Categories
Special Content

หวังน้อยได้ไง? “หงส์” กับขุมกำลังที่แข็งแกร่งเพียบพร้อมกว่าเดิม

ถึงแม้เยอร์เกน คล็อปป์ จะถ่อมตัวยกให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นทีมเต็งแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2022-23 และยอมรับว่าการช่วงชิงโควต้าแชมเปี้ยนส์ลีกเป็นภารกิจที่ยากลำบากขึ้น แต่กูรูลูกหนังยังมองว่า ขุมกำลังตอนนี้ของลิเวอร์พูลแข็งแกร่งและเพียบพร้อมกว่าเดิม

แม้ยังเหลือเวลาร่วมเดือนก่อนที่ตลาดซื้อขายรอบนี้จะปิดทำการ แต่ภารกิจของลิเวอร์พูลจบลงแล้วหลังจากได้นักเตะครบสามคนตามเป้าหมายได้แก่ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ แนวรุกดาวรุ่งจากฟูแล่ม, ดาร์วิน นูนเญซ กองหน้าค่าตัวแพงจากเบนฟิกา และ คัลวิน แรมเซย์  แบ็คขวาอนาคตไกลจากอเบอร์ดีน เยอร์เกน คล็อปป์ กล่าวกับนักข่าวว่ามีสองเงื่อนไขเท่านั้นที่ทำให้ลิเวอร์พูลต้องกลับเข้าตลาด 

“ถ้าไม่มีใครอยากย้ายทีม งานเราก็จบ และอีกอย่างถ้าไม่มีใครบาดเจ็บรุนแรงซึ่งเราหวังให้เป็นเช่นนั้น แฟนบอลลิเวอร์พูลสามารถเริ่มโฟกัสกับเรื่องอื่นไปได้เลย”

หากถามใจเหล่าเดอะค็อป หนึ่งในเรื่องสำคัญที่พวกเขาให้ความสนใจต้องเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก ซึ่งลิเวอร์พูลเป็นทีมเดียวที่สามารถขวางทางไม่ให้แมนฯ ซิตี้ ผงาดชนะเลิศห้าสมัยติดต่อกันจากความสำเร็จของทีมหงส์แดงในซีซั่น 2019-20 ที่คั่นกลางอยู่ระหว่างแชมป์สองสมัยรวดของทีมเรือใบสีฟ้า และถ้าลูกทีมของคล็อปป์ทำสำเร็จ พวกเขาจะดับฝันแชมป์สามสมัยติดต่อกันของแมนฯ ซิตี้ เป็นครั้งที่สอง

อาจเป็นสงครามจิตวิทยาเพื่อโยนความกดดันก็ได้เมื่อคล็อปป์ยกให้แมนฯ ซิตี้ เป็นตัวเต็งยืนบนบัลลังก์สูงสุดของลีกลูกหนังอังกฤษ

“ทุกคนต่างต้องการชนะพรีเมียร์ลีกแต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นทีมไหน ดูเหมือนซิตี้จะเป็นแชมป์ในบั้นปลาย ที่ผ่านมาถ้าเราไม่ได้เป็นแชมป์ พวกเขาจะชนะเลิศห้าสมัยติดต่อกันเลย ซึ่งมันเป็นเรื่องบ้าจริงๆเลย”

“สำหรับพวกเราแล้วยังคาดหวังที่จะเล่นให้เป็นซีซั่นที่ดีที่สุด แล้วมาดูกันว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อพวกเราบีบเค้นสิ่งนั้นออกมาได้ เราเฝ้ารอที่จะได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจริง ๆ”

คล็อปป์ยังให้ความเห็นด้วยว่าก่อนจะหันไปท้าทายความยิ่งใหญ่ของแมนฯ ซิตี้ เขาต้องทำให้มั่นใจว่าพาทีมติดท็อป-4 ให้ได้เสียก่อน

“สำหรับฟุตบอลลีกแล้ว เป้าหมายหลักของพวกเราคือเข้าไปเล่นแชมเปียนส์ลีกให้ได้ เท่านี้ก็เป็นงานที่ยากลำบากพอแรงแล้ว พอคุณบรรลุภารกิจนั้นได้ก็ถึงเวลาที่จะต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งแชมป์ แต่ส่วนใหญ่แล้วในแต่ละซีซั่น เราจะต่อสู้เพื่อสิทธิแข่งขันแชมเปี้ยนส์ลีก”

“พอผ่านเข้ารอบติดต่อกัน 4-5 ปี ผู้คนจะไม่ค่อยตื่นเต้นเหมือนปีแรกที่ทำได้สำเร็จหลังจากว่างเว้นมาระยะเวลาหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นนี่เป็นงานหลักที่เรายังต้องทำ โดยเฉพาะปีนี้ที่มีแข่งขันดุเดือดมาก”

ฤดูกาลที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลได้ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกถึงนัดสุดท้าย รวมถึงเข้ารอบชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก, เอฟเอ คัพ และลีก คัพ แม้เพิ่งเสีย ซาดิโอ มาเน หนึ่งในสามประสานกองหน้าคนสำคัญ แต่ผลกระทบคงไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับ จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม ที่ย้ายออกไปเมื่อหนึ่งปีที่แล้วเพราะลิเวอร์พูลเสริมกองหน้าทดแทนได้ดีระดับหนึ่ง ไม่เพียงนูนเญซแต่เป็น หลุยซ์ ดิอาซ ซึ่งเล่นตำแหน่งตรงกับมาเนมากกว่า 

และหากมองภาพรวมขุมกำลังส่วนต่างๆที่จะลงสมรภูมิฤดูกาล 2022-23 แจ็ค เชียร์ ผู้ช่วยบรรณธิการแห่งสำนัก This is Anfield หนึ่งในกูรูลูกหนังเมืองผู้ดี ได้เคาะผลการประมวลข้อมูลจนมีข้อสรุปว่า นักเตะลิเวอร์พูลชุดนี้มีความแข็งแกร่งมากกว่าซีซั่นที่แล้ว

ผู้รักษาประตู-กองหลัง : ตัวเลือกมากพอให้ใช้งาน

แจ็ค เชียร์ มองว่า สัญญาใหม่ที่ทำกับ โจ โกเมซ อาจเป็นการเจรจาทางธุรกิจฟุตบอลที่ได้รับการประเมินค่าต่ำกว่าความเป็นจริงมากที่สุดของลิเวอร์พูลในซัมเมอร์ปีนี้

หลังจากไม่ค่อยได้ลงสนามเท่าที่ควรในซีซั่นที่แล้ว หลายคนเชื่อว่าเซ็นเตอร์แบ็ควัย 25 ปี น่าจะย้ายไปอยู่ทีมอื่นเพื่อเพิ่มโอกาสติดทีมชาติอังกฤษลุยเวิลด์คัพปลายปีที่กาตาร์ แต่สโมสรกลับโน้มน้าวจนโกเมซต่อสัญญาอยู่แอนฟิลด์เพิ่มอีกห้าปี ซึ่งเป็นหลักประกันให้ลิเวอร์พูลได้ใช้งานโกเมซในช่วงพีคของอาชีพค้าแข้ง

ซีซั่นใหม่ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ยังสามารถยืนเป็นเซ็นเตอร์แบ็คตัวหลักแม้อายุ 31 ปี เขาและโกเมซน่าจะมีสภาพร่างกายดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา ขณะที่ อิบราฮิมา โคนาเต ในวัย 23 ปี ได้รับการขัดเกลาให้ฉายแววเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน โจเอล มาติป ที่พยายามเอาชนะอาการบาดเจ็บเพื่อเปล่งประกายความรุ่งโรจน์กับสีเสื้อของเดอะ เรดส์ 

ทั้งหมดต่างต้องเฟ้นฟอร์มที่ดีที่สุดของตัวเองออกมาเพื่อเป็นปราการหลังคู่กับฟาน ไดจ์ค ขณะที่ เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก และ แนท ฟิลลิปส์ มีโอกาสรออยู่ในฐานะเซ็นเตอร์แบ็คตัวเลือกอันดับห้า ส่วนข้างหลังคู่ปราการหลัง อลิสซอน ยังเป็นผู้รักษาประตูที่สร้างความอุ่นใจได้เช่นเดิมแถมมี ควีวีน เคลเลเฮอร์ นายทวารทีมชาติไอร์แลนด์ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จซีซั่นที่ผ่านมาของลิเวอร์พูล

ฟูลแบ็คเป็นตำแหน่งที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด คัลวิน แรมเซย์ แบ็คขวาวัย 18 ปี เข้ามาแทน เนโก วิลเลี่ยส์ ที่ย้ายออกไปร่วมทีมน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ด้วยราคา 17 ล้านปอนด์ เข้ามากดดันให้ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ยกระดับฝีเท้าให้สูงขึ้นเพื่อการันตีตำแหน่งตัวจริง ขณะที่ คอนสแตนตินอส ซิมิกาส ทำหน้าที่เดียวกันกับ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ที่อีกฝั่งของสนาม

ผู้รักษาประตู : อลิสซอน, เคลเลเฮอร์ / แบ็คขวา : อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, แรมเซย์, มิลเนอร์ / เซ็นเตอร์แบ็คขวา : โคนาเต, มาติป / เซ็นเตอร์แบ็คซ้าย : ฟาน ไดจ์ค, โกเมซ / แบ็คซ้าย : โรเบิร์ตสัน, ซิมิกาส

กองกลาง : คาร์วัลโญทำให้อ็อปชั่นตัวเลือกเพิ่มขึ้น

น่าสนใจทีเดียวว่า คล็อปป์จะใช้ประโยชน์อย่างไรกับ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ มิดฟิลด์โปรตุกีสวัย 19 ปี ซึ่งเล่นตำแหน่งเบอร์ 10ตามหมากเกม 4-2-3-1 ที่ฟูแล่ม กุนซือชาวเยอรมันยังไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนในปรีซีซั่นแต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ คาร์วัลโญช่วยให้คล็อปป์มีอ็อปชั่นมากขึ้นและวางแผนการเล่นได้ยืดหยุ่นขึ้น

นัดแรกที่แพ้แมนฯ ยูไนเต็ด 0-4 ที่กรุงเทพฯ คาร์วัลโญเล่นมิดฟิลด์กลางสนามในฟอร์แมท 4-3-3 สูตรที่คุ้นตาแฟนบอลหงส์แดง แต่เป็นตำแหน่งที่ ฮาร์วีย์ เอลเลียต อดีตเด็กอะคาเดมี่ของฟูแลม ครอบครองอยู่ โดยนัดนี้ เอลเลียตขยับขึ้นไปเล่นด้านขวาของฟรอนท์ทรี แถมฉายแววได้ดีกว่าที่หลายคนคิด

ครึ่งหลังของนัดสองที่ชนะคริสตัล พาเลซ 2-0 ที่สิงคโปร์ เอลเลียตกลับไปทำหน้าที่กองกลาง ขณะที่คาร์วัลโญถ่างตัวเองออกไปบริเวณริมสนาม แม้มีความเห็นมากมายให้ลิเวอร์พูลเสริมผู้เล่นมิดฟิลด์แต่คล็อปป์ยังมั่นใจว่าขุมกำลังตอนนี้ยังเอาอยู่ อย่างน้อยก็หนึ่งฤดูกาล ฟาบินโญ, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ธีอาโก ยังจะเป็นตัวเลือกอันดับต้นเหมือนซีซั่นที่แล้ว ขณะที่เอลเลียตน่าจะได้รับโอกาสมากขึ้น

เคอร์ติส โจนส์ ยังไม่สามารถแสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมาในสนาม นาบี เกอิตา และ อเล็กซ์ ออกเลด-แชมเบอร์เลน เป็นอ็อปชั่นที่ยอดเยี่ยมเหนือกว่ามาตรฐานตัวสำรอง ส่วน เจมส์ มิลเนอร์ ยังเป็นลูกทีมที่ไว้ใจได้ของคล็อปป์

มิดฟิลด์กลางสนาม : ฟาบินโญ, เฮนเดอร์สัน, มิลเนอร์ / มิดฟิลด์ขวา : เฮนเดอร์สัน, เอลเลียต, ออกเลต-แชมเบอร์เลน /มิดฟิลด์ซ้าย : ธีอาโก, เกอิตา, โจนส์, คัลวาโญ

กองหน้า : ขุมกำลังแห่งอนาคตที่สดใสขึ้นเรื่อย ๆ

มาเนย้ายไปสวมยูนิฟอร์มของบาเยิร์น มิวนิค ไม่มีอิมแพ็คต่อกองหน้าหงส์แดงมากเท่าที่หลายคนวิตกเพราะลิเวอร์พูลมีการเตรียมแผนรองรับไว้เรียบร้อยแล้ว แม้ ดาร์วิน นูนเญซ ถูกมองว่าเป็นคำตอบแต่เมื่อเทียบกับตำแหน่งถนัดคือกองหน้าฝั่งซ้าย หลุยส์ ดิอาซ ซึ่งย้ายมาร่วมทีมในตลาดเดือนมกราคม เป็นตัวตายตัวแทนที่แท้จริงของกองหน้าทีมชาติเซเนกัล แถมพิสูจน์ตัวเองไปแล้วในครึ่งฤดูกาลหลัง

นูนเญซน่าจะเป็นศูนย์หน้าแห่งอนาคตแทน โรแบร์โต เฟียร์มิโน มากกว่าแต่ระหว่างนี้ คล็อปป์ยังมั่นใจว่า ซีซั่นนี้ เฟียร์มิโนจะกลับมาสมบูรณ์เต็มร้อยและยังมีฝีเท้าระดับเวิลด์คลาสเช่นเดิมหลังจากฤดูกาลที่แล้วมีปัญหาบาดเจ็บรบกวน เช่นเดียวกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่นายใหญ่เมืองเบียร์ยังเชื่อว่า ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของสตาร์ทีมชาติอียิปต์กำลังรออยู่เบื้องหน้า ขณะที่ ดิโอโก โชตา กำลังพัฒนาตัวเองและเพิ่มคุณประโยชน์ต่อทีมอย่างช้าๆแต่มั่นคง

ถึงเสียเมเน, ดิวอค โอริกี และ ทาคูมิ มินามิโนะ แต่การเข้ามาของคาร์วัลโญและนูนเญซ สามารถอุดรอยรั่วดังกล่าวได้อย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะคาร์วัลโญ เอื้อประโยชน์ให้คล็อปป์ใช้งานเอลเลียตในตำแหน่งตัวรุกด้านขวาได้มากขึ้นทั้งกองหน้าและกองกลาง

ศูนย์หน้า : นูนเญซ, โซตา, เฟียร์มิโน / กองหน้าขวา : โซลาห์, เอลเลียต, ออกเลด-แชมเบอร์เลน / กองหน้าซ้าย : ดิอาซ, โซตา, คาร์วัลโญ

เสริมมิดฟิลด์กลางสนามยังเป็นภารกิจสำคัญในปีหน้า

แม้คล็อปป์มีขุมกำลังที่แข็งแกร่งอยู่ในมือพร้อมไล่ล่าสี่ถ้วยแชมป์อีกครั้งในฤดูกาลใหม่ แต่กองกลางยังเป็นขุมกำลังที่จะต้องได้รับการเสริมแกร่งมากที่สุดในอีกหนึ่งปีหน้า ปัจจุบันทีมซีเนียร์ของลิเวอร์พูลมีผู้เล่นกองกลางอยู่แปดคน หากรวมคาร์วัลโญเข้าไปด้วยก็เป็นเก้า ยังไม่รวมนักเตะเยาวชนหรือทีมสำรอง

เฮนเดอร์สัน, มิลเนอร์ และ ธีอาโก ต่างมีอายุทะลุหลักสามสิบไปแล้ว ทั้งสามมีโอกาสบาดเจ็บวันใดวันหนึ่งในเกมแข่งขันที่มากและดุเดือด ชื่อของ จู้ด เบลลิงแฮม มิดฟิลด์ดาวรุ่งทีมชาติอังกฤษของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จึงถูกยกขึ้นมาเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งในตลาดซัมเมอร์ปีหน้า แต่ซีซั่นนี้ โจนส์, เอลเลียต และคาร์วัลโญ จึงถูกคาดหวังให้ยกระดับผลงานมากขึ้นกว่าเดิม

ซีซั่นที่แล้ว โจนส์เล่นเกมลีก 856 นาที เอลเลียตลงสัมผัสสนาม 346 นาที ซึ่งเพิ่มมากกว่านี้แน่หากไม่บาดเจ็บ ขณะที่คาร์วัลโญเล่นให้ฟูแลมมากกว่า 2,800 นาที ในบรรดาสามคนนี้ โจนส์ ซึ่งอายุเพียง 21 ปีแต่แก่กว่าเอลเลียตและคาร์วัลโญ มีประสบการณ์มากที่สุดและมีโอกาสได้รับการพลักดันจากคล็อปป์มากที่สุดเช่นกัน แต่ถือเป็นโชคดีของว่าที่ตัวตายตัวแทนเหล่านี้ที่จะได้รับโอกาสมากขึ้นในฤดูกาลใหม่เมื่อพรีเมียร์ลีกแก้ไขกฎให้เปลี่ยนตัวสำรองลงสนามได้ถึงห้าคน คล็อปป์เคยให้สัมภาษณ์ถึงทั้งสามว่า

โจนส์ : “ผมรู้จักเขามานานแล้วและเป็นหนึ่งในแฟนตัวจริงของเขา ทักษะการเล่นของเขายังต้องเรียนรู้และทำงานหนัก ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทำอยู่ทุกวัน บางคนต้องการการพลักดันซึ่งเคอร์ติสดูเหมือนเป็นคนแบบนั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับการตอบสนองของเขาว่าเป็นอย่างไร”

เอลเลียต : “ฮาร์วีย์เป็นผู้เล่นที่ดีจริงๆไม่ต้องสงสัยเลย แต่ที่ผ่านมายังไม่ใช่ซีซั่นที่ดีที่สุดของเขาแน่นอนเพราะเขาเพิ่งได้เล่นแค่ 20 นัด แต่เชื่อว่าเขาจะเริ่มต้นได้ดีอีกครั้งในซีซั่นใหม่ ตอนนี้เราก็ต้องทำงานร่วมกับเขาต่อไปเช่นเดียวกับคนอื่น”

คาร์วัลโญ : “เป็นทั้งโปรเจ็คต์ระยะสั้นและยาว เขาสามารถลงตัวจริงได้เลยพรุ่งนี้ แต่ยังต้องใช้เวลาปรับตัว เขาไม่มีตำแหน่งตายตัว บางทีอาจเป็นปีก เบอร์แปด เบอร์สิบ หรือเบอร์เก้าหลอกก็ได้หากเพิ่มกล้ามเนื้อขึ้นมาอีก”

ด้วยขุมกำลังของลิเวอร์พูลที่คล็อปป์มีอยู่ ฤดูกาล 2022-23 ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นสำหรับบรรดาเดอะ ค็อป ทั่วโลกโดยแท้จริง

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา

Categories
Football Business

สรุปการรับชม “พรีเมียร์ลีก” ฤดูกาลใหม่ 2022/23 ผ่าน 4 วิธีการหลักจาก “กลุ่มทรู”

ปีนี้เป็นปีที่สำคัญของคอบอล เพราะเป็นปี “ฟุตบอลโลก” ซึ่งจะทำการแข่งขันระหว่าง 21 พ.ย. ถึง 18 ธ.ค.2022 อันทำให้ฤดูกาลแข่งขันฟุตบอลลีกต่าง ๆ ยุโรปเริ่มเร็วกว่าปกติ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ก็เช่นกันที่จะคิกออฟซีซั่นใหม่ 6 ส.ค. นี้ (พักเบรกให้เวิลด์คัพ 12 พ.ย.) โดยเจ้าของลิขสิทธิ์ในประเทศไทยยังคงเป็นผู้เล่นตัวเก๋า “ทรูวิชั่นส์” ซึ่งครองการเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในประเทศไทยมาแทบจะทุกยุคทุกสมัยทั้งทางตรง (ซื้อตรงผ่านพรีเมียร์ลีก) หรือทางอ้อม (ซื้อผ่านเจ้าของสิทธิ์ที่ได้สิทธิ์ตรงจากพรีเมียร์ลีกอีกทอดหนึ่ง)

โดยเมื่อ 26 ก.ค. ที่ผ่านมา ณ โรงภาพยนตร์สยามพารากอน ทรู วิชั่นส์ เป็นเจ้าภาพของ “กลุ่มทรู” จัดแถลงข่าวอย่างยิ่งใหญ่เพื่อป่าวประกาศความมันส์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ยิงสดต่อไปอีก 3 ฤดูกาลเต็ม ๆ 2022/23 – 2024/25 อย่างเป็นทางการในฐานะ Official Broadcaster 

นอกจากนี้ “กลุ่มทรู” ยังจัดหนักแพ็คเกจหลากหลายเพื่อตอบสนองการรับชมทุกช่องทางผ่านทุก Business Units ของกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มทีวี (ทรู วิชั่นส์), สมาร์ตโฟน (ทรูมูฟ เอช), ทรูไอดี (ระบบอินเทอร์เน็ต – ทรู ออนไลน์) รวมถึงการสื่อสารถึงคอนเทนต์พรีเมียร์ลีกในรุปแบบสมัยใหม่ผ่าน โซเชียลมีเดีย แพลตฟอร์ม อย่าง เฟซบุ๊ก, ยูทูป, tiktok, IG ฯลฯ เพื่อให้แฟนฟุตบอลเข้าถึง และมีส่วนร่วมได้มากขึ้น

รวมไปถึงในปีนี้จะมีกิจกรรมร่วมกับแฟนบอลผ่านเกมแฟนตาซี พรีเมียร์ลีก ที่มีคนเล่นทั่วโลกกว่า 9 ล้านคน มาเปิดลีกพิเศษสำหรับคนไทยอย่าง “ทรู วิชั่นส์ ลีก” ที่มีของรางวัลสุดพรีเมี่ยมให้ลุ้นทุกสัปดาห์อีกด้วย

ว่าแล้ว ไปรับชมโปรโมชั่นสำหรับรับชมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในแต่ละช่องทางของ “กลุ่มทรู” กันค่ะ:

1. ทรู วิชั่นส์ หรือกล่องทรู ดีที่สุด มีให้ดูครบถ้วนทุกอย่าง เหมาะสำหรับครอบครัว

– แพ็กเกจแพลตินัม เอชดี เริ่มต้นเพียง 2,155.15 บาท/เดือน ชมฟรี EPL 3 ฤดูกาล (2022/23 – 2024/25 

) และชมฟรี beIN SPORTS  2 ฤดูกาล (2022/23 – 2023/24) พร้อมรับ 1,000 True Point  และ True Black Card

– แพ็กเสริม ทรูพรีเมียร์ ฟุตบอล เอชดี พลัส (True Premier Football HD+) สมาชิกทรู วิชั่นส์ แพลตินัม ชมฟรีตลอด 3 ฤดูกาล สิ้นสุด 31 พฤษภาคม 2568 สมาชิกแพ็กอื่น ๆ พิเศษ ผูกเบอร์ทรูมูฟ เอช เพียง 299 บาทต่อเดือน (จากปกติ 399 บาท)

– แพ็กเสริม “EPL Season Pass” เหมาจ่ายตลอดฤดูกาล พิเศษสุด!! เฉพาะสมาชิกทรู วิชั่นส์ 1 ฤดูกาล เพียง 2,500.- บาท (จากปกติ 3,990 บาท )พร้อมชมฟรี beIN Sports 3 เดือน (90 วัน) หรือสมัคร 3 ฤดูกาล เพียง 7,000.- บาท (จากปกติ 11,970 บาท) สมัครด่วน!! วันนี้ – 31 กรกฎาคม 2565 เท่านั้น

2. ทรูมูฟ เอช ดูบอลสด ผ่านมือถือ สะดวก สบาย ดูบอลได้ทุกที่ ทุกเวลา

– ดูฟรี! ครบ 380 แมตช์ ตลอดฤดูกาล เพียงเปิดเบอร์ใหม่ หรือย้ายค่าย แบบรายเดือน แพ็กเกจ 5G Ultra Max Speed 1,199 บาทต่อเดือน เล่นเน็ตไม่อั้น เต็มสปีด โทรฟรีไม่อั้นในเครือข่าย โทรนอกเครือข่าย 350 นาที Wi-Fi ฟรีไม่จำกัด

– แพ็กเกจเสริม ดูฟุตบอล ทรูพรีเมียร์ลีก ครบทุกแมตซ์ ตลอดฤดูกาล สำหรับลูกค้าทรูมูฟเอช แบบรายเดือนและเติมเงิน ราคา 2,700 บาท พิเศษ!ราคา Early Bird เพียง 2,200 บาทเท่านั้น เมื่อสมัครภายใน 31 ก.ค.นี้ 

– แพ็กเกจเสริมดูฟุตบอล ทรูพรีเมียร์ลีก พร้อมเน็ตดูทรูไอดีไม่อั้น แบบ 30 วัน ราคา 399บาท, แบบ 7 วัน ราคา 219 บาท

– สิทธิพิเศษ! ลูกค้าทรูมูฟ เอชทั้งแบบรายเดือน และเติมเงิน ทั้งลูกค้าใหม่ และลูกค้าปัจจุบัน ดูฟรี ทีมโปรด บนมือถือ ครบทุกแมตช์ ตลอดฤดูกาล (ก็คือ 38 นัดตามทีมโปรด) ผ่านแอปทรูไอดี กับแพ็กเกจทรูอันล็อก ลูกค้าทรูมูฟ เอช รับสิทธิ์ กด *555*56# โทรออก (และติดตามรายละเอียดการเลือกทีมโปรด ได้บนแอปทรูไอดี ส.ค. นี้) มาเป็นลูกค้าทรูมูฟเอชแบบเติมเงินง่ายๆ แค่เปิดซิมใหม่ “ซิมทรูไอดี” เพียง 49.- บาท หรือเปิดซิมรายเดือนแพ็กเกจ 299 บาทขึ้นไป

3. ทรูออนไลน์ ทางเลือกเพื่อการรับชมบนจอทีวี กับไลฟ์สไตล์แบบ OTT ยุคปัจจุบัน

– แพ็กเกจ True Gigatex Fiber 999 บาทต่อเดือน ดูฟรี สดครบทุกแมตช์ มาพร้อมเน็ตบ้านไฟเบอร์1000/500Mbps, ซิมทรูมูฟ เอช 15GB 60 นาที, อุปกรณ์เราเตอร์อัจฉริยะ และ อุปกรณ์กระจายสัญญาณ Gigatex Mesh WiFi, กล่องทรูไอดีทีวี พร้อมดูฟรี TrueID+ 24 เดือน (สำหรับลูกค้าทรูมูฟ เอช รับส่วนลด 200 บาท สมัครราคาพิเศษเพียง 799 บาทต่อเดือน)

– แพ็กเกจ True Gigatex Unlock TV เริ่มเพียง 599 บาทต่อเดือน ดูฟรีทีมโปรด สด ครบทุกแมตช์ ปลด
ล็อกทุกแมตช์ทีมโปรด ตลอดฤดูกาล (ฟรี! 38 นัดเกาะติดทีมรัก) และความบันเทิงทั้งหนังดัง ซีรีส์ฮิต อนิเมะ สารคดีดังระดับโลก คมชัดบนทีวี และดูได้ทุกที่ผ่านมือถือ พร้อมความเร็วเน็ตบ้าน 1000/300Mbps, กล่องทรูไอดีทีวี พร้อมซิมทรูมูฟ เอช 2 ซิม

4. ทรูไอดี เริ่มเพียง 179 บาทต่อวันเท่านั้น ไม่จำกัดค่ายก็รับชมได้ทุกที่ ทุกเวลา ทั้งแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ และกล่องทรูไอดี ซึ่งแน่นอนว่า เป็นการเชื่อมต่อเพื่อรับชมโดยใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ต ดังนั้นหากใช้กล่องทรูไอดี ควบคู่ไปกับอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ทรูออนไลน์ แพ็คเกจต่าง ๆ (ตามข้อ 3 ข้างต้น) ก็จะได้รับประโยชน์สูงสุด แต่ทว่าหากไม่สะดวกก็สามารถเลือกค่ายได้ตามต้องการ แต่ราคาค่าบริการจะแพงกว่านะคะ

ทั้งหมดที่กล่าวมา คือ ภาพรวมช่วยให้เพื่อน ๆ คอบอลไปเสาะแสวงหาช่องทางเพื่อติดตาม และรับชมทีมโปรดผ่านลีกฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลกได้ในรูปแบบวิธีตามถนัดของตัวเอง

อย่างไรก็ดี ในฐานะแฟนบอลผู้ชาญฉลาด (Smart Supporters) การเจาะศึกษาข้อมูลโปรโมชั่นที่ “กลุ่มทรู” มีอยู่มากมาย กับคอนเทนท์ที่มากมาย (มากกว่าแค่ พรีเมียร์ลีก แต่เป็นแทบทุกลีก และทุกประเภทกีฬาหลัก รวมถึงภาพยนตร์, สารคดี, การ์ตูน ฯลฯ) เพื่อตอบโจทย์การรับชมส่วนตัว หรือครอบครัว หรือที่พักอาศัย หรือตามไลฟ์สไตล์ คือ สิ่งที่ดีที่สุด เพื่อประโยชน์สูงสุด และอรรถรสดีที่สุดในการติดตามพรีเมียร์ลีก เช่น การ unlock (ทรู ออนไลน์ หรือทรูมูฟ เอช) หรือ season pass ราคาพิเศษ 1 หรือ 3 ฤดูกาลรวด ไปจนถึง “เต็มแมกซ์” ไม่พลาดอะไรแน่นอนกับ ทรู วิชั่นส์ แพลตินัม เอชดี ที่จะได้รับชมความคมชัดในแมตช์ หรือคอนเทนท์พิเศษถึงระดับ 4K ด้วยซ้ำไป

สุดท้าย หวังว่า ข้อมูลครั้งนี้จะช่วยทุกคนได้บ้าง และแน่นอนว่า ขอให้สนุกที่สุดกับพรีเมียร์ลีก ซีซั่นใหม่ 2022/23 กันถ้วนหน้าค่ะ

📝ภาวินีย์ สูญสิ้นภัย (แนน)

Categories
Special Content

เออร์ลิง ฮาแลนด์ : ลูกชาวสวนผู้เดินตามรอยพ่อที่ “แมนฯ ซิตี้”

เออร์ลิง ฮาแลนด์ กองหน้าวัย 22 ปี ย้ายจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ มาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 51 ล้านปอนด์ เซ็นสัญญา 5 ปี รับค่าเหนื่อย 375,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์

ล่าสุด ดาวยิงชาวนอร์เวย์รายนี้ ได้โอกาสลงสนามเป็นตัวจริงให้กับ “เรือใบสีฟ้า” ในเกมอุ่นเครื่องพรี-ซีซั่น ที่สหรัฐอเมริกา โดยเฉือนเอาชนะบาเยิร์น มิวนิค 1 – 0 เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา

ประตูชัยในเกมนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่ 12 นาทีแรก และฮาแลนด์ก็เป็นผู้สังหารเข้าไป ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี หลังจากดาร์วิน นูนเญซ เพิ่งยิงคนเดียว 4 ประตูให้กับลิเวอร์พูล เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านั้น

การมาของฮาแลนด์ และนูนเญซ สร้างความตื่นเต้นให้กับฟุตบอลอังกฤษเป็นอย่างมาก ที่อยากจะเห็นฟอร์มของดาวยิงวัยรุ่นทั้ง 2 คนนี้ โดยเริ่มต้นจากศึก “คอมมูนิตี้ ชิลด์” วันเสาร์นี้

วันนี้ ไข่มุกดำ x SoccerSuck จะมาเล่าเรื่องราวของดาวเตะหมายเลข 9 กับเส้นทางสู่การเป็นนักเตะแมนฯ ซิตี้ ตามรอยคุณพ่ออัลฟ์-อิงเก้ มาให้ฟังกันครับ

ขอบคุณภาพ https://web.facebook.com/mancity

เกิดในครอบครัวนักกีฬา และเกษตรกร

เออร์ลิง ฮาแลนด์ เกิดที่เมืองลีดส์ ประเทศอังกฤษ เป็นลูกชายของคุณพ่ออัลฟ์-อิงเก้ ฮาแลนด์ ที่เคยค้าแข้งกับ 3 สโมสรพรีเมียร์ลีก ทั้งน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์, ลีดส์ ยูไนเต็ด และแมนเชสเตอร์ ซิตี้

ส่วนคุณแม่ของเขา ก็เคยเป็นอดีตนักกรีฑาที่มีชื่อเสียงในช่วงทศวรรษ 1990s โดยเคยลงแข่งขันในประเภทสัตตกรีฑา ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ต้องใช้ความพยายาม และความทรหดเป็นอย่างมาก

เมื่อฮาแลนด์อายุได้ 3 ขวบ คุณพ่ออัลฟ์-อิงเก้ ตัดสินใจยุติชีวิตค้าแข้งในเมืองผู้ดี พร้อมพาครอบครัวกลับบ้านเกิดที่เมืองไบรน์ ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งเป็นเมืองแห่งเกษตรกรรม

ฮาแลนด์เริ่มต้นเส้นทางลูกหนังในวัย 5 ขวบ หลังจากเข้ามาเป็นนักเตะเยาวชนกับสโมสรไบรน์ ซึ่งตัวเขามีฝีเท้า พรสวรรค์ และรูปร่างสูงใหญ่ โดดเด่นกว่าเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกัน

หลังจากใช้เวลาอยู่กับอคาเดมี่นานถึง 11 ปี ในปี 2016 ฮาแลนด์ในวัย 16 ปี ก็ได้ประเดิมลงสนามกับทีมชุดใหญ่ของไบรน์เป็นนัดแรก โดยเริ่มเล่นในตำแหน่งปีก ก่อนถูกโยกมาเล่นกองหน้าตัวเป้า

กระทั่งปีต่อมา โอเล่ กุนนาร์ โซลชา อดีตตำนานกองหน้าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่รับงานผู้จัดการทีมโมลด์ในเวลานั้น ได้เห็นฝีเท้าที่ยอดเยี่ยมของฮาแลนด์ จึงได้ดึงตัวเขามาปลุกปั้นต่อ

ซึ่งแมตช์ที่สร้างชื่อให้กับฮาแลนด์ คือเกมที่โมลด์ บุกไปถล่มบรานน์ถึงถิ่น 4 – 0 เมื่อเดือนกรกฎาคม 2018 เจ้าตัวเหมาทั้ง 4 ประตูในครึ่งแรก โดยใช้เวลาเพียงแค่ 17 นาทีเท่านั้น

ค่าเฉลี่ยนัดละ 1 ลูกในลีกออสเตรีย และเยอรมัน

หลังผ่านการพิสูจน์ตัวเองในลีกนอร์เวย์กับไบรน์ และโมลด์ เออร์ลิง ฮาแลนด์ก็ได้ไปค้าแข้งในลีกที่ใหญ่กว่าเดิม เพื่อโอกาสสร้างชื่อในการเป็นหนึ่งในสุดยอดดาวยิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกลูกหนัง

ขอบคุณภาพ https://web.facebook.com/FCRedBullSalzburg

เดือนมกราคม 2019 ซัลซ์บวร์ก ทีมดังในบุนเดสลีกา ออสเตรีย จ่ายเงินให้โมลด์ 8 ล้านยูโร ในการดึงฮาแลนด์มาร่วมทีม และได้สร้างประวัติศาสตร์ไว้มากมายในถิ่นเรดบูลล์ อารีน่า

ตลอด 1 ปี กับซัลซ์บวร์ก ฮาแลนด์ ลงเล่น 27 นัดรวมทุกรายการ ทำได้ 29 ประตู หนึ่งในนั้นคือการยิงประตูลิเวอร์พูลที่แอนฟิลด์ ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม เมื่อเดือนตุลาคม 2019

และการลงเล่นถ้วยใหญ่สุดของยุโรปนี่เอง ฮาแลนด์ได้สร้างสถิติขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง คือเป็นนักเตะคนที่ 6 ในประวัติศาสตร์ ที่ยิงประตูในรายการแชมเปี้ยนส์ ลีก 5 นัดติดต่อกัน

จากนั้นในเดือนมกราคม ปีถัดมา โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ สโมสรยักษ์ใหญ่จากบุนเดสลีกา เยอรมัน ตัดสินใจทุ่มเงิน 20 ล้านยูโร เพื่อเป็นค่าตัวของฮาแลนด์ ท่ามกลางความสนใจจากหลายทีมในยุโรป

นัดแรกของฮาแลนด์ ในสีเสื้อของ “เสือเหลือง” ถูกเปลี่ยนลงมาเป็นตัวสำรอง และทำแฮตทริกได้ทันที โดยใช้เวลาเพียงแค่ 34 นาทีเท่านั้น ในเกมที่บุกไปเอาชนะเอาก์สบวร์กถึงถิ่น 5 – 3

2 ซีซั่นครึ่งในถิ่นซิกนัล อิดูน่า พาร์ค ฮาแลนด์ได้ตอบแทนความคุ้มค่าให้กับดอร์ทมุนด์ ด้วยการเป็นตัวผลิตสกอร์เป็นกอบเป็นกำเช่นเดียวกับตอนเล่นให้ซัลซ์บวร์ก โดยทำได้ 86 ประตู จากการลงสนาม 89 นัด

ผลงานของฮาแลนด์ กับทั้งซัลซ์บวร์ก และดอร์ทมุนด์ ยิงได้ 115 ประตู จาก 116 นัด คิดแบบง่าย ๆ คือ การันตี 1 ประตูทุกนัด ด้วยสถิติสุดโหดแบบนี้ ทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตัดสินใจดึงตัวไปร่วมทีมในที่สุด

บทบาทในเกมรุกของแมนฯ ซิตี้ จะเป็นอย่างไร ?

เออร์ลิง ฮาแลนด์ เลือกวันที่ 12 มิถุนายน เป็นวันเปิดตัวนักเตะใหม่กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่อัลฟ์-อิงเก้  คุณพ่อของเขา เปิดตัวกับเรือใบสีฟ้า หลังย้ายจากลีดส์ ยูไนเต็ด เมื่อ 22 ปีก่อน

ขอบคุณภาพ https://web.facebook.com/mancity

การเข้ามาของฮาแลนด์ ถือเป็นการเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า หลังจากหมดยุคของเซร์คิโอ กุน อเกวโร่ และไม่แน่ว่า อาจจะทำได้ดีกว่าอดีตดาวยิงชาวอาร์เจนไตน์ก็เป็นได้

สไตล์การเล่นของฮาแลนด์ มักจะเป็นกองหน้ารอจบสกอร์ในเขตโทษ มากกว่าช่วยเพื่อนร่วมทีมขึ้นเกม ซึ่งจะต่างจากแฮร์รี่ เคน กองหน้าสเปอร์ส ที่แมนฯ ซิตี้เคยตามจีบอย่างหนัก แต่สุดท้ายก็พลาดหวัง

สำหรับแท็กติกที่เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือสมองเพชรของซิตี้ ที่คาดว่าน่าจะนำมาใช้ เพื่อรองรับการมาถึงของดาวยิงทีมชาตินอร์เวย์ วัย 22 ปี รายนี้ มีความเป็นไปได้ทั้ง 4-3-3, 4-2-3-1 หรือ 4-4-2

แผน 4-3-3 สูตรถนัดของเป๊ป ฮาแลนด์จะเป็นกองหน้าตัวกลาง ยืนสูงกว่าด้านข้างทั้งริยาดห์ มาเรซ และฟิล โฟเด้น ส่วนแผงมิดฟิลด์ เควิน เดอ บรอยน์ จะทำหน้าที่คอยปั้นเกม

ส่วนแผน 4-2-3-1 แน่นอนว่าฮาแลนด์ยืนหน้าตัวเป้าแบบเดี่ยว ๆ ส่วนมิดฟิลด์ที่จะขึ้นเกมรุก อาจจะให้เดอ บรอยน์ หรือโฟเด้น รับบทเป็นเพลย์เมกเกอร์ ทำเกมอยู่ด้านหลังฮาแลนด์

ขณะที่แผน 4-4-2 ที่หลายคนอาจปรามาสว่า “ตกยุค” แต่เป๊ปอาจจะหยิบนำมาใช้ได้เช่นกัน ฮาแลนด์จะยืนเป็นกองหน้าคู่ ซึ่งจับคู่ได้ทั้งโฟเด้น, มาเรซ หรือกองหน้าตัวใหม่อย่างยูเลี่ยน อัลวาเรซ

ขอบคุณภาพ https://web.facebook.com/mancity

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่แมนฯ ซิตี้อาจจะมีความกังวลในตัวฮาแลนด์ คืออาการบาดเจ็บที่เริ่มจะบ่อยขึ้นในระยะหลังอย่างเห็นได้ชัด โดย 2 ฤดูกาลหลังสุดกับดอร์ทมุนด์ เขาพลาดลงสนามรวมกันถึง 26 นัด

การมาของเออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ทำให้เกมรุกของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ น่ากลัวขึ้นอีกระดับ และหลังจากลิเวอร์พูลได้ตัวดาร์วิน นูนเญซ น่าสนใจว่าพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลใหม่ จะเพิ่มดีกรีความเดือดอย่างมากเลยทีเดียว

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://lifebogger.com/erling-braut-haaland-childhood-story-plus-untold-biography-facts/

https://theathletic.com/3279312/2022/05/11/erling-haaland-boy-from-bryne-who-didnt-like-school-or-losing-but-loves-scoring-and-kebab-pizza/

– https://theathletic.com/3368776/2022/06/17/haaland-de-bruyne-foden-grealish/

– https://www.skysports.com/football/news/11679/12609616/erling-haaland-to-man-city-why-striker-role-in-pep-guardiolas-team-suits-norwegians-temperament-and-skill-set

Categories
Special Content

ดาร์วิน นูนเญซ : จากเด็กยากจน สู่แข้งค่าตัวแพงสุดของลิเวอร์พูลที่ยังต้องต่อสู้กับคำครหา

ดาร์วิน นูนเญซ กองหน้าวัย 23 ปี ย้ายจากเบนฟิก้า มาร่วมทีมลิเวอร์พูล ด้วยค่าฉีกสัญญา 64 ล้านปอนด์ บวกกับแอด-ออน อีก 21 ล้านปอนด์ รวมเป็น 85 ล้านปอนด์ 

แต่กว่าจะเป็นนักเตะค่าตัวแพงสุดในประวัติศาสตร์ของ “หงส์แดง” นูนเญซต้องต่อสู้กับชีวิตที่ยากลำบากในวัยเด็ก แถมเคยได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก จนเกือบต้องเลิกเล่นฟุตบอลมาแล้ว

และล่าสุด เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ดาวยิงชาวอุรุกวัยได้โอกาสโชว์ฝีเท้าในเกมอุ่นเครื่อง นัดที่บุกไปถล่มแอร์แบ ไลป์ซิก 5 – 0 โดยเจ้าตัวถูกเปลี่ยนลงมาในครึ่งหลัง และยิงคนเดียว 4 ประตูลบคำปรามาสก่อนหน้านี้ที่ลงเตะพรีซีซั่นให้หงส์แดงแล้วฟอร์มยังไม่เข้าตาไปได้

“นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วในหยุดแว่วเสียงวิจารณ์ต่าง ๆ มันเป็นคืนที่เพอร์เฟคต์สำหรับเขา” เยอร์เก้น คลอปป์ กล่าวถึงลูกทีมเบอร์ 27

ฉะนั้นหลังกด 4 ประตูแรก และซัดแฮทตริกใน 12 นาทีได้สำเร็จ SoccerSuck x ไข่มุกดำ จะมาเล่าเรื่องเส้นทางสู่การเป็นนักฟุตบอลของนูนเญซ ก่อนที่ศึก “คอมมูนิตี ชิลด์” จะมาถึงในสัปดาห์หน้า ให้ฟังกันครับ

ครอบครัวที่แสนลำเค็ญ และเคยคิดเลิกเล่นฟุตบอล

ดาร์วิน นูนเญซ เกิดที่เมืองอาร์ติกาส ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอุรุกวัย ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ติดแม่น้ำ ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ต้องเฝ้าระวังทรัพย์สินที่อาจจะสูญหายได้ทุกเวลา

ชีวิตในวัยเด็กของดาร์วิน ต้องเผชิญกับความลำเค็ญอย่างมาก เนื่องจากมีฐานะยากจน คุณพ่อเป็นคนงานก่อสร้าง ส่วนคุณแม่ต้องเดินเก็บขวดขายแลกเงิน เพื่อนำมาเลี้ยงดูตัวเขา และจูเนียร์ พี่ชายของเขา

สิ่งเดียวที่จะขับเคลื่อนชีวิตของดาร์วิน และครอบครัว ให้หลุดพ้นจากความยากลำบากคือ “ฟุตบอล” เมื่ออายุ 6 ขวบ ได้เข้ามาเป็นนักเตะเยาวชน ใช้เวลาฝึกฝนทักษะกีฬาลูกหนังจนเป็นที่ยอมรับของอคาเดมี่

ปี 2013 ดาร์วินในวัย 14 ปี ได้เข้าสู่ทีมเยาวชนของเพนารอล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งเมืองหลวงพร้อมกับพี่ชาย แต่เกิดอาการคิดถึงครอบครัวที่อาร์ติกาส จึงขออนุญาตกับทางสโมสร กลับไปใช้ชีวิตที่บ้าน 1 ปี

ปีต่อมา ดาร์วินกลับไปที่เพนารอลอีกครั้ง แต่ชีวิตการค้าแข้งของเขา เกือบหยุดชะงัก เนื่องจากได้รับบาดเจ็บที่เอ็นหัวเข่าและบริเวณสะบ้า พักยาวเกือบ 2 ปี จนเจ้าตัวคิดอยากจะเลิกเป็นนักฟุตบอลเลยทีเดียว

เดือนพฤศจิกายน 2017 ดาร์วินได้ประเดิมลงสนามนัดแรกกับทีมชุดใหญ่ของเพนารอล แต่เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เขาได้รับบาดเจ็บเอ็นหัวเข่าจุดเดิมเป็นครั้งที่ 2 พักนาน 7 เดือน ก่อนกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง

ตลอด 2 ปี ในทีมชุดใหญ่ของเพนารอล ดาร์วินต้องเจอกับอุปสรรคทั้งร่างกายและจิตใจ แต่จูเนียร์ พี่ชายของเขา คือผู้เสียสละที่แท้จริง ด้วยการเปิดทางให้น้องชายได้ไปต่อในเส้นทางนักฟุตบอลอาชีพ

สู่เส้นทางค้าแข้งที่ยุโรป ก่อนเข้าตาเจอร์เก้น คล็อปป์ 

ดาร์วิน นูนเญซ เติบโตในครอบครัวที่ยากลำบาก แต่ด้วยความเป็นนักสู้ ฝ่าฟันกับอุปสรรคต่างๆ อีกทั้งแสดงความสามารถออกมาให้ทุกคนเห็น จนได้รับโอกาสในการไปเล่นฟุตบอลอาชีพที่ต่างแดน

ปี 2019 อัลเมเรีย สโมสรระดับลีกดิวิชั่น 2 ของสเปนในเวลานั้น จ่ายเงิน 6 ล้านยูโร ให้กับเพนารอล เพื่อเป็นค่าตัวในการย้ายไปค้าแข้งในลีกยุโรปเป็นครั้งแรก โดยได้รับค่าจ้างที่ไม่ได้สูงมากนัก

1 ฤดูกาลกับอัลเมเรีย นูนเญซปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว จากตำแหน่งเพลย์เมกเกอร์ แล้วเปลี่ยนมาเป็นกองหน้า ทำได้ 16 ประตู จาก 30 นัด กลายเป็นดาวยิงสูงสุดของสโมสรในซีซั่น 2019/20

ต่อมาในซีซั่น 2020/21 นูนเญซได้รับโอกาสครั้งสำคัญ ในการย้ายไปค้าแข้งกับทีมที่ใหญ่ขึ้นอย่างเบนฟิกา สโมสรดังในลีกโปรตุเกส ด้วยค่าตัว 24 ล้านยูโร และมีโอกาสลงเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

ฤดูกาลแรกที่อยู่กับ “เหยี่ยวลิสบอน” นูนเญซมีอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าอยู่บ้าง แต่ด้วยหัวจิตหัวใจที่ไม่เคยยอมแพ้ เจ้าตัวก็ยังทำผลงานได้ดี ยิงได้ 16 ประตู จากการลงสนาม 44 นัด รวมทุกรายการ

จนกระทั่งในฤดูกาล 2021/22 ลิเวอร์พูล มีโปรแกรมพบกับเบนฟิก้า ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย ถึงแม้ว่าทีมของนูนเญซจะแพ้ด้วยสกอร์รวม 4 – 6 แต่เจ้าตัวทำประตูได้ทั้ง 2 นัดที่พบกัน

ฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นของนูนเญซ เรียกได้ว่าสร้างความประทับใจให้กับเจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมันของ “หงส์แดง” ที่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง และมักจะชื่นชอบนักเตะสไตล์ “นักสู้” อยู่แล้วด้วย

ซีซั่นที่ 2 ของนูนเญซ ก้าวกระโดดกว่าซีซั่นแรกอย่างชัดเจน ยิงไป 32 ประตู จาก 41 นัดรวมทุกรายการ ฟอร์มการเล่นที่จัดจ้านด้วยอายุที่ยังน้อย ทำให้บรรดาสโมสรยักษ์ใหญ่ ต่างจ้องที่จะล่าตัวมาให้ได้

เหตุใดลิเวอร์พูลถึงต้องจ่ายเงินเป็นสถิติสโมสร ?

สำหรับที่มาที่ไปของค่าตัว 85 ล้านปอนด์ ที่ลิเวอร์พูลจ่ายไปนั้น ข้อแรกคือ “กลไกตลาด” เนื่องจากดาร์วิน นูนเญซ ได้รับความสนใจจากทีมยักษ์ใหญ่เป็นอย่างมาก ทั้งลิเวอร์พูล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และอื่นๆ

เมื่อพูดถึงลีกโปรตุเกส สิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงคือ เป็นลีกที่บ่มเพาะนักเตะฝีเท้าดี แล้วส่งออกไปยังลีกยักษ์ใหญ่มาแล้วหลายราย โดยเฉพาะ 3 สโมสรชื่อดัง ได้แก่ เบนฟิก้า, ปอร์โต้ และสปอร์ติ้ง สิสบอน

สโมสรเหล่านี้ ได้รับทั้งชื่อเสียง และเครดิต ในการทำกำไรจากการขายนักเตะอย่างมหาศาล แม้จะต้องเสียนักเตะออกไปคนแล้วคนเล่า แต่กลับยิ่งตั้งใจค้นหา และสร้างดาวดวงใหม่ประดับวงการอยู่เสมอ

นอกเหนือจากเหตุผลเรื่องความต้องการแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งคือ “ของดีที่อยู่ในตัว” ถึงแม้ว่านูนเญซ จะมีรูปร่างสูงใหญ่ แต่มีความเร็วจัดจ้าน สร้างความลำบากใจให้แนวรับฝ่ายตรงข้ามได้แน่นอน

ที่สำคัญ นูนเญซยังเป็นนักเตะที่สามารถเล่นได้ทุกพื้นที่ในเกมรุก โดยเฉพาะฝั่งซ้าย และสามารถเข้าได้กับหลายแท็กติก ไม่ว่าจะเป็น 3-4-3, 4-4-2 หรือ 4-2-3-1 โดยไม่ส่งผลกระทบต่อผลงานของเขา

เท่านั้นยังไม่พอ นูนเญซไม่ได้จำกัดตัวเองในการเล่นแค่ตำแหน่งกองหน้าเท่านั้น ยังเล่นในตำแหน่งกลางตัวรุก หรือปีกซ้าย แถมเล่นเกมโต้กลับได้ดี โดยเฉพาะในเกมถ้วยยุโรปที่ต้องเจอกับทีมยักษ์ใหญ่

จากผลงานในอดีต สถิติที่การันตีถึงความยอดเยี่ยม ครบเครื่องทั้งในและนอกเขตโทษ และด้วยวัยเพียงแค่ 23 ปี ถ้าลิเวอร์พูลต้องการจะจ่ายเงินชนิดที่ไม่เกรงใจการคลังของสโมสร ก็ถือเป็นความเสี่ยงที่น่าลอง

อย่างไรก็ตาม แฟนฟุตบอลหลายๆ คน ได้ออกมาตั้งคำถามที่ว่า การที่ลิเวอร์พูลกล้าที่จะทุ่มเงินมหาศาลระดับ 85 ล้านปอนด์ กับนักเตะดาวรุ่งที่เพิ่งแจ้งเกิดกับลีกโปรตุเกสได้ไม่นาน มันเสี่ยงเกินไปหรือไม่

เรื่องราวของ ดาร์วิน นูนเญซ ถือเป็นแรงบันดาลใจสำหรับคนสู้ชีวิต เพื่ออนาคตที่สุขสบาย และเขากำลังจะเริ่มต้นพิสูจน์ตัวเอง เพื่อแสดงให้เห็นว่าค่าตัว 85 ล้านปอนด์ ไม่แพงเกินไปเลยสำหรับลิเวอร์พูล

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://theathletic.com/3362218/2022/06/14/darwin-nunez-liverpool-klopp-scouting/

https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-10915553/Liverpool-Darwin-Nunez-QUIT-football-17-Montevideo-hes-85m-star.html

https://www.telegraph.co.uk/football/2022/06/08/liverpool-want-make-darwin-nunez-record-signing/

https://www.marca.com/en/football/liverpool/2022/06/13/62a71591e2704ee6258b4567.html

https://lifebogger.com/darwin-nunez-childhood-biography-untold-story-facts/

Categories
Football Tactics

“ทุ่มบอล” อาวุธลับที่มองไม่เห็นของ “ลิเวอร์พูล” ยุคนายหัวคล็อปป์

ช่วงต้นสัปดาห์ที่ลิเวอร์พูลกลับมาฝึกซ้อมที่แอ็กซ่า เทรนนิ่ง เซ็นเตอร์ หลังจบคิวอุ่นเครื่องสองนัดที่อาเซียน ก่อนจะเดินทางต่อไปเก็บตัวปรีซีซั่นที่เยอรมนีและออสเตรีย มีข่าวเล็กๆบนหน้าสื่อไม่กี่สำนักที่ลงข่าวลิเวอร์พูลต่อสัญญาอีกหนึ่งปีกับ โธมัส กรอนเนมาร์ค โค้ชชาวเดนมาร์กวัย 46 ปี เจ้าของสถิติโลกทุ่มบอลไกลระยะ 51.33 เมตร

ซีซั่น 2022-23 เป็นปีที่ 5 ที่กรอนเนมาร์คทำงานให้กับลิเวอร์พูลในตำแหน่ง “โธรว์-อิน โค้ช” ที่รับผิดชอบการทุ่มบอลเขาทำงานแบบพาร์ทไทม์จึงไม่มีชื่ออยู่ในสตาฟฟ์โค้ช แต่ภารกิจของอดีตนักกรีฑาและบ๊อบสเลด (เลื่อนน้ำแข็ง) ทีมชาติเดนมาร์กเปรียบเสมือนปิดทองหลังพระในความสำเร็จของทีมหงส์แดงยุคเยอร์เกน คล็อปป์

ถ้าอยากรู้ว่าผลงานของกรอนเนมาร์คเป็นอย่างไรบนสนามแข่งขัน ให้สังเกตการทุ่มบอลของศิษย์เอกสามคนได้แก่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, แอนดี้ โรเบิร์ตสัน และ โจ โกเมซ

เมื่อวันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา ขณะที่นักเตะลิเวอร์พูล 15 คนกำลังฝึกซ้อม นักข่าวเห็นกรอนเนมาร์คยืนอยู่กับคล็อปป์และดร.อันเดรียส ชลัมแบร์เกอร์ หัวหน้าฝ่ายฟื้นฟูสมรรถภาพ ไม่กี่ชั่วโมงต่อมากรอนเนมาร์คได้ทวีตยืนยันว่าเขาได้เซ็นสัญญาหนึ่งปีกับลิเวอร์พูล

“ผมภูมิใจที่จะบอกว่าได้ต่อสัญญากับลิเวอร์พูลอีกหนึ่งปีเป็นซีซั่นที่ห้าในฐานะโค้ชทุ่มบอล รวมถึงสโมสรฟุตบอลอาชีพอีกสามทีม ผมเริ่มทึ่งกับการทุ่มบอลหลังได้เห็นญาติๆที่เป็นพี่ใหญ่ของผมทุ่มบอลไกลช่วงกลางทศวรรษ 1980”

กรอนเนมาร์คไม่ได้ระบุชื่ออีกสามทีมที่เขาต่อสัญญาแต่ที่ผ่านมา เขาทำงานฟรีแลนซ์ให้กับ อาแจ็กซ์, ไลป์ซิก, เกนท์, แอตแลนตา ยูไนเต็ด และมิดทีลแลนด์

 “คล็อปป์” ยังงงเมื่อรู้ว่าโลกลูกหนังมีอาชีพโค้ชทุ่มบอล

โธมัส กรอนเนมาร์ค เริ่มเข้ามาทำงานในแอนฟิลด์เมื่อเดือนกันยายน 2018 เยอร์เกน คล็อปป์ ซึ่งขณะนั้นคุมทีมหงส์แดงมาแล้วสามซีซั่นเต็ม เคยให้สัมภาษณ์ว่า “ด้วยความสัตย์จริง ผมไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับโค้ชทุ่มบอลมาก่อน แต่พอรู้เรื่องราวของโธมัส ผมคิดทันทีว่าต้องเจอตัวเขาให้ได้ ซึ่งหลังได้คุยกันแล้ว มันร้อยเปอร์เซ็นต์เลยที่ผมต้องจ้างเขาให้มาทำงานกัน”

ทางด้านกรอนเนมาร์คเล่าถึงเหตุการณ์สี่ปีที่แล้วว่า “เมื่อเดือนกรกฎาคม 2018 ผมได้รับข้อความเสียง พอเปิดฟังในรถจึงรู้ว่าเป็นเยอร์เกน คล็อปป์ ผมถึงกับทรุดจมที่นั่งเมื่อได้ยินเสียงเขา”

“คล็อปป์บอกว่า สโมสรมีช่วงเวลาที่ดีในซีซั่น 2017-18 อันดับสี่พรีเมียร์ลีกและเข้าชิงแชมเปี้ยนส์ลีก (แพ้เรอัล มาดริด 1-3) แต่พวกเขาเสียบอลจากการทุ่มบ่อยมาก ตอนนั้นผมรับงานทีมอาชีพแปดแห่งทั่วโลก ส่วนใหญ่อยากได้การทุ่มไกล แต่ลิเวอร์พูลกับอาแจ็กซ์ชัดเจนว่าทุ่มไกลไม่ใช่แนวทางของพวกเขา ผมจึงโฟกัสเรื่องทุ่มบอลเร็วและฉลาดซึ่งเป็นเทคนิคที่ผมเริ่มทำงานประมาณปี 2007 ประเด็นหลักอยู่ที่การครองบอล เราจะรักษาบอลอย่างไรเมื่อต้องทุ่มบอลขณะถูกกดดัน เราจะสร้างโอกาสและทำประตูอย่างไรจากสถานการณ์ทุ่มบอล”

ถึงแม้กรอนเนมาร์คเป็นเจ้าของสถิติโลกทุ่มบอลไกลแต่ คล็อปป์บอกว่าระยะทางไม่ใช่เหตุผลหลักที่เขาสนใจโค้ชเมืองโคนมรายนี้

“หลังจากโธมัสเข้ามา การทุ่มบอลของเราได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แต่ไม่ใช่อย่างที่คนส่วนใหญ่คิดกันว่าเป็นเรื่องทุ่มบอลให้ไปไกลๆ ตอนนี้เรามีการทุ่มบอลที่แตกต่างกัน 18 วิธี แน่นอนเราต้องการครองบอลต่อหลังการทุ่มซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ มันไม่สมเหตุสมผลเลยถ้าทุ่มบอลไปแล้ว สถานการณ์จะเป็นแบบ 50-50 (โอกาสครองบอลต่อ) ซึ่งตรงนี้แหละที่พัฒนาการส่งผลอย่างมาก”

เมื่อราวกว่าสิบปีที่แล้ว รอรี่ เดแล็ป มิดฟิลด์ชาวไอริส ซึ่งเล่นให้ทีมสโต๊คระหว่างปี 2007 – 2013 รวมถึงปี 2006 ที่ถูกยืมตัวมาจากซันเดอร์แลนด์ เป็นผู้เล่นที่ขึ้นชื่อเรื่องการทุ่มบอลได้ไกล ซึ่งความสามารถพิเศษนี้มีส่วนช่วยให้ทีมช่างปั้นหม้อขึ้นมาเล่นพรีเมียร์ลีก แต่กรอนเนมาร์คยืนยันว่า เขาไม่ได้เข้ามาทำงานที่แอนฟิลด์เพื่อเปลี่ยนให้ลิเวอร์พูลเป็นแบบสโต๊ค

กรอนเนมาร์คเชื่อมั่นว่าเขาสามารถช่วยลิเวอร์พูลให้มีแต้มต่อพิเศษเพิ่มขึ้นจากการทุ่มบอลซึ่งเฉลี่ยแล้วตกนัดละประมาณ40-50 ครั้ง โค้ชวัย 46 ปี ไม่ได้สอนเพียงเทคนิค “การทุ่มบอลไกล” เท่านั้น แต่รวมถึง “การทุ่มบอลเร็ว” เพื่อนำไปสู่เคาน์เตอร์-แอทแท็ค และ “การทุ่มบอลฉลาด” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อรักษาการครองบอลขณะตกอยู่ในสภาพกดดัน

เทคนิคหลักของกรอนเนมาร์คเปรียบเสมือนสามขาหยั่งของ Marginal Gains ซึ่งเป็นทฤษฏีว่าด้วยการปรับปรุงหรือสร้างความสำเร็จเพียงเล็กน้อยแต่เมื่อเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอก็สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้

“ทักษะนี้สามารถช่วยนำไปสู่การทำสกอร์ แม้กระทั่งช่วยรักษาชีวิตของทีม ผมให้ความสนใจทุกแง่มุม ไม่ใช่เพียงเทคนิคการขว้าง แต่ยังรับบอลอย่างไร วิ่งไปตามทิศทางที่ถูกต้องและสร้างความได้เปรียบ การยืนตำแหน่ง และการสร้างพื้นที่ว่าง”

กรอนเนมาร์คเล่าถึงช่วงที่เริ่มต้นทำงานกับลิเวอร์พูลเมื่อปี 2018 ว่า โจ โกเมซ เป็นผลผลิตที่ออกดอกออกผลคนแรกของเขาที่แอนฟิลด์ เซ็นเตอร์แบ็คชาวอังกฤษเพิ่งย้ายมาจากชาร์ลตันเมื่อสามปีก่อนหน้านี้

“ถ้าเป็นกองหลังคู่แข่งขัน ผมคงไม่อยากอยู่บริเวณพื้นที่ที่โกเมซจะทุ่มเข้าไปหรอก หรือว่ากันตามจริงหากต้องแข่งกับลิเวอร์พูล ผมก็ไม่อยากให้บอลออกนอกสนาม (เพื่อให้ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายทุ่ม) ผมไม่ได้หมายถึงลิเวอร์พูลต้องทุ่มบอลไกลทุกครั้งที่มีโอกาสหรอกนะ แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าเมื่อไรพวกเขาจะทำมัน”

เอียน ไรท์ อดีตศูนย์หน้าอาร์เซนอล เคยให้สัมภาษณ์ว่า “ผมเห็นโจ โกเมซ ทุ่มบอลสวยๆให้ลิเวอร์พูล ซึ่งผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นมาก่อน ดูเหมือนกรอนเนมาร์คคงสอนอะไรบางอย่างให้กับเขา ต้องยอมรับเลยว่าลิเวอร์พูลได้รับประโยชน์จากเรื่องนั้น”

“เทคนิคทุ่มบอล” สร้างประโยชน์ให้ทีมฟุตบอลมากกว่าใครคาดคิด

ก่อนหน้ารับงานที่แอนฟิลด์เมื่อปี 2018 โธมัส กรอนเนมาร์ค เคยเป็นโค้ชทุ่มบอลให้กับ เอฟซี มิดทีลแลนด์ และ เอซี ฮอร์เซนส์ สองสโมสรหัวแถวของลีกเดนมาร์ก โดยซีซั่น 2017-18 มิดทีลแลนด์เพิ่งครองแชมป์เดนิส ซูเปอร์ลีกา สมัยที่สอง ส่วนฮอร์เซนส์ทำ 10 ประตูจากการทุ่มไกลในซีซั่นเดียวกัน ขณะที่ อันเดรียส พูลเซ่น แบ็คซ้ายชาวเดนส์ ซึ่งย้ายจากมิดทีลแลนด์ไปเล่นให้โบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค ในปี 2018 เพิ่มระยะการทุ่มจาก 25 เมตรเป็น 37.9 เมตรหลังได้รับการเทรนจากกรอนเนมาร์ค

“มีคนมากมายที่คิดว่างานผมเป็นเรื่องแค่ทุ่มไกล มิดทีลแลนด์ทำได้มากถึง 35 ประตูในสี่ซีซั่นจากเทคนิคนั้น คุณทำได้ถ้ามีทีมที่ใช่หรือเหมาะกับการทุ่มไกล แต่หลายทีมต้องการความรู้ของผมเพียงเรื่องทุ่มไกล ผมสัมผัสความรู้สึกนั้นได้”

บางทีสกอร์เกิดจากการทุ่มบอลเร็วและฉลาดจริงหรือไม่ เป็นสถานการณ์ที่ระบุชัดเจนได้ยาก แต่กรอนเนมาร์คยังมั่นใจว่า ทักษะทุ่มบอลมีอิทธิพลกับเกมลูกหนังอย่างแน่นอนเพราะมันช่วยให้เกมลื่นไหลและรวดเร็วขึ้น รวมถึงสร้างความสนุกสนานให้กับแฟนบอล

“นอกจากนี้ถ้าครองบอลได้มากขึ้น คุณก็มีโอกาสมากขึ้นที่จะเป็นผู้ชนะการแข่งขัน เช่นเดียวกับลูกเซต-พีชอย่างการเตะมุมและฟรีคิก มันสามารถสร้างความกดดันให้กับทีมคู่แข่งได้เช่นกัน”

อีกด้านหนึ่ง การทุ่มบอลผิดพลาดก็มีผลมากกว่าที่คาดคิด กรอนเนมาร์คกล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “หลายทีมที่เล่นสไตล์โททัล ฟุตบอล อาจเสียบอลเมื่อโดนกดดันขณะทุ่มบอลเข้าสนาม เกมหนึ่งที่เป็นตัวอย่างที่ดีมากคือนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ ลีก ปี 2011 ระหว่างบาร์เซโลนากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด”

“บาร์เซโลนาเล่นฟุตบอลสไตล์ติกี-ตากา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แทบไม่ได้ครองบอลเลยช่วงต้นการแข่งขัน บาร์เซโลนาเป็นฝ่ายนำ 1-0 (เปโดร นาทีที่ 27) แต่แล้ว เอริก อาบีดาล (แบ็คซ้าย) ต้องทุ่มบอลใกล้กรอบเขตโทษตัวเอง เขาทุ่มสั้นด้วยเทคนิคที่แย่ ทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้บอลและอีกห้าวินาทีต่อมา สกอร์ก็เป็น 1-1 (รูนีย์ นาทีที่ 34)” (หมายเหตุ : บาร์เซโลนาเป็นฝ่ายชนะ 3-1)

“ตามปกติจะมีการทุ่มบอลระหว่าง 30-50 ครั้งต่อนัด หากโค้ชคนไหนพูดว่าทีมเขาไม่เห็นต้องทำอะไรกับมันเป็นพิเศษเลย ผมมองว่าเขาเป็นโค้ชที่ขาดความทะเยอทะยานนะ”

“ทุ่มบอล” เป็นเทคนิคพิเศษที่มีความสำคัญต่อฟูลแบ็คและปีก

โธมัส กรอนเนมาร์ค เปิดเผยว่า การทุ่มบอลไกลมีเทคนิคอยู่ 25-30 ลักษณะ เขาจะใช้วิดีโอเพื่อนำมาวิเคราะห์และพัฒนาผู้เล่น ซึ่งเฉลี่ยแล้วจะทุ่มได้ไกลขึ้น 4-8 เมตร นั่นเท่ากับขยายพื้นที่ครอบคลุมถึงสองเท่า

“ลักษณะการทุ่มบอลไกลที่ดี อย่างแรกแน่นอนต้องเป็นระยะทาง แต่ความเร็วและทิศทางพุ่งเป็นแนวราบก็มีความสำคัญเช่นกัน มีหลายทีมที่มีผู้เล่นที่สามารถทุ่มบอลได้ไกลๆ แต่ถ้าสูงเกินไปก็ทำให้ฝ่ายตรงข้ามป้องกันหรือแย่งได้ง่ายขึ้นด้วย ถ้ามองลูกทุ่มที่ดี คุณจะเห็นมันวิ่งไปได้ไกล มีทิศทางเป็นแนวราบ และพุ่งออกไปอย่างแรง”

กรอนเนมาร์คระบุว่า การทุ่มบอลนับเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้เล่นตำแหน่งฟูลแบ็ค

“เป็นเรื่องสำคัญที่แบ็คซ้ายขวาต้องมีความสามารถทุ่มบอลไกล มีความจริงข้อหนึ่งที่ชี้ว่าหากต้องทุ่มบอลภายใต้สถานการณ์กดดัน พวกเขามีโอกาสเสียบอลถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นฟูลแบ็คจำเป็นต้องสามารถทุ่มบอลให้ไกลจากแดนตัวเอง ผลของมันไม่ได้มีแค่รักษาการครอบครองบอลแต่ยังสามารถเคาน์เตอร์แอทแท็คอีกด้วย”

อดีตนักเลื่อนน้ำแข็งทีมชาติเดนมาร์กให้ความเห็นว่า ถ้าเป็นไปได้ผู้เล่นทุกคนควรมีทักษะทุ่มบอลที่ถูกต้อง เพียงแต่ฟูลแบ็คเป็นตำแหน่งที่มีความจำเป็นสูงสุด รองลงมาคือผู้เล่นปีก

“การซ้อมมื้อแรก ผมจะเทรนแบ็คซ้ายขวา 6-10 คน เริ่มจากเซสชั่นพื้นฐาน การเคลื่อนตัว และบันทึกวิดีโอ จากนั้นเป็นการสอนเทคนิคบางอย่าง ผมจะพิจารณานักเตะด้วยสายตาและวิเคราะห์จากวิดีโอ ผมต้องการเห็นตำแหน่งการวางเท้า ระยะระหว่างเท้า การเคลื่อนไหวของเอว หัวไหล่ และการวิ่ง”

แม้กูรูยังมองข้ามความเสียหายจากการทุ่มบอลผิดพลาด

โธมัส กรอนเนมาร์ค เล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นอาชีพพิเศษนี้ว่า “ผมเริ่มต้นเมื่อปี 2004 ใครๆก็หัวเราะไอเดียการเป็นโค้ชทุ่มบอลของผม มันคงดูประหลาดเกินไปนั่นแหละที่มีคนลุ่มหลงการทุ่มบอล”

“ฟุตบอลกำเนิดขึ้นมาสัก 140 ปี ตอนนี้ผมอายุสี่สิบกว่าแล้วและแทบไม่เคยได้ยินใครพูดคุยเรื่องทุ่มบอลอย่างเป็นกิจลักษณะ คุณดูบอลทางทีวีและคงเคยเห็นทีมที่เสียบอลจากการทุ่ม มันเกิดขึ้นบ่อยแต่คอมเมนเตเตอร์กลับไม่พูดอะไร แต่ถ้าหลังจากนั้นไม่กี่วินาที นักเตะเกิดจ่ายบอลพลาด พวกเขาจะพูดว่า ‘โอ้! นั่นจ่ายบอลแย่นะ’ และถ้าคนนั้นทำพลาดอีก ก็จะถูกมองว่าวันนี้เขาเล่นไม่ดี แต่ถ้าผิดซ้ำครั้งที่สาม จะโดนวิจารณ์ว่าควรถูกเปลี่ยนตัวออก นี่แหละวัฒนธรรมฟุตบอล ซึ่งมุมมองของผมว่ามันแปลกอย่างสิ้นเชิง”

เชื่อว่าหลังอ่านบทความนี้จบลง คุณจะสังเกตการทุ่มบอลในสนามละเอียดลึกซึ้งขึ้น และเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อการทุ่มบอลอย่างแน่นอน โดยเฉพาะกับแฟนบอลลิเวอร์พูลที่จะรอดูการทุ่มบอลของอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โรเบิร์ตสัน และโกเมซเป็นพิเศษ

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Editor)

Categories
Football Business

“ลิเวอร์พูล” กับการไปต่ออีก 4 ปี ของ “สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด”

ในช่วงปลายทศวรรษ 1970s ฟุตบอลอังกฤษได้เปิดรับให้มีสปอนเซอร์บนหน้าอกเสื้อแข่งขันของสโมสร ซึ่งลิเวอร์พูล ถือเป็นสโมสรแรก ๆ ที่นำร่อง และเป็นภาพจำในแต่ละยุคสมัย

ท่ามกลางความไม่แน่นอนในเรื่องสปอนเซอร์บนหน้าอกเสื้อรายเดิมที่กำลังจะหมดสัญญา และมีการเจรจากับหลายราย แต่ในที่สุด “สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด” ยังอยู่กับลิเวอร์พูลไปอีก 4 ปี

เรื่องราวของ “หงส์แดง” กับสปอนเซอร์บนหน้าอกเสื้อตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กับการไปต่อของ “สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด” วันนี้ SoccerSuck x ไข่มุกดำ จะมาขยายให้ฟังกันครับ

โลกฟุตบอลยุคเก่าถูกทำลายล้าง

24 มกราคม 1976 “เคทเทอริ่ง ทาวน์” สโมสรแรกในประวัติศาสตร์ลูกหนังเมืองผู้ดี ที่มีสปอนเซอร์บนเสื้อแข่ง โดยสวมเสื้อที่มีคำว่า “Kettering Tyres” ซึ่งเป็นบริษัททำธุรกิจศูนย์บริการยางรถยนต์ อยู่บนหน้าอกลงแข่งขัน

แต่ทางสมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือ เอฟเอ สั่งให้เคทเทอริ่ง ทาวน์ เอาสปอนเซอร์ “Kettering Tyres” ที่อยู่บนหน้าอกเสื้อออกไป เนื่องจากในเวลานั้น ยังไม่มีกฎที่อนุญาตให้ทีมฟุตบอลมีสปอนเซอร์เข้ามาสนับสนุน

ทางเคทเทอริ่ง ทาวน์ ก็พยายามที่จะเลี่ยงบาลี เปลี่ยนเป็น “Kettering T” ที่มาจากคำว่า Town แต่ทางเอฟเอบอกว่า จะปรับเงิน 1,000 ปอนด์ ถ้ายังฝ่าฝืนกฏ สุดท้ายแล้วเคทเทอริ่ง ทาวน์ ก็ยอมเอาออกแต่โดยดี

หลังจากเคสของเคทเทอริ่ง ทาวน์ ผ่านไปไม่นาน ดาร์บี้ เคาน์ตี้ สโมสรในดิวิชั่น 1 กับโบลตัน วันเดอเรอร์ส ทีมระดับดิวิชั่น 2 ตัดสินใจทำหนังสือไปยังเอฟเอ เพื่อขอให้มีสปอนเซอร์ทางธุรกิจ ไปอยู่บนเสื้อแข่งขัน

ที่สุดแล้ว ในเดือนมิถุนายน 1977 เอฟเอจึงอนุมัติให้สโมสรฟุตบอลมีสปอนเซอร์อยู่บนเสื้อได้ แต่ได้เพิ่มเงื่อนไขว่า ถ้ามีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ ห้ามสวมชุดแข่งที่มีสปอนเซอร์บนหน้าอกลงแข่งขันโดยเด็ดขาด

ซึ่งสโมสรแรกในลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ที่ประเดิมสวมชุดแข่งขันที่มีสปอนเซอร์อยู่บนหน้าอก คือ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ในฤดูกาล 1977/78 โดยมี “SAAB” บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติสวีเดน เป็นผู้สนับสนุน

ย้อนรอยสปอนเซอร์บนเสื้อ “หงส์แดง”

ลิเวอร์พูล ได้เริ่มสวมเสื้อที่มีสปอนเซอร์อยู่บนหน้าอก ลงแข่งขันในแมตช์อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก เมื่อปี 1979 ซึ่งรายชื่อแบรนด์สินค้าทั้งหมดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีดังนี้

👉 Hitachi (1979-1982) : บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าชื่อดังของญี่ปุ่น สปอนเซอร์รายแรกที่อยู่บนหน้าอกเสื้อชุดแข่งของลิเวอร์พูล ในยุคที่เพิ่งเริ่มต้นสร้างความรุ่งเรือง ช่วงปลายยุค 1970s ถึงต้นยุค 1980s

👉 Crown Paints (1982-1988) : บริษัทผลิตสีทาบ้านจากอังกฤษ เข้ามาเป็นสปอนเซอร์หน้าอกเสื้อ ช่วงที่ลิเวอร์พูลยังครองความยิ่งใหญ่อย่างต่อเนื่อง ในปีแรกแยกเป็น 2 บรรทัด แต่หลังจากนั้นยุบเหลือบรรทัดเดียว

👉 Candy (1988-1992) : ไม่ได้เกี่ยวกับลูกอม แต่เป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าจากอิตาลี อยู่บนหน้าอกเสื้อในช่วงที่ลิเวอร์พูล เข้าสู่ช่วงท้ายๆ ของความยิ่งใหญ่ในยุค “บูทรูม สต๊าฟฟ์” ก่อนที่จะเผชิญกับขาลง

👉  Carlsberg (1992-2010) : แบรนด์เครื่องดื่มจากประเทศเดนมาร์ก ถึงแม้ในช่วงเวลานั้น ลิเวอร์พูลได้ห่างหายแชมป์ลีกสูงสุดเป็นเวลานาน แต่สปอนเซอร์รายนี้ก็ยังจงรักภักดีกับสโมสรยาวนานถึง 18 ปี

👉 Standard Chartered (2010-ปัจจุบัน) : ธนาคารชื่อดังระดับโลก ที่เข้ามาเป็นสปอนเซอร์ในยุคที่ลิเวอร์พูล ค่อย ๆ กลับคืนสู่ความรุ่งเรืองอีกครั้ง โดยเฉพาะยุคของเจอร์เก้น คล็อปป์ ที่คว้าแชมป์รายการใหญ่ 6 โทรฟี่

สปอนเซอร์หน้าอกเสื้อแข่งขัน ถือเป็นสิ่งที่บันทึกเรื่องราวในแต่ละช่วงเวลาของสโมสรฟุตบอลนั้น ๆ ว่า ได้ผ่านเหตุการณ์อะไรมาบ้าง ซึ่งทั้งสปอนเซอร์และสโมสร ต่างก็ได้รับผลประโยชน์ร่วมกันตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป

ตัดสินใจต่อสัญญากับเจ้าเดิมอีก 4 ปี

เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีรายงานว่า ลิเวอร์พูลพยายามเจรจากับบริษัทคริปโตเคอเรนซี่ เพื่อมาเป็นสปอนเซอร์บนหน้าอกเสื้อของสโมสรรายใหม่ แทนที่รายเดิมที่จะหมดสัญญาในปีหน้า

แต่ในที่สุด ยักษ์ใหญ่แห่งเมอร์ซีย์ไซด์ทีมนี้ ตัดสินใจต่อสัญญากับธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ออกไปอีก 4 ปี มีผลถึงปี 2027 คาดว่าได้รับเงินปีละ 50 ล้านปอนด์ รวมทั้งสิ้น 200 ล้านปอนด์

บิลล์ วินเทอร์ส ซีอีโอของสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด กล่าวว่า “ตอนที่เราเริ่มสนับสนุนลิเวอร์พูลมาตั้งแต่ปี 2010 นึกไม่ถึงเลยว่าลิเวอร์พูลจะประสบความสำเร็จมากขนาดนี้ และยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมมือกันต่ออีก 4 ปี”

ขณะที่ บิลลี่ โฮแกน ซีอีโอของลิเวอร์พูล กล่าวว่า “การเข้ามาสนับสนุนของสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด เป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จทั้งในและนอกสนามช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และเราหวังว่าจะได้ร่วมกันสนับสนุนแฟน ๆ ต่อไป”

ส่วนประเด็นที่มีการเจรจากับบริษัทคริปโตเคอเรนซี่ ในการเป็นสปอนเซอร์ใหม่นั้น โฮแกนมองว่า วงการคริปโตเคอเรนซี่ ยังไม่มีการควบคุมที่ชัดเจน และมีความเสี่ยงสูง จึงยังไม่ถึงเวลาที่จะเจรจาเรื่องนี้

“สำหรับคริปโตเคอเรนซี่แล้ว มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างกว้าง มีองค์ประกอบต่างๆ มากมาย ที่อยู่ในนั้น มันยังเป็นเรื่องใหม่ เพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นาน ซึ่งตอนนี้กำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก”

“ผมไม่ได้พูดว่า จะไม่สนใจอุตสาหกรรมคริปโตเคอเรนซี่ แต่ผมคิดว่ามันยังไม่ใช่ตอนนี้ ถ้าในอนาคตได้พบกับพันธมิตรที่เหมาะสมในอุตสาหกรรมนั้น ผมจะดูเรื่องนี้อย่างแน่นอน” โฮแกน กล่าวปิดท้าย

การมีสปอนเซอร์บนหน้าอกเสื้อ นอกจากจะเป็นการหารายได้เข้าสู่สโมสรแล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์ที่ช่วยให้แฟนฟุตบอลจดจำ และกลายเป็นภาพที่ติดตาจนไม่สามารถลบเลือนออกจากความทรงจำของแฟนฟุตบอลได้

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://sportslens.com/news/on-this-day-jan-24/

https://www.liverpoolfc.com/news/history-liverpools-shirt-sponsors

https://theathletic.com/3422768/2022/07/14/liverpool-standard-chartered-crypto/

Categories
Special Content

“ราฮีม สเตอร์ลิ่ง” เลือกเขียนชีวประวัติบทที่ 3 กับ “เชลซี”

ด้วยวัย 27 ปี ราฮีม สเตอร์ลิ่ง กำลังเริ่มต้นประวัติบทใหม่ในช่วงพีคของอาชีพค้าแข้งกับ เชลซี หลังจากใช้เวลา 11 ปีร่วมกับ ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นับเป็นนักเตะน้อยรายที่ได้เล่นเกมระดับซีเนียร์กับยักษ์ใหญ่พรีเมียร์ลีกถึงสามทีม โดยเฉพาะกับทีมเรือใบสีฟ้า ซึ่งเขากวาดเหรียญชนะเลิศระดับเมเจอร์มากมายยกเว้นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งพลาดให้ทีมสิงโตน้ำเงินคราม

ราฮีม สเตอร์ลิ่ง เป็นนักเตะใหม่รายที่สองของเชลซีในตลาดรอบนี้ถัดจาก เอ็ดดี้ บีช นายทวารจากเซาแธมป์ตัน แต่ถือเป็นสตาร์ใหญ่คนแรกในยุค ท็อดด์ โบห์ลีย์ เจ้าของสโมสรคนใหม่ชาวอเมริกัน เขาเซ็นสัญญาห้าปีบวกอ็อปชั่นปีที่หก รับค่าเหนื่อยเท่ากับที่ซิตี้จ่ายให้คือ 3 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์ ย้ายเข้าสแตมพอร์ด บริดจ์ ด้วยค่าตัว 47.5 ล้านปอนด์ (ยังไม่รวมแอดออน 2.5 ล้านปอนด์) เป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับ 44 ล้านปอนด์ที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซื้อมาจากลิเวอร์พูลช่วงซัมเมอร์ปี 2015

หลังผ่านการตรวจสภาพร่างกาย สเตอร์ลิ่งเดินทางด้วยเครื่องบินเจ็ตข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปสมทบกับเพื่อนร่วมทีมใหม่ที่เก็บตัวปรีซีซั่นอยู่ในลอส แอนเจลีส โดยลูกทีมของโธมัส ทูเคิล มีคิวอุ่นเครื่องกับคลับ อเมริกา ในวันเสาร์ที่ 16กรกฎาคม, ชาร์ลอตต์ เอฟซี ในวันพุธที่ 20 ที่เมืองชาร์ลอตต์ และ อาร์เซนอล ในวันเสาร์ที่ 23

ก่อนเซ็นสัญญากับเชลซีไม่กี่วันเคยมีข่าวโคมลอยว่า ลิเวอร์พูลสนใจอยากได้อดีตปีกดาวรุ่งกลับไปเล่นในแอนฟิลด์อีกครั้ง ซึ่งกระแสถูกจุดและดับลงอย่างรวดเร็วเพราะสวนทางกับข้อเท็จจริงอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากเชลซีเป็นทีมเดียวที่เปิดโต๊ะเจรจากับทีมเรือใบสีฟ้าอย่างจริงจัง ส่วนลิเวอร์พูลก็จบภารกิจตลาดรอบนี้ไปแล้ว

แต่บางส่วนของข่าวนั่งเทียนเขียนช่วยเตือนความจำว่า สเตอร์ลิ่งไม่มีโทรฟี่ติดมือระหว่างชีวิตสี่ปีในแอนฟิลด์ แต่นั่นไม่ได้เป็นแรงจูงใจให้เขาต้องกลับไปไขว่คว้าความสำเร็จกับลิเวอร์พูล เพราะเท่าที่ผ่านมาก็มีความทรงจำที่ดีส่วนตัวมากพอสมควร

ชีวิตสองบทแรก 11 ปี กับ “ลิเวอร์พูล” และ “แมนฯซิตี้”

เด็กชายราฮีม แชคีลล์ สเตอร์ลิ่ง เกิดในประเทศจาเมกา และหลังจากคุณพ่อเสียชีวิตเพราะถูกฆาตกรรมสามปี คุณแม่คือ นาดีน คลาร์ก อดีตนักกรีฑาทีมชาติ ซึ่งสเตอร์ลิ่งเชื่อว่าสไตล์วิ่งของเขาเป็นดีเอ็นเอที่ตกทอดมาจากคุณแม่ ได้อพยพมาอยู่นีสเดน กรุงลอนดอน ขณะที่เขาอายุห้าขวบ

บนเส้นทางกีฬาฟุตบอล สเตอร์ลิ่งเล่นให้ทีมเยาวชนท้องถิ่น อัลฟา แอนด์ โอเมกา เป็นเวลาสี่ปีก่อนเซ็นสัญญากับ ควีนสปาร์ค เรนเจอร์ส ตอนอายุสิบขวบ ลงสนามตำแหน่งปีก เขาได้รับความสนใจจากแมวมองของอะคาเดมี่ อาร์เซนอล, เชลซี, ฟูแลม, ลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่เพราะคำแนะนำของคุณแม่ที่ไม่อยากให้เขาเลือกสโมสรละแวกเมืองหลวงเพื่อหลีกเลี่ยงเข้าไปพัวพันกับแก๊งค์อันธพาลท้องถิ่น นั่นจึงทำให้สเตอร์ลิ่ง ซึ่งขณะนั้นอายุ 16 ปี ย้ายไปอยู่กับ ลิเวอร์พูล ในเดือนกุมภาพันธ์ 2010 ด้วยค่าตัว 450,000 ปอนด์

ในปีนั้นเอง สเตอร์ลิ่งเริ่มไต่ระดับจากทีมเยาวชน ลงแข่งขันนัดแรกให้ลิเวอร์พูล ยู-18 ในดาร์บี้แมตช์กับเอฟเวอร์ตัน ส่วนเกมแรกในพรีเมียร์ อะคาเดมี่ ลีก เป็นนัดเสมอแอสตัน วิลล่า 2-2 เขายังทำได้ถึงห้าตุงในนัดถล่มเซาธ์เอนด์ 9-0 เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2011

24 มีนาคม 2012 สเตอร์ลิ่งถูกโปรโมทขึ้นมาเล่นทีมซีเนียร์เป็นครั้งแรก ลงเป็นตัวสำรองในเกมพรีเมียร์ลีกกับวีแกน ตอนนั้นเขาอายุ 17 ปี 107 วัน เป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์สโมสร จนกระทั่งวันที่ 23 สิงหาคมปีเดียวกัน เขาเป็นตัวจริงนัดแรกในรอบคัดเลือกยูโรปา ลีก ซึ่งลิเวอร์พูลชนะ 1-0 ในบ้านของฮาร์ทส์ และอีกสามวันต่อมา ลงตัวจริงเกมพรีเมียร์ลีก เสมอแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2-2 ในแอนฟิลด์

ด้วยฟอร์มเจิดจรัสเกินวัย ลิเวอร์พูลรีบจับสเตอร์ลิ่งต่อสัญญาเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2012 และเขายังฉายแสงต่อไปการันตีด้วยตำแหน่งดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำปี 2014 และ 2015 ของลิเวอร์พูล และติดหนึ่งในหกที่ลุ้นรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของ พีเอฟเอ ถึงสองปีติดต่อกัน

แต่ก็เป็นเพราะสัญญาใหม่ที่ทำให้สเตอร์ลิ่งยุติบทบาทกับลิเวอร์พูลโดยมีข่าวว่า เขาต้องการค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นเป็น 100,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์จากรับอยู่เดิม 35,000 ปอนด์ และหลังจากปฏิเสธร่วมทัวร์ปรีซีซั่นปี 2015 ที่เอเชีย ตามด้วยขาดซ้อมสองวันเพราะป่วยซึ่งโดนตำหนิอย่างหนักผ่านสื่อจากอดีตนักเตะหงส์แดงอาทิ สตีเวน เจอร์ราร์ด, เจมี่ คาร์ราเกอร์ และแกรม ซูเนสส์ ปีกดาวรุ่งวัย 21 ปีหันไปเซ็นสัญญาห้าปีกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2015 ด้วยค่าตัว 44 ล้านปอนด์ยังไม่รวมแอดออนอีก 5 ล้านปอนด์ในอนาคต ทำให้เขาเป็นนักเตะอังกฤษที่ค่าตัวแพงที่สุดขณะนั้น สเตอร์ลิ่งอำลาแอนฟิลด์ด้วยผลงาน 129 นัด 23 ประตู

ไม่กี่เดือนต่อมา เยอร์เกน คล็อปป์ ก็เข้ามาคุมทีมหงส์แดงแทนแบรนเดน ร็อดเจอร์ส ขณะที่สเตอร์ลิ่งต้องรออีกหนึ่งปีเพื่อทำงานกับเป๊ป กวาร์ดิโอลา ทและกลายเป็นหนึ่งในนักเตะคู่บารมีของกุนซือชาวสเปน ร่วมกันนำความสำเร็จมาสู่ถิ่นเอติฮัด แชมป์พรีเมียร์ลีก 4 สมัย, แชมป์ลีก คัพ 4 สมัย, แชมป์เอฟเอ คัพ 1 สมัย และเฉียดเข้าใกล้แชมป์แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เพียงเหรียญรองแชมป์เมื่อปี 2021 จากการปราชัยต่อเชลซี 0-1 ที่ปอร์โต ประเทศโปรตุเกส สเตอร์ลิ่งอำลาเอติฮัดด้วยสถิติ 339นัด 131 ประตู

ส่วนเกินที่ “แมนฯซิตี้” แต่ส่วนเติมที่ “เชลซี”

ซีซั่นสุดท้ายที่แมนเชสเตอร์ แม้สเตอร์ลิ่งยังได้เล่นเกือบห้าสิบนัดแต่ส่วนใหญ่เป็นตัวสำรอง บวกกับกวาร์ดิโอลาเริ่มถ่ายเลือดเก่าเสริมเลือดใหม่เช่นเดียวกับคล็อปป์ทำที่แอนฟิลด์ รวมถึงแผงหน้าที่ซื้อ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ และ จูเลี่ยน อัลวาเรซ สวนทางเดินกับ กาเบรียล เชซุส ที่ย้ายไปอยู่อาร์เซนอล และสเตอร์ลิ่งที่เหลือสัญญาหนึ่งปี

แต่ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ สเตอร์ลิ่งคือแนวรุกความหวังใหม่ที่มีอายุเพียง 27 ปี โดยซีซั่นที่แล้ว เขาทำสกอร์เฉพาะเกมลีกได้ถึง 13 ประตูระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงพฤษภาคม เทียบกับ 15 ประตูที่ โรเมลู ลูกากู ทำให้เชลซีทั้งซีซั่นรวมทุกรายการ สเตอร์ลิ่งไม่ได้มีดีเพียงการส่งลูกหนังซุกก้นตาข่าย เขายังเพิ่มทางเลือกให้กับทูเคิลในการวางหมากเกมรุก เป็นกุญแจสำคัญอีกดอกที่จะช่วยแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สูสีขึ้นหลังตามหลังแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และลิเวอร์พูล ทีมละเกือบยี่สิบคะแนนในฤดูที่แล้ว พร้อมเป้าหมายกลับไปครอบครองถ้วยบิ๊กเอียร์ ซึ่งเป็นโทรฟี่ที่สเตอร์ลิ่งไม่เคยสัมผัส

สเตอร์ลิ่งเล่นได้หลายหน้าที่ในแนวรุกทั้งปีก มิดฟิลด์ตัวรุก หรือหน้าต่ำ เขาถนัดตำแหน่งปีก เล่นได้ทั้งสองฝั่ง แม้ถนัดเท้าขวาแต่มักถูกมอบหมายให้อยู่ด้านซ้าย มีจุดเด่นตรงความเร็ว ความคล่องแคล่ว การเลี้ยงบอล จุดศูนย์ถ่วงต่ำ เป็นตัวทะลุทะลวงที่อันตราย

แม้มีส่วนสูงเพียง 5 ฟุต 7 นิ้ว เทียบกับลูกากู 6 ฟุต 3 นิ้ว แต่สเตอร์ลิ่งมีตัวท่อนบนใหญ่ ช่วยเรื่องการรักษาสมดุลย์ขณะเคลื่อนที่ได้มาก ซาบี เอร์นานเดซ ตำนานมิดฟิลด์บาร์เซโลน่า เคยกล่าวว่า สเตอร์ลิ่งมีดีมากพอที่จะเล่นในลา ลีกา เพียบพร้อมทั้งร่างกายและเทคนิค

กูรูลูกหนังเชื่อว่า สเตอร์ลิ่งจะเพิ่มมิติให้กับเกมรุกของเชลซีแม้ซีซั่นที่แล้ว ทูเคิลจะใช้บริการของ คริสเตียน พูลิซิช กับตำแหน่งกองหน้าริมเส้นด้านซ้าย แต่ปีกทีมชาติอังกฤษเล่นได้ครบเครื่องกว่าโดยเฉพาะจังหวะจบสกอร์ ซึ่งสเตอร์ลิ่งมักใช้เท้าขวาเลี้ยงบอลเข้าในเพื่อหาจังหวะยิงประตู 

สเตอร์ลิ่งเป็นตัวอันตรายในพื้นที่สุดท้าย สามารถใช้ความเร็ว ความคล่อง การคอนโทรลบอล และการมองหาโอกาส สร้างความปั่นป่วนให้กองหลังทั้งตรงกลางและริมสนามสองด้าน ซึ่งเขามักย้ายไปฝั่งขวาเหมือนอย่างที่กวาร์ดิโอล่าส่งตัวลงมาในพรีเมียร์ลีกนัดปิดฤดูกาลที่แล้วขณะที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตามแอสตัน วิลล่า 0-2 สเตอร์ลิ่งโยนบอลจากด้านขวา ข้ามหัวกองหลังทีมสิงห์ผงาดไปยังเสาสองให้ อิลคาย กุนโดกัน โขกตีไข่แตกเป็นประตูแรกจากสามประตูภายในเวลาห้านาที ให้ทีมเรือใบสีฟ้าแซงชนะ 3-2 ครองแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 4 ในรอบห้าปี 

จึงเชื่อได้ว่า ไค ฮาแวร์ตซ์ ศูนย์หน้าเบอร์หนึ่งของเดอะ บลูส์ จะได้บอลที่หลากหลายระยะขึ้นในฤดูกาลใหม่จากสเตอร์ลิ่ง ซึ่งบางจังหวะสามารถวิ่งไปแทนตำแหน่งของฮาแวร์ตซ์ที่ถอยลงมาเป็นหน้าต่ำ เพื่อหาโอกาสสับไกด้วยตัวเอง

พูลิซิชเป็นนักเตะที่เก่งแน่นอน เพียงแต่สเตอร์ลิ่งเก่งกว่าในมุมความหลากหลาย ผลดีมหาศาลจึงตกเป็นของเชลซีที่มีสองสตาร์มากความสามารถและต่างพยายามพัฒนาตัวเองเพื่อแย่งชิงตำแหน่งกัน ทูเคิลจึงมีอ็อปชั่นให้เลือกใช้ต่อกรกับคู่แข่งขันเพิ่มขึ้นทั้งเกมระดับทวีปและภายในประเทศอังกฤษ

“ทูเคิล” อาจปรับ 3-4-2-1 เป็น 4-3-3 รองรับ “สเตอร์ลิ่ง”

ข่าวดีในฤดูกาล 2022-23 เชลซีจะได้ เบน คีลเวลล์ วิงแบ็คและมิดฟิลด์ริมสนามฝั่งซ้ายกลับมาในสภาพสมบูรณ์หลังจากซีซั่นที่ผ่านมาใช้เวลาส่วนใหญ่รักษาเส้นเอ็นไขว้หน้าข้อเข่าที่ฉีกขาด โดยก่อนหน้านั้น คีลเวลล์และ รีช เจมส์ ซึ่งทำหน้าที่เดียวกันทางด้านขวา ร่วมกันสร้างความปั่นป่วนให้เกมรับของคู่ต่อสู้

ทูเคิลกำลังจะได้คีเวลล์กลับมาประจำการ แถมยังมีสเตอร์ลิ่งเสริมอันตรายให้กับเกมบุกด้านซ้ายเพิ่มขึ้นอีก การที่ทั้งสองอยู่ร่วมสโมสรยังส่งผลดีต่อทีมชาติอังกฤษของแกเร็ธ เซาธ์เกต เป็นอย่างมากในฟุตบอลโลกปลายปีนี้ที่กาต้าร์

ย้อนกลับไปยังเดือนมีนาคม 2021 ในแมตช์เวิลด์ คัพ 2022 รอบคัดเลือก คีลเวลล์เล่นแบ็คซ้ายในหมากเกม 4-3-3 สเตอร์ลิ่งยืนปีกซ้าย แถมได้ เมสัน เมาท์ เพื่อนร่วมสโมสร เป็นส่วนหนึ่งของสามประสามแดนกลางฝั่งซ้าย ซึ่งทั้งหมดนี้กำลังจะเกิดขึ้นกับทีมสิงโตน้ำเงินคราม

หมากเกมนี้ได้เห็นการผ่านบอลรูปสามเหลี่ยมแบบงามๆในจังหวะบุก คีลเวลล์เคลื่อนที่ใกล้ริมสนาม สเตอร์ลิ่งวิ่งล้ำไปข้างหน้าและสามารถหักตัดเข้าใน โดยมีเมาท์อยู่ต่ำลงมา สามารถเลือกจ่ายบอลให้ทั้งคีเวลล์หรือสเตอร์ลิ่ง ตัวคีลเวลล์เองก็มีโอกาสโอเวอร์แลปและอันเดอร์แลป ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในฟอร์แมท 3-4-2-1 ของทูเคิล 

เพลย์สามเหลี่ยมยังเกิดบริเวณหน้ากรอบเขตโทษ ซึ่งมีเมาท์เป็นหัวสามเหลี่ยม คีลเวลล์วิ่งไปทางซ้ายเพื่อรับบอลจากเมาท์ก่อนโยนเข้าไปในกรอบเขตโทษที่สเตอร์ลิ่งรอจังหวะเข้าชาร์จ

หรือเป็นจังหวะเล่นชิ่งระหว่างสองคน คีลเวลล์เคลื่อนตัวเข้าใน ส่งบอลฉีกไปทางซ้ายให้สเตอร์ลิ่งที่วิ่งขึ้นไปรอใกล้เส้นสนาม คีลเวลล์หลอกวิ่งตัดหลังตัวประกบสเตอร์ลิ่ง พร้อมลากกองหลังตามไป เหมือนต้องการขึ้นไปรับบอลแต่ความจริงเพื่อหลอกดึงกองหลัง เปิดโอกาสให้สเตอร์ลิ่งเห็นช่องเปิดและวิ่งตัดเข้าในเพื่อยิงเองหรือผ่านลูกไปที่หน้าประตู

ฤดูกาล 2022-23 แฟนบอลเชลซีอาจเห็นระบบ 3-4-2-1 เปลี่ยนไปเป็นแผงหลังแบ็คโฟร์มากขึ้น คีลเวลล์และเจมส์จะทำหน้าที่ฟูลแบ็คมากขึ้น ขณะที่สเตอร์ลิ่งจะได้แสดงความเป็นอัจฉริยะสร้างสรรค์เกมบุกจากปีกซ้ายมากขึ้นเหมือนช่วงที่กวาร์โอลาใช้งานเป็นตัวหลัก

ด้วยวัย 27 ปี กับสัญญาห้าปี บวกกับศักยภาพของสเตอร์ลิ่งที่เข้ามาเติมเต็มและสร้างสิ่งแปลกใหม่ให้กับเชลซี อนาคตของปีกซ้ายเชื้อสายจาเมกาในสโมสรยักษ์ใหญ่พรีเมียร์ลีกทีมที่ 3 จะเป็นเรื่องราวที่น่าติดตามไม่แพ้ช่วงเวลา 11 ปีที่ผ่านมากับลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Editor)

Categories
Football Business

พรี-ซีซั่น 2022 : เรื่องเงินๆ ทองๆ ของยักษ์ใหญ่ลีกยุโรป

หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กินเวลามากว่า 2 ปี ทำให้สโมสรฟุตบอลชั้นนำจากยุโรป ต้องงดการเดินทางไปเตะอุ่นเครื่อง “พรี-ซีซั่น” ที่ต่างประเทศเป็นการชั่วคราว

ต่อมาเมื่อสถานการณ์โควิดดีขึ้นตามลำดับ ดูเหมือนว่าบรรดาทีมลูกหนังยักษ์ใหญ่ ต่างมีแผนที่จะกลับมาเตะอุ่นเครื่องนอกยุโรป เพื่อหวังชดเชยรายได้ที่สูญเสียไปตลอด 2 ปีที่ผ่านมา

ซึ่งการตะลอนทัวร์เพื่อเตะอุ่นเครื่องในปีนี้ มีเกม “บิ๊กแมตช์” ระดับโลก เกิดขึ้นถึง 2 แมตช์ ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน คือศึก “แดงเดือด” ในประเทศไทย กับ “เอล กลาซิโก้” ที่สหรัฐอเมริกา

เกมพรี-ซีซั่นในต่างแดนของลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า หรืออื่น ๆ เกี่ยวข้องกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ อย่างไร วันนี้ SoccerSuckไข่มุกดำ จะมาขยายให้ฟังกันครับ

เปิดตำนาน “แดงเดือด” นอกเมืองผู้ดี

ลิเวอร์พูล กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ว่าจะเจอกันที่ไหน ถือว่าเป็นแมตช์ที่ยิ่งใหญ่ สมกับเป็นคู่ปรับที่แย่งชิงความสำเร็จมาตลอด ซึ่งก่อนหน้านี้ 2 ทีมคู่ปรับตลอดกาล เคยพบกันนอกเกาะอังกฤษมาแล้ว 3 ครั้ง

ครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อปี 1983 ในเกมอุ่นเครื่อง “เทสติโมเนียล แมตช์” ให้บิลลี่ เดรนแนน เลขาธิการสมาคมฟุตบอลไอร์แลนด์ โดยจัดแข่งที่ประเทศไอร์แลนด์เหนือ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายชนะ 4 – 3

ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2014 ในรายการอินเตอร์เนชั่นแนล แชมเปี้ยนส์ คัพหรือ “ไอซีซี คัพ” ที่รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ทั้งคู่พบกันในรอบชิงชนะเลิศ ปิศาจแดง เอาชนะได้อีกครั้ง ด้วยสกอร์ 3 – 1

ส่วนครั้งที่ 3 เกิดขึ้นในปี 2018 ในรายการไอซีซี คัพ เช่นเดียวกัน ที่รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ท่ามกลางผู้ชมกว่า 1 แสนคน คราวนี้เป็นฝ่ายหงส์แดง ที่ล้างแค้นได้สำเร็จ เอาชนะไป 4 – 1

สำหรับเกมพรี-ซีซั่น “แดงเดือด” ครั้งที่ 4 ศึกอุ่นเครื่องรายการพิเศษ “เดอะ แมตช์ แบงค็อก เซ็นจูรี่ คัพ 2022” ในวันที่ 12 กรกฎาคมนี้ เป็นการพบกันนอกเมืองผู้ดีครั้งแรกในประเทศไทย และทวีปเอเชีย

และหลังจากจบแมตช์ที่กรุงเทพมหานคร ลิเวอร์พูลจะเดินทางต่อไปที่สิงคโปร์, เยอรมัน และออสเตรีย ขณะที่ยูไนเต็ด จะไปต่อที่ออสเตรเลีย และนอร์เวย์ ก่อนที่จะกลับสู่ประเทศอังกฤษ

ขอบคุณภาพ https://web.facebook.com/manchesterunited

ย้อนรอย “เอล กลาซิโก้” ในต่างแดน

ทางด้านเรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลน่า 2 ทีมยักษ์ใหญ่ของ ลาลีกา สเปน ก็เคยมีประวัติศาสตร์การพบกันในเกมอุ่นเครื่อง “พรี-ซีซั่น” นอกแดนกระทิงดุมาแล้ว 3 ครั้ง เท่ากับศึกแดงเดือดนอกอังกฤษ

ครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อปี 1982 ในรายการพิเศษ “เวเนซูเอล่า คัพ” อุ่นเครื่องก่อนฟุตบอลโลก ที่ประเทศเวเนซูเอล่า รอบชิงอันดับ 3 เรอัล มาดริด เอาชนะไป 1 – 0 จากประตูชัยของบิเซนเต้ เดล บอสเก้

ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2017 ในรายการอินเตอร์เนชั่นแนล แชมเปี้ยนส์ คัพหรือ “ไอซีซี คัพ” ที่สนามฮาร์ด ร็อก สเตเดี้ยม รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา เป็นบาร์เซโลน่า ที่เอาชนะด้วยสกอร์ 3 – 2

ส่วนครั้งที่ 3 เกิดขึ้นเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ในรายการ “สแปนิช ซูเปอร์ คัพ” ที่ประเทศซาอุดีอารเบีย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของการพบกันในแมตช์อย่างเป็นทางการ ที่จัดขึ้นนอกประเทศสเปนอีกด้วย

เกมในรอบรองชนะเลิศ ที่สนามคิง ฟาฮัด อินเตอร์เนชั่นแนล สเตเดี้ยม ในกรุงริยาดห์ ผลปรากฏว่า “ราชันชุดขาว” ชนะ “เจ้าบุญทุ่ม” 3 – 2 หลังต่อเวลาพิเศษ เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้ เป็นผู้ยิงประตูชัยในเกมนี้

และในครั้งที่ 4 ของ “เอล กลาซิโก้” นอกแผ่นดินสเปน จะมีขึ้นที่สนามแอลลีเจียนท์ สเตเดี้ยม ในลาส เวกัส สหรัฐอเมริกา วันที่ 23 กรกฎาคมนี้ ถือเป็นการกลับมาอุ่นเครื่องที่อเมริกาเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี

EL CLÁSICO 2017 at Santiago Bernabéu
ขอบคุณภาพ https://web.facebook.com/fcbarcelona

ทีมบอลยุโรปได้อะไรจาก “พรี-ซีซั่น”

การเดินทางมาเตะอุ่นเครื่องในต่างประเทศ เป็นวิธีหนึ่งในการทำเงิน เพราะนอกจากจะได้ค่าจ้างแล้ว ยังได้ขยายฐานแฟนบอล ทำให้สโมสรเป็นที่รู้จักมากขึ้น ชนิดที่ไม่ต้องประเมินเลยว่าคุ้มค่าหรือไม่

เท่านั้นยังไม่พอ ได้สายสัมพันธ์กับบริษัทระดับชั้นนำในประเทศนั้น ๆ และมีโอกาสได้มาเป็นสปอนเซอร์ให้กับสโมสรในอนาคตเพื่อต่อยอดทางธุรกิจ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเหตุผลเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ทั้งสิ้น

หลายทีมในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ จะเน้นเไปที่ทวีปเอเชีย ส่วน 2 ยักษ์ใหญ่ลาลีกา สเปน อย่างเรอัล มาดริด และบาร์เซโลน่า จะเน้นเจาะตลาดที่สหรัฐอเมริกา ผ่านรายการอุ่นเครื่องไอซีซี คัพ (ปัจจุบันยกเลิกแล้ว)

ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด คือเกมอุ่นเครื่องไอซีซี คัพ เมื่อปี 2014 ระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับเรอัล มาดริด ที่มิชิแกน สเตเดี้ยม สร้างสถิติมีผู้เข้าชมการแข่งขันสูงสุดถึง 109,138 คน

แหล่งข่าวรายหนึ่งระบุว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เรอัล มาดริด และยักษ์ใหญ่บางทีมในยุโรป ได้ค่าจ้างไม่ต่ำกว่า 2 ล้านปอนด์ ต่อการจัดแข่งขันฟุตบอลพรี-ซีซั่นในต่างประเทศ 1 นัด

แต่เมื่อมีสถานการณ์โควิด-19 เข้ามา ทั่วโลกมีข้อจำกัดในด้านการเดินทางข้ามประเทศ ทำให้ไม่สามารถจัดเกมพรี-ซีซั่นในต่างแดนได้ ส่งผลกระทบกับทีมฟุตบอลที่ต้องสูญเสียรายได้ในส่วนนี้ไป

มีรายงานว่า แมนฯ ยูไนเต็ด มีรายได้ในรอบปัญชีปี 2020-2021 (สิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2021) ลดลงเกือบ 50 ล้านปอนด์ จาก 279 ล้านปอนด์ เหลือ 232.2 ล้านปอนด์ จากผลกระทบโควิด-19

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สโมสรฟุตบอลในปัจจุบัน เป็น “ธุรกิจ” เต็มรูปแบบ โดยเฉพาะบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ ที่พร้อมจะหาเงินทุกทางที่สามารถทำได้ เพื่อนำผลประโยชน์เข้าสู่สโมสรให้ได้มากที่สุด

ขอบคุณภาพ https://web.facebook.com/fcbarcelona

และมุมคนจ่ายสตางค์ คุ้มค่าแค่ไหน ?

การเชิญสโมสรฟุตบอลชื่อดังของยุโรป มาเตะอุ่นเครื่องในประเทศของตัวเอง ผู้ที่จ่ายเงินเป็นลำดับแรก คือ “เจ้าภาพจัดการแข่งขัน” ซึ่งต้องมีทุนหนามากพอในการจ้างทีมเหล่านี้มาแข่งขัน

กรณีของลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มาเตะอุ่นเครื่องในไทย แน่นอนว่า การจ้าง 2 สโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอังกฤษ ต้องใช้เงินมหาศาล แต่ก็มีการหารายได้มาจากเงินที่เสียไปเช่นเดียวกัน

ซึ่งคุณวินิจ เลิศรัตนชัย ในฐานะผู้จัด “แมตช์แห่งศตวรรษ” ก็ไม่ได้คาดหวังว่าการลงทุนในครั้งนี้จะต้องคืนทุน แต่ที่แน่ ๆ ขื่อของผู้บริหารเฟรชแอร์ เฟสติวัล ได้กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างเรียบร้อยแล้ว

ขณะที่ “แฟนบอล” ในฐานะลูกค้าคนสำคัญ ก็พร้อมที่จะจ่ายเงินแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด เพราะรู้ดีว่าโอกาสที่จะได้ดูทีมที่ตัวเองรัก นักเตะที่ตัวเองชอบ แบบไม่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ คงไม่ได้มีบ่อย ๆ

แต่ก็มีนักเตะระดับบิ๊กเนม หรือซูเปอร์สตาร์บางคน ก็เลือกที่จะไม่เดินทางมากับทีม หรือมาด้วยแต่ไม่ขอลงเล่น เพราะมองว่าการไปอุ่นเครื่องต่างแดน อาจส่งผลกระทบต่อสภาพร่างกายก่อนเปิดซีซั่นใหม่

ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีนักเตะระดับดาวดังลงสนามในเกมอุ่นเครื่อง แต่ชื่อ “แบรนด์” ของสโมสรระดับโลก ที่มาแข่งขันในประเทศของตัวเอง ยังไงก็ดึงดูดแฟนบอลให้เข้ามาชมแบบเต็มสนามได้ไม่ยาก

ซึ่งราคาบัตรเข้าชมการแข่งขัน แมตช์ “แดงเดือด” ในไทย ต่ำสุด 5,000 บาท สูงสุด 25,000 บาท ส่วนเกม “เอล กลาซิโก้” ที่อเมริกา ต่ำสุด 9,000 บาท สูงสุด 32,400 บาท โดยประมาณ (1 USD = 36 THB)

เกมอุ่นเครื่องพรี-ซีซั่นในต่างประเทศ ทีมฟุตบอลได้ผลประโยชน์ทางธุรกิจ ส่วนผู้จัดและแฟนบอล ต่างก็คาดหวังว่า การแข่งขันจะมอบความสุขมาให้ โดยที่ไม่ต้องมาคิดเสียดายเงินที่จ่ายไปในภายหลัง

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://theathletic.com/3392107/2022/07/01/premier-league-preseason-fixture-revenue/

https://www.si.com/soccer/2022/06/10/soccer-champions-tour-real-madrid-barcelona-clasico-las-vegas

https://www.si.com/soccer/2020/07/02/la-liga-north-america-usa-market-tv-deal-barcelona-real-madrid-icc

https://www.sportingfree.com/football/how-much-money-do-clubs-make-during-pre-season/

https://www.totalsportal.com/football/how-much-do-football-clubs-earn-in-the-preseason-tours/

https://www.thenationalnews.com/business/football-s-preseason-season-is-a-major-money-spinner-for-some-1.616477

Categories
Special Content

คืนเสรีภาพ “ยืนเชียร์” ให้แฟนบอลอังกฤษหลังแบนเกือบสามสิบปี

แฟนบอลพรีเมียร์ลีกและแชมเปี้ยนชิพของอังกฤษกำลังจะได้รับไฟเขียวให้กลับมายืนเชียร์อีกครั้งหลังโดนแบนเกือบสามทศวรรษซึ่งมีผลมาจากรัฐบาลอังกฤษสั่งให้สนามฟุตบอลทุกแห่งระดับเทียร์ 1-2 ปรับเป็นอัฒจันทร์สำหรับนั่งอย่างเดียวเพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยโศกนาฏกรรมที่ฮิลล์สโบโรห์เมื่อปี 1989 ที่พรากชีวิตแฟนบอลลิเวอร์พูลไปถึง 97 คน

กฎหมายที่ระบุให้สโมสรพรีเมียร์ลีกและแชมเปี้ยนชิพปรับปรุงอัฒจันทร์ให้เป็นแบบนั่งชมทั้งสนาม (All-seater Stadium) เริ่มมีผลบังคับใช้ครั้งแรกในฤดูกาล 1994-95 หลังได้รับการพิจารณาสาเหตุของโศกนาฏกรรมฮิลล์สโบโรห์จาก “เทย์ลอร์ รีพอร์ต” ซึ่งเป็นรายงานการสอบสวนของคณะกรรมการที่รับผิดชอบโดย ลอร์ดจัสติน เทย์เลอร์ ที่ออกมาเผยแพร่ในเดือนมกราคม 1990

เกือบสามทศรรษที่อัฒจันทร์โซน “ยืนดูบอล” โดนแบนแต่ไม่ได้หมายความว่าแฟนบอลจะนั่งเชียร์ก้นติดเก้าอี้ตลอดแมตช์การแข่งขันเพราะบางช่วงที่เกมบนฟลอร์หญ้าสู้กันดุเดือดคู่คี่สูสี กองเชียร์ก็อดใจไม่ไหวต้องลุกขึ้นมากำหมัดชูแขนตะโกนเชียร์ตะเบงเสียงร้องเพลงเป็นระยะๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทำได้เพียงจับตามองอย่างเฝ้าระวัง ไม่กระทำการใดๆหากสถานการณ์ยังไม่ส่อแววเกิดอันตราย

แต่เชื่อว่าภายในอนาคต เกมลูกหนังพรีเมียร์ลีกและแชมเปี้ยนชิพจะได้รับอนุญาตให้แฟนๆยืนดูอย่างถูกกฎหมายในโซนsafe standing ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของอัฒจันทร์สนามที่ได้รับการปรับปรุงให้ดูบอลอย่างปลอดภัย

การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นสืบเนื่องจากผลลัพธ์ที่น่าพอใจทั้งความปลอดภัยและความสนุกสนานขณะเชียร์บอลผ่านโครงการทดลอง เซฟ สแตนดิ้ง เมื่อต้นปีที่แล้ว ซึ่งนำร่องโดยสี่สโมสรยักษ์ใหญ่พรีเมียร์ลีก แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี และ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ รวมถึง คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ อีกหนึ่งทีมจากแชมเปี้ยนชิพ ไม่รวมลิเวอร์พูลที่ลงมือทดลองกับสนามแอนฟิลด์ไปแล้ว

ทั้งห้าทีมได้ปรับปรุงพื้นที่ส่วนหนึ่งให้เป็นโซน “ยืนอย่างปลอดภัย” ก่อนประเดิมการใช้งานนัดแรกเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2021 ซึ่งเป็นช่วงที่มาตรการโควิด-19ได้รับการผ่อนปรน เป็นการแข่งขันที่สนามสแตมฟอร์ดบริดจ์ระหว่าง เชลซี กับ ลิเวอร์พูล ซึ่งเสมอกันไป  2-2 ตามด้วยวันต่อมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้อนรับ วูลฟ์แฮมป์ตัน ที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด

อะไรคือ “เซฟ สแตนดิ้ง” กับความสำเร็จของโครงการยืนเชียร์ปลอดภัย

โซนยืนเชียร์ปลอดภัยหรือ Safe Standing เป็นพื้นที่ที่อนุญาตให้แฟนบอลยืนดูการแข่งขันได้ตลอดทั้งแมตช์ อัฒจันทร์ส่วนนี้ได้รับการปรับปรุงให้เป็นที่นั่งแบบ Rail Seat คือมีเก้าอี้พับได้ให้แฟนบอลเลือกกางนั่งหรือพับเก็บเวลายืนเชียร์ก็ได้ โดยล็อคติดกับราวโลหะที่สูงระดับเอวเพื่อให้แฟนบอลยืนพิงได้สะดวกสบาย โครงที่นั่งถูกติดตั้งแบบถาวรและมีระยะห่างเท่ากับที่นั่งมาตรฐาน เฟรมเชื่อมต่อกันเพื่อสร้างรางที่มีความแข็งแรงสูงตลอดความยาวของแต่ละแถว

สโมสรแรกในสหราชอาณาจักรที่ได้ทำ Rail Seat ขึ้นได้แก่ กลาสโกว์ เซลติก ยักษ์ใหญ่ของสกอตแลนด์ ซึ่งเริ่มใช้งานพื้นที่เซฟสแตนดิ้ง ความจุ 2,600 ที่นั่งภายในสนามเซลติก พาร์ค เมื่อเดือนกรกฎาคม 2016 ขณะที่พื้นที่อื่นๆยังเป็นแบบนั่งดูตามปกติ

Rail Seat อาจยังไม่แพร่หลายในประเทศอังกฤษ ต่างกับประเทศเยอรมนีซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งของสโมสรในบุนเดสลีกาได้จัดสรรพื้นที่เซฟสแตนดิ้งแล้ว รวมถึงโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่ทำจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะซึ่งผู้คนเรียกชื่อมันว่า Yellow Wall หรือกำแพงสีเหลือง

เจค โคเฮน แฟนบอลทีมเชลซี ได้กล่าวถึงการมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์เมื่อวันที่ 2 มกราคมปีที่แล้วว่า “ผมดีใจที่เชลซีได้เป็นทีมนำร่อง ผมตื่นเต้นที่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับอัฒจันทร์เชดเอนด์ และแมทธิว ฮาร์ดดิ้ง ชั้นล่าง การยืนเชียร์บอลเป็นบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่ ไม่ต้องสงสัยเลยโซนเซฟสแตนดิ้งช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสบการณ์ที่ดีในแมตช์เดย์”

ทางด้าน มาร์ติน เคลาเก้ ประธานร่วมของ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ซัพพอร์ตเตอร์ส ทรัสต์ เปิดเผยว่า แฟนบอลทีมสเปอร์สให้การสนับสนุนอย่างล้มหลามเป็นเวลาหลายปีนับตั้งแต่แนวคิดนี้เริ่มถูกพลักดัน โดยจากรายงานประจำปีระบุว่ามีผู้เห็นด้วยสูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้จากความจุ 62,850 คนของท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ สเตเดี้ยม ถูกจัดสรรให้เป็นเซฟสแตนดิ้ง 5,000 คนสำหรับเซาธ์สแตนด์ชั้นล่าง บวกชั้นบน 1,442 คน และเซ็คชั่นทีมเยือนอีก 3,000 คน

หน่วยงานด้านความปลอดภัยของสนามกีฬาได้ตีพิมพ์รายงานผลการทดลองเบื้องต้นไว้ว่า การนั่งชมในโซนยืนดูไม่ถูกบดบังวิสัยทัศน์ของการมองเห็นเกมในสนาม, การดีใจหลังเกิดการทำประตูมีความปลอดภัย แฟนบอลไม่เคลื่อนไหวไปข้างหน้าหรือถอยหลังที่สุ่มเสี่ยงให้เกิดอันตราย, ราวกั้นช่วยให้แฟนบอลเดินบนอัฒจันทร์อย่างมีระเบียบ แม้กระทั่งคนที่เข้าสนามหลังเกมเริ่มไปแล้วยังสามารถเดินไปยังที่นั่งได้รวดเร็ว, ราวกั้นช่วยจัดแฟนบอลเป็นกลุ่มเป็นก้อนทำให้เจ้าหน้าที่สนามเฝ้าจับตาได้ง่าย

ในส่วนรายงานฉบับล่าสุดของคณะกรรมาธิการที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลให้รับผิดชอบโครงการหลังดำเนินการทดลองเซฟสแตนดิ้งเป็นระยะเวลาหนึ่งปีครึ่ง ค่อนข้างออกไปทางบวกสำหรับแฟนบอลทั้งด้านปลอดภัยและประสบการณ์การชมที่ดีขึ้น ซึ่งคาดว่ารัฐมนตรีกระทรวงกีฬา ไนเจล ฮัดเดิลสตัน จะแถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่สนามเหย้าของท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ซึ่งเขาเคยเดินทางมาชมการแข่งขันเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งสเปอร์สเฉือนชนะเบิร์นลีย์ 1-0

แหล่งข่าววงในของรัฐบาลเปิดเผยว่า “เราอยู่เคียงข้างแฟนบอลเสมอ และตั้งใจที่จะทำตามสัญญาในการนำการยืนดูบอลอย่างปลอดภัยไปยังสนามฟุตบอล และพัฒนาประสบการณ์ที่วิเศษสุดของการดูบอลให้กับพรีเมียร์ลีกและแชมเปี้ยนชิพ”

“รัฐบาลไม่เคยประนีประนอมหากเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย เราจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับสโมสรฟุตบอล กลุ่มแฟนบอล และเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อส่งมอบ ‘เซฟ สแตนดิ้ง’ ซึ่งเราตระหนักดีว่าเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการ”

ดูเหมือนว่าในอนาคตอันใกล้ แฟนบอลทุกสนามแข่งขันของสองลีกสูงสุดของประเทศอังกฤษจะได้กลับมาสัมผัสบรรยากาศการเชียร์ที่ตื้นเต้นเร้าใจในอารมณ์ที่คอลูกหนังเมื่อกว่าสามสิบปีก่อนคุ้นเคยอีกครั้ง นั่นคือ “การยืนลุ้นบอลตลอดแมตช์”

“เยลโล่ วอลล์” ของดอร์ทมุนด์ สุดยอดบรรยากาศยืนเชียร์บอลยุคใหม่

“เซฟ สแตนดิ้ง” ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับหลายประเทศในยุโรป รวมถึงสหรัฐอมริกาและออสเตรเลีย แต่หากใครต้องการสัมผัสบรรยากาศการยืนเชียร์บอล(แบบปลอดภัย)ที่สุดยอดที่สุดในโลกต้องเป็นที่สนาม “เวสท์ฟาเลินชตาดิโยน” ความจุ 81,365 คนของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์

ใครที่มีโอกาสสัมผัส “กำแพงเหลือง” (Yellow Wall) หรืออัฒจันทร์ฝั่งเซาธ์แบงค์ของกองเชียร์ดอร์ทมุนด์ คงอดขนลุกขนชันไม่ได้กับภาพแฟนบอลกว่า 24,000 คนที่ยืนตะโกนร้องเพลงเชียร์บนพื้นที่ที่เปรียบเสมือนระเบียงที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรปพร้อมด้วยทะเลธงสีเหลืองดำ

รูเบน ดรัคเกอร์ หนึ่งในแฟนบอลดอร์ทมุนด์ผู้ถือตั๋วปีโซนกำแพงเหลืองที่สนนราคาไม่ถึง 200 ปอนด์ กล่าวว่า “เดอะ วอลล์ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากเพราะแสดงถึงการเชื่อมโยงระหว่างแฟนบอลเกือบ 25,000 คนที่ยืนเคียงข้างกันแบบไหล่ชนไหล่ อาจเรียกได้ว่าเป็นส่วนผสมที่บ้าคลั่งของคนกลุ่มหนึ่ง”

“แฟนบอลทุกเพศทุกวัยสามารถเข้ามาเชียร์บอลตรงนี้ได้ จะมาคนเดียวหรือมาทั้งครอบครัว ผู้ชายผู้หญิง คนรายได้ต่ำหรือสูง ตอนแรกพวกเขาอาจเข้าสนามเพราะการชักชวนของคุณพ่อ พี่ชาย หรือเพื่อนฝูง แต่เมื่อมาเป็นส่วนหนึ่งของเดอะวอลล์ มันก็เสมือนสายใยที่เชื่อมโยงกับคนอื่นๆผ่านทางร่างกายที่ใกล้ชิด เป็นการมอบประสบการณ์ใหม่ที่เหลือเชื่อให้แก่พวกเขา”

ฟลอเรียน โธมัส แฟนบอลทีมเสือเหลืองวัย 31 ปี ซึ่งซื้อตั๋วปีมาตั้งแต่ซีซั่น 2008-09 สมัยที่ เยอร์เกน คล็อปป์ เพิ่งก้าวขึ้นคุมทีมดอร์ทมุนด์ เล่าให้ฟังว่า “ผมยังจำครั้งแรกที่ไปดูการแข่งขันกับพ่อตอนอายุสิบสอง เราได้ที่นั่งฝังเวสต์สแตนด์ ประตูอยู่ขวามือผม มีผู้คนเต็มไปหมดและอยู่ชิดกันมาก บรรยากาศแบบนั้นสถานที่แบบนั้น ไม่มีอะไรเหมือนแล้ว”

“ผมเคยพาเพื่อนจากอังกฤษไปดูเกมหนึ่งของเรา พวกเขาตื่นตาตื่นใจเพราะมันต่างจากประสบการณ์ในพรีเมียร์ลีก ช่วงโควิดระบาดผมไม่ได้ไปดูแมตช์เหย้าเลยเพราะคนน้อย มันไม่เหมือนเดิมหากปราศจากเยลโล่วอลล์ที่อัดแน่นและไม่มีพวกแฟนบอลอัลตร้า ผมรู้ดีว่าเพื่อนๆก็คิดอย่างเดียวกัน”

“ถึงเป็นตั๋วยืนและคุณไปอยู่ตรงไหนก็ได้(ภายในเซ็คชั่นที่กำหนด) แต่แฟนบอลมักยืนตรงที่ประจำ มันแปลกมากที่ผู้คนหลากหลายแตกต่างมารวมตัวกันเพื่อสนับสนุนสโมสร พวกเขาไม่มีความสัมพันธ์กันนอกสนามบอลแต่กลับร้องเพลงร่วมกันกระโดดกอดกัน”

“ผมเจอผู้คนใหม่ๆในสนามที่อยากบอกเลยว่าเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่ต่างคนต่างรู้เรื่องชีวิตนอกสนามกันน้อยมาก นี่เป็นสถานที่เดียวที่พวกเรามีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน”

“การยืนดูบอลสร้างความแตกต่างให้ผมในเรื่องของสาเหตุที่เข้ามาดูเกมในสนาม ผมยืนเพื่อสนับสนุนสโมสร บางครั้งก็ไม่ได้ยืนอยู่ในจุดที่เห็นเกมสนามชัดเจนนัก บางครั้งก็มีธงบัง มีหัวมีแขนบังสายตา แต่ผมยอมรับมันได้ มันเป็นเรื่องของความใกล้ชิดซึ่งเอื้ออำนวยให้ร่วมตะโกนร้องเพลงตะโกนเชียร์เป็นธรรมชาติ”

“บอกตามตรง ผมไม่ชอบดูการแข่งขันของดอร์ทมุนด์ในสนามหากไม่ได้อยู่ในเซ็คชั่นยืน แต่มีอยู่ 2-3 ครั้งที่เป็นแบบนั้น ซึ่งผมรู้สึกทำผิดพลาดมาก”

ถึงเวลาต้อง “มูฟ ออน” จากโศกนาฏกรรมที่ฮิลล์สโบโรห์

แนวคิดที่อยากให้แฟนบอลในพรีเมียร์ลีกและแชมเปี้ยนชิพกลับไปยืนเชียร์บอลเริ่มก่อตัวอย่างช้าๆ จนกระทั่งเกิดเป็นรูปธรรมช่วงก่อนการเลือกตั้งในปี 2019 เมื่อทั้งพรรคอนุรักษ์นิยมและพรรมแรงงานต่างให้คำมั่นสัญญากับประชาชนว่าจะดำเนินการเพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ของนโยบาย “เซฟ สแตนดิ้ง” จนกระทั่งวันที่ 22 กันยายน 2020 ไนเจล ฮัดเดิลสตัน รัฐมนตรีกระทรวงกีฬา ได้ประกาศอนุญาตให้ห้าสโมสรจัดทำโซนยืนดูบอลอย่างถูกกฎหมายขึ้น

แม้การทดลองของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี, ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ และคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ จะประสบความสำเร็จในระดับน่าพอใจ แต่ยังมีขั้นตอนสำคัญในการแก้ไขกฎหมาย รวมถึงแต่ละสโมสรต้องลงทุนปรับปรุงสภาพสนามเพื่อให้ตรงกับข้อระเบียบของเซฟ สแตนดิ้ง ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรกว่าที่แฟนบอลอังกฤษในสองดิวิชั่นแรกจะได้กลับไปสัมผัสยืนเชียร์กันทั่วทุกสนาม

มาร์กาเรต แอสพินอลล์ ซึ่งสูญเสียลูกชายเจมส์จากเหตุการณ์ในสนามฮิลล์สโบโรห์ ให้ความคิดเห็นว่า “มุมมองของฉันเปลี่ยนไปจากเมื่อ 2-3 ปีก่อน”

“ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ฉันหวังว่าเราได้เรียนรู้จากบทเรียนครั้งนั้น แฟนบอลจะต้องไม่ถูกกระทำเหมือนยุค 1970และ 1980 ที่ถูกต้อนเหมือนวัวควายอยู่ในคอก ทุกสิ่งเปลี่ยนไปและถึงเวลาที่เราต้องก้าวไปข้างหน้าเสียที มีแฟนบอลรุ่นใหม่และรุ่นเก่าที่ชอบยืนดูการแข่งขัน แต่ยังจำเป็นที่จะต้องจัดสรรที่นั่งให้กับทุกคน”

“เราต้องดำเนินการเรื่องนี้ไปอย่างช้าๆ ต้องมั่นใจเรื่องความปลอดภัยและเห็นความก้าวหน้าเกิดขึ้นอย่างชัดเจน สิ่งสำคัญที่สุดคือแฟนบอลและความปลอดภัยของพวกเขา ตราบใดที่มันยังถูกตระหนัก ฉันก็โอเคกับมัน”

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Editor)

Categories
Special Content

กาปฏิทินลุ้นระทึก “ลิเวอร์พูล X เบลลิงแฮม” ซูเปอร์บิ๊กดีลปีหน้า

#SSxKMD | ขณะที่หลายสโมสรกำลังชุลมุนฝุ่นตลบกับการเจรจาซื้อขายนักเตะในตลาดซัมเมอร์ 2022 ซึ่งเปิดทำการเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน เรื่อยไปจนถึง 1 กันยายน แต่ลิเวอร์พูลกลับเสร็จสิ้นภารกิจไปอย่างรวดเร็วหลังจากได้นักเตะครบสามคนตามเป้าหมาย ได้แก่ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ มิดฟิลด์ตัวรุกทีมฟูแลม, ดาร์วิน นูนเยซ กองหน้าทีมเบนฟิกา และคัลวิน แรมซีย์ แบ็คขวาทีมอเบอร์ดีน

แม้ลิเวอร์พูลยังปรากฏบนหน้าสื่ออย่างต่อเนื่องแต่เป็นข่าวการขายและปล่อยยืม หรือไม่ก็เซ็นสัญญาระดับเยาวชน แต่หากเป็นประเด็นเสริมขุมกำลังก็เป็นการจับแพะชนแกะ ตีไข่ใส่สี หรือวิเคราะห์คาดการณ์ของนักข่าวเสียมากกว่าเป็นการเคลื่อนไหวจริง ๆ ของสโมสร

อย่างเช่นรายของ อุสมาน เดมเบเล่ ปีกขวาวัย 25 ปี ซึ่งหมดสัญญากับบาร์เซโลนาและเป็นฟรีเอเยนต์ สื่อสเปนตีข่าวครึกโครมว่าจะเล็งเซ็นซาลาห์ เซ็นแล้ว 3 ปี วีคละ 350K สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์สโมสร

หรือกรณีของ โอตาวิโอ ตัวรุกวัย 27 ปี ของปอร์โต แชมป์ปรีไมรา ลีกา ซึ่งเล่นกองกลางริมเส้นซ้ายขวาและมิดฟิลด์ตัวรุก ถูกหยิบมาเสนอข่าวเพราะลิเวอร์พูลกำลังสานต่อโมเดล “โปรตุกีส คอนเน็คชั่น” หลังจากซื้อหลุยส์ ดิอาซ และดาร์วิน นูนเยซ ห่างกันไม่ถึงครึ่งปี แต่กลับเป็นกูรูจากค่ายโกล สื่อลูกหนังระดับโลก ที่ออกมาสยบข่าวลือ อ้างว่าเป็นไปไม่ได้ที่ “เดอะ เรดส์” จะซื้อนักเตะอายุ 27 ปี แถมยังไม่ต้องการนักเตะตำแหน่งนี้เพิ่มด้วย ก่อนสรุปนิ่ม ๆ ว่า โอตาวิโอไม่ได้เป็นและไม่เคยเป็นเป้าหมายของลิเวอร์พูล

แม้ลิเวอร์พูล(น่าจะ)ไม่ทำธุรกิจฝั่งผู้ซื้อในตลาดรอบนี้แล้ว แต่กระแสข่าวจากสำนักใหญ่ที่มีความน่าเชื่อถือต่างชี้ไปทางเดียวกันว่า “มิดฟิลด์กลางสนาม” เป็นเป้าหมายสำคัญอันดับหนึ่งที่หงส์แดงพร้อมเปย์หนักระดับซูเปอร์บิ๊กดีลในตลาดซัมเมอร์ปีหน้า หลังจากรอบนี้ได้ทุ่มเงิน 85 ล้านปอนด์ สร้างสถิตินักเตะค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรกับตำแหน่งกองหน้า

ถึงเวลาสร้างคลื่นลูกใหม่ของขุนพล “เดอะ เรดส์”

ลิเวอร์พูลแสดงการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนว่า เยอร์เกน คล็อปป์ กำลังสร้างทีมใหม่รุ่นที่สองทดแทนบรรดาขุนพลที่ร่วมสร้างความยิ่งใหญ่ในช่วง 6 ปีแรกของการคุมทีม นักเตะใหม่ที่ซื้อมาระยะหลังจึงมีอายุน้อย

จากการศึกษาของสมาคมสื่อสารมวลชนะระบุว่า ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่พึ่งพานักเตะสูงอายุมากกว่าทีมใดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2021-22

หากคิดตามจำนวนนาทีรวมที่ผู้เล่นลิเวอร์พูลอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไปลงสนามซีซั่นที่แล้ว จะคิดเป็น 46.2 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด ตามด้วยอันดับสอง นิวคาสเซิล 39.9 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ส่งนักเตะรุ่นโอเวอร์ 30 ลงไปไล่ล่าแชมป์พรีเมียร์ลีกแค่ 22.1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่กับฤดูกาลใหม่ ตัวเลขของลิเวอร์พูลย่อมลดลงแน่นอนจากการเข้ามาของ นูนเยซ (23), คาร์วัลโญ (19) และแรมซีย์ (18) พร้อมการจากไปของ ซาดิโอ มาเน (30), ดิวอค โอริกี (27) และ ทาคูมิ มินามิโนะ (27) หรืออาจรวมถึง เนโก วิลเลียมส์ (21) ที่เล่นตำแหน่งเดียวกับแรมซีย์

อิบราฮิมา โกนาเต (23) เริ่มเบียดแย่งเวลาบนฟลอร์หญ้ามาจาก โจเอล มาติป (30) ได้มากขึ้น ขณะที่ เคอร์ติส โจนส์ (21) และ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ (19) เริ่มมีอนาคตสดใสเพิ่มเรื่อยๆ แล้วยังมีเหล่าดาวรุ่งตัวความหวังอย่าง เคด กอร์ดอน (17), ไทเลอร์ มอร์ตัน (19) และ โอเวน เบค (19)

อย่างไรก็ตามตัวหลักวัยเก๋าที่ยังสามารถยึดครองตำแหน่งตัวจริงต่อไปในซีซั่นหน้าได้แก่ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค (30), โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (30), จอร์แดน เฮนเดอร์สัน (32) และ ติอาโก อัลกันตารา (31) ซึ่งจะเห็นว่า หัวใจห้องเครื่องของหงส์แดงกำลังโรยราด้วยวัยทั้งเฮนเดอร์สันและติอาโก รวมถึง เจมส์ มิลเนอร์ (36) ซึ่งเพิ่งต่อสัญญาใหม่แต่คงปิดฉากชีวิตในแอนฟิลด์หลังซีซั่น 2022-23 จบลง ขณะที่ อเล็กซ์ ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน (28) และ ฟาบินโญ (28) มีอนาคตไม่แน่นอนในแอนฟิลด์

นั่นจึงทำให้คล็อปป์เริ่มให้น้ำหนักกับการหาตัวตายตัวแทนหรือ “เน็กซ์-เจน” ของมิดฟิลด์กลางสนาม ซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญมากต่อความสำเร็จของลิเวอร์พูลในอนาคต จึงเห็นว่ากุนซือเยอรมันมีข่าวอยากได้ ออเรเลียง ชูเอาเมนี กองกลางตัวเก่งวัย 22 ปีของโมนาโกอย่างจริงจัง ก่อนถอยทัพเมื่อเรอัล มาดริด เข้ามาพร้อมจะเปย์หนักแบบไม่อั้น

ถึงแม้เสร็จสิ้นภารกิจตลาดรอบนี้ในฐานะผู้ซื้อไปแล้ว แต่ลิเวอร์พูลยังถูกสื่อมวลชนเสนอข่าวโยงกับมิดฟิลด์หลายคนอย่างเช่น นิโกลา บาเรลลา ของอินเตอร์ มิลาน, อาเดรียง ราบิโอต์ ของยูเวนตุส และ คาร์นีย์ ชุควูเอกา ของแอสตัน วิลลา อย่างไรก็ตาม ชื่อที่เป็นกระแสแรงและมีน้ำหนักมากที่สุดได้แก่ จูด เบลลิงแฮม

คล็อปป์หมายตา “เบลลิงแฮม” คือหัวใจในอนาคตของทีม

จูด เบลลิงแฮม ฉายแสงขณะอายุแค่ 16 ปี เป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ลงสนามนัดแรกในประวัติศาสตร์ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ เมื่อปี 2019 เขาเล่นให้ทีมลูกโลก 44 นัดก่อนย้ายไปค้าแข้งกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เมื่อปี 2020 ด้วยค่าตัวกว่า 30 ล้านปอนด์ ขณะที่เบอร์มิงแฮมถึงขั้นอำลาเบอร์เสื้อหมายเลข 22 ให้กับมิดฟิลด์ดาวรุ่งโรจน์คนนี้

เบลลิงแฮมเพิ่งฉลองวันเกิด 19 ปี ไปไม่นานแต่ติดทีมชาติอังกฤษไปแล้ว 15 นัด เป็นหนึ่งในขุนพลตัวหลักของทีมเสือเหลืองกับผลงาน 10 ประตู 18 แอสซิสต์จากทั้งหมด 90 นัด

เบลลิงแฮมเป็นมิดฟิลด์ครบเครื่องกระเทียมดอง มองหยาบ ๆ ในดอร์ทมุนด์เขาคือมิดฟิลด์กลางสนาม แต่สามารถขยับไปทางขวาและซ้ายสวมตำแหน่งเบอร์ 6 และ 10 ได้ด้วย แสดงให้เห็นถึงทักษะที่หลากหลายสารพัดประโยชน์ แต่กูรูลูกหนังยกให้เขาเป็นผู้เล่นเบอร์ 8 ที่เชื่อมเกมในฐานะซัพพอร์ตติ้งมิดฟิลด์ โอเวอร์แลปขึ้นไปบุกจากสองฝั่งสนาม ส่วนกับทีมชาติอังกฤษ เบลลิงแฮมมักลงไปลึกมากขึ้นแสดงให้เห็นถึงความนิ่งและวุฒิภาวะเกินวัย สามารถครองบอลได้ดีภายใต้แรงกดดันและมองหาพื้นที่ว่างได้เฉียบคมเหลือเชื่อ

แน่นอนด้วยความสามารถเอกอุขนาดนี้บวกกับวัยไม่ถึงยี่สิบ ลิเวอร์พูลจึงต้องการเบลลิงแฮมมาเป็นผู้บัญชาเกมกลางสนามรุ่นต่อไปแทนเฮนเดอร์สัน, ติอาโก และมิลเลอร์ คล็อปป์สามารถใช้งานเขาได้ทั้งหมากเกม 4-3-3 และ 4-2-3-1 ซึ่งอาจเป็นฟอร์แมตแห่งอนาคตของหงส์แดง ร่ายล้อมด้วยมิดฟิลด์รุ่นใหม่อย่างคาร์วัลโญ, โจนส์ และเอลเลียตต์ หรืออีกนัยหนึ่ง คล็อปป์ต้องการเบลลิงแฮมมาสืบทอดตำนานต่อจากเฮนเดอร์สัน

เรอัล มาดริด เป็นทีมหนึ่งที่หมายตาเบลลิงแฮมเพื่อให้มาเป็นลูกา โมดริช คนใหม่ของพวกเขา เช่นเดียวกับ เชลซี ก็วางแผนร่วมล่าลายเซ็นของมิดฟิลด์ดาวรุ่งทีมชาติอังกฤษด้วย ทำให้สื่อหลายสำนักประเมินค่าตัวเบลลิงแฮมไปทางเดียวกันคือแตะหลัก 100 ล้านปอนด์ หรืออย่างต่ำไม่น่าหลุด 80 ล้านปอนด์ นั่นทำให้ลิเวอร์พูลคงต้องทำลายสถิตินักเตะค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นปีที่สองติดต่อกัน

นีล โจนส์ กูรูของสื่อโกล มองว่าเบลลิงแฮมมีใจให้ลิเวอร์พูลไม่ใช่น้อยเพราะมีสตีเวน เจอร์ราร์ด เป็นไอดอล และมีความสัมพันธ์แนบชิดกับเฮนเดอร์สันในทีมชาติอังกฤษ ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้หลังเพิ่งตกเป็นข่าวแรง เบลลิงแฮมโพสต์ถึงเฮนเดอร์สัน กัปตันทีมหงส์แดง ในฐานะตำนาน

กระแสข่าวบนหน้าสื่อฟุตบอลทั่วโลกชี้ตรงกันว่า “ซูเปอร์บิ๊กดีล” ระหว่างลิเวอร์พูลและดอร์ทมุนด์จะเกิดขึ้นในตลาดซัมเมอร์ปีหน้าอย่างแน่นอน ขณะที่สัญญาของเบลลิงแฮมยังเหลือถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2025

คุณค่าของ “เบลลิงแฮม” คุ้มค่าแก่การรอคอยหรือไม่

ปีหน้าเป็นช่วงเวลาเหมาะสำหรับดีล จูล เบลลิงแฮม ระหว่างสองสโมสร ลิเวอร์พูลเพิ่งทุ่มเงินไปร่วม 85 ล้านปอนด์ไปกับนูนเยซคนเดียว และขุมกำลังแดนกลางที่มีตอนนี้ก็มากพอสำหรับใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพหนึ่งซีซั่น ส่วนดอร์ทมุนด์คงไม่ต้องการเสียซูเปอร์สตาร์พร้อมกันสองคนในปีนี้หลังจาก เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ย้ายไปแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และยังมี เจดอน ซานโช ที่ไปอยู่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หนึ่งปีก่อนหน้านี้

ลิเวอร์พูลตระหนักดีถึงคุณค่าของการรอคอย ไม่พลีพลามเปลี่ยนเป้าหมายที่คิดรอบคอบแล้วย้ายไปยังทางเลือกอื่น ๆ หงส์แดงเคยพยายามแต่ล้มเหลวกับการเซ็นสัญญา เวอรกิล ฟาน ไดค์จ ในตลาดซัมเมอร์ปี 2017 แล้วรอเพื่อพยายามใหม่กับตลาดหน้าหนาวปี 2018 ซึ่งประสบความสำเร็จ เป็นดีลที่ดีมากที่สุดครั้งหนึ่งของสโมสรที่ได้เซ็นเตอร์แบ็คเวิลด์คลาสเข้ามาอยู่แอนฟิลด์

ลูกา ซูชิซ มิดฟิลด์ดาวดวงใหม่วัย 19 ปีของทีมชาติโครเอเชีย ถูกนำมาเปรียบเทียบกับเบลลิงแฮม เขาแจ้งเกิดอย่างรวดเร็วหลังย้ายมาอยู่เรดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก เมื่อปี 2020 ช่วงสองฤดูเขาลงสนาม 71 นัด ทำไป 13 ประตู 6 แอสซิสต์ และมีสัญญากับทีมกระทิงแดงถึงปี 2025

ชูชิซ ที่เป็นแฟนบอลบาร์เซโลน่าและมีลูกา โมดริช เป็นไอดอลวัยเด็ก ได้รับความสนใจจากยักษ์ใหญ่อย่าง ยูเวนตุส, เอซี มิลาน, อินเตอร์ มิลาน, ลาซิโอ, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และนิวคาสเซิล รวมถึงลิเวอร์พูล

กูรูลูกหนังหลายคนกล่าวว่า หากมีมิดฟิลด์ที่ควรค่าแก่การรอคอย (และจ่ายหนัก) จูล เบลลิงแอม เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น นั่นทำให้บรรดาเดอะ ค็อป เฝ้าลุ้นระทึกอีกหนึ่งปีข้างหน้า พวกเขาจะได้เบลลิงแฮมหรือไม่ และเบลลิงแฮมจะเฉิดฉายภายใต้ยูนิฟอร์ม “เดอะ เรดส์” อย่างที่คาดหวังหรือเปล่า

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Editor)