจากเว็บไซต์ transfermarkt ระบุว่า จากนักเตะทั้งหมด 592 คนในซีซัน 2022-23 ที่ผ่านมา เป็นผู้เล่นต่างชาติถึง 405 คน คิดเป็น 68.4 เปอร์เซ็นต์

มากที่สุดคือ บราซิล 36 คน ตามด้วยสเปน 34 คน, ฝรั่งเศส 33 คน, โปรตุเกส 28 คน และสกอตแลนด์ 23 คน ขณะที่นักเตะจากอีก 2 ลีกบิ๊ก-5 ยุโรป บุนเดสลีกาและกัลโช เซเรีย อา กลับไม่ค่อยข้ามทะเลจากแผ่นดินใหญ่มาค้าแข้งในพรีเมียร์ลีก ซึ่ง transfermarkt ระบุจำนวนไว้ว่า เยอรมนี 12 คน ส่วนอิตาลีเพียง 5 คนเท่านั้นโดย จอร์จินโญ ลงสนามลีกมากที่สุดรวม 32 นัดให้กับเชลซีและอาร์เซนอล

ใครที่ติดตามพรีเมียร์ลีกมานาน จะทราบดีว่านักเตะอิตาเลียนเข้ามาเล่นในอังกฤษน้อยมากตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา อีกทั้งน้อยรายที่ประสบความสำเร็จ ว่ากันว่าเป็นเพราะพวกเขามีแนวคิด one-club player หากเติบโตจากทีมเยาวชนสโมสรไหน ก็มักจะเล่นให้สโมสรนั้นจนกระทั่งปลายอาชีพค้าแข้ง อีกเหตุผลคือสไตล์นักเตะเมืองมะกะโรนีไม่เหมาะกับลีกอังกฤษ

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องเกินความคาดหมายอย่างมากเมื่อตลาดซัมเมอร์รอบนี้ มีการทำลายสถิติสูงสุดตลอดกาลของค่าตัวนักบอลอิตาเลียนเมื่อ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ยอมทุ่มเงิน 55 ล้านปอนด์เพื่อซื้อ ซานโดร โตนาลี มิดฟิลด์วัย 23 ปีจากเอซี มิลานพร้อมเซ็นสัญญา 5 ปี เป็นลูกทีมใหม่คนแรกในตลาดรอบนี้ของกุนซือเอ็ดดี ฮาว ซึ่งกำลังเสริมทัพเพื่อลุยศึกลูกหนังยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาล 2023-24

สำหรับรายชื่อนักเตะอิตาเลียนค่าตัวแพงที่สุดในโลก 10 อันดับแรก (หน่วยเงินยูโร : คนที่ตัวเลขเงินกลมๆเท่ากันแต่มีอันดับสูงกว่าเพราะมีจำนวนเงินหลักแสนมากกว่า) ซึ่งจะเห็นว่า 7 อันดับเป็นการซื้อขายระหว่างสโมสรใหญ่ในเซเรีย อา แต่ 2 อันดับแรกก็เป็นการทุ่มเงินซื้อของสโมสรอังกฤษ

1 – 64 ล้านยูโร ซานโดร โตนาลี จากเอซี มิลาน ไปนิวคาสเซิล ปี 2023

2 – 57 ล้านูโร จอร์จินโญ จากนาโปลี ไปเชลซี ปี 2018

3 – 53 ล้านยูโร จิอันลุยจิฟ บุฟฟอน จากปาร์มา ไปยูเวนตุส ปี 2001

4 – 46 ล้านยูโร คริสเตียน วิเอรี จากลาซิโอ ไปอินเตอร์ มิลาน ปี 1999

5 – 43 ล้านยูโร เฟเดริโก คิเอซา จากฟิออเรนตินา ไปยูเวนตุส ปี 2020

6 – 42 ล้านยูโร ลีโอนาร์โด โบนุชชี จากยูเวนตุส ไปเอซี มิลาน ปี 2017

7 – 40 ล้านยูโร เฟเดริโก แบร์นาเดสชี จากฟิออเรนตินา ไปยูเวนตุส ปี 2017

8 – 38 ล้านยูโร มัตติอา คัลดารา จากยูเวนตุส ไปเอซี มิลาน ปี 2018

9 – 36 ล้านยูโร ฟิลิปโป อินซากี จากยูเวนตุส ไปเอซี มิลาน ปี 2001

10 – 36 ล้านยูโร จานลูกา สกามัคคา จากซาสซูโอโล ไปเวสต์ แฮม ปี 2022

สานฝันวัยเด็ก แต่เล่นให้มิลานแค่ 3 ปี

โตนาลีช่วยมิลานครองตำแหน่งสคูเดตโต ฤดูกาล 2021-22 และมีส่วนพาทีมเข้าถึงรอบรองชนะเลิศแชมเปียนส์ ลีก ซีซันที่ผ่านมา โตนาลียังเป็นหนึ่งในขุนพลทีมชาติอิตาลีที่ลงแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติทวีปยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ประจำปี 2023

โตนาลีเป็นชาวซันตันเจโล เมืองเล็กๆของจังหวัดโลดี ในแคว้นลอมบาร์ดี ตอนเหนือของอิตาลี เรียนรู้ศาสตร์ลูกหนังผ่านระบบเยาวชนของ ปิอาเซนซา (2009-2012) และ เบรสชา (2012-2017) ก่อนประเดิมสนามอาชีพในเซเรีย เบ ขณะอายุ 17ปี ลงเป็นตัวสำรองของแมตช์เยือน เบรสชาแพ้อเวลลิโน 1-2 เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2017

เบรสชาเลื่อนชั้นขึ้นลีกสูงสุดในฤดูกาล 2018-19 แต่ตกลงมาอยู่เซเรีย เอ อีกครั้งในซีซันถัดมา ซึ่งระหว่างนี้ โตนาลีได้เล่นให้ทีมชาติอิตาลีครั้งแรก ถูกส่งลงมาระหว่างแมตช์กับลิกเตนสไตล์ในเดือนตุลาคม 2019 ล่าสุดเล่นทีมชุดใหญ่ไปแล้ว 14นัด

เบรสชาปล่อยโตนาลีให้ เอซี มิลาน ยืมใช้งานในตลาดซัมเมอร์ปี 2020 ด้วยมูลค่า 10 ล้านยูโร และออปชันซื้อขาดราคา 15 ล้านยูโร และโบนัสอีก 10 ล้านยูโร เขาจบซีซัน 2020-21 ในสีเสื้อแดงดำด้วยสถิติลงสนาม 37 นัดรวมทุกราย เป็นตัวจริง 23 นัด นั่นทำให้ทีมรอสโซเนรีตัดสินใจซื้อขาดและเซ็นสัญญา 5 ปีกับโตนาลี ซึ่งยอมลดค่าเหนื่อยเพื่อสานฝันในวันเด็กที่ต้องการเป็นผู้เล่นมิลานท่ามกลางเสียงชื่นชมของแฟนบอลบนโลกโซเซียลมีเดีย

เพียงเต็มซีซันปีแรก โตนาลีก็เป็นผู้เล่นมิลานชุดแชมป์เซเรีย อา ซีซัน 2021-22 ลงสนามตัวจริง 31 นัด ตัวสำรอง 5 นัด รวม 2.606 นาที มีสถิติ 5 ประตู 3 แอสซิสต์ ส่วนซีซันล่าสุด มิลานจบอันดับ 4 โตนาลีเป็นตัวจริง 30 นัด ตัวสำรอง 4 นัด 2.717 นาที ทำ 2 ประตู 7 แอสซิสต์ โดยตลอด 3 ปี โตนาลีลงสนามให้มิลาน 130 นัดรวมทุกรายการ ทำ 7 ประตู 13แอสซิสต์

สำหรับสถิติส่วนตัวอื่นๆในเซเรีย อา ซีซัน 2022-23 ของโตนาลี 34 นัด, สร้างโอกาส 62 ครั้ง, ผ่านบอล 1,403 ครั้ง, แอสซิสต์ 7 ครั้ง, แทคเกิล 64 ครั้ง และฟาวล์ 35 ครั้ง

แฮร์รี เด โคเซโม นักวิเคราะห์เกมของสื่อใหญ่ บีบีซี สปอร์ต ให้ความเห็นถึงดีลผู้เล่นอิตาเลียนที่แพงที่สุดในโลกว่า เอ็ดดี ฮาว ตระหนักดีถึงสถานการณ์ตึงเครียดที่เผชิญช่วงท้ายซีซัน 2022-23 ในการเบียดแย่งอันดับท็อป-4 พรีเมียร์ลีก นั่นทำให้การซื้อผู้เล่นใหม่ในตลาดซัมเมอร์รอบนี้ต้องกระทำอย่างถี่ถ้วนและละเอียด โดยเฉพาะการต้องลงรอบคัดเลือก แชมเปียนส์ ลีก การอัปเกรดขุมกำลังของนิวคาสเซิลจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด แต่ดุลซื้อขายที่เจ้าของสโมสรใหม่จากซาอุดิ อาระเบีย ที่กระทำไปใน 3 ตลาดที่ผ่านมา ทำให้การลงทุนนักเตะครั้งนี้ต้องใช้ความระมัดระวังสูงเพื่อไม่ให้ละเมิดกฎไฟแนนเชียล แฟร์เพลย์

เด โคเซโม มีมุมมองว่า โตนาลีสามารถเล่นได้ทั้งถอยลงลึกและเดินขึ้นหน้าในแดนกลาง ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระการสร้างสรรค์เกมให้บรูโน กีมาเรส ในช่วงเวลาสำคัญเช่นท้ายซีซันที่ผ่านมา ฟอร์มของกีมาเรสไม่ลื่นไหลเหมือนเดิมเพราะอาการบาดเจ็บข้อเท้า ดังนั้นแม้โตนาลีไม่ใช่เป้าหมายต้นๆแต่นิวคาสเซิลกลับถูกระตุกให้เดินหน้ากางโต๊ะเจรจาเมื่อทราบข่าวว่า มิดฟิลด์วัย 23 ปี ถูกตั้งราคาขายที่อยู่ในงบประมาณสโมสร โดยเดิมที นิวคาสเซิลอยากได้โฮลดิงมิดฟิลด์ขนานแท้

กูรูแห่งบีบีซี สปอร์ต ตบท้ายว่า ความสามารถทางกีฬาที่ดีเยี่ยมและการเล่นได้หลากหลายหน้าที่เป็น 2 เงื่อนไขสำคัญที่ฮาวมองหาในนักเตะใหม่ของเขา และโตนาลีมีพร้อมทั้งสองข้อ มั่นใจได้ว่าโตนาลีสามารถเพิ่มมิติใหม่ให้กับมิดฟิลด์ของนิวคาสเซิลได้อย่างแน่นอน

ขณะที่ แอนโธนี กอร์ดอน กองหน้าทีมนิวคาสเซิล กล่าวถึงเพื่อนร่วมทีมใหม่ว่า “ผมรู้จักเขาตั้งแต่ยุคแรกๆที่เบรสชา ผมยังจำภาพเขาที่เห็นจากคลิปก่อนย้ายมามิลาน เขาเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ตัวท็อปของโลกแน่นอน ผมรอวันที่จะลงสนามร่วมกับเขา”

นิวคาสเซิลจะใช้ประโยชน์อย่างไรจากโตนาลี

เบน กราวน์ดส นักวิเคราะห์เกมของสกาย สปอร์ตส์ ให้ความเห็นว่า นิวคาสเซิลคาดหวังโตนาลีจะนำแพสชันมาสู่ยูนิฟอร์มลายดำขาว ค่าตัวระหว่างสองสโมสรเป็นตัวเลขที่ช็อกมากอย่างที่หนังสือพิมพ์ กัซเซตตา เดลโล สปอร์ต ระบุ และเป็นตัวเลขที่มิลานไม่สามารถปฏิเสธได้

กราวน์ดส์ ยังกล่าวถึงรูปแบบความเป็นไปได้ในการใช้งานของนิวคาสเซิล เขาเชื่อว่าฮาวคงไฟเขียวให้กีมาเรสขยับขึ้นบนได้มากขึ้นเมื่อโตนาลีย้ายเข้าถิ่นเซ็นต์เจมส์ ปาร์ค แต่โตนาลีไม่ใช่มิดฟิลด์ตัวรับโดยเนื้อแท้ ดังนั้นอย่าเพิ่งคาดหวังเห็นโตนาลีปักหลักอยู่หน้าแนวรับ

ที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่า นิวคาสเซิลเริ่มประสบปัญหาเมื่อ ฌอน ลองสตาฟฟ์ บาดเจ็บ กีมาเรสต้องถอยลงมาเล่นลึกระหว่างเดือนมกราคมถึงพฤษภาคมที่เป็นเวลาที่ยาวนานทีเดียว แถมตอนนั้นฮาวมีมิดฟิลด์ที่พอไว้ใจใช้งานได้เพียง 4 คน ส่งผลให้แพ้ลิเวอร์พูลและอาร์เซนอลในแมตช์เหย้า จนมีสิทธิตกแทร็คลุ้นโควตาแชมเปียนส์ ลีก โดยนิวคาสเซิลชนะนัดเดียวจาก 8นัดที่แข่งกับทีมท็อป-5 ของพรีเมียร์ลีก

ซีซันที่ผ่านมา สเตฟาโน ปิโอลี เฮดโค้ชของรอสโซเนรีให้โตนาลียืนตำแหน่งเบอร์ 6 ของระบบ 4-2-3-1 ซึ่งจะเอื้ออำนวยให้กีมาเรสเล่นบนพื้นที่สูงขึ้นของสนาม โตนาลีครบเครื่องทักษะทั้งการใช้เท้าสองข้างและครองบอลเหนียว กูรูจากสกาย สปอร์ตส์ มั่นใจว่าโตนาลีจะเข้ามาช่วยยกระดับนิวคาสเซิล ซึ่งเป็นทีมที่จ่ายบอลแม่นยำอันดับ 12 ของพรีเมียร์ลีก

7 นักเตะอิตาเลียนยอดเยี่ยมในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก

แม้นักฟุตบอลไม่ใช่สินค้านำเข้ายอดนิยมที่เดินทางจากอิตาลีมาสู่อังกฤษ แต่ส่วนใหญ่ที่ถูกซื้อเข้ามาล้วนการันตีฝีเท้าไม่ธรรมดา ซึ่งมีทั้งประสบความสำเร็จและความล้มเหลว ฟอร์ซา อิตาเลียน ฟุตบอล สื่อกีฬาลูกหนังชั้นนำเมืองมะกะโรนี ได้จัดเสนอชื่อ 7 นักเตะอิตาเลียนยอดเยี่ยมตลอดกาลที่ค้าแข้งในพรีเมียร์ลีก (ไม่ได้เรียงอันดับ)

จิอันฟรังโก โซลา (เชลซี)

โซลาเล่นให้เชลซีระหว่างปี 1996 ถึง 2003 เป็นเวลา 7 ปีที่ทำให้แฟนบอลจดจำเขาในฐานะหนึ่งในนักเตะอิตาเลียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลงสังเวียนพรีเมียร์ลีก ไม่ว่าจะเป็นการครองบอลที่เหนือชั้นและการฉีกแผงแนวรับเข้าทำสกอร์ ซึ่งรวมแล้วเกินกว่า 50ประตูเฉพาะบอลลีก โซลาจึงเป็นโปสเตอร์บอยยอดนิยมของแฟนบอลเชลซีในทศวรรษ 1990-2000 เขายังช่วยให้ต้นสังก้ดครองโทรฟี 6 ใบ

เบนิโต คาร์โบเน่ (เว้นสเดย์, วิลลา, แบรดฟอร์ด, ดาร์บี, มิดเดิลสโบรห์)

คาร์โบเนเล่นในอังกฤษระหว่างปี 1996 ถึง 2002 ให้หลายสโมสร ระหว่าง 6 ซีซันในพรีเมียร์ลีก เขาทำสกอร์ทะลุหลัก 40ประตู โดดเด่นในฐานะทีมเพลย์และทักษะจบสกอร์ ช่วงชีวิตที่ดีเกิดขณะสวมเสื้อเว้นสเดย์และแบรดฟอร์ด โดยเฉพาะการเป็นคู่หูกองหน้าระดับตำนานเคียงข้างเปาโล ดี คานิโอ เขาเป็นนักเตะที่ทำประตูได้สม่ำเสมอ เป็นคีย์แมนที่พาวิลลาเข้ารอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ปี 2000

โรแบร์โต ดี มัตติโอ (เชลซี)

มัตติโอเกิดในสวิตเซอร์แลนด์แต่เลือกเล่นให้ทีมชาติอิตาลี ลงสนามรวม 34 นัดให้ทีมอัซซูรี เขาเป็นนักเตะเชลซีระหว่างปี 1996 ถึง 2001 เป็นผู้เล่นสำคัญทั้งเกมบุกและเกมรับ แต่ช่วงที่ผู้คนจดจำได้มากที่สุดอาจเป็นสมัยทำงานผู้จัดการทีมเชลซี ซึ่งครองดับเบิลแชมป์ แชมเปียนส์ ลีก และเอฟเอ คัพ เมื่อปี 2012 อีกทั้งยังชนะเลิศ คัพ วินเนอร์ส คัพ ปี 1998 สมัยเป็นผู้เล่นด้วย

มาสซิโม มัคคาโรเน (มิดเดิลสโบรห์)

มัคคาโรเนเล่นให้มิดเดิลสโบรห์ระหว่างปี 2002 ถึง 2007 แม้เข้าร่วมลีกแบบนักเตะโนเนม แต่ทักษะกองหน้าที่ยอดเยี่ยมทำให้เขาช่วยให้เดอะ โบโร ขึ้นมาถึงยุคทองในประวัติศาสตร์สโมสรต้นทศวรรษ 2000 โดยเฉพาะตอนที่สตีฟ แม็คลาเรน เป็นผู้จัดการทีม มัคคาโรเนได้เล่นร่วมกับสตาร์หลายคนอาทิ วิดูกา, ฮาสเซลแบงค์ และโรเคมแบค ร่วมกันพาทีมตะลุยถึงนัดชิงชนะเลิศ ยูฟา คัพ ปี 2006 มัคคาโรเนอำลาพรีเมียร์ลีกในปี 2007 พร้อมสถิติ 80 นัด 18 ประตู

ฟรานเชสโก บายาโน (ดาร์บี)

บายาโนเล่นให้ดาร์บีระหว่างปี 1997 ถึง 1999 เคยถูกรับเลือกให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสโมสรประจำปี 1998 เขาเล่นให้ทีมแกะเขาเหล็ก 64 นัดรวมทุกรายการ เป็นขวัญใจของแฟนบอลระหว่างดาร์บียังอยู่บนสังเวียนลีกสูงสุด สาเหตุที่ได้รับเลือกเป็นหนึ่งในนักเตะอิตาเลียนยอดเยี่ยมในพรีเมียร์ลีกเพราะการทำสกอร์ดีๆให้เห็นหลายประตู

เปาโล ดี คานิโอ (เว้นสเดย์, เวสต์แฮม, ชาร์ลตัน)

ดี คานิโอ เล่นในพรีเมียร์ลีกระหว่างปี 1997 ถึง 2004 เป็นนักเตะที่โดนแฟนบอลทั้งรักและเกลียดพอๆกัน เป็นตัวละครบนสนามหญ้าที่ทำให้เกิดใบแดง การต่อสู้ ความผันแปร และสกอร์ ซึ่งถ้านับเฉพาะพรีเมียร์ลีก ดี คานิโอ ส่งลูกหนังซุกก้นตาข่ายรวม 73 ครั้ง ไม่ว่าคุณจะเกลียดหรือรัก เขาต้องถูกคุณใส่ชื่อไว้ในลิสต์นี้แน่นอน

จิอันลูกา วิอัลลี (เชลซี)

วิอัลลีผู้วายชนม์เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาด้วยวัย 58 ปี เล่นให้เดอะ บลูส์ ระหว่างปี 1996 ถึง 1999 ก่อนแขวนสตั๊ดหลังซีซัน 1998-99 เพื่อโฟกัสตำแหน่งผู้จัดการทีมที่รับหลังจาก รุด กุลลิท ถูกไล่ออกเดือนกุมภาพันธ์ 1998 ตอนนั้นเขามีอายุเพียง 33 ปี ในส่วนฐานะผู้เล่น วิอัลลีทำ 11  ประตูรวมทุกรายแรกในซีซันแรกกับเชลซี กลายเป็นขวัญใจของแฟนบอลทันที ก่อนเพิ่มเป็น 19 ประตูในซีซันต่อมา หากนับเฉพาะช่วงที่เป็นเพลเยอร์-แมเนเจอร์ เขายังทำได้รวม 29 ประตู แน่นอนเมื่อเอ่ยชื่อวิอัลลี ต้องนึกถึง “ประตู” เขายังได้แชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพ, เอฟเอ คัพ และลีก คัพ

ทายาทปีร์โล ผู้มีกัตตูโซเป็นต้นแบบ

ย้อนกลับไปเมื่อครั้งเติบโตในซันตันเจโล เมืองเล็กๆที่มีประชากรราว 13,000 คน โตนาลีก็เหมือนชาวเมืองส่วนใหญ่ที่เชียร์ทีมมิลาน สำหรับเด็กๆวัยเดียวกัน ฟุตบอลคือกิจกรรมสนุกสนาน แต่โตนาลีต่างออกไป เขาเหมือนเป็น masochist จะไม่ยินดีต่อเกมการแข่งขันจนกว่าจะได้รับความเจ็บปวดเพื่อไปสู่ชัยชนะ

โตนาลีกลายเป็นที่สนใจจากแฟนบอลทั่วอิตาลีเมื่อครั้งลงสนามให้เบรสชา ถูกยกย่องให้เป็นทายาทของ อันเดรีย ปีร์โลมิดฟิลด์ระดับตำนานที่เคยเป็นนักเตะมิลานระหว่างปี 2001 – 2011 และยูเวนตุสระหว่างปี 2011 – 2015 แต่ “ศิลปินลูกหนัง” ปีร์โล ซึ่งเพิ่งได้รับแต่งตั้งให้คุมทีมซามพ์โดเรียในซีเรีย เบ เคยให้สัมภาษณ์ถึงโตนาลีว่า “ในฐานะนักเตะ เขาไม่ได้ดูเหมือนผมเลย เขาเป็นผู้เล่นที่สมบูรณ์แบบกว่าทั้งเกมรับและเกมบุก”

ความจริงแล้ว ไอดอลของโตนาลีคือ เจนนาโร กัตตูโซ เพื่อนร่วมทีมมิลานของปีร์โลในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ

ในหนังสั้นเรื่อง Sandro Tonali – A Rossonero dream come true เปิดเผยว่า แก้วกระเบื้องที่พรินต์ภาพกัตตูโซเป็นหนึ่งในของสะสมที่มีคุณค่าของโตนาลี เมื่อครั้งแม่ของเขาทำแตกโดยบังเอิญ โตนาลีบรรจงใช้กาวติดแต่ละชิ้นส่วนที่แตกจนประกอบกลับเป็นแก้วตามเดิม

เช่นเดียวกับกัตตูโซ โตนาลีมีสไตล์การเล่นที่สู้ไม่ถอย มีจิตวิญญาณแห่งการเสียสละเพื่อทีม และความสามารถในการครอบคลุมพื้นที่ เขายังเป็นนักเตะที่ใส่ใจเกมลูกหนังอย่างจริงจัง มีเรื่องเล่าวว่าก่อนแมตช์แชมเปียนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศที่ผ่านมากับอินเตอร์ มิลาน โตนาลีขังตัวเองจากโลกภายนอก เคร่งครัดการควบคุมอาหาร ฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ งานด้านประชาสัมพันธ์ถูกปรับเปลี่ยนกำหนดการ ไม่เล่นโซเชียลมีเดีย ไม่จัดงานฉลองวันเกิด มีเพียงเค้กชิ้นเล็กๆกับเทียนเล่มเดียวพอเป็นพิธี เนื่องจากโตนาลีมีงานต้องทำและมีการแข่งขันต้องเล่น

เมื่อนำค่าตัวที่เป็นสถิติใหม่ของอิตาลี และฝีเท้าทักษะที่หลากหลายครบเครื่องรอบจัดในตำแหน่งมิดฟิลด์ มารวมกับใบหน้าหล่อเข้มสไตล์หนุ่มอิตาเลียนกับคาแรกเตอร์ที่จริงจังเหนือนักบอลอาชีพทั่วโลก เชื่อได้เลยว่า ซานโดร โตนาลี มิดฟิลด์วัย 23 ปี ในสีเสื้อลายดำขาวของนิวคาสเซิล ต้องเป็นสีสันที่จัดจ้านของพรีเมียร์ลีก ซีซัน 2023-24 อย่างแน่นอน

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Football Tactics

กั๊กโป เกิดใหม่ในร่างนักเตะเบอร์ 9 กับตัวช่วยที่มากกว่าพรสวรรค์-พรแสวง

ลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จในการเลือกสรรนักเตะใหม่เข้ามาในตลาดเดือนมกราคม 2 ปีติดต่อกัน ปี 2022 คือ ลุยซ์ ดิอาซ ค่าตัว 37 ล้านปอนด์จากทีมปอร์โต (บวกแอด-ออน 12 ล้านปอนด์) ปีกซ้ายทีมชาติโคลอมเบียปรับตัวกับลีกใหม่อย่างรวดเร็ว มีส่วนสำคัญขับเคลื่อนฟอร์มทีมหงส์แดงจนคว้า 2 แชมป์ 2 รองแชมป์ ด้วยสถิติ 26 นัด 6 ประตูรวมทุกรายการ แต่โชคร้ายซีซันต่อมา ดิอาซใช้เวลาส่วนใหญ่รักษาอาการบาดเจ็บจนลงสนามรวมแค่ 21 นัด แต่ยังทำได้ 5ประตู

ตลาดนัดปีนี้ ลิเวอร์พูลให้อภัยหน้าเค้กเปรียบเทียบแมนฯยูไนเต็ดจ่ายเงินราว 37 ทดสอบให้พีเอสวี ไอน์ดโฮเฟน (บวกแอด-ออน 3 ความต้องการ) เพื่อซื้อโคดีกั๊กโปซึ่งใกล้  จะ  เซ็น สัญญากับทีมปีศาจแดงปี๊ทิ้งไว้ให้เล่นกับเพื่อนใหม่ดีกว่าจะได้ช่วยทีมหงส์แดงฟอร์มแรงช่วงท้ายไต่อันดับพรีเมียร์ลีกจนมีลุ้นโควตาแชมเปียนส์ลีกโดยดิอาซเล่น 26 นัดที่ 7 ประตูรวมทุกรายการ

สำหรับกั๊กโปแล้ว สิ่งที่เกินคาดทั้งแฟนบอลและสื่อมวลชนคือ แทนที่เยอร์เกน คลอปป์ จะส่งกั๊กโปเล่นแนวรุกฝั่งซ้าย ตำแหน่งประจำที่พีเอสวี แทนดิอาซและดีโอโก โซตา ที่บาดเจ็บพร้อมกัน แต่กลับมอบหมายกั๊กโปยืนศูนย์หน้า ส่วนปีกซ้ายเป็นดาร์วิน นูนเญซ ซึ่งกูรูลูกหนังเคยเชื่อว่า ลิเวอร์พูลยอมทุ่มให้เบนฟิกาสูงถึง 64 ล้านปอนด์ (บวกแอด-ออน 21ล้านปอนด์) เพื่อมายืนตำแหน่งเบอร์ 9 เหมือนเออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ของแมนฯซิตี

ช่วงครึ่งแรกของซีซัน 2022-23 ก่อนย้ายมาเมอร์ซีย์ไซด์ กั๊กโปทำผลงานในเอเรดิวิซีของเนเธอร์แลนด์ 9 ประตู 12 แอสซิสต์จากการเล่น 14 นัด และเป็นปีกซ้ายเบอร์ 1 ของเฮดโค้ช รุด ฟาน นิสเตลรอย และจากสถิติทั้งหมด 159 นัดรวมทุกรายการ (55 ประตู 50 แอสซิสต์) ในสีเสื้อพีเอสวีตั้งแต่เล่นให้ทีมชุดใหญ่นัดแรกต้นปี 2018 เว็บไซต์ transfermarkt ระบุว่า กั๊กโปเล่นปีกซ้ายถึง 118 นัด รองลงมาคือ ศูนย์หน้า 15 นัด และปีกขวา 14 นัด ส่วนอีกนัดเป็นมิดฟิลด์ตัวรุก

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คลอปป์จะทำให้ผู้คนมากมายเซอร์ไพรส์ที่ใช้งานกั๊กโปเป็นกองหน้าตัวเป้า ไม่ใช่ตำแหน่งที่เป็นภาพจำอย่างปีกซ้าย โดยเฉพาะข้อจำกัดที่ดิอาซกับโซตาไม่สมบูรณ์พร้อมกัน แถมนูนเญซก็ถูกคาดหวังมาเป็นศูนย์หน้าตัวหลักอีก … แม้แต่ กั๊กโปเองก็ยอมรับว่าคิดไม่ถึงเช่นกัน

เมินคำแนะนำว่าเหมาะกับสไตรเกอร์มากกว่าปีก

หลังฤดูกาล 2022-23 ปิดฉากลง กั๊กโปให้สัมภาษณ์สื่อว่า คลอปป์โน้มน้าวให้เขาเชื่อว่าตำแหน่งที่ดีสำหรับเขามากที่สุดคือ STRIKER ไม่ใช่ปีก และตอนนี้เขาก็มีความสุขและสนุกกับตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าที่ลิเวอร์พูล การย้ายจากปีกซ้ายมายืนเบอร์ 9 เป็นสิ่งเพลิดเพลินด้วยซ้ำ คอมเมนเตเตอร์หลายคนมองว่าเมื่อโรแบร์โต ฟีร์มิโน ย้ายออกจากแอนฟิลด์ กั๊กโปจะเป็นตัวแทน false nine ของฟีร์มิโนอย่างแน่นอน

กั๊กโปเซ็นสัญญา 5 ปีครึ่งกับลิเวอร์พูลเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2022 หรือ 4 วันก่อนตลาดฤดูหนาวเปิดอย่างเป็นทางการ สร้างรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์สโมสรพีเอสวี เขาปรากฏตัวในสนามครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2023 เป็นเอฟเอ คัพ รอบ 3 ที่เสมอวูลฟ์แฮมป์ตัน 2-2 กั๊กโปยืนตำแหน่งปีกซ้ายที่คุ้นเคย ส่วนศูนย์หน้าคือนูนเญซ นัดต่อมาเป็นเกมพรีเมียร์ลีก วันที่ 14 มกราคม ลิเวอร์พูลชนะไบรท์ตัน 3-0 คลอปป์ปรับหมากเกม  ย้ายกั๊กโปยืนศูนย์หน้า ปีกซ้ายเป็นหน้าที่ของอเล็กซ์ ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน แม้กั๊กโปทำประตูไม่ได้ช่วง 6 นัดแรกแต่เขาไม่คิดว่ามีผลมาจากการปรับเปลี่ยนตำแหน่ง

กั๊กโปส่งลูกหนังซุกตาข่ายให้ลิเวอร์พูลได้สำเร็จ เป็นสกอร์นำร่องก่อนชนะเอฟเวอร์ตัน ทีมเพื่อนบ้าน 2-0 ในบอลลีกวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ประตูที่ 2 ตามมาอีก 5 วันในแมตช์ชนะนิวคาสเซิล 2-0 อีกทั้งยังทำ 2 ประตูเมื่อวันที่ 5 มีนาคม กับเกมหนึ่งที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในซีซันนี้ ลิเวอร์พูลเปิดบ้านถล่มแมนฯยูไนเต็ดราบคาบ 7-0 และยังมีเกมที่กั๊กโปทำ 2 แอสซิสต์อีกด้วยคือวันที่ 30 เมษายน จ่ายให้ดิอาซทำประตูขึ้นนำสเปอร์ส 2-0 ก่อนที่โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ สังหารจุดโทษให้สกอร์ห่างเป็น 3-0 เมื่อกั๊กโปโดนทำฟาวล์ในเขตโทษ แม้สเปอร์สตีเสมอ 3-3 แต่โซตาทำประตูชัยให้เจ้าถิ่นในนาทีที่ 90+4

สตาร์ทีมชาติเนเธอร์แลนด์กล่าวว่า “คลอปป์โน้มน้าวว่ากองหน้าเป็นตำแหน่งที่เหมาะสมกับผมมากที่สุด แน่นอนเป็นช่วงเวลาลำบากเมื่อครั้งมาถึงลิเวอร์พูลใหม่ๆ คลอปป์พูดชัดเจนว่าต้องการอะไรจากผม แต่ช่วงเริ่มต้น ก็ต้องใช้เวลาปรับตัวให้คุ้นชินเป็นธรรมดา แต่อยากบอกว่า ผมสนุกที่ได้เล่นตำแหน่งนี้ตลอด 2-3 เดือนที่ผ่านมา”

แม้ใช้เวลาเกือบทั้งหมดทำหน้าที่แนวรุกริมเส้นบนสังเวียนเอเรดิวิซี แต่กับทีมชาติเนเธอร์แลนด์ เป็นเรื่องปกติถ้ากั๊กโปถูกวางเป็นศูนย์หน้า อย่างเช่นเวิลด์คัพที่กาตาร์ หลุยส์ ฟาน กัล ให้กั๊กโปยืนตำแหน่งเบอร์ 9 ในนัดเสมอเอกวาดอร์ 1-1, ชนะกาตาร์ 2-0 และชนะสหรัฐอเมริกา 3-1 ส่วนนัดเปิดสนามที่ชนะเซเนกัล 0-2 และแมตช์รอบ 8 ทีมสุดท้ายที่แพ้ดวลจุดโทษต่ออาร์เจนตินา กั๊กโปรับบทมิดฟิลด์ตัวรุก โดยฟุตบอลโลก กั๊กโปเป็นตัวจริงทั้ง 5 นัด ทำได้ 3 ประตู

กั๊กโปเล่าว่า “กัส ฮิดดิงค์ เป็นคนแรกที่แนะนำว่า ผมควรเป็นสไตรเกอร์หรือไม่ก็ false nine มีช่วงหนึ่งเขาเป็นบอร์ดบริหารและเคยเห็นผมเล่น แต่ผมไม่เชื่อหรอกนะ ต่อมาเป็นโรเจอร์ ชมิดท์ ที่พูดแบบเดียวกันตอนที่คุมทีมพีเอสวี แต่ผมยังใจแข็งเหมือนเดิมเพราะรู้สึกดีกับปีกซ้ายมากกว่า”

“แต่จุดเปลี่ยนคือเวิลด์คัพ 2022 ผมต้องเล่นบริเวณพื้นที่กลางสนามมากขึ้น และกลายเป็นงานถาวรเกือบตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา มันโอเคแล้วนะ ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ทุกอย่างดีขึ้นเรื่อยๆกับการเล่นตำแหน่งนี้ให้สโมสรเช่นเดียวกับทีมชาติ”

2 นัดล่าสุดกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาในรายการเนชันส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ (แพ้โครเอเชีย) และนัดชิงอันดับ 3 (แพ้อิตาลี) โรนัลด์ คูมัน กุนซือคนใหม่ของเนเธอร์แลนด์ ใช้บริการกั๊กโปเป็นศูนย์หน้าแทนเมมฟิส เดปาย ที่บาดเจ็บน่อง

ดูเหมือนเส้นทางของกั๊กโปทั้งระดับสโมสรและทีมชาติได้มาบรรจบกันที่ “สไตรเกอร์” ทำให้เขาสามารถทุ่มเทสมาธิได้เต็มที่กับทักษะเครื่องจักรล่าประตู ซึ่งที่ผ่านมา แนวรุกดัตช์ไม่ได้มีเพียงสตาฟฟ์โค้ชสโมสรและทีมชาติที่เข้ามาช่วยพัฒนาฝีเท้า แต่ยังมีทีมงานส่วนตัวด้วย

จ้างทีมงานโค้ชแทคติกส่วนตัวเพื่ออัปเกรดฝีเท้า

ถ้าพิจารณาสไตล์การเล่นที่ผ่านมา กั๊กโปก็เป็นแนวรุกริมเส้นที่กึ่งๆกองหน้าอยู่แล้ว เขาเป็นปีกซ้ายที่ถนัดเท้าขวา บ่อยครั้งจะตัดเข้าในและเคลื่อนที่โจมตีฝ่ายตรงข้ามบนพื้นที่กลางสนาม ใช้ความเร็วและการเลี้ยงบอลที่คล่องแคล่วเพื่อ “กิน” กองหลังคู่แข่งจนกระทั่งเจอช่องว่างและโอกาสที่จะซัดบอลเพื่อทำประตู

ย้อนกลับยังเวิลด์ คัพ 2022 นัดแรกของรอบแรก กลุ่ม เอ ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุในกาตาร์ เนเธอร์แลนด์ยังเสมอเซเนกัล 0-0 ดูเหมือนไม่สามารถหาช่องว่างของแนวรับเพื่อเจาะเข้าไปทำสกอร์ นักเตะเสื้อขาวยืนแพ็คแน่นบริเวณกรอบเขตโทษ 

เหลือเวลาราว 6 นาที แฟรงกี เดอ ยอง โยนยาวไปหน้าประตู กั๊กโปวิ่งทะยานจากปีกขวา ทะลวงกองหลังเซเนกัล 2 คนที่มองบอลที่กำลังลอยเข้ามา กั๊กโปกระโดดโฉบโหม่งตัดหน้านายทวารเอดูอาร์ เมนดี ที่กระโดดหวังชกบอลแต่พลาด กั๊กโปโหม่งให้เนเธอร์แลนด์นำ 1-0 ก่อนชนะไปในที่สุด 2-0 เก็บ 3 แต้มแรกตุนได้สำเร็จ

ประตูปลดล็อคคลายความกดดันให้ทีมอัศวินสีส้มมีที่มาที่ไปจากเหตุการณ์ประมาณครึ่งปีก่อนหน้าฟุตบอลโลก ชายผู้สอนทริกการเล่นให้กั๊กโปผ่านการรีเพลย์คลิปวิดิโอทีละขั้นตอน เปิดเผยว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจจากบาสเกตบอล

โลแรน วีรีลิงค์ โค้ชด้านแทคติกของกั๊กโป ให้สัมภาษณ์กับอีเอสพีเอ็นว่า “นั่นเป็นแผนการวิ่งที่พวกเราทำงานร่วมกัน เขาวิ่งไปด้านหลังในจังหวะกองหลังขยับขึ้นหน้า เป็นหนึ่งในแผนการวิ่งที่ผมเรียนรู้จากสมัยเป็นนักบาสเกตบอลอาชีพ เรามีรูปแบบที่แตกต่างกัน 6 อย่างของการวิ่งเข้าไปในกรอบเขตโทษ”

“ซิดนีย์ พี่ชายของกั๊กโป ส่งข้อความมาถึงผม (หลังเนเธอร์แลนด์ชนะเซเนกัล) บอกว่า ‘โลแรน นั่นเป็นประตูของคุณ’ กั๊กโปคงไม่วิ่งลักษณะนั้นถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผม เขาคงมองไม่เห็นดีเฟนซีพไลน์ที่ขยับขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นให้เขาวิ่งตัดหลังคู่แข่ง”

ที่กาตาร์ กั๊กโปเดินหน้าทำสกอร์ต่อไปใน 2 นัดที่เหลือของรอบแรก (เอกวาดอร์และกาตาร์) ก่อนสิ้นสุดเส้นทางที่รอบก่อนรองชนะเลิศเมื่อพ่ายต่ออาร์เจนตินา

เป็นความปกติของฟุตบอลสมัยใหม่ที่นักเตะจะว่าจ้างเทรนเนอร์ส่วนตัวเพื่อยกระดับตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น รวดเร็วขึ้น และเฉียบคมขึ้น กั๊กโปเป็นหนึ่งในนักฟุตบอล 200 คน ที่ทำงานร่วมกับวีรีลิงค์ด้วยความหวังให้ตัวเองเป็นนักเตะที่เก่งขึ้น อดีตครูพละชาวดัตช์ได้เข้ามาช่วยให้นักฟุตบอลมีคู่มือแผนการเล่นเฉพาะตัวเหมือนกับกั๊กโป ซึ่งนำไปสร้างความได้เปรียบหรือความแปลกใจให้กับคู่ต่อสู้บนสนามหญ้า

ปรารถนาเป็นหนึ่งในนักเตะ 1% ที่ยืนบนยอดพิระมิด

ซิดนีย์ กั๊กโป รู้ดีว่าน้องชายของเขาต้องการข้อมูลเชิงลึกมากกว่าเพื่อนร่วมอาชีพทั่วไป จึงแนะนำโคดีให้รู้จักวีรีลิงค์ก่อนลีกเนเธอร์แลนด์เปิดฤดูกาล 2021-22 แม้ความได้เปรียบจากส่วนสูง 6 ฟุต 3 นิ้ว ก็สร้างความหวั่นไหวให้กองหลังได้แล้ว กั๊กโปยังมีอันตรายจากความเร็ว การครองบอล และทักษะด้านเทคนิคในการสร้างแผนเข้าโจมตีฝ่ายตรงข้าม

กั๊กโปมีพ่อเชื้อสายกานาที่เกิดในโตโก แม่เป็นชาวดัตช์ เขาเกิดในไอน์ดโฮเฟน เริ่มเข้าศึกษาศาสตร์ลูกหนังในอะคาเดมีของ พีเอสวี ไอน์ดโฮเฟน เมื่อปี 2007 ตอนอายุเพียง 8 ขวบ กั๊กโปผ่านโปรแกรมเยาวชนทุกระดับของสโมสร และเริ่มเข้าไปอยู่ใน ยอง พีเอสวี ซึ่งเป็นทีมสำรองของพีเอสวี ไอน์ดโฮเฟน ในซีซัน 2016-17 แต่ยังใช้เวลาส่วนใหญ่กับทีม ยู-19กั๊กโปประเดิมทีมชุดใหญ่ของพีเอสวีเมื่อถูกส่งลงสนามช่วงทดเวลาเจ็บของแมตช์ชนะเฟเยนูร์ด 3-1 เมื่อวันที่ 25กุมภาพันธ์ 2018

แม้พรสวรรค์บวกกับพรแสวงที่เพิ่มเติมขึ้นขณะอยู่ในระบบของพีเอสวีจะทำให้กั๊กโปไปได้ไกลกว่านักเตะรุ่นเดียวกันส่วนใหญ่ แต่กั๊กโปต้องการมากกว่านั้น แค่ดียังไม่พอ เขากระหายที่จะเป็นนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ เป็นนักฟุตบอลส่วนน้อย 1เปอร์เซ็นต์ที่ยืนอยู่บนยอดพีระมิด นั่นจึงทำให้เขาตกลงใจทำงานกับวีรีลิงค์

หลังทำการรีวิวการเล่นของกั๊กโป วีรีลิงค์ได้ข้อสรุปว่า กั๊กโปจำเป็นต้องพัฒนาประสิทธิภาพและการเคลื่อนที่ในโซน final third พวกเขาประชุมสุมหัวคิดร่วมกัน กั๊กโปต้องเล่นฟุตบอลด้วยมันสมองมากขึ้น คิดคำนวณให้มากขึ้นในแต่ละครั้งที่จะขยับตัวหรือทำอะไรสักอย่าง แทนการตั้งหน้าตั้งตาวิ่งหรือดวลตัวต่อตัวกับคู่แข่งบ่อยเกินไป กั๊กโปควรสงวนพลังงานเพื่อเอาไปใช้ในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย

“กั๊กโปเป็นนักเตะที่ชอบเวลาลูกบอลอยู่กับเท้า แต่ผมบอกว่า ถ้าเขาต้องการเล่นฟุตบอลให้ได้ถึงระดับท็อป เขาจำเป็นต้องมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่านี้ และมีคำตอบไว้หลายแบบสำหรับสถานการณ์ต่างๆในการแข่งขัน ตัวอย่างเช่น คุณต้องสร้างมุมและตำแหน่งที่แตกต่างกันเวลาเผชิญหน้ากรอบประตู มันเป็นสิ่งที่ผมเรียนรู้จากบาสเกตบอล ทุกครั้งที่ได้ลูก คุณต้องพร้อมที่จะชู้ตลูกออกไปเสมอ นั่นจึงเป็นการสร้างอันตราย”

“ที่พีเอสวี เขาดูนิ่งเกินไปและมักปักหลักยืนแทนที่จะเคลื่อนที่ไปรอบๆ ดังนั้นเราจึงต้องวางแผนงานว่า เขาจะวางสรีระอย่างไรก่อนจะรับบอล(ที่ส่งมาให้)หรือออกวิ่ง เรายังต้องวางแผนเรื่องการเฝ้ามองพื้นที่ว่างไม่ว่าจะมีบอลอยู่กับตัวหรือไม่ เพราะนั่นจะทำให้เขามองเห็นช่องว่างที่สามารถวิ่งทะลวงเข้าไป”

3 ซีซันก่อนหน้าทำงานกับวีรีลิงค์ กั๊กโปมีสถิติรวมทุกรายการคือ 19 นัด 2 ประตูในซีซัน 2018-19, 39 นัด 8 ประตูในซีซัน 2019-20 และ 29 นัด 11 ประตูในซีซัน 2020-21 ส่วนซีซัน 2021-22 เฉพาะในเอเรดิวิซี กั๊กโปทำได้ 12 ประตูจาก 27 นัด และ 21 ประตูจาก 47 นัดรวมทุกรายการ

กั๊กโปอำลาลีกเนเธอร์แลนด์เมื่อซีซัน 2022-23 ผ่านไปราวครึ่งทาง เขาครองอันดับ 1 ของเอเรดิวิซีทั้งจำนวนสกอร์ (9ประตู) และแอสซิสต์ (12 ครั้ง) จากการลงสนาม 14 นัด มีเพียง ดูซาน ทาดิช (อาแจ็กซ์) และ วาคลาฟ เชร์นี (ทเวนเต) ที่ทำประตูได้มากกว่ากั๊กโปเมื่อจบโปรแกรมแข่งขัน แต่ทั้งสองเล่นมากกว่ากั๊กโปคนละ 14 นัด

เปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองก่อนแล้วเพื่อนจะเปลี่ยนตาม

วีรีลิงค์อธิบายถึงการทำงานร่วมกับกั๊กโปว่า ทีมงานได้เตรียมวิดีโอกว่าร้อยคลิปที่ได้จาก WyScout แพลตฟอร์มฟุตบอลอาชีพที่บรรดาเอเยนต์ แมวมอง ผู้เล่น สื่อมวลชน และกรรมการใช้งานอย่างแพร่หลาย พวกเขาโฟกัสไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนที่ของร่างกายและศีรษะของแนวรุกดัตช์เพื่อเชื่อมโยงเข้ากับลูกฟุตบอล, การครองบอลของเพื่อนร่วมทีม และตำแหน่งของตัวประกบ จากนั้นจะถูกวางโปรแกรมให้ตอบสนองต่อสถานการณ์หลายรูปแบบและนำไปสร้างผลกระทบเชิงลบต่อคู่แข่ง ประตูแรกของกั๊กโปช่วงปลายครึ่งแรกที่ทำให้ลิเวอร์พูลนำ 2-0 ก่อนชนะแมนฯยูไนเต็ดถล่มทลาย 7-0 ในเดือนมีนาคม เป็นตัวอย่างที่ดี

เพลย์เริ่มที่อลิสซง เบคเกอร์ เตะบอลยาวไปยังแดนแมนฯยูไนเต็ดให้ แอนดี โรเบิร์ตสัน ที่อยู่ใกล้ริมสนามฝั่งซ้าย กั๊กโปฉีกตัวเองจากแถววงกลมกลางสนามไปริมสนาม แต่เขาไม่ได้ขอบอลจากแบ็คซ้ายร่วมทีม แต่หวังสร้างพื้นที่ว่างตรงกลาง ซึ่งโรเบิร์ตสันตอบสนองด้วยการตัดเข้าในทันที 

มาถึงตรงนี้ กั๊กโปเห็นเฟรด นักเตะแมนฯยูไนเต็ด ที่อยู่ใกล้เขามากที่สุด กำลังมองไปที่บอล นั่นเป็นตัวกระตุ้นให้กั๊กโปนึกถึง backdoor run ที่ได้มาจากทีมงานของวีรีลิงค์ เขาจึงวิ่งตัดเข้าในด้านหลังของเฟรด ซึ่งเซเสียจังหวะ ขณะเดียวกันโรเบิร์ตสันจ่ายบอลทะลุกลุ่มผู้เล่นไปที่มุมกรอบเขตโทษ ส่วนกั๊กโปก็วิ่งเข้ามารับแบบเหมาะเจาะ

ราฟาเอล เวราน ปรี่เข้ามาขวาง กั๊กโปหักหลบเปลี่ยนทิศทางทำให้ปราการหลังเฟรนซ์เสียหลัก เป็นการเพิ่มพื้นที่ว่างด้านหน้า เขาแตะบอลหนึ่งจังหวะก่อนสับไกด้วยเท้าขวา ลูกพุ่งเข้าประตูทางเสาไกล ซึ่งวีรีลิงค์กล่าวเพิ่มว่า ลูกเล่นนี้ กั๊กโปเรียนรู้จากคลิปการสอนของเขาที่ชื่อว่า Clear depth-run – backdoor side

กั๊กโปและ สเตฟาน เดอ ฟรีจ์ ปราการหลังทีมชาติเนเธอร์แลนด์ เป็นนักกีฬาที่มีชื่อเสียงที่วีรีลิงค์สามารถเปิดเผยชื่อได้ วีรีลิงค์ยังมีลูกค้าระดับดาราอีกหลายคนที่ได้ประโยชน์จากหลักสูตรของเขา แต่ปรารถนาจะเก็บการทำงานเป็นเรื่องส่วนตัวอย่างลับๆ

วีรีลิงค์มีแผนขยายธุรกิจของบริษัท แทคทาไลซ์ (Tactalyse) ไปยังสหรัฐอเมริกาก่อนถึงฟุตบอลโลก 2026 ซึ่งเขามั่นใจว่าเป็นโอกาสที่ดีเพราะคนอเมริกันพร้อมลงทุนที่เกี่ยวข้องกับอาชีพตัวเอง ต่างกับยุโรปที่เห็นว่าบริการเหล่านี้เป็นเรื่องเกินความจำเป็น ส่วนที่สหรัฐอเมริกา การจ่ายเงินให้เทรนนิงส่วนตัวเป็นเรื่องปกติมาก

แม้เป็นช่วงปิดซีซัน แต่นักฟุตบอลปัจจุบันนี้มักวางแผนซ้อมส่วนตัวระหว่างฤดูร้อนเพื่อรับประกันว่าพวกเขาจะเข้าค่ายเก็บตัวพรี-ซีซันในสภาพร่างกายที่ดี หรือบางคนที่เพิ่งผ่านซีซันที่เลวร้าย ฤดูร้อนเป็นเวลาเหมาะสมที่จะประเมินประสิทธิภาพของตัวเอง และตั้งคำถามว่า มีอะไรที่ตัวเขาทำได้เพื่อช่วยเหลือทีม

วีรีลิงค์เสนอมุมมองว่า “นักเตะหลายคนชอบบ่นเพื่อนร่วมทีมที่ไม่ยอมส่งบอลมาให้ บางทีเพื่อนอาจมองไม่เห็นคุณก็ได้เลยไม่ผ่านบอลมา ข้อแนะนำของผมคือ ถ้าคุณเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง คุณจะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของเพื่อนได้ ผลกระทบที่ส่งไปจากคนๆเดียวนั้นใหญ่กว่าที่คิด”

กั๊กโปและแทคทาไลซ์ทำงานร่วมกันตลอดซัมเมอร์เพื่อให้มั่นใจว่าเพื่อนร่วมทีมลิเวอร์พูลเห็นเขากำลังวิ่งตัดหลังฝ่ายตรงข้ามหรือกองหลังที่จับตามองบอล จากนั้นเมื่อเขาหลุดเข้าไปดวลตัวต่อตัวกับนายประตูหรือกองหลังคนสุดท้าย เขาต้องพร้อมที่จะโป้งปิดบัญชีด้วยความเฉียบคม สำหรับวีรีลิงค์แล้ว แทคติกของทีมมักถูกตีค่าเกินจริง แต่เป็นกลยุทธเฉพาะบุคคลของตัวนักเตะต่างหากที่สร้างความแตกต่างให้กับเกมลูกหนัง

“เราสามารถคุยเรื่องระบบการเล่นของทีมได้ยาวเป็นชั่วโมงๆ แต่ท้ายสุดแล้ว เป็นนักเตะที่สามารถทำบางอย่างได้สมบูรณ์แบบต่างหากที่จะเป็นตัวตัดสินเกม” บอสใหญ่แห่งแทคทาไลซ์กล่าวทิ้งท้าย

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Special Content

ไกเซโด มิดฟิลด์ครบเครื่องรอบจัด ซีซันเดียวราคาพุ่ง 70-80 ล้านปอนด์

กว่า 3 ปีที่แล้ว มอยเซส ไกเซโด เล่นอยู่ในลีกเซเรีย เอ ของเอกวาดอร์ กับสโมสร อินดิเพนเดียนเต เดล วัลเล และยังเป็นผู้เล่นโนเนมของแฟนบอลทั่วโลก แต่ตอนนี้ เขากลายเป็นที่หมายปองของอาร์เซนอลและเชลซีด้วยค่าตัวแพงลิ่วถึง 70-80 ล้านปอนด์ในฐานะมิดฟิลด์ดาวรุ่งพุ่งแรงที่จะอายุเพียง 22 ปีในวันที่ 2 พฤศจิกายน

ไกเซโด ซึ่งย้ายมาอยู่ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบียน ต้นปี 2021 ด้วยราคาเพียง 4.5 ล้านปอนด์ เพิ่งแจ้งเกิดจริงๆในพรีเมียร์ลีกเพียงปีเดียวคือฤดูกาล 2022-23 หลังจากปล่อยให้ เบียร์ช็อต วีเอ สโมสรเบลเยียม ยืมใช้งานครึ่งแรกของซีซัน 2021-22 ก่อนทีมนกนางนวลเรียกกลับเนื่องจากขาดแคลนมิดฟิลด์ช่วงครึ่งหลัง

อาร์เซนอลเคยพยายามเจรจาขอซื้อไกเซโดในตลาดเดือนมกราคมที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เคยมีข่าวสนใจมิดฟิลด์ทีมชาติเอกวาดอร์ด้วยเช่นกัน ขณะที่เชลซีเข้ามามีเอี่ยวด้วยเพื่อเป็นตัวแทนของ เอ็นโกโล กองเต้ ที่เพิ่งย้ายไปเล่นในลีกซาอุดิ อาระเบีย กับทีมอัลอิตติฮาด โดยถ้าซื้อขายจริงที่ 80 ล้านปอนด์จะทำให้ไกเซโดเป็นมิดฟิลด์ค่าตัวแพงที่สุดอันดับ 6 ในประวัติศาสตร์โลกลูกหนัง นั่นเท่ากับไบรท์ตันทำกำไรเกือบ 20 เท่า

ทำไมไกเซโดที่เพิ่งมีตัวตนในพรีเมียร์ลีกแค่ซีซันเดียว กลายเป็นกองกลางรูปทองเนื้อหอมที่ถูกตั้งราคาไว้สูงลิ่ว

ไกเซโดเป็นนักเตะสำคัญลำดับต้นๆของทีมไบรท์ตันที่จบพรีเมียร์ลีกด้วยอันดับ 6 สูงสุดในประวัติศาสตร์สโมสร และได้สิทธิ์เล่นยูโรปา ลีก ซึ่งเป็นสังเวียนยุโรปครั้งแรก มีเพียง ปาสกาล กรอสส์ และ ลูอิส ดังค์ เท่านั้นที่เล่นบอลลีกมากกว่าเขาในทีมนกนางนวล

พรีเมียร์ลีก ซีซัน 2022-23 ไกเซโดลงสนามรวม 3,140 นาที เป็นตัวจริง 34 นัด สำรอง 3 นัด มีแค่นัดเดียวที่ไม่มีชื่ออยู่ในทีมคือ เกมแพ้อาร์เซนอล 2-4 เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2022 ซึ่งเป็นนัดที่ 2 ที่พรีเมียร์ลีกกลับมาแข่งขันต่อหลังเบรกฟุตบอลโลก ส่วนเกม 5 วันก่อนหน้านั้นที่ชนะเซาแธมป์ตัน 3-1 ไกเซโดลงเต็มแมตช์

หลักๆแล้วทั้ง แกรห์ม พอตเตอร์ และ โรแบร์โต เด แซร์บี ซึ่งเข้ามาคุมทีมไบรท์ตันกลางกันยายน 2022 วางไกเซโดเป็น double pivot บนกระดานหมากเกม เคียงข้างกรอสส์หรือไม่ก็ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ทั้งสองรับบทสร้างสรรค์เกมยามครองบอล ส่วนไกเซโดเน้นเกมรับเป็นตัว defensive ball-winner แถมท้ายซีซันยังเคยถูกย้ายไปยืนแบ็คขวา รวมถึงเกมสำคัญที่เฉือนแมนฯยูไนเต็ด 1-0 ต้นเดือนพฤษภาคม

อ้างอิงจากข้อมูลเว็บไซต์ transfermarkt กับแผนการเล่น 4-2-3-1 ซึ่งไกเซโดยืนฝั่งขวาของคู่มิดฟิลด์ เขาเล่นตำแหน่ง defensive midfield 27 นัด รวมถึงเกมที่เขาทำ 1 ประตู 1 แอสซิสต์ในซีซันที่ผ่านมา, central midfield 4 นัด และ right-back 3 นัด 

ทางด้านเว็บไซต์ theanalyst ระบุอย่างชัดเจนจากเวลาในการยืนตำแหน่งนั้นๆ DM 61%, CM 30% และ RB 8% เท่ากับเป็นการยืนยันว่า ไกเซโดได้รับมอบหมายงานป้องกันเป็นหลัก รับผิดชอบเกมรับอยู่ด้านหน้าแบ็คโฟร์ คอยสกัดกั้นและแย่งบอลกลับคืน

ดีกรีแชมป์สโมสรทวีปอเมริกาใต้ รุ่น ยู-20

ไกเซโดมีชื่อเต็มว่า Moisés Isaac Caicedo Corozo เกิดวันที่ 2 พฤศจิกายน 2001 ที่เมืองซานโต โดมิงโก ประเทศเอกวาดอร์ เข้าร่วมอะคาเดมีของสโมสรอินดิเพนเดียนเต เดล วัลเล ตอนอายุ 13 ปี ก่อนได้รับการเลื่อนชั้นร่วมทีมชุดใหญ่ในปี 2019 และลงสนามนัดแรกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2019 ซึ่งทีมชนะแอลดียู ควิโต 1-0 เป็นเกมลีกเซเรีย อา โดยระหว่างปี 2019 – 2020 ไกเซโดเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของอินดิเพนเดียนเต เดล วัลเล ในบอลลีก 25 นัด ทำ 4 ประตู อีกทั้งยังมีส่วนพาทีมเยาวชนของสโมสรชนะเลิศรายการ โกปา ลิเบอร์ตาโดเรส รุ่น ยู-20 เมื่อปี 2020 อีกด้วย

วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 ไกเซโดเซ็นสัญญากับไบรท์ตันเป็นระยะเวลา 4 ปีครึ่ง ส่วนค่าตัวไม่มีรายงานอย่างเป็นทางการแต่เชื่อว่า อินดิเพนเดียนเต เดล วัลเล ได้รับเงิน 4.5 ล้านปอนด์ และวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ไบรท์ตันใส่ชื่อดาวรุ่งจากเอกวาดอร์ในเกมเอฟเอ คัพ ซึ่งทีมนกนางนวลแพ้ 0-1 ในบ้านของเลสเตอร์ ซิตี แต่ไม่ได้ถูกส่งลงสนาม

ซีซัน 2020-21 จบลงโดยไกเซโดไม่ได้เล่นให้ไบรท์ตันเลย จนกระทั่งซีซันถัดมา วันที่ 24 สิงหาคม 2021 เขามีโอกาสประเดิมสนามครั้งแรก แถมเป็นตัวจริงในเกมอีเอฟแอล คัพ รอบ 2 ที่บ้านของคาร์ดิฟฟ์ ซิตี ไกเซโดเป็นคนแอสซิสต์ให้แอนดี เซคคีรี ทำสกอร์นำร่องก่อนไบรท์ตันกำชัย 2-0 แต่วันที่ 31 สิงหาคม วันสุดท้ายของตลาดซัมเมอร์ ทีมนกนางนวลไฟเขียวส่งไกเซโดให้เบียร์ช็อต วีเอ ทีมในลีกสูงสุดของเบลเยียม ยืมใช้งาน 1 ฤดูกาลเต็ม และเพียงนัดที่ 7 เขาก็ทำประตูแรกในนาทีที่ 90+2 ตอกตะปูปิดฝาโลงให้ต้นสังกัดชนะเก็งค์ 2-0 เก็บ 3 คะแนนในบ้าน

สัญญายืมตัวของเบียร์ซ็อตถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2022 เนื่องจากไบรท์ตันประสบปัญหาขาดแคลนผู้เล่นมิดฟิลด์ โดยที่ผ่านมา ไกเซโดเล่นบอลลีกให้เบียร์ช็อต 12 นัด ทำ 1 ประตู

3 วันต่อมา ไกเซโดเป็นผู้เล่นสำรองที่ไม่ได้ใช้งานในเกมบอลลีกเสมอคริสตัล พาเลซ 1-1 แต่เขาก็ไม่ต้องรอนาน พอตเตอร์ส่งไกเซโดแทนโซลลี มาร์ช นาทีที่ 61 ของเกมเอฟเอ คัพ รอบ 4 เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ซึ่งไบรท์ตันแพ้ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ 1-3

ไกเซโดได้สัมผัสสังเวียนพรีเมียร์ลีกครั้งแรกในวันที่ 9 เมษายน ไม่เพียงเป็นตัวจริงแต่ยังแอสซิสต์ให้อีน็อค เอ็มเวปู ทำประตูนาทีที่ 66 ก่อนไบรท์ตันชนะ 2-1 ในบ้านของอาร์เซนอล ส่วนประตูแรกในสีเสื้อไบรท์ตันเกิดขึ้นในวันที่ 7 พฤษภาคม ไกเซโดซัดระยะ 25 หลา นำร่องนาทีที่ 15 ของแมตช์ถลุงแมนฯยูไนเต็ด 4-0 เขาจบซีซัน 2021-22 ด้วยสถิติพรีเมียร์ลีก 8 นัด 664 นาที 1 ประตู 1 แอสซิสต์

ปักหลักอย่างมั่นคงเมื่อซีซัน 2022-23 คิกออฟ

ไกเซโดถูกโปรโมทขึ้นมาเป็นตัวหลักของไบรท์ตันทันทีที่พรีเมียร์ลีก ซีซัน 2022-23 เปิดฉาก พอตเตอร์ส่งมิดฟิลด์ดาวรุ่งเป็นตัวจริงใน 6 เกมแรก เล่นครบแมตช์ 5 นัด มีเพียงนัดแพ้ฟูแลมที่ถูกเปลี่ยนออกนาทีที่ 79 และเขายังทำ 1 ประตูในเกมต้อนเลสเตอร์ 5-2 ซึ่งเป็นการทำงานนัดสุดท้ายของพอตเตอร์ก่อนย้ายไปเป็นผู้จัดการทีมเชลซี

เด แซร์บี กุนซือคนใหม่ชาวอิตาเลียน ยังไว้ใจความสามารถของไกเซโด ใส่ชื่อเป็นตัวจริงในนัดแรกของการคุมทีมเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2022 ซึ่งไบรท์ตันเสมอลิเวอร์พูล 3-3 ที่แอนฟิลด์ กราฟชีวิตถัดจากนั้นของไกเซโดก็เป็นขาขึ้นจนได้รับความสนใจจากอาร์เซนอลที่กำลังไล่ล่าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกในรอบเกือบ 2 ทศวรรษ

มีรายงานระหว่างตลาดเดือนมกราคม 2023 ว่า ไกเซโดเซ็นสัญญากับบริษัทเอเยนต์นักฟุตบอลแห่งหนึ่ง และในวันที่ 27มกราคม ตัวแทนของเขาได้ออกแถลงการณ์ว่า ไกเซโดต้องการย้ายออกจากทีมไบรท์ตัน และตัวเขายังโพสต์ข้อความบนอินสตาแกรมว่า “ผมเป็นน้องคนสุดท้องของครอบครัวยากจนที่ต้องเลี้ยงดูลูกๆ 10 คนในซานตา โดมิงโก ผมมีความฝันที่จะเป็นนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของเอกวาดอร์ ผมขอขอบคุณแฟนๆอัลเบียน พวกคุณจะอยู่ในหัวใจของผมเสมอ

ไม่เพียงอาร์เซนอล ไกเซโดยังมีข่าวโยงกับลิเวอร์พูลและเชลซี แต่ไบรท์ตันปฏิเสธที่จะขายมิดฟิลด์ดาวรุ่งที่ยังเหลือสัญญาถึงกลางปี 2025 พร้อมสั่งให้ไกเซโดพักผ่อนจนกว่าตลาดฤดูหนาวจะสิ้นสุดลง เขากลับมาฝึกซ้อมในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ และได้ลงสนามอีก 3 วันต่อมา ถูกเปลี่ยนลงมานาทีที่ 57 ของนัดชนะบอร์นมัธ 1-0 ขณะที่เด แซร์บี ได้ขอร้องแฟนบอลไม่ให้ตำหนิหรือว่าร้ายลูกทีมของเขา

วันที่ 3 มีนาคม ไบรท์ตันได้ขยายสัญญาไกเซโดออกไปจนถึงฤดูร้อนปี 2027 พร้อมออปชันต่อสัญญาเพิ่ม 1 ปี ไกเซโดจบฤดูกาลด้วยสถิติ 43 นัด 1 ประตูรวมทุกรายการ และยังได้รับตำแหน่งรองผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของไบรท์ตันจากการโหวตของผู้ใช้งาน บีบีซี สปอร์ต โดยอันดับ 1 ตกเป็นของแม็ค อัลลิสเตอร์ คู่หูมิดฟิลด์ของเขา

แล้วแต่โค้ช เบอร์ 8 ก็รัก เบอร์ 6 ก็ได้

แม้ตอนนี้ถูกเด แซร์บี ใช้งานมิดฟิลด์เบอร์ 6 แต่ มิเกล แองเกิล รามิเรซ ผู้จัดการทีมสปอร์ติง กิฆอน ในลีกสเปน ซึ่งเคยเป็นอดีตโค้ชของไกเซโดที่อินดิเพนเดียนเต เดล วัลเล ให้สัมภาษณ์ว่า ความจริงแล้วไกเซโดชอบเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์เบอร์ 8(รุก) มากกว่าเบอร์ 6 (รับ) แต่สิ่งที่เกิดขึ้นที่ไบรท์ตันแสดงให้เห็นว่า ไกเซโดมีทักษะหลากหลาย เป็นนักเตะสารพัดประโยชน์ และมีความสามารถสูงในการปรับตัว

ช่วงต้นซีซัน 2022-23 พอตเตอร์ใช้งานไกเซโดเป็นมิดฟิลด์เบอร์ 8 ตัวซ้าย ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับที่เล่นให้เบียร์ซ็อตและครึ่งหลังของซีซันก่อนหน้า แต่เมื่อเด แซร์บี คุมทีมนกนางนวล เขาดึงไกเซโดถอยลงมาเป็นฐานของมิดฟิลด์หรือตำแหน่งเบอร์ 6 บางครั้งยังปรับเป็นแบ็คขวา

กุนซือทีมกิฆอนย้อนอดีตสมัยคุมทีมอินดิเพนเดียนเต เดล วัลเล ว่า ไกเซโดผ่านระบบพัฒนานักเตะของอะคาเดมีกับบทบาทเบอร์ 6 แต่พอถูกดึงขึ้นทีมชุดใหญ่ เขาดันให้ไกเซโดไปแดนหน้ามากขึ้นในฐานะเบอร์ 8

“ตอนนั้นเรามี คริสเตียน เปลเลราโน อยู่ในทีมชุดใหญ่ เขาเป็นนักเตะเบอร์ 6 ที่ฝีเท้าเหลือเชื่อและเข้าใจเกมเอามากๆ เปรียบเสมือนกับโค้ชที่อยู่ในสนามนั่นแหละ เขามีส่วนช่วยมอยเซสเข้าใจเกมมากขึ้นและพัฒนาทักษะความสามารถ”

“อย่างไรก็ดี เรายังอยากใช้งานเปลเลราโมเป็นนักเตะเบอร์ 6 ดังนั้นถ้าเราต้องการให้มอยเซสอยู่ในทีม เขาจำเป็นต้องเล่นตำแหน่งเบอร์ 8 ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี เขามีอิมแพ็คกับเกมอย่างมาก ช่วยทีมได้ดีมากในฐานะมิดฟิลด์ตัวรุกเพราะเขาสามารถทำประตู จ่ายบอลสุดท้าย และเข้าไปอยู่ในกรอบเขตโทษของฝ่ายตรงข้าม”

“ต่อมา มอยเซสเริ่มเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตำแหน่งได้ดีขึ้นแม้เป็นงานยากเหมือนกัน เนื่องจากเขาต้องเล่นระหว่างไลน์ มีพื้นที่น้อยลง มีเวลาน้อยลง แถมจำเป็นต้องปรับร่างกายก่อนเข้าไปรับบอล มีข้อมูลมากมายที่ต้องเรียนรู้”

รามิเรซเชื่อว่า การที่เล่นได้ดีกับหลายหน้าที่ในแดนกลางเป็นสาเหตุสำคัญที่ไกเซโดได้รับความสนใจจากทีมใหญ่อย่างอาร์เซนอล, เขลซี, ลิเวอร์พูล และแมนฯยูไนเต็ด พร้อมค่าตัวที่ถูกประเมินไว้สูงถึง 70-80 ล้านปอนด์

รามิเรซเข้าใจดีที่ไบรท์ตันปฏิเสธเงินก้อนโตจากอาร์เซนอลในตลาดเดือนมกราคมเพราะไกเซโดมีความสำคัญกับทีมมาก ซึ่งเรื่องแบบเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นที่อินดิเพนเดียนเต เดล วัลเล

ที่เอกวาดอร์ แม้อยู่ในช่วงวัยรุ่นแต่ไกเซโดมีฝีเท้าสูงเกินอายุ เขามีส่วนสำคัญช่วยให้ทีม ยู-20 ของอินดิเพนเดียนเต เดล วัลเล ครองแชมป์โกปา ลิเบอร์ตาโดเรสเมื่อปี 2020 ที่ปารากวัย

“มอยเซสมีความสำคัญอย่างมากต่อทีมชุดใหญ่ของเรา แต่ยังเป็นผู้เล่นคีย์แมนของรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปีด้วย ตอนนั้นเป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์หรือราว 10 วันที่เขาเล่นให้ทีม ยู=20 แล้วต้องนั่งเครื่องบินกลับเมืองกีโตเพื่อเล่นให้เราในลีกเอกวาดอร์ ก่อนกลับไปเตะลิเบอร์ตาโดเรสต่อ มันเป็นอะไรที่บ้าชัดๆ”

ไกเซโดยังโชว์ฟอร์มเจิดจรัสในลิเบอร์ตาโดเรสระดับซีเนียร์ ซึ่งเปรียบกับแชมเปียนส์ ลีก ของทวีปอเมริกาใต้ “มอยเซสเริ่มเป็นที่รู้จักของทั่วโลก สโมสรใหญ่หลายแห่งส่งทีมเจรจาเดินทางมาพูดคุยกับเขาและสโมสร” รามิเรซกล่าว แล้วก็เป็นไบรท์ตันที่พาดาวรุ่งเอกวาดอร์ออกไปจากแผ่นดินบ้านเกิด

สร้างอิมแพ็คให้ไบรท์ตันทั้งยามบุกและรับ

จากผู้เล่นโนเนมช่วงครึ่งหลังซีซันกลายเป็นหนึ่งในเสาหลักซีซัน 2022-23 ของไบรท์ตัน ลงตัวจริง 34 จาก 38 นัดพรีเมียร์ลีก สถิติบ่งชี้ว่าไกเซโดมีอิทธิพลทั้งจังหวะที่มีบอลไม่มีบอลของไบรท์ตัน จุดเด่นมากที่สุดหนีไม่พ้นการแย่งบอลไม่ว่าจะเป็นความปราดเปรียว การเข้าปะทะ และตื่นตัวต่ออันตราย ไกเซโดรั้งอันดับ 2 หมวดแทคเกิล (100 ครั้ง) และอินเตอร์เซปท์ (56 ครั้ง) ตามหลังชูเอา ปาลินญา (ฟูแลม) และดีแคลน ไรซ์ (เวสต์แฮม) ตามลำดับ นอกจากนี้มีเพียงไรซ์กับโรดรี (แมนฯซิตี) ที่เหนือเขาในการครองบอลในโซน middle third (142 ครั้ง)

ไกเซโดยังมีอิมแพ็คต่อการขึ้นเกมหรือบิลด์-อัพของทีมนกนางนวลด้วย เขาสัมผัสบอลรวม 2,735 ครั้ง สูงเป็นอันดับ 8 ของพรีเมียร์ลีก และจ่ายบอลเข้าเป้า 1,961 ครั้ง อยู่อันดับ 6 ตามหลังปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก (สเปอร์ส), กาเบรียล มากัลเญส (อาร์เซนอล), เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค (ลิเวอร์พูล), โรดรี และดังค์ เพื่อนร่วมทีม

ในส่วนความแม่นยำการผ่านบอล เรตติงของโกเซโดสูงถึง 89 เปอร์เซ็นต์ และตัวเลขจะยิ่งดูน่าพอใจเป็นทวีคูณถ้าพิจารณาว่า เขาต้องจ่ายบอลในสถานการณ์กดดัน 780 ครั้ง ซึ่งมีเพียงโรดรีและบรูโน กีมาไรส์ (นิวคาสเซิล) ที่มีจำนวนครั้งมากกว่าสตาร์ทีมไบรท์ตัน โดยนิค ไรท์ นักวิเคราะห์เกมของสกาย สปอร์ตส์ มองว่า ทักษะการครองบอลและจ่ายบอลภายใต้ความกดดันเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ทำให้ค่าตัวของไกเซโดแพงลิ่ว

รามิเรซพูดถึงประเด็นนี้ว่า “ท้ายที่สุดแล้ว นี่เป็นตลาดที่จะบอกได้ว่าคุณเก่งแค่ไหน เมื่อสโมสรหนึ่งแจ้งราคาเสนอซื้อออกมา ตัวเลขจะบ่งบอกระดับฝีเท้าของคุณ และมอยเซสก็อยู่ในระดับนั้น (ค่าตัว 70-80 ล้านปอนด์) และนี่เป็นความจริง”

สำหรับทีมชาติเอกวาดอร์ ไกเซโดเปิดตัวในฐานะตัวจริงเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2020 ขณะอายุย่าง 19 ปี เป็นเวิลด์คัพ รอบคัดเลือก ที่แพ้อาร์เจนตินา 0-1 และเพียงนัดที่ 2 อีก 4 วันต่อมา ก็ทำประตูแรกในนามทีมชาติได้จากแมตช์ชนะอุรุกวัย 4-2 เป็นผู้เล่นคนแรกที่เกิดในศตวรรษที่ 21 ที่ทำสกอร์ได้ในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนอเมริกันใต้

ไกเซโดมีชื่ออยู่ใน 26 ขุนพลลุยเวิลด์คัพที่กาตาร์ ลงสนามเป็นตัวจริงและเล่นเต็มแมตช์ทั้ง 3 นัดของรอบแรก กลุ่ม เอ ซึ่งแพ้เจ้าภาพ 0-2, เสมอเนเธอร์แลนด์ 1-1 และแพ้เซเนกัล 1-2 ซึ่งไกเซโดทำสกอร์ตีเสมอนาทีที่ 67 ถ้ารักษาสกอร์ได้จะทำให้เอกวาดอร์ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย แต่คาลิดู คูลิบาลีย์ ยิงประตูชัยให้เซเนกัลอีก 3 นาทีต่อมา ดับฝันของเอกวาดอร์ แต่กระนั้นไกเซโดได้รับการบันทึกว่า เป็นนักเตะทีมชาติเอกวาดอร์อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ทำสกอร์ในเวิลด์คัพ และล่าสุดเขาเล่น 32 นัด ทำ 3 ประตูให้ทีมชาติ

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Special Content

บทสรุปพรีเมียร์ลีก ซีซัน 2022-23 4-2-3-1, เบอร์ 9, ปีกขวาเท้าซ้าย

การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2022-23 ปิดฉากบริบูรณ์เมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ซิตี ครองแชมป์ 3 สมัยติดต่อกันและเป็นครั้งที่ 5 ในรอบ 6 ปี อันดับ 2 คือ อาร์เซนอล ซึ่งยังไม่สามารถคว้าแชมป์นับจากซีซัน 2003-04 เซาแธมป์ตัน, ลีดส์ ยูไนเต็ด และเลสเตอร์ ซิตี ลงไปเล่นแชมเปียนชิพ ขณะที่เบิร์นลีย์ ซึ่งชนะเลิศแชมเปียนชิพด้วยแต้มสะสมสูงถึง 101 คะแนน, เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และลูตัน ทาวน์ เป็น 3 ทีมน้องใหม่ของพรีเมียร์ลีกซีซันหน้า

สำหรับสิทธิ์เล่นฟุตบอลสโมสรยุโรปฤดูกาล 2023-24 แมนฯซิตี, อาร์เซนอล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ได้เล่นแชมเปียนส์ ลีก, ลิเวอร์พูลกับไบรท์ตัน เล่นยูโรปา ลีก และแอสตัน วิลลา เล่นคอนเฟอเรนซ์ ลีก

นอกเหนือผลแข่งขัน 380 นัดตลอดซีซัน และอันดับตารางคะแนน ศึกลูกหนังลีกสูงสุดเมืองผู้ดียังเกิดเหตุการณ์น่าสนใจมากมายในช่วงประมาณ 10 เดือนที่ยาวกว่าปกติเพราะมีการแข่งขันเวิลด์คัพ 2022 ที่ประเทศกาตาร์ ระหว่างวันที่ 20พฤศจิกายนถึง 18 ธันวาคม โดยเว็บไซต์ khaimukdam ได้คัดเลือกบางเรื่องราว นำมาถ่ายทอดและบันทึกไว้ ณ โอกาสนี้

เปลี่ยนผู้จัดการทีมระหว่างซีซันมากที่สุด

พรีเมียร์ลีกมี 20 ทีมแต่ซีซันนี้มีผู้จัดการทีมที่ปฏิบัติหน้าที่มากถึง 39 คน ซึ่งตัวเลขนี้รวมถึงผู้จัดการชั่วคราวและรักษาการที่คุมทีมอย่างน้อย 1 นัด โดยตลอดซีซันมีการเปลี่ยนแปลงนายใหญ่ 14 ครั้ง รวมถึง 3 สโมสรที่ไล่กุนซือออก 2 คนคือ เชลซี (โธมัส ทูเคิล, แกรห์ม พอตเตอร์), ลีดส์ (เจสซี มาร์ช, ซาบี กราเซีย) และเซาแธมป์ตัน (ราล์ฟ ฮาเซนฮึทเทิล, นาธาน โจนส์) นั่นทำให้มีผู้จัดการเพียง 9 คนเท่านั้นที่คุมทีมลงสนามครบ 38 นัด

ความจริงแล้ว การเปลี่ยนแปลงกุนซือ 14 ครั้งเป็นการไล่ออก 13 ครั้งเนื่องจากพอตเตอร์กับไบรท์ตันแยกทางด้วยความสมัครใจทั้งสองฝ่าย พอตเตอร์ไปทำงานแทนทูเคิลในเดือนกันยายนที่เชลซีก่อนโดนไล่ออกในเดือนเมษายน แฟรงค์ แลมพาร์ด รับคุมทีมชั่วคราวจนกระทั่งจบซีซัน เช่นเดียวกับ รอย ฮอดจ์สัน (คริสตัล พาเลซ) กับ ไรอัน เมสัน (ทอตแนม ฮอตสเปอร์) เป็นอีก 2 คนที่เซ็นสัญญาระยะสั้น

ไม่ว่า 14 ครั้งของการเปลี่ยนตัวกุนซือหรือ 13 คนที่ถูกบอร์ดบริหารสั่งปลด ถือว่าเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก เริ่มจาก สกอตต์ ปาร์คเกอร์ (บอร์นมัธ) ปลายเดือนสิงหาคม ตามด้วยทูเคิล (เชลซี), บรูโน ลาเก (วูลฟ์แฮมป์ตัน), สตีเวน เจอร์ราร์ด (วิลลา), ฮาเซนฮึทเทิล (เซาแธมป์ตัน), แลมพาร์ด (เอฟเวอร์ตัน), มาร์ช (ลีดส์), โจนส์ (เซาแธมป์ตัน), ปาทริก วิเอรา (พาเลซ), อันโตนิโอ คอนเต (สเปอร์ส), รอดเจอร์ส (เลสเตอร์), พอตเตอร์ (เชลซี) และกราเซีย (ลีดส์) ซึ่งถูกปลดเป็นรายสุดท้ายต้นเดือนพฤษภาคม

เป็นที่น่าสังเกตว่า การเปลี่ยนผู้จัดการไม่ได้ช่วยให้เซาแธมป์ตัน, ลีดส์ และเลสเตอร์ หนีการตกชั้นพ้น ขณะที่เชลซีจบซีซันด้วยอันดับ 12 ต่ำกว่าตอนปลดพอตเตอร์อันดับเดียว ส่วนวิลลา, พาเลซ, เอฟเวอร์ตัน, บอร์นมัธ และวูลฟ์ส มีผลงานดีขึ้นหลังเปลี่ยนผู้จัดการ โดย 3 จาก 5 ทีมลงมือทำก่อนสิ้นเดือนตุลาคม โดยเฉพาะสิงห์ผงาดแห่งเมืองเบอร์มิงแฮม เป็นทีมที่มีผลงานพัฒนาแบบก้าวกระโดดมากที่สุด

สิงโตวิลลาผงาดเพราะกับดักล้ำหน้าของเอเมรี

แอสตัน วิลลา เป็นทีมสร้างเซอร์ไพรส์สุดๆ เพราะหากย้อนไปเดือนตุลาคมเมื่อปลดสตีเวน เจอร์ราร์ด “เดอะ ไลออนส์” ชนะ 2 จาก 11 นัดแรก หล่นไปอยู่อันดับ 16 เหนือโซนตกชั้นแค่แต้มเดียว ก่อนเซ็นสัญญากับ อูไน เอเมรี โดยยอมจ่ายค่าเสียหายให้บีญาร์เรอัล 6 ล้านยูโร

กุนซือสแปนิชวัย 51 ทำให้สิงโตวิลลา “ผงาด” สมฉายา ชนะ 12 จาก 18 นัด ทะยานขึ้นมาอยู่อันดับ 6 หลังถลุงนิวคาสเซิล 3-0 กลางเดือนเมษายน คว้าชัยพรีเมียร์ลีก 5 นัดติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับจากปี 1998 แม้ผ่วปลายแต่ก็ประครองตัวจบด้วยอันดับ 7 ได้ไปเล่นคอนเฟอเรนซ์ ลีก ฤดูหน้า

นับจากโดนอาร์เซนอลถลุง 2-4 กลางเดือนกุมภาพันธ์ วิลลาเสียเพียง 8 ประตูจากการลงสนาม 15 นัดสุดท้าย ไม่มีนัดไหนเสีย 2 ประตู เอเมรีเสริมใยเหล็กเกมรับจนแข็งแกร่งขึ้นผิดตา เป็นปัจจัยสำคัญของการคว้าสิทธิ์เล่นบอลถ้วยยุโรป คู่เซ็นเตอร์แบ็ค ไทโรน มิงส์ และ เอซรี คอนซา พัฒนาฝีเท้าและแคแร็กเตอร์มาไกลจากยุคกุนซือ “สตีวี จี” มิงส์เพิ่งถูกแกเรธ เซาธ์เกต เรียกตัวกลับเข้าทีมชาติอีกครั้งหลังจากเล่นให้อังกฤษครั้งหลังสุดในเดือนมีนาคม 2022 

หัวใจของการวางหมากเกมรับของเอเมรีอยู่ที่กับดักเช็คล้ำหน้า มิงส์และคอนซาประสานงานอย่างรู้ใจ หากคู่ต่อสู้จะฝ่าด่านไปได้จะต้องจ่ายบอลและวิ่งตัดหลังชนิดสมบูรณ์แบบ แต่หากไม่โดนไลน์แมนยกธงล้ำหน้า ก็จะต้องเผชิญหน้ากับความเหนียบหนึบของ เอมิเลียโน มาร์ติเนซ ยอดผู้รักษาประตูทีมชาติอาร์เจนตินาดีกรีแชมป์โลก

นับตั้งแต่เอเมรีเป็นผู้จัดการทีม วิลลาทำให้ฝ่ายตรงข้ามล้ำหน้า 102 ครั้ง ซึ่งเทียบกับอันดับ 2 ลิเวอร์พูลแล้วพบว่ามากกว่า 34 ครั้ง โดยทีมหงส์แดงได้รับฉายาว่า “เดอะ ออฟไซด์ คิง” จากการ “ยืนหนึ่ง” ตลอด 3 ซีซันก่อนหน้านี้ แต่ซีซันนี้ มงกุฎตกเป็นของวิลลา

เชลซีกับปีที่วุ่นวายและตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

ซีซัน 2022-23 น่าจะเป็นช่วงอยากลืมของเชลซีและแฟนบอล “เดอะ บูลส์” จบด้วยอันดับ 12 ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ซีซัน1995-96 ที่พวกเขาหล่นลงมาอยู่ครึ่งล่างของตารางพรีเมียร์ลีก แต่นั่นเป็นหน้าฉาก ด้านหลังยังมีความวุ่นวายมากกว่านั้นเยอะ

นับตั้งแต่มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ทอดด์ โบห์ลีย์ เทคโอเวอร์สโมสรในเดือนพฤษภาคม 2022 เชลซีจ่ายเงินราว 583 ล้านปอนด์ไปกับกลุ่มนักฟุตบอลและผู้จัดการทีม 4 คน (รวมกุนซือชั่วคราว) เฉพาะตลาดนักเตะเดือนมกราคมที่ผ่านมาก็ทะลุหลัก 300 ล้านปอนด์ ซึ่งส่วนหนึ่งคือ 107 ล้านปอนด์เป็นค่าตัวทำลายสถิติสหราชอาณาจักรที่ซื้อ เอ็นโซ แฟร์นานเดซ มาจากเบนฟิกา และ 62 ล้านปอนด์เพื่อซื้อ มิไคโล มูดริค จากชัคตาร์ โดเน็ตส์ค

ส่วนตลาดซัมเมอร์ปีที่แล้ว โบห์ลีย์ก็ลงทุนยกเครื่องขุมกำลังใหม่ให้โธมัส ทูเคิล ไปเบ็ดเสร็จ 270 ล้านปอนด์ แต่ต้นกันยายน เชลซีต้องปลดกุนซือเยอรมันแล้วดึงแกรห์ม พอตเตอร์ มาคุมทีมแทนด้วยสัญญา 5 ปี พร้อมจ่ายค่าชดเชย 21 ล้านปอนด์ให้ไบรท์ตันที่สูญเสียพอตเตอร์และทีมงาน

7 เดือนต่อมา พอตเตอร์ถูกไล่ออก เชลซีมอบหมายผู้ช่วยของเขา บรูโน ซัลตอร์ ทำหน้าที่แทน 1 นัด ก่อนดึงแฟรงค์ แลมพาร์ด ซึ่งเคยคุมทีมเชลซี 1 ปีครึ่งก่อนถูกปลดเดือนมกราคม 2021 กลับมารับหน้าที่ผู้จัดการอีกครั้ง รอบนี้แลมพาร์ดมีผลงานชนะนัดเดียวจาก 11 นัดสุดท้ายของซีซัน ส่วนทูเคิลรูดม่านกับบาเยิร์น มิวนิก ด้วยโล่แชมป์บุนเดสลีกา ขณะที่เชลซีประกาศแต่งตั้ง เมาริซิโอ โปเช็ตติโน เป็นนายใหญ่คนใหม่ของสแตมฟอร์ด บริดจ์ โดยจะเริ่มงานตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม

เป็นเรื่องน่าสนใจทีเดียวว่าตลาดซัมเมอร์กลางปีนี้ ยอดกุนซืออาร์เจนไตน์วัย 51 จะถ่ายเทนักเตะที่ล้นทีมราว 30 คนออกไปอย่างไร และใครจะมาเป็นนักเตะใหม่เพื่อลบล้างฝันร้ายให้กับกองเชียร์สิงโตน้ำเงินคราม

4-2-3-1 แผนยอดนิยม 4-4-2 ใช้น้อยลงเรื่อยๆ

ระบบการเล่นยังเป็นประเด็นที่ถูกหยิบมาพูดถึงและแสดงความคิดเห็นเสมอในหมู่สื่อมวลชน กูรูลูกหนัง และแฟนบอล แม้ความจริงแล้ว แต่ละทีมไม่มีแผนตายตัว ระหว่าง 90 นาทีสามารถเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ หรือแม้กระทั่งต่างกันในจังหวะมีบอล (บุก) หรือไม่มีบอล (รับ) ตัวอย่างชัดเจนที่สุดคือลิเวอร์พูลช่วงปลายซีซัน ซึ่งเปลี่ยนจาก 4-3-3 เมื่อเริ่มต้นเป็น 3-4-3 (หรือ 3-2-2-3) ขณะมีบอลโดยเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ดันตัวเองจากแบ็คขวาขึ้นไปยืนมิดฟิลด์แบบ double pivot คู่กับฟาบินโญ

สกาย สปอร์ตส์ สื่อกีฬาชั้นนำของอังกฤษ ได้เก็บสถิติ starting formations ทุกนัดของพรีเมียร์ลีกซีซันนี้และได้ข้อสรุปว่า 4-2-3-1 เป็นฟอร์แมทที่ถูกใช้บ่อยที่สุดคือ 261 ครั้ง รองลงมาได้แก่ 4-3-3 จำนวน 222 ครั้ง, 3-4-2-1 จำนวน 64ครั้ง และ 4-4-2 (Classic) จำนวน 62 ครั้ง ตามมาห่างๆคือ 3-5-2 จำนวน 23 ครั้ง และ 4-1-4-1 จำนวน 22 ครั้ง

ข้อมูลที่น่าสนใจคือมี 13 ทีมที่เริ่มต้นเกมด้วยแผนคลาสสิค 4-4-2 ซึ่งเคยได้รับความนิยมอย่างสูงช่วงกลางทศวรรษ 2000 โดยสกาย สปอร์ตส์ เริ่มบันทึกสถิติ starting formations ตั้งแต่ซีซัน 2006-07 ซึ่งมีการใช้ฟอร์แมท 4-4-2 มากถึง 498 ครั้ง ตามมาห่างๆด้วย 4-5-1 เพียง 71 ครั้ง และ 4-3-3 จำนวน 63 ครั้ง

4-4-2 ยังคง “ยืนหนึ่ง” อีก 5 ปีแต่จำนวนก็ลดลงเรื่อยๆจนกระทั่งลงมาที่ 251 ครั้งในซีซัน 2011-12 ก่อนเสียตำแหน่งให้ 4-2-3-1 ในซีซัน 2012-13 ที่จำนวน 335 ครั้ง เพิ่มจาก 125 ครั้งในซีซันก่อนหน้านี้ ส่วนซีซัน 2012-13 ตัวเลขของ 4-4-2 ลงมาเหลือเพียง 91 ครั้ง นับจากนั้นเป็นต้นมา 4-2-3-1 ก็เป็นหมากเกมที่ได้รับความนิยมสูงสุดในพรีเมียร์ลีก

สกาย สปอร์ตส์ ให้ข้อสังเกตว่า 4-2-3-1 เริ่มได้รับโมเมนตัมจากกุนซือลีกเมืองผู้ดีอย่างมีนัยยะตั้งแต่ซีซัน 2009-10 ขณะที่กระแส 4-3-3 เริ่มเข้ามาในปีต่อมา ส่วน 62 ครั้งของ 4-4-2 ในซีซันนี้เป็นสถิติต่ำที่สุดนับตั้งแต่ซีซัน 2006-07 ซึ่งสาเหตุมาจากผู้จัดการปรับใช้กลยุทธ์หมากเกมหลากหลายซับซ้อนขึ้นโดยเฉพาะหน้าที่ไฮบริดอย่าง inverted full-back และ inverted winger 

อีกประเด็นที่มองข้ามไม่ได้คือ เบิร์นลีย์กับเซาแธมป์ตัน สองทีมที่เป็นตัวหลักของ 4-4-2 ช่วงที่ผ่านมา โดยเบิร์นลีย์ลงไปอยู่แชมเปียนชิพพร้อมการจากไปของแซม ไดซ์ ส่วนเซาแธมป์ตันก็เล่นรูปแบบที่ต่างไปตามกุนซือ 3 คนในซีซันนี้

แต่ต้องบันทึกไว้เช่นกันว่า ทีมครึ่งบนตารางไม่ได้เพิกเฉยต่อ 4-4-2 ระบบที่หลายคนมองว่าตกยุคเช่น วิลลาใช้ 15 ครั้ง ไบรท์ตัน 3 ครั้ง ลิเวอร์พูล 2 ครั้ง และสเปอร์ส 2 ครั้ง แม้แต่แมนฯซิตียังใช้หนึ่งโอกาส

การถล่มประตูของเบอร์ 9 เหนือแนวรุกริมเส้น

แมนฯซิตีชนะเลิศพรีเมียร์ลีก ซีซัน 2021-22 ด้วยนักเตะตำแหน่ง false No 9 แต่ไม่เป็นความลับใดๆว่า เป๊ป กวาร์ดิโอลา ต้องการศูนย์หน้าหมายเลข 9 เมื่อพยายามเจรจาซื้อแฮร์รี เคน ดาวยิงทีมชาติอังกฤษในตลาดซัมเมอร์ปี 2021  แต่ต้องล้มโต๊ะเจรจาเพราะโดนสเปอร์สโก่งราคาถึง 100 ล้านปอนด์ ทีมเรือใบสีฟ้ามาสมหวังกลางปีที่แล้วเมื่อจ่ายเงินแค่ 51ล้านปอนด์ให้โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เพื่อแลกกับเออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ศูนย์หน้าดาวรุ่งทีมชาตินอร์เวย์

ขอบคุณภาพจาก  https://www.premierleague.com/news/3486228

ด้วยวัยเพียง 22 ปี และปีแรกในพรีเมียร์ลีก ฮาลันด์กระหน่ำสกอร์สูงถึง 36 ประตู ทำลายสถิติสูงสุด 34 ประตู ซึ่งอลัน เชียเรอร์ และแอนดี โคล สร้างไว้เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว ตามมาห่างๆด้วย 30 ประตู เคน (สเปอร์ส), 20 ประตู อีวาน โทนีย์ (เบรนท์ฟอร์ด), 19 ประตู โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ (ลิเวอร์พูล) และ 18 ประตู คัลลัม วิลสัน (นิวคาสเซิล)

สำหรับเคน แม้สเปอร์สจะทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐาน แต่เขายังกระซวกตาข่ายถึง 30 ประตู เท่ากับสถิติสูงสุดส่วนตัวในซีซัน 2017-18 และพัฒนาจากซีซันที่แล้ว ซึ่งทำได้เพียง 17 ประตู รั้งอันดับ 4 บนตารางดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก 

เป็นที่น่าสังเกตว่า ท็อป-5 ซีซันนี้เป็นนักเตะหมายเลข 9 ถึง 4 คนยกเว้นซาลาห์ที่ยืนฝั่งขวาของแนวรุกฟรอนท์ทรีให้ลิเวอร์พูล ต่างกับซีซันที่แล้ว ซน ฮึง-มิน (สเปอร์ส) และซาลาห์ ซึ่งครองรางวัลรองเท้าทองคำด้วยจำนวน 23 ประตูเท่ากัน และอันดับ 5 ซาดิโอ มาเน (ลิเวอร์พูล) 16 ประตูต่างเป็นแนวรุกริมเส้น ยกเว้นอันดับ 3-4 คริสเตียโน โรนัลโด (แมนฯยูไนเต็ด) 18ประตูกับเคน 17 ประตู ที่ยืนตำแหน่งศูนย์หน้าตัวเป้า 

หรือถ้าชายตามอง 5 อันดับถัดมาในซีซันที่แล้วมีเพียงอันดับ 6 (ร่วม) เจมี วาร์ดี (เลสเตอร์) ที่รับบทบาทหัวหอก ส่วนเควิน เดอ บรอยน์ (แมนฯซิตี) กับ ดีโอโก โซตา (ลิเวอร์พูล) ซึ่งทำ 15 ประตูเท่าเวอร์ดี รวมถึงอันดับ 9 วิลฟรีด ซาฮา (พาเลซ) 14 ประตู และอันดับ 10 ราฮีม สเตอร์ลิ่ง (แมนฯซิตี) 13 ประตู ต่างไม่ใช่ศูนย์หน้าเบอร์ 9

ซาลาห์จุดประกายปีกขวาเท้าซ้ายเป็นเทรนด์ฮิต

โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ปีกเท้าซ้ายดาวดัง ลากเลื้อยทำเกมรุกฝั่งขวาให้ลิเวอร์พูลตลอด 5 ซีซันล่าสุด คู่หูเท้าซ้ายของแมนฯซิตี ริยาด มาห์เรซ และ แบร์นาโด ซิลวา ต่างรับผิดชอบฟากขวาของสนาม บูกาโย ซากา ซึ่งเป็นอีกคนที่ถนัดเท้าซ้ายและเป็นคีย์แมนในความสำเร็จของอาร์เซนอลซีซันนี้ ก็สร้างอันตรายจากเกมรุกด้านขวา

ปีกขวาเท้าซ้ายจึงเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมในพรีเมียร์ลีกชนิดไม่อาจปฏิเสธได้ กล่าวได้ว่าเกือบทุกทีมบนครึ่งบนของตารางอันดับต่างใช้แทคติกนี้อย่างเช่น อันโตนี ของแมนฯยูไนเต็ด, มิเกล อัลมิรอน ของนิวคาสเซิล และไบรอัน เอ็มเบวโม ของเบรนท์ฟอร์ด ขณะที่เชลซีแม้จบด้วยอันดับ 12 แต่ตั้งแต่ปลายเมษายนได้ให้โอกาส โนนี มาดูเอเก ดาวรุ่งวัย 21 ปี ลงตัวจริงตำแหน่งปีกขวา เช่นเดียวกับ จาร์รอด โบเวน ของเวสต์แฮม และแฮร์รี วิลสัน ของฟูแลม

ต่อคำถามว่า “ทำไม” สามารถใช้ shot map ของซาลาห์ในพรีเมียร์ลีกซีซันนี้มาอธิบาย โดยแนวรุกทีมชาติอียิปต์กลับมาสร้างอันตรายให้คู่แข่งอีกครั้งจากบทบาท wide forward ซึ่งการตัดเข้าในทำให้ซาลาห์มีพื้นที่มากขึ้นในการยิงประตู แถมยังสามารถทะลวงไปถึงพื้นที่ตรงกลางได้มากขึ้น

“เป๊ป คอนเนคชัน” จุดไฟสมรภูมิพรีเมียร์ลีกเดือด

ขณะที่เป๊ป กวาร์ดิโอลา มอบถ้วยรางวัลพรีเมียร์ลีกแก่แมนฯซิตีเป็นครั้งที่ 5 ในรอบ 6 ปี มองไปทีมอันดับ 2-3 อาร์เซนอลกับแมนฯยูไนเต็ด ซึ่งถูกคาดหมายจะเขย่าบัลลังก์ทีมเรือใบสีฟ้าให้สั่นคลอนซีซันหน้า กุนซือของสองทีมมีความเชื่อมโยงกับกวาร์ดิโอลา

มิเกล อาร์เตตา เคยทำงานกว่า 3 ปีกับกวาร์ดิโอวาในฐานะผู้ช่วยผู้จัดการทีมในแมนเชสเตอร์ ก่อนย้ายมารับตำแหน่งใหญ่ของอาร์เซนอล และซีซันนี้ เขาเกือบพาทีมปืนใหญ่ครองแชมป์สมัยแรกนับจากยุคแชมป์ไร้พ่ายในซีซัน 2003-04 ส่วนเอริก เทน ฮาก ซึ่งใช้เวลาไม่ถึงปี พาแมนฯยูไนเต็ดกลับไปเล่นแชมเปียนส์ลีกอีกครั้ง ก็เคยคุมทีมบีของบาเยิร์น มิวนิก ช่วงที่กวาร์ดิโอลาเป็นเฮดโค้ชชุดใหญ่ 

แม้แต่ โรแบร์โต เด แซร์บี ซึ่งช่วยให้ไบรท์ตันได้ลงสังเวียนทวีปยุโรปเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ก็ยอมรับว่ากวาร์ดิโอลาเป็นแรงบันดาลใจให้เขามุ่งมั่นกับอาชีพโค้ช ขณะที่ แว็งซ็องต์ ก็องปานี ซึ่งเพิ่งพาเบิร์นลีย์ขึ้นสู่ลีกสูงสุดในฐานะแชมป์แชมเปียนชิพ ก็เคยสวมปลอกแขนกัปตันทีมแมนฯซิตีในยุคกวาร์ดิโอลา

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Football Tactics

recap มุมมอง ของ โค้ชน้อย อนันต์ อมรเกียรติ กับเรื่องราว เมื่อ PEP แปลง (TRANSFORM) แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปสู่ทีมฟุตบอลแห่งอนาคตกาล

บันทึกกว่า 7 หน้ากระดาษที่ส่งตรงมาจาก “โค้ชน้อย” อนันต์ อมรเกียรติ ที่ปรึกษาด้านเทคนิค ทีมชาติไทย ยู-23 ปี ถึงเรื่องราว เมื่อ PEP แปลง (TRANSFORM) แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปสู่ทีมฟุตบอลแห่งอนาคตกาล บันทึกนี้เปี่ยมไปด้วย “คุณค่า” ที่น่าติดตาม ซึ่งทาง ไข่มุกดำ ก็พร้อมที่บอกต่อเรื่องราวนี้ ให้กับทุก ๆ คนได้อ่าน ในเว็ปไซต์กัน

Categories
Special Content

ทฤษฎีช้างตกต้นไม้ : ย้อนรอยทีมจ่าฝูงแพ้ภัยตัวเอง พลาดแชมป์แบบสุดช็อก

หลังเกมบิ๊กแมตช์พรีเมียร์ลีก ชี้ชะตาการลุ้นแชมป์ เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดบ้านถล่ม อาร์เซน่อล 4 – 1 ส่งผลให้ “แชมป์เก่า” ทำคะแนนไล่จี้เหลือ 2 แต้ม แถมเตะน้อยกว่าถึง 2 นัด

แม้โมเมนตัมในการลุ้นคว้าแชมป์จะเอียงไปทาง “เรือใบสีฟ้า” มากขึ้น แต่เมื่อสถานการณ์ยังไม่ทิ้งห่างแบบขาดลอย “ปืนใหญ่” ก็มีหวังเล็ก ๆ ในการกลับมาคว้าโทรฟี่พรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบเกือบ 20 ปี

มีเรื่องโจ๊กจากแฟนบอลในต่างประเทศ ที่เคยกล่าวไว้ว่า “อาร์เซน่อลที่อยู่ในอันดับ 1 ของตาราง เสมือนช้างที่อยู่บนต้นไม้ ไม่มีใครรู้ว่ามันปีนขึ้นไปได้อย่างไร แต่ทุกคนรู้ว่าสุดท้ายมันต้องตกลงมาอยู่ดี”

วลี “ช้างที่อยู่บนต้นไม้” คือการเปรียบเปรยถึงสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ หรือสิ่งที่ผิดธรรมชาติ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป โลกแห่งความเป็นจริง ก็จะกระชากจากภวังค์ให้กลับมาอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง

ในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา ได้มีเหตุการณ์ของทีมที่กำลังอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูง แต่พอพลาดท่าแพ้เกมสำคัญระหว่างฤดูกาล ให้กับคู่แข่งที่แย่งแชมป์แบบโดยตรง กลายเป็นจุดพลิกผันสู่ความผิดหวังในที่สุด

1989 : ลิเวอร์พูล 0 – 2 อาร์เซน่อล (26 พฤษภาคม)

ศึกลูกหนังดิวิชั่น 1 ลีกสูงสุดของอังกฤษในขณะนั้น เมื่อฤดูกาล 1988/89 ลิเวอร์พูล กับ อาร์เซน่อล คือคู่ชิงแชมป์ประจำซีซั่น และมีโปรแกรมพบกันเองในนัดสุดท้าย ซึ่ง “หงส์แดง” กุมความได้เปรียบอยู่

สถานการณ์ก่อนลงเตะนัดตัดสินแชมป์ที่แอนฟิลด์ ลิเวอร์พูลนำอันดับ 1 มี 76 คะแนน ผลต่างประตูได้-เสีย +39 โดยมีอาร์เซน่อล ตามมาติด ๆ ในอันดับ 2 มี 73 คะแนน ผลต่างประตูได้-เสีย +35

ที่สำคัญ ลิเวอร์พูลกำลังอยู่ในช่วงฟอร์มที่ดี 18 เกมหลังสุดในลีก ไม่แพ้ใคร และเสียประตูในบ้านเพียง 2 ลูก โยนความกดดันไปให้อาร์เซน่อล ที่ต้องชนะด้วยผลต่าง 2 ประตูขึ้นไป ถึงจะแซงคว้าแชมป์

ครึ่งแรกยังยิงกันไม่ได้ แต่เริ่มครึ่งหลังได้ไม่ถึง 10 นาที อลัน สมิธ โขกให้อาร์เซน่อลขึ้นนำก่อน 1 – 0 อย่างไรก็ตาม ถ้าจบด้วยสกอร์นี้ ลิเวอร์พูลยังเป็นฝ่ายที่ได้แชมป์ เพราะผลต่างประตูได้-เสียดีกว่า

เจ้าบ้านพยายามบุกหนักหวังตีเสมอให้ได้ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังทำไม่สำเร็จ เคนนี่ ดัลกลิช กุนซือลิเวอร์พูล ตัดสินใจเคาะบอลไปมาเพื่อเผาเวลาไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเกิดฟ้าผ่ากลางแอนฟิลด์ขึ้นจนได้

ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ไมเคิล โธมัส ยิงประตู 2 – 0 ส่งอาร์เซน่อลคว้าแชมป์ลีกสูงสุดหนแรกในรอบ 18 ปี โดยมีแต้ม และผลต่างประตูได้เสียเท่ากัน แต่มีจำนวนประตูได้ที่มากกว่าลิเวอร์พูล (73 ต่อ 65)

1996 : นิวคาสเซิล 0 – 1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (4 มีนาคม)

ฤดูกาล 1995/96 ลีกสูงสุดเมืองผู้ดี เปลี่ยนชื่อเป็น “พรีเมียร์ลีก” ได้ไม่นาน นิวคาสเซิล ทำผลงานได้อย่างโดดเด่น จนทำแต้มทิ้งห่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไกลถึง 12 แต้มในเดือนมกราคม 1996

แต่หลังจากนั้น นิวคาสเซิลก็เริ่มฟอร์มแกว่ง จนถูกแมนฯ ยูไนเต็ด ไล่จี้เข้ามา และทั้ง 2 ทีม มีโปรแกรมพบกันเองที่เซนต์ เจมส์ปาร์ค ช่วงต้นเดือนมีนาคม ซึ่งก่อนลงสนาม “สาลิกาดง” นำอยู่ 4 แต้ม

นิวคาสเซิล มีโอกาสบุกมากกว่า แต่ยิงอย่างไรก็ไม่ผ่านมือปีเตอร์ ชไมเคิล นายทวารแมนฯ ยูไนเต็ด สุดท้ายแล้ว เอริค คันโตน่า พังประตูชัยให้ “ปิศาจแดง” บุกชนะ 1 – 0 ลดช่องว่างเหลือแค่แต้มเดียว

เมื่อระยะห่างแคบลงเรื่อย ๆ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือแมนฯ ยูไนเต็ด จัดการเปิดสงครามจิตวิทยา และสุดท้าย เควิน คีแกน ก็ตกหลุมพรางจนสูญเสียความมั่นใจ และเริ่มรับมือกับความกดดันไม่ไหว

ช่วงที่เหลือของซีซั่น สถานการณ์ลุ้นแชมป์ก็กลับตาลปัตร นิวคาสเซิล ชนะ 5 เสมอ 2 แพ้ 3 สุดท้ายถูกแมนฯ ยูไนเต็ด ที่ชนะถึง 7 จาก 9 เกมสุดท้าย แซงคว้าแชมป์ด้วยการมีคะแนนมากกว่า 4 แต้ม

1998 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0 – 1 อาร์เซน่อล (14 มีนาคม)

ฤดูกาล 1997/98 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หวังจะเป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 ซีซั่นติดต่อกัน แต่สำหรับอาร์เซน่อล นี่คือครั้งแรกที่อาร์แซน เวนเกอร์ คุมทีมแบบเต็มซีซั่น

ช่วงกลางเดือนมีนาคม 1998 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นำเป็นจ่าฝูง มีแต้มนำอาร์เซน่อล 9 แต้ม แต่ทีมของกุนซืออาร์แซน เวนเกอร์ ลงเตะน้อยกว่าถึง 3 เกม และทั้ง 2 ทีม มีนัดปะทะกันที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด

เกมทำท่าว่าจะจบด้วยผลเสมอ แต่ในนาทีที่ 79 มาร์ค โอเวอร์มาร์ส วิ่งมาซัดด้วยขวาผ่านปีเตอร์ ชไมเคิล เป็นประตูชัยให้อาร์เซน่อล พร้อมกับลดช่องว่างเหลือ 6 แต้ม กับโปรแกรมที่ตกค้างในมือ 3 นัด

หลังบิ๊กแมตช์ที่โรงละคร “เดอะ กันเนอร์ส” กุมชะตากรรมไว้ในมือของตัวเองแล้ว โดยชนะถึง 8 จาก 10 เกมที่เหลือ ขณะที่แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 5 จาก 7 เกมสุดท้าย แต่ไม่เพียงพอต่อการป้องกันแชมป์

อาร์เซน่อล การันตีตำแหน่งอันดับ 1 หลังถล่มเอฟเวอร์ตัน 4 – 0 เมื่อเหลือ 2 นัดสุดท้ายของฤดูกาล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เป็นครั้งแรกในยุคของเวนเกอร์ โดยเฉือน “ปิศาจแดง” เพียงแต้มเดียวเท่านั้น

2010 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1 – 2 เชลซี (3 เมษายน)

หลังจากคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาแล้ว 3 ซีซั่นติดต่อกัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2009/10 หวังที่จะสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ชนิดที่ไม่มีทีมใดเคยทำมาก่อน ด้วยการคว้าแชมป์ต่อเนื่องเป็นซีซั่นที่ 4

และผู้ท้าชิงของพวกเขาคือ เชลซี ของกุนซือคาร์โล อันเชล็อตติ ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จนถึงแมตช์ที่ต้องพบกับทีมของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในเกมที่ 33 ของฤดูกาล ช่วงต้นเดือนเมษายน 2010

ก่อนเกมบิ๊กแมตช์ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด “ปิศาจแดง” อยู่ในตำแหน่งจ่าฝูง มีคะแนนนำหน้าเชลซี 1 แต้ม ต้องการชัยชนะเพื่อทำแต้มทิ้งห่างออกไป และถือเป็นการล้างแค้นจากเกมนัดแรกที่บุกไปแพ้ 0 – 1

เชลซี ออกนำก่อน 2 ประตู จากโจ โคล และดิดิเยร์ ดร็อกบา แม้เฟเดริโก้ มาเคด้า จะยิงตีตื้นให้แมนฯ ยูไนเต็ด ไล่มาเป็น 1 – 2 แต่ “สิงห์บูลส์” ก็ยันสกอร์นี้ไว้ได้จนจบเกม แซงขึ้นจ่าฝูง เมื่อเหลือ 5 นัดสุดท้าย

ซึ่งโปรแกรมที่เหลือของทั้ง 2 ทีม ต่างฝ่ายต่างชนะทีมละ 4 เกมเท่ากัน ส่งผลให้เชลซี เป็นฝ่ายที่คว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ ดับฝันแมนฯ ยูไนเต็ด ในการเป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 4 สมัยติดต่อกัน

2012 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1 – 0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (30 เมษายน)

ฤดูกาล 2011/12 ช่วงต้นเดือนเมษายน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยืนอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูง มีแต้มนำแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถึง 8 แต้ม เมื่อเหลืออีก 6 เกม ทำให้หลายคนมองว่า “ปิศาจแดง” น่าจะเข้าวินได้ไม่ยาก

ทว่า 3 นัดหลังจากนั้น แมนฯ ซิตี้ ชนะรวด สวนทางกับแมนฯ ยูไนเต็ด ที่ออกอาการสะดุดครั้งใหญ่ เมื่อบุกไปแพ้วีแกน แบบพลิกล็อก 0 – 1 และถูกเอฟเวอร์ตันไล่ตามตีเสมอ 4 – 4 คาโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

ก่อนเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม ถิ่นของ “เรือใบสีฟ้า” ในวันสิ้นเดือนเมษายน 2012 ยูไนเต็ดมีแต้มนำซิตี้เพียง 3 แต้ม นั่นหมายความว่า ถ้า “ปิศาจแดง” แพ้ จะหล่นมาเป็นอันดับ 2 ทันที

ในช่วงทดเจ็บครึ่งแรก แว็งซองต์ กอมปานี ทำประตูชัยให้กับแมนฯ ซิตี้ เก็บ 3 คะแนนสำคัญ แซงแมนฯ ยูไนเต็ด ขึ้นนำเป็นจ่าฝูง มี 83 แต้มเท่ากัน แต่ผลต่างประตูได้-เสีย ดีกว่าอยู่ 8 ลูก เมื่อเหลืออีก 2 เกม

นัดรองสุดท้าย 2 ทีมเมืองแมนเชสเตอร์ ชนะทั้งคู่ ส่วนผลแข่งในเกมที่ 38 แมนฯ ยูไนเต็ด ที่แข่งจบไปก่อน บุกชนะซันเดอร์แลนด์ 1 – 0 ขณะที่แมนฯ ซิตี้ ยังเสมอกับควีนสปาร์ค เรนเจอร์ส 2 – 2 ช่วงท้ายเกม

และนัดปิดซีซั่น คือหนึ่งในเหตุการณ์การคว้าแชมป์ที่ดราม่าที่สุดตลอดกาล กับประตูชัยของกุน อเกวโร่ นาทีที่ 93.20 ซึ่งเป็นโมเมนต์ที่ทำเอาแฟนๆ “เรด อาร์มี่” อยากจะลบออกจากความทรงจำเลยทีเดียว

2019 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2 – 1 ลิเวอร์พูล (3 มกราคม)

ฤดูกาล 2018/19 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และลิเวอร์พูล เป็นคู่ชิงแชมป์พรีเมียร์ลีกที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ แฟนบอลของทั้ง 2 ทีม ต่างลุ้นกันนัดต่อนัด ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาล

สิ้นปี 2018 ลิเวอร์พูล มีคะแนนนำแมนฯ ซิตี้ อยู่ 7 แต้ม หลังผ่านไป 20 เกม และเกมต่อมา คือเกมแรกของปี 2019 ทั้งคู่ต้องห้ำหั่นกันเอง ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม ถือเป็นนัดสำคัญที่มีผลต่อการลุ้นแชมป์โดยตรง

ขณะที่ยังเสมอกันอยู่ 0 – 0 ในนาทีที่ 20 ซาดิโอ มาเน่ ดาวยิงลิเวอร์พูล ซัดบอลไปชนเสา จอห์น สโตนส์ แนวรับแมนฯ ซิตี้ สกัดบอลโดนเอแดร์ซอน นายทวารเพื่อนร่วมทีม ก่อนที่สโตนส์จะเคลียร์บอลออกจากเส้น ขาดเพียง 11 มิลลิเมตร จะข้ามเส้นประตู

ซึ่งนั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้แมนฯ ซิตี้ เก็บ 3 คะแนนสุดล้ำค่า ด้วยชัยชนะ 2 – 1 ลดช่องว่างลงมาเหลือ 4 แต้ม แถมเป็นการยัดเยียดความปราชัยนัดแรก และนัดเดียวตลอดทั้งฤดูกาลชองลิเวอร์พูลด้วย

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เก็บชัย 2 นัดติด ก่อนบุกไปแพ้นิวคาสเซิล 1 – 2 และหลังจากนั้น สร้างสถิติสุดโหด ชนะ 14 นัดติดต่อกัน ฮึดแซงคว้าแชมป์ได้แบบน่าเหลือเชื่อ โดยเฉือนลิเวอร์พูลแค่แต้มเดียว (98 ต่อ 97)

และในฤดูกาล 2022/23 ทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็มีโอกาสทำสถิติชนะ 14 นัดรวด เหมือนเมื่อ 4 ซีซั่นก่อน หลังจากชัยชนะในเกมกับอาร์เซน่อลเมื่อกลางสัปดาห์ พวกเขาเก็บชัยชนะมาแล้ว 7 นัดติดต่อกัน

อย่างไรก็ตาม จากลิสต์นี้ ทีมที่นำจ่าฝูงแต่วืดแชมป์เมื่อจบฤดูกาล สามารถกลับมายืนแป้นอันดับ 1 ทันทีในซีซั่นถัดมาได้ถึง 5 ครั้ง แสดงให้เห็นถึงการนำบทเรียนจากความผิดหวัง เป็นแรงขับสู่ความสำเร็จ

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

– https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-12010655/The-pivotal-title-deciders-Man-City-host-Arsenal-Premier-League.html

– https://thearsenalelephant.com/the-arsenal-elephant-blog/f/the-elephant-that-never-fell-from-the-tree

Categories
Special Content

อลเวงโลโก้สองทีมแมนเชสเตอร์ ปมดรามาภาพเรือ โยงค้าทาส

พรีเมียร์ลีกกำลังเข้าสู่โค้งสุดท้ายของซีซัน 2022-23 การขับเคี่ยวอย่างดุเดือดกำลังเกิดขึ้นหลายโซนของตารางอันดับ ไม่ว่าจะเป็นการแย่งชิงแชมป์ระหว่างอาร์เซนอลกับแมนฯซิตี นั่นเท่ากับตั๋วยูฟา แชมเปียนส์ ลีก เหลือเพียงสองใบสำหรับอันดับ 3-4 แต่กลับมีทีมที่เข้าข่ายได้ลุ้นอย่างน้อยหกทีมคือ นิวคาสเซิล, แมนฯยูไนเต็ด, ท็อตแนม ฮอตสเปอร์, แอสตัน วิลลา, ลิเวอร์พูล และไบรท์ตัน ขณะที่ด้านล่างของตาราง เซาแธมป์ตัน, ฟอเรสต์, เอฟเวอร์ตัน, เลสเตอร์ และลีดส์ กำลังมีแต้มเบียดอยู่แถวโซนตกชั้น แม้แต่บอร์นมัธ, วูลฟ์แฮมป์ตัน และเวสต์แฮม ก็ยังชะล่าใจผ่อนคันเร่งไม่ได้

แต่แล้วเกิดเหตุนอกสนามที่ร้อนระอุไม่แพ้กันขึ้นกับสองทีมยักษ์ใหญ่แห่งเมืองแมนเชสเตอร์ แมนฯซิตี และแมนฯยูไนเต็ด ที่เกิดกระแสรณรงค์ให้สองสโมสรเปลี่ยนแปลงตราสัญลักษณ์ที่ใช้มายาวนานกว่าหนึ่งศตวรรษ โดยจุดที่เป็นปัญหาคือภาพเรือสำเภาสามเสากระโดงที่อยู่บนโลโก้ทีมเนื่องจากสื่อความหมายถึงการค้าทาสและการใช้แรงงานทาส ซึ่งสร้างความอึดอัดใจให้กับผู้รักความเท่าเทียมกันของมนุษย์ คล้ายคลึงกับกรณีที่เคยเกิดขึ้นกับทีมอเมริกันฟุตบอล วอขิงตัน เรดสกินส์ ซึ่งถูกสั่งให้ยกเลิกคำว่า “เรดสกินส์” และโลโก “อินเดียนแดง” เพราะนัยว่าเป็นการดูถูกเหยียดหยามชนพื้นเมืองอเมริกัน

ปฐมบทโยงเรือทาสอยู่ที่ผู้ก่อตั้ง นสพ.”เดอะ การ์เดียน”

จุดเริ่มต้นของการถกเถียงมาจากบทความที่เผยแพร่ช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาของ “เดอะ การ์เดียน” สื่อคุณภาพของอังกฤษ ซึ่งจากการสืบเสาะหาข้อมูลของนักประวัติศาสตร์พบว่า ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ของตนเองและเครือข่ายมีความเกี่ยวข้องกับการค้าทาส ก่อนที่ ไซมอน แฮทเทนสโตน นักข่าวของเดอะ การ์เดียน จะนำมาขยายต่อกลางเดือนเมษายนและสร้างประเด็นดรามาขึ้นมาว่า สมควรไหมที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะนำภาพเรือสำเภาสามเสากระโดงออกไปจากสัญลักษณ์สโมสรเพราะสื่อถึงการค้าและใช้แรงงานทาส

แฮทเทนสโตนยอมรับว่าเป็นแฟนบอลแมนฯซิตีกว่าครึ่งศตวรรษ สมัยเด็กชื่นชอบเรือสำเภาสีทองเป็นพิเศษเพราะทำให้จินตนาการถึงโจรสลัด ต่อมาปลายทศวรรษ 1990 มันถูกทดแทนด้วยนกอินทรีสีทองที่สามารถเชื่อมโยงถึงนาซี แต่สโมสรกลับไปใช้เรือสำเภาอีกครั้งในปี 2016 รวมถึงดอกกุหลาบสีแดง สัญลักษณ์ของแลงคาเชียร์ เขาไม่เคยตั้งคำถามอะไรกับเรือสำเภาจนกระทั่งอ่านบทความชิ้นนั้นที่เขียนโดย คาสแซนดรา กูปทาร์

แฮทเทนสโตนรู้สึกอึดอัดใจที่รู้ว่า จอห์น เอ็ดเวิร์ด เทย์เลอร์ พ่อค้าฝ้ายชาวอังกฤษและผู้ก่อตั้งเดอะ แมนเชสเตอร์ การ์เดียน เมื่อปี 1821 (ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็นเดอะ การ์เดียน ในปี 1959) มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหลายบริษัทที่นำเข้าฝ้ายดิบซึ่งเป็นผลผลิตของแรงงานทาสในอเมริกา และมีอย่างน้อย 9 จาก 11 กลุ่มทุนที่สนับสนุนเทย์เลอร์เกี่ยวข้องกับการขนส่งทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก นอกจากนี้ เซอร์จอร์จ ฟิลิปส์ หนึ่งในนักลงทุนยุคก่อตั้ง ยังเป็นเจ้าของ(ร่วม)สวนอ้อยในจาเมกาที่ใช้แรงงานทาสด้วย 

แฮทเทนสโตนได้ข้อสรุปว่าทุกเรื่องราวในบทความไม่ว่าจะเป็นการค้าขาย การเกษตร และทาส ล้วนมีเรือเป็นศูนย์กลาง ขณะที่ธุรกิจฝ้ายในแมนเชสเตอร์บูมสุดขีดช่วงทศวรรษ 1850 มีจำนวนโรงงานมากถึง 108 แห่ง จนกระทั่งแมนเชสเตอร์ได้รับฉายา Cottonopolis

เดอะ แมนเชสเตอร์ การ์เดียน ฉบับปฐมฤกษ์วางจำหน่ายในปี 1821 หรือหลังจากสหราชอาณาจักรได้ยกเลิกระบบทาสไปแล้วสิบสี่ปี แต่พ่อค้าฝ้ายยังเก็บเกี่ยวผลกำไรที่ได้รับจากทาสอย่างต่อเนื่อง ฝ้ายดิบที่เกิดจากหงาดเหงื่อของทาสในอเมริกา แคริบเบียน และบราซิล ยังถูกลำเลียงมายังท่าเรือของสหราชอาณาจักร ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งทอสินค้ารูปแบบต่างๆในโรงงานแถบแลงคาเชียร์ แล้วกระจายไปขายทั่วโลก แฮทเทนสโตนมองว่า “เรือ” ไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของ “การค้าขาย” ของแมนเชสเตอร์ แต่ยังสื่อความหมายถึง “การเอารัดเอาเปรียบ” อีกด้วย

เพื่อนคนหนึ่งของแฮทเทนสโตนชี้ให้เห็นว่า รูปเรือบนโลโกของแมนฯซิตีคล้ายกับเรื่องราวที่เขาเคยอ่านเกี่ยวกับเรือเสาเสากระโดงที่แล่นไปทั่ว “เดอะ เซเวน ซีส์” (The Seven Seas) ได้แก่มหาสมุทรอาร์กติก, แอตแลนติกเหนือ, แอตแลนติกใต้, แปซิฟิกเหนือ, แปซิฟิกใต้, อินเดีย และมหาสมุทรใต้ เพื่อรับ ขนส่ง และฝากสินค้าที่ผลิตโดยแรงงานทาส แม้กระทั่งทาสเองก็เป็นสินค้า เหตุการณ์นี้ดำเนินมายาวนานจนกระทั่งอเมริกาเลิกทาสเมื่อปี 1865

แฮทเทนสโตนให้ความเห็นว่า แน่นอนเรือเหล่านั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฟุตบอล แต่ผลผลิตของทาสยังฝังแน่นอยู่ในวัฒนธรรมและผู้คนมีความสุขเฉลิมฉลองความสำเร็จผ่านตราสโมสรที่สื่อถึงความกดขี่โดยไม่รู้ตัว

มีคำกล่าวอ้างถึงเรือบนสัญลักษณ์สโมสรของแมนฯซิตีว่า เพื่อเฉลิมฉลอง คลองเดินเรือแมนเชสเตอร์ (The Manchester Ship Canal) ซึ่งเป็นเส้นทางน้ำภายในประเทศความยาว 36 ไมล์ เชื่อมเมืองแมนเชสเตอร์กับทะเลไอริช และเปิดใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 1894 ปีเดียวกับทีมอาร์ดวิค แอสโซซิเอชัน (Ardwick Association F.C.) เปลี่ยนชื่อเป็นแมนเชสเตอร์ ซิตี แต่แฮทเทนสโตนเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องจริงเพราะแนวคิดภาพเรือนำมาจากตราแผ่นดินของแมนเชสเตอร์

แฮทเทนสโตนระบุเพิ่มเติมว่า มีสโมสรฟุตบอลอังกฤษไม่มีแห่งที่ใช้ภาพเรือในสัญลักษณ์ทีม และแต่ละทีมก็อธิบายที่มาที่ไปชัดเจนเช่น ทรานเมียร์ โรเวอร์ส เป็นเรือรบและบ่งบอกถึงประวัติศาสตร์ในฐานะเมืองแห่งการต่อเรือ, กริมสบี ทาวน์ เป็นเรือลากอวน ทีมมีฉายาว่า “เดอะ มาริเนอร์ส” และใช้กะลาสีเรือ “แฮร์รี เดอะ แฮดด็อค” เป็นตัวนำโชค, พลีมัธ อาร์ไกล์ ซึ่งโลโกเป็นเรือสำเภาขนาดใหญ่ แต่ถูกออกแบบเพื่อระลึกถึงเรือเมย์ฟลาวเวอร์ที่นำกลุ่มผู้แสวงบุญเดินทางจากอังกฤษไปยังโลกใหม่ (ทวีปอเมริกา) เมื่อปี 1620 ขณะที่สโมสรที่ตั้งอยู่ในเมืองท่าที่เกี่ยวข้องกับการค้าทาสโดยตรงอย่างลอนดอน บริสตอล และลิเวอร์พูล ล้วนหลีกเลี่ยงภาพเรือปรากฏบนตราสโมสร แม้ บริสตอล โรเวอร์ส ซึ่งสื่อใกล้เคียงเรือที่สุด ก็ใช้ภาพโจรสลัด

เรือเข้ามาในโลโกพร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น “แมนฯยูไนเต็ด”

มาถึงประวัติศาสตร์ของสองสโมสรยักษ์ใหญ่ แมนฯยูไนเต็ดก่อตั้งสโมสรในปี 1878 ก่อนหน้าแมนฯซิตีสองปี จากการรวมตัวของพนักงานรถไฟแผนกขนส่งสายแลงคาเชียร์และยอร์กเชียร์ เดิมใช้ชื่อว่า “นิวตัน ฮีธ” (Newton Heath) ก่อนเปลี่ยนมาเป็น “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ในปี 1902

ความเป็นมาของตราสโมสร นิวตัน ฮีธ ใช้ตราสโมสรสองแบบแต่ไม่เกี่ยวข้องกับเรือ ภาพเรือปรากฏครั้งแรกในปี 1902พร้อมเปลี่ยนชื่อทีมเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่สัญลักษณ์แตกต่างจากที่แฟนบอลคุ้นตาอย่างสิ้นเชิง คือเป็นรูปสิงโตและแอนทิโลป (antelope) บนตัวมีกุหลาบสีแดง ถือโล่ที่มีเรือสามเสากระโดงอยู่ด้านบน ด้านล่างเป็นแถบสีเหลืองสามแถบคาดบนพื้นสีแดง แถบทั้งสามหมายถึงแม่น้ำสามสาย Irwell, Irk และ Medlock ที่ไหลผ่านตัวเมือง

เหนือโล่เป็นหมวกเหล็กที่มีลูกโลกตั้งอยู่ข้างบน แสดงถึงทักษะทางการค้าของชาวเมือง และเรือในโล่ยังหมายถึงการค้าทางเรืออีกด้วย ส่วนบริเวณด้านล่างของโล่และเท้าของสัตว์ทั้งสองเป็นคำจารึกภาษาลาติน “’Concilio Et Labore” แปลว่า “ปัญญาและความมานะ”

โดยรวมแล้ว การออกแบบตราของแมนฯยูไนเต็ดได้รับแรงบันดาลจากสัญลักษณ์ประจำเมือง บวกกับประวัติศาสตร์ในฐานะเมืองที่ประสบความสำเร็จด้านการค้าโลกระหว่างยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม

แมนฯยูไนเต็ดใช้ตราสโมสรนั้นนานกว่าสี่สิบปี ก่อนเปลี่ยนระหว่างทศวรรษ 1940 ซึ่งคล้ายกับปัจจุบันคือ แถบด้านบนเป็นชื่อ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” และแถบด้านล่างเป็นคำว่า “ฟุตบอลคลับ” ตรงกลางเป็นโล่ที่มีเรืออยู่ด้านบนและปีศาจอยู่ด้านล่าง

โลโกใหม่สองครั้งต่อมาในปี 1958 และ 1970 ตัวปีศาจหายไป ถูกแทนที่ด้วยแถบสามเส้น ก่อนปีศาจกลับมาในเวอร์ชัน 1973, 1992 และ 1998 ซึ่งใช้จนถึงตอนนี้ อย่างไรก็ตาม เรือสำเภาไม่เคยหายไปจากโลโกทั้งหกแบบในยุคแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

เรืออยู่ในโลโก “แมนฯซิตี” ก่อนทีมเพื่อนบ้านแปดปี

แมนฯซิตีก่อตั้งสโมสรในปี 1880 จากสมาชิกโบสถ์เซนต์มาร์คในเวสต์ กอร์ดอน, แมนเชสเตอร์ ใช้ชื่อแรกเริ่มว่า “เซนต์มาร์คส (เวสต์ กอร์ดอน)” (St. Mark’s (West Gorton)) ก่อนเปลี่ยนเป็น “อาร์ดวิค แอสโซซิเอชัน ฟุตบอล คลับ” (Ardwick Association Football Club) ในปี 1887 และ “แมนเชสเตอร์ ซิตี” ในปี 1894 หรือสองปีหลังเข้าร่วมฟุตบอลลีก

เช่นเดียวกับทีมเพื่อนบ้าน สัญลักษณ์ของแมนฯซิตีตอนใช้ชื่อเซนต์มาร์คสฯและอาร์ดวิคฯไม่มีรูปเรือ เรือปรากฏครั้งแรกในปี1894 พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็นแมนเชสเตอร์ ซิตี โดยสัญลักษณ์ดังกล่าวก็คล้ายคลึงกับแมนฯยูไนเต็ดในปี 1902 แต่ความจริงคือ แมนฯซิตีเองก็ดัดแปลงจากตราประจำเมืองของแมนเชสเตอร์ที่มีตั้งแต่ปี 1842

แมนฯซิตีใช้สัญลักษณ์ดังกล่าวจนถึงปี 1960 จึงเปลี่ยนมาเป็นแบบใหม่ที่คล้ายกับโลโกตอนนี้ คือเป็นแถบวงกลมเขียนคำว่า “แมนเชสเตอร์ ซิตี เอฟ.ซี.” โดยมีโล่อยู่ข้างในวงกลม ด้านบนเป็นเรือสำเภาสามเสากระโดง ด้านล่างเป็นแถบสีเหลืองสามแถบหรือ Three Rivers

จากนั้นเป็นเวอร์ชันปี 1970 ที่ใกล้เคียงรูปแบบเดิมเปลี่ยนเพียงโทนสี, ปี 1972 ใช้กุหลาบสีแดงแทนสามแถบ, ปี 1976 เปลี่ยนโทนสี, ปี 1997 ถือเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ ภาพพญาอินทรีผงาดเหนือโล่ที่ข้างในเป็นเรือ, ตัวหนังสือ M.C.F.C. และแถบสีขาวสามแถบบนพื้นสีฟ้า เหนือนกอินทรีเป็นดาวห้าแฉกสามดวง ข้างล่างโล่เป็นคำขวัญภาษาลาติน “Superb in Proelio” แปลว่า “ความภาคภูมิใจในสนามรบ” โดยนกอินทรีสื่อความหมายถึงอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งสนามบินแมนเชสเตอร์เปรียบเสมือนหัวใจของประเทศอังกฤษตอนเหนือ

อย่างไรก็ตาม โลโกนี้ไม่ได้รับความนิยมในหมู่แฟนบอลและถูกเปลี่ยนใหม่ในปี 2016 ซึ่งคล้ายกับเวอร์ชัน 1972 แต่ปรับดีไซน์และสีให้ชัดเจนทันสมัย พร้อมใส่ปี 1894 ซึ่งเป็นปีแรกที่ใช้ชื่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี ลงไปในแถบวงกลม สโมสรยังใช้สัญลักษณ์นี้จวบจนปัจจุบัน

จากประวัติศาสตร์กว่าหนึ่งศตวรรษในช่วงที่ใช้ชื่อ แมนฯยูไนเต็ด (120 ปี) และแมนฯซิตี (129 ปี) เรือสำเภาถือเป็นส่วนสำคัญของสัญลักษณ์สโมสรมาตลอดเพื่อสื่อถึงความยิ่งใหญ่ในการค้าขายทางเรือของเมืองแมนเชสเตอร์

หลายเสียงยืนยัน “เรือ” เป็นประตูสู่การค้าขายทั่วโลก

เปรียบเทียบตราสโมสรของสองทีม เรือของแมนฯซิตีมีขนาดใหญ่กว่า กินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของโล่เท่ากับส่วนที่เป็นกุหลาบสีแดง ขณะที่เรือของแมนฯยูไนเต็ดจะอยู่หนึ่งส่วนสามของพื้นที่โล่ อีกสองส่วนสามเป็นปีศาจแดง

อย่างไรก็ตามตอนที่แมนฯซิตีเปลี่ยนจากพญาอินทรีกลับไปใช้รูปแบบเดิมเมื่อปี 2016 สโมสรได้ออกแถลงการณ์ว่า “ตราใหม่เป็นเสมือนต้นฉบับดั่งเดิมที่ดูทันสมัยขึ้น หวนกลับไปสู่รูปทรงกลมในอดีต พร้อมชุดสัญลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์ของแมนเชสเตอร์ได้แก่ เรือ แม่น้ำสามสาย และดอกกุหลาบสีแดง อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่สโมสรได้ใส่ตัวเลข 1894 ซึ่งเป็นปีก่อตั้งสโมสรไว้ด้วย เพื่อเป็นการเคารพแก่ประวัติศาสตร์อันยาวนานของชุมชนแมนเชสเตอร์

โจนาธาน สโคฟิลด์ นักประวัติศาสตร์ เปรียบเรือเป็นเสมือนลมหายใจของเมือง “มันคือสัญลักษณ์ของการค้าเสรี ภายใต้แนวคิดมนุษย์ในโลกใบนี้ต่างมีความเท่าเทียมกัน เพราะทุกคนล้วนมีสิทธิเท่าเทียมซึ่งกันและกันในการประกอบธุรกิจ และนี่แหละเป็นความหมายของเรือ”

แกรห์ม สตริงเกอร์ ส.ส.เขต Blackley และ Broughton จากพรรคแรงงาน ให้ความเห็นว่า “เมืองแมนเชสเตอร์ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการค้าทาสเลย จริงๆแล้วประชาชนที่นี่ในสมัยอเมริกาเกิดสงครามกลางเมืองเมื่อปี 1861 เคยรวมตัวประท้วงระบบทาสด้วยซ้ำ การรณรงค์เรื่องนี้ (เรือเป็นสัญลักษณ์ของการค้าและการใช้ทาส) เป็นสิ่งที่บ้าบอคอแตกเรื่องหนึ่งที่ผมเคยเจอมา”

แคเธอรีน เฟลทเชอร์ ส.ส.จากพรรคอนุรักษ์นิยม ซึ่งถือตั๋วปีของแมนฯยูไนเต็ด เป็นคนหนึ่งที่ไม่พอใจรายงานพิเศษชิ้นนั้นของเดอะ การ์เดียน “ผู้คนในเมืองแมนเชสเตอร์เป็นเจ้าบ้านที่ให้การต้อนรับผู้มาเยือนได้อบอุ่นมากที่สุดกลุ่มหนึ่งในโลก ดังนั้นเรือไม่สามารถนำไปใช้เป็นสัญลักษณ์แทนอะไรแบบนั้นแน่นอน”

เจพี โอ’นีล ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ของแมนฯยูไนเต็ด และเขียนหนังสือชื่อ “Red Rebels: United and the FC Revolution” ถึงขนาดระบุว่า ตรรกะของแฮทเทนสโตนเป็นเรื่องตลกเพราะมันย้อนแย้งกันเอง 

“ไม่ใช่แค่ตราสัญลักษณ์ของสโมสรเกิดขึ้นหลังการประกาศเลิกทาสนานมาก ตัวสโมสรเองยังก่อตั้งหลังระบบทาสสิ้นสุดลงหลายสิบปี แล้วต้องไม่ลืมว่าเรือลำแรกเดินทางมาถึงแมนเชสเตอร์ในปี 1894 พร้อมการเปิดคลองเรือ และที่แมนเชสเตอร์ คนงานโรงงานฝ้ายในยุคสงครามกลางเมืองอเมริกา พร้อมใจไม่ยอมทำงานยุ่งเกี่ยวกับฝ้ายดิบที่ได้มาจากแรงงานทาส แม้นั่นทำให้ชีวิตของพวกเขาสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายก็ตาม”

ทางด้านความคิดเห็นของแฟนบอล ไมค์ โกลด์สตีน นักบินวัย 57 ปี ซึ่งเริ่มดูการแข่งขันแมนฯซิตีในสนามตั้งแต่อายุแปดขวบ กล่าวว่า “ไร้สาระด้วยประการทั้งปวง คุณเอาแต่ย้อนเวลากลับไปแบบนั้นไม่ได้หรอก มันคล้ายกับคนอิตาเลียนยังบ้าคลั่งอาณาจักรโรมัน”

ปีเตอร์ ชอว์ แฟนบอลวัย 34 ปีของแมนฯยูไนเต็ด “ช่างไร้สาระจริงๆถ้าจะเอา(ภาพเรือ)ออกไป มันเกี่ยวข้องกับการฉลองเปิดคลองเรือ ไม่มีอะไรยุ่งกับการค้าทาสแม้แต่นิดเดียว”

เจมี พาร์คเฮาส์ พ่อครัวแฟนบอลแมนฯยูไนเต็ดวัย 37 ปี “เป็นเรื่องถูกต้องแล้วที่ผู้คนจะตั้งคำถามเรื่องการค้าทาสใช้แรงงานทาส แต่ไม่ใช่เรื่องนี้ (ภาพเรือ) ตราสัญลักษณ์สื่อถึงคลองเรือแมนเชสเตอร์ไม่ใช่ทาส การโยงโลโกสโมสรกับค้าขายเป็นอะไรที่มากจนเกินเลยไป”

เทียบ “เรดสกินส์” เปลี่ยนชื่อ-โลโกเพราะด้อยค่าอินเดียนแดง

ไม่กี่ปีที่แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นกับ “วอชิงตัน เรดสกินส์” (Washington Redskins) ทีมอเมริกันฟุตบอลเก่าแก่ของเนชันแนล ฟุตบอล ลีก (เอ็นเอฟแอล) ในสหรัฐอเมริกา

เมื่อปี 2020 เอ็นเอฟแอล มีมติให้ตัดคำว่า “เรดสกินส์” ออกจากชื่อ และยกเลิกตราสโมสรที่มีภาพอินเดียนแดง หลังจากถูกวิจารณ์มายาวนานเนื่องจากสื่อถึงชนพื้นเมืองอเมริกันอย่างไม่เหมาะสม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแรงกดดันจากบริษัทสปอนเซอร์ใหญ่อย่าง เฟดเอ็กซ์, ไนกี้, เป๊ปซี่ และธนาคารแห่งอเมริกา

ระหว่างหาชื่อถาวร ทีมเลือกใช้ชื่อ “วอชิงตัน ฟุตบอล ทีม” (Washington Football Team) เป็นการชั่วคราว ส่วนสัญลักษณ์ของทีมบนหมวกอเมริกันฟุตบอลจะใช้ตัวอักษร W จนกระทั่งต้นปี 2022 ทีมได้ประกาศใช้ชื่อใหม่ว่า “วอชิงตัน คอมมานเดอร์ส” (Washington Commanders) อย่างเป็นทางการ ขณะที่โลโก W ถูกออกแบบใหม่

วอชิงตัน โพสต์ สื่อยักษ์ใหญ่ในอเมริกา ระบุว่าการเปลี่ยนชื่อทีมและตราสัญลักษณ์จะใช้ค่าใช้จ่ายกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐในการดำเนินงานด้านต่างๆอาทิ การผลิตสินค้าของที่ระลึก ชุดแข่งขัน สนามแข่งขัน ฯลฯ แต่ในระยะยาวเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของทีมวอชิงตัน ทำให้ได้รับการสนับสนุนจากแฟนอเมริกันฟุตบอลมากขึ้น

อย่างไรก็ตามกรณีของวอชิงตันถือว่าแตกต่างกับแมนฯยูไนเต็ดและแมนฯซิตีอย่างเห็นได้ชัดทั้งประเด็นการสื่อความหมายและแรงกดดันจากสังคม

ไนเจล เคอร์รี ผู้ชำนาญการด้านแบรนดิ้ง ให้สัมภาษณ์ว่าการปรับเปลี่ยนตราสโมสรจะต้องใช้เงินหลายล้านปอนด์เช่นกัน “นี่จะเป็นการดำเนินงานใหญ่มากครั้งหนึ่งและต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมากในการเปลี่ยนตราสโมสรของแมนฯยูไนเต็ดและแมนฯซิตี”

“ความเชื่อมโยงเรื่องทาสไม่ได้ชัดเจนหรือแข็งแกร่ง แต่มันมีศักยภาพที่จะทำลายสร้างความเสียหายให้กับประวัติศาสตร์ด้านต่างๆที่เชื่อมโยงสโมสร  เหตุผลในการเปลี่ยนแปลงก็ดูไม่มีน้ำหนัก แน่นอนย่อมมีการถกเถียงกันต่อไปว่าแท้จริงแล้ว เรือเป็นตัวแทนของอะไรกันแน่ การอภิปรายจะดำเนินต่อไป แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงไม่น่าจะเกิดขึ้น”

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Special Content

8 นักเตะเกรดพรีเมียมในตลาดซัมเมอร์ เคน-เบลลิงแฮม-ไรซ์-โอซิมเฮน นำขบวน

ตลาดซื้อขายนักเตะกลางซีซัน (Winter/January transfer window) ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา สโมสรพรีเมียร์ลีกร่วมกันสร้างสถิติใหม่ใช้เงินรวมกัน 815 ล้านปอนด์ มากกว่าตลาดฤดูหนาวสี่ปีที่ผ่านมารวมกัน เชลซีนำโด่งหัวขบวน 323 ล้านปอนด์หรือ 329 ล้านยูโร ทีมเดียวมากกว่าทั้งกัลโช เซเรีย อา ทั้งลีกรวมกันไม่ถึง 28 ล้านยูโร เชลซียังสร้างสถิติใหม่ของสหราชอาณาจักรด้วยการทุ่ม 106.8 ล้านปอนด์เพื่อดึงเอ็นโซ แฟร์นานเดซ มาจากเบนฟิกา

ตลาดใหญ่ช่วงฤดูร้อน (Summer transfer window) กลางปีนี้ของพรีเมียร์ลีก ยังไม่ประกาศวันเปิดปิดแต่คาดว่าน่าจะเป็นต้นเดือนมิถุนายนเหมือนปีที่แล้ว ซึ่งเปิดวันที่ 10 มิถุนายน และปิดวันที่ 1 กันยายน โดยใช้จ่ายเงินรวมทั้งสิ้นเกือบ 2พันล้านปอนด์ มากกว่าอีกสี่ลีกบิ๊กไฟฟ์ บุนเดสลีกา, ลีกเอิง, เซเรีย อา และลา ลีกา รวมกัน

การซื้อขายเพื่อเสริมแกร่งให้กับขุมกำลังเพื่อสู้ศึกฤดูการแข่งขัน 2023-24 ยากที่จะคาดเดาว่าตัวเลขเงินหมุนเวียนในตลาดจะสูงเป็นประวัติศาสตร์หรือไม่ แต่ที่แน่นอนคือ นักเตะเนื้อหอมที่จะก้าวสู่ตลาดฤดูร้อนปีนี้จัดอยู่ในกลุ่มสตาร์เอบวกหลายคนนำโดย จูด เบลลิงแฮม มิดฟิลด์ว่าที่ GOAT ซึ่งคาดว่าโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ต้องการค่าตัวเริ่มต้นที่ 130 ล้านปอนด์, เฮนรี เคน ยอดศูนย์หน้าที่วัยใกล้พ้นช่วงพีคและมองหาทีมใหม่ที่จะทำให้เขาได้รับเกียรติยศระดับเมเจอร์ครั้งแรกในชีวิต, ดีแคลน ไรซ์ ยอดมิดฟิลด์ตัวรับที่ตกเป็นข่าวตลอด 1-2 ปีที่ผ่านมา และวิคเตอร์ โอซิมเฮน ดาวซัลโวระดับบล็อกบัสเตอร์อีกคนหนึ่ง

สกาย สปอร์ตส์ สื่อกีฬายักษ์ใหญ่ของอังกฤษ ได้รวบรวมรายชื่อนักเตะที่เข้าข่าย Big transfer moves ในตลาดใหญ่กลางปีดังต่อไปนี้

แฮร์รี เคน: ความคลุมเครือสู่สัญญาปีสุดท้ายกับสเปอร์ส

ขอบคุณภาพจาก  https://www.premierleague.com/news/3147101

การตัดสินใจของแฮร์รี เคน ซึ่งเหลือสัญญากับท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2024 เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของตลาดซัมเมอร์หลังจากเคยเกือบโบกมือลาสเปอร์สเมื่อปี 2021 แต่ดาเนียล เลวี ประธานสโมสร ทั้งโก่งราคาสูงลิ่วและยืนยันเสียงแข็งไม่ขายให้แมนฯซิตี แต่ปีนี้สถานการณ์ต่างออกไป เคนเหลือสัญญาปีเดียว อนาคตของทีมยังลุ่มๆดอนๆ ไม่รู้ว่าใครจะมาเป็นผู้จัดการทีมสเปอร์ส เขาอายุ 29 ปีแต่ยังไร้แชมป์ระดับเมเจอร์ และทีมยังไม่แน่ว่าจะได้เล่นบอลยุโรปถ้วยไหน

แน่นอน เคนรักสโมสร ครอบครัวเขาติดตามเชียร์ทั้งเกมหย้าเยือน แต่อันโตนิโอ คอนเต ซึ่งถูกตั้งความหวังว่าจะเป็นคนพาสเปอร์สไปสู่ความสำเร็จ โดนไล่ออกแบบสายฟ้าฟาด เช่นเดียวกับฟาบิโอ ปาราติซี ผู้อำนวยการฝ่ายกีฬา ก็มีอนาคตไม่ชัดเจน เคนจะยอมต่อสัญญาใหม่หรือไม่ซึ่งเชื่อว่าจะยาวพอให้เขาแขวนสตั๊คกับทีมที่อยู่มาตั้งแต่ปี 2004 ตอนอายุ 11 ขวบ

ไมเคิล บริดจ์ คอลัมนิสต์ของสกาย สปอร์ตส์ มองว่ายังมีความเป็นไปได้แม้น้อยนิดที่เลวีจะรั้งเคนอยู่ต่อจนหมดสัญญาและเป็นฟรีเอเยนต์ หรืออาจยอมปล่อยให้ทีมที่ต้องการศูนย์หน้าที่การันตี 20 ประตูต่อซีซันอย่างแมนฯยูไนเต็ดในราคา 80 ล้านปอนด์ ขณะที่บาเยิร์น มิวนิก ยังติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดแต่ดูเหมือนเคนยังอยากเล่นในพรีเมียร์ลีกต่อไปมากกว่า

จูด เบลลิงแฮม: ใช้เงินจูงใจไม่พอยังต้องมีแผนงานเด็ด

ฟอร์มในเวิลด์คัพที่กาตาร์เป็นเครื่องยืนยันระดับฝีเท้าของจูด เบลลิงแฮม มิดฟิลด์ดาวรุ่งทีมชาติอังกฤษและโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ว่าเป็นทองแท้ไม่ใช่ทองชุบที่หลุดลอกเมื่อต้องลงแข่งขันบนสังเวียนระดับสูง เขามีอายุแค่ 19 ปี ยังสามารถพัฒนาฝีเท้าได้อีกมาก บวกกับสัญญาที่สิ้นสุดในปี 2025 ทำให้ทีมเสือเหลืองตั้งราคาแบบไม่อยากขายที่ 130 ล้านปอนด์

แต่อะไรไม่สำคัญเท่าเบลลิงแฮมเองก็ไม่รีบร้อนตัดสินใจอนาคตเสียด้วย หากจะสะสมประสบการณ์กับดอร์ทมุนด์ต่ออีกสักหนึ่งปีก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรแม้มีบิ๊กทีมอย่างเรอัล มาดริด, แมนฯซิตี, ลิเวอร์พูล และแมนฯยูไนเต็ด พร้อมอ้าแขนรับเขาไปอยู่ด้วย 

เบลลิงแฮมเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาให้ความสำคัญอันดับแรกกับการพัฒนาทักษะความสามารถเพื่อขยายขอบเขตศักยภาพออกไปเรื่อยๆ ซึ่งนั่นทำให้เรอัล มาดริด เป็นเต็งหนึ่งเพราะเป็นทีมที่จะยกระดับให้เขาเป็นมิดฟิลด์ระดับโลก รวมถึงความสำเร็จสูงสุดอย่างเหรียญชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกและรางวัลบัลลงดอร์ แหล่งข่าววงในระบุว่า ทีมราชันชุดขาวถึงขนาดบอกว่า คีลิยัน เอ็มบัปเป เลือกผิดที่ยังอยู่กับปารีส แซงต์-แยร์แมง

เมลิสสา เรดดี คอลัมนิสต์ของสกาย สปอร์ตส์ อ้างอิงคนในครอบครัวเบลลิงแฮมที่เคยพูดว่า “มีทางเดียวที่จะชนะใจจูด คือขายแผนงานเกี่ยวกับฟุตบอล” เหมือนเมื่อครั้งเขาตัดสินใจย้ายจากเบอร์มิงแฮมไปอยู่ดอร์ทมุนด์แทนแมนฯยูไนเต็ด เพราะเชื่อว่าที่ดอร์ทมุนด์ เขามีโอกาสลงสนามมากกว่าและพัฒนาฝีเท้าได้ดีกว่า

ดีแคลน ไรซ์: ถึงย้ายทีมก็ยังใช้ชีวิตในลอนดอน

ดีแคลน ไรซ์ เป็นมิดฟิลด์เนื้อหอมตลอดช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา แต่ซัมเมอร์นี้ มิดฟิลด์ตัวรับวัย 24 น่าจะโบกมือลาเวสต์แฮมที่ยังเหลือสัญญาอีกสองปี เพราะที่กาตาร์ ไรซ์เคยพูดชัดเจนว่าเขาต้องการเล่นในระดับที่สูงขึ้น นักข่าวตีความว่า ไรซ์อยากสัมผัสเกมแชมเปียนส์ลีกและลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ซึ่งตอนนี้ เวสต์แฮมไม่ใช่ทีมที่ตอบโจทย์ต่อไปแล้ว

สื่อเชื่อว่าอาจเป็นไปได้ที่ไรซ์อาจกลับไปเล่นให้เชลซีที่เขาเคยฝึกปรือฝีเท้าในอะคาเดมีตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ และยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเมสัน เมาท์ แต่อาร์เซนอลเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายเพราะอย่างน้อยทีมปืนใหญ่ตกเป็นข่าวสนใจไรซ์ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา พวกเขาชัดเจนในความต้องการยกระดับมิดฟิลด์เมื่อเคยพยายามเซ็นสัญญากับมอยเซส ไกเซโด

ดาร์เมช เชธ คอลัมน์ของสกาย สปอร์ตส์ ระบุว่าเมื่อไรซ์ไม่ขยายเซ็นสัญญา เวสต์แฮมก็ต้องขายเขาปีนี้ไม่รอถึงปีหน้าให้เหลือสัญญาปีเดียว และสนนราคาไม่เบาแน่ เดวิด มอยส์ กุนซือทีมขุนค้อน เคยประเมินค่าตัวไรซ์ว่าทะลุหลัก 150 ล้านปอนด์แน่นอน

วิคเตอร์ โอซิมเฮน: วาดฝันชี้เป้าหมายไปเล่นพรีเมียร์ลีก

วิคเตอร์ โอซิมเฮน เป็นอีกหนึ่งสินค้าเนื้อหอมที่ยังเหลือสัญญาสองปีแต่ยังไม่มีข่าวต่อสัญญาใหม่กับนาโปลี ซึ่งแน่นอนที่ต้องการเก็บศูนย์หน้าวัย 24 ปีเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ในลีกอิตาลี และกลับไปลุ้นแชมป์แชมเปียนส์ลีกอีกครั้งหลังจากเพิ่งแพ้เอซี มิลาน ในรอบแปดทีมสุดท้าย

ในเซเรีย อา โอซิมเฮนทำไปแล้ว 21 ประตู 5 แอสซิสต์ บวกอีก 5 ประตูในบอลถ้วยยุโรป เขาตกเป็นข่าวกับแมนฯยูไนเต็ดที่ต้องการศูนย์หน้าระดับห้าดาวในซัมเมอร์นี้ แต่ทีมปีศาจแดงจะยอมทุ่มเงินถึงร้อยล้านปอนด์บวกหรือเปล่าทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแผนงานของตระกูลเกลเซอร์ หรือบางทีอาจต้องรอความชัดเจนว่ากลุ่มทุนไหนที่จะมาเทคโอเวอร์แมนฯยูไนเต็ด

ดาร์เมช เชธ คอลัมนิสต์ของสกาย สปอร์ตส์ ให้ความเห็นว่าคงต้องรอความเคลื่อนไหวเรื่องสัญญาใหม่จากสองฝ่าย แต่โอซิมเฮนเคยพูดชัดเจนว่า เขาจะทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อบรรลุความฝันในการจะได้เล่นพรีเมียร์ลีกสักวันหนึ่ง สโมสรระดับท็อปและรวยพอจ่ายค่าตัวร้อยล้านปอนด์ก็มีไม่กี่ทีม

มอยเซส ไกเซโด: ยากที่ไบรท์ตันยอมปล่อยถ้าไม่เปย์หนักจริง

เดือนมกราคมที่ผ่านมา อาร์เซนอลและเชลซีเสนอซื้อมอยเซส ไกเซโด แต่ถูกไบรท์ตันปฏิเสธรวมถึงเงิน 70 ล้านปอนด์จากทีมแรก ทีมนกนางนวลยืนยันไม่ขายไกเซโด และยังปิดดีลต่อสัญญาสี่ปีบวกออปชันปีที่ห้า

พอล บาร์เบอร์ ซีอีโอสโมสร ระบุไม่มีเงื่อนไขฉีกสัญญาหรือ release clause นั่นจึงทำให้หลายทีมพรีเมียร์ลีกที่หวังเติมพลังให้แดนกลางยังไม่ถอดใจ น่าติดตามว่าอาร์เซนอลกับเชลซีจะเคลื่อนไหวอย่างไรในฤดูร้อนนี้

ดาร์เมช เชธ คอลัมนิสต์ของสกาย สปอร์ตส์ ให้ความเห็นว่า ถ้าไบรท์ตันทำอันดับสูงพอคว้าโควตาแชมเปียนส์ลีกหรือยูโรปาลีก มิดฟิลด์วัย 21 ซึ่งเล่นให้เอกัวดอร์ 30 นัด คงจะร่วมงานท้าทายกับกุนซือโรแบร์โต เด แซร์บี แต่ถ้าไม่ ไกเซโดน่าจะยังสวมยูนิฟอร์มไบรท์ตันต่ออย่างน้อยหนึ่งซีซันอยู่ดี ยกเว้นบิ๊กทีมอังกฤษจะกล้าทุ่มเงินมหาศาลให้ไบรท์ตันชนิดยากที่จะปฏิเสธ แน่นอนต้องมากกว่า 70 ล้านปอนด์ที่รวมแอดออน

เมสัน เมาท์: การเลือกอนาคตที่ขึ้นกับปัจจัยมากมายของเชลซี

อนาคตของเมสัน เมาท์ ค่อนข้างคลุมเครือ เขาเหลือสัญญากับเชลซีแค่กลางปี 2024 การต่อสัญญาใหม่ยังไม่คืบหน้าเพราะสโมสรต้องปรับโครงสร้างค่าเหนื่อยนักเตะให้เข้ากับไฟแนนเชียล แฟร์เพลย์ แถมมีผู้เล่นมากเกินความจำเป็นจนต้องผ่องถ่ายออกในซัมเมอร์นี้ ขณะที่ยังไม่รู้ว่าใครจะมาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่และจะเริ่มงานเมื่อไร ส่วนฟอร์มของมิดฟิลด์วัย 24เองก็ดร็อปเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมทีมส่วนใหญ่ในยุคแกรห์ม พอตเตอร์ แถมเพิ่งบาดเจ็บกระดูกเชิงกราน หายหน้าไปจากสนามสี่นัด

ลิเวอร์พูลและนิวคาสเซิลเป็นสองทีมที่มีข่าวสนใจเมาท์อย่างจริงจัง บาเยิร์นก็มีข่าวเชื่อมโยงแต่สกาย เยอรมัน ระบุว่าสโมสรคงไม่ซื้อมิดฟิลด์เพิ่มแล้วเมื่อคอนราด ไลเมอร์ กองกลางทีมชาติออสเตรียของไลป์ซิก เตรียมตัวย้ายเข้านครมิวนิกแบบฟรีค่าตัวในฤดูร้อนนี้

ไลออล โธมัส คอลัมนิสต์ของสกาย สปอร์ตส์ ยอมรับว่าเป็นการคาดเดาที่ยากมากว่ามิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษรายนี้จะร่วมหัวจมท้ายกับเชลซีต่อหรือไม่ คิดอย่างไรกับการขยายสัญญา และถ้าเลือกออกจากสแตมฟอร์ดบริดจ์ เมาท์จะลงเอยกับทีมไหน

ชูเอา เฟลิกซ์: เนื้อหอมขึ้นมากหลังฟอร์มเด่นช่วงเชลซียืมตัว

ในตลาดหน้าหนาว เชลซียืมชูเอา เฟลิกซ์ จากแอตเลติโก มาดริด มาใช้งานจนจบซีซัน แต่ในสัญญาไม่มีออปชันหรือเงื่อนไขซื้อขาด เฟลิกซ์ทำไป 2 ประตูจาก 11 นัด (ตัวจริง 10 ตัวสำรอง 1) ถ้าไม่เจอใบแดงถูกแบนสามนัด เขาคงได้ลงเล่นทุกนัด ดูเหมือนแนวรุกวัย 23 จะไปได้สวยกับตำแหน่งเบอร์ 10 สตาฟฟ์โค้ชและฝ่ายบริหารด้านเทคนิคค่อนข้างพอใจผลงานของเฟลิกซ์

ไลออล โธมัส คอลัมนิสต์ของสกาย สปอร์ตส์ ให้ความเห็นว่า เฟลิกซ์แสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมาเรื่อยๆในสีเสื้อเดอะบลูส์ มีความเป็นไปได้ที่เชลซีจะยื่นซื้อขาดหรือยืมตัวต่อ แต่ติดตรงที่เชลซีคงไม่ได้เล่นบอลสโมสรยุโรปสักรายการ บวกกับคำถามว่าเขาจะอยู่ในแผนงานของผู้จัดการทีมคนใหม่หรือไม่ แต่ถึงไม่ใช่เชลซี เฟลิกซ์ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจทีเดียวสำหรับสโมสรชั้นนำของยุโรปที่จะเจรจาขอซื้อกับแอตเลติโก มาดริด

เจมส์ แมดดิสัน: น่าซื้อหากเลสเตอร์ไม่โก่งราคาสูงเว่อร์

ขอบคุณภาพจาก  https://www.bbc.com/sport/football/63126188

ซีซันนี้แม้มีอาการบาดเจ็บรบกวนแต่เจมส์ แมดดิสัน มีผลงาน 9 ประตู 6 แอสซิสต์จาก 24 เกมพรีเมียร์ลีก ในวัย 26 ปีเขาเหลือสัญญากับเลสเตอร์แค่ปีเดียว บวกกับเดอะฟ็อกซ์อาจลงไปเล่นแชมเปียนชิพฤดูกาลหน้า สโมสรน่าจะขายแมดดิสันได้ในราคาประมาณ 50 ล้านปอนด์ขึ้นไป ขณะที่ต้องเสียสตาร์อีกคน ยูริ ติเลอมองส์ ไปแบบฟรีๆเพราะหมดสัญญา

สเปอร์สและนิวคาสเซิลต่างให้ความสนใจแมดดิสันมายาวนาน สองทีมกำลังอยู่ในสมรภูมิแย่งชิงอันดับ 3-4 บนตารางพรีเมียร์ลีก แน่นอนโควตาแชมเปียนส์ลีกย่อมมีผลต่อการตัดสินใจเลือกทีมของแมดดิสันในซัมเมอร์นี้ ทีมสาลิกาดงอาจได้เปรียบกว่าในเรื่องสถานการณ์สโมสรที่มีความเสถียรทั้งบอร์ดบริหารและสตาฟฟ์โค้ช เอ็ดดี ฮาว กำลังพาทีมไปได้สวย ยกระดับตัวเองขึ้นไปอยู่แถวหน้าของลีก แถมยังได้รับเงินสนับสนุนชนิดใจถึงพึ่งได้จากกลุ่มทุนตะวันออกกลาง

ร็อบ ดอร์เซตต์ คอลัมนิสต์ของสกาย สปอร์ตส์ เชื่อว่าแมดดิสันคงย้ายออกเลสเตอร์หน้าร้อนนี้ และคงไม่ใช่แค่สเปอร์สกับนิวคาสเซิลที่พร้อมเสนอราคาซื้อให้เดอะฟ็อกซ์พิจารณา ทักษะตำแหน่งเบอร์สิบไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นสภาพร่างกายของแมดดิสันที่ยังมีเครื่องหมายคำถาม อีกตัวแปรที่ช่วยให้การเจรจาง่ายขึ้น เลสเตอร์ไม่ควรโก่งราคาเกินงาม

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Special Content

การเดินทางของ “แว็งซองต์ กอมปานี” โค้ชอัจฉริยะผู้พาเบิร์นลี่ย์คืนสู่พรีเมียร์ลีก

เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เบิร์นลีย์ เป็นทีมแรกที่การันตีเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลหน้าเป็นที่เรียบร้อย หลังบุกไปชนะมิดเดิลสโบรช์ 2 – 1 โดยใช้เวลาเพียงซีซั่นเดียว กลับคืนสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง

เบิร์นลี่ย์ มีแต้มทิ้งห่างลูตัน ทาวน์ ทีมอันดับ 3 ที่เหลือโปรแกรมเพียง 6 นัด ขาดลอยถึง 19 แต้ม สร้างสถิติใหม่ เป็นทีมลีกแชมเปี้ยนชิพที่เลื่อนชั้นเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยที่ยังเหลืออีก 7 เกม

ทั้งหมดทั้งมวล ต้องยกเครดิตให้กับแว็งซองต์ กอมปานี ผู้จัดการทีมชาวเบลเยียม ที่เพิ่งมาคุมทีมในอังกฤษเป็นฤดูกาลแรก แต่สามารถฝ่าฟันวิกฤตของสโมสรที่ถาโถมเข้ามา จนได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่

อีกทั้งในวันจันทร์ที่ 10 เมษายน กอมปานี ฉลองวันเกิดอายุครบ 37 ปี ด้วยการนำ “เดอะ คลาเร็ตส์” เปิดเทิร์ฟ มัวร์ รับการมาเยือนของเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ทีมรองจ่าฝูงที่กำลังลุ้นเลื่อนชั้นอัตโนมัติ

เชฟฯ ยูไนต็ด คือทีมล่าสุดที่ยัดเยียดความปราชัยให้กับเบิร์นลี่ย์ ด้วยสกอร์ 5 – 2 เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้ว หลังจากนั้น จ่าฝูงแชมเปี้ยนชิพ ไร้พ่ายมา 19 นัดติด ก่อนดวลกับ “ดาบคู่” อีกครั้ง

จุดเริ่มต้นจากติดลบ, ตกชั้น และทีมแตก

นับตั้งแต่ฤดูกาล 2016/17 จนถึง 2021/22 เป็นเวลา 6 ฤดูกาลติดต่อกัน ที่เบิร์นลี่ย์อยู่ในลีกสูงสุดของอังกฤษ แต่พวกเขาก็ลงทุนไปไม่น้อย และส่วนหนึ่งต้องกู้เงินจากธนาคาร เป็นจำนวน 65 ล้านปอนด์

โดยเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2020 ALK Capital กลุ่มทุนจากสหรัฐอเมริกา ได้เข้ามาซื้อกิจการของสโมสร ซึ่งเงินกู้ธนาคาร 65 ล้านปอนด์นั้น ถูกรวมอยู่ใน 200 ล้านปอนด์ ที่เป็นมูลค่าการเทคโอเวอร์ด้วย

สำหรับเงินที่กู้มาจากธนาคารนั้น มีกำหนดชำระคืนภายในเดือนธันวาคม ปี 2025 แต่มีเงื่อนไขที่ว่า เบิร์นลีย์ต้องอยู่รอดในพรีเมียร์ลีกต่อไปถึงตรงนั้น หากตกชั้นจะต้องชำระเงินกู้คืนทันทีภายใน 3 เดือน

และในที่สุด เบิร์นลีย์ก็ตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกจริง ๆ ในซีซั่น 2021/22 นั่นหมายความว่า “เดอะ คลาเร็ตส์” จะต้องจ่ายเงินกู้คืนให้ธนาคารภายในเดือนสิงหาคม 2022 กระเทือนไปถึงการเงินภายในสโมสร

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/burnleyofficial

เมื่อการเงินของเบิร์นลี่ย์มีปัญหา ก็จำใจต้องปล่อยนักเตะตัวหลักออกไปแทบยกทีม ไม่ว่าจะเป็นนิค โป๊ป, นาธาน คอลลินส์, ดไวท์ แมคนีล รวมถึงแม็กซ์เวลล์ คอร์เนต์ 4 คนนี้ ได้เงินกลับเข้ามาเกือบ 70 ล้านปอนด์

โดยเงิน 70 ล้านปอนด์ที่ได้จากการขายนักเตะ ทางเบิร์นลีย์ได้เอาไปชำระหนี้ธนาคารทั้งหมด แต่พวกเขายังได้เงินก้อนเล็กๆ ในการเสริมผู้เล่นจากกฎการเงินชูชีพ (Parachute Payments) หลังตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก

“กอมปานี” เจองานหนักภายใต้ข้อจำกัด

เมื่อฌอน ไดซ์ ถูกปลดจากตำแหน่งผู้จัดการทีม ก่อนจบฤดูกาล 2021/22 เพียง 1 เดือน เบิร์นลีย์ได้แต่งตั้งแว็งซองต์ กอมปานี อดีตนักเตะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เข้ามารับงานเป็นกุนซือคนใหม่ เพื่อสู้ศึกในซีซั่นถัดไป

หลังจากสร้างตำนานคว้าแชมป์ 12 โทรฟี่ ตลอด 11 ปีกับแมนฯ ซิตี้ ในปี 2019 กอมปานีได้ย้ายไปอยู่กับอันเดอร์เลชท์ โดยรับบทบาททั้งผู้เล่นและผู้จัดการทีมในปีแรก ก่อนจะมาเป็นโค้ชแบบเต็มตัวในปีถัดมา

จากประสบการณ์งานโค้ช 2 ปีที่เบลเยียม สู่โลกที่โหดกว่าเดิมอย่างแชมเปี้ยนชิพ อังกฤษ ซึ่งกอมปานีรู้ดีว่า เบิร์นลีย์มีข้อจำกัดด้านการเงิน และเขาจะขอสร้างทีมขึ้นมาใหม่ตามแนวทางของตัวเอง

กอมปานี นำเงินที่ได้รับจาก Parachute Payments ซื้อนักเตะเข้ามามากกว่า 10 คน ใช้เงินรวมกันไม่ถึง 40 ล้านปอนด์ ล้วนเป็นนักเตะโนเนม และอายุไม่เกิน 26 ปี เอามาเจียระไนให้เป็นเพชรเม็ดงาม

ตัวอย่างเช่น 3 นักเตะจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้อย่าง ซีเจ อีแกน-ไรลีย์ (ค่าตัว 3 ล้านปอนด์), อาริยาเนต์ มูริค (ค่าตัว 3.5 แสนปอนด์) รวมถึงยืมตัวเทย์เลอร์ ฮาร์วูด-เบลลิส เซ็นเตอร์แบ็กดาวรุ่งวัย 21 ปี

หรือนักเตะที่ดึงมาจากลีกเบลเยียม เช่น จอช คัลเลน อดีตลูกทีมสมัยอยู่อันเดอร์เลชท์ (ค่าตัว 3 ล้านปอนด์), มานูเอล เบนสัน จากรอแยล อันท์เวิร์ป (ค่าตัว 3 ล้านปอนด์), อานาส ซารูรี่ จากชาเลอรัว (ค่าตัว 3.5 ล้านปอนด์) เป็นต้น

วินัย และเด็ดขาด คือเคล็ดลับความสำเร็จ

สมัยที่ฌอน ไดซ์ เป็นผู้จัดการทีม ได้ติดป้ายขนาดใหญ่เป็นม็อตโต้หน้าสนามซ้อมของเบิร์นลีย์ว่า “วิ่งด้วยขา, สู้ด้วยใจ, ไม่ยอมแพ้” นั่นคือมรดกชิ้นสำคัญที่ฌอน ไดซ์ ได้ทิ้งไว้ให้กับสโมสรจนถึงทุกวันนี้

เมื่อแว็งซองต์ กอมปานี เข้ามาเป็นกุนซือคนใหม่ของ “เดอะ คลาเร็ตส์” ในสภาพทีมที่แตกสลายหลังตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก ได้พูดคุยกับนักเตะเป็นเวลา 12 นาที เพื่อฝังดีเอ็นเอความเป็นผู้ชนะให้กับลูกทีม

เนื่องจากกอมปานี ไม่เคยมีประสบการณ์การคุมทีมในอังกฤษมาก่อน ทำให้งานคุมทีมเบิร์นลีย์ คือโอกาสในการเรียนรู้ที่ดีสำหรับเขา เขาเป็นคนที่มีวินัยในการทำงานที่สูงมาก และใส่ใจในทุกรายละเอียด

ตั้งแต่วันแรกที่ทำงานกับเบิร์นลีย์ กอมปานีมาถึงสโมสรเป็นคนแรก และกลับบ้านเป็นคนสุดท้ายเสมอ ซึ่งในแต่ละวันเขาได้ปรับปรุง และพัฒนางานของตัวเองอยู่เสมอ เพื่อยกระดับทีมให้แข็งแกร่งมากขึ้น

คุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งของกอมปานี คือเป็นโค้ชที่มีความเด็ดขาด ไม่สนใจว่านักเตะหน้าไหนที่ออกมาบ่นว่าไม่ได้ลงเล่น ลูกทีมทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกัน ถ้าพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าดีพอที่จะออกสตาร์ทเป็นตัวจริง

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/burnleyofficial

หนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงปรีซีซั่น เมื่อนักเตะคนหนึ่งได้ซื้อเค้กมาอวยพรวันเกิดให้กับแจ็ค คอร์ก กองกลางเพื่อนร่วมทีม แต่ถูกกอมปานีสั่งห้ามโดยเด็ดขาด เนื่องจากมองว่าเป็นอาหารที่ทำลายสุขภาพ

ซึ่งนักเตะภายในทีมก็เชื่อฟัง แสดงให้เห็นว่ากอมปานีได้รับความเคารพเป็นอย่างสูง และมองว่ากุนซือชาวเบลเยียมคือผู้นำที่จะนำพาเบิร์นลีย์ประสบความสำเร็จ เรียกได้ว่าเขาสามารถซื้อใจลูกทีมได้แล้ว

เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสด้วย “มันสมอง”

ด้วยความที่เบิร์นลี่ย์ เสียนักเตะตัวหลักออกไปเยอะในช่วงซัมเมอร์ปี 2022 ทำให้ถูกมองข้ามว่า โอกาสเลื่อนชั้นคงจะมีน้อย แต่พวกเขากลับทำสิ่งที่หลายคนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ให้เกิดขึ้นจริงแบบไม่น่าเชื่อ

เหตุผลสำคัญคือ แว็งซองต์ กอมปานี ได้เปลี่ยนแนวทางการเล่นจากยุคของฌอน ไดซ์ ที่เน้นพละกำลัง และบอลโยนยาวสไตล์อังกฤษขนานแท้ ให้เป็นการต่อบอลสั้น เซ็ตเกมจากแดนหลัง เหมือนกับแมนฯ ซิตี้ ยุคเป๊ป กวาร์ดิโอล่า

ด้วยแผนการเล่น 4-3-3 หรือบางครั้งใช้ 4-2-3-1 ทำให้ทีมของกอมปานี มีเปอร์เซ็นต์การครองบอลเฉลี่ย 64 เปอร์เซ็นต์ มากที่สุดในลีกรอง เมื่อเทียบกับซีซั่นก่อนในยุคฌอน ไดซ์ ที่ครองบอลเฉลี่ยเพียง 39เปอร์เซ็นต์

คีย์แมนคนสำคัญของเบิร์นลีย์ชุดนี้ คือ นาธาน เทลล่า มิดฟิลด์วัย 23 ปี ที่ยืมตัวมาจากเซาแธมป์ตัน ยิง 17 ประตู กับ 4 แอสซิสต์ แตกต่างจากช่วงเวลา 3 ปีในถิ่นเซนต์ แมรี่ส์ ที่เจ้าตัวทำได้แค่ประตูเดียวเท่านั้น

หรือ 2 กองหน้าวัยเก๋าอย่างเจย์ โรดริเกวซ กับแอชลีย์ บาร์นส์ วัย 33 ปีเท่ากัน ที่กำลังเข้าสู่ช่วงท้ายปลายทางของอาชีพค้าแข้ง ทำไป 9 และ 6 ประตู ตามลำดับ ติดอันดับท็อป 5 ดาวซัลโวของทีมอยู่ในเวลานี้

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ คือเบื้องหลังผลงานอันยอดเยี่ยมของเบิร์นลีย์ ในวันที่ได้รับการการันตีว่าเลื่อนชั้น ด้วยสถิติยิงได้มากที่สุด 76 ประตู เสียน้อยที่สุด 30 ประตู และมีโอกาสเก็บถึง 100 แต้ม ในอีก 7 นัดที่เหลือ

สำหรับเบิร์นลีย์โฉมใหม่ คือส่วนผสมระหว่างความสดกับความเก๋า ผู้จัดการทีมดาวรุ่งที่มีความกระหายชัยชนะ และสไตล์การเล่นที่น่าตื่นตาตื่นใจ พวกเขาคือทีมน้องใหม่พรีเมียร์ลีก ซีซั่นหน้าที่น่าจับตามองจริงๆ

ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา เบิร์นลี่ย์มีแต่ปัญหาที่เข้ามารุมเร้ามากมาย แต่ด้วยมันสมองที่ชาญฉลาดของแว็งซองต์ กอมปานี ก็ช่วยให้สโมสรเอาตัวรอดจากวิกฤต และกลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในที่สุด

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/burnleyofficial

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://theathletic.com/4389762/2023/04/07/vincent-kompany-burnley-promotion-premier-league/

https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-11951087/Vincent-Kompany-turned-burnt-Burnley-warriors-Premier-League.html

Categories
Special Content

ความกังวลของ “แกเร็ธ เซาท์เกต” กับปัญหาแข้งอังกฤษในพรีเมียร์ลีกลดลง

โปรแกรมฟุตบอลในช่วงกลางสัปดาห์นี้ ยาวไปจนถึงกลางสัปดาห์หน้า จะสลับฉากจากระดับลีก เป็นทีมชาติ ในส่วนฝั่งยุโรป จะเป็นรอบคัดเลือก ของฟุตบอลชิงแชมป์ระดับทวีป หรือ “ยูโร 2024”

สำหรับยูโร 2024 รอบคัดเลือก มี 53 ชาติเข้าร่วม (ยกเว้นเยอรมนี ในฐานะเจ้าภาพ และรัสเซีย ที่ยังติดโทษแบนจากยูฟ่า) แบ่งออกเป็น 10 กลุ่ม โดยมี 7 กลุ่ม ที่มีกลุ่มละ 5 ชาติ และอีก 3 กลุ่ม ที่มีกลุ่มละ 6 ชาติ

แต่ละกลุ่ม คัดเอา 2 อันดับแรก เข้ารอบสุดท้ายอัตโนมัติ ส่วนอีก 3 ชาติที่เหลือ จะเอามาจากชาติที่ตกรอบคัดเลือกยูโร แต่มีผลงานดีที่สุด ในยูฟ่า เนชันส์ ลีก เฉพาะลีก A, B และ C ลีกละ 4 ชาติ มาเตะเพลย์ออฟกันในแต่ละลีก

ในส่วนของทีมชาติอังกฤษ จะประเดิม 2 นัดแรก ด้วยการ “รีแมตช์” คู่ชิงชนะเลิศยูโรครั้งที่แล้ว ในการบุกไปเยือนทีมชาติอิตาลี ที่เนเปิ้ลส์ 23 มีนาคม และจะกลับมาเล่นในเวมบลีย์ พบกับทีมชาติยูเครน 26 มีนาคม

อย่างไรก็ตาม แกเร็ธ เซาท์เกต กุนซือ “ทรี ไลออนส์” ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับจำนวนนักเตะอังกฤษที่ได้ลงเล่นเป็นตัวหลักในพรีเมียร์ลีกลดลง เหตุใดเขาจึงออกมาพูดเช่นนี้

ส่องไลน์-อัพอังกฤษ ก่อนประเดิมคัดยูโร

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา ทีมชาติอังกฤษประกาศรายชื่อ 25 นักเตะชุดสู้ศึกยูโร 2024 รอบคัดเลือก 2 นัดแรกกับอิตาลี ในวันที่ 23 มีนาคม และยูเครน ในวันที่ 26 มีนาคม โดยมีรายชื่อดังต่อไปนี้

– ผู้รักษาประตู : จอร์แดน ฟิคฟอร์ด (เอฟเวอร์ตัน), นิค โป๊ป (นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด), อารอน แรมส์เดล (อาร์เซน่อล)

– กองหลัง : เบน ชิลเวลล์ (เชลซี), เอริค ดายเออร์ (ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์), มาร์ค เกฮี (คริสตัล พาเลซ), รีช เจมส์ (เชลซี), แฮร์รี่ แม็กไกวร์ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด), ลุค ชอว์ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด), จอห์น สโตนส์ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้), ไคล์ วอล์คเกอร์ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้), คีแรน ทริปเปียร์ (นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด)

– กองกลาง : จู๊ด เบลลิงแฮม (โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์), คอเนอร์ กัลลาเกอร์ (เชลซี), จอร์แดน เฮนเดอร์สัน (ลิเวอร์พูล), เจมส์ แมดดิสัน (เลสเตอร์ ซิตี้), คัลวิน ฟิลลิปส์ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้), ดีแคลน ไรซ์ (เวสต์แฮม), เมสัน เมาท์ (เชลซี)

– กองหน้า : ฟิล โฟเด้น (แมนเชสเตอร์ ซิตี้), แจ็ค กริลิช (แมนเชสเตอร์ ซิตี้), แฮร์รี่ เคน (ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์), บูกาโย่ ซาก้า (อาร์เซน่อล), อิวาน โทนีย์ (เบรนท์ฟอร์ด), มาร์คัส แรชฟอร์ด (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)

แต่ล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา มี 3 แข้งขอถอนตัวออกไป เริ่มจากนิค โป๊ป ที่ได้รับบาดเจ็บจากเกมที่นิวคาสเซิล ชนะฟอเรสต์ 2 – 1 ในเกมลีกนัดล่าสุด โดยเฟเซอร์ ฟอร์สเตอร์ นายทวารจากสเปอร์ เสียบแทน

รายต่อมาคือเมสัน เมาท์ ที่ไม่ได้ลงเล่นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บที่กระดูกเชิงกราน และล่าสุดเป็นรายของแรชฟอร์ด ที่ได้รับบาดเจ็บจากเกมที่เอาชนะฟูแล่ม 3 – 1 ในถ้วยเอฟเอ คัพ

นักเตะผู้ดีในพรีเมียร์ลีกน้อยลงเรื่อย ๆ

“ตัวเลขก็คือตัวเลข และมันก็ไม่เพิ่มขึ้นเลย ตอนนี้ตัวเลขอยู่ที่ 32 เปอร์เซ็นต์ ตอนที่ผมรับงานอยู่ที่ 35 เปอร์เซ็นต์ และปีก่อนหน้านั้นอยู่ที่ 38 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นชัดเจนเลยว่า มันคือกราฟขาลงแบบไม่มีข้อโต้แย้ง”

“จำนวนนักเตะอังกฤษที่ลดลงอย่างรวดเร็วในพรีเมียร์ลีก มันไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวลในอีก 18 เดือนข้างหน้า แต่ในอีก 4-5 ปีต่อจากนี้ มันอาจจะเป็นปัญหา โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เหลือแค่ 28 เปอร์เซ็นต์”

ทั้งหมดที่กล่าวมา คือคำพูดของแกเร็ธ เซาท์เกต กุนซือทีมชาติอังกฤษ ที่ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับจำนวนนักเตะชาวอังกฤษที่เป็นตัวหลักในพรีเมียร์ลีก กำลังน้อยลงเรื่อย ๆ และอาจจะส่งผลเสียในระยะยาว

สำหรับในฤดูกาล 2022/23 มีนักเตะอังกฤษลงเล่นในพรีเมียร์ลีก 161 คน ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับ 2 ฤดูกาลหลังสุด และอีก 22 คน ลงเล่นใน 4 ลีกใหญ่ของยุโรป (เยอรมัน, อิตาลี, สเปน, ฝรั่งเศส)

เมื่อมาดูตัวเลขของนักเตะสัญชาติอังกฤษ ที่ลงเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลนี้ คำนวณออกมาเป็นจำนวนนาที พบว่าอยู่ในอันดับที่ 6 น้อยกว่าฝรั่งเศส, เยอรมัน, สเปน, โปรตุเกส และบราซิล ตามลำดับ

และถ้าเจาะลึกลงไปสำหรับเปอร์เซ็นต์การลงสนามในพรีเมียร์ลีก ของ 23 นักเตะสิงโตคำรามที่ติดทีมในการคัดเลือกยูโร 2 เกมแรก ปรากฏว่า ในจำนวนนี้ มีอยู่ 7 คน ที่ลงเล่นไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ได้แก่ ไคล์ วอล์คเกอร์, คอเนอร์ กัลลาเกอร์, รีช เจมส์, เบน ชิลเวลล์, เฟเซอร์ ฟอร์สเตอร์, แฮร์รี่ แม็กไกวร์ และคัลวิน ฟิลลิปส์

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 4 ซีซั่นหลังสุด นักเตะจากสโมสร “บิ๊ก 6” พรีเมียร์ลีก (อาร์เซน่อล, เชลซี, ลิเวอร์พูล, แมนฯ ซิตี้, แมนฯ ยูไนเต็ด, สเปอร์) ลงเล่นคิดเป็น 27 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 16 เปอร์เซ็นต์ ของ 4 ซีซั่นก่อนหน้านั้น

ไม่ใช่แค่เซาท์เกตเท่านั้นที่กังวล โรแบร์โต้ มันชินี่ เทรนเนอร์ของ “อัซซูรี่” คู่แข่งของอังกฤษในเกมเปิดหัว คืนวันพฤหัสบดีนี้ ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เขาก็เจอปัญหาขาดแคลนนักเตะชาติตัวเองในลีกสูงสุดเช่นกัน

แม้สโมสรจากเซเรีย อา จะผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ถึง 3 ทีม แต่มีนักเตะอิตาลีรวมกันไม่ถึง 10 คน จำนวนนาทีที่นักเตะลงเล่นในถ้วยใหญ่ยุโรป อยู่ในอันดับที่ 8 ต่ำกว่าอังกฤษเสียอีก

อีกไม่นานคงต้องหานักเตะจากลีกรอง

แกเร็ธ เซาท์เกต นายใหญ่สิงโตคำราม ชี้ว่า ตลาดนักเตะหน้าหนาวปีนี้ ที่ใช้เงินมากถึง 815 ล้านปอนด์ คือการตัดโอกาสนักเตะอังกฤษในพรีเมียร์ลีก และเขาอาจจะต้องหานักเตะจากลีกแชมเปี้ยนชิพมาทดแทน

และนี่คือหน้าตาของทีมชาติอังกฤษ ถ้าเซาท์เกตอยากหานักเตะฝีเท้าดีจากลีกรอง (แผนการเล่น 4-3-3หรือ 4-2-3-1)

– เฟรดดี้ วูดแมน (เปรสตัน นอร์ทเอนด์) : อดีตผู้รักษาประตูนิวคาสเซิล วัย 26 ปี เล่นตำแหน่งเดียวกับแอนดี้ วูดแมน คุณพ่อของเขา เก็บคลีนชีตได้ 16 นัด จาก 38 นัด ให้กับเปรสตันในฤดูกาลนี้

– ไรอัน ไจล์ส (มิดเดิลสโบรช์) : ฟูลแบ็กฝั่งซ้ายวัย 23 ปี ที่ยืมตัวมาจากวูล์ฟแฮมป์ตัน ทำ 11 แอสซิสต์ จาก 38 นัด ให้กับมิดเดิลสโบรช์ ในลีกแชมเปี้ยนชิพ ฤดูกาลนี้ ภายใต้การคุมทีมของไมเคิล คาร์ริก

– เทย์เลอร์ ฮาร์วูด-เบลลิส (เบิร์นลีย์) : เซ็นเตอร์แบ็กวัย 21 ปี ที่ยืมตัวมาจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ สามารถสอดแทรกขึ้นมาเล่นเกมรุกได้ และเคยติดทีมชาติอังกฤษชุดเยาวชนทุกรุ่น ตั้งแต่ชุดยู-16 จนถึงยู-21

– ชาร์ลี เครสเวลล์ (มิลล์วอลล์) : เซ็นเตอร์แบ็กวัย 20 ปี ที่ยืมตัวมาจากลีดส์ ยูไนเต็ด ลูกชายของริชาร์ด เครสเวลล์ อดีตกองหน้าชื่อดัง กำลังพามิลล์วอลล์ลุ้นพื้นที่เพลย์ออฟ เพื่อเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก

– แม็กซ์ อารอนส์ (นอริช ซิตี้) : ฟูลแบ็กฝั่งขวาวัย 23 ปี เพชรเม็ดงามจากอคาเดมี่ของนอริช ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่มาตั้งแต่ปี 2018 และเคยตกเป็นเป้าหมายของบาร์เซโลน่า ยักษ์ใหญ่จากสเปนมาแล้ว

– เจมส์ แม็คอาธี (เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด) : มิดฟิลด์วัย 20 ปี ยิง 5 ประตู กับ 2 แอสซิสต์ ในลีก ซึ่งเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ทีมของเขา จับสลากพบกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้นสังกัดที่แท้จริง ในเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ

– อเล็กซ์ สกอตต์ (บริสตอล ซิตี้) : มิดฟิลด์วัย 19 ปี มีจุดเด่นในเรื่องแอสซิสต์ให้เพื่อนยิงประตู ได้รับการคาดหมายว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดของลีกรอง โดยมีทีมจากพรีเมียร์ลีกหลายทีมให้ความสนใจเขา

– จอร์จ ฮอลล์ (เบอร์มิงแฮม ซิตี้) : มิดฟิลด์วัย 18 ปี เติบโตจากอคาเดมี่ของเบอร์มิงแฮม ซิตี้ ที่เดียวกับจู๊ด เบลลิ่งแฮม ซึ่งทรอย ดีนี่ย์ กองหน้าเพื่อนร่วมทีม บอกว่า เขาจะเป็นซูเปอร์สตาร์คนใหม่ของอังกฤษแน่นอน

– นาธาน เทลล่า (เบิร์นลีย์) : มิดฟิลด์วัย 23 ปี ที่ยิมตัวมาจากเซาแธมป์ตัน ยิง 17 ประตู กับ 3 แอสซิสต์ ช่วยให้ทีมของกุนซือแว็งซองต์ กอมปานี จ่อเลื่อนชั้นขึ้นสู่พรีเมียร์ลีก ในฐานะแชมป์ลีกรองเต็มที

– โจ เกลฮาร์ดท์ (ซันเดอร์แลนด์) : ศูนย์หน้าวัย 20 ปี ยืมตัวมาจากลีดส์ ยูไนเต็ด ในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะเดือนมกราคมที่ผ่านมา ลงเล่นให้ซันเดอร์แลนด์ 10 นัด ในลีกรอง ทำได้ 1 ประตู กับ 2 แอสซิสต์

– ชูบา อัคปอม (มิดเดิลสโบรช์) : อดีตกองหน้าอาร์เซน่อล วัย 27 ปี ทำได้ 24 ประตู จาก 31 นัด ในลีก มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ “เดอะ โบโร่” มีลุ้นเลื่อนชั้นแบบอัตโนมัติ ทั้ง ๆ ที่อยู่ท้ายตารางเมื่อช่วงต้นซีซั่น

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

– https://www.bbc.com/sport/football/64988328

– https://www.bbc.com/sport/football/65014530

https://www.telegraph.co.uk/football/2023/03/17/what-england-team-would-look-like-filled-current-championship/

– https://www.skysports.com/football/news/11095/12835452/gareth-southgate-admits-concern-over-englands-shrinking-talent-pool-with-only-32-per-cent-of-starters-in-premier-league-eligible

https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-11885279/We-worse-Southgate-Roberto-Mancini-bemoans-lack-homegrown-talent-Italy.html