Categories
Special Content

“ฮาลันด์ – นูเญซ” เร่งองศาความเดือดชิง “โกลเด้น บู้ท อะวอร์ด”

การเดินทางเข้ามาค้าแข้งบนเกาะอังกฤษของสองกองหน้าดาวรุ่ง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ และ ดาร์วิน นูเญซ สร้างความคึกคักให้กับพรีเมียร์ลีกอย่างใหญ่หลวง ทั้งแฟนบอล กูรูลูกหนัง และสื่อมวลชน ต่างตั้งวงถกกันเป็นที่ครึกครื้นว่า ใครเหนือกว่ากัน ใครจะสร้างอิมแพ็คให้ต้นสังกัดมากกว่ากัน และใครจะได้สัมผัส “รองเท้าทองคำ” เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2022-23

หยิบตัวเลขมาดู ฮาลันด์แจ้งเกิดกับ เรดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก ด้วยสถิติ 27 นัด 29 ประตู ผลิตสกอร์ให้ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 89 นัด 86 ประตู และทีมชาตินอร์เวย์ 21 นัด 20 ประตู เฉลี่ยหยาบๆ ศูนย์หน้าวัย 21 ปี ส่งลูกหนังซุกก้นตาข่ายได้เกือบทุกนัด ขณะที่นูเญซเล่น 41 นัด 34 ประตูให้กับ เบนฟิก้า ฤดูกาลที่แล้ว แม้ค่าเฉลี่ยต่ำกว่าฮาลันด์แต่ยังถือเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจ

เฉพาะเกมลีกซีซั่นที่ผ่านมา ฮาลันด์เล่นให้เสือเหลือง 24 นัด ทำ 22 ประตู 8 แอสซิสต์ นูเญซลงสนามให้พญาอินทรีแห่งลิสบอน 28 นัด ทำ 26 ประตู 4 แอสซิสต์ ไม่ยิ่งหย่อนกว่า 23 ประตูของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ซน ฮึง-มิน ซึ่งครองอันดับ 1 ดาวซัลโวสูงสุดพรีเมียร์ลีกร่วมกัน

ย้อนไปดูสถิติระยะหลังของ “โกลเด้น บู้ท อะวอร์ด” นับตั้งแต่ซาลาห์ผลิต 32 ประตูในซีซั่น 2017-18 เป็นเวลา 8 ปีติดต่อกันที่ดาวซัลโวสูงสุดจบสกอร์ได้แค่ 22 ประตู (2 ซีซั่น) และ 23 ประตู (6 ซีซั่น) ไม่มากไม่น้อยกว่านั้น  แสดงให้เห็นถึงความโหดหินของเกมรับในพรีเมียร์ลีกที่ฮาลันด์และนูเญซต้องพิสูจน์ตัวเองว่า เครื่องจักรผลิตสกอร์ยังใช้งานได้มีประสิทธิภาพเหมือนเดิมหรือไม่บนสังเวียนหญ้าแห่งใหม่

20 ประตูที่บุนเดสลีกากับปรีไมราลีกา จะยากหรือง่ายเมื่อเทียบกับ 20 ประตูในพรีเมียร์ลีก ฮาลันด์และนูเญซจะรู้ภายในหนึ่งปีข้างหน้า

ฮาลันด์และนูเญซ กับการปรับตัวเข้ากับสโมสรใหม่

สังเวียนใหม่แล้ว สโมสรใหม่ เพื่อนร่วมทีมใหม่ และระบบการเล่นใหม่ ล้วนมีผลกับ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ และ ดาร์ซิน นูเญซ แตกต่างกันไป ยังมีเกิดคำถามขึ้นมาว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือ ลิเวอร์พูล ที่ต้องการกองหน้าใหม่มากกว่ากัน

เป็นที่ทราบกันดีผ่านหน้าสื่อ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มองหาศูนย์หน้าตัวจบสกอร์มาตั้งแต่ตลาดซัมเมอร์ปีที่แล้ว แฮร์รี่ เคน กัปตันทีมชาติอังกฤษ คือเป้าหมายเดียวแต่ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ แสดงเจตนารมณ์ว่าไม่ต้องการขายด้วยการโก่งค่าตัวไปถึง 150 ล้านปอนด์ ไม่ใยดีต่อการเรียกร้องขอย้ายทีมจากเคน

ยอดกุนซือเรือใบสีฟ้าแก้ปัญหาด้วยการใช้ผู้เล่น “ฟอลส์ ไนน์” สลับเปลี่ยนหมุนเวียนระหว่าง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, แบร์นาโด ซิลวา และ ฟิล โฟเด้น รวมถึง กาเบรียล เซซุส ที่ถูกใช้งานไม่บ่อยนัก แต่ศูนย์หน้าเบอร์ 9 ธรรมชาติอย่างเคนและฮาลันด์ยังเป็นที่ต้องการแม้กวาร์ดิโอล่าจะพาทีมจนรักษาแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ก็ตาม พร้อมถล่มตาข่ายได้สูงถึง 99 ประตู

ที่เยอรมนี ฮาลันด์คือศูนย์หน้าตัวเป้าและไม่น่าต้องปรับเปลี่ยนบทบาทอะไรนักที่อังกฤษ กวาร์ดิโอล่าน่าจะวางศูนย์หน้าร่างยักษ์ที่หมายเลข 9 บนหมากกระดาน และปรับเปลี่ยนผู้เล่นคนอื่นให้สนับสนุนความเป็นเครื่องจักรผลิตสกอร์ของฮาลันด์ได้มากขึ้น กูรูลูกหนังส่วนใหญ่มั่นใจว่า คงเป็นเรื่องเหลือเชื่อหากอัตราการทำประตูของฮาลันด์ดร็อปลงหากพิจารณาจากพรีเมียร์ลีกซีซั่นล่าสุดที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถล่มตาข่ายได้เกือบแตะหลักร้อย ขาดไปเพียงประตูเดียว

หากไม่บาดเจ็บหรือต้องพักร่างกาย ฮาลันด์มีโอกาสติดรายชื่อผู้เล่น 11 คนแรกมากกว่านูเญซแน่นอน ขณะที่บทบาทของฮาลันด์ค่อนข้างชัดเจน แต่นูเญซกลับขึ้นอยู่กับ เยอร์เกน คล็อปป์ จะใช้งานเขาอย่างไรเพราะที่เมืองฝอยทอง นูเญซถูกจับให้เล่นทั้งศูนย์หน้าตัวเป้า หน้าต่ำ และปีกซ้าย ที่สำคัญคล็อปป์มีกองหน้าดีๆหลายคนให้เลือกใช้งานตามสถานการณ์แต่ละนัดโดยเฉพาะ ดีโอโก โซต้า และ โรแบร์โต ฟีร์มิโน่ ที่อาจเป็นคนที่จะแย่งเวลาลงสนามกับสมาชิกใหม่วัย 22 ปี ขณะที่ซาลาห์ยังเป็นความหวังอันดับหนึ่งในเรื่องจำนวนสกอร์ ซึ่งบอลลีกที่จบไป ลิเวอร์พูลถล่มตาข่ายมากถึง 94 ประตู เป็นผลผลิตของสตาร์ทีมชาติอียิปต์ถึง 23 ประตูหรือราว 25 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งนับตั้งแต่ย้ายเข้าแอนฟิลด์เมื่อปี 2017 ซาลาห์ทำเฉลี่ย 23.6ประตูต่อหนึ่งฤดูกาลพรีเมียร์ลีก

เนดัม โอนูฮา อดีตเซ็นเตอร์แบ็กวัย 35 ปี ซึ่งเคยเล่นกับทีมเรือใบสีฟ้า ให้ความเห็นว่า เขาเชื่อฮาลันด์จะทำสกอร์ได้มากกว่านูเญซในปีแรกของทั้งคู่เพราะฮาลันด์จะได้เล่นมากกว่า ส่วนนูเญซน่าจะลงเป็นตัวจริงได้ประมาณครึ่งหนึ่งของโปรแกรมตลอดซีซั่น

ฮาลันด์หรือนูเญซ ใครจะผลิตผลงานคุ้มค่าเงินกว่ากัน

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จ่ายเงินก้อนแรก 51 ล้านปอนด์เป็นค่าฉีกสัญญาของ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ แต่ถ้าบวกค่านายหน้าของเอเยนต์และโบนัสแอดออนตามผลงาน ตัวเลขจะเพิ่มไปที่ 85 ล้านปอนด์โดยประมาณ

ลิเวอร์พูล วางเงินก้อนแรก 64 ล้านปอนด์เพื่อซื้อตัว ดาร์วิน นูเญซ และหากรวมเงื่อนไขในสัญญา เงินที่ต้องจ่ายให้เบนฟิก้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 85 ล้านปอนด์ จึงสามารถตีค่าตัวเบ็ดเสร็จของฮาลันด์และนูเญซได้ว่าเท่ากันที่ 85 ล้านปอนด์

สำหรับค่าเหนื่อย ฮาลันด์รับจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ สัปดาห์ละ 375,000 ปอนด์ มากกว่าเกือบสามเท่าเมื่อเทียบกับ 140,000 ปอนด์ที่ลิเวอร์พูลจ่ายให้นูเญซ มาถึงตรงนี้มีความชัดเจนแล้วว่า เรือใบสีฟ้าเป็นทีมที่ลงทุนไปกับสตาร์กองหน้าคนใหม่มากกว่า แต่จะคุ้มค่ากว่าหรือไม่ต้องนำผลงานของทั้งคู่มาพิจารณาประกอบ โดยฮาลันด์ วัย 21 ปี เซ็นสัญญา 5 ปี และนูเญซ วัย 22 ปี เซ็นสัญญา 6 ปี ทั้งสองเป็นการลงทุนระยะยาวของสโมสรต้นสังกัด

พอล โรบินสัน อดีตผู้รักษาประตูวัย 42 ปีของ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ และ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ให้ทรรศนะว่า ลิเวอร์พูลอาจรู้สึกว่าพวกเขาคุ้มค่าเงินที่จ่ายไปหากนูเญซทำประตูได้มากกว่าฮาลันด์

“ค่าตัวดูเหมือนพอๆกัน แต่ลิเวอร์พูลอาจคุ้มต่อการลงทุนมากกว่าในมุมของค่าเหนื่อย ในโลกฟุตบอลมักจะมีดีลที่เหลือเชื่อแบบนี้แหละ ถ้าคุณเปรียบเทียบรายได้ระหว่างนูเญซกับฮาลันด์ มันมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด”

“คงจะมีการถกเถียงกันตลอด 12 เดือนข้างหน้าเมื่อเราเห็นว่าใครทำประตูได้มากกว่ากันในพรีเมียร์ลีก ทั้งคู่จะต้องปรับสไตล์ตัวเองให้เหมาะกับตำแหน่งเบอร์ 9 พวกเขาต่างมีจุดมุ่งหมายให้โฟกัสแล้ว”

การเข้ามาของนูเญซ แผนงานระยะยาวของคล็อปป์

เยอร์เกน คล็อปป์ กำลังทำภารกิจสร้างแนวรุก เน็กซ์-เจน หรือรุ่นต่อไปเพื่อทดแทนสามประสาน โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต ฟีร์มิโน่ บางที ดาร์วิน นูเญซ อาจเป็นตัวปิดจ็อบเพื่อที่คล็อปป์จะได้หันไปโฟกัสขุมกำลังอื่นโดยเฉพาะกองกลาง

คล็อปป์กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ทำให้ดีลนี้สำเร็จ “เป็นสุดยอดข่าว สุดยอดข่าวดีจริงๆ ผมขอขอบคุณทุกคนในสโมสรเป็นอย่างสูงที่ทำให้มันเกิดขึ้น พวกเราได้แสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานที่จะยกระดับทีม”

“ดาร์วินเป็นผู้เล่นที่เหลือเชื่อมากแต่ยังมีช่องให้พัฒนาขึ้นไปอีก เขามีพร้อมทั้งอายุ ความปรารถนา และความกระหายที่จะเป็นนักเตะที่เก่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เขาเชื่อมั่นในแผนงานของสโมสร”

“เชาเชื่อว่าทีมเราเหมาะกับเขา และเราก็เชื่อว่าเขาเป็นชิ้นส่วนที่เข้ากับเรา เขามีคุณสมบัติทุกอย่างที่เรามองหา เขาสามารถเซตจังหวะเกม นำพลังงานมาสู่ทีม สามารถสร้างพื้นที่ว่างทั้งจากตรงกลางและด้านกว้าง มีการเคลื่อนที่ที่เหลือเชื่อ เขาเล่นโดยปราศจากความหวาดกลัว ผมรู้ดีว่าเขาต้องทำให้แฟนบอลเราตื่นเต้นแน่”

“แต่มีสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องตระหนักคือ เรากำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนทำงานกับดาร์วิน จึงไม่ควรสร้างแรงกดดันให้เขามากเกินไป เกมบุกของเรามีแนวทางที่หลากหลายและเขาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งแล้วตอนนี้ เขาเซ็นสัญญากับเราระยะยาว ดังนั้นคอยดูการเจริญเติบโตที่จะเกิดขึ้น”

 “ดาร์วินมาเป็นสมาชิกใหม่คนล่าสุดที่เข้ามาอยู่ในครอบครัว ลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ ซึ่งวิเศษสุด ผมมั่นใจว่าแฟนบอลของเราจะทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในบ้านตั้งแต่ย่างก้าวแรกที่เข้ามาพร้อมนกลิเวอร์อยู่บนหน้าอกของเขา”

เคนคาดศึกชิง “โกลเด้น บู้ท” ซีซั่นนี้ดุเดือดเผ็ดร้อนแน่

ไม่ใช่แค่แฟนบอลและสื่อมวลชนที่ตื่นเต้นกับการเดินทางจากแผ่นดินใหญ่ทวีปยุโรปมาสู่เกาะอังกฤษของ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ และ ดาร์วิน นูเญซ แต่ยังมีเพื่อนร่วมอาชีพด้วย หลายคนได้แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อมวลชนรวมถึง แฮร์รี่ เคน ดาวซัลโวของ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ เจ้าของรางวัลรองเท้าทองคำ 3 สมัย 

เคน ซึ่งเกือบได้ย้ายไปรับหน้าที่หัวหอกให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว มองว่า การมาของฮาลันด์และนูเญซจะเป็นประโยชน์อย่างมากแก่ตัวเขาและทีมไก่เดือยทอง

สกายเบต หนึ่งในบริษัทรับพนันถูกกฎหมายในอังกฤษ ยกให้ฮาลันด์เป็นเต็งหนึ่งที่จะครอบครอง “โกลเด้น บู๊ท อะวอร์ด” ฤดูกาล 2022-23 ตามมาด้วยซาลาห์และเคน อันดับถัดมาได้แก่ คริสเตียโน่ โรนัลโด, ซน ฮึง-มิน และนูเญซ

เคน ในวัย 28 ปี ซึ่งยังไม่เคยคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ร่วมกับสเปอร์สเลย เคยได้ตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดของพรีเมียร์ลีกในซีซั่น 2015-16 จำนวน 25 ประตู, ซีซั่น 2016-17 จำนวน 29 ประตู และซีซั่น 2020-21 จำนวน 23 ประตู ส่วนซีซั่นที่แล้ว เคนลงเล่น 37 นัด ทำได้ 17 ประตู น้อยกว่าเจ้าของรองเท้าทองคำร่วม ซาลาห์และซน 6 ประตู

เคนมองว่า  ฮาลันด์และนูเญซจะช่วยให้การแข่งขันในพรีเมียร์ลีกเข้มข้นดุเดือดขึ้น ดีลทั้งสองถือเป็นข่าวดีสำหรับกุนซือของเขา อันโตนิโอ คอนเต้ และ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์

“การต่อสู้แย่งชิงโกลเด้นบู้ทเป็นงานหินเสมอ พรีเมียร์ลีกเป็นสังเวียนที่ผลิตท็อปสไตรคเกอร์มานานหลายปี ทุกๆซีซั่นที่ผ่านมา ผมต้องลงเล่นท่ามกลามสมรภูมิรบที่ดุเดือดแห่งนี้เสมอเพื่อครอบครองรองเท้าทองคำ ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน”

“คุณคาดหวังได้เลยว่า กองหน้าชั้นยอดต่างปรารถนาที่จะย้ายเข้ามาเล่นพรีเมียร์ลีก และการเซ็นสัญญาของทั้งคู่เป็นอีกตัวอย่าง แต่ผมคิดว่า นี่จะช่วยผมในฐานะนักฟุตบอลที่จะมีโอกาสเผชิญหน้าการแข่งขันที่ดีมีคุณภาพ มันจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้ผมพัฒนาและเก่งขึ้น ผมกำลังรอคอยงานที่ท้าทายนั้น”

ฤดูกาลหน้า เคนและซนมีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ระดับทวีปในการแข่งขันยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งจะช่วยยกระดับฝีเท้าของสองกองหน้าทีมสเปอร์สอย่างแน่นอน ขณะที่ใครก็ไม่สามารถตัดซาลาห์ออกจากโผลุ้นรองเท้าทองคำแม้อายุแตะหลัก 30 ปี รวมกับการเข้ามาของบรรดากองหน้ารุ่นต่อไปของลิเวอร์พูล

เหล่าดาวซัลโวหัวแถวของพรีเมียร์ลีกพร้อมแล้วที่จะรับการท้าทายของสองสมาชิกใหม่ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ และ ดารวิน นูเญซ

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา

Categories
Column

“เปริซิช และ สเปอร์ส” ความท้าทายสูตรเด็ด “สามสิบยังแจ๋ว”

แม้ได้มาฟรีกับค่าเหนื่อยไม่ถึงหนึ่งแสนปอนด์ต่อสัปดาห์ แต่มีคำถามผุดขึ้นมาว่า อิวาน เปริซิช ในวัย 33 ปี ช่วงปลายอาชีพค้าแข้ง เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าไหมสำหรับ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ทีมอันดับ 4 บนตารางพรีเมียร์ลีก

ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ประกาศข่าวเซ็นสัญญา 2 ปีกับ อิวาน เปริซิช นักเตะสารพัดประโยชน์วัย 33 ปี ทีมชาติโครเอเชีย ซึ่งปิดฉากชีวิต 7 ปีกับ อินเตอร์ มิลาน หลังหมดสัญญาในวันที่ 30 มิถุนายนนี้

ขอบคุณภาพจาก : https://www.facebook.com/TottenhamHotspur

เปริซิชเป็นหนึ่งในเป้าหมายเสริมทัพของ อันโตนิโอ คอนเต้ เพราะเปริซิชเล่นได้หลายตำแหน่งบนหมากกระดานของกุนซือชาวอิตาเลียน รวมทั้งวิงแบ็คและมิดฟิลด์ตัวรุก โดยเปริซิช ซึ่งได้รับการติดต่อจากเชลซีด้วย เซ็นสัญญากับสเปอร์สเป็นเวลา 2 ปี รับค่าเหนื่อยปีละ 5.1 ล้านปอนด์ หรือเฉลี่ย 98,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์

เปริซิช ซึ่งเล่นให้ทีมชาติโครเอเชีย 113 นัด ได้โพสต์อำลาแฟนบอลเนรัซซูรี่บนอินสตาแกรมส่วนตัวอย่างซาบซึ้ง ทิ้งไว้ด้วยภาพจำการรับใช้สโมสร 254 นัด 55 ประตู 49 แอสซิสต์ 3 โทรฟี่ และ 18,934 นาที นับตั้งแต่ย้ายเข้าเป็นสมาชิกของอินเตอร์ มิลาน เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2015

ที่มหานครลอนดอน เปริซิชจะได้ร่วมงานอีกครั้งกับคอนเต้หลังจากทั้งคู่และทีมงูใหญ่ครองสคูเดตโต้ ฤดูกาล 2020-21 ดับความหวังของยูเวนตุสที่จะครองแชมป์ลีกเมืองมะกะโรนีติดต่อกัน 10 ปี ก่อนที่คอนเต้ทำให้ทุกคนช็อคด้วยการโบกมืออำลาอินเตอร์ มิลาน

นอกเหนือเป็นลูกทีมที่เข้าขากันดีแล้ว เปริซิชยังสามารถเล่นเข้ากับระบบของคอนเต้ ไม่ว่าจะเป็นวิงแบ็คตามฟอร์แมท 3-4-3 หรือรับหน้าที่มิดฟิลด์ริมสนามและกองหน้ากึ่งปีก ไม่เพียงเท่านั้นคอนเต้อาจใช้เปริซิชเป็นตัวแก้สถานการณ์ ปรับตำแหน่งให้ยืนศูนย์หน้าแทน แฮร์รี่ เคน ในบางครั้งได้อีกด้วย

แม้วัยเข้าช่วงปลายอาชีพค้าแข้ง แต่เปริซิชยังไม่ส่งสัญญาณว่ามีปัญหาเรื่องความฟิต เขาลงเล่นให้สโมสรและทีมชาติถึง 58 นัดในซีซั่นที่ผ่านมา ส่งลูกหนังซุกก้นตาข่าย 12 ครั้ง

“เปริซิช” ตามรอย “สามสิบยังแจ๋ว” ของแมนฯ ยูไนเต็ด

เพียงแค่ชูเสื้อยังไม่ได้ลงซ้อมกับทีมใหม่ แต่กลับมีคำถามขึ้นมาแล้วว่า คอนเต้คิดถูกแล้วหรือที่ซื้อนักเตะวัย 33 ปี ที่เล่นตำแหน่งที่ต้องสูญเสียพลังงานมากแม้ฟรีค่าตัวและค่าเหนื่อยไม่แรง

ความจริงแล้วการเซ็นสัญญาระยะสั้นเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากับนักเตะที่อายุอยู่ช่วงปลาย (แต่ฝีเท้าต้องขั้นเทพ) เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ผู้จัดการทีมนิยมใช้กัน ตัวอย่างเช่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งได้ เอดินสัน คาวานี่ มาจากตลาดฟรีเอเยนต์กลางปี 2020 ขณะนั้น “มาธาดอร์” ในวัย 33 ปี เพิ่งหมดสัญญากับ ปารีส แซงต์ แยร์กแมง

แม้ถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องสภาพร่างกายจะทนต่อความโหดของพรีเมียร์ลีกได้หรือไม่ แต่คาวานี่ได้พิสูจน์คุณค่าทั้งในและนอกสนาม กลายเป็นขวัญใจของเหล่าเรด อาร์มี่ อย่างรวดเร็ว จนปีศาจแดงใช้ออปชั่นขยายสัญญาเป็นปีที่สอง แต่น่าเสียดาย คาวานี่มีปัญหาบาดเจ็บเรื้อรัง บวกกับการมาของ คริสเตียโน โรนัลโด้ ทำให้ลงสนามแค่ 20 นัด 910 นาที มีผลงาน 2ประตู 1 แอสซิสต์ รวมทุกรายการ

ซีซั่นที่เพิ่งจบไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ใช้กลยุทธ์เดิม เซ็นสัญญา 2 ปีกับ คริสเตียโน โรนัลโด้ ซึ่งถูกตั้งคำถามอีกเช่นกัน แต่ท้ายที่สุด ซูเปอร์สตาร์ทีมชาติโปรตุเกสกลายเป็น “เดอะ แบก” ในวัย 37 ปี ถ้านับเฉพาะพรีเมียร์ลีกกับแชมเปี้ยนส์ลีก “ซีอาร์เซเว่น” เล่น 37 นัด 3,071 นาที ผลิต 24 ประตู 3 แอสซิสต์ ขณะที่ เอริค เทน ฮาก ประกาศทันทีที่รับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ว่า โรนัลโด้เป็นคนสำคัญของทีม

ซีซั่นหน้า นอกจากเปริซิคแล้ว กลยุทธ์นี้กำลังจะถูกพิสูจน์จากกรณี โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ดาวซัลโวทีมชาติโปแลนด์วัย 33 ปี ซึ่งวอนเชิงขู่ บาเยิร์น มิวนิก ให้ปล่อยตัวเขาไปแม้ยังเหลือสัญญาอีกหนึ่งปีก็ตาม แน่นอนว่าฝีเท้าเวิลด์คลาสแบบเลวานดอฟสกี้จะต้องถูกทีมชั้นนำในยุโรปจับจ้องตาเป็นมันแน่นอน

ครบเครื่องทั้งฝีเท้า ประสบการณ์ และคาแรกเตอร์

เปริซิชลงเป็นตัวจริงนัดที่ 35 ในศึกลูกหนังกัลโช่ เซเรีย อา เกมปิดซีซั่นที่เจอกับซามพ์โดเรีย สตาร์โคแอตทำสกอร์ให้อินเตอร์ มิลาน ได้ในนาทีที่ 49 แต่ถูกเปลี่ยนตัวออกไปอีกสิบนาทีต่อมาเพราะบาดเจ็บน่อง เขาต้องใช้ไม้ค้ำยันหลังจบเกม แต่ผลสแกนเอ็มอาร์ไอไม่แสดงปัญหาร้ายแรง ขณะที่การตรวจร่างกายของแพทย์ทีมสเปอร์สก็ผ่านไปด้วยดี 

นอกเหนือทักษะขั้นสูงผ่านตัวเลข 10 ประตู 9 แอสซิสต์ ซึ่งทำให้เนรัซซูรี่ในซีซั่นสุดท้าย คอนเต้ยังหวังพึ่งพาประสบการณ์และบุคลิกผู้นำทั้งในสนามแข่งและสนามฝึกซ้อมของเปริซิช ที่สั่งสมมาจากการเล่นกว่า 650 นัดในระดับสโมสรและทีมชาติ พร้อมโปรไฟล์แชมป์บุนเดสลีกา 2 สมัย, แชมป์เซเรีย อา, แชมป์โคปปา อิตาเลีย และแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีก รวมถึงมีส่วนสำคัญพาโครเอเชียทะลุถึงรอบชิงชนะเลิศ เวิลด์ คัพ 2018 ซึ่งพ่ายต่อฝรั่งเศส 2-4 และเขาทำได้หนึ่งประตู

การดำรงอยู่เป็นเวลาสองปีของเปริซิชจึงเป็นเรื่องน่าติดตามทีเดียวว่า นักเตะสารพัดประโยชน์วัย 33 ปี ที่มีฝีเท้าระดับเวิลด์คลาส จะสร้างอิมแพ็คให้กับท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ มากน้อยเพียงไหน บวกกับการได้ร่วมงานกับโค้ชที่มีคู่มือการใช้งาน บางที “ลิลลี่ไวท์ส” อาจจะได้กลับเข้าสู่นัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์สโมสรก็ได้หลังจากได้เพียงรองแชมป์ปี 2019 เมื่อแพ้ต่อ ลิเวอร์พูล 0-2 

และหากเปริซิชเป็นตัวแปรกสำคัญ นั่นอาจทำให้ “สามสิบยังแจ๋ว” กลายเป็นกระแสความเชื่อที่ได้รับความนิยมอย่างมีนัยยะก็เป็นได้

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Editor)

Categories
Special Content

ย้อนรอยโมเมนต์สุดประทับใจ ก่อนศึก “หงส์ VS ชุดขาว” ชิงบิ๊กเอียร์โทรฟี่ ภาคสาม

เยอร์เกน คลอปป์ กำลังจะพาลิเวอร์พูลลงสนามนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นครั้งที่ 3 นับตั้งแต่รับตำแหน่งผู้จัดการทีมหงส์แดงในเดือนตุลาคม 2015 ต่อจากเบรนแดน ร็อดเจอร์ส โดยสองครั้งก่อนหน้าเป็นรองแชมป์ 1 สมัย แพ้เรอัล มาดริด 1-3 ในปี 2018 ที่กรุงเคียฟ ประเทศยูเครน และเป็นแชมป์ 1 สมัย ชนะท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ 2-0 ในปี 2019 ที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2022 ลิเวอร์พูลจะเผชิญหน้ากับทีมราชันชุดขาวอีกครั้งที่เมืองแซ็ง-เดอนี ประเทศฝรั่งเศส เป็นการช่วงชิงบิ๊กเอียร์โทรฟี่ครั้งที่ 3 ระหว่างสองสโมสร ซึ่งที่ผ่านมาต่างฝ่ายกำชัยชนะทีมละหนึ่งครั้งโดยการเจอกันครั้งแรกเมื่อปี1981 หงส์แดงเฉือนชนะ 1-0 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

เมื่อพลิกปูมประวัติศาสตร์จะพบเหตุการณ์ที่คล้ายซ้ำรอย ย้อนกลับไปการแข่งขันพรีเมียร์ลีกนัดสุดท้ายของฤดูกาล 2016-17ซึ่งเป็นปีที่สองในการคุมทีมของคลอปป์และต้องว่างเว้นจากทัวร์นาเมนท์สโมสรยุโรปเนื่องจากซีซั่นก่อนหน้า ลิเวอร์พูลตกไปอยู่อันดับ 8 แม้เข้าถึงนัดชิงชนะเลิศยูโรป้า ลีก แต่แพ้ต่อเซบีญ่า 1-3 ได้แค่รองแชมป์

DÉJÀ VU…คว้าตั๋ว UCL หลังชนะรองบ๊วย นัดปิดซีซั่นพรีเมียร์ลีก

วันที่ 21 พฤษภาคม 2017 ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟิลด์ถลุงทีมรองบ๊วย มิดเดิลสโบรห์ 3-0 จบซีซั่นด้วยอันดับ 4 บนตารางพรีเมียร์ลีก เฉือนอันดับ 5 อาร์เซนอล แค่คะแนนเดียวแต่ก็มากพอที่จะคว้าตั๋วแชมเปี้ยนส์ลีก แม้ต้องลงสนามรอบคัดเลือกแต่หงส์แดงยังตะลุยจนถึงนัดชิงและพ่ายต่อราชันชุดขาว

การเจอกับเรอัล มาดริด ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ลิเวอร์พูลต้องลุ้นโควต้าแชมเปี้ยนส์ลีกในนัดสุดท้ายของซีซั่น 2020-21 เพื่อได้มาซึ่งอันดับ 3 บนตารางพรีเมียร์ลีก มี 69 คะแนนจาก 38 นัด เหนือเชลซีและเลสเตอร์ 2 และ 3 คะแนนตามลำดับ

วันที่16 พฤษภาคม 2021 ฮีโร่ของลิเวอร์พูลก็คือ อลิสซง เบ็คเกอร์ ถ้าไม่ใช่เพราะศีรษะของนายประตูจอมหนึบชาวบราซิล คลอปป์และลูกทีมหงส์แดงอาจเป็นเพียงผู้ชมแมตช์แชมเปี้ยนส์ลีก ไฟนัล 2022 ก็ได้ และถ้าลิเวอร์พูลล้มยักษ์ใหญ่แดนกระทิงดุและสร้างตำนานแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกสมัยที่ 7 ได้สำเร็จ เหตุการณ์นัดปิดซีซั่นที่แล้วต้องเป็นเกร็ดประวัติศาสตร์ที่เหล่าเดอะค็อประลึกถึง

ลูกโหม่งของอลิสซง ขีดเส้นทางสู่กรุงปารีสในวันเสาร์นี้

วันนั้นบังเอิญเหลือเกิน เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน คู่แข่งทีมสุดท้ายของลิเวอร์พูล จบโปรแกรมด้วยตำแหน่งรองบ๊วยเหมือนมิดเดิลสโบรห์ ในซีซั่น 2016-17 เกมทำท่าจบลงด้วยสกอร์ 1-1 จนกระทั่งช่วงทดเวลาเจ็บผ่านไป 5 นาที ลิเวอร์พูลได้ลูกเตะมุมซึ่งน่าจะเป็นโอกาสทำประตูครั้งสุดท้ายของแมตช์ อลิสซงวิ่งหน้าเริดจากประตูฝั่งตัวเองมายังประตูฝั่งตรงข้ามเพื่อสร้างปาฏิหาริย์ด้วยการโหม่งทำประตูชัยจากลูกเตะมุมของ เทรนด์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ให้ลิเวอร์พูลเฉือนชนะ 2-1 ได้สิทธิเล่นรอบคัดเลือกของแชมเปี้ยนส์ลีกแบบฉิวเฉียด (ส่วนเหตุการณ์ครั้งนี้จะ DÉJÀ VU ซ้ำรอยแบบสมบูรณ์แบบกับปี 2018 หรือไม่ ต้องติดตามผลแข่งขันคืนวันเสาร์กับเรอัล มาดริด)

หลังจบเกม นายด่านจากเมืองกาแฟที่ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ ได้เปิดใจว่า “คุณไม่สามารถอธิบายเรื่องราวแบบนี้ได้หรอก แต่ก็นั่นแหละ นี่คือฟุตบอล”

อลิสซงเป็นผู้รักษาประตูคนที่ 6 ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่ทำสกอร์ได้ และเป็นคนแรกของสโมสรลิเวอร์พูล (นับเฉพาะแมตช์แข่งขันอย่างเป็นทางการ) ในฤดูกาล 2020-21 ชีวิตของอลิสซงมีทั้งทุกข์และสุข เขาเพิ่งสูญเสียคุณพ่อไปก่อนหน้านัดดังกล่าวไม่ถึงสามเดือน แต่สามารถเก็บคลีทชีทในบอลลีกได้ถึง 20 นัด ขณะที่สโมสรต้นสังกัดก็มีกราฟชีวิตสวิงขึ้นลง ลิเวอร์พูลยืนบนแป้นจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกในวันคริสต์มาสติดต่อกันเป็นปีที่ 3 แต่สิ้นสุดสถิติไม่แพ้ใครในบ้าน 68 นัด และโดนคู่แข่งเข้ามาขย่มคาแอนฟิลด์ 6 นัดติดต่อกัน สถานการณ์ตอนนั้นอย่าว่าลุ้นแชมป์เลย ลำพังติดท็อป-4 ยังยาก แต่หงส์กลับกลายเป็นนกฟินิกซ์ ฟื้นคืนชีพปลายซีซั่นและได้ตั๋วรอบควอลิฟายด์ของแชมเปี้ยนส์ลีกจากลูกโหม่งของอลิสซง ซึ่งคลอปป์กล่าวภายหลังว่า มันเป็นเทคนิคที่บ้าเอามากๆ เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นด้วยตาตัวเองทั้งช่วงค้าแข้งและคุมทีม

จอห์น อัคเตอร์แบร์ค โค้ชผู้รักษาประตู เป็นคนตะโกนสั่งการให้อลิสซงขึ้นไปลุยโลดกับเพลย์สุดท้ายของเกม ขณะที่นายด่านทีมชาติบราซิลพูดติดตลกว่าเห็นทีต้องฝึกซ้อมลูกนี้บ่อยครั้งขึ้นเผื่อเกิดสถานการณ์เรียกร้องขึ้นอีก

อัคเตอร์แบร์ค โค้ชผู้รักษาประตู ภายใต้ผู้จัดการทีมหงส์แดง 3 ยุค

อัคเตอร์แบร์ค หนุ่มใหญ่ชาวดัตช์วัย 50 ปี มีส่วนสำคัญในความสำเร็จของอลิสซงนับตั้งแต่ย้ายจากทีมโรม่าเข้าแอนฟิลด์ด้วยค่าตัวสูงถึง 66.8 ล้านปอนด์ในเดือนกรกฎาคม 2018 และอลิสซงเคยให้สัมภาษณ์ผ่านเว็บไซต์สโมสรเมื่อต้นซีซั่นว่า “จอห์นได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าไม่ใช่แค่โค้ชผู้รักษาประตูที่ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่อีกด้วย เขาช่วยให้ผมผ่านแต่ละวันด้วยความสงบและผ่อนคลาย เราเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เขาช่วยให้ผมสามารถพัฒนาตัวเองในสนาม”

หลังจากอำลาตำแหน่งผู้เล่นและโค้ชของ ทรานเมียร์ โรเวอร์ส อัคเตอร์แบร์คได้เข้ามาทำงานกับลิเวอร์พูลเมื่อเดือนมิถุนายน 2009 ในฐานะโค้ชผู้รักษาประตูของทีมสำรองและอะคาเดมี่ ก่อนถูกโปรโมทขึ้นสตาฟฟ์โค้ชทีมชุดใหญ่กลางปี 2011 จนถึงปัจจุบัน ได้ร่วมงานกับผู้จัดการทีม 3 คนคือ เคนนี่ เดลกลิช, ร็อดเจอร์ส และ คล็อปป์

5 เกมถ้วยยุโรป บรรยากาศฟินสุดๆที่แอนฟิลด์

แน่นอนว่า อัคเตอร์แบร์คมีโอกาสสัมผัสเกมของทีมหงส์แดงจากข้างสนามเป็นเวลา 11 ปี และต่อไปนี้เป็น 5 แมตช์บอลถ้วยยุโรปของลิเวอร์พูลที่แข่งในสนามแอนฟิลด์ซึ่งโค้ชนายทวารชาวดัตช์ประทับใจบรรยากาศมากที่สุดในยุคของคลอปป์

ลิเวอร์พูล 2 แมนฯยูไนเต็ด 0 (ยูโรป้า ลีก 2016 รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก)

เป็นศึกแดงเดือดนัดแรกบนสังเวียนระดับทวีปซึ่งไม่สร้างความผิดหวังให้กับบรรดาเดอะค็อปด้วยสกอร์ของ ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ และ โรแบร์โต ฟีร์มิโน่ 

“เมื่อเข้ามาอยู่ที่ลิเวอร์พูล คุณใช้เวลาไม่นานที่จะรู้ว่าเกมที่ยิ่งใหญ่คือนัดไหน ดังนั้นการได้เจอพวกเขาในเกมยุโรปจึงยิ่งใหญ่แบบสุดๆ บรรยากาศไม่ได้ร้อนแรงแค่ในสนามแต่รวมถึงข้างสนามด้วย นัดนี้ผมอยู่บนเมนสแตนด์ ยังจำได้แหกปากตะโกนกันขนาดไหนตอนที่เราทำประตูแรกได้ บรรยากาศของแฟนบอลเหลือเชื่อจริงๆ ซึ่งช่วยยกระดับฟอร์มการเล่นของทีมทางอ้อมด้วย”

ลิเวอร์พูล 4 ดอร์ทมุนด์ 3 (ยูโรป้า ลีก 2016 รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดสอง)

เดยัน ลอฟเรน ทำประตูที่ 4 ช่วงทดเวลาเจ็บ ส่งให้ลิเวอร์พูลเข้ารอบรองชนะเลิศด้วยสกอร์รวมสองนัด 5-4 หลังจากตามอยู่สองประตูก่อนหน้านี้ 9 นาที

“ผมถึงกับขนลุกเลยกับเสียงร้องเพลงและการตะโกนของแฟนบอล ซึ่งแน่นอน มันพลักดันให้การเล่นของนักเตะดีขึ้น ช่วยให้พวกเขาได้รับแรงกระตุ้น จิตวิญญาณ และทัศนคติที่ดีระหว่างการแข่งขัน แล้วผมไม่เคยเห็นเจ้านายเป็นอะไรแบบนั้น เหมือนเขามีความกระหายเป็นอย่างมากที่จะพาทีมประสบความสำเร็จ”

ลิเวอร์พูล 3 แมนฯซิตี้ 0 (แชมเปี้ยนส์ ลีก 2018 รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดแรก)

 ลิเวอร์พูลใช้เวลาเพียง 19 นาทีในการขึ้นนำ 3-0 จากสกอร์ของ อเล็กซ์ ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ และ ซาดิโฮ มาเน่

“คืนก่อนหน้าการแข่งขัน ผมนอนไม่หลับเอาเสียเลยเพราะมัวแต่กังวลว่าอะไรจะเกิดขึ้นได้บ้างทั้งทางดีและร้าย ผมจะลดความกดดันของผู้รักษาประตูได้ไหม เขาจะเล่นได้ดีไหม และหวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี อย่างที่รู้กันว่าซิตี้เป็นทีมที่ยอดเยี่ยมและโชว์ฟอร์มได้ดีมาก พวกเขาดูเหมือนจะเหนือกว่าเราช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่แล้วทุกอย่างก็เข้าทางเราและทำให้อยู่ในสถานการณ์ได้เปรียบสำหรับนัดสอง”

ลิเวอร์พูล 5 โรม่า 2 (แชมเปี้ยนส์ ลีก 2018 รอบรองชนะเลิศ นัดแรก)

ขอบคุณภาพจาก  https://www.taiwannews.com.tw/en/news/3413468

เกมนี้ อลิสซง ซึ่งขณะนั้นอยู่ในทีมโรม่า ได้สัมผัสบรรยากาศในแอนฟิลด์เป็นครั้งแรก ก่อนที่จะเรียกสนามนี้ว่าบ้านอีกสามเดือนต่อมา แนวรุกทั้งสามต่างมีชื่อบนสกอร์บอร์ด ซาลาห์ 2, มาเน่ 1 และ ฟีร์มิโน่ 2 ลิเวอร์พูลขึ้นโด่ง 5-0 ในนาทีที่ 69 มากพอที่จะทำให้ความปราชัย 2-4 ที่กรุงโรม ไม่สามารถขวางเส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศก่อนเป็นฝ่ายพ่ายต่อเรอัล มาดริด

“สัมผัสได้ถึงบรรยากาศความเป็นบิ๊กแมตช์ บอลถ้วยยุโรปเป็นเกมที่พิเศษเสมอ สำหรับเอลี่ (อลิสซง) ผมติดตามเขามาเป็นเวลานานแล้วตั้งแต่ปี 2012 สมัยอยู่กับทีมอินเตอร์นาซิอองนาล และเป็นโอกาสดีที่ได้เห็นเขาเล่น จริงอยู่นัดนี้เขาเสียประตูเยอะแต่เขาทำอะไรไม่ได้มากนักหรอก ทีมเราเล่นได้เหนือชั้นจริงๆ”

“ผมเห็นเอลี่เล่นในสนามกับตาตัวเองครั้งแรกที่สหรัฐอเมริกาเป็นแมตช์อุ่นเครื่องกับโรม่าที่สหรัฐอเมริกา ก่อนหน้านี้ผมเคยพูดถึงเอลี่ให้เจ้านายฟัง เขาเริ่มชอบเอลี่จากนัดนั้น ก่อนเซ็นสัญญากับเอลี่ เราคุยกับผู้รักษาประตูคนอื่นด้วยเช่น มานูเอล นอยเออร์ ทีมชาลเก้, ซาเมียร์ ฮันดาโนวิช ทีมอูดิเนเซ่ และ มาร์ก อังเดร แทร์ สเตเก้น ทีมโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค”

“ตอนนั้น เราได้งบประมาณมาเยอะ เจ้าของสโมสรก็ต้องการให้เราได้นายทวารฝีมือดีที่สุด ผมบอกกับบอสส์ว่าเขา (อลิสซง) เป็นคนเดียวที่ผมยอมจ่ายเงินมหาศาลเพื่อซื้อเข้ามา บอสส์เป็นคนตัดสินใจเอง ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีเหลือเชื่อ”

ลิเวอร์พูล 4 บาร์เซโลน่า 0 (แชมเปี้ยนส์ ลีก 2019 รอบรองชนะเลิศ นัดสอง)

แม้ขาดผู้เล่นสำคัญถึงสองคนในการเจอกับบิ๊กทีมทวีปยุโรป แต่ตัวเลขสกอร์ที่ออกมากลับขาดลอยเหลือเชื่อหลังจาก ดิว็อค โอริกี้ สังหารประตูที่ 4 ทำให้สกอร์รวมสองนัดแซงหน้าเป็น 4-3 ลอยลำเข้าไปชิงถ้วยหูใหญ่กับท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์

“เราไม่มีบ็อบบี้กับโม และชากิรีลงตัวจริง ตอนนั้นใครต่างกาชื่อเราออกไปจากทัวร์นาเมนท์แล้วเมื่อมองผลแข่งขันนัดเยือนเกมแรก แต่จากข้างสนาม ผมเห็นว่าเราต้องยิงประตูได้ในไม่ช้า จากนั้น 2-3 ประตูก็เกิดขึ้น”

“เจ้านายพูดว่า เขารู้ดีว่าทุกคนตัดชื่อเราออกไปแล้ว แต่เขาศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวนักเตะเสมอ นั่นจึงทำให้เรื่องราวยิ่งใหญ่เกิดขึ้นที่เราสามารถสร้างประวัติศาสตร์เพื่อให้ลูกหลานได้รับรู้”

“ระหว่างการประชุมทีม เจ้านายพูดว่า ถ้าทีมไหนสักทีมทำสำเร็จ หนึ่งในนั้นต้องเป็นเรา ผมมั่นใจว่าทุกคนในนั้นต้องจำคำพูดปลุกเร้าของเจ้านายได้แน่นอน”

อ้างอิง : 

https://www.thisisanfield.com/2022/05/the-goal-that-brought-us-back-how-one-alisson-header-led-liverpool-to-paris/

https://www.thisisanfield.com/2022/04/anfields-5-best-european-nights-under-jurgen-klopp-as-told-by-john-achterberg/

Categories
Special Content

หลุยส์ ดิอาซ ยกระดับกองหน้าหงส์แดงจาก FAB THREE เป็น FAB FIVE

ต้องถูกจัดให้ติดหนึ่งในสุดยอดการซื้อขายที่คุ้มค่ามากที่สุดอันดับต้นๆในประวัติศาสตร์ตลาดนักเตะฤดูหนาวนับตั้งแต่พรีเมียร์ลีกเริ่มใช้ระบบ transfer window ในฤดูกาล 2002-03 อย่างแน่นอนสำหรับ หลุยส์ ดิอาซ ปีกและกองหน้าฝั่งซ้ายของ ลิเวอร์พูล ซึ่งแทบไม่ต้องใช้เวลาปรับตัวกับชีวิตใหม่ในถิ่นแอนฟิลด์เลย สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงอย่างรวดเร็วและช่วยให้หงส์แดงชู 2 ถ้วยแชมป์ภายในเวลาสามเดือนครึ่งแรก คาราวบาว คัพ และ เอฟเอ คัพ

เยอร์เกน คลอปป์ เคยให้สัมภาษณ์ถึงอดีตปีกทีมปอร์โตว่า “หลุยส์เป็นผู้เล่นที่โดดเด่น เป็นนักเตะในแบบที่เรามองหามานานแล้ว ตอนที่แข่งกับเขาต้นซีซั่น เรารู้ทันทีว่าเขาเป็นตัวอันตรายและรวดเร็วขนาดไหน เขาเข้ามาช่วยยกระดับทีมของเราอย่างแน่นอน”

ขอบคุณภาพจาก  https://www.thesun.co.uk/sport/football/17598470/luis-diaz-liverpool-tottenham-transfer/

“สเปอร์ส” ช่วยกระตุ้นให้คลอปป์เร่งซื้อดิอาซเร็วขึ้นกว่าครึ่งปี

ดีลนี้เหล่า เดอะ ค็อป ต้องให้เครดิตท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ เพราะคลอปป์อยากได้ตัวปีกวัย 25 ปีทีมชาติโคลอมเบียเพราะประทับใจฟอร์มตอนเจอ เอฟซี ปอร์โต ในแชมเปี้ยนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่ม และตั้งใจเปิดโต๊ะเจรจาช่วงตลาดซัมเมอร์กลางปี แต่พอรู้ข่าวทีมไก่เดือยทองสนใจดิอาซระดับเอาแน่ คลอปป์จึงเร่งเครื่องปาดหน้าเค้กไฮแจ็คดิอาซจากลีกโปรตุเกสด้วยสัญญา5 ปี เมื่อวันที่ 30 มกราคม จ่ายค่าตัว 37.5 ล้านปอนด์ บวกโบนัสแอดออน 12.5 ล้านปอนด์

พ่อของดิอาซเปิดเผยภายหลังว่า “ท็อตแนมสนใจลูกชายของผมจริงๆ โรมาก็อีกหนึ่งทีม แต่พวกเขาลังเลมากไปและปล่อยให้ลิเวอร์พูลเข้ามา ลิเวอร์พูลเร็วกว่าสองทีม พวกเขาต้องการหลุยส์และโฉบตัวไป”

แม้ดิอาซเพิ่งเข้าประเทศอังกฤษได้ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์เนื่องจากเสียเวลาเคลียร์ปัญหาเวิร์คเพอร์มิท คลอปป์ได้รีบใช้งานเขาอีกสองวันต่อมา ส่งลงสนามแทน เคอร์ติส โจนส์ ในนาทีที่ 58 ของ เอฟเอ คัพ รอบ 4 ซึ่งลิเวอร์พูลชนะคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ 3-1 โดยดิอาซทำแอสซิสต์จากสกอร์ของ ทาคุมิ มินามิโนะ

19 กุมภาพันธ์ ดิอาซที่เพิ่งลงตัวจริงบอลพรีเมียร์ลีกเป็นนัดที่สอง เบิกสกอร์แรกในสีเสื้อลิเวอร์พูลได้ ทำประตูที่สามให้ต้นสังกัดชนะนอริช ซิตี้ 3-1 จากนั้นไม่ถึงสองสัปดาห์ เขาเป็นหนึ่งในขุนพล 11 คนแรกชุดแชมป์ คาราบาว คัพ 2022 และล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ยังได้รับเลือกให้เป็นแมนออฟเดอะแมตช์ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ 2022

ดิอาซยังมีโอกาสลุ้นแชมป์กับลิเวอร์พูลอีกสองรายการคือพรีเมียร์ลีกและแชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งมีคิวเตะรอบชิงชนะเลิศกับ เรอัล มาดริด ในวันที่ 28 พฤษภาคม โดยตอนนี้ ดิอาซมีผลงานกับลิเวอร์พูล 24 นัด 6 ประตู คลอปป์ไม่ใช้งานดิอาซแค่สองนัดเท่านั้น

ขอบคุณภาพจาก https://www.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

หงส์ขึ้นนำพรีเมียร์ลีกหากคิดผลแข่งช่วงดิอาซร่วมทีม

หากนับผลแข่งขันเฉพาะเกมพรีเมียร์ลีกตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ กับ เลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งเป็นนัดแรกในยูนิฟอร์มหงส์แดงของดิอาซจนถึงเกมล่าสุดของลิเวอร์พูลที่บุกไปเฉือน แอสตัน วิลล่า 2-1 ลิเวอร์พูลจะมี 38 คะแนนจาก 14 นัด มากที่สุดในพรีเมียร์ลีก ทิ้งห่างอันดับสอง อาร์เซนอล ที่มี 30 คะแนน (14 นัด) ส่วน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รั้งอันดับสาม มี 26 คะแนน (11 นัด) เท่ากับอันดับสี่ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ (14 นัด) แต่ผลต่างสกอร์ดีกว่า 6 ประตู นั่นแสดงให้เห็นถึงลิเวอร์พูลได้รับอิมแพ็คมากเพียงใดหลังจากได้ดิอาซ

ริโอ เฟอร์ดินานด์ ตำนานเซ็นเตอร์แบ็คของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยพูดถึงดิอาซว่า “ดิอาซเป็นตัวสร้างความแตกต่างให้กับทีม มีชั้นเชิงที่สามารถดวลตัวต่อได้เหนือชั้น การเลี้ยงบอลของเขาทำให้กองหลังต้องปวดหัวและอาจช็อคกับลูกเล่นที่เจอ เขาเป็นนักเตะที่มหัศจรรย์ สำหรับผมแล้ว ดิอาซเป็นหนึ่งในการเซ็นสัญญายอดเยี่ยมแห่งปี เพื่อนร่วมทีมต้องรักเขาและพลังงานที่เขาส่งออกมาบนสนาม”

ดิอาซติดอันดับ 10 ดีลการซื้อสุดคุ้มค่าของคลอปป์

ราวกลางเดือนมีนาคม planetfootball ได้วิเคราะห์ 25 อันดับการเซ็นสัญญายอดเยี่ยมของคลอปป์นับตั้งแต่คุมทีมหงส์แดงในเดือนตุลาคม 2015 ปรากฏว่า ดิอาซถูกจัดให้อยู่อันดับสิบ ซึ่งเป็นการประเมินค่าที่สูงมากจากการเข้ามาอยู่ถิ่นแอนฟิลด์เพียงหนึ่งเดือนครึ่ง ลงสนาม 11 นัด ทำ 2 ประตู ซึ่งหากปีกทีมชาติโคลอมเบียยังรักษาฟอร์มเก่งได้อย่างต่อเนื่องตลอด 3-4 ปีข้างหน้า อันดับของเขาคงเลื่อนขึ้นสูงระดับท็อป-5 ได้ไม่ยาก ซึ่งตอนนี้ โม ซาลาห์ รั้งอันดับหนึ่งตามด้วย เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, แอนดี้ โรเบิร์ตสัน, ซาดิโอ มาเน่ และ อลิสซง เบ็คเกอร์

เมื่อครั้งชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ลีก 2019 และ พรีเมียร์ลีก 2020 ลิเวอร์พูลสร้างความยิ่งใหญ่ด้วยกองหน้า Fab Three แต่หลังการเข้ามาของ ดีโอโก้ โซต้า ในเดือนกันยายน 2020 ตามด้วยดิอาซ ทำให้คลอปป์มีแผงหน้าระดับ Fab Five ซึ่ง ราล์ฟ รังนิก ผู้จัดการทีมชั่วคราวของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งตกเป็นข่าวอยากได้ดิอาซในเดือนมกราคม ยังเคยเสนอแนะบอร์ดบริหารให้ซื้อกองหน้าสไตล์ โมเดิร์น สไตรเกอร์ ระดับท็อปเข้ามาอย่างน้อยสองคน เพื่อเลือกใช้งานได้หลากหลายและสะดวกต่อการโรเตชั่นเหมือนกับทีมหงส์แดงและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มีกองหน้าสมัยใหม่ฝีเท้ายอดเยี่ยมถึงห้าคน

ซีซั่นที่แล้ว ซึ่งลิเวอร์พูลเสียถ้วยพรีเมียร์ลีกคืนให้กับทีมเรือใบสีฟ้า มีคำถามขึ้นมาว่าลิเวอร์พูลจะเป็นอย่างไรหากขาด ซาลาห์, มาเน่ และ โรแบร์โต ฟีร์มิโน่ แต่คำตอบก็ชัดเจนแล้วเมื่อคลอปป์ได้โซต้าและดิอาซเข้ามา ซึ่งยังช่วยให้บรรดาเดอะ ค็อป รู้สึกอุ่นใจมากขึ้นกับสถานการณ์ที่ Fab Three กำลังจะหมดสัญญาหลังสิ้นสุดฤดูกาลหน้า

ดิอาซช่วยให้หงส์อุ่นใจหากเสียมาเน่หรือซาลาห์

โอกาสที่ลิเวอร์พูลจะเสีย Fab Three คนใดคนหนึ่งหรือกระทั่งสองคนในตลาดซัมเมอร์ปีนี้มีความเป็นไปได้สูง ซาลาห์เรียกร้องค่าเหนื่อยมากขึ้น ส่วนมาเน่ไม่คิดย้ายออกแต่สโมสรรอจบซีซั่นนี้ก่อนจึงจะหยิบสัญญาฉบับใหม่ขึ้นมาคุยกับโต๊ะ

มีรายงานว่า มาเน่ ดาราทีมชาติเซเนกัล ต้องการค่าเหนื่อย 250,000 – 300,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งจะทำให้เขาเป็นนักเตะที่รับค่าเหนื่อยสูงสุดในลิเวอร์พูลเว้นเสียแต่กลุ่มทุน เฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ป จะยอมอัพค่าเหนื่อยให้ซาลาห์ขึ้นเป็น 400,000 ปอนด์ตามที่สตาร์ทีมชาติอียิปต์เรียกร้อง ซึ่งดูเหมือนว่าไม่น่าเป็นไปได้ นั่นเท่ากับว่าลิเวอร์พูลอาจจำใจต้องปล่อยซาลาห์หรือมาเน่ออกไป

ผู้สันทัดกรณีมองว่า ลิเวอร์พูลอาจเลือกมาเน่ ซึ่งประเมินค่าตัวไว้ที่ 50-80 ล้านปอนด์ แล้วนำเงินไปซื้อกองหน้าที่อายุอ่อนกว่าและถูกกว่าทั้งค่าตัวและค่าเหนื่อย พร้อมกับลุ้นให้ดิอาซหรือโซต้าสามารถก้าวขึ้นมาแบกภาระผลิตสกอร์อย่างต่ำ 20ประตูต่อซีซั่น โดยการเข้ามาของโซต้าและดิอาซทำให้ตอนนี้คลอปป์ไม่จำเป็นต้องมีซาลาห์หรือมาเน่มากเทียบกับสถานการณ์หกเดือนก่อนหน้านี้ ขณะที่บอร์ดบริหารก็ดูเหมือนกุมความได้เปรียบบนโต๊ะเจรจากับดารากองหน้าทั้งสองคน

แน่นอนว่า การเซ็นสัญญากับดิอาซในตลาดเดือนมกราคมช่วยให้คลอปป์หายใจหายคอโล่งขึ้นกับปัญหากองหน้า โชคดีที่ทีมสเปอร์สช่วยเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้กุนซือชาวเยอรมันเลื่อนคิวเซ็นสัญญาเร็วขึ้นกว่าครึ่งปี “ผมดีใจมากที่เราสามารถปิดดีลนี้ได้” คลอปป์เปิดใจเมื่อครั้งเพิ่งได้ตัวปีกวัย 25 ปีอย่างเป็นทางการ

อะไรที่ทำให้คลอปป์ต้องการดิอาซมากขนาดนั้นหลังเห็นฟอร์มจากข้างสนามในเกมปะทะกับปอร์โต 2 นัดช่วงต้นฤดูกาล

คลอปป์เห็นความอันตรายของดิอาซในเสื้อปอร์โต

ดิอาซเป็นปีกซ้ายที่เล่นบอลด้วยเท้าขวา มีความคล่องแคล่วว่องไวและเคลื่อนไหวตัวได้ชาญฉลาด บ่อยครั้งขณะที่เติมเกมรุกทางฝั่งซ้าย เขาจะสปีดหนีกองหลังวิ่งเข้าตรงกลางในตำแหน่งศูนย์หน้าเพื่อรอรับบอลที่เพื่อนร่วมทีมเจาะทะลุฝ่ายตรงข้าม ซึ่งดิอาซสามารถใช้เท้าขวารับบอลและง่ายต่อการลากบอลจี้เข้าหาประตูเพื่อเผด็จศึกจังหวะสุดท้าย หรือหากคู่ต่อสู้ปราดเข้ามาสกัดอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้นักเตะปอร์โตเป็นอิสระ ดิอาซสามารถเลือกจ่ายบอล ซึ่งการสร้างสรรค์เกมรุกเป็นความอันตรายอีกข้อหนึ่งของปีกทีมชาติโคลอมเบีย

สปีดของดิอาซสร้างความปั่นป่วนให้ตัวประกบทั้งการวิ่งอินไซด์และเอาท์ไซด์ อาวุธเก่งคือการตัดเข้าด้านในและครอสส์บอลไปทางเสาไกล หรือเลี้ยงจี้เข้าไปในกรอบเขตโทษเพื่อผ่านบอลไปบริเวณหน้าเส้นประตูหวังให้เพื่อนร่วมทีมอยู่ในตำแหน่งที่สามารถเข้าชาร์จ เขายังเป็นคนที่เล่นบอลในพื้นที่แคบได้ดีอีกด้วย แต่มักไม่ค่อยเห็นเขาเลี้ยงบอลไปถึงเส้นหลังประตูแล้วเปิดบอลยัดเข้ามา

อิดาซยังมีความสามารถจบสกอร์ด้วยตัวเอง อย่างในจังหวะที่ลากบอลผ่านเส้นกรอบเขตโทษและเห็นช่องว่างของแผงหลังฝ่ายตรงข้าม เขาจะแต่งบอลเพื่อสร้างจังหวะซัลโวด้วยการขยับถอยหลังแล้วง้างเท้ายิงด้วยความรุนแรงแม้การจัดร่างกายไม่เอื้ออำนวย

ยามไม่มีบอล ดิอาซยังใช้สปีดเคลื่อนที่ไปตามพื้นที่ต่างๆอย่างรวดเร็ว สามารถเข้าเพรสส์คู่ต่อสู้อย่างมีประสิทธิภาพ บ่อยครั้งมีการเร่งสปีดขึ้นด้วยเวลาอันน้อยนิดเพื่อเคาน์เตอร์แอ็ทแท็คหรือกดดันฝ่ายตรงข้าม นอกจากนี้ปีกทีมชาติโคลอมเบียยังถอยหลังลงไปช่วยฟูลแบ็คในยามจำเป็น อาศัยความดุดันและนิสัยกัดไม่ปล่อยดวลกับกองหน้าตัวต่อตัว พร้อมระเบิดความเร็วออกไปข้างหน้าเมื่อแย่งบอลมาครอบครอง เปลี่ยนรับเป็นรุกอย่างรวดเร็ว

กับทีมปอร์โต ดิอาซถูกวางตัวอยู่ฝั่งซ้ายทั้งระแบบ  4-2-3-1 และ 4-4-2 หากเป็น 4-2-3-1 เมื่อเปิดเกมรุก ดิอาซได้รับไฟเขียวให้เคลื่อนตัวเข้าตรงกลางเพื่อช่วยศูนย์หน้า แต่ถ้าเป็น 4-4-2 ดิอาซจะเปลี่ยนตำแหน่งไปเล่นเป็นกองหน้าแทนเพื่อนร่วมทีมคนหนึ่งที่ถอยลงไปเป็นมิดฟิลด์ หรือบางครั้งก็เปลี่ยนแผนเป็น 4-3-3 ใช้ประโยชน์จากดิอาซทั้งแอสซิสต์และการจบสกอร์

ในทีมชาติโคลัมเบอร์ ผู้เล่นตำแหน่งเบอร์ 10 จะฉีกตัวไปด้านซ้ายเพื่อเปิดโอกาสให้ดิอาซเลี้ยงบอลเข้าด้านในและยิงประตู บางครั้งเบอร์ 9 และ 10 จะดันตัวขึ้นสูงเพื่อกดดันเซ็นเตอร์แบ็คให้ถอยหลังกลับไป สร้างช่องว่างบริเวณแนวรับให้ดิอาซทะลวงเข้าไป

ด้วยทักษะและเชิงชั้นเหล่านี้เองเมื่อดิอาซเข้ามาอยู่ในระบบ 4-3-3 ภายใต้การคุมทีมของคลอปป์ บวกกับเพื่อนร่วมทีมรอบตัวที่มีเซนส์บอลสูงทันกัน จึงทำให้ดิอาซกลายเป็นตัวอันตรายอย่างที่กุนซือชาวเยอรมันให้สัมภาษณ์ไว้เพราะเคยประสบด้วยตาตนเอง

ผลงานในสนามตลอดสามเดือนครึ่งที่ผ่านมาของดิอาซในสีเสื้อลิเวอร์พูลเป็นประจักษ์พยานที่ชัดเจนอยู่แล้ว จากการลงสนาม 24 นัดจาก 4 รายการ 1,536 นาที 6 ประตู 4 แอสซิสต์ กับเหรียญรางวัลชนะเลิศ คาราบาว คัพ และ เอฟเอ คัพ

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา

อ้างอิง : 

https://www.planetfootball.com/trending/luis-diaz-liverpool-villarreal-impact-sub-best-january-signing-goal-champions-league/

https://www.planetfootball.com/quick-reads/luis-diaz-liverpool-premier-league-table-since-debut-february-impact/

https://www.planetfootball.com/quick-reads/ranking-every-signing-jurgen-klopp-has-made-as-liverpool-manager/

https://www.90min.com/posts/luis-diaz-instant-impact-means-liverpool-can-do-without-sadio-mane

Categories
Special Content

พรีวิว ลิเวอร์พูล เอฟเอ คัพ ไฟนอล 2022: ย้อนรอยความกล้าหาญ เจอร์รี่ เบิร์น ตำนานฮาร์ดแมน หงส์แดง 117 นาทีไหปลาร้าหัก คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ สมัยแรกที่เฝ้ารอ 73 ปี

Everybody loves a hardman” ว่ากันว่านักเตะสไตล์ฮาร์ดแมนชนะใจแฟนบอลเสมอ พวกเขาแสดงออกผ่านร่างกาย เล่นบอลเข้าบอลด้วยพลังเกินร้อยไม่หวั่นกระดูกหัก อยู่ในสนามพร้อมสภาพกล้ามเนื้อปูดหนังฉีกเลือดชะโลม วิ่งพล่านประหนึ่งรับยาม้าก่อนคิกออฟ พวกเขาแสดงออกผ่านจิตวิญญาณ ทุ่มเททั้งกายทั้งใจตั้งแต่วินาทีแรก ไม่รู้จักคำว่ายอมแพ้ยกธงขาวจนเสียงนกหวีดสุดท้ายดังขึ้น

แม้วงการลูกหนังคำนึงถึงความปลอดภัยของนักเตะมากขึ้น แต่บ่อยครั้งที่ยังเห็นนักฟุตบอลฝืนวิ่งในสภาพทั้งที่บาดเจ็บ มีเลือดไหลออกมาจากผ้าที่พันไว้ แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปกว่าครึ่งศตวรรษ ภาพพวกนี้คือความปกติที่เกิดขึ้นบนสนามหญ้าเพราะยุคนั้นมีนักเตะต้องเล่นต่อทั้งที่กระดูกหักหรือร้าวให้เห็นบ่อยครั้ง

ยุคสมัยไร้ผู้เล่นสำรองให้เปลี่ยนตัว

เชื่อหรือไม่ว่าช่วง 11 ปี ระหว่างกลางทศวรรษ 1950 – 1960 มีถึง 5 ครั้งของนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ของอังกฤษ ที่นักเตะอย่างน้อยหนึ่งคนต้องเล่นต่อทั้งที่กระดูกชิ้นใดชิ้นหนึ่งแตกร้าวระหว่างเกม ค่าเฉลี่ยปีเว้นปี สาเหตุเนื่องจากสมัยนั้นยังไม่มีกฎการเปลี่ยนตัวผู้เล่น อีกนัยหนึ่งคือแต่ละทีมต้องใช้ผู้เล่น 11 คนเท่าที่ส่งรายชื่อก่อนเกม ไม่มีผู้เล่นสำรองเพื่อเปลี่ยนตัวระหว่างการแข่งขัน

ฟุตบอลลีกเมืองผู้ดีเพิ่งให้เปลี่ยนนักเตะลงแทนคนที่บาดเจ็บในฤดูกาล 1965-66 คนแรกคือ คีธ พีค็อก ของชาร์ลตัน ที่ลงมาแทนนายทวารร่วมทีมเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 1965 หลังเกมเริ่มไปแค่ 11 นาที 

ขณะที่ เอฟเอ คัพ ออกกฎนี้ตามมาในซีซั่น 1967-68 ทำให้เกิดหนึ่งในเรื่องราวยอดตำนานฮาร์ดแมนขึ้นใน เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ ปี 1965 ซึ่งเป็นครั้งที่ลิเวอร์พูลครองแชมป์รายการนี้เป็นสมัยแรกในประวัติศาสตร์หลังจากรอคอยยาวนานถึง 73 ปี  โดย เจอร์รี่ เบิร์น แบ็คซ้ายทีมหงส์แดง ต้องฝืนทนความเจ็บปวดอยู่ในสนามเพราะกระดูกไหปลาร้าหักเกือบ 120 นาที แถมเก็บอาการไม่ให้คู่แข่งรู้อีกด้วย 

ขอบคุณภาพจาก : https://www.pinterest.es/pin/496592296409986126/

แชมป์ เอฟเอ คัพ ที่เฝ้ารอคอยถึง 73 ปี

แม้ลิเวอร์พูลกวาดแชมป์ ดิวิชั่น 1 มาแล้ว 6 สมัย รวมถึงซีซั่นก่อนหน้านี้ (1963–64) แต่กับบอลถ้วย (ตอนนั้นยังไม่มีลีกคัพ) พวกเขายังไม่สามารถนำ เอฟเอ คัพ มาประดับตู้โชว์ได้เลยหลังจากทำได้ดีที่สุดเพียงรองแชมป์เมื่อแพ้ เบิร์นลีย์ ปี 1914 และ อาร์เซนอล ปี 1950 ตรงข้ามกับเพื่อนบ้าน เอฟเวอร์ตัน ที่ชนะเลิศมาแล้วในปี 1906 และ 1933 ส่วนลีกสูงสุด ท็อฟฟี่สีน้ำเงินครอบครองแชมป์ในจำนวนเท่ากัน รวมถึงครั้งหลังสุด ฤดูกาล 1962–63 ก่อนเสียตำแหน่งให้ลิเวอร์พูลในซีซั่นถัดมา

ลิเวอร์พูลจึงหมายมั่นปั่นมือกับนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ที่สนามเวมบลีย์ ในวันที่ 1 พฤษภาคม 1965 เพื่อลดช่องว่างกับคู่อริแห่งเมอร์ซี่ย์ไซด์ แต่คู่แข่งขันคือทีมพลังหนุ่ม ลีดส์ ยูไนเต็ด ของยอดกุนซือ ดอน เรวี่ ที่ฟอร์มกำลังร้อนแรง

มีเกร็ดเล็กน้อยก่อนคิกออฟเมื่อพระราชินีเสด็จมายังสนามเวมบลีย์พร้อมทรงแต่งชุดสีแดง แฟนหงส์แดงพากันตะโกนลั่นสนามว่า “Ee aye addio, the Queen’s wearing red!” (นัดนั้น ลิเวอร์พูลสวมเสื้อแดงกางเกงแดง ลีดส์ใส่ชุดขาวล้วน)

เกมเริ่มไปเพียงสามนาทีก็เกิดเหตุปะทะรุนแรงบริเวณหน้าประตูฝั่งลิเวอร์พูล บ็อบบี้ คอลลินส์ กองกลางที่สูงเพียง 5 ฟุต 3 นิ้ว แต่โดดเด่นด้วยสไตล์ถึงลูกถึงคน ซึ่งเคยเล่นให้เอฟเวอร์ตันระหว่างปี 1958 – 1962 ปราดเข้าแย่งบอล เท้าขวาปะทะหน้าแข้งของ เจอร์รี่ เบิร์น อย่างจัง กรรมการไม่รีรอมอบใบเหลืองให้คอลลินส์

บ็อบ เพรสลีย์ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นผู้ช่วยของ บิล แชงคลีย์ ผู้จัดการทีม รีบลงไปดูอาการของไบรน์ที่นอนอยู่บนสนามในสภาพเหมือนไม่บาดเจ็บหนักหนา แต่มุมมองจากข้างสนามของเพรสลีย์ที่ได้รับใบประกาศนักกายภาพบำบัด เขามีลางสังหรณ์ว่า เหตุร้ายเกิดกับแบ็คซ้ายรายนี้แล้ว

กระดูกไหปลาร้าหักตั้งแต่นาทีที่ 3

เพรสลีย์เขียนไว้ในหนังสือ My 50 Golden Reds ซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี 1990 ว่า “ผมรู้ทันทีว่าเกิดเรื่องร้ายแรงกับ เจอร์รี่ เบิร์น แน่นอน ด้วยประสบการณ์หลายปีสอนให้ผมแยกแยะระหว่างผู้เล่นที่นอนบนสนามเพื่อพักกับเพราะบาดเจ็บได้ ทันทีที่เข้าถึงตัวเจอร์รี่ ผมมั่นใจว่าสิ่งที่คิดข้างสนามนั้นถูกต้อง แกร์รี่ไหปลาร้าหัก แต่เขารู้ดีว่าไม่มีทางที่ลิเวอร์พูลจะเอาชนะลีดส์ด้วยผู้เล่นสิบคน”

“ปฏิกิริยาแรกที่ผมควรทำตอนนั้นคือ โบกมือไปที่ข้างสนามเพื่อร้องขอเปลหาม แต่เจอร์รี่มองมาที่ผมด้วยสายตาวิงวอน ‘อย่าบอกใคร’ ผมพูดกลับไปว่า ‘นายรู้ใช่ไหมว่ากระดูกหัก’ แน่นอนแกร์รี่รู้แต่เขายืนยันที่จะเล่นต่อตลอด 87 นาทีที่เหลือ หรืออาจต้องบวกเพิ่มอีกครึ่งชั่วโมงหากเกมต้องต่อเวลา”

“เขาเอ่ยกับผมอย่างท้าทายว่า ‘ผมทำได้แน่’ และเขาก็ทำได้จริงๆ เป็นหนึ่งความห้าวหาญที่ผมประจักษ์ด้วยสายตาตัวเองในเวมบลีย์”

ความลับที่ห้ามฝั่งลีดส์ระแคะระคายเด็ดขาด

“ผมกลับไปนั่งข้างสนามแล้วบอกแชงคลีย์และทุกคนว่า เจอร์รี่กระดูกไหปลาร้าหัก แต่ไม่มีใครเชื่อผมเลยสักคนจนกระทั่งแพทย์ยืนยันนั่นแหละ พวกเขาจึงเชื่อ ส่วนฝั่งทีมลีดส์ ผมสาบานจะเก็บเป็นความลับไม่ให้ใครรู้ทั้งสตาฟฟ์โค้ชหรือนักเตะ เราหลอกพวกเขาด้วยการพูดเอะอะโวยวายเรื่องที่เจอร์รี่โดนอัดหน้าแข้งเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ”

ทางด้านไบรน์กล่าวถึงเหตุการณ์วันนั้นว่า “ตอนแรกผมห่วงหน้าแข้งมากกว่าเพราะบ็อบบี้ คอลลินส์ เข้าบอลหนักและถลกหนังหน้าแข้งผม ถ้าเป็นสมัยนี้คงเป็นใบแดง ส่วนผมคงโดนหามออกนอกสนามไปแล้ว แต่สมัยนั้นยังไม่มีการเปลี่ยนตัวผู้เล่น ผมไม่ได้ตระหนักว่าจะเกิดเรื่องเสียหายตามมาอย่างไรแต่ยอมรับว่ามันเจ็บมาก”

“บ็อบ เพรสลีย์ ตรวจอาการผมอีกครั้งช่วงพักครึ่งและยืนยันว่าอะไรเกิดขึ้น ทั้งเขาและบิล แชงคลีย์ ต่างแปลกใจว่าผมทนเล่นต่อได้อย่างไร แต่ผมยืนยันต้องการเล่นต่อ บ็อบเอาสำลีกับเทปมายึดไหปลาร้าแล้วผมก็ลงสนามไปพร้อมกับคนอื่น”

ทำแอสซิสต์ในสภาพไหปลาร้าหัก

ทั้งสองฝ่ายต้องดวลสตั๊ดท่ามกลางฝนและไม่สามารถส่งลูกหนังซุกก้นตาข่ายได้ นั่นหมายความว่าไบรน์ต้องข่มความเจ็บปวดเพิ่มอีก 30 นาที แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อแบ็คซ้ายผู้เติบโตในย่านสกอตแลนด์โร้ดของเมืองลิเวอร์พูลได้บอลจาก วิลลี่ สตีเว่น ก่อนโยนจากฝั่งซ้ายไปให้ โรเจอร์ ฮันท์ ทำสกอร์ขึ้นนำในนาทีที่ 93 ฮันท์ถูกแวดล้อมด้วยทีมเมทที่ร่วมแสดงความยินดีรวมถึงไบรน์ที่โอบกอดด้วยแขนข้างเดียว

เพียงเจ็ดนาทีต่อมา บิลลี่ เบรมเมอร์ ซัดฮาล์ฟวอลเลย์ลูกพุ่งเสียบมุมบนสุดปัญญาที่ ทอมมี่ ลอว์เรนซ์ ป้องกันได้ สกอร์เป็น 1-1 อย่างไรก็ตาม เอียน เซ็นต์จอห์น ปิดโอกาสไม่ให้แมตช์ยืดเยื้อถึงนัดรีเพลย์หลังจากโขกบอลระยะเผาขนเข้าไปในนาทีที่117 ทำให้ลิเวอร์พูลเฉือนชนะลีดส์ 2-1

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

แชงคลีย์ยอมรับว่าแชมป์ เอฟเอ คัพ สมัยแรก เป็นชัยชนะที่ดีที่สุดในช่วงชีวิตคุมทีมลิเวอร์พูลของเขา และไม่เคยสงสัยเลยที่จะระบุฮีโร่ตัวจริงของเกมนี้

“มันเกิดจากความกล้าหาญของ เจอร์รี่ เบิร์น เขาควรรับเหรียญรางวัลทั้งหมดไปคนเดียว ไม่มีใครอีกแล้วที่จะทำได้แบบเขา หนุ่มคนนี้ต้องเล่นร่วมหนึ่งชั่วโมงครึ่งทั้งที่กระดูกไหปลาร้าหัก”

“เราเห็นตอนพักครึ่งแล้ว กระดูกไหปลาร้าเขาหักชัดเจน แพทย์ประจำทีมพยายามจัดให้มันเข้าที่แต่ไม่สำเร็จ เราทำได้เพียงซ่อนไม่ให้ลีดส์รับรู้ นี่เป็นตัวอย่างของเกมจิตวิทยาที่ช่วยให้เราชนะรายการนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร แกร์รี่คือวีรบุรุษและเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่”

โบกมืออำลาวงการด้วยวัยเพียง 30 ปี

ไบรน์รักษาอาการบาดเจ็บและหายทันลงสนามฤดูกาลต่อมา (1965-66) ซึ่งลิเวอร์พูลจบซีซั่นด้วยแชมป์ ดิวิชั่น 1 สมัยที่สองในรอบสามปี โดยไบรน์มีสถิติลงสนาม 53 นัดรวมทุกรายการ และมีโอกาสโชว์ธาตุทรหดอีกครั้งเมื่อต้องเล่นทั้งที่กระดูกข้อศอกเคลื่อนในการแข่งขัน ยูโรเปี้ยน คัพวินเนอร์ส คัพ รอบรองชนะเลิศ นัดแรก กับ กลาสโกว์ เซลติก ที่สนามปาร์คเฮด

“ผมต้องกลับเข้าห้องพักนักกีฬาเพื่อให้แพทย์ของทีมจับกระดูกแขนให้กลับเข้าที่ มันปวดระยำเลยและผมต้องออกจากสนามก่อนจบเกมสิบนาที แขนของผมดำคล้ำตั้งแต่ข้อมือถึงหัวไหล่ ผมยังจำแชงคลีย์ทำท่าประหลาดใจเมื่อผมบอกว่าพร้อมที่จะเล่นบอลลีกกับสโต๊คในวันเสาร์”

อย่างไรก็ตาม ไบรน์ต้องแขวนสตั๊ดเร็วกว่าวัยอันควรเนื่องจากบาดเจ็บหัวเข่าหลังฟุตบอลโลก 1966 รอบสุดท้าย และไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง เขาสิ้นสุดอาชีพค้าแข้งในปี 1969 ขณะวัยเพียง 30 ปี เขายอมรับว่าไม่สามารถเหยียดหรืองอขาได้เหมือนปกตินับจากนั้น

ปิดฉากตำนานเจ้าของฉายา The Crunch

ปีต่อมา สโมสรจัดเทสติโมเนียลแมตช์ให้กับเบิร์นเป็นกรณีพิเศษ ทำให้เขาประหลาดใจมากที่ได้รับเกียรติครั้งนี้ “คืนนั้นฝนตกที่แอนฟิลด์ ผมคิดว่าคงไม่มีใครมาแน่ แต่กลับมีแฟนบอลถึง 42,000 คนเข้ามา พวกเขาตะโกนเรียก The Crunch (ฉายาของไบรน์)”

เบิร์นมีโอกาสทำงานในสตาฟฟ์โค้ชที่แอนฟิลด์ระยะหนึ่งก่อนลาออกเนื่องจากเป็นโรคอัลไซเมอร์ เขาเสียชีวิตด้วยวัย 77 ปี ในเดือนพฤศจิกายน 2015

ขอบคุณภาพจาก : https://www.skysports.com/football/news/11669/10081959/liverpool-legend-gerry-byrne-passes-away-at-the-age-of-77

วันที่ 14 พฤษภาคมนี้ ลิเวอร์พูล จะลงแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ กับ เชลซี หากทำสำเร็จจะเป็นแชมป์สมัยที่ 8 ของหงส์แดง กับถ้วยใบนี้ที่เคยต้องรอคอยนานถึง 73 ปี กับแมตช์ระดับตำนานของชายที่ชื่อว่า แกร์รี่ ไบรน์ ผู้ไม่เพียงกัดฟันต่อสู้ในสภาพกระดูกไหปลาร้าหักเกือบ 120 นาที แต่ยังเป็นคนทำแอสซิสต์ประตูนำร่องให้กับลิเวอร์พูลด้วย

อ้างอิง : https://www.liverpoolecho.co.uk/sport/football/football-news/never-nutmeg-him-think-you-23794612

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา

Categories
Football Business

ราล์ฟ รังนิก กับการปฏิวัติเงียบบอร์ดบริหารฯ ความสำเร็จเบื้องหลังที่รอการพิสูจน์

บางทีตัวแปรสำคัญอันดับแรกที่ทำให้สโมสรฟุตบอลประสบความสำเร็จและผงาดอยู่แถวหน้าของวงการอาจไม่ใช่การเข้ามาของผู้จัดการทีมที่เก่งฉกาจ แต่อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงแนวทางบริหารของเจ้าของสโมสร

เหมือนกับที่ ลิเวอร์พูล ตัดสินใจยกเลิกวัฒนธรรม The Boot Room ที่นำความยิ่งใหญ่มาสู่แอนฟิลด์ระหว่างทศวรรษ 1960ถึงต้นทศวรรษ 1990 หรือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งขายสโมสรให้กับชาวต่างชาติอย่าง ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2007 ก่อนตกมาอยู่ในมือของ ชีค มานซูร์ บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน นักการเมืองและนักธุรกิจชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตั้งแต่ปี 2008 จนถึงปัจจุบัน รวมถึง โรมัน อบราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย ที่เทคโอเวอร์ เชลซี เมื่อปี 2003

ด้วยเหตุนี้ แฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด  จึงเริ่มมีความหวังเล็กๆที่จะปีนกลับขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้งนับตั้งแต่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ล้างมือในอ่างทองคำหลังจบซีซั่น 2012-13 แม้เจ้าของสโมสรยังคงเป็นตระกูลเกลเซอร์แห่งสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่ มัลคอล์ม เกลเซอร์ เข้ามาถือหุ้นใหญ่ในเดือนกันยายน 2003

ช่วง 8 ฤดูกาลในยุค โพสต์-เฟอร์กี้ ปีศาจแดงคว้าแชมป์มาครอง 3 รายการคือ ลีกคัพ, เอฟเอ คัพ และ ยูโรป้า ลีก แต่กับลีกระดับเทียร์หนึ่ง พวกเขาทำได้ดีที่สุดคือ รองแชมป์ พรีเมียร์ลีก 2 สมัย แถมเคยร่วงลงไปอยู่อันดับ 7 ในสมัย เดวิด มอยส์ และอันดับ 6 อีกสองครั้ง ส่วนซีซั่นปัจจุบัน พวกเขามีโอกาสรูดม่านด้วยอันดับ 6, 7 หรือกระทั่ง 8

เดวิด มอยส์ บุรุษผู้ถูกเลือก อาจเป็นความผิดพลาดเพราะฝีมือและบารมีไม่ถึง แต่กุนซือระดับ หลุยส์ ฟาน กัล และ โชเซ่ มูรินโญ่ กึ๋นคงไม่ใช่ข้ออ้าง แม้มีความพยายามคืนสู่จิตวิญญาณแห่งปีศาจแดงด้วยการมอบหมายงานให้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ก็ยังล้มเหลว

เป้าถล่มย้ายจากผู้จัดการทีมสู่บอร์ดบริหาร

เป็นที่น่าสังเกตว่าช่วงหลัง เสียงด่าทอของแฟนบอลเปลี่ยนทิศจากผู้จัดการทีมไปยังบอร์ดบริหารและเจ้าของทีม ถึงขั้นเคยมีการประท้วงขับไล่ในสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด จนแมตช์แดงเดือดต้องเลื่อนออกไป รวมทั้งสับแหลกการบริหารที่ผิดพลาด วางเป้าหมายผลกำไรทางธุรกิจเหนือความสำเร็จของทีมฟุตบอล เจ้าหน้าที่ระดับสูงไม่มีความรู้ในกีฬาลูกหนัง การดื้อดึงซื้อนักเตะที่กุนซือไม่ได้ต้องการ การต่อสัญญานักเตะที่ไม่ใช้งานเพียงเพื่อเพิ่มมูลค่า การกระหายเงินจนเข้าร่วมก่อตั้ง ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ลีก  เป็นต้น 

“ภัย” เริ่มขยับใกล้ตระกูลเกลเซอร์เข้ามาเรื่อยๆ จนมหาเศรษฐีจากเมืองลุงแซมต้อง “คิดใหม่ ทำใหม่” เพื่อพา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คืนสู่ความยิ่งใหญ่ ซึ่งจะทำให้การธุรกิจของพวกเขากลับมาสงบสุขอีกครั้ง

ปลายเดือนพฤศจิกายน 2021 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยกเลิกสัญญากับ โซลชาร์ ท่ามกลางการกดดันของแฟนๆและสื่อมวลชน แต่พลาดได้ตัว อันโตนิโอ คอนเต้ กุนซือมือดีที่เพิ่งตอบตกลงคุมทีม ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ก่อนหน้าไม่กี่สัปดาห์ โดยมอบหมายให้ ไมเคิล คาร์ริก คุมทีมเพียง 3 นัด ก่อนสร้างเซอร์ไพรส์แต่งตั้ง ราล์ฟ รังนิก ปรามาจารย์ลูกหนังชาวเยอรมัน ทำหน้าที่จนจบซีซั่นก่อนนั่งเก้าอี้ที่ปรึกษาสโมสรเป็นเวลาสองปี

คงไม่มีใครแปลกใจหาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปล่อยให้คาร์ริกคุมทีมช่วงที่เหลือของซีซั่นเพื่อรอเจรจาช่วงซัมเมอร์กับเป้าหมายที่ตกเป็นข่าวอย่าง เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่, เบรนแดน ร็อดเจอร์ส, ซีเนอดีน ซีดาน หรือกระทั่งรังนิกเอง

เท็ดดี้ เชอริงแฮม อดีตศูนย์หน้าทีมปีศาจแดง ให้ความเห็น “คุณตัดสินใจปลดผู้จัดการทีม แล้วให้คาร์ริกทำหน้าที่ชั่วคราว แล้วแทนเขาด้วยผู้จัดการทีมชั่วคราวอีกคนหนึ่ง สำหรับผมแล้ว เป็นการกระทำที่น่าตกใจเอามากๆสำหรับสโมสรที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก”

“นั่นทำให้นักเตะขาดความมั่นใจและไร้ความต่อเนื่อง โดยเฉพาะนักเตะคนไหนที่กำลังเจอช่วงเวลาที่เลวร้าย ก็เหมือนกับโดนทอดทิ้งไร้อนาคต เขารู้ดีว่านายใหญ่จะต้องไปภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า” 

“เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับสโมสรอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คุณต้องการให้ทุกคนมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน สำหรับผมแล้ว มันวุ่นวายตั้งแต่บนลงล่าง นักเตะได้แค่เล่นไปในสนาม ผมคงรับมือกับสถานการณ์ไร้สาระแบบนี้ไม่ได้”

เหมือนอย่างที่เชอริงแฮมพูดไว้ รังนิกไม่สามารถใส่สไตล์ “เกเก้น เพรสซิ่ง” ให้กับลูกทีมใหม่ ผลงานในสนามก็ลุ่มๆดอนๆ ตกรอบ เอฟเอ คัพ และ แชมเปี้ยนส์ลีก อันดับบนตารางพรีเมียร์ลีกก็ไหลลงจนอาจได้เพียงโควต้า คอนเฟอเรนซ์ ลีก สภาพทีมเหมือนเล่นให้ครบโปรแกรมเพื่อรอนายใหญ่คนใหม่เข้ามารับหน้าที่อย่างถาวร

รังนิกชี้ปัญหาที่ถูกมองข้ามผ่านเพรสคอนเฟอเรนซ์

แม้ผลแข่งอาจดูย่ำแย่ที่สุดในบรรดาผู้จัดการทีมยุคหลังเฟอร์กูสัน แต่ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดของรังนิกกลับอยู่ที่การให้สัมภาษณ์หลังเกมและวาระต่างๆ

รังนิกมักอธิบายเหตุผลการทำอะไรไม่ทำอะไรระหว่างเกม 90 นาทีในเชิงเทคนิคและแทคติคอย่างเช่น ทำไมถึงเปลี่ยนตัวนักเตะคนนี้ออกส่งคนนั้นเข้า จุดไหนที่นักเตะไม่สามารถทำตามแผนที่วางไว้ก่อนเกม พูดเหมือนเป็นคอมเมนเตเตอร์หรือครูที่กำลังสอนนักเรียนผ่านเกมแข่งขันจริงๆ

ท้ายซีซั่น รังนิกเริ่มให้สัมภาษณ์ไปไกลถึงโครงสร้างการบริหารทีม แนวทางการฝึกซ้อม การทำงานของทีมแพทย์ แนวคิดการซื้อขายนักเตะในตลาด คุณลักษณะนักเตะที่พึงมี ฯลฯ ไม่ใช่ความเห็นต่อภาพที่เกิดขึ้นบนสนามหญ้าเท่านั้น ยิ่งช่วงก่อนหน้าและหลัง เอริค เทน ฮาก ได้รับการประกาศเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ รังนิกแสดงวิสัยทัศน์ราวกับกำลังลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ซีอีโอ หรือ ผู้บริหารสูงสุดที่จะเข้ามา “ปฏิวัติ” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

สื่อบางสำนักระบุว่า โครงการปรับปรุงสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด ครั้งใหญ่เกิดขึ้นก็เพราะฝีปากของเดอะ โปรเฟสเซอร์ นั่นเอง

“เรด อาร์มี่” ทั่วโลกต่างซึมซับคำพูดช่วง 4-5 เดือนของรังนิกไว้ในสมองอย่างไม่รู้ตัว ส่วนใหญ่เห็นด้วยถึงเวลาแล้วที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่เพียง “ไมเนอร์ เชนจ์” แต่ต้อง “ยกเครื่อง” ฐานรากของสโมสรเสียใหม่ ไม่ใช่เพียงจ้างผู้จัดการทีมระดับ เอ พลัส เข้ามาสร้างความสำเร็จภายในเวลาอันรวดเร็ว พวกเขาพร้อมให้เวลา 3-4 ปี สำหรับ เทน ฮาก

ความคิดลักษณะนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจมีแค่ด่าทอระบายอารมณ์กับสไตล์การทำงานของ เอ็ด วู้ดเวิร์ด และบอร์ดบริหารบ้าง จนกระทั่งรังนิกเข้ามาจุดประกายและขายไอเดียนับตั้งแต่ย้ายเข้ามาทำงานในโอลด์ แทรฟฟอร์ด 

เปลี่ยนโครงสร้างฝ่ายปฏิบัติการรอการมาของเทน ฮาก

ล่าสุด รังนิกเซ็นสัญญาคุมทีมชาติออสเตรียโดยเชื่อมั่นว่าสามารถทำงานควบคู่กับตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นไปได้หลังจากรังนิกได้ทำหน้าที่ที่ปรึกษาไปเรียบร้อยแล้ว แถมปูทางสะดวกให้กับการทำงานของเทน ฮาก ซึ่งเป็นบุคคลที่เขาออกแรงเชียร์เต็มที่แม้เป็นโปเช็ตติโน่ต่างหากที่บอร์ดบริหารต้องการตัว

มุมมองที่รังนิกพูดออกไปสร้างอิมแพ็คให้กับสโมสรจริงๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายอย่างนอกเหนือก่อนหน้านี้ที่วู้ดเวิร์ดประกาศอำลาเก้าอี้ซีอีโอหลังจบซีซั่น แมตต์ จัดจ์ มือขวาของเขา ก็ยุติบทบาทหัวหน้าฝ่ายพัฒนาองค์กรและหัวหน้าฝ่ายเจรจาซื้อขายนักเตะ หลังจากสโมสรมีคำสั่งปลดหัวหน้าแมวมอง 2 คน โดยมีข่าวลือว่า รังนิกได้แนะนำสโมสรให้ทาบทาม พอล มิทเชลล์ ผู้อำนวยการกีฬาของ โมนาโก เข้ามานั่งเก้าอี้แทนจัดจ์และมีบทบาทสำคัญในตลาดซื้อขายฤดูร้อนนี้

เพราะการแผ้วถางทางเดินเกือบครึ่งปีของรังนิก ทำให้บอร์ดบริหารจำใจเซย์เยสกับเงื่อนไขสุดท้ายของเทน ฮาก นั่นคืออำนาจเด็ดขาดในการซื้อขายนักเตะ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาเลยหลังเฟอร์กูสันอำลาสโมสร อดีตกุนซืออย่างฟาน กัล และมูรินโญ่ ล้วนเคยแฉว่าฝ่ายบริหารไม่ได้ตอบสนองความต้องการของพวกเขา 

รอย คีน อดีตกัปตันทีมปีศาจแดง เห็นด้วยกับทิศทางที่เปลี่ยนแปลงในถิ่นเก่า

“เราเห็นตัวอย่างของ ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ได้รับประโยชน์มากขนาดไหนที่ผู้จัดการทีมมีอำนาจเต็มในทุกภาคส่วน สิ่งที่ผู้จัดการทีมต้องการคือ อำนาจและการควบคุมในสโมสร ทั้ง (เจอร์เก้น) คล็อปป์, เป๊ป (กวาร์ดิโอล่า) และ (โธมัส) ทูเคิล ต่างมีสิ่งนี้ ดังนั้นไม่ว่าใครเข้ามาคุมทีม สโมสรต้องหนุนหลังเขา ให้อำนาจและการควบคุมแก่เขา ให้เขามีส่วนสำคัญในการตัดสินใจซื้อขายนักเตะ แต่ที่ผมได้ยินช่วง 2-3 ปีที่ผ่าน มา การตัดสินใจซื้อขายผู้เล่นมาจากคนข้างบน”

ทั้งหมดนี้ แม้รังนิกอาจลัมเหลวกับตัวเลขบนสกอร์บอร์ดและแต้มสะสมในเกมพรีเมียร์ลีก แต่เขาได้สร้างแรงกระเพื่อมอย่างรุนแรงให้กับตระกูลเกลเซอร์และบอร์ดบริหาร จนอาจกล่าวได้ว่า เทน ฮาก มี “แต้มต่อ” ณ จุดสตาร์ท เหนือกว่า มอยส์, ฟาน กัล, มูรินโญ่ และโซลชาร์ พร้อมเวลาให้พิสูจน์ฝีมือ 2-3 ปี

และถ้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถกลับไปยืนโดดเด่นที่แถวหน้าอีกครั้ง ก็จะเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความสำเร็จที่เริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงแนวคิดบริหารงานของเบื้องบน