Categories
Football Business

เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ บนแขนเสื้อข้างซ้ายในพรีเมียร์ลีก

พรีเมียร์ลีกเริ่มต้นฤดูกาล 2022-23 มีข่าวเซอร์ไพรส์เล็กๆ เมื่อ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ซึ่งเพิ่งขึ้นมาเล่นลีกสูงสุดของอังกฤษหลังจากว่างเว้นมานาน 23 ปี เป็นทีมเดียวที่นักเตะสวมเสื้อแข่งว่างเปล่าไม่มีโลโก้ผู้สนับสนุนบนหน้าอกและแขนเสื้อ ซึ่งหมายความว่า ทีมเจ้าป่าขาดรายได้ระดับหลักสิบล้านปอนด์ต่อปีอย่างน่าเสียดาย

เหตุผลไม่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนใดๆ เพียงแค่ฟอเรสต์ยังไม่สามารถตกลงต่อสัญญาใหม่กับ BOXT บริษัทผลิตอุปกรณ์และวางระบบความร้อน แอร์คอนดิชัน และการระบายอากาศ โดย BOXT แสดงความประสงค์ต้องการเป็นสปอนเซอร์ให้กับทีมเจ้าป่าต่อไปหลังหมดสัญญาฉบับเก่าที่มีระยะเวลาสองปี แต่ข้อเสนอหลายล้านปอนด์ของบริษัทถูกปฏิเสธ ซึ่งว่ากันว่า ฟอเรสต์ต้องการรายได้ประมาณ 7-10 ล้านปอนด์ต่อปี อย่างไรก็ตาม BOXT ได้หันไปจับมือเป็นสปอนเซอร์ให้กับเอฟเวอร์ตันเพื่อปะโลโก้ที่แขนเสื้อ

บนเสื้อแข่งมีพื้นที่สร้างรายได้ให้กับสโมสรอยู่สองตำแหน่งคือ หน้าอกกับแขนเสื้อข้างซ้าย ส่วนแขนเสื้อข้างขวาเป็นสัญลักษณ์พรีเมียร์ลีก ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้ว สปอนเซอร์ที่แขนเสื้อมีมูลค่าประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของสปอนเซอร์บนหน้าอก

ถ้าตัดฟอเรสต์ออกไป ทุกทีมในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้มีโลโก้สินค้าสกรีนบนหน้าอกเสื้อ แต่มีอยู่หนึ่งทีมที่ยังไม่มีเงินไหลเข้าผ่านแขนเสื้อก็คือ แอสตัน วิลลา ซึ่งมี Cazoo บริษัทจำหน่ายรถยนต์ผ่านออนไลน์ เป็นสปอนเซอร์หน้าอกเสื้อเท่านั้น

ล่าสุด พรีเมียร์ลีกเพิ่งออกกฎใหม่ห้ามบริษัทที่ทำธุรกิจพนัน (แม้ถูกกฎหมาย) เป็นสปอนเซอร์ ซึ่งสร้างความสั่นสะเทือนให้กับแหล่งรายได้ของสโมสรอย่างแรงเพราะเป็นธุรกิจที่เข้ามาสนับสนุนเงินๆทองๆบนเสื้อแข่งมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งได้แก่Dafabet (บอร์นมัธ), HollywoodBets (เบรนท์ฟอร์ด), Stake.com (เอฟเวอร์ตันกับวัตฟอร์ด), W88 (ฟูแลม), SBOTOP (ลีดส์), Fun88 (นิวคาสเซิล), Sportsbet.io (เซาแธมป์ตัน) และ Betway (เวสต์แฮม) ซึ่งยกชื่อมาเฉพาะสปอนเซอร์หลักของเสื้อแข่งเท่านั้นยังไม่อ้างถึงแขนเสื้อ อย่างไรก็ตาม การแบนบริษัทรับพนันยังไม่มีผลอย่างน้อยสามปีนับจากปีนี้

กลุ่มสปอนเซอร์รายใหญ่รองจากธุรกิจพนันก็คือ ธุรกิจการเงินการธนาคาร อย่างเช่น  American Express (ไบรท์ตัน), Standard Chartered (ลิเวอร์พูล), AIA (ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์), AstroPay (วูลฟ์แฮมป์ตัน) และ FBS (เลสเตอร์) ขณะที่สายการบินของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้แก่ Emirates และ Etihad Airways ยังเดินหน้าสนับสนุนด้านการเงินให้กับสองสโมสรยักษ์ใหญ่ อาร์เซนอล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี

โลโก้บริษัทจำหน่ายรถยนต์ Cinch และ Cazoo อยู่บนหน้าอกเสื้อของคริสตัล พาเลซ และแอสตัน วิลลา ส่วน เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้รับเงินสปอนเซอร์จาก Three และ Team Viewer ซึ่งทำธุรกิจด้านเทคโนโลยี นั่นเท่ากับว่ายังไม่มีบริษัทชั้นนำที่เกี่ยวข้องกับอาหารและเครื่องดื่มเข้ามาปิดดีลสโมสรพรีเมียร์ลีก

ต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา PlanetSport ได้เผยแพร่บทความเรื่อง The 11 biggest shirt sponsorship deals: Premier League dominates but Spain’s where the big money is. พบว่า อันดับท็อป-11 ของสโมสรที่โกยรายได้สปอนเซอร์เสื้อแข่งสูงที่สุดในโลกมาจากพรีเมียร์ลีกถึง 6 ทีม แต่ไม่ติดสามอันดับแรก ซึ่งนำโดย เรอัล มาดริด 70 ล้านยูโร ตามด้วยปารีส แซงต์-แยร์แมง 65 ล้านยูโร และบาร์เซโลนา 62.5 ล้านยูโร ซึ่งเป็นจำนวนเงินค่าเฉลี่ยต่อปีของสัญญา

สโมสรจากเมืองผู้ดีที่โกยรายได้มากที่สุดย่อมเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในช่วงทศวรรษนี้หนีไม่พ้น แมนเชสเตอร์ ซิตี 60 ล้านยูโร อยู่อันดับสี่ ขณะที่เพื่อนบ้าน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แม้ฟอร์มไม่ไฉไลบนสนามแต่ยังเป็นทีมเนื้อหอมในเชิงธุรกิจ ทีมปีศาจแดงรับไป 55 ล้านยูโร อยู่อันดับห้า

ส่วนอันดับรองลงไปได้แก่ อันดับหก บาเยิร์น มิวนิค 50 ล้านยูโร, อันดับเจ็ด อาร์เซนอล 46.6 ล้านยูโร และอันดับแปด (ร่วม) ซึ่งรับไป 45 ล้านยูโรเท่ากันคือ ยูเวนตุส, ลิเวอร์พูล, สเปอร์ส และเชลซี

ปฐมบทแห่งการขายพื้นที่โฆษณาบนเสื้อแข่งขัน

พลิกปูมประวัติศาสตร์สปอนเซอร์บนหน้าอกเสื้อแข่งสโมสรอังกฤษเกิดขึ้นเมื่อปี 1974 หรือ 48 ปีที่แล้ว โคเวนตรีเป็นทีมแรกและได้รับเงินจาก Talbot แบรนด์รถยนต์ดังในอดีต ก่อนเป็นที่แพร่หลายช่วงทศวรรษ 1980 ซึ่งมีสองเหตุการณ์ที่น่าบันทึกไว้คือเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 1980 การถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ระหว่าง แอสตัน วิลลา และ ไบรท์ตัน ถูกยกเลิกเนื่องจากสองทีมปฏิเสธลงสนามหากไม่ได้สวมเสื้อแข่งที่ปะโลโก้สปอนเซอร์ และในเดือนมกราคม 1981 นิวคาสเซิล และ โบลตัน ถูกปรับ 1,000 ปอนด์โทษฐานสวมเสื้อที่มีโฆษณาปรากฎหราบนหน้าอกในการแข่งขันเอฟเอ คัพ

ก่อนหน้าโคเวนตรีเพียงปีเดียวคือ ปี 1973 สปอนเซอร์บนหน้าอกเสื้อแข่งกลายเป็นนวัตกรรมใหม่อย่างเป็นทางการในลีกระดับเมเจอร์ของยุโรปครั้งแรกที่บุนเดสลีกาเมื่อ ไอน์ทรัค บรันสวิก รับเงินจากบริษัทเครื่องดื่ม Jaegermeister เพื่อเอาโลโก้สโมสรออกไปแล้วแทนที่ด้วยสัญลักษณ์หัวกวางขนาดใหญ่ปะบนหน้าอก

สำหรับโลโก้โฆษณาบนแขนเสื้อ ได้รับอนุญาตจากพรีเมียร์ลีกให้ปรากฎบนแขนเสื้อข้างซ้ายครั้งแรกในฤดูกาล 2017-18หรือห้าปีที่แล้ว โดยกำหนดให้มีขนาดสูงสุด 100 ตารางเซนติเมตร ส่วนข้างขวายังเป็นโลโก้พรีเมียร์ลีก แต่กว่าที่มีกฎนี้ออกมา สโมสรต่างๆ ต้องออกแรงล็อบบีผู้บริหารพรีเมียร์ลีกอยู่หลายปี

ทางด้านยูฟ่าเริ่มกดปุ่มไฟเขียนให้สโมสรยุโรปหารายได้จากช่องทางเดียวกันในการแข่งขันแชมเปียนส์ ลีก, ยูโรปา คัพ และคอนเฟอเรนซ์ ลีก ตั้งแต่ฤดูกาล 2021-22 หรือเมื่อซีซั่นที่แล้วนี่เอง โดยมีรายละเอียดเหมือนกันคือ ติดโลโก้แขนซ้ายและมีขนาดมากที่สุด 100 ตารางเซนติเมอร์ รวมถึงส่วนสูงไม่เกิน 12 เซนติเมตร และต้องเป็นสปอนเซอร์ตัวเดียวกับที่ใช้ในฟุตบอลภายในประเทศ แต่ถ้าไม่มี สปอนเซอร์ต้องเป็นตัวเดียวกับที่สนับสนุนชุดแข่งขันอยู่เช่น หลังเสื้อ กางเกง

และต้องบันทึกไว้ว่า โอลิมปิก ลียง ซึ่งลงแข่งขันยูโรปา ลีก ฤดูกาลที่แล้ว เป็นสโมสรแรกที่มีสปอนเซอร์แขนเสื้อทั้งฟุตบอลภายในประเทศและบอลถ้วยยุโรป หลังจากเซ็นสัญญากับ MG Motor ค่ายผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ จนถึงปี 2024

แมนฯ ซิตี เซ็นสัญญาสปอนเซอร์แขนเสื้อเป็นทีมแรกในพรีเมียร์ลีก

ย้อนกลับมาที่พรีเมียร์ลีก ซึ่งเริ่มอนุญาตให้สโมสรขายโลโก้บนแขนเสื้อในซีซั่น 2017-18 เป็นปีแรก และก็เป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี ที่ปิดดีลได้ก่อนใคร สมศักดิ์ศรีทีมที่ครองความยิ่งใหญ่ในลีกเมืองผู้ดีช่วงต้นทศวรรษ 2010 หลังการล้างมือในอ่างทองคำของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดยก่อนหน้านี้ ทีมเรือใบสีฟ้าเป็นแชมป์ 2 สมัย (2011–12, 2013–14) และรองแชมป์ 2 สมัย (2012–13, 2014–15)

ปลายเดือนมีนาคม 2017 แมนเชสเตอร์ ซิตี เซ็นสัญญากับ Nixen Tire บริษัทยางรถยนต์สัญชาติเกาหลี ก่อนปิดท้ายซีซั่น 2017-18 ด้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก เป็นการเริ่มต้นยุคทองอย่างจริงจังเพราะช่วงห้าปี ทีมเรือใบสีฟ้าชนะเลิศพรีเมียร์ลีกถึง 4 สมัย มีเพียงฤดูกาล 2019-20 ที่โทรฟีตกอยู่ในมือของลิเวอร์พูล

เชื่อหรือไม่ว่าขณะที่ทีมเล็กทีมน้อยระดับกลางตารางและดิ้นรนหนีตกชั้นได้รับเสียงตอบรับจากสปอนเซอร์ แต่ยักษ์ใหญ่อย่าง อาร์เซนอล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ กลับลงสนามในซีซั่น 2017-18 พร้อมด้วยโลโก้พรีเมียร์ลีกติดแขนเสื้อทั้งสองข้าง โดยทีมปืนใหญ่กับทีมไก่เดือยทองติดเงื่อนไขในสัญญากับสปอนเซอร์หลัก ขณะที่ทีมปีศาจแดงไม่มีการระบุเหตุผลที่ชัดเจนแต่เชื่อว่าคงตกลงตัวเลขเงินกันไม่ได้ พร้อมข่าวลือว่า ทีมปีศาจแดงได้เปิดโต๊ะเจรจากับ Tinder แอปพลิเคชั่นหาคู่

จนกระทั่งปีต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2018 ก่อนเปิดฤดูกาล 2018-19 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จึงออกข่าวเปิดตัวสปอนเซอร์บนแขนเสื้อรายแรกคือ Kohler บริษัทผลิตเครื่องใช้อุปกรณ์ในห้องน้ำห้องครัวสัญชาติอเมริกัน โดยตัวอักษร KOHLER อยู่บนแขนเสื้อนัดแรกในเกมอุ่นเครื่องกับ คลับ อเมริกา ที่เมืองฟินิกซ์ ประเทศสหรัฐอเมริกา แผ่นดินแม่ของบริษัท ในวันที่ 19กรกฎาคม 2018 ซึ่งวันนั้น นักเตะเรด อาร์มี่ ได้สวมเสื้อเหย้าดีไซน์ใหม่ของ Adidas อีกด้วย

แต่ซีซั่นปัจจุบัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปลี่ยนสปอนเซอร์แขนเสื้อเป็น DXC Technology บริษัทสัญชาติอเมริกันเช่นกัน โดยไม่มีการเปิดเผยตัวเลขรายได้ และถือเป็นก้าวแรกของ DXC ที่เข้ามาสร้างสายสัมพันธ์ในวงการลูกหนังหลังจากเซ็นสัญญาสนับสนุนการจัดมหกรรมกีฬา ปารีส เกมส์ 2024 ทั้งโอลิมปิกและพาราลิมปิก

มีบางทีมที่ปิดดีลหลังพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2017-18 เริ่มไปแล้วระยะหนึ่งเช่น เบิร์นลีย์ เซ็นสัญญากับเกมมือถือ Golf Clashต้นเดือนตุลาคม 2017 และก่อนหน้านั้นกลางเดือนกันยายน เอฟเวอร์ตัน เรียกเสียงฮือฮาจากแฟนบอลเมื่อประกาศว่า พวกเขาจะติดโลโก้เกมสุดฮิตในยุคนั้นที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุดตลอดกาลอย่าง Angry Birds บนแขนเสื้อแข่ง

การขายสปอนเซอร์บนแขนเสื้อในซีซั่นแรก สโมสรส่วนใหญ่ได้รับเงินเข้ากองคลังหลักแสนปลายๆหรือ 1-2 ล้านต่อปี ยกเว้นสโมสรระดับพี่เบิ้มที่นำโดย เชลซี ที่คาดว่าโกยจาก Alliance Tyres มากถึง 8 ล้านปอนด์ ตามมาติดๆด้วย แมนเชสเตอร์ ซิตี ที่รับจาก Nexen Tire 7 ล้านปอนด์ ส่วน ลิเวอร์พูล เซ็นสัญญา 5 ปี 25 ล้านปอนด์กับ Western Union ซึ่งยกเลิกสัญญาก่อนสองปี โดยมี Expedia เข้ามาแทนในปี 2020 และจะหมดสัญญาฤดูร้อนปีหน้า คาดว่าบริษัทธุรกิจท่องเที่ยวรายนี้จ่ายให้ทีมหงส์แดงปีละ 10 ล้านปอนด์

บิลลี โฮแกน ซีอีโอของลิเวอร์พูล ให้สัมภาษณ์ว่า สโมสรกับ Expedia กำลังอยู่ในขั้นตอนเจรจาต่อสัญญา และก่อนหน้านี้ ทีมหงส์แดงเพิ่งขยายสัญญากับ Standard Chartered สปอนเซอร์หลักบนเสื้อออกไปอีกสี่ปีหลังจากจับมือเป็นพันธมิตรมายาวนานตั้งแต่ปี 2010 โดยเชื่อว่า บริษัทมหาชนด้านธุรกิจการเงินการธนาคารของอังกฤษยอมจ่ายสูงถึง 30 ล้านปอนด์ต่อปีเลยทีเดียว

สำหรับสโมสรและสปอนเซอร์แขนเสื้อในฤดูกาล 2017-18 ของทีมอื่นๆประกอบด้วย ไบรท์ตัน – JD, เวสต์ บรอมวิช – 12BET, เวสต์แฮม – MRF Tyres, นิวคาสเซิล – MRF Tyres, บอร์นมัธ – M88, สวอนซี – Barracuda Networks, สโต๊ค – First Eleven, เซาแธมป์ตัน – Virgin Media, เลสตอร์ – Siam Commercial Bank (ธนาคารไทยพาณิชย์), คริสตัล พาเลซ – Dongqiudi, ฮัดเดอรฟิลด – PURE Legal และ วัตฟอร์ด – 138 Bet

มาช้าดีกว่าไม่มา “สเปอร์ส” เพิ่งติดโลโก้สินค้าที่แขนเสื้อต้นปี 2021

อาร์เซนอล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และสเปอร์ส เป็นเพียงสามทีมในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2017-18 ที่ไม่ได้ขายโลโก้บนแขนเสื้อ แต่ซีซั่นต่อมา 2018-19 เหลือเพียงทีมไก่เดือยทองที่ยังติดโลโก้พรีเมียร์ลีกบนแขนเสื้อสองข้าง หลังจากทีมปืนใหญ่เซ็นสัญญากับ Rwanda Development Board ในเดือนพฤษภาคม 2018 เพื่อโปรโมทแคมเปญท่องเที่ยว Visit Rwanda ในซีซั่นแรกของยุคหลังอาร์แซน เวนเกอร์ และทีมปีศาจแดงเซ็นสัญญากับ KOHLER ในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน

กว่าที่ทีมสเปอร์สจะขายสปอนเซอร์แขนเสื้อได้ก็ช้ากว่าทีมอื่นเกือบสี่ปี ซึ่ง ดาเนียล เลวี ประธานสโมสร เคยให้เหตุผลว่าสปอนเซอร์แขนเสื้ออาจจะไปลดมูลค่าของสัญญาสิทธิ์การตั้งชื่อสนามแข่งขัน ซึ่งสำหรับตัวเขาให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก แม้กระทั่งในเดือนกรกฎาคม 2019 ซึ่งสโมสรได้ต่อสัญญากับ AIA Group สปอนเซอร์หลักของเสื้อแข่ง ไปจนสิ้นสุดซีซั่น 2026-27 ซึ่งคาดว่ามีมูลค่ารวมสูงถึง 320 ล้านปอนด์ เลวีก็ยังไม่เอ่ยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับสปอนเซอร์แขนเสื้อ ซึ่งนักวิเคราะห์ด้านการเงินประเมินว่า สเปอร์สขาดรายได้ส่วนนี้ไปถึง 10 ล้านปอนด์ต่อปี เมื่อเทียบกับคู่แข่งร่วมกรุงลอนดอนอย่างเชลซีและอาร์เซนอลที่รับเงินจาก Hyundai 5 ปี 50 ล้านปอนด์ และ Rwanda Development Board 3 ปี 30 ล้านปอนด์ ตามลำดับ

จนกระทั่งต้นเดือนมกราคม 2021 ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ได้จับมือกับ Cinch บริษัทจำหน่ายรถยนต์ทางออนไลน์ ซึ่งจะมาเป็นสปอนเซอร์แขนเสื้อรายแรกของสโมสรเป็นเวลาห้าปี โดยแฟนบอลได้เห็นโลโก้ Cinch เป็นครั้งแรกในการแข่งขันเอฟเอ คัพ กับ มารีน เอเอฟซี ในวันที่ 10 มกราคม 2021

แม้ไม่มีการเปิดเผยตัวเลขเงินของสัญญาแต่เชื่อว่า Cinch คงจ่ายเงินเพื่อแลกสิทธิปรากฎโลโก้บนแขนเสื้อทีมไก่เดือยทองราวปีละ 10 ล้านปอนด์เช่นเดียวกับยักษ์ใหญ่ทีมอื่น ส่วนเหตุผลที่ฝ่ายบริหารของสโมสรตัดสินใจขายพื้นที่บนแขนเสื้อข้างซ้ายให้กับบริษัทจำหน่ายรถยนต์นั้น ผู้สันทัดกรณีฟันธงว่า ไม่มีความซับซ้อนใดๆเพียงเลวีเริ่มตระหนักว่า การเพิ่มช่องทางของรายได้จะช่วยลดช่องว่างทางบัญชีการเงินระหว่างสเปอร์สกับสโมสรชั้นนำของพรีเมียร์ลีกที่ดูเหมือนจะทิ้งห่างพวกเขาออกไปเรื่อยๆ

มีคำกล่าวหนึ่งที่คนในวงการฟุตบอลอาชีพคุ้นเคยดีคือ “เมื่อคุณมีเงิน คุณจะชนะ, คุณไม่สามารถชนะจนกว่าคุณมีเงิน, จากนั้นยิ่งคุณชนะ คุณยิ่งต้องมีเงินเพื่อรักษาชัยชนะนั้นไว้”

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา

Categories
Special Content

พรีเมียร์ลีกส่ง “จอมยุทธ์เฒ่า” ถ่ายทอดเคล็ดวิชาแก่ศิษย์วัยละอ่อน

ช่วงตลาดซัมเมอร์รอบนี้มีข่าวเล็ก ๆ เรียกรอยยิ้มจากการโปรยหัวข่าวเล่นมุขของสื่อมวลชนกับการที่สองสโมสรใหญ่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และลิเวอร์พูล เซ็นสัญญานักเตะใกล้ปลดระวางอายุสามสิบกลาง ๆ ซึ่งถ้าเป็นฝีเท้าระดับ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี คงเรียกเสียงฮือฮาไม่ใช่เสียงฮาจากแฟนบอลที่มึนตึ๊บกับชื่อของ ทอม ฮัดเดิลสโตน (35 ปี) และ เจย์ สเปียริ่ง (33 ปี) จนกระทั่งได้รับการเฉลยจากเนื้อข่าวว่า ทั้งสองโดนดึงเข้ามารับงานเพลเยอร์แอนด์โค้ชของทีมรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ซึ่งลงแข่งขันในพรีเมียร์ลีก 2 ที่พัฒนามาจากลีกทีมสำรองเมื่อครั้งอดีต

ฮัดเดิลสโตนและสเปียริ่งเป็นตัวอย่างของนักเตะอายุเกินในพรีเมียร์ลีก 2 ซึ่งกูรูลูกหนังมองว่านี่เป็น “นวัตกรรม” หรือสิ่งใหม่ที่สามารถพัฒนาวงการลูกหนังประเทศอังกฤษให้เติบโตอย่างมีนัยยะและเป็นรูปธรรม

พรีเมียร์ลีก 2 เป็นการแข่งขันฟุตบอลอังกฤษรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ซึ่งผู้เล่นในฤดูกาล 2022-23 จะต้องเกิดหลังวันที่ 1มกราคม 2001 แต่กฎอนุญาตให้สโมสรส่งผู้รักษาประตูอายุเกินลงสนามได้หนึ่งคนต่อนัด และผู้เล่นอายุเกินตำแหน่งอื่นอีกห้าคน อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่โควตาอายุเกินจะเป็นนักเตะอายุประมาณ 22-23 ปี ขณะที่นักเตะวัยใกล้แขวนสตั๊ดจึงเป็นความแปลกใหม่ (ก่อนหน้านี้ พรีเมียร์ลีก 2 เป็นลีก ยู-23 แต่เพิ่งปรับลงเหลือ ยู-21 ในซีซั่นนี้เพื่อให้ใกล้เคียงอายุเฉลี่ยจริงที่ลงแข่งขัน)

การเข้ามาของนักเตะวัยเก๋าไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อชัยชนะ แต่จะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้คำแนะนำแก่นักเตะวัยละอ่อนทั้งระหว่างการแข่งขันและขณะฝึกซ้อมทุกวัน

เมื่อปีที่แล้ว เซาแธมป์ตันเซ็นสัญญากับ โอลลีย์ แลงคาเชียร์ ซึ่งกลับมาสวมยูนิฟอร์มทีมนักบุญแดนใต้อีกครั้งแม้เป็นชุด ยู-23 หลังจากใช้เวลา 11 ปีกับหลายสโมสรในลีกรองอย่าง วอลซอลล์, อัลเดอร์ชอต, โรชเดล, ชรูว์บิวรี, สวินดอน และครูว์ 

เซ็นเตอร์แบ็ควัย 33 ปี กล่าวถึงบทบาทนักเตะอายุเกินในพรีเมียร์ลีก 2 ว่า “งานของผมคือการวางมาตรฐาน ผมต้องแสดงให้พวกเขาเห็นทุกวันว่าอะไรเป็นสิ่งที่นักฟุตบอลอาชีพควรทำหรือวางตัวอย่างไร ไม่ว่าคุณจะเล่นในทีมชุดใหญ่พรีเมียร์ลีกหรือลีกทู”

“สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมให้พวกเขาเกิดความคุ้นเคย ไม่ประหลาดใจเวลาเจอของจริง อีกนัยหนึ่งผมจะสอนให้เด็กๆตระหนักว่าพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายอะไรบ้างที่รออยู่ข้างหน้าหากต้องการเป็นนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จ”

ทางด้าน เจย์ สเปียริ่ง เป็นนักเตะที่เติบโตจากอะคาเดมีของลิเวอร์พูล อยู่ในทีมเยาวชนระหว่างปี 1997 – 2008 แต่มีโอกาสลงสนามให้ทีมชุดใหญ่หงส์แดงในบอลลีกเพียง 30 นัดระหว่างปี 2008 –  2013 จากนั้นย้ายไปค้าแข้งกับ โบลตัน, แบล็คพูล และทรานเมียร์ ก่อนกลับมาทำงานในแอนฟิลด์อีกครั้ง

มิดฟิลด์ตัวรับวัย 33 ปี กล่าวว่า “ถ้าเด็กๆต้องการคำแนะนำจากผมไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ผมจะเป็นเสมือนหนังสือคู่มือให้พวกเขาพลิกหาคำตอบ งานของผมก็คือเป็นคนชี้นำและช่วยพวกเขาได้เติบโตอย่างเหมาะสมเพื่อขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่”

“พรีเมียร์ลีก 2” สนามของเหล่านกน้อยหัดบิน

พรีเมียร์ลีก 2 เป็นส่วนหนึ่งของระบบพัฒนาฟุตบอลระดับเยาวชนในประเทศอังกฤษ บริหารจัดการและควบคุมโดยพรีเมียร์ลีก เดิมทีเป็นลีกของนักฟุตบอลอายุไม่เกิน 23 ปี ก่อนปรับอายุลงมาเหลือ 21 ปีในฤดูกาล 2022-23 เนื่องจากอายุเฉลี่ยของทีมส่วนใหญ่อยู่ที่ 19 ปี

ขอบคุณภาพจาก  https://www.premierleague.com/premier-league-2-explained

พรีเมียร์ลีก 2 ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อให้นักเตะเยาวชนได้รับประสบการณ์ใกล้เคียงกับทีมชุดใหญ่มากที่สุดทั้งในเรื่องของเทคนิค สภาพร่างกาย และระดับความเข้มข้นของการแข่งขัน เป็นกระบวนการหนึ่งเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนก้าวขึ้นสู่เกมระดับซีเนียร์ นอกจากเกมลีกแล้วยังมีบอลถ้วย อีเอฟแอล โทรฟี และการแข่งขันระดับนานาชาติ

พรีเมียร์ลีก 2 แบ่งเป็นสองระดับคือ ดิวิชั่น 1 จำนวน 14 สโมสร และ ดิวิชั่น 2 จำนวน 11 สโมสร จัดการแข่งขันแบบเหย้าเยือน ซึ่งเมื่อเตะครบตามโปรแกรม ทีมที่จบอันดับหนึ่งของดิวิชั่น 1 จะครองแชมป์ สองทีมสุดท้ายของดิวิชั่น 1 จะตกลงไปเล่นดิวิชั่น 2 ขณะที่แชมป์ดิวิชั่น 2 จะเลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่ดิวิชั่น 1 โดยอัตโนมัติ ส่วนทีมอันดับสองถึงห้าจะแข่งขันรอบเพลย์ออฟ ทีมอันดับสองจะเล่นในบ้านกับทีมอันดับห้า ทีมอันดับสามจะเล่นในบ้านกับทีมอันดับสี่ ทีมชนะจะผ่านเข้าไปแข่งรอบชิงชนะเลิศซึ่งจัดในบ้านของทีมที่มีอันดับสูงกว่า เพื่อแย่งสิทธิเลื่อนชั้นไปยังดิวิชั่น 1

เกมเพลย์ออฟจะเตะแค่นัดเดียว หากเสมอในเวลาปกติจะต่อเวลาพิเศษ ซึ่งหากยังเสมอในเวลา 120 นาที จะตัดสินด้วยการยิงลูกจุดโทษ ทั้งนี้ไม่มีการตกชั้นจากดิวิชั่น 2

สรุปทีมชนะเลิศพรีเมียร์ลีก 2 ดิวิชั่น 1 ที่ผ่านมา

  • 2021-22 แมนเชสเตอร์ ซิตี
  • 2020-21 แมนเชสเตอร์ ซิตี
  • 2019-20 เชลซี
  • 2018-19 เอฟเวอร์ตัน
  • 2017-18 อาร์เซนอล
  • 2016-17 เอฟเวอร์ตัน
  • 2015-16 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
  • 2014-15 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
  • 2013-14 เชลซี
  • 2012-13 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

“ฮัดเดิลสโตน” ช่วยพัฒนา ซาเวจ, อิกบาล, เมจ์บรี ป้อนชุดใหญ่

สำหรับ ทอม ฮัดเดิลสโตน เพิ่งถูกฮัลล์ปล่อยตัวหลังสิ้นสุดฤดูกาลที่แล้ว มิดฟิลด์ตัวรับวัย 35 ปี คงไม่แปลกใจหากได้รับการติดต่อจากสโมสรในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ซึ่งอาจต้องการเซ็นสัญญากับเขาเพียงหนึ่งปี ไม่ใช่ยักษ์ใหญ่ที่พยายามตื่นจากการหลับใหลอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

แม้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในแผนงานของเอริค เทน ฮาก กุนซือไฟแรงชาวดัตช์ แต่ฮัดเดิลสโตนก็อดตื่นเต้นไม่ได้กับบทบาท “ไฮบริด” ในทีม ยู-21 ของปีศาจแดง เป็นงานเดียวกับ พอล แม็คเชน อดีตกองหลังวัย 36 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าของผู้เล่นโควตาอายุเกินในทีม ยู-23 ฤดูกาลที่แล้ว

โดยแม็คเชนเคยเป็นนักเตะเยาวชนของแมนฯ ยูไนเต็ด ระหว่างปี 2002 – 2004 ก่อนถูกโปรโมทขึ้นชุดใหญ่ระหว่างปี 2004 – 2006 แต่ถูกปล่อยยืมให้กับวอลซอลล์และไบรท์ตัน ไม่เคยเล่นให้ทีมซีเนียร์ของปีศาจแดงเลย

สำหรับซีซั่นนี้ ฮัดเดิลสโตนรับหน้าที่เพลเยอร์แอนด์โค้ชแทนแม็คเชน อดีตเพื่อนร่วมทีมฮัลล์ของเขา ซึ่งเลื่อนขึ้นไปเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมของ มาร์ค เดมพ์ซีย์ วัย 58 ปี โดยฮัดเดิลสโตนโพสต์ผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวหลังเซ็นสัญญาว่า

“ราวกับลอยขึ้นไปยังดวงจันทร์เพื่อประกาศว่า ผมได้รับโอกาสจากสโมสรฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ให้ช่วยทำหน้าที่โค้ชและพัฒนาทักษะความสามารถของเหล่านักเตะรุ่นใหม่ ผมรู้สึกซาบซึ้งและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะกลับไปร่วมงานกับนักเตะรุ่นเด็กอีกครั้ง”

แมนฯ ยูไนเต็ด มั่นใจในประสบการณ์ของฮัดเดิลสโตนในระดับซีเนียร์ 582 นัดกับหลายสโมสรวมถึง ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์, ดาร์บี และฮัลล์ รวมถึงทีมชาติอังกฤษอีก 4 นัด จะมีส่วนสำคัญต่อพัฒนาการทั้งในและนอกสนามแข่งขันของเหล่าปีศาจแดงรุ่นละอ่อนอย่างเช่น ชาร์ลี ซาเวจ, ซีดาน อิกบาล และ ฮันนิบาล เมจ์บรี ซึ่งเคยประเดิมยูนิฟอร์มทีมชุดใหญ่มาแล้ว

นิค ค็อกซ์ ผู้อำนวยการอะคาเดมีของแมนฯ ยูไนเต็ด ให้สัมภาษณ์ว่า “เรายินดีที่ได้ทอมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของผู้เชี่ยวชาญด้านโค้ชชิ่งผ่านกระบวนการพัฒนาวิชาชีพ (Professional Development Phase) ซึ่งด้วยนวัตกรรมใหม่ที่เราใช้แต่งตั้งเพลเยอร์แอนด์โค้ชเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ได้รับผลสำเร็จอย่างแท้จริงและสร้างประโยชน์ให้อย่างมากให้กับอะคาเดมี”

เส้นทางเติบโตของอดีตโค้ชทีมเยาวชน “ลิเวอร์พูล”

เจย์ สเปียริ่ง กองกลางวัย 33 ปี ยอมรับว่าเขาเหมือนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกเมื่อได้กลับมาแอนฟิลด์อีกครั้งหลังหายไปเกือบสิบปีโดยได้รับข้อเสนอเพลเยอร์แอนด์โค้ชของลิเวอร์พูล ยู-21 และยังเป็นโค้ชเต็มเวลาของทีม ยู-18 อีกด้วย

“ก่อนหน้านี้ ผมเคยทำงานสองปีกับทีม ยู-15 และ ยู-16 ขณะได้รับ เอ ไลเซนส์ของยูฟ่า จนวันหนึ่งอเล็กซ์ (อิงเกิลธอร์พ ผู้จัดการอะคาเดมีของลิเวอร์พูล) ได้ติดต่อเข้ามาสอบถามว่าสนใจรับงานผู้เล่นและโค้ชหรือเปล่า ซึ่งไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ผมจะเดินหนีหันหลังให้ งานนี้ส่งผลทางบวกต่อผมมากมายเหลือเกิน”

“ความจริงแล้ว ผมได้คุยกับ (พอล) แม็คเชนก่อนตอบรับงานนี้ เขาบอกว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมสำหรับเขา หลายคนพูดว่าคุณควรเล่นฟุตบอลต่อไปตราบเท่าที่ยังสามารถทำได้ แต่เมื่อโอกาสแบบนี้เข้ามา มันเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง ผมไม่มีทางตอบปฏิเสธได้แน่นอน”

สเปียริ่งใช้เวลา 15 ปีกับลิเวอร์พูล ลงสนามให้ทีมชุดใหญ่ 55 นัดรวมทุกรายการ เคยได้แชมป์ลีกคัพและรองแชมป์เอฟเอ คัพ ปี 2012 ก่อนโบกมืออำลาแอนฟิลด์เมื่อปี 2013 อย่างไรก็ตามเขามีประสบการณ์เกมซีเนียร์กว่า 450 นัด

“ผมเห็นอะไรมามากมายในเกมฟุตบอล ผมสัมผัสประสบการณ์ทั้งสูงและต่ำ เลื่อนชั้นและตกชั้น ผมทำงานภายใต้ผู้จัดการทีมที่แตกต่างกัน รวมถึงเจ้าของสโมสรที่หลากหลาย จะว่าไปผมได้เห็นเกือบทุกอย่างที่คุณอยากได้เห็น”

“ผมหวังจะใช้ประสบการณ์เหล่านี้ในฐานะโค้ช บทบาทหลักคือนำตัวเองเข้าไปอยู่ท่ามกลางเด็กๆ สร้างมาตรฐานในสนามฝึกซ้อม และพยายามโชว์ให้พวกเขาเห็นว่าอะไรสมควรเป็นในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ”

สเปียริ่งยังได้คุยกับอดีตเพื่อนร่วมทีม สตีเวน เจอร์ราร์ด ซึ่งปัจจุบันคุมทีมแอสตัน วิลลา แต่ก่อนหน้านั้น “สตีวี จี” ร่วมงานสตาฟฟ์โค้ชระดับเยาวชนของลิเวอร์พูล เคยคุมทีม ยู-18 และ ยู-19 ก่อนย้ายไปเป็นผู้จัดการทีมเรนเจอร์ส เอฟซี ในเดือนเมษายน 2018 และพาสโมสรครองแชมป์สกอตติช พรีเมียร์ชิพ ฤดูกาล 2021-22 ซึ่งเป็นสมัยแรกในรอบสิบปี

“เขาเล่าว่าทำผิดพลาดมากมายสมัยเริ่มงานโค้ชช่วงแรกๆ แต่กุญแจสำคัญคือให้มันเกิดขึ้นหลังประตูที่ถูกปิด นั่นเป็นสาเหตุที่เขาเริ่มงานโค้ชที่ลิเวอร์พูล ซึ่งเขาสามารถเรียนรู้และพัฒนา ทั้งหมดเป็นคำแนะนำที่เยอร์เกน คล็อปป์ ให้กับเขา”

“คุณต้องฟังคนแบบเขา เขาเป็นคนที่รู้เรื่องเกมดีทั้งจากข้างนอกข้างใน อาจไม่จำเป็นต้องตามเขาทุกฝีเท้า ก็เพราะใครล่ะที่จะตามคนอย่างสตีเวน เจอร์ราร์ด ได้ทุกย่างก้าว ท้ายสุดคุณต้องเดินบนเส้นทางของตัวเอง และหวังว่ามันจะเป็นอาชีพที่ยาวนานมั่นคง”

เหมือนอย่าง สตีฟ คูเปอร์ ที่เพิ่งพาน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ กลับขึ้นมาพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 23 ปี หรืออย่าง ไมเคิล บีล ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งผู้จัดการทีมควีนสปาร์ค เรนเจอร์ส ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หรืออย่าง โรดอลโฟ บอร์เรลล์ ที่ปัจจุบันเป็นมือสองของเป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่แมนเชสเตอร์ ซิตี หรืออย่าง ไมค์ มาร์ช ที่เป็นผู้ช่วยของไรอัน โรว์ ที่เปรสตัน นอร์ธเอนด์ หรืออย่าง เป๊ป ลิจ์นเดอร์ส ที่เป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของลิเวอร์พูลยุคปัจจุบัน ทั้งหมดเติบโตขึ้นมาจากการคุมทีมลิเวอร์พูล ยู-16, ยู-18 หรือ ยู-23

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา

Categories
Special Content

ชีวิตราวหนัง สปอร์ต-ดราม่า ของ “โคลเอ้ เคลลี่” วีรสตรีผู้มอบความสุขให้กับแฟนบอลอังกฤษ

พล็อตแบบนี้ต้องหยิบมาเขียนบทเพื่อสร้างภาพยนตร์สปอร์ต-ดราม่าแนว based on true story กับเรื่องราวของ โคลเอ้ เคลลี่ เด็กหญิงที่ต้องนั่งรถไฟไปกลับสองชั่วโมงเพื่อฝึกซ้อมฟุตบอลที่สโมสรอาร์เซนอล แต่ไม่สามารถเบียดแย่งตำแหน่งในทีมได้ ก่อนย้ายไปแจ้งเกิดกับเอฟเวอร์ตันและแมนฯ ซิตี้

เหตุการณ์สำคัญในอาชีพค้าแข้งเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2021 เอ็นไขว้หน้าเข่าของเธอฉีกถึงขั้นอาจต้องแขวนสตั๊ดด้วยวัยเพียง 23 ปี แต่เธอต่อสู้จนได้เล่นฟุตบอลอีกครั้งในปีต่อมา จากนั้นเพียงสามเดือนเธอกลายเป็นฮีโร่แห่งชาติ เมื่อลงเป็นตัวสำรองและทำประตูชัยให้ทีมชาติอังกฤษครองแชมป์ยูโร 2022 เป็นความสำเร็จระดับเมเจอร์รายการแรกของอังกฤษนับจากเวิลด์ คัพ 1966

แฟนบอลทั่วประเทศอังกฤษไม่เคยดีใจบ้าคลั่งนับตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 1966 เมื่อทีมชาติอังกฤษมีชัยเหนือทีมชาติเยอรมนี 4-2 ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลชาย เวิลด์ คัพ ครั้งที่ 8 ที่เวมบลีย์ สเตเดี้ยม ในกรุงลอนดอน 

56 ปีต่อมาเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ณ เวมบลีย์ สเตเดี้ยม ที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่แทนสนามเดิมที่มีหอคอยคู่เป็นเอกลักษณ์ อังกฤษและเยอรมนีโคจรมาพบกันในนัดชิงชนะเลิศระดับเมเจอร์อีกครั้ง และเป็นอีกครั้งที่ชัยชนะตกเป็นของทีมสิงโตคำราม ซึ่งผงาดครองแชมป์ฟุตบอลหญิง ยูโร 2022 แฟนบอลทั่วประเทศอังกฤษที่จับจ้องการถ่ายทอดสดร่วมกับคนดูในสนาม87,192 คน ได้ฉลองชัยแบบบ้าคลั่งอีกครั้ง

เอลลา ทูเน่ แนวรุกจากแมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งเพิ่งถูกเปลี่ยนลงมาแค่หกนาที ยิงให้อังกฤษขึ้นนำ 1-0 ในนาทีที่ 62 ก่อนที่ ลินา มากูลล์ ตีเสมอให้เยอรมนีจากระยะเผาขนในนาทีที่ 79 ทำให้เกมต้องขยายออกไปอีกครึ่งชั่วโมง และก็เป็น โคลเอ้ เคลลี่กองหน้าจากแมนฯ ซิตี้ ซึ่งลงสนามในนาทีที่ 64 เป็นผู้ส่งลูกหนังซุกก้นตาข่ายเป็นประตูชัยในนาทีที่ 110 ให้อังกฤษมีชัยเหนืออดีตแชมป์เก้าสมัยไปอย่างเร้าใจ 2-1 ครองแชมป์ฟุตบอลหญิงแห่งชาติทวีปยุโรปเป็นสมัยแรก

เชื่อว่าภาพเคลลี่ กองหน้าวัย 24 ปี ถอดเสื้อสีขาวออกมาชูขึ้นไปหมุนสะบัดเหนือศีรษะหลังทำสกอร์สำคัญ จะกลายเป็นภาพแห่งความทรงจำไปอีกนานเช่นเดียวกับหลายภาพในประวัติศาสตร์ลูกหนังเมืองผู้ดี

“ยูโร 2022” เป็นแรงพลักดันให้เธอกลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้ง

ซาริน่า เวคแมน โค้ชทีมชาติอังกฤษ ใส่ชื่อ โคลเอ้ เคลลี่ เป็นหนึ่งในนางสิงห์ชุดยูโร 2022 ทั้งที่เธอเพิ่งกลับมาเล่นฟุตบอลในเดือนเมษายนที่ผ่านมาหลังหายหน้าไปจากฟลอร์หญ้าเกือบหนึ่งปีเพราะเอ็นไขว้หน้าเข่าข้างขวาฉีกในเดือนพฤษภาคม2021 ซึ่งเกือบทำให้เธอต้องอำลาวงการฟุตบอลหญิง และพลาดเดินทางไปแข่งขันโอลิมปิก เกมส์ ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทีมสหราชอาณาจักรเข้าไปถึงรอบแปดทีมสุดท้ายและพ่ายต่อออสเตรเลีย

เคลลี่เคยให้สัมภาษณ์ว่า สิ่งเดียวที่ทำให้เธอกัดฟันต่อสู้เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและฟื้นฟูสภาพร่างกายก็คือ การได้เป็นส่วนหนึ่งของศึกลูกหนังยูโร 2022

“มันเป็นเรื่องสาหัสสากรรจ์มากแต่ฉันตระหนักดีว่าต้องทุ่มเทฟื้นฟูร่างกายเท่านั้นที่จะทำให้ฉันได้รับประโยชน์จากมัน ฉันมองเป้าหมายหนึ่งเดียวคือยูโร นั่นจึงทำให้ฉันผ่านชีวิตแต่ละวันไปได้”

“มันดูเหมือนเป็นเวลาที่ยาวนานมากแต่ฉันก็มาอยู่ที่นี่ได้แล้ว มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากแต่เมื่อสามารถกลับลงสนาม ฉันก็ลืมเรื่องพวกนั้นไปหมด ฉันขอบคุณที่ได้โอกาสลงมาอยู่ในสนามเพิ่มขึ้นอีกแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี”

บางทียูโร 2022 เป็นเพียงเป้าหมายที่จับต้องได้เพื่อพลักดันให้เธอผ่านเวลาที่ยากลำบาก แต่ความปรารถนานั้นอาจมีพื้นฐานมาจากความรักกีฬาฟุตบอลอย่างแรงกล้าของเธอ

จากเด็กหญิงที่เล่นฟุตบอลกับพี่ชายห้าคน สู่วีรสตรีแห่งชาติ

โคลเอ้ แม็กกี้ เคลลี่ เกิดเมื่อวันที่ 15 มกราคม 1998 ที่มหานครลอนดอน เธอเคยนั่งรถเมล์สาย 92 จากบ้านในเออลิ่งไปเวมบลีย์เพียงเพื่อซื้อโปรแกรมการแข่งขันเอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศนัดหนึ่ง และต้องเดินทางไปกลับสองชั่วโมงด้วยรถไฟสมัยที่ฝึกซ้อมกับอะคาเดมี่ของอาร์เซนอล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งลอนดอนตอนเหนือ

เคลลี่เป็นลูกคนสุดท้องของครอบครัวที่มีลูกๆเจ็ดคน เธอเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่เด็กกับพี่ชายห้าคน เคยฝึกฟุตบอลที่อะคาเดมี่ของทีมควีนสปาร์ค เรนเจอร์ส ก่อนย้ายมาอยู่อาร์เซนอลระหว่างปี 2015 – 2017 แต่ไม่สามารถเบียดแทรกเป็นส่วนหนึ่งของทีมได้

23 กรกฎาคม 2015 ในวัย 17 ปี เคลลี่ลงสนามนัดแรกให้ทีมชุดใหญ่ของอาร์เซนอลในการแข่งขันคอนติเนนตัล คัพ กับวัตฟอร์ด และทำประตูแรกได้หลังเกมเริ่มไปได้แค่ 22 นาที ก่อนมีโอกาสเซ็นสัญญาอาชีพระดับซีนียร์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2016อย่างไรก็ตามหลังทำ 5 ประตูจาก 16 นัด อาร์เซนอลอนุญาตให้เธอย้ายไปเล่นให้ทีมเอฟเวอร์ตันด้วยสัญญายืมตัวสามเดือนในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน เคลลี่ลงตัวจริง 9 นัดทำ 2 ประตูให้กับทีมท็อฟฟี่สีน้ำเงิน ซึ่งเล่นใน เอฟเอ วีเมนส์ ซูเปอร์ลีก 2(เอฟเอ ดับเบิลยูเอสแอล 2)

หลังจากกลับมาร่วมทีมอาร์เซนอลในเดือนตุลาคม เคลลี่ลงสนามอีกสามนัดใน เอฟเอ ดับเบิลยูเอสแอล 1 ประจำปี 2016 ซึ่งทีมปืนใหญ่จบด้วยอันดับสาม มีสถิติชนะ 10 นัด เสมอ 4 นัด แพ้ 2 นัด และครองแชมป์ เอฟเอ วีเมนส์ คัพ ปี 2016 ด้วยชัยชนะเหนือเชลซี 1-0 เคลลี่ไม่ได้ลงสนามแม้มีชื่ออยู่ในทีม

เดือนกุมภาพันธ์ 2017 เคลลี่เซ็นสัญญาฉบับใหม่กับอาร์เซนอล มีโอกาสลงสนาม 7 นัด ทำ 2 ประตู ก่อนถูกเอฟเวอร์ตันยืมใช้งานอีกครั้งในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน แต่ครั้งนี้ ทีมท็อฟฟี่สีน้ำเงินเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่น เอฟเอ ดับเบิลยูเอสแอล 1 แล้ว เคลลี่มีผลงาน 4 นัด 2 ประตู เอฟเวอร์ตันประทับใจจึงขอซื้อขาดจากอาร์เซนอลในเดือนมกราคม 2018 มีการเซ็นสัญญาผูกมัดถึงซัมเมอร์ปี 2020

ซีซั่น 2017-18 เคลลี่ทำ 2 ประตูจาก 15 นัด เอฟเวอร์ตันจบอันดับเก้า ส่วนซีซั่น 2018-19 เคลลี่มีปัญหาบาดเจ็บข้อเท้า แต่ยังทำ 1 ประตูจาก 11 นัด เอฟเวอร์ตันจบอันดับสิบ

เคลลี่เข้ารับการผ่าตัดในปี 2019 เธอกลับมาด้วยฟอร์มแข็งแกร่งกว่าเดิม ทะลวงตาข่ายได้มากถึง 9 ประตูจาก 12 นัด และเอฟเวอร์ตันจบอันดับหกของ เอฟเอ ดับเบิลยูเอสแอล ซีซั่น 2019-20 ซึ่งเธอยังได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของลีกประจำเดือนกันยายน 2019

เดือนมกราคม 2020 เคลลี่ทำแฮททริกเหมาประตูพาเอฟเวอร์ตันชนะเรดดิ้ง 3-1 แต่กลางปีนั้นเอง เคลลี่โบกมือลากูดิสันปาร์คหลังจากปฏิเสธต่อสัญญาใหม่กับเอฟเวอร์ตัน และวันที่ 3 กรกฎาคม แมนฯ ซิตี้ ประกาศเซ็นสัญญาสองปีกับเคลลี่ แต่แล้วก่อนปิดซีซั่น เธอได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงที่เอ็นไขว้หน้าเข่าข้างขวาเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2021 หลังจากเปิดตัวได้สวยในฤดูกาลแรกกับทีมเรือใบสีฟ้า ทำ 16 ประตูจาก 34 นัด, ครองแชมป์เอฟเอ คัพ, ได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสร และติดทีมรวมดาราประจำปีของ พีเอฟเอ

กับทีมชาติอังกฤษ เคลลี่เคยเล่นให้ทีมชุด ยู-17, ยู-19 และ ยู-20 ซึ่งอยู่ในทีมที่ครองอันดับสาม วีเมนส์ เวิลด์คัพ ยู-20 เมื่อปี 2018 เธอติดทีมชาติชุดใหญ่นัดแรกในเดือนพฤศจิกายน 2018 ลงเป็นตัวสำรองในเกมกระชับมิตรที่ชนะออสเตรีย 3-0 

เคลลี่ถูกเรียกตัวร่วมทีมชาคิอังกฤษชุด ยูโร 2022 ทั้งที่ลงเล่นในซีซั่น 2021-22 ให้แมนฯ ซิตี้ ในเกมลีกแค่นัดเดียวและเกมเอฟเอ คัพ อีกหนึ่งนัด ซึ่งเธอทำได้ 1 ประตู เคลลี่เล่นให้ทีมสิงโตคำรามทั้งสิ้น 16 นัด ทำได้ 2 ประตู ซึ่งประตูล่าสุดก็คือ ประตูชัยนัดประวัติศาสตร์นั้นเอง

ชิ่งสัมภาษณ์หลังเกม ไม่พลาดซีนร้องเพลงฉลองแชมป์กับเพื่อน

หลังพาทีมชนะเลิศยูโร 2022 โคลเอ้ เคลลี่ ย้อนพูดถึงช่วงเวลาที่ต้องฟื้นฟูร่างกายเกือบหนึ่งปีเต็มว่า “ฉันขอบคุณทุกคนที่มีส่วนในการกายภาพบำบัดครั้งนั้น ฉันเชื่อเสมอว่าจะได้มาอยู่ที่นี่ แต่ได้มาอยู่ที่นี่แล้วยิงประตูชัยด้วยนี่ ว้าววว….”

“ทีมเราเป็นกลุ่มเด็กหญิงที่เหลือเชื่อมาก ผู้จัดการทีมสุดพิเศษ สตาฟฟ์โค้ชก็เป็นกลุ่มที่วิเศษมาก ฉันขอบคุณทุกคน นี่เป็นความฝันที่เป็นจริงในฐานะเด็กหญิงที่เคยเฝ้าตามการแข่งขันฟุตบอลหญิง มันเหลือเชื่อ”

ก่อนที่จะพูดอะไรมากกว่านี้หรือเปิดโอกาสให้นักข่าวถามคำถามข้อต่อไป โคลเอ้ กองหน้าวัย 24 ปี ก็ผละไปจากการให้สัมภาษณ์ดื้อๆ พร้อมร้องเพลง “สวีท แคโรลีน” ที่กำลังเปิดกระหึ่มทั่วทั้งสนาม และวิ่งไปร่วมกระโดดโลดเต้นฉลองชัยชนะกับเพื่อนร่วมทีม

ต่อมาแฟนบอลทวีตเล่าถึงฉากนั้นของโคลเอ้ว่า “โคลเอ้ เคลลี่ วิ่งออกไปจากกลางวงสัมภาษณ์พร้อมไมโครโฟนในมือเพราะไม่อยากพลาดร่วมร้องเพลง สวีท แคโรลีน กับเพื่อน ๆ”

“โคลเอ้ เคลลี่ ยกเลิกการให้สัมภาษณ์หลังเกมซะอย่างนั้นเพื่อไปร้องเพลง สวีท แคโรลีน กับสาว ๆ บา บา บาส โดยมีไมค์ติดมือไปด้วย มันเพอร์เฟ็คมากเลย”

“ว่ากันตามจริง บีบีซี ควรหยุดช่วงสัมภาษณ์ทันทีที่ทางสนามเปิดเพลง สวีท แคโรลีน”

หลังเพลงจบ โคลเอ้ก็กลับมาพูดคุยกับนักข่าวต่อ “ทุกคนในครอบครัวของฉันอยู่ในกลุ่มคนดู แม่ฉัน พี่ชายทุกคน พี่สาว หลานๆด้วย ทุกคนเลย ตอนนี้ฉันแค่ต้องการฉลองชัยชนะ”

คนเก่งทำอะไรก็สวย !!!

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Editor)

Categories
Special Content

หวังน้อยได้ไง? “หงส์” กับขุมกำลังที่แข็งแกร่งเพียบพร้อมกว่าเดิม

ถึงแม้เยอร์เกน คล็อปป์ จะถ่อมตัวยกให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นทีมเต็งแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2022-23 และยอมรับว่าการช่วงชิงโควต้าแชมเปี้ยนส์ลีกเป็นภารกิจที่ยากลำบากขึ้น แต่กูรูลูกหนังยังมองว่า ขุมกำลังตอนนี้ของลิเวอร์พูลแข็งแกร่งและเพียบพร้อมกว่าเดิม

แม้ยังเหลือเวลาร่วมเดือนก่อนที่ตลาดซื้อขายรอบนี้จะปิดทำการ แต่ภารกิจของลิเวอร์พูลจบลงแล้วหลังจากได้นักเตะครบสามคนตามเป้าหมายได้แก่ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ แนวรุกดาวรุ่งจากฟูแล่ม, ดาร์วิน นูนเญซ กองหน้าค่าตัวแพงจากเบนฟิกา และ คัลวิน แรมเซย์  แบ็คขวาอนาคตไกลจากอเบอร์ดีน เยอร์เกน คล็อปป์ กล่าวกับนักข่าวว่ามีสองเงื่อนไขเท่านั้นที่ทำให้ลิเวอร์พูลต้องกลับเข้าตลาด 

“ถ้าไม่มีใครอยากย้ายทีม งานเราก็จบ และอีกอย่างถ้าไม่มีใครบาดเจ็บรุนแรงซึ่งเราหวังให้เป็นเช่นนั้น แฟนบอลลิเวอร์พูลสามารถเริ่มโฟกัสกับเรื่องอื่นไปได้เลย”

หากถามใจเหล่าเดอะค็อป หนึ่งในเรื่องสำคัญที่พวกเขาให้ความสนใจต้องเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก ซึ่งลิเวอร์พูลเป็นทีมเดียวที่สามารถขวางทางไม่ให้แมนฯ ซิตี้ ผงาดชนะเลิศห้าสมัยติดต่อกันจากความสำเร็จของทีมหงส์แดงในซีซั่น 2019-20 ที่คั่นกลางอยู่ระหว่างแชมป์สองสมัยรวดของทีมเรือใบสีฟ้า และถ้าลูกทีมของคล็อปป์ทำสำเร็จ พวกเขาจะดับฝันแชมป์สามสมัยติดต่อกันของแมนฯ ซิตี้ เป็นครั้งที่สอง

อาจเป็นสงครามจิตวิทยาเพื่อโยนความกดดันก็ได้เมื่อคล็อปป์ยกให้แมนฯ ซิตี้ เป็นตัวเต็งยืนบนบัลลังก์สูงสุดของลีกลูกหนังอังกฤษ

“ทุกคนต่างต้องการชนะพรีเมียร์ลีกแต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นทีมไหน ดูเหมือนซิตี้จะเป็นแชมป์ในบั้นปลาย ที่ผ่านมาถ้าเราไม่ได้เป็นแชมป์ พวกเขาจะชนะเลิศห้าสมัยติดต่อกันเลย ซึ่งมันเป็นเรื่องบ้าจริงๆเลย”

“สำหรับพวกเราแล้วยังคาดหวังที่จะเล่นให้เป็นซีซั่นที่ดีที่สุด แล้วมาดูกันว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อพวกเราบีบเค้นสิ่งนั้นออกมาได้ เราเฝ้ารอที่จะได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจริง ๆ”

คล็อปป์ยังให้ความเห็นด้วยว่าก่อนจะหันไปท้าทายความยิ่งใหญ่ของแมนฯ ซิตี้ เขาต้องทำให้มั่นใจว่าพาทีมติดท็อป-4 ให้ได้เสียก่อน

“สำหรับฟุตบอลลีกแล้ว เป้าหมายหลักของพวกเราคือเข้าไปเล่นแชมเปียนส์ลีกให้ได้ เท่านี้ก็เป็นงานที่ยากลำบากพอแรงแล้ว พอคุณบรรลุภารกิจนั้นได้ก็ถึงเวลาที่จะต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งแชมป์ แต่ส่วนใหญ่แล้วในแต่ละซีซั่น เราจะต่อสู้เพื่อสิทธิแข่งขันแชมเปี้ยนส์ลีก”

“พอผ่านเข้ารอบติดต่อกัน 4-5 ปี ผู้คนจะไม่ค่อยตื่นเต้นเหมือนปีแรกที่ทำได้สำเร็จหลังจากว่างเว้นมาระยะเวลาหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นนี่เป็นงานหลักที่เรายังต้องทำ โดยเฉพาะปีนี้ที่มีแข่งขันดุเดือดมาก”

ฤดูกาลที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลได้ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกถึงนัดสุดท้าย รวมถึงเข้ารอบชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก, เอฟเอ คัพ และลีก คัพ แม้เพิ่งเสีย ซาดิโอ มาเน หนึ่งในสามประสานกองหน้าคนสำคัญ แต่ผลกระทบคงไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับ จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม ที่ย้ายออกไปเมื่อหนึ่งปีที่แล้วเพราะลิเวอร์พูลเสริมกองหน้าทดแทนได้ดีระดับหนึ่ง ไม่เพียงนูนเญซแต่เป็น หลุยซ์ ดิอาซ ซึ่งเล่นตำแหน่งตรงกับมาเนมากกว่า 

และหากมองภาพรวมขุมกำลังส่วนต่างๆที่จะลงสมรภูมิฤดูกาล 2022-23 แจ็ค เชียร์ ผู้ช่วยบรรณธิการแห่งสำนัก This is Anfield หนึ่งในกูรูลูกหนังเมืองผู้ดี ได้เคาะผลการประมวลข้อมูลจนมีข้อสรุปว่า นักเตะลิเวอร์พูลชุดนี้มีความแข็งแกร่งมากกว่าซีซั่นที่แล้ว

ผู้รักษาประตู-กองหลัง : ตัวเลือกมากพอให้ใช้งาน

แจ็ค เชียร์ มองว่า สัญญาใหม่ที่ทำกับ โจ โกเมซ อาจเป็นการเจรจาทางธุรกิจฟุตบอลที่ได้รับการประเมินค่าต่ำกว่าความเป็นจริงมากที่สุดของลิเวอร์พูลในซัมเมอร์ปีนี้

หลังจากไม่ค่อยได้ลงสนามเท่าที่ควรในซีซั่นที่แล้ว หลายคนเชื่อว่าเซ็นเตอร์แบ็ควัย 25 ปี น่าจะย้ายไปอยู่ทีมอื่นเพื่อเพิ่มโอกาสติดทีมชาติอังกฤษลุยเวิลด์คัพปลายปีที่กาตาร์ แต่สโมสรกลับโน้มน้าวจนโกเมซต่อสัญญาอยู่แอนฟิลด์เพิ่มอีกห้าปี ซึ่งเป็นหลักประกันให้ลิเวอร์พูลได้ใช้งานโกเมซในช่วงพีคของอาชีพค้าแข้ง

ซีซั่นใหม่ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ยังสามารถยืนเป็นเซ็นเตอร์แบ็คตัวหลักแม้อายุ 31 ปี เขาและโกเมซน่าจะมีสภาพร่างกายดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา ขณะที่ อิบราฮิมา โคนาเต ในวัย 23 ปี ได้รับการขัดเกลาให้ฉายแววเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน โจเอล มาติป ที่พยายามเอาชนะอาการบาดเจ็บเพื่อเปล่งประกายความรุ่งโรจน์กับสีเสื้อของเดอะ เรดส์ 

ทั้งหมดต่างต้องเฟ้นฟอร์มที่ดีที่สุดของตัวเองออกมาเพื่อเป็นปราการหลังคู่กับฟาน ไดจ์ค ขณะที่ เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก และ แนท ฟิลลิปส์ มีโอกาสรออยู่ในฐานะเซ็นเตอร์แบ็คตัวเลือกอันดับห้า ส่วนข้างหลังคู่ปราการหลัง อลิสซอน ยังเป็นผู้รักษาประตูที่สร้างความอุ่นใจได้เช่นเดิมแถมมี ควีวีน เคลเลเฮอร์ นายทวารทีมชาติไอร์แลนด์ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จซีซั่นที่ผ่านมาของลิเวอร์พูล

ฟูลแบ็คเป็นตำแหน่งที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด คัลวิน แรมเซย์ แบ็คขวาวัย 18 ปี เข้ามาแทน เนโก วิลเลี่ยส์ ที่ย้ายออกไปร่วมทีมน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ด้วยราคา 17 ล้านปอนด์ เข้ามากดดันให้ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ยกระดับฝีเท้าให้สูงขึ้นเพื่อการันตีตำแหน่งตัวจริง ขณะที่ คอนสแตนตินอส ซิมิกาส ทำหน้าที่เดียวกันกับ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ที่อีกฝั่งของสนาม

ผู้รักษาประตู : อลิสซอน, เคลเลเฮอร์ / แบ็คขวา : อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, แรมเซย์, มิลเนอร์ / เซ็นเตอร์แบ็คขวา : โคนาเต, มาติป / เซ็นเตอร์แบ็คซ้าย : ฟาน ไดจ์ค, โกเมซ / แบ็คซ้าย : โรเบิร์ตสัน, ซิมิกาส

กองกลาง : คาร์วัลโญทำให้อ็อปชั่นตัวเลือกเพิ่มขึ้น

น่าสนใจทีเดียวว่า คล็อปป์จะใช้ประโยชน์อย่างไรกับ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ มิดฟิลด์โปรตุกีสวัย 19 ปี ซึ่งเล่นตำแหน่งเบอร์ 10ตามหมากเกม 4-2-3-1 ที่ฟูแล่ม กุนซือชาวเยอรมันยังไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนในปรีซีซั่นแต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ คาร์วัลโญช่วยให้คล็อปป์มีอ็อปชั่นมากขึ้นและวางแผนการเล่นได้ยืดหยุ่นขึ้น

นัดแรกที่แพ้แมนฯ ยูไนเต็ด 0-4 ที่กรุงเทพฯ คาร์วัลโญเล่นมิดฟิลด์กลางสนามในฟอร์แมท 4-3-3 สูตรที่คุ้นตาแฟนบอลหงส์แดง แต่เป็นตำแหน่งที่ ฮาร์วีย์ เอลเลียต อดีตเด็กอะคาเดมี่ของฟูแลม ครอบครองอยู่ โดยนัดนี้ เอลเลียตขยับขึ้นไปเล่นด้านขวาของฟรอนท์ทรี แถมฉายแววได้ดีกว่าที่หลายคนคิด

ครึ่งหลังของนัดสองที่ชนะคริสตัล พาเลซ 2-0 ที่สิงคโปร์ เอลเลียตกลับไปทำหน้าที่กองกลาง ขณะที่คาร์วัลโญถ่างตัวเองออกไปบริเวณริมสนาม แม้มีความเห็นมากมายให้ลิเวอร์พูลเสริมผู้เล่นมิดฟิลด์แต่คล็อปป์ยังมั่นใจว่าขุมกำลังตอนนี้ยังเอาอยู่ อย่างน้อยก็หนึ่งฤดูกาล ฟาบินโญ, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ธีอาโก ยังจะเป็นตัวเลือกอันดับต้นเหมือนซีซั่นที่แล้ว ขณะที่เอลเลียตน่าจะได้รับโอกาสมากขึ้น

เคอร์ติส โจนส์ ยังไม่สามารถแสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมาในสนาม นาบี เกอิตา และ อเล็กซ์ ออกเลด-แชมเบอร์เลน เป็นอ็อปชั่นที่ยอดเยี่ยมเหนือกว่ามาตรฐานตัวสำรอง ส่วน เจมส์ มิลเนอร์ ยังเป็นลูกทีมที่ไว้ใจได้ของคล็อปป์

มิดฟิลด์กลางสนาม : ฟาบินโญ, เฮนเดอร์สัน, มิลเนอร์ / มิดฟิลด์ขวา : เฮนเดอร์สัน, เอลเลียต, ออกเลต-แชมเบอร์เลน /มิดฟิลด์ซ้าย : ธีอาโก, เกอิตา, โจนส์, คัลวาโญ

กองหน้า : ขุมกำลังแห่งอนาคตที่สดใสขึ้นเรื่อย ๆ

มาเนย้ายไปสวมยูนิฟอร์มของบาเยิร์น มิวนิค ไม่มีอิมแพ็คต่อกองหน้าหงส์แดงมากเท่าที่หลายคนวิตกเพราะลิเวอร์พูลมีการเตรียมแผนรองรับไว้เรียบร้อยแล้ว แม้ ดาร์วิน นูนเญซ ถูกมองว่าเป็นคำตอบแต่เมื่อเทียบกับตำแหน่งถนัดคือกองหน้าฝั่งซ้าย หลุยส์ ดิอาซ ซึ่งย้ายมาร่วมทีมในตลาดเดือนมกราคม เป็นตัวตายตัวแทนที่แท้จริงของกองหน้าทีมชาติเซเนกัล แถมพิสูจน์ตัวเองไปแล้วในครึ่งฤดูกาลหลัง

นูนเญซน่าจะเป็นศูนย์หน้าแห่งอนาคตแทน โรแบร์โต เฟียร์มิโน มากกว่าแต่ระหว่างนี้ คล็อปป์ยังมั่นใจว่า ซีซั่นนี้ เฟียร์มิโนจะกลับมาสมบูรณ์เต็มร้อยและยังมีฝีเท้าระดับเวิลด์คลาสเช่นเดิมหลังจากฤดูกาลที่แล้วมีปัญหาบาดเจ็บรบกวน เช่นเดียวกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่นายใหญ่เมืองเบียร์ยังเชื่อว่า ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของสตาร์ทีมชาติอียิปต์กำลังรออยู่เบื้องหน้า ขณะที่ ดิโอโก โชตา กำลังพัฒนาตัวเองและเพิ่มคุณประโยชน์ต่อทีมอย่างช้าๆแต่มั่นคง

ถึงเสียเมเน, ดิวอค โอริกี และ ทาคูมิ มินามิโนะ แต่การเข้ามาของคาร์วัลโญและนูนเญซ สามารถอุดรอยรั่วดังกล่าวได้อย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะคาร์วัลโญ เอื้อประโยชน์ให้คล็อปป์ใช้งานเอลเลียตในตำแหน่งตัวรุกด้านขวาได้มากขึ้นทั้งกองหน้าและกองกลาง

ศูนย์หน้า : นูนเญซ, โซตา, เฟียร์มิโน / กองหน้าขวา : โซลาห์, เอลเลียต, ออกเลด-แชมเบอร์เลน / กองหน้าซ้าย : ดิอาซ, โซตา, คาร์วัลโญ

เสริมมิดฟิลด์กลางสนามยังเป็นภารกิจสำคัญในปีหน้า

แม้คล็อปป์มีขุมกำลังที่แข็งแกร่งอยู่ในมือพร้อมไล่ล่าสี่ถ้วยแชมป์อีกครั้งในฤดูกาลใหม่ แต่กองกลางยังเป็นขุมกำลังที่จะต้องได้รับการเสริมแกร่งมากที่สุดในอีกหนึ่งปีหน้า ปัจจุบันทีมซีเนียร์ของลิเวอร์พูลมีผู้เล่นกองกลางอยู่แปดคน หากรวมคาร์วัลโญเข้าไปด้วยก็เป็นเก้า ยังไม่รวมนักเตะเยาวชนหรือทีมสำรอง

เฮนเดอร์สัน, มิลเนอร์ และ ธีอาโก ต่างมีอายุทะลุหลักสามสิบไปแล้ว ทั้งสามมีโอกาสบาดเจ็บวันใดวันหนึ่งในเกมแข่งขันที่มากและดุเดือด ชื่อของ จู้ด เบลลิงแฮม มิดฟิลด์ดาวรุ่งทีมชาติอังกฤษของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จึงถูกยกขึ้นมาเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งในตลาดซัมเมอร์ปีหน้า แต่ซีซั่นนี้ โจนส์, เอลเลียต และคาร์วัลโญ จึงถูกคาดหวังให้ยกระดับผลงานมากขึ้นกว่าเดิม

ซีซั่นที่แล้ว โจนส์เล่นเกมลีก 856 นาที เอลเลียตลงสัมผัสสนาม 346 นาที ซึ่งเพิ่มมากกว่านี้แน่หากไม่บาดเจ็บ ขณะที่คาร์วัลโญเล่นให้ฟูแลมมากกว่า 2,800 นาที ในบรรดาสามคนนี้ โจนส์ ซึ่งอายุเพียง 21 ปีแต่แก่กว่าเอลเลียตและคาร์วัลโญ มีประสบการณ์มากที่สุดและมีโอกาสได้รับการพลักดันจากคล็อปป์มากที่สุดเช่นกัน แต่ถือเป็นโชคดีของว่าที่ตัวตายตัวแทนเหล่านี้ที่จะได้รับโอกาสมากขึ้นในฤดูกาลใหม่เมื่อพรีเมียร์ลีกแก้ไขกฎให้เปลี่ยนตัวสำรองลงสนามได้ถึงห้าคน คล็อปป์เคยให้สัมภาษณ์ถึงทั้งสามว่า

โจนส์ : “ผมรู้จักเขามานานแล้วและเป็นหนึ่งในแฟนตัวจริงของเขา ทักษะการเล่นของเขายังต้องเรียนรู้และทำงานหนัก ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทำอยู่ทุกวัน บางคนต้องการการพลักดันซึ่งเคอร์ติสดูเหมือนเป็นคนแบบนั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับการตอบสนองของเขาว่าเป็นอย่างไร”

เอลเลียต : “ฮาร์วีย์เป็นผู้เล่นที่ดีจริงๆไม่ต้องสงสัยเลย แต่ที่ผ่านมายังไม่ใช่ซีซั่นที่ดีที่สุดของเขาแน่นอนเพราะเขาเพิ่งได้เล่นแค่ 20 นัด แต่เชื่อว่าเขาจะเริ่มต้นได้ดีอีกครั้งในซีซั่นใหม่ ตอนนี้เราก็ต้องทำงานร่วมกับเขาต่อไปเช่นเดียวกับคนอื่น”

คาร์วัลโญ : “เป็นทั้งโปรเจ็คต์ระยะสั้นและยาว เขาสามารถลงตัวจริงได้เลยพรุ่งนี้ แต่ยังต้องใช้เวลาปรับตัว เขาไม่มีตำแหน่งตายตัว บางทีอาจเป็นปีก เบอร์แปด เบอร์สิบ หรือเบอร์เก้าหลอกก็ได้หากเพิ่มกล้ามเนื้อขึ้นมาอีก”

ด้วยขุมกำลังของลิเวอร์พูลที่คล็อปป์มีอยู่ ฤดูกาล 2022-23 ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นสำหรับบรรดาเดอะ ค็อป ทั่วโลกโดยแท้จริง

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา

Categories
Football Tactics

“ทุ่มบอล” อาวุธลับที่มองไม่เห็นของ “ลิเวอร์พูล” ยุคนายหัวคล็อปป์

ช่วงต้นสัปดาห์ที่ลิเวอร์พูลกลับมาฝึกซ้อมที่แอ็กซ่า เทรนนิ่ง เซ็นเตอร์ หลังจบคิวอุ่นเครื่องสองนัดที่อาเซียน ก่อนจะเดินทางต่อไปเก็บตัวปรีซีซั่นที่เยอรมนีและออสเตรีย มีข่าวเล็กๆบนหน้าสื่อไม่กี่สำนักที่ลงข่าวลิเวอร์พูลต่อสัญญาอีกหนึ่งปีกับ โธมัส กรอนเนมาร์ค โค้ชชาวเดนมาร์กวัย 46 ปี เจ้าของสถิติโลกทุ่มบอลไกลระยะ 51.33 เมตร

ซีซั่น 2022-23 เป็นปีที่ 5 ที่กรอนเนมาร์คทำงานให้กับลิเวอร์พูลในตำแหน่ง “โธรว์-อิน โค้ช” ที่รับผิดชอบการทุ่มบอลเขาทำงานแบบพาร์ทไทม์จึงไม่มีชื่ออยู่ในสตาฟฟ์โค้ช แต่ภารกิจของอดีตนักกรีฑาและบ๊อบสเลด (เลื่อนน้ำแข็ง) ทีมชาติเดนมาร์กเปรียบเสมือนปิดทองหลังพระในความสำเร็จของทีมหงส์แดงยุคเยอร์เกน คล็อปป์

ถ้าอยากรู้ว่าผลงานของกรอนเนมาร์คเป็นอย่างไรบนสนามแข่งขัน ให้สังเกตการทุ่มบอลของศิษย์เอกสามคนได้แก่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, แอนดี้ โรเบิร์ตสัน และ โจ โกเมซ

เมื่อวันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา ขณะที่นักเตะลิเวอร์พูล 15 คนกำลังฝึกซ้อม นักข่าวเห็นกรอนเนมาร์คยืนอยู่กับคล็อปป์และดร.อันเดรียส ชลัมแบร์เกอร์ หัวหน้าฝ่ายฟื้นฟูสมรรถภาพ ไม่กี่ชั่วโมงต่อมากรอนเนมาร์คได้ทวีตยืนยันว่าเขาได้เซ็นสัญญาหนึ่งปีกับลิเวอร์พูล

“ผมภูมิใจที่จะบอกว่าได้ต่อสัญญากับลิเวอร์พูลอีกหนึ่งปีเป็นซีซั่นที่ห้าในฐานะโค้ชทุ่มบอล รวมถึงสโมสรฟุตบอลอาชีพอีกสามทีม ผมเริ่มทึ่งกับการทุ่มบอลหลังได้เห็นญาติๆที่เป็นพี่ใหญ่ของผมทุ่มบอลไกลช่วงกลางทศวรรษ 1980”

กรอนเนมาร์คไม่ได้ระบุชื่ออีกสามทีมที่เขาต่อสัญญาแต่ที่ผ่านมา เขาทำงานฟรีแลนซ์ให้กับ อาแจ็กซ์, ไลป์ซิก, เกนท์, แอตแลนตา ยูไนเต็ด และมิดทีลแลนด์

 “คล็อปป์” ยังงงเมื่อรู้ว่าโลกลูกหนังมีอาชีพโค้ชทุ่มบอล

โธมัส กรอนเนมาร์ค เริ่มเข้ามาทำงานในแอนฟิลด์เมื่อเดือนกันยายน 2018 เยอร์เกน คล็อปป์ ซึ่งขณะนั้นคุมทีมหงส์แดงมาแล้วสามซีซั่นเต็ม เคยให้สัมภาษณ์ว่า “ด้วยความสัตย์จริง ผมไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับโค้ชทุ่มบอลมาก่อน แต่พอรู้เรื่องราวของโธมัส ผมคิดทันทีว่าต้องเจอตัวเขาให้ได้ ซึ่งหลังได้คุยกันแล้ว มันร้อยเปอร์เซ็นต์เลยที่ผมต้องจ้างเขาให้มาทำงานกัน”

ทางด้านกรอนเนมาร์คเล่าถึงเหตุการณ์สี่ปีที่แล้วว่า “เมื่อเดือนกรกฎาคม 2018 ผมได้รับข้อความเสียง พอเปิดฟังในรถจึงรู้ว่าเป็นเยอร์เกน คล็อปป์ ผมถึงกับทรุดจมที่นั่งเมื่อได้ยินเสียงเขา”

“คล็อปป์บอกว่า สโมสรมีช่วงเวลาที่ดีในซีซั่น 2017-18 อันดับสี่พรีเมียร์ลีกและเข้าชิงแชมเปี้ยนส์ลีก (แพ้เรอัล มาดริด 1-3) แต่พวกเขาเสียบอลจากการทุ่มบ่อยมาก ตอนนั้นผมรับงานทีมอาชีพแปดแห่งทั่วโลก ส่วนใหญ่อยากได้การทุ่มไกล แต่ลิเวอร์พูลกับอาแจ็กซ์ชัดเจนว่าทุ่มไกลไม่ใช่แนวทางของพวกเขา ผมจึงโฟกัสเรื่องทุ่มบอลเร็วและฉลาดซึ่งเป็นเทคนิคที่ผมเริ่มทำงานประมาณปี 2007 ประเด็นหลักอยู่ที่การครองบอล เราจะรักษาบอลอย่างไรเมื่อต้องทุ่มบอลขณะถูกกดดัน เราจะสร้างโอกาสและทำประตูอย่างไรจากสถานการณ์ทุ่มบอล”

ถึงแม้กรอนเนมาร์คเป็นเจ้าของสถิติโลกทุ่มบอลไกลแต่ คล็อปป์บอกว่าระยะทางไม่ใช่เหตุผลหลักที่เขาสนใจโค้ชเมืองโคนมรายนี้

“หลังจากโธมัสเข้ามา การทุ่มบอลของเราได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แต่ไม่ใช่อย่างที่คนส่วนใหญ่คิดกันว่าเป็นเรื่องทุ่มบอลให้ไปไกลๆ ตอนนี้เรามีการทุ่มบอลที่แตกต่างกัน 18 วิธี แน่นอนเราต้องการครองบอลต่อหลังการทุ่มซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ มันไม่สมเหตุสมผลเลยถ้าทุ่มบอลไปแล้ว สถานการณ์จะเป็นแบบ 50-50 (โอกาสครองบอลต่อ) ซึ่งตรงนี้แหละที่พัฒนาการส่งผลอย่างมาก”

เมื่อราวกว่าสิบปีที่แล้ว รอรี่ เดแล็ป มิดฟิลด์ชาวไอริส ซึ่งเล่นให้ทีมสโต๊คระหว่างปี 2007 – 2013 รวมถึงปี 2006 ที่ถูกยืมตัวมาจากซันเดอร์แลนด์ เป็นผู้เล่นที่ขึ้นชื่อเรื่องการทุ่มบอลได้ไกล ซึ่งความสามารถพิเศษนี้มีส่วนช่วยให้ทีมช่างปั้นหม้อขึ้นมาเล่นพรีเมียร์ลีก แต่กรอนเนมาร์คยืนยันว่า เขาไม่ได้เข้ามาทำงานที่แอนฟิลด์เพื่อเปลี่ยนให้ลิเวอร์พูลเป็นแบบสโต๊ค

กรอนเนมาร์คเชื่อมั่นว่าเขาสามารถช่วยลิเวอร์พูลให้มีแต้มต่อพิเศษเพิ่มขึ้นจากการทุ่มบอลซึ่งเฉลี่ยแล้วตกนัดละประมาณ40-50 ครั้ง โค้ชวัย 46 ปี ไม่ได้สอนเพียงเทคนิค “การทุ่มบอลไกล” เท่านั้น แต่รวมถึง “การทุ่มบอลเร็ว” เพื่อนำไปสู่เคาน์เตอร์-แอทแท็ค และ “การทุ่มบอลฉลาด” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อรักษาการครองบอลขณะตกอยู่ในสภาพกดดัน

เทคนิคหลักของกรอนเนมาร์คเปรียบเสมือนสามขาหยั่งของ Marginal Gains ซึ่งเป็นทฤษฏีว่าด้วยการปรับปรุงหรือสร้างความสำเร็จเพียงเล็กน้อยแต่เมื่อเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอก็สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้

“ทักษะนี้สามารถช่วยนำไปสู่การทำสกอร์ แม้กระทั่งช่วยรักษาชีวิตของทีม ผมให้ความสนใจทุกแง่มุม ไม่ใช่เพียงเทคนิคการขว้าง แต่ยังรับบอลอย่างไร วิ่งไปตามทิศทางที่ถูกต้องและสร้างความได้เปรียบ การยืนตำแหน่ง และการสร้างพื้นที่ว่าง”

กรอนเนมาร์คเล่าถึงช่วงที่เริ่มต้นทำงานกับลิเวอร์พูลเมื่อปี 2018 ว่า โจ โกเมซ เป็นผลผลิตที่ออกดอกออกผลคนแรกของเขาที่แอนฟิลด์ เซ็นเตอร์แบ็คชาวอังกฤษเพิ่งย้ายมาจากชาร์ลตันเมื่อสามปีก่อนหน้านี้

“ถ้าเป็นกองหลังคู่แข่งขัน ผมคงไม่อยากอยู่บริเวณพื้นที่ที่โกเมซจะทุ่มเข้าไปหรอก หรือว่ากันตามจริงหากต้องแข่งกับลิเวอร์พูล ผมก็ไม่อยากให้บอลออกนอกสนาม (เพื่อให้ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายทุ่ม) ผมไม่ได้หมายถึงลิเวอร์พูลต้องทุ่มบอลไกลทุกครั้งที่มีโอกาสหรอกนะ แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าเมื่อไรพวกเขาจะทำมัน”

เอียน ไรท์ อดีตศูนย์หน้าอาร์เซนอล เคยให้สัมภาษณ์ว่า “ผมเห็นโจ โกเมซ ทุ่มบอลสวยๆให้ลิเวอร์พูล ซึ่งผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นมาก่อน ดูเหมือนกรอนเนมาร์คคงสอนอะไรบางอย่างให้กับเขา ต้องยอมรับเลยว่าลิเวอร์พูลได้รับประโยชน์จากเรื่องนั้น”

“เทคนิคทุ่มบอล” สร้างประโยชน์ให้ทีมฟุตบอลมากกว่าใครคาดคิด

ก่อนหน้ารับงานที่แอนฟิลด์เมื่อปี 2018 โธมัส กรอนเนมาร์ค เคยเป็นโค้ชทุ่มบอลให้กับ เอฟซี มิดทีลแลนด์ และ เอซี ฮอร์เซนส์ สองสโมสรหัวแถวของลีกเดนมาร์ก โดยซีซั่น 2017-18 มิดทีลแลนด์เพิ่งครองแชมป์เดนิส ซูเปอร์ลีกา สมัยที่สอง ส่วนฮอร์เซนส์ทำ 10 ประตูจากการทุ่มไกลในซีซั่นเดียวกัน ขณะที่ อันเดรียส พูลเซ่น แบ็คซ้ายชาวเดนส์ ซึ่งย้ายจากมิดทีลแลนด์ไปเล่นให้โบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค ในปี 2018 เพิ่มระยะการทุ่มจาก 25 เมตรเป็น 37.9 เมตรหลังได้รับการเทรนจากกรอนเนมาร์ค

“มีคนมากมายที่คิดว่างานผมเป็นเรื่องแค่ทุ่มไกล มิดทีลแลนด์ทำได้มากถึง 35 ประตูในสี่ซีซั่นจากเทคนิคนั้น คุณทำได้ถ้ามีทีมที่ใช่หรือเหมาะกับการทุ่มไกล แต่หลายทีมต้องการความรู้ของผมเพียงเรื่องทุ่มไกล ผมสัมผัสความรู้สึกนั้นได้”

บางทีสกอร์เกิดจากการทุ่มบอลเร็วและฉลาดจริงหรือไม่ เป็นสถานการณ์ที่ระบุชัดเจนได้ยาก แต่กรอนเนมาร์คยังมั่นใจว่า ทักษะทุ่มบอลมีอิทธิพลกับเกมลูกหนังอย่างแน่นอนเพราะมันช่วยให้เกมลื่นไหลและรวดเร็วขึ้น รวมถึงสร้างความสนุกสนานให้กับแฟนบอล

“นอกจากนี้ถ้าครองบอลได้มากขึ้น คุณก็มีโอกาสมากขึ้นที่จะเป็นผู้ชนะการแข่งขัน เช่นเดียวกับลูกเซต-พีชอย่างการเตะมุมและฟรีคิก มันสามารถสร้างความกดดันให้กับทีมคู่แข่งได้เช่นกัน”

อีกด้านหนึ่ง การทุ่มบอลผิดพลาดก็มีผลมากกว่าที่คาดคิด กรอนเนมาร์คกล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “หลายทีมที่เล่นสไตล์โททัล ฟุตบอล อาจเสียบอลเมื่อโดนกดดันขณะทุ่มบอลเข้าสนาม เกมหนึ่งที่เป็นตัวอย่างที่ดีมากคือนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ ลีก ปี 2011 ระหว่างบาร์เซโลนากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด”

“บาร์เซโลนาเล่นฟุตบอลสไตล์ติกี-ตากา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แทบไม่ได้ครองบอลเลยช่วงต้นการแข่งขัน บาร์เซโลนาเป็นฝ่ายนำ 1-0 (เปโดร นาทีที่ 27) แต่แล้ว เอริก อาบีดาล (แบ็คซ้าย) ต้องทุ่มบอลใกล้กรอบเขตโทษตัวเอง เขาทุ่มสั้นด้วยเทคนิคที่แย่ ทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้บอลและอีกห้าวินาทีต่อมา สกอร์ก็เป็น 1-1 (รูนีย์ นาทีที่ 34)” (หมายเหตุ : บาร์เซโลนาเป็นฝ่ายชนะ 3-1)

“ตามปกติจะมีการทุ่มบอลระหว่าง 30-50 ครั้งต่อนัด หากโค้ชคนไหนพูดว่าทีมเขาไม่เห็นต้องทำอะไรกับมันเป็นพิเศษเลย ผมมองว่าเขาเป็นโค้ชที่ขาดความทะเยอทะยานนะ”

“ทุ่มบอล” เป็นเทคนิคพิเศษที่มีความสำคัญต่อฟูลแบ็คและปีก

โธมัส กรอนเนมาร์ค เปิดเผยว่า การทุ่มบอลไกลมีเทคนิคอยู่ 25-30 ลักษณะ เขาจะใช้วิดีโอเพื่อนำมาวิเคราะห์และพัฒนาผู้เล่น ซึ่งเฉลี่ยแล้วจะทุ่มได้ไกลขึ้น 4-8 เมตร นั่นเท่ากับขยายพื้นที่ครอบคลุมถึงสองเท่า

“ลักษณะการทุ่มบอลไกลที่ดี อย่างแรกแน่นอนต้องเป็นระยะทาง แต่ความเร็วและทิศทางพุ่งเป็นแนวราบก็มีความสำคัญเช่นกัน มีหลายทีมที่มีผู้เล่นที่สามารถทุ่มบอลได้ไกลๆ แต่ถ้าสูงเกินไปก็ทำให้ฝ่ายตรงข้ามป้องกันหรือแย่งได้ง่ายขึ้นด้วย ถ้ามองลูกทุ่มที่ดี คุณจะเห็นมันวิ่งไปได้ไกล มีทิศทางเป็นแนวราบ และพุ่งออกไปอย่างแรง”

กรอนเนมาร์คระบุว่า การทุ่มบอลนับเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้เล่นตำแหน่งฟูลแบ็ค

“เป็นเรื่องสำคัญที่แบ็คซ้ายขวาต้องมีความสามารถทุ่มบอลไกล มีความจริงข้อหนึ่งที่ชี้ว่าหากต้องทุ่มบอลภายใต้สถานการณ์กดดัน พวกเขามีโอกาสเสียบอลถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นฟูลแบ็คจำเป็นต้องสามารถทุ่มบอลให้ไกลจากแดนตัวเอง ผลของมันไม่ได้มีแค่รักษาการครอบครองบอลแต่ยังสามารถเคาน์เตอร์แอทแท็คอีกด้วย”

อดีตนักเลื่อนน้ำแข็งทีมชาติเดนมาร์กให้ความเห็นว่า ถ้าเป็นไปได้ผู้เล่นทุกคนควรมีทักษะทุ่มบอลที่ถูกต้อง เพียงแต่ฟูลแบ็คเป็นตำแหน่งที่มีความจำเป็นสูงสุด รองลงมาคือผู้เล่นปีก

“การซ้อมมื้อแรก ผมจะเทรนแบ็คซ้ายขวา 6-10 คน เริ่มจากเซสชั่นพื้นฐาน การเคลื่อนตัว และบันทึกวิดีโอ จากนั้นเป็นการสอนเทคนิคบางอย่าง ผมจะพิจารณานักเตะด้วยสายตาและวิเคราะห์จากวิดีโอ ผมต้องการเห็นตำแหน่งการวางเท้า ระยะระหว่างเท้า การเคลื่อนไหวของเอว หัวไหล่ และการวิ่ง”

แม้กูรูยังมองข้ามความเสียหายจากการทุ่มบอลผิดพลาด

โธมัส กรอนเนมาร์ค เล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นอาชีพพิเศษนี้ว่า “ผมเริ่มต้นเมื่อปี 2004 ใครๆก็หัวเราะไอเดียการเป็นโค้ชทุ่มบอลของผม มันคงดูประหลาดเกินไปนั่นแหละที่มีคนลุ่มหลงการทุ่มบอล”

“ฟุตบอลกำเนิดขึ้นมาสัก 140 ปี ตอนนี้ผมอายุสี่สิบกว่าแล้วและแทบไม่เคยได้ยินใครพูดคุยเรื่องทุ่มบอลอย่างเป็นกิจลักษณะ คุณดูบอลทางทีวีและคงเคยเห็นทีมที่เสียบอลจากการทุ่ม มันเกิดขึ้นบ่อยแต่คอมเมนเตเตอร์กลับไม่พูดอะไร แต่ถ้าหลังจากนั้นไม่กี่วินาที นักเตะเกิดจ่ายบอลพลาด พวกเขาจะพูดว่า ‘โอ้! นั่นจ่ายบอลแย่นะ’ และถ้าคนนั้นทำพลาดอีก ก็จะถูกมองว่าวันนี้เขาเล่นไม่ดี แต่ถ้าผิดซ้ำครั้งที่สาม จะโดนวิจารณ์ว่าควรถูกเปลี่ยนตัวออก นี่แหละวัฒนธรรมฟุตบอล ซึ่งมุมมองของผมว่ามันแปลกอย่างสิ้นเชิง”

เชื่อว่าหลังอ่านบทความนี้จบลง คุณจะสังเกตการทุ่มบอลในสนามละเอียดลึกซึ้งขึ้น และเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อการทุ่มบอลอย่างแน่นอน โดยเฉพาะกับแฟนบอลลิเวอร์พูลที่จะรอดูการทุ่มบอลของอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โรเบิร์ตสัน และโกเมซเป็นพิเศษ

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Editor)

Categories
Special Content

“ราฮีม สเตอร์ลิ่ง” เลือกเขียนชีวประวัติบทที่ 3 กับ “เชลซี”

ด้วยวัย 27 ปี ราฮีม สเตอร์ลิ่ง กำลังเริ่มต้นประวัติบทใหม่ในช่วงพีคของอาชีพค้าแข้งกับ เชลซี หลังจากใช้เวลา 11 ปีร่วมกับ ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นับเป็นนักเตะน้อยรายที่ได้เล่นเกมระดับซีเนียร์กับยักษ์ใหญ่พรีเมียร์ลีกถึงสามทีม โดยเฉพาะกับทีมเรือใบสีฟ้า ซึ่งเขากวาดเหรียญชนะเลิศระดับเมเจอร์มากมายยกเว้นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งพลาดให้ทีมสิงโตน้ำเงินคราม

ราฮีม สเตอร์ลิ่ง เป็นนักเตะใหม่รายที่สองของเชลซีในตลาดรอบนี้ถัดจาก เอ็ดดี้ บีช นายทวารจากเซาแธมป์ตัน แต่ถือเป็นสตาร์ใหญ่คนแรกในยุค ท็อดด์ โบห์ลีย์ เจ้าของสโมสรคนใหม่ชาวอเมริกัน เขาเซ็นสัญญาห้าปีบวกอ็อปชั่นปีที่หก รับค่าเหนื่อยเท่ากับที่ซิตี้จ่ายให้คือ 3 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์ ย้ายเข้าสแตมพอร์ด บริดจ์ ด้วยค่าตัว 47.5 ล้านปอนด์ (ยังไม่รวมแอดออน 2.5 ล้านปอนด์) เป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับ 44 ล้านปอนด์ที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซื้อมาจากลิเวอร์พูลช่วงซัมเมอร์ปี 2015

หลังผ่านการตรวจสภาพร่างกาย สเตอร์ลิ่งเดินทางด้วยเครื่องบินเจ็ตข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปสมทบกับเพื่อนร่วมทีมใหม่ที่เก็บตัวปรีซีซั่นอยู่ในลอส แอนเจลีส โดยลูกทีมของโธมัส ทูเคิล มีคิวอุ่นเครื่องกับคลับ อเมริกา ในวันเสาร์ที่ 16กรกฎาคม, ชาร์ลอตต์ เอฟซี ในวันพุธที่ 20 ที่เมืองชาร์ลอตต์ และ อาร์เซนอล ในวันเสาร์ที่ 23

ก่อนเซ็นสัญญากับเชลซีไม่กี่วันเคยมีข่าวโคมลอยว่า ลิเวอร์พูลสนใจอยากได้อดีตปีกดาวรุ่งกลับไปเล่นในแอนฟิลด์อีกครั้ง ซึ่งกระแสถูกจุดและดับลงอย่างรวดเร็วเพราะสวนทางกับข้อเท็จจริงอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากเชลซีเป็นทีมเดียวที่เปิดโต๊ะเจรจากับทีมเรือใบสีฟ้าอย่างจริงจัง ส่วนลิเวอร์พูลก็จบภารกิจตลาดรอบนี้ไปแล้ว

แต่บางส่วนของข่าวนั่งเทียนเขียนช่วยเตือนความจำว่า สเตอร์ลิ่งไม่มีโทรฟี่ติดมือระหว่างชีวิตสี่ปีในแอนฟิลด์ แต่นั่นไม่ได้เป็นแรงจูงใจให้เขาต้องกลับไปไขว่คว้าความสำเร็จกับลิเวอร์พูล เพราะเท่าที่ผ่านมาก็มีความทรงจำที่ดีส่วนตัวมากพอสมควร

ชีวิตสองบทแรก 11 ปี กับ “ลิเวอร์พูล” และ “แมนฯซิตี้”

เด็กชายราฮีม แชคีลล์ สเตอร์ลิ่ง เกิดในประเทศจาเมกา และหลังจากคุณพ่อเสียชีวิตเพราะถูกฆาตกรรมสามปี คุณแม่คือ นาดีน คลาร์ก อดีตนักกรีฑาทีมชาติ ซึ่งสเตอร์ลิ่งเชื่อว่าสไตล์วิ่งของเขาเป็นดีเอ็นเอที่ตกทอดมาจากคุณแม่ ได้อพยพมาอยู่นีสเดน กรุงลอนดอน ขณะที่เขาอายุห้าขวบ

บนเส้นทางกีฬาฟุตบอล สเตอร์ลิ่งเล่นให้ทีมเยาวชนท้องถิ่น อัลฟา แอนด์ โอเมกา เป็นเวลาสี่ปีก่อนเซ็นสัญญากับ ควีนสปาร์ค เรนเจอร์ส ตอนอายุสิบขวบ ลงสนามตำแหน่งปีก เขาได้รับความสนใจจากแมวมองของอะคาเดมี่ อาร์เซนอล, เชลซี, ฟูแลม, ลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่เพราะคำแนะนำของคุณแม่ที่ไม่อยากให้เขาเลือกสโมสรละแวกเมืองหลวงเพื่อหลีกเลี่ยงเข้าไปพัวพันกับแก๊งค์อันธพาลท้องถิ่น นั่นจึงทำให้สเตอร์ลิ่ง ซึ่งขณะนั้นอายุ 16 ปี ย้ายไปอยู่กับ ลิเวอร์พูล ในเดือนกุมภาพันธ์ 2010 ด้วยค่าตัว 450,000 ปอนด์

ในปีนั้นเอง สเตอร์ลิ่งเริ่มไต่ระดับจากทีมเยาวชน ลงแข่งขันนัดแรกให้ลิเวอร์พูล ยู-18 ในดาร์บี้แมตช์กับเอฟเวอร์ตัน ส่วนเกมแรกในพรีเมียร์ อะคาเดมี่ ลีก เป็นนัดเสมอแอสตัน วิลล่า 2-2 เขายังทำได้ถึงห้าตุงในนัดถล่มเซาธ์เอนด์ 9-0 เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2011

24 มีนาคม 2012 สเตอร์ลิ่งถูกโปรโมทขึ้นมาเล่นทีมซีเนียร์เป็นครั้งแรก ลงเป็นตัวสำรองในเกมพรีเมียร์ลีกกับวีแกน ตอนนั้นเขาอายุ 17 ปี 107 วัน เป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์สโมสร จนกระทั่งวันที่ 23 สิงหาคมปีเดียวกัน เขาเป็นตัวจริงนัดแรกในรอบคัดเลือกยูโรปา ลีก ซึ่งลิเวอร์พูลชนะ 1-0 ในบ้านของฮาร์ทส์ และอีกสามวันต่อมา ลงตัวจริงเกมพรีเมียร์ลีก เสมอแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2-2 ในแอนฟิลด์

ด้วยฟอร์มเจิดจรัสเกินวัย ลิเวอร์พูลรีบจับสเตอร์ลิ่งต่อสัญญาเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2012 และเขายังฉายแสงต่อไปการันตีด้วยตำแหน่งดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำปี 2014 และ 2015 ของลิเวอร์พูล และติดหนึ่งในหกที่ลุ้นรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของ พีเอฟเอ ถึงสองปีติดต่อกัน

แต่ก็เป็นเพราะสัญญาใหม่ที่ทำให้สเตอร์ลิ่งยุติบทบาทกับลิเวอร์พูลโดยมีข่าวว่า เขาต้องการค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นเป็น 100,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์จากรับอยู่เดิม 35,000 ปอนด์ และหลังจากปฏิเสธร่วมทัวร์ปรีซีซั่นปี 2015 ที่เอเชีย ตามด้วยขาดซ้อมสองวันเพราะป่วยซึ่งโดนตำหนิอย่างหนักผ่านสื่อจากอดีตนักเตะหงส์แดงอาทิ สตีเวน เจอร์ราร์ด, เจมี่ คาร์ราเกอร์ และแกรม ซูเนสส์ ปีกดาวรุ่งวัย 21 ปีหันไปเซ็นสัญญาห้าปีกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2015 ด้วยค่าตัว 44 ล้านปอนด์ยังไม่รวมแอดออนอีก 5 ล้านปอนด์ในอนาคต ทำให้เขาเป็นนักเตะอังกฤษที่ค่าตัวแพงที่สุดขณะนั้น สเตอร์ลิ่งอำลาแอนฟิลด์ด้วยผลงาน 129 นัด 23 ประตู

ไม่กี่เดือนต่อมา เยอร์เกน คล็อปป์ ก็เข้ามาคุมทีมหงส์แดงแทนแบรนเดน ร็อดเจอร์ส ขณะที่สเตอร์ลิ่งต้องรออีกหนึ่งปีเพื่อทำงานกับเป๊ป กวาร์ดิโอลา ทและกลายเป็นหนึ่งในนักเตะคู่บารมีของกุนซือชาวสเปน ร่วมกันนำความสำเร็จมาสู่ถิ่นเอติฮัด แชมป์พรีเมียร์ลีก 4 สมัย, แชมป์ลีก คัพ 4 สมัย, แชมป์เอฟเอ คัพ 1 สมัย และเฉียดเข้าใกล้แชมป์แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เพียงเหรียญรองแชมป์เมื่อปี 2021 จากการปราชัยต่อเชลซี 0-1 ที่ปอร์โต ประเทศโปรตุเกส สเตอร์ลิ่งอำลาเอติฮัดด้วยสถิติ 339นัด 131 ประตู

ส่วนเกินที่ “แมนฯซิตี้” แต่ส่วนเติมที่ “เชลซี”

ซีซั่นสุดท้ายที่แมนเชสเตอร์ แม้สเตอร์ลิ่งยังได้เล่นเกือบห้าสิบนัดแต่ส่วนใหญ่เป็นตัวสำรอง บวกกับกวาร์ดิโอลาเริ่มถ่ายเลือดเก่าเสริมเลือดใหม่เช่นเดียวกับคล็อปป์ทำที่แอนฟิลด์ รวมถึงแผงหน้าที่ซื้อ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ และ จูเลี่ยน อัลวาเรซ สวนทางเดินกับ กาเบรียล เชซุส ที่ย้ายไปอยู่อาร์เซนอล และสเตอร์ลิ่งที่เหลือสัญญาหนึ่งปี

แต่ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ สเตอร์ลิ่งคือแนวรุกความหวังใหม่ที่มีอายุเพียง 27 ปี โดยซีซั่นที่แล้ว เขาทำสกอร์เฉพาะเกมลีกได้ถึง 13 ประตูระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงพฤษภาคม เทียบกับ 15 ประตูที่ โรเมลู ลูกากู ทำให้เชลซีทั้งซีซั่นรวมทุกรายการ สเตอร์ลิ่งไม่ได้มีดีเพียงการส่งลูกหนังซุกก้นตาข่าย เขายังเพิ่มทางเลือกให้กับทูเคิลในการวางหมากเกมรุก เป็นกุญแจสำคัญอีกดอกที่จะช่วยแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สูสีขึ้นหลังตามหลังแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และลิเวอร์พูล ทีมละเกือบยี่สิบคะแนนในฤดูที่แล้ว พร้อมเป้าหมายกลับไปครอบครองถ้วยบิ๊กเอียร์ ซึ่งเป็นโทรฟี่ที่สเตอร์ลิ่งไม่เคยสัมผัส

สเตอร์ลิ่งเล่นได้หลายหน้าที่ในแนวรุกทั้งปีก มิดฟิลด์ตัวรุก หรือหน้าต่ำ เขาถนัดตำแหน่งปีก เล่นได้ทั้งสองฝั่ง แม้ถนัดเท้าขวาแต่มักถูกมอบหมายให้อยู่ด้านซ้าย มีจุดเด่นตรงความเร็ว ความคล่องแคล่ว การเลี้ยงบอล จุดศูนย์ถ่วงต่ำ เป็นตัวทะลุทะลวงที่อันตราย

แม้มีส่วนสูงเพียง 5 ฟุต 7 นิ้ว เทียบกับลูกากู 6 ฟุต 3 นิ้ว แต่สเตอร์ลิ่งมีตัวท่อนบนใหญ่ ช่วยเรื่องการรักษาสมดุลย์ขณะเคลื่อนที่ได้มาก ซาบี เอร์นานเดซ ตำนานมิดฟิลด์บาร์เซโลน่า เคยกล่าวว่า สเตอร์ลิ่งมีดีมากพอที่จะเล่นในลา ลีกา เพียบพร้อมทั้งร่างกายและเทคนิค

กูรูลูกหนังเชื่อว่า สเตอร์ลิ่งจะเพิ่มมิติให้กับเกมรุกของเชลซีแม้ซีซั่นที่แล้ว ทูเคิลจะใช้บริการของ คริสเตียน พูลิซิช กับตำแหน่งกองหน้าริมเส้นด้านซ้าย แต่ปีกทีมชาติอังกฤษเล่นได้ครบเครื่องกว่าโดยเฉพาะจังหวะจบสกอร์ ซึ่งสเตอร์ลิ่งมักใช้เท้าขวาเลี้ยงบอลเข้าในเพื่อหาจังหวะยิงประตู 

สเตอร์ลิ่งเป็นตัวอันตรายในพื้นที่สุดท้าย สามารถใช้ความเร็ว ความคล่อง การคอนโทรลบอล และการมองหาโอกาส สร้างความปั่นป่วนให้กองหลังทั้งตรงกลางและริมสนามสองด้าน ซึ่งเขามักย้ายไปฝั่งขวาเหมือนอย่างที่กวาร์ดิโอล่าส่งตัวลงมาในพรีเมียร์ลีกนัดปิดฤดูกาลที่แล้วขณะที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตามแอสตัน วิลล่า 0-2 สเตอร์ลิ่งโยนบอลจากด้านขวา ข้ามหัวกองหลังทีมสิงห์ผงาดไปยังเสาสองให้ อิลคาย กุนโดกัน โขกตีไข่แตกเป็นประตูแรกจากสามประตูภายในเวลาห้านาที ให้ทีมเรือใบสีฟ้าแซงชนะ 3-2 ครองแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 4 ในรอบห้าปี 

จึงเชื่อได้ว่า ไค ฮาแวร์ตซ์ ศูนย์หน้าเบอร์หนึ่งของเดอะ บลูส์ จะได้บอลที่หลากหลายระยะขึ้นในฤดูกาลใหม่จากสเตอร์ลิ่ง ซึ่งบางจังหวะสามารถวิ่งไปแทนตำแหน่งของฮาแวร์ตซ์ที่ถอยลงมาเป็นหน้าต่ำ เพื่อหาโอกาสสับไกด้วยตัวเอง

พูลิซิชเป็นนักเตะที่เก่งแน่นอน เพียงแต่สเตอร์ลิ่งเก่งกว่าในมุมความหลากหลาย ผลดีมหาศาลจึงตกเป็นของเชลซีที่มีสองสตาร์มากความสามารถและต่างพยายามพัฒนาตัวเองเพื่อแย่งชิงตำแหน่งกัน ทูเคิลจึงมีอ็อปชั่นให้เลือกใช้ต่อกรกับคู่แข่งขันเพิ่มขึ้นทั้งเกมระดับทวีปและภายในประเทศอังกฤษ

“ทูเคิล” อาจปรับ 3-4-2-1 เป็น 4-3-3 รองรับ “สเตอร์ลิ่ง”

ข่าวดีในฤดูกาล 2022-23 เชลซีจะได้ เบน คีลเวลล์ วิงแบ็คและมิดฟิลด์ริมสนามฝั่งซ้ายกลับมาในสภาพสมบูรณ์หลังจากซีซั่นที่ผ่านมาใช้เวลาส่วนใหญ่รักษาเส้นเอ็นไขว้หน้าข้อเข่าที่ฉีกขาด โดยก่อนหน้านั้น คีลเวลล์และ รีช เจมส์ ซึ่งทำหน้าที่เดียวกันทางด้านขวา ร่วมกันสร้างความปั่นป่วนให้เกมรับของคู่ต่อสู้

ทูเคิลกำลังจะได้คีเวลล์กลับมาประจำการ แถมยังมีสเตอร์ลิ่งเสริมอันตรายให้กับเกมบุกด้านซ้ายเพิ่มขึ้นอีก การที่ทั้งสองอยู่ร่วมสโมสรยังส่งผลดีต่อทีมชาติอังกฤษของแกเร็ธ เซาธ์เกต เป็นอย่างมากในฟุตบอลโลกปลายปีนี้ที่กาต้าร์

ย้อนกลับไปยังเดือนมีนาคม 2021 ในแมตช์เวิลด์ คัพ 2022 รอบคัดเลือก คีลเวลล์เล่นแบ็คซ้ายในหมากเกม 4-3-3 สเตอร์ลิ่งยืนปีกซ้าย แถมได้ เมสัน เมาท์ เพื่อนร่วมสโมสร เป็นส่วนหนึ่งของสามประสามแดนกลางฝั่งซ้าย ซึ่งทั้งหมดนี้กำลังจะเกิดขึ้นกับทีมสิงโตน้ำเงินคราม

หมากเกมนี้ได้เห็นการผ่านบอลรูปสามเหลี่ยมแบบงามๆในจังหวะบุก คีลเวลล์เคลื่อนที่ใกล้ริมสนาม สเตอร์ลิ่งวิ่งล้ำไปข้างหน้าและสามารถหักตัดเข้าใน โดยมีเมาท์อยู่ต่ำลงมา สามารถเลือกจ่ายบอลให้ทั้งคีเวลล์หรือสเตอร์ลิ่ง ตัวคีลเวลล์เองก็มีโอกาสโอเวอร์แลปและอันเดอร์แลป ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในฟอร์แมท 3-4-2-1 ของทูเคิล 

เพลย์สามเหลี่ยมยังเกิดบริเวณหน้ากรอบเขตโทษ ซึ่งมีเมาท์เป็นหัวสามเหลี่ยม คีลเวลล์วิ่งไปทางซ้ายเพื่อรับบอลจากเมาท์ก่อนโยนเข้าไปในกรอบเขตโทษที่สเตอร์ลิ่งรอจังหวะเข้าชาร์จ

หรือเป็นจังหวะเล่นชิ่งระหว่างสองคน คีลเวลล์เคลื่อนตัวเข้าใน ส่งบอลฉีกไปทางซ้ายให้สเตอร์ลิ่งที่วิ่งขึ้นไปรอใกล้เส้นสนาม คีลเวลล์หลอกวิ่งตัดหลังตัวประกบสเตอร์ลิ่ง พร้อมลากกองหลังตามไป เหมือนต้องการขึ้นไปรับบอลแต่ความจริงเพื่อหลอกดึงกองหลัง เปิดโอกาสให้สเตอร์ลิ่งเห็นช่องเปิดและวิ่งตัดเข้าในเพื่อยิงเองหรือผ่านลูกไปที่หน้าประตู

ฤดูกาล 2022-23 แฟนบอลเชลซีอาจเห็นระบบ 3-4-2-1 เปลี่ยนไปเป็นแผงหลังแบ็คโฟร์มากขึ้น คีลเวลล์และเจมส์จะทำหน้าที่ฟูลแบ็คมากขึ้น ขณะที่สเตอร์ลิ่งจะได้แสดงความเป็นอัจฉริยะสร้างสรรค์เกมบุกจากปีกซ้ายมากขึ้นเหมือนช่วงที่กวาร์โอลาใช้งานเป็นตัวหลัก

ด้วยวัย 27 ปี กับสัญญาห้าปี บวกกับศักยภาพของสเตอร์ลิ่งที่เข้ามาเติมเต็มและสร้างสิ่งแปลกใหม่ให้กับเชลซี อนาคตของปีกซ้ายเชื้อสายจาเมกาในสโมสรยักษ์ใหญ่พรีเมียร์ลีกทีมที่ 3 จะเป็นเรื่องราวที่น่าติดตามไม่แพ้ช่วงเวลา 11 ปีที่ผ่านมากับลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Editor)

Categories
Special Content

คืนเสรีภาพ “ยืนเชียร์” ให้แฟนบอลอังกฤษหลังแบนเกือบสามสิบปี

แฟนบอลพรีเมียร์ลีกและแชมเปี้ยนชิพของอังกฤษกำลังจะได้รับไฟเขียวให้กลับมายืนเชียร์อีกครั้งหลังโดนแบนเกือบสามทศวรรษซึ่งมีผลมาจากรัฐบาลอังกฤษสั่งให้สนามฟุตบอลทุกแห่งระดับเทียร์ 1-2 ปรับเป็นอัฒจันทร์สำหรับนั่งอย่างเดียวเพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยโศกนาฏกรรมที่ฮิลล์สโบโรห์เมื่อปี 1989 ที่พรากชีวิตแฟนบอลลิเวอร์พูลไปถึง 97 คน

กฎหมายที่ระบุให้สโมสรพรีเมียร์ลีกและแชมเปี้ยนชิพปรับปรุงอัฒจันทร์ให้เป็นแบบนั่งชมทั้งสนาม (All-seater Stadium) เริ่มมีผลบังคับใช้ครั้งแรกในฤดูกาล 1994-95 หลังได้รับการพิจารณาสาเหตุของโศกนาฏกรรมฮิลล์สโบโรห์จาก “เทย์ลอร์ รีพอร์ต” ซึ่งเป็นรายงานการสอบสวนของคณะกรรมการที่รับผิดชอบโดย ลอร์ดจัสติน เทย์เลอร์ ที่ออกมาเผยแพร่ในเดือนมกราคม 1990

เกือบสามทศรรษที่อัฒจันทร์โซน “ยืนดูบอล” โดนแบนแต่ไม่ได้หมายความว่าแฟนบอลจะนั่งเชียร์ก้นติดเก้าอี้ตลอดแมตช์การแข่งขันเพราะบางช่วงที่เกมบนฟลอร์หญ้าสู้กันดุเดือดคู่คี่สูสี กองเชียร์ก็อดใจไม่ไหวต้องลุกขึ้นมากำหมัดชูแขนตะโกนเชียร์ตะเบงเสียงร้องเพลงเป็นระยะๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทำได้เพียงจับตามองอย่างเฝ้าระวัง ไม่กระทำการใดๆหากสถานการณ์ยังไม่ส่อแววเกิดอันตราย

แต่เชื่อว่าภายในอนาคต เกมลูกหนังพรีเมียร์ลีกและแชมเปี้ยนชิพจะได้รับอนุญาตให้แฟนๆยืนดูอย่างถูกกฎหมายในโซนsafe standing ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของอัฒจันทร์สนามที่ได้รับการปรับปรุงให้ดูบอลอย่างปลอดภัย

การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นสืบเนื่องจากผลลัพธ์ที่น่าพอใจทั้งความปลอดภัยและความสนุกสนานขณะเชียร์บอลผ่านโครงการทดลอง เซฟ สแตนดิ้ง เมื่อต้นปีที่แล้ว ซึ่งนำร่องโดยสี่สโมสรยักษ์ใหญ่พรีเมียร์ลีก แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี และ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ รวมถึง คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ อีกหนึ่งทีมจากแชมเปี้ยนชิพ ไม่รวมลิเวอร์พูลที่ลงมือทดลองกับสนามแอนฟิลด์ไปแล้ว

ทั้งห้าทีมได้ปรับปรุงพื้นที่ส่วนหนึ่งให้เป็นโซน “ยืนอย่างปลอดภัย” ก่อนประเดิมการใช้งานนัดแรกเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2021 ซึ่งเป็นช่วงที่มาตรการโควิด-19ได้รับการผ่อนปรน เป็นการแข่งขันที่สนามสแตมฟอร์ดบริดจ์ระหว่าง เชลซี กับ ลิเวอร์พูล ซึ่งเสมอกันไป  2-2 ตามด้วยวันต่อมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้อนรับ วูลฟ์แฮมป์ตัน ที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด

อะไรคือ “เซฟ สแตนดิ้ง” กับความสำเร็จของโครงการยืนเชียร์ปลอดภัย

โซนยืนเชียร์ปลอดภัยหรือ Safe Standing เป็นพื้นที่ที่อนุญาตให้แฟนบอลยืนดูการแข่งขันได้ตลอดทั้งแมตช์ อัฒจันทร์ส่วนนี้ได้รับการปรับปรุงให้เป็นที่นั่งแบบ Rail Seat คือมีเก้าอี้พับได้ให้แฟนบอลเลือกกางนั่งหรือพับเก็บเวลายืนเชียร์ก็ได้ โดยล็อคติดกับราวโลหะที่สูงระดับเอวเพื่อให้แฟนบอลยืนพิงได้สะดวกสบาย โครงที่นั่งถูกติดตั้งแบบถาวรและมีระยะห่างเท่ากับที่นั่งมาตรฐาน เฟรมเชื่อมต่อกันเพื่อสร้างรางที่มีความแข็งแรงสูงตลอดความยาวของแต่ละแถว

สโมสรแรกในสหราชอาณาจักรที่ได้ทำ Rail Seat ขึ้นได้แก่ กลาสโกว์ เซลติก ยักษ์ใหญ่ของสกอตแลนด์ ซึ่งเริ่มใช้งานพื้นที่เซฟสแตนดิ้ง ความจุ 2,600 ที่นั่งภายในสนามเซลติก พาร์ค เมื่อเดือนกรกฎาคม 2016 ขณะที่พื้นที่อื่นๆยังเป็นแบบนั่งดูตามปกติ

Rail Seat อาจยังไม่แพร่หลายในประเทศอังกฤษ ต่างกับประเทศเยอรมนีซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งของสโมสรในบุนเดสลีกาได้จัดสรรพื้นที่เซฟสแตนดิ้งแล้ว รวมถึงโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่ทำจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะซึ่งผู้คนเรียกชื่อมันว่า Yellow Wall หรือกำแพงสีเหลือง

เจค โคเฮน แฟนบอลทีมเชลซี ได้กล่าวถึงการมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์เมื่อวันที่ 2 มกราคมปีที่แล้วว่า “ผมดีใจที่เชลซีได้เป็นทีมนำร่อง ผมตื่นเต้นที่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับอัฒจันทร์เชดเอนด์ และแมทธิว ฮาร์ดดิ้ง ชั้นล่าง การยืนเชียร์บอลเป็นบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่ ไม่ต้องสงสัยเลยโซนเซฟสแตนดิ้งช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสบการณ์ที่ดีในแมตช์เดย์”

ทางด้าน มาร์ติน เคลาเก้ ประธานร่วมของ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ซัพพอร์ตเตอร์ส ทรัสต์ เปิดเผยว่า แฟนบอลทีมสเปอร์สให้การสนับสนุนอย่างล้มหลามเป็นเวลาหลายปีนับตั้งแต่แนวคิดนี้เริ่มถูกพลักดัน โดยจากรายงานประจำปีระบุว่ามีผู้เห็นด้วยสูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้จากความจุ 62,850 คนของท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ สเตเดี้ยม ถูกจัดสรรให้เป็นเซฟสแตนดิ้ง 5,000 คนสำหรับเซาธ์สแตนด์ชั้นล่าง บวกชั้นบน 1,442 คน และเซ็คชั่นทีมเยือนอีก 3,000 คน

หน่วยงานด้านความปลอดภัยของสนามกีฬาได้ตีพิมพ์รายงานผลการทดลองเบื้องต้นไว้ว่า การนั่งชมในโซนยืนดูไม่ถูกบดบังวิสัยทัศน์ของการมองเห็นเกมในสนาม, การดีใจหลังเกิดการทำประตูมีความปลอดภัย แฟนบอลไม่เคลื่อนไหวไปข้างหน้าหรือถอยหลังที่สุ่มเสี่ยงให้เกิดอันตราย, ราวกั้นช่วยให้แฟนบอลเดินบนอัฒจันทร์อย่างมีระเบียบ แม้กระทั่งคนที่เข้าสนามหลังเกมเริ่มไปแล้วยังสามารถเดินไปยังที่นั่งได้รวดเร็ว, ราวกั้นช่วยจัดแฟนบอลเป็นกลุ่มเป็นก้อนทำให้เจ้าหน้าที่สนามเฝ้าจับตาได้ง่าย

ในส่วนรายงานฉบับล่าสุดของคณะกรรมาธิการที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลให้รับผิดชอบโครงการหลังดำเนินการทดลองเซฟสแตนดิ้งเป็นระยะเวลาหนึ่งปีครึ่ง ค่อนข้างออกไปทางบวกสำหรับแฟนบอลทั้งด้านปลอดภัยและประสบการณ์การชมที่ดีขึ้น ซึ่งคาดว่ารัฐมนตรีกระทรวงกีฬา ไนเจล ฮัดเดิลสตัน จะแถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่สนามเหย้าของท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ซึ่งเขาเคยเดินทางมาชมการแข่งขันเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งสเปอร์สเฉือนชนะเบิร์นลีย์ 1-0

แหล่งข่าววงในของรัฐบาลเปิดเผยว่า “เราอยู่เคียงข้างแฟนบอลเสมอ และตั้งใจที่จะทำตามสัญญาในการนำการยืนดูบอลอย่างปลอดภัยไปยังสนามฟุตบอล และพัฒนาประสบการณ์ที่วิเศษสุดของการดูบอลให้กับพรีเมียร์ลีกและแชมเปี้ยนชิพ”

“รัฐบาลไม่เคยประนีประนอมหากเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย เราจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับสโมสรฟุตบอล กลุ่มแฟนบอล และเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อส่งมอบ ‘เซฟ สแตนดิ้ง’ ซึ่งเราตระหนักดีว่าเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการ”

ดูเหมือนว่าในอนาคตอันใกล้ แฟนบอลทุกสนามแข่งขันของสองลีกสูงสุดของประเทศอังกฤษจะได้กลับมาสัมผัสบรรยากาศการเชียร์ที่ตื้นเต้นเร้าใจในอารมณ์ที่คอลูกหนังเมื่อกว่าสามสิบปีก่อนคุ้นเคยอีกครั้ง นั่นคือ “การยืนลุ้นบอลตลอดแมตช์”

“เยลโล่ วอลล์” ของดอร์ทมุนด์ สุดยอดบรรยากาศยืนเชียร์บอลยุคใหม่

“เซฟ สแตนดิ้ง” ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับหลายประเทศในยุโรป รวมถึงสหรัฐอมริกาและออสเตรเลีย แต่หากใครต้องการสัมผัสบรรยากาศการยืนเชียร์บอล(แบบปลอดภัย)ที่สุดยอดที่สุดในโลกต้องเป็นที่สนาม “เวสท์ฟาเลินชตาดิโยน” ความจุ 81,365 คนของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์

ใครที่มีโอกาสสัมผัส “กำแพงเหลือง” (Yellow Wall) หรืออัฒจันทร์ฝั่งเซาธ์แบงค์ของกองเชียร์ดอร์ทมุนด์ คงอดขนลุกขนชันไม่ได้กับภาพแฟนบอลกว่า 24,000 คนที่ยืนตะโกนร้องเพลงเชียร์บนพื้นที่ที่เปรียบเสมือนระเบียงที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรปพร้อมด้วยทะเลธงสีเหลืองดำ

รูเบน ดรัคเกอร์ หนึ่งในแฟนบอลดอร์ทมุนด์ผู้ถือตั๋วปีโซนกำแพงเหลืองที่สนนราคาไม่ถึง 200 ปอนด์ กล่าวว่า “เดอะ วอลล์ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากเพราะแสดงถึงการเชื่อมโยงระหว่างแฟนบอลเกือบ 25,000 คนที่ยืนเคียงข้างกันแบบไหล่ชนไหล่ อาจเรียกได้ว่าเป็นส่วนผสมที่บ้าคลั่งของคนกลุ่มหนึ่ง”

“แฟนบอลทุกเพศทุกวัยสามารถเข้ามาเชียร์บอลตรงนี้ได้ จะมาคนเดียวหรือมาทั้งครอบครัว ผู้ชายผู้หญิง คนรายได้ต่ำหรือสูง ตอนแรกพวกเขาอาจเข้าสนามเพราะการชักชวนของคุณพ่อ พี่ชาย หรือเพื่อนฝูง แต่เมื่อมาเป็นส่วนหนึ่งของเดอะวอลล์ มันก็เสมือนสายใยที่เชื่อมโยงกับคนอื่นๆผ่านทางร่างกายที่ใกล้ชิด เป็นการมอบประสบการณ์ใหม่ที่เหลือเชื่อให้แก่พวกเขา”

ฟลอเรียน โธมัส แฟนบอลทีมเสือเหลืองวัย 31 ปี ซึ่งซื้อตั๋วปีมาตั้งแต่ซีซั่น 2008-09 สมัยที่ เยอร์เกน คล็อปป์ เพิ่งก้าวขึ้นคุมทีมดอร์ทมุนด์ เล่าให้ฟังว่า “ผมยังจำครั้งแรกที่ไปดูการแข่งขันกับพ่อตอนอายุสิบสอง เราได้ที่นั่งฝังเวสต์สแตนด์ ประตูอยู่ขวามือผม มีผู้คนเต็มไปหมดและอยู่ชิดกันมาก บรรยากาศแบบนั้นสถานที่แบบนั้น ไม่มีอะไรเหมือนแล้ว”

“ผมเคยพาเพื่อนจากอังกฤษไปดูเกมหนึ่งของเรา พวกเขาตื่นตาตื่นใจเพราะมันต่างจากประสบการณ์ในพรีเมียร์ลีก ช่วงโควิดระบาดผมไม่ได้ไปดูแมตช์เหย้าเลยเพราะคนน้อย มันไม่เหมือนเดิมหากปราศจากเยลโล่วอลล์ที่อัดแน่นและไม่มีพวกแฟนบอลอัลตร้า ผมรู้ดีว่าเพื่อนๆก็คิดอย่างเดียวกัน”

“ถึงเป็นตั๋วยืนและคุณไปอยู่ตรงไหนก็ได้(ภายในเซ็คชั่นที่กำหนด) แต่แฟนบอลมักยืนตรงที่ประจำ มันแปลกมากที่ผู้คนหลากหลายแตกต่างมารวมตัวกันเพื่อสนับสนุนสโมสร พวกเขาไม่มีความสัมพันธ์กันนอกสนามบอลแต่กลับร้องเพลงร่วมกันกระโดดกอดกัน”

“ผมเจอผู้คนใหม่ๆในสนามที่อยากบอกเลยว่าเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่ต่างคนต่างรู้เรื่องชีวิตนอกสนามกันน้อยมาก นี่เป็นสถานที่เดียวที่พวกเรามีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน”

“การยืนดูบอลสร้างความแตกต่างให้ผมในเรื่องของสาเหตุที่เข้ามาดูเกมในสนาม ผมยืนเพื่อสนับสนุนสโมสร บางครั้งก็ไม่ได้ยืนอยู่ในจุดที่เห็นเกมสนามชัดเจนนัก บางครั้งก็มีธงบัง มีหัวมีแขนบังสายตา แต่ผมยอมรับมันได้ มันเป็นเรื่องของความใกล้ชิดซึ่งเอื้ออำนวยให้ร่วมตะโกนร้องเพลงตะโกนเชียร์เป็นธรรมชาติ”

“บอกตามตรง ผมไม่ชอบดูการแข่งขันของดอร์ทมุนด์ในสนามหากไม่ได้อยู่ในเซ็คชั่นยืน แต่มีอยู่ 2-3 ครั้งที่เป็นแบบนั้น ซึ่งผมรู้สึกทำผิดพลาดมาก”

ถึงเวลาต้อง “มูฟ ออน” จากโศกนาฏกรรมที่ฮิลล์สโบโรห์

แนวคิดที่อยากให้แฟนบอลในพรีเมียร์ลีกและแชมเปี้ยนชิพกลับไปยืนเชียร์บอลเริ่มก่อตัวอย่างช้าๆ จนกระทั่งเกิดเป็นรูปธรรมช่วงก่อนการเลือกตั้งในปี 2019 เมื่อทั้งพรรคอนุรักษ์นิยมและพรรมแรงงานต่างให้คำมั่นสัญญากับประชาชนว่าจะดำเนินการเพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ของนโยบาย “เซฟ สแตนดิ้ง” จนกระทั่งวันที่ 22 กันยายน 2020 ไนเจล ฮัดเดิลสตัน รัฐมนตรีกระทรวงกีฬา ได้ประกาศอนุญาตให้ห้าสโมสรจัดทำโซนยืนดูบอลอย่างถูกกฎหมายขึ้น

แม้การทดลองของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี, ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ และคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ จะประสบความสำเร็จในระดับน่าพอใจ แต่ยังมีขั้นตอนสำคัญในการแก้ไขกฎหมาย รวมถึงแต่ละสโมสรต้องลงทุนปรับปรุงสภาพสนามเพื่อให้ตรงกับข้อระเบียบของเซฟ สแตนดิ้ง ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรกว่าที่แฟนบอลอังกฤษในสองดิวิชั่นแรกจะได้กลับไปสัมผัสยืนเชียร์กันทั่วทุกสนาม

มาร์กาเรต แอสพินอลล์ ซึ่งสูญเสียลูกชายเจมส์จากเหตุการณ์ในสนามฮิลล์สโบโรห์ ให้ความคิดเห็นว่า “มุมมองของฉันเปลี่ยนไปจากเมื่อ 2-3 ปีก่อน”

“ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ฉันหวังว่าเราได้เรียนรู้จากบทเรียนครั้งนั้น แฟนบอลจะต้องไม่ถูกกระทำเหมือนยุค 1970และ 1980 ที่ถูกต้อนเหมือนวัวควายอยู่ในคอก ทุกสิ่งเปลี่ยนไปและถึงเวลาที่เราต้องก้าวไปข้างหน้าเสียที มีแฟนบอลรุ่นใหม่และรุ่นเก่าที่ชอบยืนดูการแข่งขัน แต่ยังจำเป็นที่จะต้องจัดสรรที่นั่งให้กับทุกคน”

“เราต้องดำเนินการเรื่องนี้ไปอย่างช้าๆ ต้องมั่นใจเรื่องความปลอดภัยและเห็นความก้าวหน้าเกิดขึ้นอย่างชัดเจน สิ่งสำคัญที่สุดคือแฟนบอลและความปลอดภัยของพวกเขา ตราบใดที่มันยังถูกตระหนัก ฉันก็โอเคกับมัน”

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Editor)

Categories
Special Content

กาปฏิทินลุ้นระทึก “ลิเวอร์พูล X เบลลิงแฮม” ซูเปอร์บิ๊กดีลปีหน้า

#SSxKMD | ขณะที่หลายสโมสรกำลังชุลมุนฝุ่นตลบกับการเจรจาซื้อขายนักเตะในตลาดซัมเมอร์ 2022 ซึ่งเปิดทำการเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน เรื่อยไปจนถึง 1 กันยายน แต่ลิเวอร์พูลกลับเสร็จสิ้นภารกิจไปอย่างรวดเร็วหลังจากได้นักเตะครบสามคนตามเป้าหมาย ได้แก่ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ มิดฟิลด์ตัวรุกทีมฟูแลม, ดาร์วิน นูนเยซ กองหน้าทีมเบนฟิกา และคัลวิน แรมซีย์ แบ็คขวาทีมอเบอร์ดีน

แม้ลิเวอร์พูลยังปรากฏบนหน้าสื่ออย่างต่อเนื่องแต่เป็นข่าวการขายและปล่อยยืม หรือไม่ก็เซ็นสัญญาระดับเยาวชน แต่หากเป็นประเด็นเสริมขุมกำลังก็เป็นการจับแพะชนแกะ ตีไข่ใส่สี หรือวิเคราะห์คาดการณ์ของนักข่าวเสียมากกว่าเป็นการเคลื่อนไหวจริง ๆ ของสโมสร

อย่างเช่นรายของ อุสมาน เดมเบเล่ ปีกขวาวัย 25 ปี ซึ่งหมดสัญญากับบาร์เซโลนาและเป็นฟรีเอเยนต์ สื่อสเปนตีข่าวครึกโครมว่าจะเล็งเซ็นซาลาห์ เซ็นแล้ว 3 ปี วีคละ 350K สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์สโมสร

หรือกรณีของ โอตาวิโอ ตัวรุกวัย 27 ปี ของปอร์โต แชมป์ปรีไมรา ลีกา ซึ่งเล่นกองกลางริมเส้นซ้ายขวาและมิดฟิลด์ตัวรุก ถูกหยิบมาเสนอข่าวเพราะลิเวอร์พูลกำลังสานต่อโมเดล “โปรตุกีส คอนเน็คชั่น” หลังจากซื้อหลุยส์ ดิอาซ และดาร์วิน นูนเยซ ห่างกันไม่ถึงครึ่งปี แต่กลับเป็นกูรูจากค่ายโกล สื่อลูกหนังระดับโลก ที่ออกมาสยบข่าวลือ อ้างว่าเป็นไปไม่ได้ที่ “เดอะ เรดส์” จะซื้อนักเตะอายุ 27 ปี แถมยังไม่ต้องการนักเตะตำแหน่งนี้เพิ่มด้วย ก่อนสรุปนิ่ม ๆ ว่า โอตาวิโอไม่ได้เป็นและไม่เคยเป็นเป้าหมายของลิเวอร์พูล

แม้ลิเวอร์พูล(น่าจะ)ไม่ทำธุรกิจฝั่งผู้ซื้อในตลาดรอบนี้แล้ว แต่กระแสข่าวจากสำนักใหญ่ที่มีความน่าเชื่อถือต่างชี้ไปทางเดียวกันว่า “มิดฟิลด์กลางสนาม” เป็นเป้าหมายสำคัญอันดับหนึ่งที่หงส์แดงพร้อมเปย์หนักระดับซูเปอร์บิ๊กดีลในตลาดซัมเมอร์ปีหน้า หลังจากรอบนี้ได้ทุ่มเงิน 85 ล้านปอนด์ สร้างสถิตินักเตะค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรกับตำแหน่งกองหน้า

ถึงเวลาสร้างคลื่นลูกใหม่ของขุนพล “เดอะ เรดส์”

ลิเวอร์พูลแสดงการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนว่า เยอร์เกน คล็อปป์ กำลังสร้างทีมใหม่รุ่นที่สองทดแทนบรรดาขุนพลที่ร่วมสร้างความยิ่งใหญ่ในช่วง 6 ปีแรกของการคุมทีม นักเตะใหม่ที่ซื้อมาระยะหลังจึงมีอายุน้อย

จากการศึกษาของสมาคมสื่อสารมวลชนะระบุว่า ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่พึ่งพานักเตะสูงอายุมากกว่าทีมใดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2021-22

หากคิดตามจำนวนนาทีรวมที่ผู้เล่นลิเวอร์พูลอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไปลงสนามซีซั่นที่แล้ว จะคิดเป็น 46.2 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด ตามด้วยอันดับสอง นิวคาสเซิล 39.9 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ส่งนักเตะรุ่นโอเวอร์ 30 ลงไปไล่ล่าแชมป์พรีเมียร์ลีกแค่ 22.1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่กับฤดูกาลใหม่ ตัวเลขของลิเวอร์พูลย่อมลดลงแน่นอนจากการเข้ามาของ นูนเยซ (23), คาร์วัลโญ (19) และแรมซีย์ (18) พร้อมการจากไปของ ซาดิโอ มาเน (30), ดิวอค โอริกี (27) และ ทาคูมิ มินามิโนะ (27) หรืออาจรวมถึง เนโก วิลเลียมส์ (21) ที่เล่นตำแหน่งเดียวกับแรมซีย์

อิบราฮิมา โกนาเต (23) เริ่มเบียดแย่งเวลาบนฟลอร์หญ้ามาจาก โจเอล มาติป (30) ได้มากขึ้น ขณะที่ เคอร์ติส โจนส์ (21) และ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ (19) เริ่มมีอนาคตสดใสเพิ่มเรื่อยๆ แล้วยังมีเหล่าดาวรุ่งตัวความหวังอย่าง เคด กอร์ดอน (17), ไทเลอร์ มอร์ตัน (19) และ โอเวน เบค (19)

อย่างไรก็ตามตัวหลักวัยเก๋าที่ยังสามารถยึดครองตำแหน่งตัวจริงต่อไปในซีซั่นหน้าได้แก่ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค (30), โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (30), จอร์แดน เฮนเดอร์สัน (32) และ ติอาโก อัลกันตารา (31) ซึ่งจะเห็นว่า หัวใจห้องเครื่องของหงส์แดงกำลังโรยราด้วยวัยทั้งเฮนเดอร์สันและติอาโก รวมถึง เจมส์ มิลเนอร์ (36) ซึ่งเพิ่งต่อสัญญาใหม่แต่คงปิดฉากชีวิตในแอนฟิลด์หลังซีซั่น 2022-23 จบลง ขณะที่ อเล็กซ์ ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน (28) และ ฟาบินโญ (28) มีอนาคตไม่แน่นอนในแอนฟิลด์

นั่นจึงทำให้คล็อปป์เริ่มให้น้ำหนักกับการหาตัวตายตัวแทนหรือ “เน็กซ์-เจน” ของมิดฟิลด์กลางสนาม ซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญมากต่อความสำเร็จของลิเวอร์พูลในอนาคต จึงเห็นว่ากุนซือเยอรมันมีข่าวอยากได้ ออเรเลียง ชูเอาเมนี กองกลางตัวเก่งวัย 22 ปีของโมนาโกอย่างจริงจัง ก่อนถอยทัพเมื่อเรอัล มาดริด เข้ามาพร้อมจะเปย์หนักแบบไม่อั้น

ถึงแม้เสร็จสิ้นภารกิจตลาดรอบนี้ในฐานะผู้ซื้อไปแล้ว แต่ลิเวอร์พูลยังถูกสื่อมวลชนเสนอข่าวโยงกับมิดฟิลด์หลายคนอย่างเช่น นิโกลา บาเรลลา ของอินเตอร์ มิลาน, อาเดรียง ราบิโอต์ ของยูเวนตุส และ คาร์นีย์ ชุควูเอกา ของแอสตัน วิลลา อย่างไรก็ตาม ชื่อที่เป็นกระแสแรงและมีน้ำหนักมากที่สุดได้แก่ จูด เบลลิงแฮม

คล็อปป์หมายตา “เบลลิงแฮม” คือหัวใจในอนาคตของทีม

จูด เบลลิงแฮม ฉายแสงขณะอายุแค่ 16 ปี เป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ลงสนามนัดแรกในประวัติศาสตร์ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ เมื่อปี 2019 เขาเล่นให้ทีมลูกโลก 44 นัดก่อนย้ายไปค้าแข้งกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เมื่อปี 2020 ด้วยค่าตัวกว่า 30 ล้านปอนด์ ขณะที่เบอร์มิงแฮมถึงขั้นอำลาเบอร์เสื้อหมายเลข 22 ให้กับมิดฟิลด์ดาวรุ่งโรจน์คนนี้

เบลลิงแฮมเพิ่งฉลองวันเกิด 19 ปี ไปไม่นานแต่ติดทีมชาติอังกฤษไปแล้ว 15 นัด เป็นหนึ่งในขุนพลตัวหลักของทีมเสือเหลืองกับผลงาน 10 ประตู 18 แอสซิสต์จากทั้งหมด 90 นัด

เบลลิงแฮมเป็นมิดฟิลด์ครบเครื่องกระเทียมดอง มองหยาบ ๆ ในดอร์ทมุนด์เขาคือมิดฟิลด์กลางสนาม แต่สามารถขยับไปทางขวาและซ้ายสวมตำแหน่งเบอร์ 6 และ 10 ได้ด้วย แสดงให้เห็นถึงทักษะที่หลากหลายสารพัดประโยชน์ แต่กูรูลูกหนังยกให้เขาเป็นผู้เล่นเบอร์ 8 ที่เชื่อมเกมในฐานะซัพพอร์ตติ้งมิดฟิลด์ โอเวอร์แลปขึ้นไปบุกจากสองฝั่งสนาม ส่วนกับทีมชาติอังกฤษ เบลลิงแฮมมักลงไปลึกมากขึ้นแสดงให้เห็นถึงความนิ่งและวุฒิภาวะเกินวัย สามารถครองบอลได้ดีภายใต้แรงกดดันและมองหาพื้นที่ว่างได้เฉียบคมเหลือเชื่อ

แน่นอนด้วยความสามารถเอกอุขนาดนี้บวกกับวัยไม่ถึงยี่สิบ ลิเวอร์พูลจึงต้องการเบลลิงแฮมมาเป็นผู้บัญชาเกมกลางสนามรุ่นต่อไปแทนเฮนเดอร์สัน, ติอาโก และมิลเลอร์ คล็อปป์สามารถใช้งานเขาได้ทั้งหมากเกม 4-3-3 และ 4-2-3-1 ซึ่งอาจเป็นฟอร์แมตแห่งอนาคตของหงส์แดง ร่ายล้อมด้วยมิดฟิลด์รุ่นใหม่อย่างคาร์วัลโญ, โจนส์ และเอลเลียตต์ หรืออีกนัยหนึ่ง คล็อปป์ต้องการเบลลิงแฮมมาสืบทอดตำนานต่อจากเฮนเดอร์สัน

เรอัล มาดริด เป็นทีมหนึ่งที่หมายตาเบลลิงแฮมเพื่อให้มาเป็นลูกา โมดริช คนใหม่ของพวกเขา เช่นเดียวกับ เชลซี ก็วางแผนร่วมล่าลายเซ็นของมิดฟิลด์ดาวรุ่งทีมชาติอังกฤษด้วย ทำให้สื่อหลายสำนักประเมินค่าตัวเบลลิงแฮมไปทางเดียวกันคือแตะหลัก 100 ล้านปอนด์ หรืออย่างต่ำไม่น่าหลุด 80 ล้านปอนด์ นั่นทำให้ลิเวอร์พูลคงต้องทำลายสถิตินักเตะค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นปีที่สองติดต่อกัน

นีล โจนส์ กูรูของสื่อโกล มองว่าเบลลิงแฮมมีใจให้ลิเวอร์พูลไม่ใช่น้อยเพราะมีสตีเวน เจอร์ราร์ด เป็นไอดอล และมีความสัมพันธ์แนบชิดกับเฮนเดอร์สันในทีมชาติอังกฤษ ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้หลังเพิ่งตกเป็นข่าวแรง เบลลิงแฮมโพสต์ถึงเฮนเดอร์สัน กัปตันทีมหงส์แดง ในฐานะตำนาน

กระแสข่าวบนหน้าสื่อฟุตบอลทั่วโลกชี้ตรงกันว่า “ซูเปอร์บิ๊กดีล” ระหว่างลิเวอร์พูลและดอร์ทมุนด์จะเกิดขึ้นในตลาดซัมเมอร์ปีหน้าอย่างแน่นอน ขณะที่สัญญาของเบลลิงแฮมยังเหลือถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2025

คุณค่าของ “เบลลิงแฮม” คุ้มค่าแก่การรอคอยหรือไม่

ปีหน้าเป็นช่วงเวลาเหมาะสำหรับดีล จูล เบลลิงแฮม ระหว่างสองสโมสร ลิเวอร์พูลเพิ่งทุ่มเงินไปร่วม 85 ล้านปอนด์ไปกับนูนเยซคนเดียว และขุมกำลังแดนกลางที่มีตอนนี้ก็มากพอสำหรับใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพหนึ่งซีซั่น ส่วนดอร์ทมุนด์คงไม่ต้องการเสียซูเปอร์สตาร์พร้อมกันสองคนในปีนี้หลังจาก เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ย้ายไปแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และยังมี เจดอน ซานโช ที่ไปอยู่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หนึ่งปีก่อนหน้านี้

ลิเวอร์พูลตระหนักดีถึงคุณค่าของการรอคอย ไม่พลีพลามเปลี่ยนเป้าหมายที่คิดรอบคอบแล้วย้ายไปยังทางเลือกอื่น ๆ หงส์แดงเคยพยายามแต่ล้มเหลวกับการเซ็นสัญญา เวอรกิล ฟาน ไดค์จ ในตลาดซัมเมอร์ปี 2017 แล้วรอเพื่อพยายามใหม่กับตลาดหน้าหนาวปี 2018 ซึ่งประสบความสำเร็จ เป็นดีลที่ดีมากที่สุดครั้งหนึ่งของสโมสรที่ได้เซ็นเตอร์แบ็คเวิลด์คลาสเข้ามาอยู่แอนฟิลด์

ลูกา ซูชิซ มิดฟิลด์ดาวดวงใหม่วัย 19 ปีของทีมชาติโครเอเชีย ถูกนำมาเปรียบเทียบกับเบลลิงแฮม เขาแจ้งเกิดอย่างรวดเร็วหลังย้ายมาอยู่เรดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก เมื่อปี 2020 ช่วงสองฤดูเขาลงสนาม 71 นัด ทำไป 13 ประตู 6 แอสซิสต์ และมีสัญญากับทีมกระทิงแดงถึงปี 2025

ชูชิซ ที่เป็นแฟนบอลบาร์เซโลน่าและมีลูกา โมดริช เป็นไอดอลวัยเด็ก ได้รับความสนใจจากยักษ์ใหญ่อย่าง ยูเวนตุส, เอซี มิลาน, อินเตอร์ มิลาน, ลาซิโอ, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และนิวคาสเซิล รวมถึงลิเวอร์พูล

กูรูลูกหนังหลายคนกล่าวว่า หากมีมิดฟิลด์ที่ควรค่าแก่การรอคอย (และจ่ายหนัก) จูล เบลลิงแอม เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น นั่นทำให้บรรดาเดอะ ค็อป เฝ้าลุ้นระทึกอีกหนึ่งปีข้างหน้า พวกเขาจะได้เบลลิงแฮมหรือไม่ และเบลลิงแฮมจะเฉิดฉายภายใต้ยูนิฟอร์ม “เดอะ เรดส์” อย่างที่คาดหวังหรือเปล่า

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Editor)

Categories
Football Business

เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ของ “ลิเวอร์พูล” จากกรณีศึกษา “ไตโว อโวนิยี่”

เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวเล็ก ๆ ที่อาจไม่น่าสนใจสำหรับแฟนบอลอังกฤษส่วนใหญ่ยกเว้นสาวกเจ้าป่า น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ซึ่งกำลังใจจดจ่อกับประเด็นปรับปรุบขุมกำลังต้อนรับการกลับขึ้นมายังลีกสูงสุดนับจากตกชั้นดิวิชั่น 1 (เดิม) เมื่อปี 1999 หรืออาจรวมถึงเดอะ ค็อป บางส่วนที่คลิกอ่านเพราะสะดุดตาคำว่า ex-Liverpool striker บนพาดหัวข่าวหรือท่อนโปรยนำ

กองเชียร์ที่กำลังรอฟอเรสต์ปิดดีลสัญญายืมตัว ดีน เฮนเดอร์สัน ผู้รักษาประตูจอมหนึบของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งน่าจะช่วยให้ทีมมีโอกาสเสียประตูน้อยลง ต่างตื่นเต้นกับข่าวสโมสรสร้างสถิติซื้อผู้เล่นแพงที่สุดขึ้นมาใหม่ด้วยการทุ่มเงิน 17.5 ล้านปอนด์ คว้าตัว ไตโว อโวนิยี่ ศูนย์หน้าไนจีเรียวัย 24 ปีมาจากยูเนี่ยน เบอร์ลิน ทีมอันดับ 5 ในบุนเดสลีกา เพื่อทะลุทะลวงเกมรับท็อปคลาสของคู่แข่งร่วมลีก

อโวนิยี่เป็น “อดีต” สไตรคเกอร์ของลิเวอร์พูลและมีชื่อเป็นสมาชิกคนหนึ่งของแอนฟิลด์ยาวนานหกปี แต่เขาไม่เคยลงเล่นให้หงส์แดงสักนัดแม้กระทั่งเกมอุ่นเครื่องปรีซีซั่นก็ยังไม่มีโอกาส เพราะเกือบทันทีหลังซื้อตัวมาจาก อินพีเรียล ซอคเกอร์ อะคาเดมี่ ปลายเดือนสิงหาคม 2015 ลิเวอร์พูลได้ส่งเขาไปให้เอฟเอสเฟา แฟรงค์เฟิร์ต ยืมตัวในซีซั่น 2015-16

และเหมือนสัญญายืมตัวกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่อโวนิยี่ต้องเซ็นชื่อทุกซีซั่น เขาจึงกลายเป็นนักเตะพเนจรย้ายถิ่นทุกปี ไปให้เล่นให้ เอ็นอีซี ไนจ์เมเกน, รัวยา แล็กแซล มูครง, เคเอเอ เกนท์, ไมน์ซ 05 และ ยูเนี่ยน เบอร์ลิน ตามลำดับ

จนกระทั่งเกิดจุดเปลี่ยนของชีวิตอโวยินี่ เมื่อยูเนี่ยน เบอร์ลิน พอใจผลงานของศูนย์หน้าไนจีเรียระหว่างยืมตัวในซีซั่น 2020-21 จึงตัดสินใจซื้อขาดจากลิเวอร์พูลเป็นเงิน 6.5 ล้านปอนด์ ซึ่งอโวนิยี่ไม่ทำให้ต้นสังกัดผิดหวัง ช่วงสองปีที่ค้าแข้งในเมืองเบียร์ เขาทำผลงาน 25 ประตู 9 แอสซิสต์จาก 65 นัด ไม่มีเพื่อนร่วมทีมคนไหนทำสกอร์ได้มากเท่าเขาในช่วงเวลานั้น

ศึกลูกหนังบุนเดสลีกา ฤดูกาล 2021-22 ที่ผ่านมา อโวนิยี่ส่งลูกหนังซุกก้นตาข่าย 15 ประตูจาก 31 นัด แถมยังถูกเรียกตัวติดทีมชาติไนจีเรีย 4 นัด ทำ 1 ประตูนับตั้งแต่ประเดิมยูนิฟอร์มอินทรีมรกตในเดือนตุลาคม 2021 ซึ่งด้วยฟอร์มร้อนแรง เขาจึงถูกดึงให้เป็นชิ้นส่วนหนึ่งในการสร้างทีมของ สตีฟ คูเปอร์ กุนซือเวลส์วัย 42 ปี ด้วยค่าตัวที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์น็อตติงแฮม ฟอเรสต์

ฤดูกาลหน้า อโวนิยี่จะได้รับโอกาสพิสูจน์ตัวเองบนสังเวียนพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรก และแน่นอนจะได้เผชิญหน้ากับทีมเก่า ลิเวอร์พูล ในวันเสาร์ที่ 22 ตุลาคมที่สนามซิตี้ กราวน์ เป็นนัดแรก

สไตล์การเล่นของอโวยินี่ถูกนำไปเปรียบเทียบกับ ราชิดี เยกินี่ ตำนานผู้ทำประตูรวมได้มากที่สุดตลอดกาลของไนจีเรีย ขณะที่ เยอร์เกน คล็อปป์ ก็เคยชื่นชมการยิงที่เฉียบคมและพละกำลังของศูนย์หน้าวัย 24 ปีจากกาฬทวีปรายนี้

“หงส์แดง” ทำเงินเฉียดแปดล้านปอนด์จากนักเตะที่ไม่เคยใช้งาน

หาก ไตโว อโวนิยี่ เป็นการลงทุนก็ถือว่าสร้างผลกำไรงามให้กับลิเวอร์พูลถึงแม้ไม่เคยถูกใช้งานในฐานะนักเตะเลยสักนัดเดียว เชื่อหรือไม่ว่า “เดอะ เรดส์” มีรายได้เข้ากองคลังเกือบ 8 ล้านปอนด์จากศูนย์หน้าไนจีเรียผู้นี้

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2010 ขณะอายุ 13 ปี อโวนิยี่ได้รับตำแหน่งเอ็มวีพีหรือผู้เล่นทรงคุณค่าของการแข่งขันฟุตบอลระดับเยาวชนรายการหนึ่งที่กรุงลอนดอน ซึ่งมี โคคา-โคลา เป็นสปอนเซอร์ บวกกับฟอร์มฉายแววจึงถูกเชิญเข้าร่วมฝึกซ้อมและลงแข่งขันให้กับ อินพีเรียล ซอคเกอร์ อะคาเดมี่

อีกห้าปีต่อมา อโวนิยี่เซ็นสัญญาอาชีพกับลิเวอร์พูลเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2015 หลังจากหงส์แดงเคาะราคาซื้อจากอิมพีเรียล ซอคเกอร์ อะคาเดมี่ เป็นเงินประมาณ 400,000 ปอนด์ แต่ถูกปล่อยให้ เอฟเอสเฟา แฟรงค์เฟิร์ต ยืมตัวทันที และคล้อยหลังไม่กี่เดือน เยอร์เกน คล็อปป์ ได้เข้ามาเริ่มงานผู้จัดการทีมในแอนฟิลด์

ตลอดหกฤดูกาล อโวนิยี่ต้องไปเล่นที่อื่นด้วยสัญญายืมตัวทั้งหมด 6 สโมสรไม่ซ้ำกัน ก่อนยูเนี่ยน เบอร์ลิน ขอซื้อขาดในราคา 6.5 ล้านปอนด์ ทำกำไรให้กับลิเวอร์พูลถึง 6.1 ล้านปอนด์ แต่ “ดิ ไอรอน วันส์” ใช้งานศูนย์หน้าไนจีเรียแค่ปีเดียวก็ขายต่อให้น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ 17.5 ล้านปอนด์ ฟันกำไรเหนาะ ๆ 11 ล้านปอนด์ แต่สโมสรต้องแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปให้ลิเวอร์พูล

ส่วนหนึ่งในสัญญาเมื่อปี 2021 ระหว่างลิเวอร์พูลกับยูเนี่ยน เบอร์ลิน เป็นเงื่อนไขส่วนแบ่งการขายหรือ Sell-on Clause ทำให้สโมสรเมืองเบียร์ต้องแบ่ง 10 เปอร์เซ็นต์ของค่าตัวที่ขายได้ให้กับทีมหงส์แดง ซึ่งเท่ากับ 1.75 ล้านปอนด์นั่นเอง

นั่นเท่ากับว่า ลิเวอร์พูลได้เงินจากอโวยินี่ทั้งทางตรงทางอ้อมรวมกัน 7.85 ล้านปอนด์ ซึ่งยังไม่รวมรายได้จากการปล่อยยืมให้กับ 6 สโมสรเข้าไปด้วย ลิเวอร์พูลสามารถนำเงินจำนวนนี้ไปซื้อนักเตะดาวรุ่งแววดีที่ผ่านการพิสูจน์ผลงานแล้วได้หนึ่งคน หรือเก็บสะสมเพื่อเอาไปทุ่มซื้อ จู้ด เบลลิงแฮม มิดฟิลด์ว่าที่ซูเปอร์สตาร์ของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในตลาดซัมเมอร์รอบหน้าก็ยังได้

เงื่อนไข “เซลล์-ออน” แหล่งรายได้ส้มหล่นของเหล่าสโมสรเล็ก

เซลล์-ออน มักเป็นแหล่งรายได้ของสโมสรเล็ก ๆ จากการขายนักเตะที่พวกเขามองว่าน่าจะไปได้ไกลในอนาคต ตัวอย่างที่เกิดขึ้นประมาณสองปีที่แล้วกับ แมทท์ โดเฮอร์ตี้ ฟูลแบ็คชาวไอริช ซึ่งย้ายจากวูลฟ์แฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส ไปอยู่กับท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2020 ด้วยค่าตัวระหว่าง 18-21 ล้านปอนด์หลังจากเล่นให้กับวูลฟ์สยาวนานหนึ่งทศวรรษ ลงสนาม 260 นัด

วูลฟ์แฮมป์ตันค้นพบโดเฮอร์ตี้ระหว่างเตะอุ่นเครื่องปรีซีซั่นกับ โบฮีเมี่ยนส์ เอฟซี ทีมในลีกไอร์แลนด์ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2010 แม้โดเฮอร์ตี้ไม่เคยเล่นทีมชุดใหญ่ของโบฮีเมี่ยนส์เลยสักนัด แต่ถูกเรียกตัวเข้ามาทดสอบฝีเท้าและได้เซ็นสัญญาสองปีกับทีมหมาป่า ซึ่งจ่ายค่าตัวให้ต้นสังกัดไปครั้งนั้น 75,000 ปอนด์

โดเฮอร์ตี้ย้ายไปค้าแข้งในพรีเมียร์ลีกกับวูลฟ์สและแฟนบอลโบฮีเมี่ยนส์อาจลืมชื่อเขาไปแล้วจนกระทั่งตกเป็นข่าวย้ายไปทีมสเปอร์สด้วยค่าตัว 18-21 ล้านปอนด์ เนื่องจากสัญญาเมื่อสิบปีที่แล้วระหว่างโบฮีเมี่ยนส์กับวูลฟ์สมีเงื่อนไขเซลล์-ออน 10เปอร์เซ็นต์รวมอยู่ด้วย ทำให้โบฮีเมี่ยนส์รับส่วนแบ่งไป 1.8-2.1 ล้านปอนด์ ซึ่งจำนวนอาจดูเล็กน้อยแต่มันคือรายได้ก้อนใหญ่มากของสโมสรไอริชแห่งนี้ที่มีแฟนบอลเป็นเจ้าของ และเมื่อปี 2016 มีรายได้รวมทั้งปีแค่ 945,000 ปอนด์ (ยังไม่หักหนี้สิน)

ยังมีสโมสรเล็กๆอีกหลายทีมที่ได้รับประโยชน์จากเงินส่วนแบ่งการขายอย่างเช่นเมื่อครั้ง อายเมริค ลาปอร์เต้ เซ็นเตอร์แบ็คชาวฝรั่งเศส ย้ายจากแอธเลติค บิลเบา ไปแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อปี 2018 ด้วยค่าตัว 57 ล้านปอนด์

ขณะอายุ 12 ปี ลาปอร์เต้เข้าร่วมทีมเยาวชนอะคาเดมี่ของ อาแฌ็ง ซึ่งแข่งขันในดิวิชั่น 8 ของลีกฝรั่งเศส และใช้เวลาที่นั้นนานสี่ปีก่อนย้ายไปอยู่กับอะคาเดมี่ของแอธเลติก บิลเบา เมื่อปี 2010 ด้วยวัย 16 ปี โดยอาแฌ็งจะได้รับส่วนแบ่ง 1เปอร์เซ็นต์ของการขยายลาปอร์เต้ในอนาคต

เซ็นเตอร์แบ็คดาวรุ่งจากเมืองน้ำหอมสามารถแจ้งเกิดได้สำเร็จบนแผ่นดินกระทิงดุ ลาปอร์เต้เล่นให้ทีมชุดใหญ่ของบิลเบาระหว่างปี 2012-2018 ลงสนาม 116 นัด ก่อนถูกแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซื้อตัวไปในตลาดหน้าหนาวปี 2018 ด้วยราคา 57 ล้านปอนด์ ทำให้เงินเกือบหกแสนปอนด์ถูกโอนเข้าบัญชีของอาแฌ็ง ช่วยให้สโมสรรอดพ้นจากการล้มละลายได้

“หงส์แดง” ลุ้นรอรับเงินจาก “เซลล์-ออน” ในสัญญาอีกหลายราย

เซลล์-ออน ไม่ได้คำนวณจากเปอร์เซ็นต์ของเงินขายนักเตะเท่านั้น แต่อาจคิดจากผลกำไรได้อีกด้วยอย่างเช่น ดาร์วิน นูนเยซ กองหน้าดาวรุ่งทีมชาติอุรุกวัยที่เพิ่งย้ายไปอยู่ลิเวอร์พูลด้วยค่าตัวเมื่อรวมเงื่อนไขแอด-ออนแล้วตก 85 ล้านปอนด์ เคยมีเงื่อนไขเซลล์-ออนที่กำหนดว่า เบนฟิก้าต้องจ่าย 20 เปอร์เซ็นต์ของกำไรการขายให้กับ อัลเมเรีย ต้นสังกัดเก่าของนูนเยซในสเปนก่อนย้ายเข้าเบนฟิก้าเมื่อปี 2020 

สัญญาซื้อขายนักฟุตบอลก็คือเอกสารทางกฎหมายอย่างหนึ่งแต่มีเงื่อนไขผูกมัดหลายประเด็น แต่ข้อมูลที่ปรากฏบนหน้าสื่อมักเป็นเพียงค่าตัว ค่าเหนื่อย และระยะเวลา ช่วงหลังๆจะพบอ็อปชั่นซื้อขาด, อ็อปชั่นต่อสัญญา และโบนัสแอด-ออน ซึ่งเป็นเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มตามผลงานของนักเตะหรือสโมสรใหม่ แต่ความจริงแล้วยังมีเงื่อนไขปลีกย่อยอื่นๆอีกดังเช่น เซลล์-ออน ที่ถูกหยิบมาพูดถึงจากกรณีของ ไตโว อโวนิยี่

ในอนาคต ลิเวอร์พูลอาจได้เงินส้มหล่นลักษณะนี้อีกเพื่อนำไปใช้จ่ายซื้อนักเตะใหม่เพื่อเสริมเขี้ยวเล็บไล่ล่าแชมป์พรีเมียร์และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สองเป้าหมายใหญ่ของสโมสร เพราะเท่าที่ได้รับการเปิดเผยยังมีอดีตผู้เล่นของลิเวอร์พูลมีพันธะเซลล์-ออนกับสโมสรที่ซื้อไปรวม 15 คนคือ

  • หลุยส์ อัลแบร์โต้ (ลาซิโอ) – 30 เปอร์เซ็นต์
  • แดนนี่ วอร์ด (เลสเตอร์) – 20 เปอร์เซ็นต์
  • ไรอัน เคนท์ (เรนเจอร์ส) – 20 เปอร์เซ็นต์
  • ราฟา คามาโช (สปอร์ติ้ง ลิสบอน) – 20 เปอร์เซ็นต์
  • โดมินิค โซแลงเก้ (บอร์นมัธ) – 20 เปอร์เซ็นต์ จากกำไร
  • อัลแลน โรดริเกวส (แอตเลติโก ไมเนียโร)  – 10 เปอร์เซ็นต์
  • ไรอัน บริวสเตอร์ (เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด) – 15 เปอร์เซ็นต์
  • ไค-จานา ฮูเวอร์ (วูลฟ์แฮมป์ตัน) – 15 เปอร์เซ็นต์
  • โอวี่ อียาเรีย (เรดดิ้ง) – 20 เปอร์เซ็นต์
  • เฮอร์บี เคน (บาร์สลีย์) – 15 เปอร์เซ็นต์
  • คามิล กราบารา (โคเปนเฮเกน) – 20 เปอร์เซ็นต์
  • เลียม มิลลาร์ (บาเซิล) – 20 เปอร์เซ็นต์
  • แฮร์รี่ วิลสัน (ฟูแลม) – 15 เปอร์เซ็นต์
  • มาร์โก กรูซิช (ปอร์โต) – 10 เปอร์เซ็นต์

ในอดีต ลิเวอร์พูลเคยได้รับประโยชน์ทั้งจากส่วนแบ่งการขายและเงื่อนไขเซลล์-ออนหมดอายุมาแล้วกับกรณีของ ไอบ์, เซอร์ไก คานอส, แบรด สมิธ, ติอาโก อิลอรี, บ็อบบี้ ดันแคน และ มาริโอ บาโลเตลลี่

ลิเวอร์พูลยังมีช่องทางใช้ประโยชน์จากเงื่อนไขเซลล์-ออนที่เคยทำไว้กับหลายทีม รวมถึงตัวอย่างที่ไม่ได้พบบ่อยกับการซื้อตัวกลับมาเช่น รายของแฮร์รี่ วิลสัน ปีกชาวเวลส์ ซึ่งฟูแลมเพิ่งซื้อขาดหลังประทับใจผลงานช่วงยืมตัว สมมุติว่าวันหนึ่ง ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ เจรจาขอซื้อจากฟูแลมที่ค่าตัว 25 ล้านปอนด์ ลิเวอร์พูลสามารถขอซื้อด้วยราคาหลังหักส่วนลด 15เปอร์เซ็นต์ หรือ 21.25 ล้านปอนด์ เพื่อเซ็นสัญญากับอดีตผู้เล่นที่ไม่เคยได้เล่นกับทีมเลยระหว่างมีสัญญาในแอนฟิลด์ระหว่างปี 2015-2022 เพราะถูกปล่อยยืมตลอดเหมือนกับอโวนิยี่ หรือถ้าไม่ต้องการตัวกลับ ลิเวอร์พูลก็ยังได้ส่วนแบ่ง 15เปอร์เซ็นต์เมื่อฟูแล่มขายให้สเปอร์ส

บางทีการซื้อขายนักเตะสักคนหนึ่งใช้เวลาเนิ่นนานเยิ่นเย้อไม่ใช่เพราะตกลงค่าตัวค่าเหนื่อยกันไม่ได้ แต่อาจเป็นเงื่อนไขเล็กๆน้อยๆที่แทรกอยู่ในสัญญาก็เป็นได้

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา

Categories
Special Content

“คล็อปป์” กับปฏิบัติการสร้างลิเวอร์พูล “เน็กซ์-เจน” ไล่ล่าความสำเร็จช่วงสี่ปีถัดจากนี้

สองเดือนก่อน เยอร์เกน คล็อปป์ ได้ขยายสัญญากับลิเวอร์พูลเพิ่มสองปีไปสิ้นสุดยังปี 2026 นั่นเท่ากับว่ายอดกุนซือเยอรมันวัย 55 ปี จะคุม “เดอะ เรดส์” นานสิบเอ็ดปีนับตั้งแต่เข้ามาทำหน้าที่แทน เบรนแดน รอดเจอร์ส เมื่อเดือนตุลาคม 2015

สี่ซีซั่นถัดไปกับผลงานล่าสุดที่เกือบหอบสี่โทรฟี่สำคัญเข้าไปวางในตู้โชว์ถิ่นแอนฟิลด์ แม้ไม่ปริปากบอกออกมาแต่เชื่อว่า คลอปป์รู้ดีว่าเขาสามารถชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก, พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และลีก คัพ ในปีเดียวกันได้ นั่นหมายถึงขุมกำลังผู้เล่นต้องสมบูรณ์ครบเครื่องทั้งจำนวนและคุณภาพ ตัวจริงตัวสำรองทดแทนกันได้ เราจึงเห็นปฎิบัติการในตลาดนักเตะช่วง 1-2 ปีอย่างมีนัยยะ ลิเวอร์พูลภายใต้การนำของ จูเลียน วอร์ด ผู้อำนวยการด้านกีฬา จึงซื้อน้อยแต่เน้นถูกจุดถูกคน ยอมเปย์หนักเมื่อถึงเวลาอย่างกรณี ดาร์วิน นูนเญซ ที่จ่ายระดับสร้างสถิติสูงสุดใหม่ของสโมสร

ว่ากันว่า หงส์แดงจบภารกิจในตลาดปีนี้ไปแล้วหลังจากได้ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ มิดฟิลด์ตัวรุกวัย 19 ปี ทีมชาติโปรตุเกส ยู-21 จากฟูแลม, นูนเญซ กองหน้าวัย 22 ปี ทีมชาติอุรุกวัยจากเบนฟิกา และ คัลวิน แรมเซย์ แบ็คขวาวัย 18 ปี ทีมชาติสกอตแลนด์ ยู-21 จากอเบอร์ดีน รวมถึง หลุยส์ ดิอาซ ปีกซ้ายวัย 25 ปี ทีมชาติโคลอมเบียจากปอร์โต เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

ลิเวอร์พูลวางแผนระดับ “บิ๊ก ดีล” อีกสิบสองเดือนข้างหน้าไว้เรียบร้อยสำหรับการเสริมตำแหน่งมิดฟิลด์กลางสนาม ซึ่งลือให้แซ่ดว่า “เอาแน่” กับ จูด เบลลิงแฮม มิดฟิลด์วัย 18 ปี ทีมชาติอังกฤษของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ซึ่งสามารถเล่นมิดฟิลด์ริมสนามทั้งซ้ายขวาด้วย

จะเห็นว่าระยะหลัง ลิเวอร์พูลเน้นเสริมผู้เล่นใหม่อายุไม่เกิน 25 ปีเพื่อเป็นการเปลี่ยนถ่ายจากรุ่นสู่รุ่นแม้ตัวหลักที่นำความสำเร็จมาให้ยังอยู่และมีอายุยี่สิบปลายๆถึง 30 ปี

ถึงเวลา “คลอปป์” เปลี่ยนกระดูกสันหลังหงส์แดงใหม่

ย้อนเวลาไปยังปี 2015 โรแบร์โต เฟียร์มิโน เป็นหนึ่งในนักเตะที่ เยอร์เกน คล็อปป์ ใช้เป็นศูนย์กลางในการสร้างทีมหงส์แดงของเขา ฟอร์มกองหน้าทีมชาติบราซิลอยู่ในช่วงพีคด้วยวัยประมาณ 24 ปี 

กูรูลูกหนังบางคนมองว่า เฟียร์มิโนเป็นชิ้นแรกของกระดูกสันหลังของหงส์แดงยุคกุนซือเยอรมัน ตามมาด้วย เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ในเดือนมกราคม 2018 เป็นชิ้นที่สองด้วยสถิติค่าตัวแพงที่สุด(ขณะนั้น)ของสโมสร และหกเดือนต่อมา คล็อปป์ก็ได้ ฟาบินโญ และ อลิสซอน เบคเกอร์ เพื่อประกอบเป็นกระดูกสันหลังที่สมบูรณ์

ผลลัพธ์คือถ้วยชนะเลิศ แชมเปียนส์ ลีก, พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ, ยูฟา ซูเปอร์ คัพ และฟีฟา คลับ เวิลด์ คัพ อย่างละหนึ่งสมัยภายในเวลาเพียงสี่ปี ยังไม่นับตำแหน่งรองแชมป์ แต่ถึงเวลาที่คล็อปป์ต้องหาชิ้นส่วนเพื่อประกอบกระดูกสันหลังของลิเวอร์พูลขึ้นมาใหม่เพื่อสานต่อความสำเร็จอีกสี่ปีข้างหน้าตามระยะเวลาของสัญญา

ตอนนี้ เฟอร์มิโนและฟาน ไดจ์ค อายุ 30 ปีแล้ว อลิสซอน 29 และ ฟาบินโญ 28 แม้นายประตูเมืองกาแฟจะเล่นระดับท็อปได้นานกว่าคนอื่น แต่สักวันคล็อปป์ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องหาคนมารับหน้าที่แทน

เดอะ เรดส์ เพิ่งได้นูนเญซในวัยเพียง 22 ปี ซึ่งน่าจะเป็นกองหน้าแกนหลักให้ทีมจนถึงปลายทศวรรษ และสิบสองเดือนก่อนหน้า อิบราฮิมา โกนาเต เซ็นเตอร์แบ็ควัย 23 ปี ที่มีส่วนสูง 6 ฟุต 4 นิ้ว ได้ย้ายมาจาก แอร์เบ ไลป์ซิก เมื่อรวมกับอลิสซอน ก็เหลือกระดูกสันหลังชิ้นสุดท้ายที่คล็อปป์ต้องหามาให้ได้ ซึ่งสื่อมวลชนฟันธงเรียบร้อยแล้วว่า เขาจะรออีกหนึ่งปีเพื่อดึงเบลลิงแฮมมาจากดอร์ทมุนด์

ส่วนซาลาห์นั้น พิจารณาจากสภาพร่างกายน่าจะยังเล่นระดับสูงได้อีก 2-3 ปี เรื่องของสัญญาที่ยังเหลือถึงปลายเดือนมิถุนายน 2023 ก็ยังคลุมเคลือ มีความเป็นไปได้ที่ลิเวอร์พูลอาจปล่อยให้เขาหมดสัญญากลายเป็นฟรีเอเยนต์เนื่องจากสตาร์ทีมชาติอียิปสต์เรียกร้องค่าเหนื่อยใหม่สูงถึง 400,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ มากกว่าที่ได้รับตอนนี้ถึงสองเท่า ขณะที่ฟาน ไดจ์ค ซึ่งเป็นผู้เล่นหงส์แดงที่รับค่าจ้างสูงสุดตอนนี้ มีรายได้เพียง 220,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์เท่านั้น

มาเนได้เก็บข้าวของย้ายไปร่วมถ้ำเสือที่บาเยิร์น มิวนิก เป็นที่เรียบร้อย เหลือเพียงเฟอร์มิโน ซึ่งน่าจะเป็นกองหน้าสามประสานรุ่นแรกคนเดียวที่ยังได้ไปต่อกับคลอปป์ กองหน้าเลือดแซมบาอาจพอใจที่จะต่อสัญญา 1-2 ปีและเรียกร้องค่าเหนื่อยที่ลิเวอร์พูลพอรับไหว

“คลอปป์” อาจกลับไปใช้แผน 4-2-3-1 เหมือนที่ดอร์ทมุนด์

ผู้สันทัดกรณีวิเคราะห์ว่า มีเรื่องหนึ่งที่ “เดอะ เรดส์” รุ่นต่อไปของ เยอร์เกน คลอปป์ อาจเปลี่ยนไปนั่นคือ “ระบบการเล่น” จากเดิมหมากกระดาน 4-3-3 ซึ่งมีสามประสานกองหน้า โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน และโรแบร์โต เฟอร์มิโน เป็นดาราชูโรง แต่ฤดูกาล 2022-23 บรรดา “เดอะ ค็อป” อาจเห็นฟอร์แมท 4-2-3-1 มากขึ้น และอาจเข้ามาแทนที่ 4-3-3 เต็มตัวในอนาคต การเปลี่ยนแปลงนี้ก็เพื่อสนับสนุนกองหน้า “เน็กซ์-เจน” ให้งัดศักยภาพออกมาได้มากที่สุด

ย้อนกลับไปที่ปี 2016 หลังจากคลอปป์ทำงานที่แอนฟิลด์ได้หนึ่งปี ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนถ่ายอย่างมีนัยยะจาก 4-2-3-1 ที่เขาใช้กับดอร์ทมุนด์และระยะแรกกับลิเวอร์พูล มาเป็น 4-3-3 ที่นำความสำเร็จมาให้กับสโมสรตลอดช่วงที่ผ่านมา

4-2-3-1 เอื้ออำนวยให้กุนซือเยอรมันวางมิดฟิลด์กลางสนามเพียงสองคนแทนสามคน ทั้งคู่จะมีหน้าที่รับผิดชอบลดน้อยลงเพื่อดูแลพื้นที่ตรงกลางจากหน้ากรอบเขตโทษระหว่างสองฝั่งสนามเท่านั้น

การเข้ามาของนูนเญซจากเบนฟิกาอาจทำให้คลอปป์กลับไปใช้ 4-2-3-1 หรืออย่างน้อยอาจได้เห็น 4-2-3-1 มากขึ้นในซีซั่นใหม่ บางทีอาจเริ่มจาก “ศึกแดงเดือด” กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในสนามราชมังคลากีฬาสถาน กรุงเทพฯ ในวันที่ 12 กรกฎาคมนี้ก็ได้

กูรูลูกหนังเยอรมันและแฟนบอลส่วนหนึ่งของบาเยิร์น มิวนิก รู้สึกผิดหวังที่ทีมเสือใต้ไม่พยายามที่จะดึงนูนเญซมาแทนโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี ที่ขอขึ้นบัญชีย้ายทีมไปเรียบร้อยแม้เหลือสัญญาอีกหนึ่งปี โดยก่อนหน้าย้ายมาอยู่กับมหาอำนาจลีกเมืองเบียร์ ศูนย์หน้าทีมชาติโปแลนด์คือคนสำคัญของคลอปป์ในทีมดอร์ทมุนด์ ด้วยสไตล์ที่คล้ายคลึงของเลวานดอฟสกีและนูนเญซทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ว่า นูนเญซคือเลวานดอฟสกีคนใหม่ของคลอปป์ในยูนิฟอร์มสีแดง นั่นทำให้ 4-2-3-1 ถูกหยิบมาใช้อีกครั้ง

หรือระหว่างรอ เบลลิงแฮม มิดฟิลด์ตัวความหวัง แผน 4-2-3-1 ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลย คลอปป์มีแนวรุกเหลือเฝือที่จะให้อยู่ข้างหลังนูนเญซจากนั้นเลือกกองกลางสองคนจาก ฟาบินโญ, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เธียโก อัลกันตารา, นาบี คิเอตา และ เจมส์ มิลเลอร์ ส่วน เคอร์ติส โจนส์ อาจถ่างออกไปด้านข้างฝั่งซ้ายซึ่งเขาทำได้ดีไม่แพ้กลางสนาม

ใครจะอยู่ข้างหลังนูนเญซบนหมากกระดาน 4-2-3-1 คลอปป์มีตัวเลือกหลายคนขึ้นอยู่กับว่าต้องการเพลย์เมคเกอร์ เบอร์สิบ หรือหน้าต่ำ ตัวซัพพอร์ทศูนย์หน้า ซึ่งเฟอร์มิโนรับจ็อบทั้งสองอย่างสบาย หรืออัลกันตาราที่เพียบพร้อมด้วยเทคนิคและครีเอทีฟ พร้อมลงตำแหน่งเบอร์สิบ แม้กระทั่งนักเตะหนุ่ม ฮาร์วีย์ เอลเลียต และ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ บางทีเบอร์สิบอาจเหมาะกับทั้งคู่ที่มีเล่นได้สารพัดประโยชน์กับแผน 4-3-3 หรือถ่างออกพื้นที่กว้างของ 4-2-3-1

ตัวเลือกอีกคนคือ ดีโอโก โซตา ซึ่งบางครั้งเคยทำหน้าที่ใกล้เคียงกันในทีมวูลฟ์แฮมป์ตัน อยู่ข้าง ๆ หรือด้านหลัง ราอูล ฆิเมเนซ ที่เป็นศูนย์หน้าตัวเป้า อย่างซีซั่นที่แล้วโซตาแสดงให้เห็นสัญชาติญาณจบสกอร์ในเขตโทษแถมมีการเล่นลูกกลางอากาศได้น่าประทับใจ ลองจิตนาการการรอโหม่งของโซตาที่อยู่หลังนูนเญซ ซึ่งรองรับหมากเกม 4-2-4 ของคลอปป์ในจังหวะที่ต้องไล่ล่าประตูเพิ่มได้ โดยฤดูที่แล้ว โซต้าและนูนเญซทำสกอร์จากศีรษะคนละ 6 ประตูให้กับต้นสังกัด หรือคลอปป์อาจปรับให้ เทรนท์ อเลกซานเดอร์-อาร์โนลด์ เข้าไปอยู่แดนกลางมากกว่ารอจังหวะโอเวอร์แลป ซึ่งจะกลายเป็น 2-3-5

หากคล็อปป์ยังยึดมั่นกับ 4-3-3 ต่อไป เขาสามารถมอบหมายให้นูนเญซเล่นปีกซ้ายเปิดบอลไปให้ศูนย์หน้า เฟอร์มิโนหรือ ดีโอโก โซตา หรืออาจเป็น 4-4-2 เพราะที่ลีกโปรตุเกส นูนเญซเคยยืนกองหน้าคู่เพื่อเปิดโอกาสให้ลิเวอร์พูลแพ็คแดนกลางให้แน่นขึ้น

ความจริงแล้วนูนเญซเป็นกองหน้าสารพัดประโยชน์ เล่นได้ทั้งศูนย์หน้าตัวเป้า, หน้าต่ำ และปีกซ้าย จึงน่าติดตามทีเดียวว่า คลอปป์จะใช้ลูกทีมใหม่ค่าตัว 85 ล้านปอนด์อย่างไร เมื่อรวมกับเหล่าลูกทีมเจนเนอเรชั่นต่อไปที่เข้ามาแอนฟิลด์ช่วงหลัง จะทำให้คลอปป์วางหมากเกมได้หลากหลายรูปแบบขึ้น ช่วยสร้างความตื่นตาตื่นใจกับการรับชมเกมบนฟลอร์หญ้าของสาวกหงส์แดงอย่างแน่นอน

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา