1 กรกฎาคม 2022 ถือเป็นวันแรกของ 3 นักเตะใหม่ลิเวอร์พูล ทั้งฟาบิโอ คาร์วัลโญ่, ดาร์วิน นูนเญซ และคาลวิน แรมซี่ย์ ที่ได้ย้ายเข้าสู่ถิ่นแอนฟิลด์อย่างเป็นทางการ
แต่สำหรับนักเตะอย่างเจย์ สเปียริ่ง ที่ “เดอะ ค็อป” บางคน อาจจะลืมเชื่อเขาไปแล้ว เขาเคยลงเล่นให้กับลิเวอร์พูลชุดใหญ่ 55 นัด และตอนนี้ได้คัมแบ็กคืนสู่ทีมเก่าอีกครั้งในรอบ 9 ปี
มิดฟิลด์วัย 33 ปี กับบทบาทใหม่ในการประคองนักเตะรุ่นน้อง ที่ใช้แนวทางเดียวกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมคู่ปรับของพวกเขา วันนี้ SoccerSuck x ไข่มุกดำ จะมาขยายให้ฟังกันครับ
เลือดเมอร์ซีย์ไซด์ขนานแท้
เจย์ สเปียริ่ง เกิดที่วอลลาซีย์ ในย่านเมอร์ซี่ย์ไซด์ เข้าสู่เส้นทางการเป็นนักฟุตบอลตั้งแต่อายุ 9 ขวบ กับอคาเดมี่ของลิเวอร์พูล ต่อมาได้เป็นกัปตันทีมลิเวอร์พูล ชุด U-18 ที่คว้าแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ เมื่อปี 2007
ในฤดูกาล 2008/09 สเปียริ่งได้ก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของ “หงส์แดง” ในยุคที่ราฟาเอล เบนิเตซ เป็นผู้จัดการทีม ได้ลงเล่นไป 2 นัด ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พบกับพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น และเรอัล มาดริด
จนกระทั่งในฤดูกาล 2011/12 ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีก คัพ แต่สเปียริ่งมีชื่อเป็นเพียงแค่ตัวสำรอง ขณะที่นัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ เขาลงเล่นเป็นตัวจริง อยู่ในสนาม 54 นาที ก่อนที่ทีมจะแพ้เชลซี 1 – 2
5 ฤดูกาลในถิ่นแอนฟิลด์ สเปียริ่งลงเล่นทั้งหมด 55 นัด นอกจากนี้ เลสเตอร์ ซิตี้ และโบลตัน วันเดอเรอร์ส ได้ยืมตัวไปใช้งานในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่โบลตันจะดึงตัวไปร่วมทีมอย่างถาวร ในปี 2013
ช่วงที่สเปียริ่งอยู่กับโบลตัน เคยถูกแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ยืมตัวไปใช้งานช่วงสั้น ๆ เป็นเวลา 6 เดือน ก่อนที่ในปี 2017 เขาย้ายไปร่วมทีมแบล็คพูล ค้าแข้งอยู่ 3 ฤดูกาล จึงแยกทางจากถิ่นบลูมฟิลด์ โร้ด
สโมสรสุดท้ายของสเปียริ่ง ในฐานะนักเตะระดับซีเนียร์คือ ทรานเมียร์ โรเวอร์ส ในลีกทู (ดิวิชั่น 4) เป็นทีมจากย่านเมอร์ซี่ย์ไซด์ เช่นเดียวกับลิเวอร์พูล และเอฟเวอร์ตัน ก่อนที่จะอำลาทีมหลังจบซีซั่น 2021/22
ก็อปปี้ต้นแบบจาก “ปีศาจแดง”
ลิเวอร์พูลดึงตัวสเปียริ่งกลับมาร่วมงานอีกครั้ง เพื่อใช้ประสบการณ์ในการดูแลนักเตะรุ่นน้อง สู่เป้าหมายหลักในการเป็นโค้ชอคาเดมี่แบบเต็มตัว ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับพอล แม็คเชน ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แม็คเชน เป็นอดีตนักเตะอคาเดมี่ของแมนฯ ยูไนเต็ด เคยพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ เมื่อปี 2003 จากนั้นในปีต่อมา ได้มีชื่ออยู่ในทีมชุดใหญ่ ก่อนอำลาทีมในปี 2006 โดยที่ไม่เคยลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่เลย
หลังออกจากโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อดีตเซ็นเตอร์แบ็ก “ปิศาจแดง” ก็พเนจรไปค้าแข้งกับอีกหลายสโมสรในอังกฤษ ก่อนจะกลายเป็นนักเตะฟรีเอเย่นต์ เมื่อหมดสัญญากับรอชเดล ในลีก วัน หลังจบซีซั่น 2020/21
กระทั่งในเดือนกรกฎาคม 2021 แม็คเชน ในวัย 35 ปี ได้กลับสู่แมนฯ ยูไนเต็ด ทีมเก่าอีกครั้ง แต่การคัมแบ็กในครั้งนี้ เขาได้ลงสนามในชุด U-23 ของสโมสร ในฐานะ 1 ใน 3 นักเตะอายุเกินที่อนุญาตให้ลงสนามได้
แม็คเชน ลงเล่นกับแมนฯ ยูไนเต็ด U-23 ทั้งหมด 6 นัด ควบคู่กับการเป็นโค้ชในทีมชุดเดียวกัน ก่อนที่จะแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการหลังจบซีซั่นที่ผ่านมา และตอนนี้เขาได้ทำหน้าที่โค้ช U-23 แบบเต็มเวลาแล้ว
นิค ค็อกซ์ หัวหน้าอคาเดมี่ของยูไนเต็ด ให้เหตุผลถึงการดึงตัวแม็คเชนว่า “บทบาทใหม่นี้ เราได้พิจารณาอย่างรอบคอบ และเพิ่มการสนับสนุนอีกระดับหนึ่งให้กับผู้เล่นของเรา ในการช่วยเหลือเยาวชนสู่ทีมชุดใหญ่”
“เราเชื่อว่า พอลมีคุณสมบัติที่ดีพอสำหรับงานนี้ เพื่อผลักดันเด็ก ๆ สู่ระดับสูงสุด ในฐานะที่เขาเคยเป็นนักเตะในอคาเดมี่ เขารู้จักสโมสรในทุกมิติ และสามารถถ่ายทอดความรู้ให้กับเด็ก ๆ ได้ตลอดเวลา”
นอกเหนือจากแมนฯ ยูไนเต็ด ก็ยังมีสโมสรอื่น ๆ ที่เคยใช้โมเดลแบบเดียวกันนี้ เช่น ไบรท์ตัน ที่เซ็นสัญญาแอนดรูว์ ครอฟส์ เมื่ออายุ 35 ปี และเซาธ์แธมป์ตัน ที่ดึงตัวโอลลี่ แลงคาเชียร์ เมื่ออายุ 32 ปี
บทบาทใหม่ในอคาเดมี่ “หงส์แดง”
การกลับสู่ลิเวอร์พูลเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี เจย์ สเปียริ่ง จะรับหน้าที่โค้ชในเคิร์กบี้ อคาเดมี่ ให้กับทีมชุด U-18 ควบคู่กับการเป็น 1 ในโควตานักเตะอายุเกินสำหรับทีมชุด U-21 ที่มีแบร์รี่ ลิวทัส เป็นผู้จัดการทีม
สำหรับฟุตบอลลีกเยาวชน รุ่น U-21 มีกฎข้อหนึ่งที่ระบุไว้ว่า สโมสรจะได้รับอนุญาตให้ส่งนักเตะอายุเกินลงสนามได้ นัดละ 5 คน (จากเดิม 3 คน) และมีผู้รักษาประตูอายุเกินได้อีก 1 คน ในกรณีจำเป็น
อเล็กซ์ อิงเกิลโธร์ป ผู้จัดการของเคิร์กบี้ อคาเดมี่ กล่าวว่า “เจย์จะมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่กับนักเตะเยาวชนของเรา และประสบการณ์ของเขาที่เคยลงเล่นทั้ง 4 ดิวิชั่นในระดับอาชีพ จะช่วยได้ไม่น้อยเลย”
“ถ้าเขาสามารถดึงศักยภาพทุกอย่างออกมา แล้วถ่ายทอดให้บรรดานักเตะดาวรุ่งได้ ผมคงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะเป็นโค้ชที่ดีได้จริง ๆ ผมคิดว่าเจย์คือคนที่ใช่กับสโมสรที่ใช่ ในช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้ว”
ขณะที่สเปียริ่ง ให้สัมภาษณ์กับ The Athletic ว่า “มันน่าเหลือเชื่อมากที่ได้กลับมาลิเวอร์พูลอีกครั้ง และตอนนี้ผมกำลังเริ่มต้นบทบาทใหม่ ในการช่วยให้เด็ก ๆ เติบโตสู่ทีมชุดใหญ่ในอีกไม่นานนี้”
“ผมใช้เวลาคิดอยู่นาน และมั่นใจว่าคืองานในฝันของผม รู้สึกดีใจที่อิงเกิลโธร์ปและสโมสรเชื่อมั่นในตัวผม และจะตอบแทนความไว้ใจที่มีให้กัน ผมคิดว่านี่คือการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของผมเลยทีเดียว”
นักเตะเยาวชนชุด U-18 ที่สเปียริ่งจะมีโอกาสดูแลอย่างใกล้ชิด เช่น สเตฟาน บาจเซติก นักเตะนอกสหราชอาณาจักรคนสุดท้ายที่ได้เซ็นสัญญามาร่วมทีม, เบน ดัค, เทรนต์ โคน-โดเฮอร์ตี้, บ็อบบี้ คลาร์ก ฯลฯ
ส่วนนักเตะชุด U-18 ที่ลงเล่นในลีกเยาวชนเมื่อฤดูกาล 2021/22 และมีโอกาสขยับขึ้นสู่ชุด U-21 ในฤดูกาลใหม่ เช่น โอคลีย์ คันโนนิเออร์, จาเรลล์ ควานซาห์, ลุค แชมเบอร์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ได้มีแข้งดาวรุ่งบางส่วน ที่ได้รับโอกาสลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของเจอร์เก้น คล็อปป์แล้ว อาทิ ไคเค กอร์ดอน, ไทเลอร์ มอร์ตัน, โอเว่น เบ็ค, แม็กซ์ โวล์ทแมน, ฮาร์วีย์ แบลร์, เมลคามู ฟราเอนดอร์ฟ เป็นต้น
ในเวลานี้ ลิเวอร์พูลมีดาวรุ่งที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์อยู่มากมาย และเจย์ สเปียริ่ง กำลังจะเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ที่น่าตื่นเต้น ในการเชื่อมต่อกับนักเตะรุ่นใหม่ สู่รุ่นใหญ่ในอนาคตต่อไป
เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง
อ้างอิง :
– https://theathletic.com/3389548/2022/06/30/jay-spearing-liverpool-coach/
– https://www.liverpoolfc.com/news/jay-spearing-makes-return-liverpool-u18s-coach
Football Editor