Categories
Football Business

แฟร์เพลย์ทางการเงิน : เปิดเพดานค่าใช้จ่ายของสโมสรในลาลีกา ช่วงต้นปี 2022

เมื่อวันจันทร์ที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา ลาลีกา ลีกฟุตบอลอาชีพของสเปน ได้ออกมาเปิดเผยงบการเงินของ20 สโมสรในดิวิชั่น 1 (LaLiga Santander) และ 22 สโมสรในดิวิชั่น 2 (LaLiga Smartbank)

หลังจากที่ตลาดซื้อ-ขายนักเตะช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาได้ปิดทำการเรียบร้อย แต่ละสโมสรได้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเงิน ซึ่งส่งผลถึงเพดานค่าใช้จ่ายที่ถูกกำหนดไว้ ตามกฎควบคุมการเงินของลาลีกา

แล้วมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายและหนี้สิน ส่งผลอย่างไรกับวงการลูกหนังแดนกระทิงดุ วันนี้เพจ “ไข่มุกดำ” จะมาขยายให้ฟังกันครับ

“ลา คอรุนญ่า” จากฟ้าสู่เหว

ในวงการฟุตบอลสเปน เคยมีสโมสรหนึ่งที่ล่มสลายเพราะปัญหาการเงิน นั่นคือเดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่า สโมสรจากแคว้นกาลีเซีย ที่เคยขึ้นสู่จุดสูงสุด ถึงขั้นคว้าแชมป์ลาลีกามาแล้วเมื่อปี 2000

ยุครุ่งเรืองของลา คอรุนญ่า เป็นช่วงที่เอากุสโต้ เซซาร์ เลนดอยโร่ เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานสโมสร เขาเป็นผู้ที่มีความทะเยอทะยานอย่างสูง ในการพาลา คอรุนญ่า ประสบความสำเร็จให้ได้

ความสำเร็จของ “ซูเปอร์เดปอร์” ในยุคของประธานเลนดอยโร่ นอกจากแชมป์ลาลีกาครั้งเดียวในประวัติศาสตร์สโมสรเมื่อ 22 ปีก่อนแล้ว ยังมีแชมป์โคปา เดล เรย์ 1 สมัย และแชมป์สแปนิช ซูเปอร์คัพ 3 สมัย

กระทั่งในปี 2005 ลา คอรุนญ่า ไม่สามารถทำอันดับเพื่อคว้าสิทธิ์ไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และฆาเบียร์ อีรูเรต้า ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม ยุคทองของลา คอรุนญ่า ก็สิ้นสุดลง

https://today.line.me/th/v2/article/l8BD0L

การที่ลา คอรุนญ่า ไม่ได้เข้าร่วมแข่งขันยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทำให้สโมสรขาดรายได้ก้อนโต อีกทั้งหนี้สินที่พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ จึงจำเป็นต้องปล่อยนักเตะตัวหลักออกไปหลายคน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย

ท้ายที่สุด ลา คอรุนญ่า ก็ไม่สามารถฝืนความจริงอันโหดร้ายได้ ต้องตกชั้นจากลาลีกา ในฤดูกาล 2010/11 ตามมาด้วยหนี้สินที่พุ่งสูงถึง 160 ล้านยูโร ส่งผลให้เลนดอยโร่ ประธานสโมสรต้องออกจากตำแหน่ง

ถึงแม้จะเลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่ลีกสูงสุดได้พักใหญ่ๆ แต่ก็ต้องตกชั้นกลับลงไปอีก และร่วงลงสุดขีดถึงขั้นลงไประดับดิวิชั่น 3 ในปัจจุบัน ซึ่งไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่า เดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่า จะกลับขึ้นสู่จุดนั้นได้อีกเมื่อไหร่

แชมป์ในสนาม แต่ช้ำนอกสนาม

เรอัล มาดริด และบาร์เซโลน่า ถึงแม้จะเป็น 2 สโมสรที่คว้าโทรฟี่มากที่สุดในวงการลูกหนังสเปน แต่สิ่งที่ทั้งคู่ประสบปัญหาไม่ต่างกันเลยคือ ปัญหาภาวะหนี้สินที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมานานหลายปี

แน่นอนว่า ทั้งเรอัล มาดริด และบาร์เซโลน่า ต่างแข่งขันกันอย่างดุเดือดทั้งในสนามและนอกสนาม เพื่อแย่งชิงความสำเร็จ เพราะแฟนบอลทั้ง 2 ทีมคงยอมไม่ได้ ถ้าพ่ายแพ้ให้กับคู่ปรับตลอดกาล

แต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เรอัล มาดริด และบาร์เซโลน่า ได้รับผลกระทบหนักพอสมควร จากการที่สโมสรไม่มีรายรับ มีแต่รายจ่าย ส่งผลให้ทั้งคู่ประสบปัญหาทางการเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

https://web.facebook.com/RealMadrid

เริ่มกันที่เรอัล มาดริดกันก่อน ภาวะหนี้สินของยักษ์ใหญ่จากเมืองหลวงของสเปน เกิดจากนโยบาย “กาลาติกอส” ของฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสร ที่ใช้เงินซื้อนักเตะระดับเวิลด์คลาสเข้าสู่ทีมมากมาย

นับจนถึงปัจจุบัน ราชันชุดขาวมีหนี้สินมากถึง 651 ล้านยูโร เกิดจากการแบกรับค่าเหนื่อยนักเตะที่มหาศาล อีกทั้งมีการปิดปรับปรุงสนามซานติอาโก้ เบอร์นาเบว ในช่วงที่สถานการณ์โควิด-19 ระบาด

แต่ทีมที่สาหัสกว่า ก็เห็นจะเป็นบาร์เซโลน่า ที่มียอดหนี้สินพุ่งสูงถึง 1 พันล้านยูโร แถมยังค้างค่าตัวนักเตะจากสโมสรอื่นๆ หลายคน ซึ่งยอดหนี้สินจำนวนนี้ มีความสุ่มเสี่ยงอาจถึงขั้นล้มละลายได้เลยทีเดียว

นอกจากปัญหาโควิด-19 แล้ว สาเหตุสำคัญที่ทำให้บาร์ซ่ามีหนี้สินท่วมท้นขนาดนี้ เพราะการบริหารงานที่ผิดพลาดในยุคที่โจเซป มาเรีย บาร์โตเมว เป็นประธานสโมสรในช่วงระหว่างปี 2014-2020

บาร์โตเมว มีนโยบายซื้อนักเตะราคาแพง สมกับฉายา “เจ้าบุญทุ่ม” โดยจ่ายเงินไปเกือบ 1 พันล้านยูโร แต่ต้องแลกมาด้วยการแบกภาระค่าเหนื่อยของผู้เล่นที่สูงถึง 74 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ทั้งหมด

เมื่อสถานะทางการเงินได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทำให้มีความพยายามในการลดรายจ่ายให้ได้มากที่สุด ซึ่งหนึ่งในแนวคิดในการลดรายจ่ายคือ การปล่อยตัวลิโอเนล เมสซี่ ออกจากสโมสร

แน่นอนว่า การปล่อยซูเปอร์สตาร์หมายเลข 1 ของทีมอย่างเมสซี่ เป็นสิ่งที่สาวกอาซุลกราน่า ไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่ท้ายที่สุด เมสซี่เป็นฝ่ายที่ต้องออกจากสโมสร ทิ้งผลงานที่ยิ่งใหญ่ให้แฟนๆ ได้จดจำ

เมื่อบาร์ซ่าไม่สามารถรั้งเมสซี่ไว้ได้ ทำให้บาร์โตเมว ต้องอำลาตำแหน่ง พร้อมกับส่งต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการบริหารที่ผิดพลาด ไปให้โจน ลาปอร์ต้า ที่กลับมารับตำแหน่งประธานสโมสรอีกครั้ง

จากภาวะหนี้สินที่ท่วมท้น นั่นทำให้ 2 ยักษ์ใหญ่ของสเปน ตัดสินใจเข้าร่วมโปรเจค “ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ลีก” ร่วมกับอีก 10 สโมสรชั้นนำของยุโรป เพื่อหวังรายได้ที่เข้ามาอย่างจุใจ แต่โปรเจคนี้ก็ถูกล้มในที่สุด

ตัวอย่างจากการที่สโมสรฟุตบอลระดับยักษ์ใหญ่ของวงการ ใช้จ่ายเงินอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง จนเกิดหนี้สิน แล้วคิดว่าในอนาคตจะมีเงินเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย คือหลักความคิดที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง

ควบคุมการเงินเพื่อความยั่งยืน

นับตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา สโมสรในลาลีกาได้ลงมติเห็นชอบให้มีการกำหนดกรอบควบคุมการเงินและหนี้สิน เพื่อป้องกันไม่ให้สโมสรใช้จ่ายเงินแบบเกินตัว และส่งผลถึงความยั่งยืนในระยะยาว

สำหรับกรอบควบคุมการเงินของลาลีกานั้น จะแตกต่างจากกฎไฟแนนเชียล แฟร์ เพลย์ ของยูฟ่า โดยจะมีการวิเคราะห์สภาพการเงิน โดยใช้เพดานค่าใช้จ่ายที่แต่ละสโมสรจะนำไปใช้จ่ายล่วงหน้าได้

จาก 20 สโมสรในลีกสูงสุด มีถึง 12 ทีม ที่สามารถเพิ่มเพดานในการใช้จ่ายที่มากขึ้น, มี 7 ทีม ที่ถูกลดเพดานค่าใช้จ่ายลง และเรอัล มาดริด เป็นทีมที่ทีเพดานสูงสุด คือ 739 ล้านยูโร ซึ่งเท่ากับช่วงซัมเมอร์ปี 2021

ฆาเบียร์ โกเมซ ผู้อำนวยการทั่วไปของลาลีกา แถลงว่า “สถานการณ์ทางการเงินเมื่อเทียบกับช่วงซัมเมอร์ปีที่แล้ว ถือว่าเป็นไปในทางที่ดีขึ้น เพราะแต่ละสโมสรได้ประเมินถึงความสูญเสียที่อาจมากกว่าความเป็นจริง”

บาร์เซโลน่า เป็นเพียงสโมสรเดียวใน 44 สโมสรของลาลีกาทั้ง 2 ดิวิชั่น ที่มีตัวเลขติดลบมากถึง 144 ล้านยูโร เมื่อเทียบกับช่วงตลาดนักเตะซัมเมอร์ปีที่แล้ว ที่ยักษ์ใหญ่แห่งคาตาลัน มีสิทธิ์ใช้จ่ายได้สูงสุด 97 ล้านยูโร

ตามกฎข้อที่ 100 ของลาลีการะบุว่า อนุญาตให้สโมสรใช้จ่ายเงินที่สูงกว่าเพดานที่กำหนดไว้ ถ้าสามารถลดค่าใช้จ่ายได้เท่าไหร่ ก็จะได้รับอนุญาตให้ใช้จ่ายได้ 25 เปอร์เซ็นต์ แต่อาจยืดหยุ่นได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์

โกเมซ ได้อธิบายถึงกฎ 1 ใน 4 ว่า “ลาลีกาสนับสนุนให้ทุกสโมสรมีความสามารถในการแข่งขันที่ดี ควบคู่ไปกับการสร้างสภาพทางการเงินในด้านบวก ทางลาลีกาอนุญาตให้ซื้อผู้เล่นได้ แต่มีเงื่อนไขบางประการ”

“เมื่อสโมสรมีการซื้อผู้เล่นใหม่ เราจะบังคับให้มีการตัดค่าใช้จ่ายพร้อมกับการซื้อผู้เล่นด้วย ยกตัวอย่างเช่น หากสโมสรสามารถประหยัดเงินได้ 100 ล้านยูโร ก็จะอนุญาตให้ใช้จ่ายได้ 25 ล้านยูโร”

ผลจากการกำหนดกรอบควบคุมค่าใช้จ่ายและหนี้สินของลาลีกาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้หลายๆ สโมสร ค่อยๆ เพิ่มเพดานในการใช้จ่ายที่มากขึ้น และหนี้สินของแต่ะสโมสรเริ่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ถึงแม้ว่าจะมีเหตุการณ์ใหญ่อย่างการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลให้อุตสาหกรรมฟุตบอลทั่วโลกได้รับผลกระทบ แต่ทั้ง 44 สโมสร จาก 2 ดิวิชั่นของลาลีกา ก็สามารถเอาตัวรอดจากวิกฤตดังกล่าวได้

โกเมซ สรุปปิดท้ายว่า “เราไม่มีความกังวลเลย ถึงแม้ว่าบางสโมสรอย่างเช่น บาร์เซโลน่า อาจมีปัญหามากกว่าสโมสรอื่นๆ แต่เราก็แสดงให้เห็นแล้วว่า มาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายและหนี้สินนั้นได้ผลที่ดี”

ในวงการฟุตบอล การบริหารจัดการเงิน คือสิ่งที่สำคัญที่สุดของทุกสโมสรฟุตบอลในโลก ความทะเยอทยานที่มาพร้อมกับวินัยทางการเงิน จะช่วยให้สโมสรฟุตบอลอยู่รอดได้ในระยะยาวอย่างแน่นอน

Author : จักรพันธ์ ภู่ทอง

Photo : Marca

อ้างอิง :

– https://www.fourfourtwo.com/features/deportivo-coruna-la-liga-segunda-champions-league-title-1999-2000

– https://theathletic.com/1432334/2019/12/05/this-is-the-worst-crisis-in-our-history-and-we-must-act-before-it-is-too-late-how-deportivo-went-from-title-winners-to-the-verge-of-oblivion-in-20-years/

– https://www.fcbarcelona.com/en/club/news/1856468/the-201920-economic-year-ends-with-losses-of-97-million-euros-caused-by-the-effects-of-covid-19

– https://www.marca.com/en/football/barcelona/2022/03/14/622f3bd8ca4741dc348b45f7.html

Categories
Football Business

ElClásico Boat Party Exclusive Trip : ล่องเรือปาร์ตี้ พรีวิวก่อนเกม “ราชันชุดขาว” ปะทะ “เจ้าบุญทุ่ม”

เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมทางการตลาดของลีกฟุตบอลสเปน ลาลีกา ซึ่งมีสำนักงานตั้งอยู่ในประเทศไทย โดยตัวแทน มร.จอร์โจ ปอมปิลิ รอสซี ได้ต่อยอดการสร้างประสบการณ์ต่าง ๆ ของลาลีกาแบบครบวงจร 360 องศาทั้งใน และนอกสนามสู่แฟนลูกหนังชาวไทย และล่าสุด คือ งาน ElClásico Boat Party Exclusive Trip : ล่องเรือปาร์ตี้ พรีวิวก่อนเกม “ราชันชุดขาว” ปะทะ “เจ้าบุญทุ่ม” ที่จะมีขึ้นในวันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2565

โดยคอนเซ็ปต์ คือ พักเรื่องดูบอลในสนาม แล้วมาสนุกไปกับงานสุดพิเศษสำหรับคอบอล“ElClásico Boat Party Exclusive Trip” ซึ่งจะจัดเต็มพรีวิว พูดคุยก่อนเกมคู่บิ๊กแมตช์ระหว่าง “เรอัลมาดริด” ปะทะ “บาร์เซโลน่า” 3.00 นาฬิกาหลังเที่ยงคือวันอาทิตย์ที่ 20 มี.ค.2022 ที่เหล่าสาวกฟุตบอลสเปน ห้ามพลาด !!! ร่วมลุ้นรับสิทธิ์เข้างาน ฟรี! กิน ดื่ม ตลอดทริป 3 ชั่วโมงกับวิว 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และบทสนทนาลูกหนังสเปน

“กิจกรรมนี้เป็นอีกก้าวย่างของ ลาลีกา ในประเทศไทยที่มีความต้องการจะมอบประสบการณ์ร่วมกับฟุตบอลสเปนในรูปแบบต่าง ๆ ให้เกิดกับแฟนบอลชาวไทยที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะแค่การชมฟุตบอล เช่น ครั้งก่อนกับกิจกรรม กางเต็นท์ดูบอล LaLiga Football Camping หรืองานฟุตบอลพร้อมรับประทานอาหารสเปนจากภูมิภาคต่าง ๆ อิงกับเกมดาร์บี้แมตช์ และครั้งนี้ คือ การลงเรือทอดบรรยากาศริม 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของประเทศไทยโดยเราได้สอดแทรกคอนเทนท์เป็นการพูดคุยถึงเกม เอลกลาสซิโก สุดสัปดาห์นี้ระหว่าง เรอัล มาดริด – บาร์เซโลน่า เป็นตัวชูโรงบทสนทนาบนเรือที่จะได้กูรูบอลสเปนที่หลายคนชื่นชอบมาเล่าเรื่องราวดี ๆ ให้ฟัง อีกทั้งแขกรับเชิญบนเรือยังจะได้สัมผัสบรรยากาศที่ทางลาลีกาบรรจงจัดเตรียมไว้ให้บนเรือร่วมกับสื่อมวลชนสายฟุตบอลในประเทศไทย”

มร.จอร์โจ ปอมปิลิ รอสซี กล่าว

ล่องเรือดินเนอร์ ปาร์ตี้ยามเย็น ดื่มด่ำกับบรรยากาศแม่น้ำเจ้าพระยาสุดโรแมนติกไปด้วยกัน ท่ามกลางวิวเปิดโล่ง บนเรือส่วนตัว “เรือสบาย ครุยส์” พร้อมกับพบแขกรับเชิญสุดพิเศษ และอินฟลูเอนเซอร์ตัวจริง สายฟุตบอล นำโดย เจมส์ ลาลีกา และเดอะนัทซัดหมดแม็กซ์ ที่จะมาร่วมสร้างสีสัน และความสนุกไปด้วยกัน

นอกจากนี้ภายในงานมีกิจกรรมให้ร่วมชิงของรางวัลอีกมากมาย อาทิ ทริป 3 วัน 2 คืนพร้อม pocket money บินไปพักที่ภูเก็ตกับโรงแรมหรู และเพลิดเพลินไปกับดนตรี กิจกรรมสนุก ๆ ระหว่างดินเนอร์บนเรือหรูตลอดช่วงเวลา

ย้ำ….งานนี้ลุ้นรับสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรมฟรี !! (จำนวนจำกัด)

กติกาลุ้นรับสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรมฟรี!

1. สแกน QR Code หรือ คลิกที่ลิงนี้ https://bit.ly/34JdL1C แล้วกรอกข้อมูลตามขั้นตอน

2. แจ้งชื่อ-นามสกุล เบอร์ติดต่อ และ E-mail 

3. ส่งภาพถ่ายที่แสดงความเป็น LaLiga ของคุณมาในแบบฟอร์ม

กติกาลุ้นรับสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรมฟรี!

สำหรับการประกาศผลว่าใครจะเป็นผู้โชคดีได้เข้าร่วมกิจกรรม จะทำการประกาศในวันที่ 17 มีนาคม 65 ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อไป พร้อมส่งการ์ดเชิญให้ทาง E-Mail

สุดท้ายนี้ อย่าลืม ! แอดไลน์ @khaimukdam กันไว้ เพื่อไม่ให้พลาดกิจกรรมดี ๆ แบบนี้ และสามารถเข้ามาพูดคุย สอบถามกันได้

แล้วเตรียมตัวไปสนุกด้วยกัน…

กำหนดการงาน LaLiga x M88 (ล่องเรือ 3 ชม)

ท่าเรือราชบูรณะ เข้าซอยราชบูรณะ 23 (ปากทางเป็นสำนักงานเขตฯ) 

ผู้เข้าร่วมงาน 80 คน

🔺16.20-17.45 น. ลงทะเบียน พร้อมตรวจ ATK และสแกน QR Code

🔺18.00 เรือออกจากท่า

🔺18.10 พิธีกรกล่าวต้อนรับแขกพิเศษทุกคน

🔺18.15 ตัวแทนลาลีกาจากสิงคโปร์กล่าว และ Talk KOLs

🔺19.00 ถ่ายภาพรวม

🔺19.05 แจ้งกิจกรรมร่วมสนุกบนเรือ

🔺19.10 รับประทานอาหาร ฟังดนตรี (EDM or acoustic)

🔺 20.20 Lucky draw ลุ้นแพ็คเกจที่พักภูเก็ต 3 วัน 2 คืนพร้อม Pocket Money

🔺21.00 ขึ้นฝั่งโดยปลอดภัย และมีความสุข

.

📝 ภาวินีย์ สูญสิ้นภัย

Categories
Our Work

ลาลีกา จัดอีเวนต์มากกว่า “ฟุตบอล” ดึงวัฒนธรรม และความเป็นสเปนสู่แฟนบอลไทย แบบเข้าใจ และใกล้ชิด

คุณ จอร์โจ้ ปอมปิลี รอสซี ตัวแทนลาลีกาในประเทศไทย จัดงานขอบคุณพันธมิตรทางการค้า, สื่อมวลชนกีฬาสายฟุตบอล, อินฟลูเอนเซอร์ และยูทูปเบอร์ ฟุตบอลชั้นนำในคอนเซปต์ “LaLiga Great Rivalries” ที่ร้านอาหารสเปน Arroz Spaish Rice Restaurant สุขุมวิท 53 โดยมีตัวแทนจากหอการค้าสเปนในประเทศไทยเข้าร่วมงานด้วย โดยครีเอตเป็นอีเวนต์เล็ก ๆ แบบอบอุ่น รักษาระยะห่าง Social Distancing ป้องกัน Covid-19 ตามมาตรการรัฐ

คุณท็อป ไข่มุกดำ พิธีกร (อย่างไม่เป็นทางการ 55) ของงาน ขณะพูดคุยกับคุณจอร์โจ้

ภายในงาน ถูกเติมแต่งและสร้างธีมให้มีบรรยากาศแบบสเปน โดยใช้ 6 สุดยอดเกมดาร์บี้แมตช์ลูกหนังสเปนเป็น “ตัวกลาง” สื่อสารถึงการเติบโตของฟุตบอลสเปน ลีกสูงสุดสเปน ลาลีกา ในประเทศไทย และวัฒนธรรมอาหาร การแสดง ของประเทศสเปนให้สื่อมวลชน และแขกผู้มีเกียรติได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับประสบการณ์ที่ถูกเนรมิตขึ้นในงาน

สำหรับสุดยอด 6 ดาร์บี้แมตช์ของ ลาลีกา ประกอบไปด้วย เอล กลาซิโก้ (เรอัล มาดริด VS บาร์เซโลนา), มาดริด ดาร์บี้ (เรอัล มาดริด VS แอตเลติโก มาดริด), บาร์เซโลนา ดาร์บี้ (บาร์เซโลนา VS เอสปันญ่อล), บาเลนเซีย ดาร์บี้ (บาเลนเซีย VS เลบันเต้), บาสก์ ดาร์บี้ (เรอัล โซเซียดัด VS แอธเลติก บิลเบา) และ เซบิลล์ ดาร์บี้ (เซบีย่า VS เรอัล เบติส)

บรรยากาศงานในค่ำคืนนี้ เต็มไปด้วยความอบอุ่นของคนกีฬา ที่มีโอกาสได้มาเจอและพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน และไม่ใช่แค่เกมฟุตบอล แต่ยังรวมไปถึงการได้ร่วมสัมผัสวัฒนธรรม ชิมอาหารท้องถิ่น และความบันเทิงด้านอื่น ๆ ของสเปน ไม่ว่าจะเป็น การเต้น Flamengo Dance, การเล่นดนตรีกีต้าร์ สเปน และการทำอาหาร ข้าวผัดสเปน Paella ที่ถือว่าครบถ้วนทุกอรรถรส และมีมากกว่าแค่เกมฟุตบอล พร้อมรับประทานอาหารค่ำร่วมกัน

Paella Spanish rice หรือ ข้าวผัดสเปน

ความสนุกยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะมีการร่วมลุ้นจับสลากรางวัล lucky draw อีกด้วย ซึ่งมีทั้งหมด 3 รางวัล ประกอบไปด้วย LaLiga Jerseys, LaLiga Polo, และลูกฟุตบอลลาลีกา พร้อมทั้งมอบของที่ระลึกให้กับทุกท่านที่เข้าร่วมงานอีกด้วย

 รางวัลเสื้อ LaLiga Polo – คุณนัท จาก ขอบสนาม และเพจส่วนตัว เดอะ นัท ซัดหมด แมกซ์ ได้ไป

จุดที่น่าสนใจในเชิงการตลาดก็คือ ลาลีกา ถือเป็น “ลีกหลัก” ยุโรป 1 เดียวที่มีตัวแทนมาประจำการในประเทศไทย และได้ร่วมโปรเจคต์ต่าง ๆ ไปหลายชิ้นแล้วโดยเฉพาะกับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย

สำหรับงานนี้ จะอบอุ่น ตื่นเต้นและเต็มไปด้วยสีสันสักแค่ไหน เราได้นำภาพบรรยากาศภายในงาน มาฝากทุกคนแล้ว

✍: ภาวินีย์ สูญสิ้นภัย (แนน)

🙏: LaLiga

Categories
Our Work

LaLiga Football Camping : ครั้งแรก! กิจกรรมสุดคูล กางเต็นท์ ฟังเพลง ชมดาว ดูศึกบาร์ซ่า ถล่มตราหมี

ด้วยกระแสแคมปิ้งที่กำลังมาแรง บวกกับสถานการณ์รับมือกับ โควิด-19 ทำให้เกิดความคิดจะนำกิจกรรมชมฟุตบอลมาผสมผสานกับการออกแคมป์ กางเต็นท์ขึ้น จนเกิดเป็นงานอีเวนต์เชียร์บอลสุดคูล LaLiga Football Camping ระหว่างวันที่ 6-7 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ณ APO Camp Life จังหวัดนครนายก ในรูปแบบแคมป์ริมน้ำเป็นครั้งแรก

ฟุตบอลคู่ดังกล่าวเป็นศึกใหญ่ประจำสัปดาห์ระหว่าง บาร์เซโลน่า ปะทะ แอตเลติโก มาดริด ที่แม้จะเตะกันวันอาทิตย์ เวลา 22.25 น. แต่ทว่า สาวกสายแคมป์ และคอฟุตบอล ยังไม่พลาดเดินทางไปเที่ยว ไปดูบอล ไปเจอเพื่อนใหม่ที่คุยเรื่องฟุตบอล และชื่นชอบกิจกรรมกางเต็นท์เหมือนกัน รวมไปถึงได้เจอ Influencer สายบอลสเปนอีกหลายคน ที่พร้อมจะร่วมเปิดประสบการณ์ กางเต็นท์ ดูบอล ฟังเพลง ชมดาว แบบชิว ๆ ชิค ๆ แบบอบอุ่น พร้อมร่วมกิจกรรมชิงของรางวัลมากมาย โดยมี ลาลีกา เป็นเจ้าภาพใหญ่จัดงาน

“เรารู้สึกยินดีที่ได้ต่อยอดการประชาสัมพันธ์ และทำให้ฟุตบอลสเปน ลีกลาลีกา ได้มีโอกาสเข้าถึงแฟนบอลไทยมากขึ้นต่อจากงานเลี้ยงขอบคุณเมื่อปลายปี และงานครบรอบ 5 ปีลาลีกาในประเทศไทยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

นี่ยังเป็นครั้งแรกกับรูปแบบกิจกรรมลักษณะนี้ ตั้งแคมป์ซึ่งเป็นเทรนด์สำหรับการชีวิตในยุคสมัยนี้ เข้ากับคอนเทนท์ฟุตบอล และเรายินดีกับกระแสตอบรับทีกิดขึ้น และหวังจะจัดกิจกรรมดี ๆ แบบนี้อีกในประเทศไทย”

มร.จอร์โจ ปอมปิลี รอสซี ตัวแทนลาลีกา ในประเทศไทย กล่าว

บรรยากาศงานอีเวนต์ LaLiga Football Camping

ภายในงาน เต็มไปด้วยสีสัน และความชื่นมื่น เหล่าสาวกของทั้ง 2 ทีมสุดยอดแห่งลาลีกา สเปน และชื่นชอบการแคมป์ปิ้งทั้งมือเก่า และใหม่ประมาณ 200 คน พากันตบเท้าเข้ามาร่วมสร้างความทรงจำ บันทึกประสบการณ์หน้าใหม่ไปด้วยกัน

ซึ่งในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่นนี้ก่อนเข้างานก็จะมีเจ้าหน้าที่ ทำการตรวจคัดกรอง ด้วยชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) วัดไข้ และได้มีการมอบของที่ระลึกให้กับทุกคนที่เข้าร่วมงาน โดยของที่ระลึกสำหรับงานนี้ ประกอบไปด้วย แก้วน้ำ และหลอดไฟ ที่ถูกใส่มาในถุงกระสอบสีน้ำตาลสวยสไตล์สายแคมป์ ตามด้วยแอลกอฮอล์ล้างมือ, ทิชชู่เปียก, หน้ากากอนามัย และพัด ใส่มาในถุงผ้าสีดำ และเสื้อสกรีน ที่ผู้เข้าร่วมงานสามารถเลือกได้ว่าจะรับเป็นของ ‘บาร์เซโลน่า’ หรือ ‘แอตเลติโก มาดริด’

ฟังดนตรี เล่นกิจกรรม ร่วมชิงของรางวัลมากมาย

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้ทุกคนได้ร่วมสนุกกันแบบอบอุ่น พร้อมชิงของรางวัลมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เสื้อแข่งขันของแท้ บาร์เซโลน่า, แอตเลติโก มาดริด และเซบีญ่า จำนวน 10 ตัวจาก M88 รวมไปถึง Boxset จาก beIN SPORTS 

ความสนุกยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะช่วงหัวค่ำมีดนตรีสดให้ฟัง เพลินไปกับเพลงในยุค 90s เผาหัวคอเพลงยุคเทปคาสเซ็ท ต่อด้วยอีก 1 วงเพลงฮิตติดขอบปัจจุบัน เอาใจแฟนบอลรุ่นใหม่ ทุกเพศทุกวัย ซึ่งได้รับความประทับใจจากผู้คนในงานเป็นอย่างมาก

นอกจากเพลงแล้วภายในงานก็จะมีบริการหมูกระทะ อาหาร และเครื่องดื่มอื่น ๆ อีกด้วย ที่ให้ทุกคนที่เข้าร่วมงานได้มาจอยด้วยกัน

ชมศึกบาร์ซ่า ถล่มตราหมี พร้อมวิเคราะห์เกมส์จาก 2 กูรูรับเชิญ

งานนี้ทางผู้จัดได้เชิญ 2 กูรูฟุตบอล มาร่วมสร้างสีสันให้ตื่นเต้นขึ้นด้วย คือ เจมส์ ลาลีกา และขวัญ ลามาเซีย ที่มาวิเคราะห์เกมระหว่าง ‘บาร์ซ่า’ ปะทะ ‘หมี’ ทั้งก่อนเกม ระหว่างพักครึ่ง และหลังจบการแข่งขัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุก มีจังหวะให้ลุ้น ให้เฮกันเป็นระยะ ซึ่งผลการแข่งขัน ลงเอยด้วยชัยชนะที่ตกเป็นของทัพอาซูลกรานา สบาย 4-2

โดยอีเวนต์นี้ได้รับการสนับสนุนจาก M88, Socios.com, Budweiser และ Puma โดยได้รับการอนุเคราะห์สัญญาณการถ่ายทอดสดจาก beIN SPORTS และทรู วิชั่นส์

เนื่องจากฟุตบอลเป็นกีฬายอดนิยมของคนไทย ที่นับวันแฟนบอลชาวไทย ก็จะเริ่มให้ความสนใจในลาลีกา มากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับไลฟ์สไตล์การแคมป์ปิ้ง ที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน เมื่อเรานำไลฟ์สไตล์ทั้ง 2 เข้ามาผนวกกัน ถือว่าตอบโจทย์และเห็นได้ชัดว่า งานนี้ได้รับกระแสตอบรับเป็นที่น่าพอใจมาก และเราหวังว่ากิจกรรมดี ๆ แบบนี้ จะเกิดขึ้นในประเทศไทยอีกแน่นอน

สำหรับงานนี้ จะอบอุ่น ตื่นเต้นและเต็มไปด้วยสีสันสักแค่ไหน เราได้เก็บภาพบรรยากาศ ความทรงจำครั้งแรกของ LaLiga Football Camping มาฝากทุกคนแล้ว

📝 : ภาวินีย์ สูญสิ้นภัย (แนน)

🙏 : LaLiga

Categories
Our Work

LaLiga Global Network : ลาลีกา บุกตลาดไทย ครบ 5 ปี พร้อมขยายตลาดต่อเนื่องในอนาคต

ตลอดเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ลาลีกา ได้นำความตื่นเต้นและใกล้ชิดกับการแข่งขัน มาสู่แฟนบอลชาวไทยและทั่วโลก มีการจัดกิจกรรมมากถึง 1,222 ครั้ง ใน 90 ประเทศ ภายใต้โครงการที่ชื่อว่า “LaLiga Global Network” ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการขยายกลุ่มเป้าหมายสู่นานาชาติ ให้สามารถเข้าถึงข่าวสารข้อมูลเชิงลึกมากขึ้น 

นอกจากนี้ยังได้สัมผัสถึงความร่วมมือต่าง ๆ กับพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจและแฟนฟุตบอลทั่วโลกอีกด้วย ไม่ว่าจะเรื่องลิขสิทธิ์การรับชมที่เข้าถึงได้หลากหลายช่องทาง หรือสปอนเซอร์ และพาร์ตเนอร์ที่เพิ่มมากขึ้น แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะลาลีกา พร้อมที่จะขยายตลาดให้มากขึ้นในอนาคต

ทำความรู้จัก LaLiga Global Network

โครงการ LaLiga Global Network เปิดตัวเป็นครั้งแรกในปี 2017 ปัจจุบันมีเครือข่ายอยู่ใน 41 ประเทศ มีสำนักงานระหว่างประเทศอีก 11 แห่ง และมีตัวแทน 44 คนที่ประจำการอยู่ทั่วโลก เป็นลีกฟุตบอลที่มีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียมากที่สุดในโลก โดยมีผู้ติดตามมากกว่า 140 ล้านคน จาก 17 แพลตฟอร์ม ใน 20 ภาษาที่แตกต่างกัน โดยมีสำนักงานใหญ่ในกรุงมาดริด ประเทศสเปน

นอกจากนี้ยังมีการร่วมทุนในทวีปอเมริกาเหนือกับจีน อีกทั้งมีเป้าหมายที่จะขยายตลาดให้ครอบคลุมอย่างน้อย 90 ประเทศ ความนิยมของลาลีกามีมากขึ้นเรื่อยๆ แฟนๆ ทั่วโลกต่างหลงใหลกับฟุตบอลสเปน และสนุกสนานไปกับการแข่งขันในแต่ละสัปดาห์

และไม่ใช่แค่เรื่องวัฒนธรรมฟุตบอลเพียงเท่านั้น เพราะลาลีกา ยังได้แบ่งปันความรู้ เพื่อให้ฟุตบอลระดับท้องถิ่นเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย ปัจจุบันลาลีกามีข้อตกลง 37 ฉบับกับลีก, สมาคม, สหพันธ์ และสถาบันอื่น ใน 28 ประเทศ รวมทั้งจัดตั้ง LaLiga Business School ผ่านสถาบันการศึกษา 24 แห่งทั่วโลก

นอกจากนี้ ลาลีกายังเป็นองค์กรระดับโลกที่ดำเนินงานภายใต้ความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นพื้นฐาน โดยเป็นลีกฟุตบอลอาชีพแห่งแรกของโลกที่ก่อตั้งลีกสำหรับนักฟุตบอลที่มีความพิการด้านสติปัญญา (LaLiga Genuine Santander)

ลาลีกา จัดงานร่วมฉลองความสำเร็จ ครบรอบ 5 ปี

เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2565 ถือเป็นโอกาสอันดี ที่ ลาลีกา ได้เชิญทุกคนมาร่วมฉลองความสำเร็จ กับการเข้าถึงแฟนบอลทั่วโลก ผ่านงาน LaLiga Global Network 5 years in Thailand โดยได้รับเกียรติสายตรงกรุงมาดริด จาก คุณออสการ์ มาโย กรรมการบริหารลาลีกา ร่วมกับคุณ จอร์โจ้ ปอมปิลี รอสซี ตัวแทนลาลีกาในประเทศไทย จัดงานที่ Pit8 Motorsport Cafe กรุงเทพฯ

บรรยากาศภายในงาน มีการลงทะเบียนเข้าร่วมงาน พร้อมรับของที่ระลึก และเพื่อความปลอดภัยในยุคโควิด ก่อนเข้างานได้มีการวัดไข้ และให้ทุกคนที่เข้าร่วมงาน ทำการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยตนเอง ด้วยชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK)

รอสซี กล่าวเปิดงาน ที่ Pit8 Motorsport Cafe กรุงเทพฯ และเชิญสื่อร่วมชมวิดีโอ LaLiga Global Network 5 years in Thailand จากนั้นก็แนะนำแกลลอรี่ภาพความประทับใจตลอด 5 ปีของลาลีกาในประเทศไทย มีการพูดคุย แลกเปลี่ยนกัน พร้อมทั้งรับประทานอาหาร และถือโอกาสนี้ ในการถ่ายภาพร่วมกัน เก็บไว้เป็นความทรงจำสักเล็กน้อย

หลังจากนั้น ได้มีการวิดีโอถ่ายทอดสดทั่วโลก โดย คุณออสการ์ มาโย ซึ่งคุณออสการ์ ได้กล่าวถึงการเข้าสู่มิติใหม่ของลาลีกาช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมาว่า “เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เราได้เริ่มต้นภารกิจที่จะนำความตื่นเต้นของลาลีกา เผยแพร่ไปสู่แฟนบอลทั่วโลก และช่วยให้ลีกเติบโตขึ้น เราภูมิใจมากที่ลาลีกาได้ใกล้ชิดกับผู้คนทั่วโลกมากกว่าที่เคยเป็น นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น และด้วยการสนับสนุนจาก CVC พันธมิตรใหม่ของเรา เราจะพยายามขยายตลาดให้มากขึ้น”

กลยุทธ์ในการขยายกลุ่มเป้าหมายสู่นานาชาติของลาลีกา เห็นผลอย่างชัดเจน ด้วยจำนวนผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดีย ที่สูงถึง 146 ล้านคน จาก 17 แพลตฟอร์ม มากที่สุดเมื่อเทียบกับ 5 ลีกใหญ่ของยุโรป และมีคอนเทนท์ที่ถูกแปลเป็น 20 ภาษาที่แตกต่างกัน เป็นการตอกย้ำว่า ฟุตบอลสเปนสามารถพูดคุยกันได้หลากหลายภาษา

คุณมาโย กล่าวต่ออีกว่า “เมื่อพูดถึงแฟนฟุตบอลนอกประเทศสเปน เรามักจะพูดเสมอว่า เราต้องการเป็นลีกที่มีความนิยมเป็นอันดับสอง รองจากฟุตบอลลีกของแต่ละประเทศ ลีกในประเทศถือเป็นกลไกสำคัญในการเติบโตของฟุตบอลในประเทศนั้น ๆ และนั่นคือเหตุผลที่ลาลีกาต้องการที่จะแบ่งปันความรู้ให้กับลีก สโมสร และสหพันธ์ทั่วโลก”

สัญญาณที่บ่งบอกถึงการเติบโตของ ‘ลาลีกา’

เมื่อความนิยมฟุตบอลสเปนเพิ่มขึ้น ก็เท่ากับว่าการเติบโตของ ลาลีกา ก็ดีขึ้นมากด้วยเช่นกัน โดยดูได้จากผู้ชมทางโทรทัศน์ทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นถึง 30 เปอร์เซ็นต์ นับจากฤดูกาล 2015/16 ซึ่งส่งผลให้มูลค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดนอกประเทศสเปนพุ่งสูงถึง 247 เปอร์เซ็นต์ นับจากฤดูกาล 2013/14 และเพิ่มมูลค่าให้กับลาลีกา ด้วยจำนวนสปอนเซอร์ที่เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าในช่วงเวลาเดียวกัน

คุณมาโย กล่าวเสริมอีกว่า “จำนวนผู้สนับสนุนที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการเติบโตของลาลีกา ทำให้แฟนบอลทั่วโลก ได้ใกล้ชิดกับลีกของเรา มากกว่าที่เคยเป็นพันธมิตรของเรา เป็นส่วนสำคัญในการมีส่วนร่วมของผู้คนที่มากขึ้น”

นอกจากนี้ อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ลาลีกาได้รับความนิยมไปทั่วโลก คือ การสร้างประสบการณ์ ในการรับชมการแข่งขันทางโทรทัศน์ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ลาลีกาได้ลงทุนในการนำเทคโนโลยีประกอบการถ่ายทอดสด เช่น โดรน กล้องสกายแคม และวิดีโอที่สามารถเปิดใช้งานรีเพลย์แบบ 360 องศา เป็นต้น

คุณมาโย ปิดท้ายว่า “เรากำลังมีการเดินทางที่น่าตื่นเต้น เพื่อสร้างความสนุกสนานให้กับแฟนๆ ทั่วโลก เราจะเดินหน้าต่อไป เพื่อนำการแข่งขันที่ยอดเยี่ยมไปทุกที่ และแนะนำให้ผู้คนทั่วโลกรู้จักลาลีกามากขึ้น นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น”

ปัจจุบันนี้เอง เห็นได้ชัดเจนว่า ประเทศไทย เป็นหนึ่งในประเทศสำคัญในเอเชีย ที่ลาลีกา ต้องการขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากฟุตบอลเป็นกีฬายอดนิยมของคนไทย ที่นับวันแฟนบอลชาวไทย ก็จะเริ่มให้ความสนใจในลาลีกา มากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน ด้วยเหตุนี้เอง เราไม่แปลกใจเลยที่ ตลาดลาลีกาในไทย จะได้รับความร่วมมือมากมาย ทั้งจากพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจและแฟนฟุตบอล ร่วมไปถึง การได้รับสนับสนุนจาก CVC พันธมิตรใหม่ของลาลีกา ที่พร้อมจะขยายตลาดให้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

Author : ภาวินีย์ สูญสิ้นภัย

🙏 : LaLiga

#ไข่มุกดำ

#KMDLaLiga

#KMDSportServices

#LaLiga

Categories
Special Content

แบรนด์ ชูสเตอร์ ตำนานขบถลูกหนังยอดอัจฉริยะ

หากจะกล่าวถึงทีมชาติเยอรมันตะวันตก ชุดที่ได้แชมป์ฟุตบอลยูโร เมื่อปี 1980 แล้วจะพบชื่อมิดฟิลด์คนหนึ่งที่สามารถแจ้งเกิดอย่างเต็มตัว ในการลงเล่นทัวร์นาเมนท์ใหญ่เป็นครั้งแรก เขาคนนั้นคือ แบรนด์ ชูสเตอร์

อย่างไรก็ดี ความสำเร็จดังกล่าว คือการสัมผัสกับฟุตบอลรายการใหญ่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ก่อนที่จะเลิกเล่นทีมชาติด้วยอายุที่ยังน้อย อีกทั้งมีประเด็นขัดแย้งกับทุกคนที่ร่วมงาน จนได้รับฉายาว่า “ขบถลูกหนัง” แล้วฉายา “ขบถลูกหนัง” ได้มาอย่างไร ? วันนี้ วันคล้ายวันเกิดของเขา 22 ธ.ค. เพจ “ไข่มุกดำ” จะมาขยายให้ฟังกันครับ

จากบ้านเกิด สู่การแจ้งเกิดกับทีมชาติ

แบรนด์ ชูสเตอร์ เกิดเมื่อ 22 ธันวาคม 1959 ที่เมืองเอาก์สบวร์ก ทางตอนใต้ของเยอรมันตะวันตก เริ่มเข้าสู่การเป็นนักฟุตบอลตั้งแต่อายุ 12 ขวบ กับทีมเยาวชนของฮัมเมอร์ชมิดท์ ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับเอาก์สบวร์ก เมื่ออายุ 16 ปี

ปี 1977 ชูสเตอร์ ถูกเรียกติดทีมชาติเยอรมันตะวันตก ชุดยู-18 และด้วยความที่ฉายแววเก่งเกินอายุ ทำให้ตกเป็นเป้าหมายของบรรดาสโมสรในบุนเดสลีกา และเป็นเอฟซี โคโลญจน์ ที่ได้ตัว “เทพบุตรผมบลอนด์” ไปร่วมทีมในปีถัดมา

ผลงาน 9 ประตู จาก 32 นัด ที่ลงเล่นให้กับโคโลญจน์ในลีกสูงสุด ฤดูกาล 1979/80 ทำให้ชูสเตอร์ได้โอกาสติดทีมอินทรีเหล็กชุดใหญ่ เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ปี 1980 ที่ประเทศอิตาลีเป็นเจ้าภาพ

สำหรับ “ยูโร 1980” นั้น (สมัยนั้น) มี 8 ทีมสุดท้ายเข้าร่วม แบ่งเป็น 2 กลุ่ม แชมป์กลุ่ม เข้าชิงชนะเลิศ ส่วนรองแชมป์กลุ่ม ไปชิงอันดับ 3 ซึ่งเยอรมันตะวันตก ภายใต้การคุมทีมของจุ๊ปป์ แดร์วัลล์ ได้เข้าชิงชนะเลิศ ในฐานะแชมป์กลุ่ม 1

จาก 4 นัด ของเยอรมันตะวันตก ชูสเตอร์ได้ลงสนาม 2 นัด คือนัดที่ชนะเนเธอร์แลนด์ 3 – 2 ในรอบแรก และนัดที่ชนะเบลเยียม 2 – 1 ในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งทัวร์นาเมนท์ที่อิตาลีนี่เอง ถือเป็นการแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวของเขา

นัดที่พบกับอัศวินสีส้ม เคลาส์ อัลลอฟส์ เหมาแฮตทริก ชูสเตอร์ทำ 1 แอสซิสต์ และนัดที่พบกับปิศาจแดงแห่งยุโรป ฮอร์ส ฮรูเบซ ยิงคนเดียว 2 ประตู ชูสเตอร์ก็ทำ 1 แอสซิสต์เช่นกัน พาอินทรีเหล็ก คว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 2 อย่างยิ่งใหญ่

ขบถลูกหนัง ผู้ไม่เคยสัมผัสฟุตบอลโลก

แบรนด์ ชูสเตอร์ กลับมาที่โคโลญจน์ในฐานะฮีโร่ของชาติ แต่การกลับมาครั้งนี้ เจ้าตัวไม่มีความสุขเหมือนเมื่อก่อน เนื่องจากภรรยาของเขาถูกคุกคามอย่างหนัก อีกทั้งไม่ลงรอยกับคาร์ล-ไฮนซ์ เฮเดอร์กอตต์ เทรนเนอร์คนใหม่ของ “แพะบ้า” อีกด้วย

ชูสเตอร์จึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า จะขอย้ายออกจากโคโลญจน์ และเป็นบาร์เซโลน่า ยักษ์ใหญ่แห่งลาลีกา สเปน ที่คว้าตัวไปร่วมทีม ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว ถือเป็นการเปิดตำนาน “ขบถลูกหนัง” ในชีวิตของเขา

หลังจากจบซีซั่น 1980/81 ซีซั่นแรกของชูสเตอร์ในสีเสื้อบาร์ซ่า จุ๊ปป์ แดร์วัลล์ กุนซือทีมชาติเยอรมัน ประกาศเรียกตัวพอล ไบรท์เนอร์ นักเตะตัวเก๋า กลับคืนทีมชาติอีกครั้ง เพื่อเตรียมทีมลงเล่นเวิลด์ คัพ 1982 รอบคัดเลือก

นั่นทำให้ชูสเตอร์มีปัญหาขัดแย้งกับไบรท์เนอร์ รวมถึงคาร์ล ไฮนซ์ รุมมินิกเก้ เนื่องจากมองว่าทั้งคู่จะเข้ามามีอิทธิพลภายในทีม แดร์วัลล์ไม่มีทางเลือก จึงตัดชื่อชูสเตอร์ออกจากทีมในนัดที่จะพบกับฟินแลนด์ทันที

จากปัญหาความขัดแย้งดังกล่าว ทำให้เฮอร์มันน์ นอยแบร์เกอร์ ประธานสหพันธ์ฟุตบอลเยอรมัน (เดแอฟเบ) ในขณะนั้น ได้พยายามเป็นกาวใจ ประสานรอยร้าวระหว่างชูสเตอร์ และคู่กรณีทุกฝ่าย แต่ก็ไม่เป็นผล

กระทั่งในเดือนธันวาคม ปี 1981 ชูสเตอร์ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจากการลงเล่นให้กับบาร์เซโลน่า หลังถูกอันโดนี่ กอยโกเชีย แข้งจอมโหดในตำนานของแอธเลติก บิลเบา เสียบสกัดรุนแรง พักยาวจนจบฤดูกาล

ถึงแม้ว่าชูสเตอร์จะหายจากอาการบาดเจ็บทันเวลา และมีโอกาสติดทีมไปลุยฟุตบอลโลกที่สเปน แต่โค้ชและเพื่อนร่วมทีมชาติเยอรมันบอกว่า ไม่จำเป็นต้องมีเขาก็สามารถคว้าแชมป์ได้ แต่ท้ายที่สุดเยอรมันก็แพ้อิตาลีในนัดชิงชนะเลิศ

นัดสุดท้ายของชูสเตอร์กับทีมชาติ เกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1984 ในเกมอุ่นเครื่องที่พบกับเบลเยียม และเจ้าตัวปฏิเสธช่วยทีมชาติในยูโร 1984 รอบสุดท้ายที่ฝรั่งเศส ซึ่งเยอรมันที่ปราศจากตัวเขา ก็ตกรอบแรกในฐานะแชมป์เก่า

หลังจากความล้มเหลวในยูโร 1984 ฟรานซ์ เบคเคนเบาวร์ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นเทรนเนอร์ของเยอรมันคนใหม่ เพื่อเตรียมสู้ศึกเวิลด์ คัพ 1986 แต่ “ไกเซอร์ฟรานซ์” ประกาศอย่างชัดเจนว่า จะไม่เรียกตัวชูสเตอร์มาติดทีมชาติอีกต่อไป

นั่นเท่ากับว่า ชูสเตอร์ ต้องยุติการรับใช้ทีมชาติในวัยเพียงแค่ 24 ปีเท่านั้น ทั้งๆ ที่เป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดของประเทศในยุคนั้น และเข้าทำเนียบนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ของวงการลูกหนัง ที่ไม่เคยลงเล่นฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย

ส่วนทีมอินทรีเหล็ก ที่ไร้เงาชูสเตอร์ ก็เข้าชิงชนะเลิศ 3 ครั้งติดต่อกันในรอบ 8 ปี ถึงแม้ว่าจะสุขสมหวัง ได้แชมป์เพียงแค่ครั้งเดียวในปี 1990 ที่อิตาลี แต่ก็ทำให้แฟนบอลเยอรมัน ลืมชื่อของเทพบุตรผมบลอนด์จอมขบถไปได้เลย

แข้งยอดอัจฉริยะ ผู้ก้าวข้ามความเกลียดชัง

แบรนด์ ชูสเตอร์ ค้าแข้งให้กับบาร์เซโลน่า 8 ปี คว้าแชมป์ 6 โทรฟี่ แต่เหตุการณ์หลังจากนั้น คือสิ่งที่ตอกย้ำในความเป็นขบถลูกหนังของเขา นั่นคือการย้ายไปค้าแข้งกับสโมสรที่เป็นคู่ปรับสำคัญทั้งในสเปน และเยอรมัน

หลังจากจบฤดูกาล 1987/88 ชูสเตอร์สร้างความประหลาดใจ ด้วยการย้ายไปเล่นให้เรอัล มาดริด ทีมคู่อริตลอดกาลชนิดที่ไม่มีใครคาดคิด ซึ่งภายหลังมีการเปิดเผยว่า เขามีเรื่องทะเลาะตั้งแต่เพื่อนร่วมทีม จนถึงประธานสโมสร

ทั้ง ๆ ที่มีหลายสโมสรให้ความสนใจคว้าตัวไปร่วมทีม แต่สาเหตุที่เจ้าตัวเลือกเรอัล มาดริด เพราะไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิตในเมืองบาร์เซโลน่าที่มีแต่ปัญหามากมาย แต่ก็ไม่ต้องการให้ครอบครัวของเขาย้ายออกจากที่นั่น

2 ฤดูกาลกับ “ราชันชุดขาว” คว้าแชมป์ลาลีกา 2 สมัยซ้อน ทว่าหลังจากจบฤดูกาล 1989/90 เจ้าตัวมีปัญหากับประธานสโมสร จึงตัดสินใจยกเลิกสัญญา และย้ายไปอยู่กับทีมคู่ปรับร่วมเมืองอย่างแอตเลติโก้ มาดริด

3 ซีซั่นกับแอต. มาดริด คว้าแชมป์โคปา เดล เรย์ 2 สมัยซ้อน ส่วนในซีซั่นสุดท้าย เขาพลาดการลงสนามไปนานหลายเดือน เนื่องจากอาการบาดเจ็บ แต่มีข่าวว่าชูสเตอร์ปฏิเสธการรักษาตามที่แพทย์แนะนำ ขอรักษาโดยวิธีธรรมชาติแทน

นั่นทำให้แอต. มาดริด ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ที่ชูสเตอร์สร้างประเด็นขัดแย้งขึ้นมา นั่นทำให้สโมสรไม่มีทางเลือก ดร็อปเขาเป็นตัวสำรอง และเมื่อจบฤดูกาล ชูสเตอร์ต้องอำลา “ตราหมี” และพาครอบครัวกลับเยอรมันทันที

ชูสเตอร์ เป็นเพียง 1 ใน 2 นักเตะในประวัติศาสตร์ของลีกสเปน ที่ลงเล่นกับ 3 สโมสรยักษ์ใหญ่ของประเทศ อีกคนหนึ่งคือมิเกล โซแลร์ ที่นอกจากค้าแข้งกับบิ๊ก 3 ลาลีกาแล้ว ยังเคยเล่นให้กับเอสปันญ่อลอีกด้วย

หลังจากใช้ชีวิตในลาลีกานานถึง 13 ปี ชูสเตอร์ก็กลับสู่บุนเดสลีกาอีกครั้ง กับไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ซึ่งก็เป็นทีมคู่ปรับในแถบไรน์ลันด์ (Rheinland) กับเอฟซี โคโลญจน์ สโมสรแรกของเขาในฐานะนักเตะอาชีพ

อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวก็ยังคงมีนิสัยหัวแข็งเช่นเดิม มีเรื่องขัดแย้งกับเอริค ริบเบ็ค เทรนเนอร์ของเลเวอร์คูเซ่นในเวลานั้น ก่อนที่ในปี 1996 ก็ย้ายไปค้าแข้งกับพูมาส ในเม็กซิโก แต่เล่นได้แค่ 9 นัด ก็ประกาศแขวนสตั๊ดในที่สุด

หลังจากเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ ชูสเตอร์ก็ผันตัวไปเป็นโค้ชให้กับหลายสโมสร รวมถึงโคโลญจน์ และเรอัล มาดริด ทีมเก่าสมัยเป็นนักเตะ แต่อายุงานในทุกทีมที่คุมนั้น เป็นช่วงสั้นๆ แค่ 1 – 2 ปีเท่านั้น ก่อนจะรีไทร์อาชีพโค้ชในปี 2019

นักฟุตบอลระดับซูเปอร์สตาร์บางคน มักจะมีความเป็นตัวของตัวเองสูง สร้างวีรกรรมความขัดแย้งไว้หลายครั้ง จนเกิดเรื่องวุ่นวาย แต่ด้วยพรสวรรค์ที่แสดงให้เห็นในสนาม ก็นับว่าเป็นสีสันอย่างหนึ่งที่โลกลูกหนังเคยมีมา

Author : จักรพันธ์ ภู่ทอง
ผู้สนับสนุนเนื้อหา: LaLiga

🙏อ้างอิง :
 http://soccernostalgia.blogspot.com/…/one-upon-time…
– http://www.midfielddynamo.com/players/profiles/schuster.htm

#ไข่มุกดำ

#แบรนด์ชูสเตอร์

#KMDLaLiga