Categories
Column Feature

คริสเตียโน โรนัลโด นักบอลมหาเศรษฐีพันล้านคนแรกของโลก

8 ตุลาคม 2025 ได้รับการบันทึกบนหน้าประวัติศาสตร์ว่า เป็นวันที่กีฬาฟุตบอลมีผู้เล่นอภิมหาเศรษฐีระดับพันล้านเป็นคนแรกของโลก

คริสเตียโน โรนัลโด ซูเปอร์สตาร์ลูกหนังวัย 40 ปี ถูกบรรจุเข้าเป็นสมาชิกคนใหม่ของ Three Comma Club แห่งวงการกีฬา โดย “สโมสร 3 จุลภาค” สื่อถึงกลุ่มบุคคล Billionaire ที่มีความมั่งคั่งสุทธิหรือมูลค่าสุทธิ (Net Worth) ระดับพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ในระบบตัวเลขภาษาอังกฤษ “หนึ่งพันล้าน” จะมีเครื่องหมายจุลภาค (Comma) คั่นอยู่ 3 ตัวคือ 1,000,000,000)

Bloomberg บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านบริการข้อมูลทางการเงิน ซอฟต์แวร์ และสื่อ รายงานว่า โรนัลโดเป็นมหาเศรษฐีนักฟุตบอลหลังจากต่อสัญญาเมื่อเดือนมิถุนายน 2025 กับอัล นาสเซอร์ สโมสรในกรุงรียาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย ได้รับค่าเหนื่อย 492 ล้านปอนด์ (660 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ในระยะเวลา 2 ปีข้างหน้า เทียบกับค่าเหนื่อยปีละ 173 ล้านปอนด์ (232 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ตอนที่เพิ่งย้ายจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาร่วมทีมอัล นาสเซอร์ ในปี 2023

Bloomberg Billionaires Index ระบุว่า รายได้ดังกล่าวทำให้ความมั่งคั่งสุทธิของโรนัลโดพุ่งขึ้นเป็น 1.045 พันล้านปอนด์ (1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) หนีห่างเพื่อนร่วมอาชีพเบอร์ 2 ลิโอเนล เมสซี ที่มีความมั่งคั่งสุทธิ 620 ล้านปอนด์ (832 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) 

หมายเหตุ : “ความมั่งคั่งสุทธิ” เป็นตัวชี้วัดสถานะทางการเงินที่สำคัญ โดยคำนวณจากสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี หักลบด้วยหนี้สินทั้งหมดที่มี ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง สูตรคือ ความมั่งคั่งสุทธิ = สินทรัพย์รวม – หนี้สินรวม แสดงให้เห็นว่ามีเงินเหลือเท่าไรหลังชำระหนี้ทั้งหมดแล้ว และใช้ในการติดตามความก้าวหน้าทางการเงินในระยะยาว

10 นักฟุตบอลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

อ้างอิงจากดัชนีมหาเศรษฐีของบลูมเบิร์กฉบับล่าสุดได้รายงาน 10 อันดับนักฟุตบอลที่ร่ำรวยที่สุดจากการประเมินด้วยความมั่งคั่งสุทธิได้แก่

1. คริสเตียโน โรนัลโด (ชาวโปรตุเกส, สโมสรอัล นาสเซอร์) 1.045 พันล้านปอนด์

2. ลิโอเนล เมสซี (อาร์เจนตินา, อินเตอร์ ไมอามี) 620 ล้านปอนด์

3. เนย์มาร์ จูเนียร์ (บราซิล, ซานโตส) 280 ล้านปอนด์

4. คีลิยัน เอ็มบัปเป (ฝรั่งเศส, เรอัล มาดริด) 186 ล้านปอนด์

5. คาริม เบนเซมา (ฝรั่งเศส, อัล อิตติฮัด) 150 ล้านปอนด์

6. พอล ป๊อกบา (ฝรั่งเศส, โมนาโก) 93 ล้านปอนด์

7. ซน ฮึง-มิน (เกาหลีใต้, ลอส แอนเจลีส เอฟซี) 75 ล้านปอนด์

8. อองตวน กรีซมานน์ (ฝรั่งเศส, แอตเลติโก มาดริด) 67 ล้านปอนด์

9. โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ (อียิปต์, ลิเวอร์พูล) 66 ล้านปอนด์

10. โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี (โปแลนด์, บาร์เซโลนา) 63 ล้านปอนด์

ขอบคุณภาพจาก  https://www.thesun.co.uk/sport/12682986/lionel-messi-billionaire-adidas-hotel/

จากท็อป 10 พบว่าเป็นชาวฝรั่งเศสถึง 4 คน เลวานดอฟสกีเป็นอีกคนที่เกิดในยุโรป โดยอภิมหาเศรษฐีร่ำรวยที่สุด 3 คนแรกมาจากอเมริกาใต้ ส่วนอีก 2 คนในลิสต์มาจากแอฟริกา (ซาลาห์) กับเอเชีย (ฮึง-มิน)

เป็นที่น่าสังเกตว่า โรนัลโดมีความมั่งคั่งสุทธิมากกว่าเมสซีถึง 425 ล้านปอนด์ ซูเปอร์สตาร์อาร์เจนไตน์รวยกว่าอันดับ 3 เนย์มาร์ 340 ล้านปอนด์ มีเอ็มบัปเปและเบนเซมาอีก 2 คนเท่านั้นที่รวยแตะหลักร้อยล้านปอนด์

นอกจากโรนัลโดแล้ว Forbes สื่อเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ เพิ่งรายงานเมื่อปลายสิงหาคม 2025 ว่า โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ตำนานนักเทนนิส กลายเป็นนักกีฬาคนที่ 7 ในประวัติศาสตร์ที่ร่ำรวยหลักพันล้าน

เชื่อว่า ยอดนักหวดชาวสวิส ซึ่งแขวนแร็กเก็ตเมื่อปี 2022 มีความมั่งคั่งสุทธิล่าสุดอยู่ที่ 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งตัวเลขที่ถีบตัวสูงขึ้นมาจากการถือหุ้นส่วนน้อยในแบรนด์รองเท้าและเสื้อผ้าสัญชาติสวิส On เฟเดอเรอร์ยังเป็นนักเทนนิสที่ได้รับค่าตอบแทนสูงสุดเป็นเวลา 16 ปีติดต่อกัน แม้ได้รับเงินรางวัลจากการแข่งขันน้อยกว่าคู่แข่งสำคัญอย่างโนวัค ยอโควิช และราฟาเอล นาดาล

บาสเกตบอลเป็นกีฬาที่สร้างร่ำรวยระดับพันหลักเพราะมีตำนานอยู่ในลิสต์ถึง 4 คนคือ จูเนียร์ บริดจ์แมน, เมจิก จอห์นสัน, ไมเคิล จอร์แดน และเลบรอน เจมส์ โดย Billionaire อีกคนคือ ไทเกอร์ วูดส์ ยอดนักกอล์ฟลูกครึ่งไทย-อเมริกัน

ทำไมโรนัลโดจึงรวยเกินหน้าเกินตายอดนักเตะเบอร์ต้นๆ ของโลกมากขนาดนี้ คำถามอยู่ที่แหล่งรายได้ ซึ่งไม่ได้มาจากสโมสรและบริษัทสปอนเซอร์เท่านั้น

Lifetime Deal และ Co-branded Collection

แน่นอนว่า แหล่งรายได้เบื้องต้นที่สร้างความมั่งคั่งให้กับโรนัลโดมาจากสัญญาว่าจ้างในอดีตกับสโมสรยักษ์ใหญ่อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เรอัล มาดริด และยูเวนตุส แต่นอกสนามฟุตบอล โรนัลโดยังได้รับข้อเสนออีกมากมายทางธุรกิจที่น่าทึ่งและมหาศาล ตัวอย่างเช่น Nike, Armani, Herbalife, TAG Heuer ซึ่งต่างเซ็นสัญญาผูกมัดนานหลายปี รวมถึง Clear Shampoo, DAZN, LiveScore, Panini ฯลฯ และดีลล่าสุด KFC 

ข้อตกลงกับ Nike นับเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงที่สุดเพราะโรนัลโดเป็น 1 ในนักกีฬาเพียงไม่กี่คนในโลก ร่วมกับ 2 สุดยอดนักบาสเกตบอล ไมเคิล จอร์แดน และเลบรอน เจมส์ ที่มี “สัญญาตลอดชีพ” (Lifetime Deal) กับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านสินค้าและอุปกรณ์กีฬาสัญชาติอเมริกัน โดยบลูมเบิร์กรายงานว่า โรนัลโด ซึ่งเซ็นสัญญาดังกล่าวเมื่อปี 2016 ได้รับเงินจากไนกี้เกือบปีละ 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

ขอบคุณภาพจาก  https://telegrafi.com/en/ronaldo%27s-lifetime-contract-with-nike-is-worth-1-billion-euros/

นอกจากนี้ โรนัลโดยังผลักดันแบรนด์ CR7 ของตนเองจนโด่งดังระดับโลก พร้อมยังจับมือกับพันธมิตรหลัก (Major Partners) หลายแบรนด์ชั้นนำ ซึ่งโรนัลโดเป็นพรีเซนเตอร์หรือนายแบบโฆษณาแคมเปญให้ ออกสินค้ารุ่นพิเศษในชื่อ CR7 ร่วมกับเขา (Co-branded Collection) อาทิ

TAG Heuer Formula 1 CR7 Limited Edition Chronograph (รุ่น CAZ1113.FC8189) ร่วมกับบริษัทนาฬิกาหรูสัญชาติสวิส “แทค ฮอยเออร์” เป็นนาฬิกาจับเวลาโครโนกราฟ (Chronograph) ที่อยู่ในตระกูล Formula 1 สีดำและสีเขียว ซึ่งเป็นสีที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสนามฟุตบอล (สีเขียวของหญ้า) และมีสไตล์ที่ดูสปอร์ตและดุดัน ผลิตจำนวนจำกัด (Limited Edition) เพียง 3,000 เรือนทั่วโลก

Clear Men Legend by CR7 Special Edition Shampoo ร่วมกับบริษัทผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม “เคลียร์” เป็นแชมพูขจัดรังแครุ่นพิเศษที่โรนัลโดมีส่วนร่วมคัดเลือกส่วนประกอบบางอย่างของผลิตภัณฑ์ เช่นเป็นคนเลือกกลิ่นหอมสปอร์ตแนว Aquatic ที่ติดทนนานถึง 8 ชั่วโมง รวมถึงลักษณะของเนื้อผลิตภัณฑ์และดีไซน์ของขวด

Herbalife24 CR7 Drive ร่วมกับบริษัทโภชนาการระดับโลก “เฮอร์บาไลฟ์” เป็นเครื่องดื่มเกลือแร่ ซึ่งเน้นไปที่การให้พลังงานและความชุ่มชื้นสำหรับนักกีฬาและผู้ที่ออกกำลังกาย

CR7 ForeverZone ร่วมกับแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีขนาดใหญ่ “ไบแนนซ์” เป็นบ้านดิจิทัลสำหรับคอลเลกชัน NFT ของโรนัลโดโดยเฉพาะ ซึ่ง NFT เหล่านี้มีลักษณะเป็นของสะสมดิจิทัลที่เกี่ยวกับช่วงเวลาสำคัญในอาชีพค้าแข้งของโรนัลโด

โดยเฉพาะ “ไนกี้” ซึ่งได้ออกรองเท้าสตั๊ดรุ่นพิเศษในชื่อ CR7 มาแล้วกว่า 30 รุ่น เน้นการบอกเล่าเรื่องราวชีวิตและความสำเร็จของเขา ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นซีรีส์ เช่น Signature Chapter Boots ซีรีส์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยแต่ละรุ่นจะเปรียบเสมือนบท (Chapter) ในเส้นทางอาชีพของโรนัลโด และมีดีไซน์เอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น CR7 Chapter 1: Savage Beauty แรงบันดาลใจจากเกาะมาเดรา บ้านเกิดของเขา , CR7 Chapter 4: Forged For Greatness สื่อถึงการพัฒนาตัวเองจากพรสวรรค์สู่ความยิ่งใหญ่ , CR7 Chapter 5: Cut To Brilliance ได้รับแรงบันดาลใจจากเพชรที่ถูกเจียระไนอย่างสมบูรณ์แบบ

ไนกี้ยังมีสินค้าอื่นๆ ในคอลเลกชัน CR7 เช่น เสื้อผ้า กางเกง ถุงเท้า ที่ใช้เทคโนโลยี Dri-FIT และมีโลโก้ CR7 ปรากฏอยู่ด้วย

จ้างมืออาชีพเพื่อเพิ่มรายได้มหาศาลจากการลงทุน

แน่นอนว่า ความสามารถและชื่อเสียงอันยาวร่วม 2 ทศวรรษของโรนัลโด ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายที่ดึงดูดเม็ดเงินมหาศาลโดยตรงจากสโมสรต้นสังกัดและบริษัทธุรกิจทั่วโลก แต่การนำเงินเหล่านั้นไปต่อยอดสร้างรายได้ก้อนใหญ่ไม่แพ้กันจากการลงทุนด้วยตนเองก็น่าสนใจ

โรนัลโดใช้สถานภาพ G.O.A.T, ความโด่งดังระดับซูเปอร์สตาร์ และภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งมาสร้างอาณาจักรธุรกิจของตนเองภายใต้แบรนด์ CR7 และขยายเข้าไปในธุรกิจหลายประเภท ซึ่งจะทำให้เขามีรายได้ต่อเนื่องและมั่นคงแม้เลิกเล่นฟุตบอลไปแล้ว โดยไม่ได้มีเพียงสินค้าแฟชันและไลฟ์สไตล์ที่คุ้นเคยสำหรับแฟนบอลเช่น เสื้อผ้า ชุดชั้นใน แว่นตา น้ำหอม รองเท้า ตัวอย่างเช่น

ธุรกิจโรงแรม Pestana CR7 Hotels ลงทุนร่วมกับ Pestana Group เปิดโรงแรมหรูในหลายเมืองสำคัญ เช่น ลิสบอน, มาเดรา, นิวยอร์ก และมาดริด

ธุรกิจฟิตเนส CR7 Fitness by Crunch เปิดศูนย์ออกกำลังกาย โดยใช้ภาพลักษณ์การดูแลสุขภาพและรูปร่างที่ดีของตนเองเป็นจุดขาย

ธุรกิจความงาม Insparya ลงทุนในคลินิกปลูกผมในสเปน โดยถือหุ้นในสัดส่วน 50%

ขอบคุณภาพจาก  https://www.bjtonline.com/business-jet-news/cristiano-ronaldos-global-express-is-very-cool

ธุรกิจให้เช่าเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว นอกเหนือเป็นเจ้าของเครื่องบินส่วนตัวหลายลำที่ใช้เดินทางเอง โดยบางลำเช่น Gulfstream G650 หรือ Bombardier Global Express XRS ได้รับการตกแต่งเป็นพิเศษและมีสัญลักษณ์ CR7 อยู่บนลำเครื่องบินด้วย

พิพิธภัณฑ์ส่วนตัว CR7 Museum ซึ่งแฟนๆ แฟน ๆ ของโรนัลโดสามารถเรียนรู้เรื่องราวชีวิต ความสำเร็จ และแรงบันดาลใจตลอดเส้นทางการเป็นนักฟุตบอล รวมถึงจัดแสดงถ้วยรางวัล รางวัลส่วนตัว เสื้อแข่ง รองเท้าสตั๊ด ได้แก่ Museu CR7 พิพิธภัณฑ์ดั้งเดิมในบ้านเกิดที่เมืองฟุงชาล บนเกาะมาเดรา ประเทศโปรตุเกส, CR7 Signature Museum ที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย) และ CR7 LIFE Museum ที่ฮ่องกง

นอกจากธุรกิจแบรนด์ตัวเองแล้ว โรนัลโดยังบริหารจัดการความมั่งคั่งด้วยการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงเช่น ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หรูหลายแห่งทั่วโลกอาทิ รีสอร์ตกอล์ฟขนาดใหญ่ บ้านและที่ดินส่วนตัวที่มีมูลค่าสูง รวมถึงเข้าไปถือหุ้นในธุรกิจต่างๆ หลายรูปแบบ เช่น ซื้อหุ้น Vista Alegre บริษัทเครื่องเคลือบดินเผาเก่าแก่ของโปรตุเกส เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนระยะยาว

มีรายงานว่า โรนัลโดมีทีมที่ปรึกษาทางการเงินและนักกฎหมายคอยให้คำแนะนำในการจัดการภาษี การลงทุน และการดำเนินธุรกิจต่างๆ เพื่อให้ทุกการตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายและเกิดประโยชน์สูงสุด

การก้าวขึ้นเป็นอภิมหาเศรษฐีพันล้านของโรนัลโดจึงไม่ได้มาจากค่าเหนื่อยและพรีเซนเตอร์สินค้าเหมือนนักฟุตบอลอาชีพทั่วไป แต่ยังมาจากการใช้ “แบรนด์ตัวเอง” เป็นเครื่องมือหลักในการขยายอาณาจักรธุรกิจ การกระจายความเสี่ยง และการบริหารจัดการเงินทุนอย่างมีวินัยร่วมกับทีมงานที่ปรึกษามืออาชีพ

วางเป้าหมายเล่นต่อ 2-3 ปี และคว้าแชมป์เวิลด์คัพ

แม้ความร่ำรวยเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ Newsweek นิตยสารข่าวระดับโลก ได้วิเคราะห์เรื่องนี้ว่า โรนัลโดกลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้านคนแรกของวงการฟุตบอลถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในแวดวงเศรษฐศาสตร์กีฬา การต่อสัญญาฉบับใหม่กับอัล นาสเซอร์ ไม่เพียงเป็นการกำหนดนิยามใหม่ของค่าตอบแทนผู้เล่นเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของประเทศต่างๆ ในอ่าวเปอร์เซียต่อวงการกีฬาโลกอีกด้วย

รายได้ที่สูงเป็นประวัติการณ์ของโรนัลโด ซึ่งได้ค่าเหนื่อย 300 ปอนด์ต่อนาทีในซาอุดีอาระเบีย ได้เปลี่ยนโฉมเกณฑ์มาตรฐานด้านความมั่งคั่งของนักกีฬา ศักยภาพในการสร้างแบรนด์ และการย้ายทีมข้ามทวีป กรณีศึกษานี้สะท้อนให้เห็นถึงพลังทางเศรษฐกิจในวงกว้างที่หล่อหลอมวงการฟุตบอลอาชีพและนักกีฬาชื่อดังระดับโลก

หลังจากเซ็นสัญญากับอัล นาสเซอร์ และเล่นในซาอุดิ โปร ลีก จนถึงปี 2027 Newsweek มองว่า ภาพลักษณ์ของโรนัลโดจะช่วยส่งเสริมการเติบโตของวงการฟุตบอลในตะวันออกกลาง และการขยายแบรนด์ CR7 ไปทั่วโลก การย้ายทีมของเขายังสร้างบรรทัดฐาน ทั้งด้านการเงินและวัฒนธรรม สำหรับนักกีฬาชื่อดังในอนาคตที่กำลังพิจารณาข้อเสนออันคุ้มค่าจากอ่าวเปอร์เซีย

ขอบคุณภาพจาก  https://telegrafi.com/en/Ronaldo-admits-he-used-it-to-write-his-speech-for-the-Globo-Prestigio-award/

แล้วเส้นทางบนสนามฟุตบอลของโรนัลโดจะเป็นอย่างไรต่อไป ตำนานที่ยังเล่นอยู่เพิ่งให้คำตอบบนเวทีแห่งเกียรติยศ ซึ่งเขาได้รับรางวัล Globo Prestigio Award จากสหพันธ์ฟุตบอลโปรตุเกส (FPF) ซึ่งมอบรางวัลนี้เพื่อยกย่องความสำเร็จและคุณูปการอันยิ่งใหญ่และยาวนานของบุคคลที่มีชื่อเสียงต่อวงการฟุตบอลโปรตุเกส

โรนัลโดกล่าวถึงรางวัลนี้ว่า “นี่ไม่ใช่รางวัลสำหรับการยุติอาชีพ แต่เป็นการยอมรับในความพยายาม ความทุ่มเท และความมุ่งมั่นมาเป็นเวลาหลายปี” เพื่อเน้นย้ำแบบทีเล่นทีจริงว่า Globo Prestigio Award เป็น “รางวัลเชิดชูเกียรติความสำเร็จในอาชีพ” ไม่ใช่รางวัลสำหรับผู้ที่กำลังจะเกษียณอายุ

เจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ 5 สมัยกล่าวเสริมว่า “ผมมีถ้วยรางวัลอยู่บ้างที่บ้าน แต่ขอบอกเลยว่าใบนี้พิเศษและสวยงามมาก ผมต้องสารภาพว่าบ่ายวันนี้ผมนั่งคิดอยู่ว่าจะพูดอะไรในสุนทรพจน์นี้ ผมคิดอยู่ว่า ‘รางวัลเกียรติยศคืออะไรกันนะ? สงสัยจะเป็นรางวัลปิดฉากอาชีพหรือเปล่า’ ผมรู้สึกประหม่าเล็กน้อยและคิดว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ ที่จะเป็นแบบนั้น”

“ผมอยู่กับทีมชาติมา 22 ปีแล้ว นั่นบ่งบอกถึงความหลงใหลที่ผมมีต่อการสวมเสื้อทีมชาติเพื่อคว้าถ้วยรางวัลและการลงเล่นให้โปรตุเกส ผมยังมีอะไรอีกมากที่จะมอบให้กับทีมชาติและวงการฟุตบอล ผมอยากจะเล่นต่อไปอีกสัก 2-3 ปี ไม่มากนักหรอก”

“อีก 2-3 ปี” ดูเหมือนเป็นเป้าหมายที่ทะเยอทะยานแม้โรนัลโดจะมีชื่อเสียงเรื่องความทุ่มเทให้กับการรักษาและเสริมสร้างสภาพร่างกายก็ตาม แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายทะเยอทะยานที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่โรนัลโดบอกว่า

“แน่นอนสำหรับผมแล้ว เป้าหมายของโปรตุเกส คือการไปฟุตบอลโลกและคว้าแชมป์ตามที่เราทุกคนต้องการ”

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Football Business

แม้ยังเรียกฟุตบอลว่า “ซอกเกอร์” อเมริกากำลังครอบครองพรีเมียร์ลีก

เดือนกันยายน 2003 มัลคอล์ม เกลเซอร์ เริ่มซื้อหุ้นสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3.17% และเพิ่มเป็น 15% เมื่อจบปี ก่อนตัวเลขขึ้นมาอยู่ที่ 75% ในเดือนพฤษภาคม 2005 และ 98% ภายในหนึ่งเดือนต่อมา มหาเศรษฐีจากนิวยอร์กเทคเทคโอเวอร์สโมสรสมบูรณ์แบบหลัง squeeze-out 2% สุดท้ายจากผู้ถือหุ้นรายย่อย รวมมูลค่า 790 ล้านปอนด์ (1.06 พันล้านเหรียญสหรัฐ)

เกลเซอร์เป็นเจ้าของสโมสรพรีเมียร์ลีกชาวอเมริกันคนแรก และ 20 ปีต่อมา สโมสรพรีเมียร์ลีก 11 ทีมมีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นอเมริกันชนทั้งสถานะบุคคลเดียว ครอบครัว คนดัง และกลุ่มทุนเอกชน

ขยับลงมาลีกเทียร์ 2 ของยอดพีระมิดฟุตบอลอังกฤษ มีอเมริกันชนถือหุ้นใหญ่สโมสรแชมเปียนชิพ 9 ทีม รวมถึงเร็กซ์แฮมของคนดังแห่งฮอลลีวูด ไรอัน เรย์โนลด์ส และร็อบ แมคเอลเฮนนีย์ (ร็อบ แมค) แม้แต่กิลลิ่งแฮม ทีมหัวขบวนลีก ทู ยังอยู่ภายใต้การบริหารของชาวอเมริกัน

กลุ่มคนจากอีกฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกกำลังเขย่าฟุตบอลอังกฤษรุนแรงกว่าที่บางคนคิด บ้านของแมนฯยูไนเต็ด, อาร์เซนอล, ลิเวอร์พูล แม้กระทั่งเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และมิลล์วอลล์ กลายเป็นอสังหาริมทรัพย์เพื่อการกีฬาที่ถูกต้องการมากที่สุดในโลก และชาวอเมริกันอยู่แถวหน้าในการแย่งชิงผืนแผ่นดินนี้

อิทธิพลจากอเมริกาจะส่งผลกระทบต่อลีกกีฬาชั้นนำของอังกฤษหรือไม่ จะถูกเปลี่ยนแปลงไปตามวัฒนธรรมของอเมริกันฟุตบอล เอ็นเอฟแอล และบาสเกตบอล เอ็นบีเอ หรือเปล่าอย่างเพดานค่าเหนื่อยรวม (salary cap), การเทรดนักกีฬา, ดราฟท์ดาวรุ่งจากมหาวิทยาลัย, การแข่งขันโปรแกรมปกติในต่างประเทศ บทความของมาร์ก โอเดน นักข่าวอาวุโสของ ESPN และ ESPN UK จะพาไปสำรวจเรื่องราวนี้กัน

อเมริกายึดพื้นที่พรีเมียร์ลีกและแชมเปียนชิพ

จาก 20 สโมสรในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2025-26 มีเพียงเบรนท์ฟอร์ด, ไบรท์ตัน และทอตแนม ฮอทสเปอร์ ที่ยังมีเจ้าของเป็นบุคคลและบริษัทอังกฤษ ขณะที่ 4 สโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ล้วนถือหุ้นใหญ่โดยกลุ่มอเมริกันได้แก่ ลิเวอร์พูล (เฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ป), แมนฯยูไนเต็ด (ตระกูลเกลเซอร์), อาร์เซนอล (โครเอนเก สปอร์ตส์ แอนด์ เอนเตอร์เทนเมนท์ หรือ KSE) และเชลซี (เคลียร์เลค แคปิตอล / ทอดด์ โบห์ลีย์) แม้กระทั่งแมนเชสเตอร์ ซิตี ของซิตี ฟุตบอล กรุ๊ป ซึ่งมีอาบู ดาบี ยูไนเต็ด กรุ๊ป ถือหุ้น 81% ยังมีซิลเวอร์ เลค กลุ่มทุนเอกชน ถือหุ้น 18%

ขอบคุณภาพจาก  https://www.thisisanfield.com/2025/09/brilliant-strategic-management-former-liverpool-ceo-on-reds-record-transfer-spend/

นอกจาก 3 ทีมพรีเมียร์ลีกที่มีอังกฤษเป็นเจ้าของสโมสร มี 5 ทีมที่ไม่มีอเมริกาเข้ามาเกี่ยวข้องได้แก่ นิวคาสเซิล (ซาอุดิ อาระเบีย), นอตติงแฮม ฟอเรสต์ (กรีซ), วูลฟ์ส (จีน), เวสต์แฮม (สหราชอารณาจักร/เชกเกีย) และซันเดอร์แลนด์ (ฝรั่งเศส/สวิตเซอร์แลนด์/อุรุกวัย)

ที่แชมเปียนชิพ นอกจากเร็กซ์แฮมของ 2 ดาวดังฮอลลีวูดแล้ว สนูป ด็อกก์ แรปเปอร์เบอร์ต้นๆ ของโลก ก็เพิ่งเข้ามาเป็นเจ้าของร่วมสโมสรสวอนซีเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หลังจากนักธุรกิจอเมริกัน เบรทท์ คราแวทท์ และเจสัน โคเฮน เทคโอเวอร์ทีมลูกหนังเวลส์ในเดือนพฤศจิกายน 2024 ขณะที่ทอม เบรดี ตำนานควอเตอร์แบ็ค เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเจ้าของสโมสรเบอร์มิงแฮม ซึ่งถือหุ้นใหญ่โดยทอม แวคเนอร์ จากไนท์เฮด แคปิตอล แมเนจเมนท์ บริษัทไฟแนนซ์ในนิวยอร์ก

ทีมอื่นๆ ที่อยู่ภายใต้การบริหารของกลุ่มอเมริกันได้แก่ อิปสวิช, มิลล์วอลล์, นอริช, พอร์ทสมัธ, เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และเวสต์ บรอมวิช อัลเบียน รวมทั้งสิ้น 9 สโมสร

ฟุตบอลอังกฤษมีอะไรดึงดูดใจคนอเมริกัน

ฟุตบอลอังกฤษมีอะไรเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจและเงินทุนจากอีกฟากหนึ่งของมหาสมุทร ความเป็นไปได้มีทั้งเสน่ห์เย้ายวนใจของเกมลูกหนังและประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน, ความตื่นเต้นเร้าใจของการแข่งขัน, อัตตา, โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนมหาศาล และอื่นๆ แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเรื่องเงิน

“จากมุมมองด้านการลงทุน ผลตอบแทนที่ผ่านมามีความน่าสนใจ และแมนฯยูไนเต็ดเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยม” คริส มานน์ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์และข้อมูลเชิงลึกด้านกีฬาของสปอร์ตโซโลจี กรุ๊ป ซึ่งให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการซื้อขายกิจการสโมสรพรีเมียร์ลีก ให้สัมภาษณ์กับ ESPN “ตระกูลเกลเซอร์เข้าซื้อกิจการสโมสรด้วยมูลค่าประมาณ 800 ล้านปอนด์ในปี 2005แต่เมื่ออินเนออสเข้ามาลงทุนเมื่อกุมภาพันธ์ 2024 มูลค่ากิจการรวมของแมนฯยูไนเต็ดอยู่ที่ตัวเลขสูงกว่า 4 พันล้านปอนด์ เพิ่มขึ้นถึง 400% ภายในเวลา 20 ปี”

“อีกประการหนึ่งที่สำคัญคือ นับตั้งแต่วิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2008 เศรษฐกิจของอเมริกาได้ฟื้นตัวและเติบโตในอัตราที่เร็วกว่าเศรษฐกิจยุโรปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหราชอาณาจักร เศรษฐกิจของอเมริกาได้สร้างกระแสเงินสดส่วนเกินให้กับนักลงทุนกลุ่มนี้ ซึ่งร่ำรวยพอที่จะเข้ามาลงทุนในวงการกีฬายุโรป”

แม้การตกชั้นและเลื่อนชั้นจะสร้างความตึงเครียดให้กับกลุ่มเจ้าของอเมริกัน แต่การลงเงินกับฟุตบอลอังกฤษกลับดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกีฬาอเมริกันอย่างเห็นได้ชัด

มานน์ยกตัวอย่างประเด็นนี้ว่า “สิ่งสำคัญอยู่ที่จุดเข้าซื้อต่ำกว่ามากในแง่การประเมินมูลค่าเช่น ทีมบาสเกตบอล บอสตัน เซลติกส์ ถูกขายไปในราคา 6.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ (4.54 พันล้านปอนด์) เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ขณะที่ทอดด์ โบห์ลีย์ และเคลียร์เลค ซื้อเชลซีเมื่อเดือนพฤษภาคม 2022 ด้วยราคาเพียง 3.36 พันล้านเหรียญสหรัฐ (2.5 พันล้านปอนด์)”

ที่ดินยังมีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนด้วย ตัวอย่างที่ดีได้แก่ อาร์เซนอล ซึ่งขายสนามเอมิเรตส์ให้โครเอนเกฯ ของ เคเอสอี กรุ๊ป ด้วยราคา 120 ล้านปอนด์ (162.5 ล้านเหรียญสหรัฐ) เมื่อปี 2022 ทำให้เจ้าของทีมได้อสังหาริมทรัพย์ชั้นเยี่ยมในหนึ่งมหานครชั้นยอดของโลก

ขอบคุณภาพจาก  https://ca.sports.yahoo.com/news/revealed-arsenal-eyeing-potential-emirates-200000864.html

ขณะที่แผนของแมนฯยูไนเต็ดในการสร้างสนามแห่งใหม่ ทำให้เกิดข้อเสนอสร้างบ้าน 17,000 หลังคาเรือนบนพื้นที่เดิมเมื่อสนามแห่งใหม่ถูกสร้างขึ้นใกล้ๆ และยังส่งผลให้ราคาบ้านพักเฉลี่ยในแมนเชสเตอร์ขยับขึ้นเป็น 242,000 ปอนด์ (หรือ 327,750 เหรียญสหรัฐ) จากการประกาศเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มองด้วยสายตาของผู้เข้าใจวิชาคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐาน ก็สามารถรับรู้มูลค่าที่เพิ่มขึ้นของที่ดินบริเวณสนามฟุตบอลและใกล้เคียง

นอกจากนี้ การครอบครองสโมสรพรีเมียร์ลีกยังเป็นช่องทางสู่อุตสาหกรรมบันเทิงที่สามารถสร้างกำไรมหาศาล

มานน์เสริมว่า “นักลงทุนมองว่าฟุตบอลไม่ใช่การลงทุนด้านกีฬาอย่างแท้จริง แต่เป็นการลงทุนด้านบันเทิงมากกว่า คุณสามารถมองฟุตบอลเป็นส่วนหนึ่งของวงการบันเทิงก็ได้ และทีมกีฬาได้พิสูจน์แล้วว่า สามารถรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ดีกว่าธุรกิจอื่นๆ”

“ถ้าคุณมองแฟนบอลเป็นลูกค้าของสินค้า พวกเขาถือว่าเป็นลูกค้าที่มีรอยัลตีหรือความภักดีอย่างสูง (ต่อสินค้านั้นๆ) ซึ่งหมายความว่า พวกเขายินดีและสามารถจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าหรือดูทีมของตนเองไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

“การถ่ายทอดสดเป็นอีกองค์ประกอบหนึ่ง การชมกีฬาแบบสดๆ เป็นหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่เหลืออยู่ ซึ่งมีเสน่ห์ดึงดูดใจผู้ชมจากรุ่นสู่รุ่น และเป็นกิจกรรมที่มีความโดดเด่นอย่างมากในตลาดบันเทิง”

ไซมอน จอร์แดน อดีตเจ้าของสโมสรคริสตัล พาเลซ ซึ่งถูกวูดดี จอห์นสัน เจ้าของทีมอเมริกันฟุตบอล นิวยอร์ก เจทส์ ซื้อหุ้นสโมสร 43% เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ยอมรับว่า รายได้ในอนาคตจากการถ่ายทอดสดเป็นปัจจัยสำคัญที่พลักดันให้เกิดการลงทุนในสโมสรพรีเมียร์ลีก

“ทอดด์ โบห์ลีย์ และพรรคพวก ไม่ได้เสียเงิน 2.5 พันล้านปอนด์เพื่อซื้อเชลซีในสถานะกลุ่มนักฟุตบอล แต่ซื้อเพราะเชลซีมีมูลค่าหลากหลายช่องทางที่จะสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าทั่วโลก และแน่นอน รายได้จากลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดกีฬาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ”

แฟนบอลเจ้าถิ่นคิดอย่างไรกับเจ้าของทีมอเมริกัน

แม้คนอเมริกันไม่ได้เข้ามาครอบครองสโมสรเพื่อผลประโยชน์ทางการเงินอย่างเดียว ยังมีความรักความลุ่มหลงมนตร์เสน่ห์ของฟุตบอลอังกฤษด้วย พร้อมมุ่งมั่นที่จะนำความสำเร็จมาสู่สโมสร แต่แฟนบอลมีความคิดเห็นอย่างไรกับเจ้าของสโมสรใหม่จากต่างแดน

ออคเดน นักข่าวอาวุโสของ ESPN ตอบว่าขึ้นอยู่กับใครเป็นผู้ตอบคำถาม ซึ่งความสำเร็จหรือล้มเหลวของทีมมีผลอย่างมาก มั่นใจได้เลยที่แฟนบอลของลิเวอร์พูลและเร็กซ์แฮมจะมีมุมมองต่อโมเดลเจ้าของสโมสรอเมริกันแตกต่างจากแฟนบอลแมนฯยูไนเต็ด ซึ่งเคยประท้วงต่อต้านตระกูลเกลเซอร์ทั้งในช่วงเวลาที่ดีและเลวร้าย

กองเชียร์เร็กซ์แฮมต่างรู้สึกดีหรือรัก “ร็อบ และ ไรอัน” ซึ่งสามารถพา “เดอะ เรด ดรากอนส์” ขึ้นดิวิชัน 3 ปีติดต่อกัน จากเนชันแนล ลีก, ลีก ทู, ลีก วัน และอีเอฟแอล แชมเปียนชิพ ซึ่งอยู่ต่ำกว่าพรีเมียร์ลีกเพียง 1 ระดับ

ขอบคุณภาพจาก  https://www.express.co.uk/sport/football/2047271/ryan-reynolds-rob-mcelhenney-wrexham-promotion

บรรดา “เดอะ ค็อป” ต่างมีความสุขกับเอฟเอสจีแม้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์และความโกรธแค้นตลอดหลายปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับราคาตั๋วและการมีส่วนพลักดันยูโรเปียน ซูเปอร์ลีก ซึ่งล้มเหลวในปี 2021 แต่เจ้าของสโมสร ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในบอสตัน ได้สร้างช่วงเวลาที่น่าจดจำมากมาย นอกเหนือแชมป์ลีกสูงสุดสมัยแรกในรอบ 3 ทศวรรษ และสมัยที่ 20 มากที่สุด (ร่วมกับแมนฯยูไนเต็ด) ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ รวมถึงแชมป์ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก 1 สมัย ล่าสุดเอฟเอสจียังเพิ่งทุ่มเงิน 415 ล้านปอนด์ (557.8 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในตลาดซัมเมอร์ที่ผ่านมา เพื่อสร้างทีมใหม่ยุคหลังเยอร์เกน คลอปป์ และต่อสัญญาใหม่กับ 2 ว่าที่ตำนานนักเตะ โม ซาลาห์ กับ เวอร์กิล ฟาน ไดค์

ต่างกับตระกูลเกลเซอร์ที่ไม่เคยได้รับความนิยมในหมู่แฟนบอล “เรด อาร์มี” เนื่องจากการเทคโอเวอร์ในปี 2005 ทำให้สโมสรที่เคยปลอดหนี้ต้องแบกรับภาระหนี้ถึง 660 ล้านปอนด์ (887 ล้านเหรียญสหรัฐ) และหลังจากเป็นเจ้าของสโมสรมา 20 ปี ตระกูลเกลเซอร์ได้ทำให้แมนฯยูไนเต็ดต้องสูญเสียเงิน 1.2 พันล้านปอนด์ (1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ไปกับดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายหนี้ และเงินปันผล

โฆษกของ The 1958 กลุ่มแฟนบอลแมนฯยูไนเต็ด กล่าวกับ ESPN ว่า “ฟุตบอลกำลังกัดกินตัวเอง สิ่งที่เกิดขึ้นที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นการเตือนไปยังสโมสรอื่นๆ สำหรับเรา มันคือความพยายามที่จะทำให้เกมที่เรารักกลายเป็นแบบอเมริกัน เราเตือนเรื่องนี้เมื่อสามปีก่อน และตอนนี้กำลังเป็นจริง หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป กีฬาจะถูกทิ้งให้ว่างเปล่า เป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ที่ไร้วิญญาณ ฟุตบอลจะไม่มีความหมายหากปราศจากแฟนๆ”

แต่ไม่ใช่ว่า “Americanization of football” จะเป็นแนวคิดที่สร้างความเลวร้ายไปเสียหมด

ปาราก มาราเธ ประธานสโมสรลีดส์ ยูไนเต็ด เคยให้สัมภาษณ์กับ ESPN เมื่อปี 2021 ไม่นานหลังจาก โฟร์ตีนายเนอร์ส เอนเตอร์ไพรส์ เข้าซื้อหุ้นสโมสร มาราเธได้สรุปกลยุทธ์ที่เขาคาดว่าจะนำมาใช้กับทีม

“ลีดส์ในวันนี้ทำให้ผมนึกถึงทีม (อเมริกันฟุตบอล ซาน ฟรานซิสโก) โฟร์ตีนายเนอร์ส เมื่อ 15 ปีก่อน ทั้งสองต่างมีฐานแฟนคลับและประวัติศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม 49ers ประสบความสำเร็จอย่างมากช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990 เช่นเดียวกับลีดส์ในยุค 1970 และทั้งสองทีมต่างก็มีปัญหาเล็กน้อยทั้งในและนอกสนาม”

“ขณะนั้น 49ers เล่นอยู่ในสนามกีฬาที่เก่าแก่ที่สุดในเอ็นเอฟแอลที่ยังไม่ได้ปรับปรุง เราสร้างสนามกีฬาแห่งใหม่ ซึ่งได้พลิกโฉม 49ers ไปอย่างสิ้นเชิง และเป็นสิ่งเดียวกับที่เราต้องการทำกับลีดส์”

“ผมมองไปยังเพื่อนร่วมชาติของเราในอเมริกา และสิ่งที่พวกเขาทำ สิ่งที่จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี ได้ทำกับกลุ่มของเขา (เอฟเอสจี) และสิ่งที่พวกเขาทำกับลิเวอร์พูล เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดีของการเติบโตและการพัฒนาสโมสร แต่ท้ายที่สุดแล้ว คุณก็ยังต้องสร้างมันขึ้นมาอย่างเหมาะสม”

สี่ปีต่อมา ลีดส์กลับมาสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้งหลังจากตกชั้นในปี 2023 และเดือนเมษายนที่ผ่านมา สโมสรได้ประกาศแผนการปรับปรุงและขยายสนามเอลแลนด์ โรด ให้ทันสมัย ​ตามรอยสโมสรที่เจ้าของทีมอเมริกันอย่างลิเวอร์พูล, บอร์นมัธ, เบิร์นลีย์ และฟูแลม เคยใช้มาแล้ว

ความต่างในแนวคิดของเจ้าของสโมสรอเมริกัน

นับตั้งแต่ซื้อเชลซีเมื่อ 3 ปีก่อน เคลียร์เลคและโบห์ลีย์ ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมทีมเบสบอล ลอส แอนเจลีส ดอดเจอร์ส ได้เพิ่มทีมวิเคราะห์ข้อมูลของสโมสรแบบเดียวกับที่ใช้ในวงการกีฬาของอเมริกา และเพิ่มอัตราความสำเร็จของเชลซีในการสรรหาผู้เล่น สโมสรยังนำรูปแบบสัญญาระยะยาวของนักกีฬาอเมริกันมาใช้ โดยเซ็นสัญญา 9 ปีในปี 2024 กับโคล พาลเมอร์ และนิโกลาส แจ็คสัน เช่นเดียวกับแมนฯซิตี ซึ่งเซ็นสัญญา 9 ปีกับฮาลันด์เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

ขอบคุณภาพจาก  https://www.skysports.com/football/news/11095/12783738/chelsea-transfers-todd-boehlys-recruitment-strategy-analysed

ที่เร็กซ์แฮม เรย์โนลด์สกับแมคเอลเฮนนีย์ใช้วิธีการที่บางเบากว่า เขาปล่อยฟุตบอลให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญ พวกเขาพุ่งเป้าไปที่การสร้างแบรนด์เร็กซ์แฮมผ่านสารคดี “Welcome to Wrexham” ซึ่งบันทึกการเติบโตจากเทียร์ 5 สู่ระดับ 2ภายในเวลาไม่กี่ปี

ร็อบ แมค กล่าวกับ ITV Sport “เราแค่ดูว่าสโมสรอื่นๆ ทำอะไรเพื่อให้ประสบความสำเร็จในอดีต แล้วพวกเขาทำอะไรจึงไม่ประสบความสำเร็จในอดีต และเราพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งนั้นให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้”

“และนั่นรวมถึงการอยู่ห่างจากธุรกิจฟุตบอลด้วย หน้าที่ของเราคือการบอกเล่าเรื่องราว หน้าที่ของเราคือการโปรโมทสโมสร แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องให้ความเคารพต่อคนที่รู้เรื่องฟุตบอล”

บิล โฟลีย์ เจ้าของสโมสรบอร์นมัธชาวอเมริกัน ได้ออกมาประกาศต่อสาธารณชนว่า ไม่ควรนำเกมการแข่งขันในฤดูกาลปกติไปเล่นในต่างประเทศ

โฟลีย์กล่าวกับ Sky Sports ว่า “ประเพณีที่นี่เข้มแข็งและสำคัญมากจนเราไม่ควรไปเล่นพรีเมียร์ลีกที่อเมริกาหรือประเทศอื่นๆ เราต้องเล่นที่นี่ ต่อหน้าแฟนๆ ของเรา ผมไม่รู้ว่ามีคนจำนวนเท่าไรที่อยากเล่นพรีเมียร์ลีกในอเมริกา แต่ผมไม่ใช่หนึ่งในนั้น”

ยังมีหลายสโมสรแชมเปียนชิพของอเมริกันชนที่สามารถขึ้นไปผงาดบนลีกสูงสุดในฤดูกาลหน้า รวมถึงทีมของเซเลบอย่าง สนูป ด็อกก์ (สวอนซี), เบรดี (เบอร์มิงแฮม) และร็อบกับไรอัน (เร็กซ์แฮม) 

ถ้าทำสำเร็จ พรีเมียร์ลีกจะเป็นสโมสรที่เจ้าของเป็นอเมริกันถึง 14 ทีม แต่นั่นหมายถึงต้องมี 3 สโมสรที่ไม่ใช่อเมริกันลงไปเล่นเทียร์ 2 เช่นกัน แต่เพียงได้ 3 ทีมเลื่อนชั้นขึ้นมา ก็สามารถสร้างสีสันให้พรีเมียร์ลีกได้ไม่ใช่น้อยแล้ว

และแน่นอนว่า ผู้บริหารระดับสูง ทรัพยากรบุคคลทุกระดับชั้น เงินทุน และความคิดจากอเมริกา ไม่มีวี่แววหยุดเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเพื่อขึ้นฝั่งของเกาะอังกฤษ เนื่องจากโอกาสทำเงินก้อนโตกับฟุตบอลอังกฤษ คือสิ่งที่ผลักดันให้ชาวอเมริกันสนใจกีฬาชนิดนี้

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Feature

หนึ่งปีของ “ริชาร์ด ฮิวจ์ส” กับภารกิจสร้างทีมลิเวอร์พูลยุคใหม่

หลังผ่าน 2 ตลาดแรกอย่างเงียบเชียบ ริชาร์ดส์ ฮิวจ์ส ผู้อำนวยการฝ่ายกีฬาของลิเวอร์พูล สร้างความฮือฮา ทำลายสถิติสูงสุดของสหราชอาณาจักร 2 ครั้งในตลาดเดียว ทุ่มเงิน 116 ล้านซื้อฟลอเรียน เวียร์ตซ์ จากเลเวอร์คูเซน และจ่ายอีก 125 ล้านปอนด์ให้นิวคาสเซิลเพื่อแลกกับอเล็กซานเดอร์ อิซัค ส่งผลให้ยอดรายจ่ายในตลาดฤดูร้อน 2025 ของสโมสรพุ่งเป็น 446.5 ล้านปอนด์ 

ผู้บริหารชาวสกอตวัย 46 เป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนสำคัญที่จะสานต่อความสำเร็จของลิเวอร์พูลยุคหลังเยอร์เกน คลอปป์ ภารกิจสำคัญงานแรกของฮิวจ์สเกิดขึ้นเมื่อ 1 ปีที่แล้วคือ หาผู้สืบทอดตำแหน่งของยอดผู้จัดการทีมชาวดอยช์

ย้อนไปยังเดือนมีนาคม 2024 เมื่อไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ กลับมาทำงานกับลิเวอร์พูลด้วยตำแหน่งซีอีโอ ฟุตบอล ของเฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ปส์ สิ่งแรกๆ ที่เขาทำคือโทรศัพท์หาฮิวจ์ส ซึ่งกำลังพักผ่อนหลังลาออกจากบอร์นมัธในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค

ทั้งสองสนิทกันตั้งแต่ 20 ปีที่แล้วขณะฮิวจ์สเป็นกัปตันทีมและกองกลางของพอร์ตสมัธ ที่มีแฮร์รี เรดค์แนปป์ เป็นผู้จัดการทีม และเอ็ดเวิร์ดส์ทำหน้าที่วิเคราะห์ประสิทธิภาพผู้เล่น ฮิวจ์สกับเอ็ดเวิร์ดส์ต่างชอบคิดและสร้างความสัมพันธ์ผ่านการวิเคราะห์เกม

20 มีนาคม 2024 ลิเวอร์พูลประกาศแต่งตั้งฮิวจ์สเป็นผู้อำนวยการกีฬาโดยเริ่มปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ซึ่งระหว่างนี้ไม่มีข่าวการเคลื่อนไหวออกมาอย่างเป็นทางการ แต่รู้ดีว่า งานใหญ่ที่ฮิวจ์สต้องทำไม่ใช่เพียงต่อสัญญากับเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, เวอร์จิล ฟาน ไดค์ และโม ซาลาห์ แต่ต้องหากุนซือแทนคลอปป์ ซึ่งเป็นประเด็นเร่งด่วนกว่า

หาผู้สืบทอดตำแหน่งของคลอปป์

ฮิวจ์สได้รับข่าวว่า ชาบี อลอนโซ ตัวเลือกอันดับแรก ตัดสินใจคุมทีมเลเวอร์คูเซนต่อ รูเบน อโมริม โค้ชหนุ่มที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดคนหนึ่งในยุโรปหลังประสบความสำเร็จกับสปอร์ติง ลิสบอน ถูกเลื่อนขึ้นมาเป็นตัวเต็งแทน แต่ฮิวจ์สมีความคิดต่างออกไป

หลังพิจารณาข้อมูลที่วิลล์ สเปียร์แมน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย เสนอให้อย่างละเอียด ฮิวจ์สก็ตระหนักทันทีว่ามีเพียงตัวเลือกเดียวที่เขาอยากคุยด้วย และในเดือนเมษายน เขาจึงเดินทางไปยังเนเธอร์แลนด์เพื่อพบกับอาร์เนอ สลอต หัวหน้าโค้ชของเฟเยนูร์ด ที่บ้านในซโวลเลอ

ขอบคุณภาพจาก  https://www.daveockop.com/editorial/arne-slot-revolution-liverpool-premier-league-year-one/

กุนซือดัตช์ทำผลงานยอดเยี่ยมในด้านพัฒนาผู้เล่นและรักษาความฟิตของร่างกายนักเตะ และที่สำคัญ จุดที่อาร์เนอต่างจากอโมริมคือ มีรูปแบบการเล่นและสไตล์ฟุตบอลแบบเดียวกับคลอปป์

อาร์เนอเล่าถึงการพบกันครั้งแรกว่า ฮิวจ์สมาพร้อมกับแฟ้มข้อมูลขนาดใหญ่ที่บรรจุรายละเอียดมากมายเกี่ยวกับตัวเขาและทีม ทั้งแทคติกที่ใช้แต่ละนัด และได้เปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง อาร์เนอยังพูดติดตลกว่า ฮิวจ์สรู้เรื่องเขาดีมาก บางเรื่องตัวเขาเองยังไม่รู้

“ลิเวอร์พูลบอกชัดเจนมากว่าอยากได้ผม จูเลียน วอร์ด (ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของเฟนเวย์ฯ) แวะเยี่ยมสนามซ้อมของเฟเยนูร์ด ได้พูดคุยกับผู้คนมากมายเพื่อเก็บข้อมูลและทำความรู้จักให้มากที่สุดเกี่ยวกับสโมสรและวิธีการทำงานของผม ไม่มีอะไรถูกมองข้ามไปเลย”

สำหรับโลกภายนอก มองว่าการแต่งตั้งอาร์เนอเป็นความเสี่ยง เนื่องจากมีประสบการณ์แชมเปียนส์ ลีก ค่อนข้างน้อย และคว้าแชมป์เมเจอร์ในเนเธอร์แลนด์เพียง 2 รายการ แต่ฮิวจ์สยังมั่นใจการตัดสินใจของตนเองแม้มีความเห็นตรงข้ามมากมาย เหมือนตอนที่ “ไม่ไปต่อ” กับเพื่อนของเขา แกรี โอนีล ในฤดูร้อนปี 2023 แต่เลือกอันโดนี อิราโอลา กุนซือชาวบาสค์ที่ไม่เป็นที่รู้จัก ให้มาเป็นผู้จัดการทีมบอร์นมัธ

ตลาดซื้อขายนักเตะครั้งแรกที่เงียบเหงา

การทำงานของฮิวจ์สยังถูกตั้งคำถามในตลาดซื้อขายช่วงซัมเมอร์ปี 2024 ซึ่งไม่ดีนักในมุมมองกูรูลูกหนังและแฟนบอล โดยได้ผู้เล่นใหม่เพียง 2 คนคือ จอร์จี มาร์มาดาชวิลี ซึ่งส่งกลับไปให้บาเลนเซียยืมตัว และเฟเดริโก คิเอซา ซึ่งมีปัญหาความฟิต ได้ลงสนามเพียง 14 นัด 466 นาที 

นอกจากนี้ ฮิวจ์สยังไม่สามารถคว้าเป้าหมายสำคัญ มาร์ติน ซูบิเมนดี มิดฟิลด์ตัวรับค่าตัว 51 ล้านปอนด์ ซึ่งยืนยันว่าต้องการย้ายมาอยู่แอนฟิลด์เมื่อฮิวจ์สเดินทางไปพูดคุยที่สเปน แต่ซูบิเมนดีกลับเปลี่ยนใจ เล่นให้โซเซียดัดต่อไป

ขอบคุณภาพจาก  https://www.liverpoolfc.com/th/news/arne-slot-explains-what-federico-chiesa-will-bring-liverpool

ท่ามกลางแฟนบอลที่ไม่พอใจสโมสรที่ไม่เสริมผู้เล่นอย่างเข้มแข็งให้กับการเริ่มต้นคุมทีมของอาร์เนอ ฮิวจ์สยังคงใจเย็นเพราะรับรู้จากการฝึกซ้อมเตรียมทีมระหว่างพรีซีซันของโค้ชดัตช์ รวมถึงการตัดสินใจครั้งสำคัญ ปรับไรอัน กราเฟนแบร์ก ลงมาทำหน้าที่มิดฟิลด์เบอร์ 6 ซึ่งต่อมากลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งให้ลิเวอร์พูลนำพรีเมียร์ลีกแบบม้วนเดียวจนคว้าแชมป์

ฮิวจ์สและอาร์เนอตกลงร่วมกันจะแข่งขันฤดูกาล 2024-25 ด้วยผู้เล่นของคลอปป์ ก่อนจะตัดสินใจแผนปรับปรุงขุมกำลังนักเตะเมื่อซีซันจบลง

อาร์เนอให้สัมภาษณ์ก่อนเปิดซีซันที่แล้วว่า “เยอร์เกนจากไปพร้อมทีมที่อยู่ในสถานะที่ดี เรากำลังพยายามสร้างทีมจากจุดนั้น เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงทุกอย่างหรอก จริงๆ แล้วเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก เพราะหลายสิ่งหลายอย่างดีอยู่แล้ว”

อย่างไรก็ตาม ทุกสายตาจับจ้องไปยังฮิวจ์สในช่วงสัปดาห์แรกๆ ของฤดูกาลเพื่อดูว่าลิเวอร์พูลจะทำผลงานอย่างไรเมื่อไม่มีคลอปป์อยู่ข้างสนาม 

ทีมของอาร์เนอชนะ 8 นัด เสมอ 1 นัด แพ้ 1 นัด ยืนแป้นอันดับ 1 พรีเมียร์ลีกตั้งแต่นัดที่ 10 และไม่เคยก้าวลงมาอีกเลยจนปิดซีซัน อย่างไรก็ตาม สปอตไลท์ยังไม่หนีไปจากฮิวจ์ส ซึ่งต้องรักษา 3 ซูเปอร์สตาร์ที่กำลังเล่นด้วยสัญญาปีสุดท้าย ทั้งเทรนท์, ฟาน ไดค์ และซาลาห์ สามารถเจรจาย้ายทีมล่วงหน้ากับสโมสรต่างประเทศทันทีปฏิทินเปลี่ยนเป็นปี 2025

ภารกิจสุดหินต่อสัญญา 3 ซูเปอร์สตาร์

ฮิวจ์สเคยยอมรับว่า เขาหวังเพียงเก็บนักเตะคนใดคนหนึ่งให้ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความหวังค่อยๆ ริบหรี่ลง เทรนท์กับฟาน ไดค์ พากันเงียบกริบ ต่างกับซาลาห์ ซึ่งเปิดเผยกับ Sky Sports หลังชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-0 ในเดือนกันยายน 2024 ว่ายังไม่มีใครจากสโมสรเข้ามาคุยกับเขา บางทีอาจเป็นปีสุดท้ายของเขาก็ได้

ปีกซ้ายอียิปต์ ซึ่งกำลังผลิตผลงานดีที่สุดในแอนฟิลด์ ยังกดดันฮิวจ์สต่อไปด้วยการให้สัมภาษณ์หลังทำ 2 ประตูที่เซาแธมป์ตันในเดือนพฤศจิกายน ว่ายังไม่ได้ข้อเสนอสัญญาใหม่ และน่าจะ “ไป” มากกว่า “อยู่”

ขอบคุณภาพจาก  https://www.skysports.com/football/news/12040/13345602/liverpool-mohamed-salah-virgil-van-dijk-and-trent-alexander-arnold-contract-latest-as-talks-continue

อดีตมิดฟิลด์จากกลาสโกว์มีชื่อเสียงในฐานะ “นักเจรจาผู้ดุดัน” ซึ่งสามารถเย็นชาแม้ในสถานการณ์กดดันที่สุด เอเยนต์คนหนึ่งเรียกฮิวจ์สว่า “หุ่นยนต์” ฮิวจ์สยังมีความรู้ฟุตบอลเชิงลึกที่ลึกซึ้ง ล้วนเป็นสินทรัพย์อันมีค่าที่จะทำให้การเจรจาสำเร็จ

ฮิวจ์สพูดได้ 4 ภาษาหลังจากเติบโตในมิลาน ซึ่งเควิน พ่อของเขา ทำงานให้กับสำนักพิมพ์เพนกวิน บุ๊คส์ และได้ไปรับลูกชายที่อะคาเดมีของอตาลันตา เดินทางไปยังซาน ซีโร เพื่อดูการแข่งขันของเอซี มิลาน ยอดทีมยุคปลาย 1980 ถึงต้น 1990ภายใต้การคุมทีมของอาร์ริโก ชาคคี

ด้วยทักษะและองค์ความรู้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่ช่วยให้ฮิวจ์สยังมีความก้าวหน้าในการเจรจากับตัวแทนของดาวเตะทั้ง 3คน รวมถึงเรมี แอบบาส ทนายความจอมเขี้ยวที่เป็นเอเยนต์ของซาลาห์

ในที่สุด ฟาน ไดค์และซาลาห์ตกลงขยายสัญญาออกไป 2 ปีในเดือนเมษายน 2025 ขณะที่ลิเวอร์พูลใกล้คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ถึงแม้ฮิวจ์สไม่สามารถโน้มน้าวเทรนท์ให้อยู่ต่อได้ แต่การรักษา 2 ใน 3 ซูเปอร์สตาร์ถือเป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมของผู้บริหารชาวสกอต

ทุ่มเสริมแกร่ง 446.5 ล้านปอนด์ในตลาดเดียว

ฮิวจ์สแทบไม่มีเวลาพักผ่อนดื่มด่ำกับแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 20 ของสโมสร เพราะต้องเริ่มต้นสร้างทีมครั้งใหญ่ในช่วงฤดูร้อน หนึ่งในนักเตะใหม่คือ ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ มิดฟิลด์ตัวรุกที่ย้ายมาจากเลเวอร์คูเซน

ก่อนหน้านั้น สื่อคาดหมายกันว่า นักเตะหนุ่มอนาคตไกลคงย้ายไปอยู่บาเยิร์น มิวนิก หรือแมนเชสเตอร์ ซิตี แต่ฮิวจ์ส พร้อมกับอาร์เนอและเอ็ดเวิร์ดส์ ช่วยกันโน้มน้าวจนดาวเตะวัย 22 ตัดสินวางอนาคตของตนเองไว้ที่แอนฟิลด์ 

ขอบคุณภาพจาก  https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/liverpool-florian-wirtz-bradley-germany-35863368

เวียร์ตซ์กล่าวถึงการมาอยู่ลิเวอร์พูลเมื่อเดือนพฤษภาคมว่า “เป็นการตัดสินใจที่ไม่ง่ายเลย แต่ผมคิดว่าการพูดคุยกับโค้ช, ริชาร์ดส์ และทุกคนตั้งแต่เริ่มต้น ล้วนเป็นไปด้วยดีอย่างต่อเนื่อง”

“ทุกครั้งที่ได้พูดคุยกับใครสักคนจากสโมสร ผมจะรู้สึกว่า ‘นี่คือที่ที่ผมอยากอยู่’ และสุดท้ายผมก็มั่นใจเต็มร้อยว่าต้องการไปอยู่ลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด”

การมาถึงอย่างไม่คาดฝันของเวียร์ตซ์แสดงให้เห็นถึงลักษณะเด่นในการเจรจาดีลผู้เล่นใหม่แบบเสี่ยงๆ ของเอ็ดเวิร์ดส์ ซึ่งเคยทำเป็นประจำตอนที่ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายกีฬาอย่างเช่น การทุ่มซื้อฟาน ไดค์ ด้วยค่าตัวแพงเป็นสถิติโลกสำหรับกองหลังก่อนตลาดเดือนมกราคม 2018 จะเปิดทำการ

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลและการวิเคราะห์จากสเปียร์แมนและทีมงานยืนยันกับฮิวจ์สว่า เวียร์ตซ์เป็นนักเตะรุ่นใหม่ที่ลิเวอร์พูลไม่สามารถปล่อยให้หลุดมือไปถ้ามีโอกาส แม้ต้องตกใจกับตัวเลขเงิน เช่นเดียวกับดีลของอิซัค ยอดดาวยิงทีมนิวคาสเซิล

ทีมของอาร์เนอทำสกอร์ได้สูงสุดในพรีเมียร์ลีกถึง 86 ประตูบนเส้นทางสู่แชมป์ และได้เซ็นสัญญากับอูโก เอกิติเก สไตรเกอร์ฝรั่งเศสจากไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต ด้วยราคา 79 ล้านปอนด์ในเดือนกรกฎาคม 2025 เพื่อแทนดาร์วิน นูนเญซ ทำให้เกิดคำถามว่า ทำไมสโมสรต้องการนักเตะหมายเลข 9 อีกคนในราคาแพงระยับ

แต่แบบจำลองทางสถิติ ศูนย์หน้าทีมชาติสวีเดนถูกจัดให้เป็นยอดดาวซัลโวทวีปยุโรประดับเดียวกับคิลียัน เอ็มบัปเป และเออร์ลิ่ง ฮาลันด์ แถมการล่าลายเซ็นอิซัคยังร้อนแรงขึ้นอีกเมื่อเอ็ดดี ฮาว ผู้จัดการทีมนิวคาสเซิล เป็นเพื่อนสนิทของฮิวจ์สช่วงเป็นนักเตะที่แฟรตตัน พาร์ค และบอร์นมัธ

ธุรกิจก็คือธุรกิจ ฮิวจ์สยอมสละความสัมพันธ์ที่ยาวนาน 2 ทศวรรษเพื่อคว้านักเตะที่มีค่าตัวทำลายสถิติสูงสุดของสหราชอาณาจักรในวันสุดท้ายของตลาด ยังไม่รวมถึงดรามาภายในระหว่างนิวคาสเซิลกับอิซัค

ขอบคุณภาพจาก  https://www.thisisanfield.com/2025/08/liverpool-2-2-crystal-palace-2-3-pens-champions-lose-in-community-shield/

เงิน 125 ล้านปอนด์ที่ลงทุนกับอิซัคทำให้ลิเวอร์พูลใช้เงินในตลาดฤดูร้อนสูงถึง 446.5 ล้านปอนด์ กลายเป็นสถิติใหม่ของสโมสร ทุบสถิติเดิม 177 ล้านปอนด์ภายใต้การบริหารของเอ็ดเวิร์ดส์อย่างง่ายดาย ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากทีมของคลอปป์เพิ่งชนะเลิศแชมเปียนส์ ลีก ปี 2019

แต่ฮิวจ์สสามารถทำเงินได้อย่างน่าประทับใจถึง  218.4 ล้านปอนด์จากการขายนักเตะ และเคยทำได้ 62.5 ล้านปอนด์จากตลาดซื้อขายนักเตะครั้งแรกกลางปี 2024 ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายสุทธิในฤดูร้อนปีนี้เหลือ 218.4 ล้านปอนด์ น้อยกว่าอาร์เซนอล (257 ล้านปอนด์) ซึ่งซื้อ 267 ล้านปอนด์ แต่ขายเพียง 10 ล้านปอนด์

ฮิวจ์สแทบไม่มีเวลาเที่ยวพักผ่อนกับภรรยาและลูก 5 คนที่เกาะครีต แม้กระทั่งชั่วโมงสุดท้ายของตลาด ฮิวจ์สยังต้องเร่งปิดดีลมาร์ก เกฮี กัปตันทีมและเซ็นเตอร์แบ็คของคริสตัล พาเลซ ก่อนโดน “ดิ อีเกิลส์” ถอดปลั๊กข้อตกลง

หลังตลาดปิดไปแล้ว ฮิวจ์สยังต้องเจรจาสัญญาฉบับใหม่กับเจมส์ แมคคอนเนลล์ ซึ่งถูกปล่อยให้อาแจกซ์ยืมตัว รวมถึงการขยายสัญญากับโคดี กั๊กโป 

ฮิวจ์สยังมีงานสำคัญรออยู่คือ การโน้มน้าวให้อิบราฮิมา โกนาเต ฝากอนาคตระยะยาวกับสโมสร และพยายามรื้อฟื้นข้อตกลงกับเกฮีและพาเลซเมื่อตลาดเปิดอีกครั้งในเดือนมกราคม 2026

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Feature

เบนจามิน เซสโก มีดีตรงไหน จะเดินตามรอยฮาลันด์ได้หรือไม่

เตรียมลงสนามศึกใหญ่ “แมนเชสเตอร์ ดาร์บี” หนแรก ค่ำคืนนี้ 14 ก.ย.2025 สำหรับ เบนจามิน เชสโก ศูนย์หน้าค่าตัว 73.7 ล้านปอนด์ นักเตะความหวังในการถล่มประตูของทีมปิศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

สไตรเกอร์วัย 22 ยังคงเป็น 5 ปีแมนฯ ยูไนเต็ดรวมกันในตัวก้อนแรกให้แอร์เบไลป์ซิก 66.26 สาเหตุและตั้งตัวเลขแอดออนส์ที่ 7.36 แม้แม้จะชนะคู่แข่งในดีลนี้นิวคาสเซิลก็สามารถได้อีกครั้งข่าวสนใจดาวรุ่งทีมชาติสโลวาเกียในส่วนนี้

แม้ต้องการเซสโกแก้ปัญหาการทำประตูซีซันที่แล้ว แต่แมนฯยูไนเต็ดไม่คิดต่อสู้กับนิวคาสเซิลในสงครามการเงิน ตัดสินใจจ่ายเงินก้อนแรกต่ำกว่าข้อเสนอครั้งที่ 2 ของ “เดอะ แมคพายส์” ส่วนตัวนักเตะแสดงความปรารถนาชัดเจนที่จะสวมยูนิฟอร์ด “เรด เดวิลส์” ซึ่งเจ้าหน้าที่ไลป์ซิกเปิดเผยว่า เซสโกต้องการเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่รูเบน อโมริม กำลังสร้างแม้ไม่ได้ร่วมแข่งขันแชมเปียนส์ ลีก

นิค ไรท์ นักวิเคราะห์เกมและคอมเมนเตเตอร์ของ Sky Sports เริ่มเขียนบทความจากคำถามว่า อะไรที่ทำให้เซสโกเป็นกองหน้าที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจทั้งแมนฯยูไนเต็ด, นิวคาสเซิล และอาร์เซนอล 

เซสโกทำ 39 ประตูจาก 87 นัดรวมทุกรายการให้ไลป์ซิกนับตั้งแต่ย้ายมาจากเรดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก เมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่อะไรที่พรีเมียร์ลีกจะได้เห็นจากตัวเขา และคำถามสำคัญคือ เซสโกจะเป็นเออร์ลิ่ง ฮาลันด์ คนต่อไปได้หรือไม่

เป็นศูนย์หน้าพิมพ์เดียวกับฮาลันด์

ประตูเฉลี่ยราว 20 ลูกต่อซีซันไม่ได้เตะตาอะไรนัก แต่ไรท์มองว่า เซสโกเป็นสไตรเกอร์พันธุ์หายากที่สรีระคล้ายคลึงฮาลันด์ทั้งความสูง 6 ฟุต 4 นิ้วและความเร็ว

ขอบคุณภาพจาก  https://www.malaymail.com/news/sports/2025/08/08/manchester-united-seal-85m-deal-for-rb-leipzig-striker-benjamin-sesko/186847  

รูปร่างเอื้อให้เซสโกปกป้องลูกได้ดีขณะอยู่กับตัว เป็นเป้าหมายเด่นชัดให้เพื่อนจ่ายบอลยาว การครอส และลูกตั้งเตะ และเช่นเดียวกับฮาลันด์ เซสโกรวมคุณสมบัตินี้เข้ากับการระเบิดความเร็ว

บุนเดลีกาซีซันที่แล้ว เซสโกมีสปีดสูงสุดที่ 35.69 กิโลเมตร/ชั่วโมง เร็วเป็นอันดับ 26 ในบรรดานักเตะ 492 คน และเคยขึ้นไปถึงอันดับ 15 ในซีซัน 2023-24 โดยความเร็วเป็นตัวดึงดูดความสนใจของนิวคาสเซิล ซึ่งต้องการนำไปแทนอเล็กซานเดอร์ อิซัค ซึ่งกำลังเป็นเป้าหมายของลิเวอร์พูล แม้แมนฯยูไนเต็ดได้คุณสมบัติข้อนี้แล้วจากเอ็มเบอโม

สร้างภัยคุกคามในจังหวะฟาสท์เบรก

สปีดของเซสโกดีพอที่จะถ่างแนวรับและสั่นคลอนเสถียรภาพการป้องกันของฝ่ายตรงข้าม อีกทั้งยังเป็นอาวุธอันตรายในจังหวะสวนกลับและการทรานซิชัน ดังเช่นที่ทำให้ไลป์ซิก ทีมที่มีเคาน์เตอร์แอทแทคทรงประสิทธิภาพมากที่สุดทีมหนึ่งในเยอรมนี ทำได้ถึง 17 ประตูนับตั้งแต่ต้นซีซัน 2023-24 มากเป็นอันดับ 2 รองจากแฟรงค์เฟิร์ต และเซสโกมีส่วนสำคัญด้านนี้

เซสโกทำ 5 ประตูจากฟาสท์เบรกช่วง 2 ซีซันหลังสุดในบุนเดสลีกา รั้งอันดับ 3 ตัดจากโลอีส โอเปนดา เพื่อนร่วมสโมสร และโอมาร์ มาร์มูช อดีตกองหน้าแฟรงค์เฟิร์ต ซึ่งทำคนละ 6 ประตู

Sky Sports ระบุสถิติบุนเดสลีกา 2 ซีซันล่าสุด เซสโกเล่น 64 นัด ทำ 27 ประตู (อันดับ 7 ของลีก), ใช้เท้าขวา 15 ประตู (อันดับ 13), ใช้เท้าซ้าย 4 ประตู (อันดับ 32), โหม่ง 8 ประตู (อันดับ 4) และฟาสท์เบรก 5 ประตู (อันดับ 3)

ตัวอย่างที่น่าทึ่งของเซสโกเกิดขึ้นระหว่างแมตช์เสมอบาเยิร์น มิวนิก 3-3 เมื่อพฤษภาคม 2025 หลังจากเร่งสปีดหนีการประกบของเอริก ดายเออร์ ขึ้นไปรับบอลจากซาบี ไซมอนส์ ก่อนซัดแบบไม่ต้องแต่งบอลผ่านนายทวารโยนาส อูร์บิก จากระยะไกล ใช้เวลาไม่กี่วินาทีนับตั้งแต่บอลเคลื่อนที่จากขอบเขตโทษของไลป์ซิก ทำให้เห็นประสิทธิภาพความเร็วและการยิงที่เด็ดขาดของสไตรเกอร์วัย 22 ปี

แต่เซสโกไม่ได้เก่งเพียงพาบอลขึ้นไปข้างหน้าของสนามเท่านั้น ต่างจากศูนย์หน้าส่วนใหญ่ที่มีกายภาพแบบเดียวกัน เซสโกยังมีเทคนิคเลี้ยงบอลเอาชนะกองหลังในพื้นที่แคบ ก่อนเร่งความเร็วไปยังประตู เขามีค่าเฉลี่ยเลี้ยงบอลผ่านคู่แข่ง 1.46 ครั้งต่อ 90 นาที เป็นสถิติสูงสุดในบรรดาศูนย์หน้าแท้ๆ ในบุนเดสลีซีซันที่ผ่านมา

พลังและความเฉียบคมในการซัลโว

อัตราทำประตูของเซสโกลดลงเล็กน้อยในซีซันที่ 2 ซึ่งไลป์ซิกทำผลงานได้น่าผิดหวัง แต่ตัวเลขจริงๆ ยังใกล้เคียงกัน 21ประตู 45 นัดเทียบกับ 18 ประตู 42 นัดในฤดูกาล 2023-24 ทั้งนี้เพราะการอัดบอลอย่างหนักหน่วงรุนแรง

ขอบคุณภาพจาก  https://www.thesun.co.uk/sport/36238985/man-utd-news-sesko-training-debut-arsenal/

บอลลีกซีซัน 2022-23 ปีสุดท้ายที่ซัลซ์บวร์ก เซสโกเล่น 2,201 นาที ทำ 16 ประตู 4 แอสซิสต์, ซีซัน 2023-24 กับไลป์ซิก 1,526 นาที 14 ประตู 2 แอสซิสต์ และซีซันที่แล้ว 2,399 นาที 13 ประตู 5 แอสซิสต์

ประตูขึ้นนำบาเยิร์น 1-0 เพียงนาทีที่ 11 เซสโกใช้สตั๊ดด้านนอกซัดจากระยะ 40 หลาโค้งหนีมืออูร์บิก เป็น 1 ใน 4 ประตูที่ทำจากนอกกรอบเขตโทษในบุนเดสลีกซีซันที่แล้ว มีนักเตะเพียงหยิบมือที่ทำสกอร์ลักษณะนี้ได้มากกว่า และมีน้อยรายที่ยิงจากระยะไกลด้วยความดุดันระดับนี้

แมตช์ชนะแวร์เดอร์ เบรเมน 4-2 เมื่อมกราคม 2025 เซสโกทำสกอร์ 3-1 ประหนึ่งปล่อยกระสุนออกจากรังเพลิงปืนไรเฟิลจาก 25 หลาเสียบมุมประตูด้านบนด้วยความเร็ว 126.43 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ทั้งสกอร์แมตช์เบรเมนและบาเยิร์นมาจากเท้าขวาข้างถนัด แต่เท้าซ้ายของเซสโกก็ทรงพลังเช่นกัน ดังเช่นเกมเนชันส์ ลีก ระหว่างสโลวาเกียกับสวีเดนเมื่อกันยายน 2022 เซสโกใช้เท้าซ้ายวอลเลย์อย่างสุดสวยชวนให้นึกถึงการทำประตูของมาร์โก ฟาน บาสเทน

เซสโกยังพร้อมที่จะจบสกอร์จากมุมและตำแหน่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ ซึ่งหากดู shot map จากบุนเดสลีกา 2 ซีซัน เขามีค่าความเป็นไปได้ของสกอร์หรือ expected goals (xG) ที่ 17.7 ในบุนเดสลีกาเทียบกับทำได้จริง 27 ประตู

นั่นแสดงถึงความเฉียบคมและความกล้าที่จะยิงแม้ความเป็นไปได้ต่ำ บ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นในตัวเองที่เซสโกสามารถทำประตูได้จากแทบทุกตำแหน่ง  นี่ก็เป็นเสน่ห์อีกหนึ่งอย่างของศูนย์หน้าดาวรุ่ง ซึ่งเล่นให้สโลวาเกีย 41 นัด 16 ประตู

การดวลลูกโทษที่แข็งแกร่งของอดีตนักบาสฯ

หลายคนอาจไม่ทราบ เซสโกเคยเป็นนักบาสเกตบอลอนาคตไกล พื้นฐานกีฬาและความคล่องแคล่วที่ฝึกมาอย่างดีในกีฬายัดห่วงถูกแสดงออกมาบนสนามฟุตบอลผ่านการแย่งโหม่งและการคอนโทรลลูกที่อยู่ตำแหน่งสูง เมื่อบวกกับความสูง 195เซนติเมตรทำให้ได้เปรียบในกรอบเขตโทษ 

ขอบคุณภาพจาก  https://www.forbes.com/sites/manuelveth/2025/08/07/manchester-united-sign-benjamin-sesko-for-99-million-from-rb-leipzig/

ดังเห็นจังหวะที่เซสโกลอยตัวเหนือแขนที่ยืดเหยียดของเควิน แครปป์ นายทวารแฟรงเฟิร์ต และโหม่งเข้าไประหว่างแมตช์ไลป์ซิกชนะ 2-1 เมื่อธันวาคม 2024 นั่นเป็น 1 ประตูจาก 8 ประตูที่เซสโกโหม่เข้าไปในบุนเดสลีกา 2 ซีซันล่าสุด มากเป็นอันดับ 4 รองจากแฮร์รี เคน, แซร์อู กีราสซี และทิม ไคลน์ดีนส์

จุดแข็งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อแมนฯยูไนเต็ด ซึ่งวางเป้าเพิ่มอันตรายจากลูกตั้งเตะโดยพรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาลหลังสุด “เรด เดวิลส์” ทำได้แค่ 26 ประตู รั้งอันดับ 16 หรืออันดับสุดท้ายของทีมที่อยู่ในลีกสูงสุดทั้ง 3 ซีซัน เทียบกับอันดับ 14ร่วม บอร์นมัธกับฟูลแลม ยังทำได้ 31 ประตู

ยังดิบแต่มีแววเติบโตและพัฒนาได้อีกมาก

เกจิลูกหนัง Sky Sports ยังให้ความเห็นด้วยว่า เซสโกเพิ่งอายุครบ 22 ปีเมื่อปลายพฤษภาคม 2025 องค์ประกอบบางอย่างของการเล่นยังดิบหรืออยู่ในสเตจเริ่มต้น ประตูที่ทำมักมาเป็นช่วงๆ มากกว่าสม่ำเสมอ การค้าแข้งในพรีเมียร์ลีกมาพร้อมกับความกดดันและความคาดหวังสุงลิ่ว แต่ด้วยอายุยังน้อย เซสโกยังสามารถเติบโตและพัฒนาได้อีกมาก

แน่นอนการเซ็นสัญญาของแมนฯยูไนเต็ดจึงมีความเสี่ยงอยู่บ้าง เซสโกไม่ได้มีสถิติประตูที่ดุเดือดเหมือนฮาลันด์ตอนที่ย้ายมาอยู่แมนเชสเตอร์ ซิตี เมื่อปี 2022 โดยสถิติ 2 ปีสุดท้ายที่โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ฮาลันด์ทำได้ 70 ประตูจาก 71 นัดรวมทุกรายการ หรือ 49 ประตูจาก 52 นัดเฉพาะบุนเดสลีกา

แต่ไรท์มองว่า เซสโกมีศักยภาพมหาศาล และสไตล์การเล่นก็เหมือนกับฮาลันด์ชัดเจน เส้นทางของทั้งสองก็คล้ายคลึงกัน เซสโกเคยเข้ามาแทนที่ฮาลันด์ได้ดีเยี่ยมที่เรดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก 

สิ่งที่น่าสังเกตคือ แม้อายุ 22 เซสโกสั่งสมประสบการณ์มากมาย เล่นให้สโมสรและทีมชาติมากกว่า 250 นัด เคยลงสังเวียนแชมเปียนส์ ลีก และยิงประตูได้ตัวเลข 2 หลักติดต่อกัน 5 ฤดูกาล

ไรท์เชื่อว่า เซสโกสามารถประสบความสำเร็จได้หากหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บร้ายแรง ความทรหดเป็นตัวแปรสำคัญต่อการค้าแข้งในอังกฤษ 

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Feature

ซน ฮึง-มิน ชีวิต 1 ทศวรรษในเสื้อสเปอร์ส

ซน ฮึง-มิน ประกาศยุติชีวิตนักฟุตบอลของทอตแนม ฮอทสเปอร์ นับตั้งแต่ย้ายมาจากไบเวอร์ เลเวอร์คูเซน เมื่อ 10 ปีที่แล้ว และวันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม 2025 ผู้เล่นสเปอร์สและนิวคาสเซิลได้ตั้งแถวเกียรติยก (guard of honor) ปรบมือให้ “ซอนนี” หลังถูกเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 65 ของแมตช์กระชับมิตรที่โซล เวิลด์คัพ สเตเดียม ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งจบด้วยผลแข่งขัน 1-1

นั่นเป็นการลงสนามนัดสุดท้ายในยูนิฟอร์มสเปอร์สของซน ก่อนได้รับการประกาศเป็นนักเตะคนใหม่ของลอส แอนเจลีส เอฟซี ในสหรัฐอเมริกา

กองหน้าวัย 33 ปี เปิดใจภายหลังว่า “ผมไม่คิดว่าตัวเองจะร้องไห้หรอกนะ จนกระทั่งได้ยินคำพูดของเพื่อนร่วมทีม และแว้บคิดว่าต้องจากสโมสรที่ผมใช้เวลายาวนาน”

“ผมรู้สึกมีความสุขจริงๆ กับแมตช์นี้ ขอขอบคุณแฟนบอล เพื่อนร่วมทีม และทีมคู่แข่งด้วย นี่จะเป็นวันหนึ่งที่ผมไม่มีวันลืม แต่อาชีพนักเตะของผมยังไม่สิ้นสุด ผมต้องการเล่นต่อไปเพื่อนำความสนุกสนานมอบให้กับแฟนๆ ผมรู้ดีว่ายังอยากประสบความสำเร็จต่อไปในฐานะนักฟุตบอล”

ซนเริ่มเส้นทางกีฬาลูกหนังกับอะคาเดมีของเอฟซี โซล (2008) และฮัมบวร์ก (2008 – 2010) ซึ่งกับทีมสิงห์เหนือ ซนถูกโปรโมทขึ้นชุดซีเนียร์ (2010 – 2013) ก่อนย้ายไปอยู่เลเวอร์คูเซน (2013 – 2015) และสเปอร์ส (2015 – 2025) ตามลำดับ โดยได้สัมผัสโทรฟีระดับสโมสร 1 รายการคือ แชมป์ยูโรปา ลีก 2024-25 และได้รองแชมป์ 2 รายการได้แก่ แชมเปียนส์ ลีก 2018-19 และอีเอฟแอล คัพ 2020-21

สเปอร์สจะเชิดชูรำลึกถึงซนตลอดไป

“ผมไม่แน่ใจว่าจะได้เห็นคนอย่างซอนนีอีกที่ทอตแนม” เควิน วิมเมอร์ เพื่อนสนิทของซนและอดีตผู้เล่นสเปอร์ส ให้สัมภาษณ์กับ BBC Sport “การได้อยู่กับสโมสรหนึ่งนานถึง 10 ปี โดยเฉพาะทีมใหญ่อย่างสเปอร์ส จนถึงวันนี้และด้วยอายุขนาดนี้ นับเป็นความสำเร็จที่วิเศษสุด”

ซนอำลากรุงลอนดอนด้วยสถิติ 454 นัด 173 ประตูนับตั้งแต่เมาริซิโอ โปเซตติโน ผู้จัดการทีมขณะนั้น ดึงตัวมาจากเลเวอร์คูเซน ทำให้แนวรุกเกาหลีใต้เป็นนักเตะเอเชียค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก โดยซน ซึ่งอายุ 23 ปีในปี 2015 มีค่าตัว 22.5 ล้านปอนด์

เมื่อ 3 เดือนก่อนหน้านี้ ซนเพิ่งช่วยทีมชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในรอบชิงชนะเลิศยูโรปา ลีก ยุติการเฝ้ารอถ้วยชนะเลิศรายการเมเจอร์ของสเปอร์สที่ยาวนานถึง 17 ปี

ขอบคุณภาพจาก  https://www.latimes.com/sports/soccer/lafc/story/2025-08-05/south-korean-superstar-son-heung-min-is-signing-with-lafc-for-mls-record-transfer-fee

มิคกี ฮาซาร์ด อดีตผู้เล่นสเปอร์สชุดแชมป์เอฟเอ คัพ 1982 และยูฟา คัพ 1984 กล่าวว่า “เราต่างรักนักเตะที่ทุ่มเทอย่างหนักเพื่อสโมสร และซอนนีจะได้รับการเชิดชูและรำลึกถึงจากผู้คนที่นี่ตลอดไป”

สำหรับแฟนบอลสเปอร์ส ไม่มีใครลืมโมเมนต์ที่ซนพาบอลจากกรอบเขตโทษฝั่งตัวเอง เลี้ยงผ่านการป้องกันคู่ต่อสู้คนแล้วคนเล่า ก่อนซัดผ่านนิค โป๊ป นายทวารเบิร์นลีย์ เข้าไปในปี 2019 

ส่วนเหตุการณ์นอกสนาม เพื่อนๆ ยังไม่ลืมความรู้สึกประทับใจกับน้ำใจและการต้อนรับอย่างอบอุ่นตอนที่ซนเลี้ยง KBBQ หรือบาร์บีคิวเกาหลีทั้งทีมระหว่างพรีซีซันทัวร์เกาหลีใต้เมื่อปี 2022 และยังมอบของขวัญเป็นที่ระลึกให้กับทุกคนในวาระทีมสเปอร์สเดินทางมาเยือนบ้านเกิดของเขา

ฮาซาร์ดยังเปิดใจกับ BBC Sport ด้วยว่า “ผมไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับซอนนีตอนที่เขาเพิ่งย้ายเข้ามาทอตแนม แต่ผ่านไป 10 ไป เขาจากสโมสรไปในฐานะตำนาน”

1 ถ้วยเมเจอร์กับรางวัลส่วนตัวที่มากมาย

ก่อนโปเซตติโนได้ซนมาเล่นให้สเปอร์ส กุนซืออาร์เจนไตน์เคยโดนปฏิเสธเมื่อปี 2013 ขณะคุมทีมเซาแธมป์ตัน ซึ่งขณะนั้นอยู่ในพรีเมียร์ลีก 

โปเซตติโนได้นัดพบซน ดาวรุ่งวัย 20 ที่กำลังเริ่มสร้างชื่อเสียงกับทีมฮัมบวร์ก และซน วูง-จุง คุณพ่อและเอเยนต์ พยายามโน้มน้าวให้ซนมั่นใจว่า เซาแธมป์ตันเป็นสโมสรอุดมคติที่สามารถเสริมสร้างและพัฒนาการเล่นฟุตบอล แต่ซนกลับเลือกไปอยู่และใช้เวลา 2 ปีที่เลเวอร์คูเซน ก่อนสุดท้ายก็มีโอกาสร่วมงานกับโปเซตติโน ซึ่งเพิ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมสเปอร์สก่อนหน้านี้ 15 เดือน

ที่ลอนดอน ซนพบความยากลำบากช่วงแรกๆ จนตัดสินใจขอย้ายทีมทั้งที่เพิ่งใช้เวลาไม่ถึง 1 ปีจากสัญญา 5 ปีที่เซ็นกับสเปอร์ส แต่ท้ายสุด ซนอยู่ต่อและต่อสู้เพื่อตำแหน่งตัวจริง

ตลอด 1 ทศวรรษกับสเปอร์ส แม้ได้เหรียญแชมป์ยูโรปา ลีก เพียงรายการเดียว แต่มีรางวัลส่วนตัวมาประดับเกียรติยศไม่น้อย รวมถึงรองเท้าทองคำของพรีเมียร์ลีก 2021-22 ซึ่งมีสถิติ 23 ประตูเท่ากับโม ซาลาห์ สตาร์ทีมลิเวอร์พูล และฟีฟา ปุสกาส อะวอร์ด หรือรางวัลที่มอบให้ผู้ทำประตูสวยงามที่สุด ซึ่งก็คือประตูยอดเยี่ยมที่ซนทำทีมเบิร์นลีย์ในปีปฏิทิน 2019นั่นเอง

ขอบคุณภาพจาก  https://hypebeast.com/2022/6/heung-min-son-left-out-of-team-of-the-year

ซนยังได้รางวัลประจำเดือนของพรีเมียร์ลีก 4 ครั้งสำหรับนักเตะยอดเยี่ยม และ 2 ครั้งสำหรับประตูยอดเยี่ยม รวมถึงผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของสเปอร์ส 3 สมัย

สำหรับตัวอย่างในมุมของความผิดหวัง หนีไม่พ้นแพ้ลิเวอร์พูลในนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ ลีก 2019 และแพ้แมนเชสเตอร์ ซิตี ในนัดชิงชนะเลิศอีเอฟแอล คัพ 2021

ปี 2019 ซนเสียใจที่เข้าไปเสียบสกัดจนอังเดร โกเมส กองกลางทีมเอฟเวอร์ตัน บาดเจ็บอย่างรุนแรงที่ข้อเท้า และได้รับใบแดงออกจากสนาม

แม้ทุ่มเทเอาจริงเอาจังกับการต่อสู้บนสนามหญ้า แต่ซนแสดงให้เห็นถึงด้านอ่อนโยนจนได้รับฉายาจากแฟนบอลว่า Mr. Nice Guy อาทิหลังจบแมตช์บอลถ้วยอีเอฟแอล รอบ 8 ทีมสุดท้าย ในเดือนธันวาคม 2021 ซึ่งสเปอร์สชนะเวสต์แฮม มีแฟนบอลรุ่นเยาว์คนหนึ่งวิ่งลงสนามมุ่งไปหาดาวเตะเกาหลีใต้ แต่ไม่ทันถึงตัวก็ถูกเจ้าหน้าที่สนามจับตัวไว้ได้ก่อน ขณะที่เด็กถูกพาตัวเพื่อออกไปจากสนาม ซนเดินตามมาจนทัน ได้ถอดเสื้อและมอบให้กับเด็กคนนั้น

ซนเทียบเท่า BTS และ Blackpink ในเกาหลีใต้

ย้อนเวลาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ไม่กี่นาทีก่อนทีมสเปอร์สสัมผัสแผ่นดินเกาหลีใต้ในการทัวร์พรีซีซัน แฟนบอลหลายร้อยคนได้รวมตัวอยู่ภายในสนามบินนานาชาติอินชอน ประหลาดใจสุดๆ กับการปรากฏตัวไม่คาดฝันของซน ซึ่งกำลังพักร้อนอยู่ในเกาหลีใต้ โบกป้าย “’Welcome to Seoul” ให้เพื่อนร่วมทีมที่กำลังเดินออกมาจากช่องผู้โดยสายขาเข้า

ซองโม ลี นักข่าวชาวเกาหลีใต้ ย้อนอดีตกับ BBC Sport ว่า “ผมอยู่ที่สนามบินอินชอนวันนั้นด้วย ตอนที่ซนโผล่ออกมา ปฏิกิริยาของแฟนบอลราวกับกำลังต้อนรับวง Oasis กับ Coldplay ขณะกำลังออกมาบนเวทีคอนเสิร์ต”

สำหรับซนที่เกาหลีใต้ ไม่ใช่แค่ข่าวใหญ่แต่เป็นข่าวมหึมา

ซองโม ลี เสริมต่อว่า “จากการค้นคว้าวิจัยว่า ใครเป็น brand value ที่มีคุณค่าสูงสุดในหมู่ประชากรเกาหลีใต้ ซนมักติดท็อป 3 เสมอทุกครั้งที่ผลสำรวจประกาศออกมา ร่วมกับดาวดัง เค-ป๊อป อย่าง BTS และ Blackpink หนึ่งในหลายเหตุผลคือ ในสายตาของคนเกาหลีใต้ ซนเป็นทรัพย์สมบัติของชาติ และเป็นความภาคภูมิใจของประเทศ”

ออราบนใบหน้าของซนเปล่งประกายออกมาจากป้ายบิลบอร์ดขนาดยักษ์ที่โฆษณาสินค้าต่างๆ ตั้งแต่เสื้อผ้ายันไอศกรีม ภาพของดาวเตะสเปอร์สยังปรากฏข้างรถบัสโปรโมทการท่องเที่ยวกรุงโซล ส่วนที่ชุนชอน บ้านเกิดของซน ซึ่งห่างจากโซล 50 ไมล์ สถาบันฝึกฟุตบอลเยาวชนแห่งหนึ่งติดตั้งภาพจิตรกรรมขนาดใหญ่ของซนและครอบครัวเป็นเกียรติ

ไคล์ วอล์คเกอร์ แบ็คขวาทีมชาติอังกฤษ ซึ่งเคยเล่นให้สเปอร์สระหว่างปี 2009 – 2017 เคยเดินทางร่วมกับซนเพื่อประชาสัมพันธ์สโมสรที่โซลหลังจากสเปอร์สเพิ่งเป็นรองแชมป์พรีเมียร์ลีก 2016-17 ขณะที่วิมเมอร์และเบน เดวีส์ กองหลังชาวเวลส์ ร่วมทริปนี้ ทำหน้าที่พบปะสปอนเซอร์และแฟนบอลของสเปอร์ส ซึ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นหลังการเซ็นสัญญาของซน

ขอบคุณภาพจาก  https://www.france24.com/en/live-news/20250806-son-draws-fans-to-airport-even-though-mls-deal-not-official

วอล์คเกอร์ ซึ่งอยู่กับสเปอร์ส 8 ปีก่อนย้ายไปเล่นให้แมนฯซิตี ในปี 2017 กล่าวผ่านพอดแคสท์ “’You’ll Never Beat Kyle Walker” ว่า “เราปรากฏตัวและต้องขึ้นรถล่อเพื่อหลบหนีจากฝูงชนที่พยายามหยุดรถทุกคันเพราะต้องหาเห็นตัวเป็นๆ ของซน พอกลับถึงโรงแรม ก็ต้องอยู่ที่นั่นตลอดคืนเพราะแฟนๆ นั่งรอซนอยู่ข้างนอก เป็นประสบการณ์ที่เหลือเชื่อมากๆ ผมเคยเห็นอะไรแบบนี้กับเวย์น รูนีย์, แฟรงค์ แลมพาร์ด และเดวิด เบคแฮม แต่เทียบไม่ได้เลยกับซอนนีในประเทศของเขา”

วิมเมอร์ ซึ่งยังติดต่อใกล้ชิดกับซนหลังจากย้ายออกสเปอร์สปี 2017 เสริมว่า “ไปกับซนเหมือนไปกับร็อคสตาร์ ผมมักหยอกเขาบ่อยๆ เรื่องนี้ ผมพูดว่า ‘นายเป็นคนสำคัญมากที่สุดในเกาหลีใต้’ ซนจะปฏิเสธประมาณ ‘ไม่หรอก ไม่มีอะไรพิเศษขนาดนั้น’ แต่มันใช่เลย”

วิมเมอร์ อดีตกองหลังออสเตรีย ย้ายจากโคโลญจน์มาอยู่ไวท์ ฮาร์ท เลน ในฤดูร้อนปี 2015 ก่อนหน้าซน 3 เดือน ทั้งคู่รู้จักกันดีเพราะต่างค้าแข้งในบุนเดสลีกาด้วยกัน ก่อนสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดขึ้นในลอนดอน ระยะแรกๆ ยังพูดกันด้วยภาษาเยอรมันขณะพยายามพัฒนาภาษาอังกฤษ แต่เพียงปีเดียว วิมเมอร์ถูกขายให้สโต๊กในราคา 18 ล้านปอนด์ แต่ซอนยังอยู่และกลายเป็นหนึ่งในตำนานนักเตะสเปอร์ส

เพิ่งยอมรับตนเองเป็นตำนานของสเปอร์ส

ช่วง 2 ปีที่สเปอร์สไม่มีแฮร์รี เคน ซึ่งย้ายไปล่าประตูต่อกับบาเยิร์นเมื่อสิงหาคม 2023 พร้อมทิ้งสถิติดาวซัลโวสูงสุดตลอดการของสโมสรไว้ที่ 280 ประตูจาก 435 นัด เป็นซนต้องก้าวขึ้นมาสานต่อ

ซนผลิต 17 ประตู 10 แอสซิสต์จาก 35 นัดในพรีเมียร์ลีก ซีซัน 2023-24 และสเปอร์สจบที่อันดับ 5 ของตาราง แต่ผลงานดร็อปเหลือ 7 ประตู 9 แอสซิสต์จาก 30 นัดในซีซัน 2024-25 และยังบาดเจ็บท้ายซีซัน ทำให้ต้องนั่งเก้าอี้สำรองนัดชิงชนะเลิศยูโรปา ลีก ก่อนลงมาแทนริชาร์ลิสันในนาทีที่ 67

4 วันหลังเฉือนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 ก่อนคิกออฟนัดสุดท้ายพรีเมียร์ลีกในบ้านกับไบรท์ตัน อดีตดาวดังสเปอร์สอาทิ ออสซี อาร์ดิเลส, แพท เจนนิ่งส์, คีธ เบอร์กินชอว์ และมาร์ติน คีเวอร์ส ได้ตั้งแถวเกียรติยศปรบมือให้ผู้เล่นไก่เดือยทอง นำโดยซนที่ถือถ้วยยูโรปา ลีก เดินลงสนาม เพื่อสดุดีความสำเร็จที่รอคอยมานานของสโมสร

ฮาซาร์ด อดีตมิดฟิลด์สเปอร์ส เล่าถึงเหตุการณ์วันนั้นว่า “ซอนนีจับมือกับพวกเราทุกคนและเอ่ยปากว่า ‘ตอนนี้ ผมนับเป็นตำนานได้แล้ว’ แม้ว่าเขาทำอะไรให้สโมสรมากมายตลอด 10 ปี แต่ยังไม่เคยมองว่าตนเองเป็นตำนานจนกระทั่งชนะเลิศรายการแรกกับสเปอร์ส ผมมองว่าเป็นสิ่งที่พิเศษและสวยงามมาก ซึ่งบอกได้ถึงแคแรกเตอร์ของซอนนี”

วิมเมอร์ ซึ่งตอนนี้เล่นกับทีมสโลแวน บราติสลาวา ในสโลวาเกีย ส่งข้อความถึงซนทันทีหลังจบนัดชิงชนะเลิศที่บิลเบาเพื่อแสดงความยินดีกับเพื่อนชาวเกาหลีใต้ที่ช่วยให้สเปอร์สครองแชมป์ทวีปยุโรประดับเมเจอร์รายการแรกนับตั้งแต่ปี 1984

“คงมีหลายร้อยข้อความที่ซอนนีได้รับคืนนั้น แต่เขายังหาเวลาตอบกลับผม ผมดีใจจริงๆ ที่ซอนนีได้สัมผัสโทรฟีกับมือตัวเองในท้ายที่สุด” วิมเมอร์กล่าว

รอยเท้าที่ทิ้งไว้ก่อนไปจากลอนดอน

สถิติส่วนตัวเป็นการยืนยันความยิ่งใหญ่ของซนในเสื้อสีขาว 173 ประตู สูงเป็นอันดับ 5 ในประวัติศาสตร์สโมสร บวก 101 แอสซิสต์จาก 454 นัด และ 127 ประตูที่ทำได้บนสังเวียนพรีเมียร์ลีก สูงเป็นอันดับ 16 ร่วมในประวัติศาสตร์รายการนี้

ขอบคุณภาพจาก  https://edition.cnn.com/2023/02/20/football/son-heung-min-online-abuse-tottenham-hotspur-spt-intl

ซนยังทำสถิติแอสซิสต์สูงสุดในพรีเมียร์ลีกของสเปอร์ส 71 ครั้ง และซีซัน 2021-22 ซนเป็นผู้เล่นเอเชียคนแรกที่ได้รับรางวัลรองเท้าทองคำ ซึ่งทำ 23 ประตูเท่ากับซาลาห์ แต่ซีซัน 2024-25 ที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกที่ซนทำสกอร์พรีเมียร์ลีกไม่ถึงตัวเลข 2 หลักนับตั้งแต่ร่วมทีมสเปอร์ส ซึ่งจบการแข่งขันเหนือโซนตกชั้นเพียง 1 อันดับ

นอกจากประตู ซนยังมีอิทธิพลต่อทีมในด้านอื่นอีก แอสซิสต์เฉลี่ย 0.38 ครั้งต่อ 90 นาทีในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่แล้ว สร้างโอกาสทองเฉลี่ย 0.68 ครั้ง สูงเป็นอันดับ 5 ในบรรดานักเตะที่เล่นเกิน 1,000 นาทีแม้สเปอร์สจบอันดับ 17 ตำแหน่งสุดท้ายก่อนโซนตกดิวิชัน

ฤดูกาล 2024-25 สเปอร์สชนะบอลลีก 42% ในเกมที่ซนลงตัวจริง เทียบกับแค่ 7% ที่ไม่มีเขา และสเปอร์สเอาชนะคู่แข่งไม่ได้ถึง 13 จาก 14 นัดที่ไม่มีกัปตันทีมชาวเกาหลีใต้

สเปอร์สที่มีชื่อซนอยู่ในผู้เล่น 11 คนแรก ทำผลงานเฉลี่ย 2.1 ประตูและ 1.4 คะแนนต่อนัด แต่ไม่มีเขา ตัวเลขลดเหลือ 1.0ประตูและ 0.4 คะแนน 

รอยเท้าของซนที่ทิ้งให้โธมัส แฟรงค์ ซึ่งเข้ามาคุมทีมสเปอร์สแทนอังเก ปอสเตโคกลู ช่างใหญ่เหลือเกินที่จะหานักเตะคนไหนเข้ามาทาบ

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Feature

ดิโอโก โชตา สัญลักษณ์แห่งความหวังและแรงบันดาลใจ

การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2025 ที่ผ่านมาในประเทศสเปนของ ดิโอโก โชตา กองหน้าวัย 28 ปีของลิเวอร์พูลและทีมชาติโปรตุเกส และน้องชายของเขา อังเดร ซิลวา เป็นเหตุการณ์สะเทือนใจต่อผู้รับรู้ข่าวสารในวงกว้าง ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มแฟนบอลเท่านั้น

เรื่องราวของดาวเตะโปรตุกีสตั้งแต่อดีตจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตได้รับการเผยแพร่ผ่านแง่มุมต่างๆ จนบางคนกล่าวว่า โชตาได้สร้างแรงบันดาลใจและจุดประกายแห่งความหวังให้กับผู้คนมากมายภายในระยะเวลาไม่กี่วันหลังเหตุโศกนาฏกรรม

ไม่ใช่ว่าเรามาจากไหน แต่เป็นเรื่องว่าเราจะไปที่ไหน” เป็นประโยคที่ปรากฏบริเวณทางเข้าอะคาเดมีของสโมสรกอนโดมาร์ เอสซี ในเขตปอร์โต ประเทศโปรตุเกส ใกล้กันเป็นภาพของโชตาในเสื้อฟุตบอลของทีมที่เคยเล่นช่วงอายุ 9 ถึง 17 ปี และติดกันเป็นอีกภาพของโซตาในยูนิฟอร์มทีมชาติโปรตุเกส

ภาพทั้งสองสื่อถึงเส้นทางของโชตาจากจุดเริ่มต้นไปถึงปลายทาง และตั้งแต่ปี 2022 อะคาเดมีได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ดิโอโก โชตา อะคาเดมี”

ดิโอโก โชตา หรือชื่อจริง ดิโอโก โจเซ เตเซย์รา ดา ซิลวา กล่าวประโยคนั้นหลังจากทำ 2 ประตู 1 แอสซิสต์ในแมตช์เนชัน ลีกส์ ซึ่งโปรตุเกสชนะสวีเดน 3-0 เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2020

โชตาใช้เวลาสมัยเด็กและวัยรุ่นในบ้านเกิดกับสโมสรระดับเทียร์ 3 ต้องเสียเงินเดือนละ 20 ยูโรเพื่อให้ได้เล่นฟุตบอล เขาเคยแก้ไขข้อมูลดังกล่าวเมื่อ 3 ปีที่แล้วว่า “ผมไม่ได้เสียเงิน แต่เป็นพ่อแม่ของผมต่างหาก ที่โปรตุเกสแตกต่างจากอังกฤษ ผมเล่นให้สโมสรเล็กๆ ที่เราต้องจ่ายเงินเป็นรายเดือนเพื่อที่จะได้เล่นกับทีม จนกระทั่งย้ายไปที่ปาโคส เด เฟอร์เรรา ในปี 2013 นั่นแหละ ผมจึงเริ่มมีรายได้”

ไม่เพียงจ่ายเงินเพื่อแลกกับการได้เล่นฟุตบอล โชตายังถูกสโมสรชั้นนำมองข้ามเนื่องจากขนาดร่างกายที่เล็ก แต่นั่นไม่เป็นอุปสรรคให้เขาล้มเลิก โชตามีความมุ่งมั่นที่จะเป็นนักฟุตบอลอาชีพโดยตลอด ออกจากกอนโดมาร์ ก็ไปยังปาโคส เด เฟอร์เรรา, แอตเลติโก มาดริด (ซึ่งไม่ได้ใช้งานเขาแต่ปล่อยยืมแทน), ปอร์โต, วูลฟ์แฮมป์ตัน และลิเวอร์พูล

นั่นทำให้โชตาเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังและแรงบันดาลใจเมื่อกลับไปยังบ้านเกิด เขาแสดงให้เห็นว่า ยังมีความเป็นไปได้ที่จะก้าวไปยังจุดสูงสุดแม้ถนนสายนั้นไม่ใช่ทางตรง ตราบเท่าที่ความสามารถยังอยู่ในตัวตนเสมอ

จิตใจทำให้โชตาอยู่เหนือทุกสถานการณ์

หลังจากเล่นฟุตบอลตั้งแต่เด็กจนเป็นวัยรุ่นกับกอนโดมาร์ ในที่สุดโชตาก็เริ่มเป็นที่สนใจ เริ่มจากปาโคส สโมสรที่ใหญ่ขึ้นในเขตปอร์โต ยอร์เก ซิเมา อดีตโค้ชที่ปาโคส เคยบอกกับโชตาระหว่างซีซัน 2015-16 ว่า เขาสามารถสืบทอดตำแหน่งของคริสเตียโน โรนัลโด สักวันหนึ่ง

แน่นอน โชตาย่อมประหลาดใจและไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินครั้งแรก “ถ้าโค้ชเชื่อแบบนั้น ทำไมผมถึงทำให้มันเกิดขึ้นจริงไม่ได้ล่ะ” โชตาเปลี่ยนมุมมองแทบจะทันที

ขอบคุณภาพจาก  https://maisfutebol.iol.pt/luto/morte/o-nome-de-diogo-jota-faz-parte-da-nossa-historia-e-sempre-fara

โชตาถือเป็นนักเตะน้อยรายมากของโปรตุเกสที่มีฝีเท้าดีชื่อเสียงโด่งดังแต่ไม่ผ่านการเพาะบ่มจากสถาบันฝึกนักเตะเยาวชนของบิ๊ก 3 ได้แก่ เบนฟิกา, สปอร์ติง ลิสบอน และปอร์โต

กิลแบร์โต อันดราเด ผู้ประสานงานฟุตบอลเยาวชนของปาโคส เคยกล่าวกับ BBC Sport ว่า “สิ่งที่ทำให้โชตาต่างจากนักเตะคนอื่นๆคือด้านจิตใจ ซึ่งเป็นปัจจัยทำให้เขาอยู่เหนือสถานการณ์ต่างๆ และเขาทำมันได้ไวด้วย”

“ผมคิดว่ามีบางครั้งที่ไม่ว่าคุณจะเป็นโค้ช ผู้ประสานงาน หรือผู้อำนวยการ ก็มีคำพูดหรือสิ่งต่างๆ ที่พูดออกมา ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้เล่น แต่บางทีพวกเขาอาจไม่เข้าใจมันอย่างถ่องแท้ ท้ายที่สุดภายหลังมันสะท้อนออกมาในพฤติกรรมของพวกเขา ในวิธีที่พวกเขาฝึกซ้อม ในวิธีที่พวกเขาใช้ชีวิตในแต่ละวัน”

“ผมคิดว่าโชตาเข้าใจในระดับหนึ่งว่า การเป็นนักเตะมืออาชีพ นักกีฬาที่ดี บุคคลที่ดีหมายความว่าอย่างไร เขาเป็นตัวอย่างในเรื่องนั้น เพราะบ่อยครั้งที่ความสำเร็จและเงินทองทำให้ผู้เล่นหลายคนมีเส้นทางชีวิตที่คดเคี้ยว แต่นั่นไม่ใช่โชตา เขาเป็นคนมีวินัยมาก ฉลาดมาก และถ่อมตัวมาก เขาลงทุนเพื่อพัฒนาตนเองอย่างชาญฉลาด รู้ว่ากำลังทำอะไร ช่วยเหลือผู้คนเท่าที่ทำได้ ดังนั้นผมคิดว่า นี่เป็นภาพลักษณ์ที่คงอยู่กับตัวเขาตลอดไป”

กับประโยค “ไม่ใช่ว่าเรามาจากไหน แต่เป็นเรื่องว่าเราจะไปที่ไหน” มันไม่ใช่คำพูดหล่อๆ แต่โชตาตระหนักจริงๆถึงจุดหมายปลายทางที่จะไปให้ถึง อันเดรเดยกตัวอย่างเหตุการณ์วันหนึ่งที่โชตาเข้ามาขอคำปรึกษา

“โชตาบอกว่าต้องการเรียนภาษาต่างประเทศ เพราะวันหนึ่งเขาจะต้องออกไปเล่นต่างประเทศ จึงต้องเตรียมตัวให้พร้อม”

ตอนนั้น โชตาเป็นเพียงนักเตะวัยรุ่นในปาโคสที่ไม่ได้รับความสนใจของสโมสรชั้นนำในโปรตุเกส แต่กลับคิดถึงการค้าแข้งที่ห่างไกลจากถิ่นเกิด

ขอบคุณภาพจาก  https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/diogo-jota-dead-car-crash-35492300

อันเดรเด ซึ่งเคยทำงานในอิตาลี เบลเยียม และซาอุดิ อาระเบีย เล่าต่อว่า “โชตารู้ดีว่าเขาต้องการอะไร พอดีผมมีเทปเรียนภาษาเลยให้เขาไป แต่หลังจากนั้นไม่นาน โชตารู้สึกว่าแค่นั้นไม่เพียงพอ เขาต้องการครูจริงๆ สำหรับเขาแล้วครูมีความจำเป็นเมื่อเติบโตในสายอาชีพ นั่นทำให้โชตาแตกต่างจากคนทั่วไป”

แต่แล้วก็มีอุปสรรคมาทดสอบความแข็งแกร่งของจิตใจเมื่อพบว่า โชตามีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจขณะตรวจร่างกายในช่วงพรีซีซันก่อนเปิดฤดูกาล 2014-15 ไม่สามารถลงซ้อมเกือบ 1 เดือน ก่อนได้รับอนุญาตจากแพทย์

โชตามักตอบทุกคนที่เข้ามาสอบถามด้วยความห่วงใยว่า “อย่าเอาเกวียนไปไว้หน้าม้า” ซึ่งเป็นสำนวนหมายถึง อย่ากระทำสิ่งใดๆที่ผิดลำดับ หรือควรทำสิ่งใดๆตามลำดับธรรมชาติหรือตามตรรกะ และนั่นบ่งถึงวิธีการใช้ชีวิตของโชตา … ดำเนินชีวิตวันต่อวัน

โซตาเคยให้สัมภาษณ์เรื่องนี้เมื่อปี 2021 ว่า “ผมรู้ดีว่ามันอาจหมายถึงต้องเลิกเล่นฟุตบอล แต่ผมไม่มีความเชื่อแม้เสี้ยววินาทีเดียวว่ามันจะเกิดขึ้น”

ชีวิตเหมือนเดินหน้า 2 ก้าว ถอยหลัง 1 ก้าว

โชตาถูกโปรโมทขึ้นทีมชุดใหญ่ของปาโคสในฤดูกาลนั้นหลังจากเข้าร่วมทีมเยาวชนของสโมสรเมื่อปี 2013 มีโอกาสประเดิมสนามนัดแรกเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2014 เป็นตัวจริงในรายการ Taça de Portugal หรือบอลถ้วยสมาคมฟุตบอลโปรตุเกส ซึ่งปาโคสชนะแอตเลติโก เด เรเกงโกส 4-0 และจบปรีไมรา ลีกา หรือลีกสูงสุดของโปรตุเกส ซีซันแรกด้วยสถิติ 10 นัด 2 ประตู ก่อนพัฒนาเป็น 31 นัด 12 ประตูในฤดูกาล 2015-16

จากฟอร์มที่โดดเด่น โชตาเริ่มเป็นจุดสนใจในฐานะดาวรุ่งดวงใหม่จากหลายสโมสร แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวตนของเขา โชตายังเลือกที่จะอาศัยอยู่ในหอพักของสโมสรร่วมกับผู้เล่นอะคาเดมีและนักเตะที่เข้ามาทดสอบฝีเท้า เขาอยู่ที่นี่จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตนักเตะทีมปาโคส เขาเป็นนักเตะชุดใหญ่คนเดียวที่อาศัยอยู่ที่นั่น

อันเดรเดเล่าว่า “เขาแทบไม่ได้ออกจากห้องพักเลย มุ่งสมาธิไปกับการเรียนภาษาต่างประเทศ ดูเหมือนไม่มีอะไรหันเหความสนใจของเขาได้”

ขอบคุณภาพจาก  https://www.thescottishsun.co.uk/sport/15028264/diogo-jota-liverpool-death-barry-douglas-wolves-tribute/

โชตาเปิดใจกับ Sky Sports เมื่อปี 2022 ถึงชีวิตนักเตะเยาวชนว่า “ผมมีความกระหายมาตลอดตั้งแต่จำความได้ ผมไม่เคยเล่นให้ทีมใหญ่ๆเลยสมัยเด็ก ผมเห็นเพื่อนร่วมทีม 2-3 คนย้ายไปอยู่กับปอร์โตหรือเบนฟิกา ส่วนผมก็ไปทดสอบฝีเท้าแต่ไม่เคยได้รับเลือกเลย ผมเป็นหนึ่งในกลุ่มคนเก่งแต่ไม่เคยถึงระดับเก่งที่สุด”

แต่แล้ว 14 มีนาคม 2016 โซตาตอบรับข้อเสนอสัญญา 5 ปีของแอตเลติโก มาดริด ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1กรกฎาคม แต่วันที่ 26 สิงหาคม ทีมตราหมีส่งเขากลับโปรตุเกส ให้ปอร์โตยืมตัวตลอดซีซัน 2016-17 โชตามีสถิติรวมทุกรายการ 37 นัด 9 ประตู รวมถึง 27 นัด 8 ประตูในปรีไมรา ลีก และยังได้เล่นแชมเปียนส์ ลีก 8 นัด ทำได้ 1 ประตูในแมตช์ชนะเลสเตอร์ 5-0 

ซีซันต่อมา โชตาเดินทางไปเล่นให้วูลฟ์แฮมป์ตัวด้วยสัญญายืมตัวอีกเช่นกัน มีสถิติรวมทุกรายการในซีซัน 2017-18 เล่น 46นัด 18 ประตู รวมถึง 44 นัด 17 ประตูในแชมเปียนชิพ ซึ่งทีมหมาป่าคว้าแชมป์ ได้สิทธิขึ้นไปเล่นพรีเมียร์ลีก

30 มกราคม 2018 วูลฟ์สตัดสินใจซื้อขาดโชตาจากแอตเลติโก มาดริด ด้วยค่าตัว 14 ล้านปอนด์ และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฏาคม โดย 2 ซีซันบนสังเวียนพรีเมียร์ลีก โชตาลงสนาม 67 นัด ทำ 16 ประตู

โชตายอมรับว่ารู้สึกสับสนกับเส้นทางชีวิตบ้างเหมือนกัน “บ้างครั้งก็หมือนก้าวไปข้างหน้า 2 ก้าว แล้วต้องถอยหลัง 1 ก้าว บางทีผมไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวเองจะไปถึงสโมสรลิเวอร์พูล ผมเพียงทำหน้าที่วันต่อวัน”

แต่ความสำเร็จดังกล่าวดึงดูดความสนใจของลิเวอร์พูล และเจฟฟ์ ชี ประธานสโมสรวูล์ฟสแฮมป์ตัน ยอมรับว่าเป็นการขายที่เขาเสียใจที่สุด 

โชตาจะเป็นหมายเลข 20 ของลิเวอร์พูลตลอดไป

ฤดูร้อนปี 2020 ลิเวอร์พูลซื้อกองหน้าโปรตุกีสวัย 23 จากวูลฟ์สด้วยค่าตัว 45 ล้านปอนด์ที่รวมแอดออนส์ ขณะที่โชตาต้องเผชิญหน้ากับภารกิจที่ท้าทายอย่างมากในการก้าวขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของ 3 ประสานกองหน้าที่ดีที่สุดชุดหนึ่งในโลกฟุตบอล

โจอันนา ดูร์คาน ผู้ช่วยบรรณาธิการ This is Anfield ให้ความเห็นว่า คุณสมบัติที่สร้างความแตกต่างให้โชตาคือ การจบสกอร์ที่ไร้ความปราณี เขารู้โดยสัญชาตญาณถึงการทำประตู สามารถส่งลูกหนังเข้าก้นตาข่ายด้วยเท้าซ้ายหรือขวา รวมถึงลูกโหม่ง

มีเหตุผลสนับสนุนสำหรับการยกย่องโชตาเป็นหนึ่งในนักล่าประตู และเป็นผู้จบสกอร์โดยธรรมชาติมากที่สุดของลิเวอร์พูล แม้มีปัญหาบาดเจ็บหลายครั้ง แต่กลับเป็นการตอกย้ำว่าสไตรเกอร์หมายเลข 20 คนนี้มีความสำคัญต่อ “เดอะ เรดส์” มากเพียงใด

ขอบคุณภาพจาก  https://www.thisisanfield.com/2025/07/what-diogo-jota-achieved-in-life-will-echo-in-eternity/

เยอร์เกน คลอปป์ อดีตผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล เคยพูดถึงโชตาตอนที่ย้ายมาจากโมลินิวซ์ว่า “เขาเพิ่งอายุ 23 ปี ยังห่างจากการเป็นนักเตะสมบูรณ์แบบ แต่มีศักยภาพมาก เพียบพร้อมด้วยความเร็ว สามารถเล่นประสานกับคนอื่นๆ เล่นเกมรับและเข้าเพรสได้ จึงทำให้เขาเป็นนักเตะที่ช่วยสร้างทางเลือกให้เรามากมายกับรูปแบบการเล่นที่หลากหลาย”

ดูร์คานเสริมความรู้สึกที่มีต่อโชตาว่า ความกระตือรือร้นของเขาช่วยให้เพื่อนร่วมทีมฮึกเหิม อีกทั้งยังเป็นที่รักในห้องแต่งตัว และเป็นที่รักของแฟนบอลอย่างมาก โชตาพร้อมเสมอที่จะยืนหยัดในช่วงเวลาสำคัญ ไม่ว่าการปฏิบัติต่ออาร์เซนอลอย่างไร้ความปราณี ทำประตูชัยช่วงท้ายเกมกับสเปอร์ส สังหารจุดโทษพาทีมชนะเลสเตอร์ หรือประตูสำคัญที่ทำให้เอฟเวอร์ตันพ่ายแพ้ในเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บีแมตช์ ครั้งหลังสุด 

โชตามีบทบาทสำคัญในช่วงเวลาแห่งความทรงจำของลิเวอร์พูล รวมถึงซีซัน 2021-22 ที่ยอดเยี่ยม ช่วยให้ทีมครองดับเบิลแชมป์บอลถ้วย อีเอฟแอล คัพ และเอฟเอ คัพ ทำ 21 ประตู 6 แอสซิสต์จาก 55 นัดรวมทุกรายการ ซึ่ง “เดอะ เรดส์” เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ ลีก รวมถึงตำแหน่งรองแชมป์พรีเมียร์ลีก

รองบรรณาธิการหญิงของ This is Anfield ยังชื่นชมการแสดงออกผ่านจิตวิญญาณของโชตา ซึ่งต้องเผชิญหน้ากับอาการบาดเจ็บครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สามารถกลับมาได้อย่างน่าชื่นชมเสมอ ซึ่งโชตาเคยให้สัมภาษณ์กับ Sky Sports ถึงเรื่องนี้ว่า “สิ่งที่ยากไม่ใช่การขึ้นไปให้ถึงยอดเขา แต่เป็นการอยู่ตรงนั้นต่อไป ซึ่งเป็นประโยคที่สมเหตุสมผลสำหรับผมอย่างแน่นอน”

คำพูดดังกล่าวเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวตนของโชตา บุรุษผู้สวมเสื้อหมายเลข 20 ที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนจนก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดและพยายามอยู่จุดนั้นต่อไป โชตามีบุคลิกภาพที่เหมาะสมกับการเป็นนักเตะลิเวอร์พูลอย่างสมบูรณ์แบบทั้งในและนอกสนาม จากสายตามุมมองของดูร์คาน ซึ่งเขียนบทความทิ้งท้ายว่า

“โชตาจะเป็นหมายเลข 20 ของลิเวอร์พูลตลอดไป ขอบคุณที่มีบทบาทสำคัญในชีวิตของพวกเราทุกคน ขอบคุณสำหรับความทรงจำและช่วงเวลาที่ไม่มีวันลืมเลือน ซึ่งจะอยู่กับพวกเราตลอดไป” 

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Feature

โค้ชเซตพีชขึ้นคุมทีมเบรนท์ฟอร์ด ความเสี่ยงหรือความเชื่อมั่น

set-piece coach หรือโค้ชผู้เชี่ยวชาญลูกตั้งเตะ เป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมในวงการฟุตบอลช่วง 10 ปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะพรีเมียร์ลีก ลูกฟรีคิกและลูกเตะมุม รวมถึงลูกทุ่มจากข้างสนาม เป็นตัวแปรสำคัญที่สร้างความได้เปรียบและความแตกต่างให้ผลแข่งขัน แม้โค้ชตำแหน่งนี้มีระดับความสำคัญที่เพิ่มขึ้น แต่ยังเป็นเรื่องเกินคาดที่โค้ชเซตพีชถูกโปรโมทขึ้นเป็นหัวหน้าโค้ชของสโมสรระดับเทียร์ 1 ของอังกฤษ

เบรนท์ฟอร์ดแต่งตั้ง คีธ แอนดรูว์ส เป็นหัวหน้าโค้ชด้วยสัญญา 3 ปีหลังจากโธมัส แฟรงค์ ลาออกไปคุมทีมสเปอร์ส โดยแอนดรูว์ส วัย 44 เพิ่งเข้ามาทำงานกลางปี 2024 ดูแลลูกตั้งเตะให้แฟรงค์หลังจากเคยอยู่ในสตาฟฟ์โค้ชของเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด, เอ็มเค ดอนส์ และทีมชาติไอร์แลนด์

ก่อนหน้านี้ “เดอะ บีส์” มีข่าวเชื่อมโยงกับผู้จัดการทีมหลายคนอาทิ คีแรน แมคเคนนา ของอิปสวิช และฟรานเชสโก ฟาริโอนี ซึ่งเพิ่งอำลาอาแจกซ์ แม้การตัดสินใจของเจ้าของสโมสร แมทธิว เบนแฮม ที่มอบหมายงานสำคัญให้โค้ชที่ไม่มีประสบการณ์คุมทีมชุดใหญ่ เป็นความเสี่ยง แต่ไม่ได้ห่างไกลจากสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับเบรนท์ฟอร์ด

นโยบายของเบรนท์ฟอร์ดคือพลักดันคนใน

ธันวาคม 2016 เบรนท์ฟอร์ด ทีมในแชมเปียนชิพขณะนั้น ดึงแฟรงค์มาเป็นผู้ช่วยของดีน สมิธ เพื่อเป็นสะพานเชื่อมให้นักเตะเปลี่ยนผ่านจากทีมบีขึ้นชุดใหญ่อย่างราบรื่น จนกระทั่งตุลาคม 2018 สโมสรได้เลื่อนเขาขึ้นเป็นหัวหน้าโค้ชแทนสมิธที่ออกไปคุมทีมแอสตัน วิลลา หลังจากระหว่างปี 2008 – 2016 แฟรงค์เคยมีประสบการณ์ชุดใหญ่กับทีมชาติเดนมาร์ก ยู 16-17-19 และบรอนด์บี 

ขอบคุณภาพจาก  https://www.brentfordfc.com/en/news/article/first-team-thomas-frank-brentford-head-coach-six-year-anniversary

แฟรงค์พาเบรนท์ฟอร์ดขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกในซีซัน 2021-22 เป็นการเล่นบนสังเวียนลีกสูงสุดครั้งแรกของสโมสรนับตั้งแต่ซีซัน 1946-47 โดยระหว่าง 4 ปี “เดอะ บีส์” จบฤดูกาลด้วยอันดับ 13, 9, 16 และ 10 ตามลำดับ

สำหรับแอนดรูว์ นับจากมิถุนายน 2015 เขาเป็นผู้จัดการทีมพรีเมียร์ลีกคนที่ 98 ที่ทำหน้าที่ถาวร (ไม่นับรักษาการหรือชั่วคราว) แต่เป็นคนที่ 6 ที่คุมทีมชุดใหญ่ครั้งแรกในชีวิตถัดจาก ไมค์ ฟีแลนด์ (ฮัลล์, 2016), เครก เชคสเปียร์ (เลสเตอร์, 2017), สกอตต์ พาร์คเกอร์ (ฟูแลม, 2019), มิเกล อาร์เตตา (อาร์เซนอล, 2019) และแกรี โอนีลล์ (บอร์นมัธ, 2019) แต่มีเพียงพาร์เกอร์กับอาร์เตตาที่ทำงานนานกว่า 7 เดือน

ลีออล โธมัส บรรณาธิการข่าวของ Sky Sports ให้ความเห็นว่า แม้แฟนบอลมองว่าเป็นการเสี่ยงที่ให้แอนดรูว์คุมทีมชุดใหญ่ แต่ในมุมของสโมสรเชื่อว่า การแต่งตั้งบุคคลภายนอกอาจมีความเสี่ยงมากกว่า

แอนดรูว์ ซึ่งเข้ามาอยู่ในสตาฟฟ์โค้ชเมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว เป็นที่ยอมรับนับถือภายในสโมสร และเวลา 1 ปี เขารู้จักผู้เล่นและมีความเข้าใจระบบการเล่นต่างๆของเบรนท์ฟอร์ดเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวกับตอนที่แฟรงค์ขึ้นมาคุมทีมแทนสมิธ โดยช่วง 16 ปีในฐานะนักเตะ แอนดรูว์ติดทีมชาติไอร์แลนด์ 35 นัด และเคยเล่นให้วูลฟ์แฮมป์ตัน, เอ็มเค ดอนส์, แบล็คเบิร์น และโบลตัน

ย้อนดูประวัติศาสตร์สโมสร เบรนท์ฟอร์ดมักสนับสนุนการเลื่อนตำแหน่งจากบุคลากรภายในมาโดยตลอด ไม่ว่าผู้นั้นจะมีประสบการณ์ชุดใหญ่มาก่อนหรือไม่ แฟรงค์เป็นตัวอย่างล่าสุดจากกุนซือ 5 คนที่ถูกโปรโมทภายในสโมสรและพาทีมเลื่อนชั้นได้

4 คนก่อนหน้าแฟรงค์ได้แก่ มาร์ก วาเบอร์ตัน ผู้อำนวยการฝ่ายกีฬา, แอนดี สกอตต์ แมวมองทีมชุดใหญ่, รอน โนอาเดส เจ้าของสโมสร และฟิล โฮลเดอร์ ผู้ช่วยผู้จัดการทีม

แซม บลิทซ์ นักวิเคราะห์เกมของ Sky Sports ระบุว่า ความปรารถนาที่จะสานงานได้อย่างต่อเนื่องและสร้างเส้นทางในพรีเมียร์ลีกที่แฟรงค์เริ่มต้นไว้ คือเหตุผลหลักที่เบรนท์ฟอร์ดเลือก “คนใน” 

แต่คำถามคือ ทำไมต้องเป็นแอนดรูว์?

ลูกตั้งเตะมีส่วนสำคัญต่อรูปแบบการเล่น

สัปดาห์สุดท้ายของเดือนเมษายน 2025 แฟรงค์ได้นำเสนอการทบทวนผลงานซีซัน 2024-25 ในการประชุมของสตาฟฟ์โค้ชร่วมกับ เบน ไรอัน ผู้อำนวยการฝ่ายประสิทธิภาพระดับสูง โดยให้มุมมองต่อจุดที่จะต้องปรับปรุงในฤดูกาลหน้า

งานวางรากฐานและการเตรียมการได้เริ่มดำเนินการแล้ว และแอนดรูว์ ซึ่งอยู่ในที่ประชุมนั้นด้วย มีหน้าที่นำแผนงานดังกล่าวไปปฏิบัติ เหตุผลที่ต้องเป็นแอนดรูว์เพราะเซตพีชเป็นกุญแจดอกสำคัญในระบบการเล่นของเบรนท์ฟอร์ด

ขอบคุณภาพจาก  https://www.premierleague.com/news/4141600

นับตั้งแต่แอนดรูว์รับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2024 จาก 66 ประตูในพรีเมียร์ลีก ซีซัน 2024-25 มาจากลูกตั้งเตะ 14 ลูก เป็นรองเพียงอาร์เซนอล (17), พาเลซ (17), ฟอเรสต์ (17),  วิลลา (16), ไบรท์ตัน (15) และเอฟเวอร์ตัน (15)

.

เบรนท์ฟอร์มมีค่า xG หรือความเป็นไปได้ของการเกิดประตูจากลูกเซตพีช 16.71 สูงเป็นอันดับ 3 และเสียประตูจากลูกตั้งเตะน้อยที่สุด เพียง 3 ลูก อันดับ 2 คือ แมนฯซิตี (6) อีกทั้งทีมของแฟรงค์ยังเป็นที่กล่าวขวัญจากการจู่โจมอย่างรวดเร็วตั้งแต่เสียงนกหวีดแรกดังขึ้น แน่นอนวิธีการของแอนดรูว์มีส่วนอย่างมากต่อกลยุทธ์ดังกล่าว

พรีเมียร์ลีก 3 นัดติดต่อกันระหว่างวันที่ 14-28 กันยายน 2024 เบรนท์ฟอร์ดได้ประตูจากแมนฯซิตี (เยือน), สเปอร์ส (เยือน) และเวสต์แฮม (เหย้า) หลังการแข่งขันเริ่มไปเพียง 22, 23 และ 38 วินาทีตามลำดับ จากนั้นนัดถัดมา วันที่ 5ตุลาคม ซึ่งเบรนท์ฟอร์ดชนะวูลฟ์ส 5-3 นาธาน คอลลินส์ ใช้เวลาแค่ 76 วินาทีของแมตช์ ส่งลูกหนังซุกก้นตาข่าย

แมทธิว อัพสัน อดีตกองหลังทีมชาติอังกฤษวัย 46 ปี ซึ่งเคยเล่นกับแอนดรูว์ในทีมไบรท์ตันเมื่อซีซัน 2013-14 และเคยเล่นให้แอนดรูว์ขณะคุมทีมเอ็มเค ดอนส์ เมื่อปี 2015 ให้สัมภาษณ์กับ BBC Sport ว่า

“การแต่งตั้งลักษณะนี้เป็นเรื่องหายากและมีความเสี่ยง แต่ก็เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นเช่นกัน ถือเป็นความก้าวหน้าอย่างแท้จริงในอาชีพของคีธ ผมรู้จักเขาดีและรู้ว่าทำไมเขาถึงได้รับโอกาสนี้”

“สิ่งที่ผมอยากบอกจากช่วงที่ทำงานร่วมกับคีธคือ เขาทำให้ทุกอย่างดูเรียบง่ายในแบบที่เขามองเกมในฐานะผู้เล่น ด้วยวิธีมองเกมบวกวิธีคิดในฐานะโค้ช ทำให้สไตล์ของเขาเหมาะกับเบรนท์ฟอร์ดแน่นอน สามารถสานต่อแนวทางของแฟรงค์ได้อย่างแนบเนียน เพราะมันเป็นวิธีที่พวกเขาเล่นกันอยู่แล้ว”

โอเพนเลย์หลังคิกออฟและลูกทุ่มไกล

ผลงานของโค้ชเซตพีชจากลูกคอนเนอร์และลูกฟรีคิกเป็นภาพที่พบเห็นเป็นปกติ แต่การทำประตูจากลูกคิกออฟหรือการเขี่ยลูกเปิดเกมยังเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของเซตพีช และยังสะท้อนให้เห็นถึงวิธีการเล่นของเบรนท์ฟอร์มที่แอนดรูว์มีอิทธิพลอย่างมาก

ตัวแปรสำคัญของการทำสกอร์จากคิกออฟในเชิงแทคติกคือ ความสามารถในการเพรสซิ่ง ในพรีเมียร์ลีกซีซัน 2024-25 ผู้เล่น “เดอะ บีส์” มีสถิติเพรสซิ่งสูงเป็นลำดับต้นๆ มิคเคล ดามส์การ์ด มีจำนวน presser 1,003 ครั้ง และ counter presser 248 ครั้ง ขณะที่ ไบรอัน เอ็มเบอโม ทำผลงาน 877 ครั้ง และ 267 ครั้งตามลำดับ ดามส์การ์ดและเอ็มเบอโมยังมีค่า xG จากเพรสซิ่ง 11.6 และ 9.9 ประตูตามลำดับอีกด้วย

ขอบคุณภาพจาก  https://the18.com/soccer-entertainment/football-margins-divisive-history-long-throw-and-its-auspicious-future

มาร์ก เอสเตอบาน อดีตนักวิเคราะห์เซตพีช ซึ่งทำงานกับเบรนท์ฟอร์ดเป็นเวลา 2 ปีก่อนย้ายไปทำงานให้นิว อิงแลนด์ เรโวลูชัน เมื่อกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กล่าวกับ Sky Sports ว่า “มันไม่ใช่ลูกตั้งเตะแต่เป็นโอเพนเพลย์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเกมรุกที่ดุดัน ทำให้แน่ใจว่าอยู่ใกล้กับบอลสอง บนพื้นที่ที่เต็มไปด้วยผู้เล่นแต่ต้องรู้ว่าบอลจะไปไหน จากนั้นส่งผู้เล่นไปยังกรอบเขตโทษ พยายามครอสบอล ความสำคัญอยู่ที่การสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นเร็วที่สุด”

แอนดรูว์ยังมีส่วนกับลูกทุ่มที่มีประสิทธิภาพของเบรนท์ฟอร์ดจากการทำงานอย่างใกล้ชิดกับโธมัส โกรนเนมาร์ก โค้ขบอลทุ่มชื่อดัง ซึ่งลิเวอร์พูลเคยว่าจ้างช่วงที่เยอร์เกน คลอปป์ เป็นผู้จัดการทีม

ซีซัน 2024-25 “เดอะ บีส์” ทำได้ 6 ประตูจากการทุ่มไกล เทียบกับอีก 19 ทีมในพรีเมียร์ลีกที่ทำรวมกันได้แค่ 2 ประตู ขณะที่ โยฮัน วิสซา ศูนย์หน้าวัย 28 ของเบรนท์ฟอร์ดคนเดียวทำได้ถึง 4 ประตู

เทียบสถิติลูกทุ่มไกลระหว่างเบรนท์ฟอร์ดกับทีมอันดับ 2 ของหมวดนั้นๆ จำนวนทุ่มไกล 110 / 50 , ประตู 6 / 1 , xG จากการทุ่มไกล 4 / 1 และการยิงจากการทุ่มไกล 31 / 13

บลิทซ์ให้ความเห็นเสริมว่า แอนดรูว์ไม่ได้เป็นเพียงโค้ชลูกตั้งเตะของเบรนท์ฟอร์ดเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลต่อปรัชญาและวัฒนธรรมที่แฟรงค์สร้างขึ้นให้กับสโมสรอีกด้วย

บุคลิกภาพและความเชื่อมั่นในงานเฮดโค้ช

อัพสัน ยอมรับว่า การแต่งตั้งอดีตเพื่อนร่วมทีมและอดีตบอสของเขาเป็นความเสี่ยง แต่ยังสร้างความสดใหม่ให้เบรนท์ฟอร์ด้วย “นั่นแสดงให้เห็นว่าสโมสรมีศรัทธาในโครงสร้างบริหารจัดการทีมของตนเอง เหมือนตอนที่แต่งตั้งแฟรงค์ต่อจากสมิธ”

อดีตกองหลังทีมชาติอังกฤษยังย้อนความรู้สึกเมื่อครั้งร่วมงานกับแอนดรูว์ที่ไบรท์ตันและเอ็มเค ดอนส์ ว่า “คีธเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ทำงานร่วมกับนักเตะได้ดี และยังมีการสื่อสารที่เยี่ยมด้วย เขาพูดคุยอย่างมีประสิทธิภาพเมื่ออยู่ในสนาม ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับการฝึกซ้อมของเขา”

ขอบคุณภาพจาก  https://www.sportingpedia.com/2025/06/27/keith-andrews-to-take-over-as-brentford-manager-following-thomas-franks-departure/

“ผมมีโอกาสคุยกับคีธเมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อนตอนที่ทำงานให้ 5 Live ในการแข่งขันของเบรนท์ฟอร์ด เขาเอ่ยปากชมสโมสรและการทำงานร่วมกับแฟรงค์ คีธยังพูดถึงการพัฒนาตัวเองในอาชีพโค้ช”

“จริงอยู่ที่คีธไม่มีประสบการณ์ผู้จัดการทีม แต่เขามีบุคลิกภาพและความเชื่อมั่นที่จะทำหน้าที่นั้นได้ ซึ่งการแสดงออกไม่ใข่เพียงผ่านบทสัมภาษณ์ แต่ยังเห็นได้จากการทำงานให้กับเบรนท์ฟอร์มในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา”

เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว แอนดรูว์เพิ่งยื่นใบสมัครทำหน้าที่ผู้จัดการทีมของเอ็มเค ดอนส์ ซึ่งตอนนี้เล่นอยู่ในลีก ทู แต่ผู้ได้รับเลือกคือ พอล วาร์น อดีตกุนซือของดาร์บี แต่แล้วเกิดสิ่งไม่คาดฝันขึ้นเมื่อแอนดรูว์พบว่าตนเองได้รับการเลื่อนชั้นจากโค้ชเซตพีชเป็นหัวหน้าโค้ช

แอนดรูว์ กุนซือป้ายแดงที่จะอายุครบ 45 ปีในเดือนกันยายนศกนี้ จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ครั้งแรกในวันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม 2025 ในการแข่งขันพรีเมียร์ลีกนัดเปิดซีซันใหม่ที่ซิตี กราวน์ สนามของทีมฟอเรสต์

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Feature

หลุยส์ เอ็นริเก กับเวลา 2 ปี สร้างเปแอสเช สู่บัลลังก์แชมเปียนส์ลีก

หลุยส์ เอ็นริเก ใช้เวลาเพียง 2 ซีซันพาปารีส แซงต์แยร์กแมง ครองบัลลังก์ทวีปยุโรปเป็นสมัยแรกในประวัติศาสตร์ 54 ปีของสโมสรหลังจากชนะอินเตอร์ มิลาน 5-0 ในรอบชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ ลีก เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2025 ที่นครมิวนิก ประเทศเยอรมนี

ถ้ามองเฉพาะยุคทองภายใต้การบริหารของกาตาร์ สปอร์ตส์ อินเวสต์เมนท์ (QSI) ซึ่งเข้าเทคโอเวอร์เมื่อปี 2011 เปแอสเชไม่เคยหลุดท็อป 2 ของลีกเอิง โดยเป็นแชมป์ 11 สมัย และรองแชมป์ 3 สมัย แต่กลับไม่เคยสัมผัสถ้วยบิ๊กเอียร์แม้อยู่ภายใต้การคุมทีมของผู้จัดการทีมที่มีชื่อเสียงอย่างคาร์โล อันเซลอตติ, โลรองต์ บลองค์, อูไน เอเมรี, โธมัส ทูเคิล, เมาริซิโอ โปเชตติโน และในทีมเคยมีนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์อย่างซลาตัน อิบราฮิโมวิช, เดวิด เบคแฮม, เอดินสัน คาวานี, เนย์มาร์, ลิโอเนล เมสซี, คิลิยัน เอ็มบัปเป

ก่อนหน้าฤดูกาล 2024-25 เปแอสเชทำได้ดีที่สุดคือ รองแชมป์แชมเปียนส์ ลีก ปี 2020 เมื่อแพ้บาเยิร์น มิวนิก 0-1 และเข้าถึงรอบรองชนะเลิศเพียง 2 ครั้งในซีซัน 2020-21 และ 2023-24 อีกทั้ง 8 ปีก่อนหน้าหรือตั้งแต่ซีซัน 2016-17 ปารีสสิ้นสุดเส้นทางที่รอบ 16 ทีมสุดท้ายถึง 5 ครั้ง

เปแอสเชครองความยิ่งใหญ่ในฝรั่งเศส แต่ไม่ใช่ทีมที่น่าเกรงขามเลยเมื่อต้องดวลสตั๊ดกับทีมชั้นนำของยุโรป จนกระทั่งการมาของอดีตผู้จัดการทีมชาติสเปนวัย 55 ปี ซึ่งรับตำแหน่งผู้จัดการทีมอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2023 โดยซีซันแรก เอ็นริเกพาเปแอสเชกวาดทริปเปิลแชมป์ภายในประเทศ และเข้าถึงรอบรองชนะเลิศแชมเปียนส์ ลีก แต่แพ้โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ด้วยสกอร์รวม 0-2

ซีซันที่ 2 ทีมของเอ็นริเกยังเหมาโทรฟี 3 รายการของฝรั่งเศสอีกครั้ง ที่เพิ่มเติมคือถ้วยบิ๊กเอียร์ โดยเป็นสโมสรจากฝรั่งเศสทีมที่ 2 ต่อจากมาร์กเซยเมื่อปี 1993 ทั้งที่หากย้อนกลับไปปลายเดือนพฤศจิกายน 2024  ดูเหมือนเปแอสเชอาจไม่ผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ด้วยซ้ำเมื่อเริ่มโปรแกรมลีกเฟสอย่างยากลำบาก ชนะ 1 นัด เสมอ 1 นัด แพ้ 3 นัด ก่อนฟอร์มเข้าฟักชนะรวด 3 นัดสุดท้าย จบที่อันดับ 15 มี 13 คะแนน อยู่เหนืออันดับ 25 ดีนาโม ซาเกรบ ทีมบนสุดของโซนตกรอบแค่ 2 คะแนน และต้องเตะรอบเพลย์ออฟกับเบรสท์

หลังผ่านคู่แข่งร่วมชาติ เปแอสเชเอาชนะลิเวอร์พูล, แอสตัน วิลลา และอาร์เซนอล ก่อนพบ “เนรัสซูรี” ในรอบชิงชนะเลิศ

เริ่มยุคใหม่หลังการอำลาของเอ็มบัปเป

ประวัติศาสตร์บทใหม่ของเปแอสเชเริ่มขึ้นวันที่ 10 พฤษภาคม 2024 เมื่อเอ็มบัปเปประกาศไม่ต่อสัญญาและจะอำลาสโมสรเมื่อสิ้นสุดซีซัน 2023-24 ก่อนย้ายไปร่วมทีมเรอัล มาดริด ในฐานะฟรีเอเยนต์ของตลาดซัมเมอร์ เท่ากับสิ้นสุดยุคของ 3 ซูเปอร์สตาร์กองหน้าหลังจากเนย์มาร์กับเมสซีอำลาเมืองหลวงของฝรั่งเศสไปก่อนช่วงกลางปี 2023

ขอบคุณภาพจาก  https://talksport.com/football/3254694/nasser-al-khelaifi-lionel-messi-kylian-mbappe-neymar-psg-champions-league/

แม้ไม่มีเอ็มบัปเป ซึ่งทำ 256 ประตูจาก 308 นัดรวมทุกรายการนับตั้งแต่ยืมตัวจากโมนาโกในซีซัน 2017-18  แต่อีกด้านหนึ่งเป็นการเปิดทางให้เกิดการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของเปแอสเชภายใต้การคุมทีมปีที่ 2 ของเอ็นริเก

เอ็นริเก ซึ่งผู้คนในเปแอสเชขนานนามว่าเป็น “สถาปนิกแห่งวงการลูกหนัง” ใช้โอกาสที่ไม่มีดาราใหญ่อย่างเอ็มบัปเป โน้นน้าวนาสเซอร์ อัล-เคไลฟี ประธานสโมสร และหลุยส์ คัมโปส ที่ปรึกษาด้านฟุตบอล ให้เชื่อว่าเขาสามารถสร้างทีมขึ้นมาใหม่ด้วยนักเตะอายุน้อยกว่า เก่งกว่า และมีความสามัคคีมากขึ้น

ความจริงแล้ว การเซ็นสัญญากับเอ็นริเกเมื่อเดือนกรกฎาคม 2023 เปแอสเชมีสัญญาณชัดเจนว่าต้องการลบล้างวัฒนธรรมซูเปอร์สตาร์ของสโมสร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทิศทางที่น่าทึ่งเป็นตัวดึงดูดใจของยอดกุนซือชาวสเปน ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นโค้ชที่ยึดมั่นใน “จริยธรรมของทีม” (team ethic หรือ หลักการที่ควบคุมพฤติกรรมของสมาชิกในทีมเพื่อส่งเสริมความร่วมมือ การเคารพ และประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกัน.

จูเลียน ลอเรนส์ ผู้เชี่ยวชาญฟุตบอลฝรั่งเศส ให้ความเห็นกับ บีบีซี สปอร์ต ว่า เปแอสเชต้องการใครสักคนที่สร้างทีมเพื่ออนาคตด้วยความอดทน และเอ็นริเกเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมและดีที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับตัวเต็งรายอื่นอย่างอันโตนิโอ คอนเต และโชเซ มูรินโญ ซึ่งต่างเป็นผู้ชนะและเป็นชัยชนะที่เกิดขึ้นทันที แต่ไม่ได้สร้างอะไรขึ้นมาอย่างแท้จริง ดังนั้นเอ็นริเกจึงเข้าได้กับสิ่งที่ปารีสต้องการ

ไร อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติบราซิลวัย 60 ปี ซึ่งเคยเล่นให้เปแอสเชชุดแชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพ ปี 1996 กล่าวว่า ฟุตบอลทุกวันนี้ ทีมที่สมบุรณ์แบบและมีโอกาสคว้าแชมป์รายการใหญ่ไม่ได้ต้องการผู้เล่นที่มีพรสวรรค์เท่านั้น แต่ยังต้องการการทุ่มเทร้อยเปอร์เซ็นต์จากนักเตะทุกคน ทุกช่วงเวลาของแมตช์ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบุกหรือตั้งรับ ไม่ว่ามีบอลหรือไม่มีบอล

ในมุมมองของไร สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดเกี่ยวกับการบริหารทีมของเอ็นริเก คือความจริงที่ว่าเอ็นริเกประสบความสำเร็จโดยใช้ระยะเวลาอันสั้น ด้วยกลุ่มผู้เล่นอายุน้อย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ทุกคนเข้าใจการวางแผนเชิงแทคติกอย่างดี และเชื่อมั่นศรัทธาในตัวเอ็นริเก รวมถึงระบบการเล่นของเอ็นริเกก็มีประสิทธิภาพมาก

ขณะที่นอกสนามแข่งขัน เอ็นริเกยังเรียกร้องระดับการควบคุมทีมและนักเตะที่เคยหลุดลอยไปจากมือของผู้จัดการทีมคนก่อนหน้าอาทิ เอเมรี, ทูเคิล, โปเชตติโน และคริสตอฟ กัลติเยร์

ลอเรนส์พูดถึงประเด็นนี้ว่า เอ็นริเกเป็นผู้นำตัวจริงเสียงจริงของสโมสร ซึ่งที่ผ่านมาเคยตกอยู่ในมือของบรรดานักเตะซูเปอร์สตาร์ ที่มีความคิดว่า หากไม่อยากทำอะไรก็จะไม่ทำ จากนั้นก็เดินตรงเข้าหาประธานสโมสร นั่นเท่ากับบ่อนทำลายโค้ช ซึ่งตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว อำนาจของเอ็นริเกถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในเปแอสเช

ปิแอร์-เอเตียน มินอนซิโอ ผู้สื่อข่าวของเลกิ๊ป หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศส ให้ความเห็นว่า ผู้คนในเปแอสเชต่างรู้ดีว่าสโมสรมีปัญหาด้านอำนาจในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กัลติเยร์เป็นผู้จัดการทีมชาวฝรั่งเศสที่เก่ง แต่ขาดประสบการณ์ที่จะบังคับใช้มุมมองของตนเอง และไม่แกร่งพอที่จะเผชิญหน้าหรือพูดตรงๆกับเอ็มบัปเป เช่นเดียวกับโปเชตติโน ซึ่งหมกหมุ่นกับการรักษาความสงบในห้องแต่งตัว ทำให้ไม่เคยตัดสินใจอะไรที่ตรงข้ามกับเมสซีและเอ็มบัปเปเลย ต่างกับเอ็นริเก ซึ่งบอกกับสโมสรชัดเจนว่า ถ้าเขาเป็นนายใหญ่ เขาก็จะต้องทำตัวเป็นนายใหญ่

เอ็นริเกแค่ออกทริปปั่นจักรยานถ้าตกงาน

เป็นที่ทราบกันดีในเปแอสเช เอ็นริเกเป็นคนที่มีระเบียบวินัยสูงแม้กระทั่งกับตัวเองในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ อย่างเช่นตั้งนาฬิกาให้เตือนหากเขาไม่ได้ยืดเส้นยืดสายหรือไม่เคลื่อนไหวร่างกายใดๆเป็นเวลา 30 นาที

เมื่อปี 2017 เอ็นริเกสามารถจบการแข่งขันแฟรงค์เฟิร์ต ไอออนแมน ชาลเลนจ์ ด้วยการว่ายน้ำ 2.4 ไมล์, ขี่จักรยาน 118ไมล์ และวิ่งฟูลมาราธอน ต่อมาในปี 2018 เอ็นริเกยังสามารถจบการวิ่งมาราธอน เดอ ซาเบลส์ สุดหฤโหดระยะทาง 115ไมล์เป็นเวลากว่า 6 วันในทะเลทรายซาฮารา

เอ็นริเกยังมีกิจวัตรประจำวันทุกเช้า คือเดินด้วยเท้าเปล่าบนสนามหญ้าของแคมปัส เปแอสเช สนามฝึกซ้อมของสโมสร ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมอุทิศตนต่อ earthing ซึ่งหมายถึงการเชื่อมต่อร่างกายกับพื้นดินหรือพื้นผิวที่มีการเชื่อมต่อกับดินโดยตรง โดยเอ็นริเกมีความเชื่อว่า การทำเช่นนี้ช่วยให้เขาใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้นและช่วยต่อสู้กับโรคภูมิแพ้ได้

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่แท้จริงของเอ็นริเกเกิดขึ้นหลังการเสียชีวิตของซานา ลูกสาววัย 9 ขวบจากโรคมะเร็งกระดูกชนิดหายากในปี 2019

ขอบคุณภาพจาก  https://www.thesun.co.uk/sport/35205287/luis-enrique-daughter-xana-tribute-psg-champions-league/

เอ็นริเกเคยให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า “แม้ร่างกายของเธอจากไปแล้ว แต่เธอไม่ได้ตายและยังคงอยู่กับพวกเรา เธออาจไม่ได้อยู่ ณ ที่ตรงนี้ในทางกายภาพ แต่เชิงจิตวิญญาณ เธอยังคงอยู่ที่นี่ เพราะทุกวัน เราได้คุยเกี่ยวกับเธอ เราหัวเราะซึ่งกันและกัน เรายังมีความทรงจำ เพราะผมเชื่อว่า ซานายังคงมองเห็นเรา”

นั่นทำให้เอ็นริเกสามารถไตร่ตรองถึงสัจธรรมของวงการฟุตบอลได้จากคำพูดที่เคยเอ่ยกับนักข่าวว่า “ผมไม่เคยกลัวว่าสิ่งเลวร้ายจะเกิดขึ้นในวงการฟุตบอล ถ้าสโมสรต้องการไล่ผมออก ก็ไม่มีปัญหาอะไร จากนั้นในวันต่อมา ผมก็จะออกทริปปั่นจักรยาน”

ทีมพลังหนุ่มไร้สตาร์ที่ทุกคนเท่าเทียมกัน

ฟิล แมคนัลตี หัวหน้าทีมข่าว BBC Sport ที่รายงานนัดชิงแชมเปียนส์ ลีก นำเสนอมุมมองว่า การจากไปของเอ็มบัปเปคือช่วงเวลาสดใสของเปแอสเช ทำให้สถานการณ์ของปาร์ก เดส์ แพรงซ์ เปลี่ยนไปแม้ดาวดังทีมชาติฝรั่งเศสมีการเล่นเวิลด์คลาส และเอ็นริเกเชื่อว่านี่เป็นโอกาสที่จะควบคุมวิธีการเล่นของทีมอย่างสมบูรณ์

ซีซัน 2024-25 จึงเป็นการเริ่มต้นในการควบคุม “ทีมใหม่” ตามความหมายอย่างแท้จริง โดยเอ็นริเกมุ่งเน้นไปที่พรสวรรค์ของนักเตะอายุน้อย ซึ่งเขาสามารถหล่อหลอมได้แทนการทำงานกับนักเตะดังที่มักขับเคลื่อนด้วยอัตตา

อดีตกุนซือบาร์เซโลนาและโรมายอมรับว่าอาจต้องใช้เวลามากกว่า 1 ฤดูกาลเพื่อยกระดับทีมให้ขึ้นสู่ความท้าทายรางวัลใหญ่สุดของทวีป ซึ่งการออกสตาร์ทลีกเฟสอย่างเชื่องช้าเป็นประจักษ์พยานที่ดี ถึงขั้นมีความคิดว่า ชัยชนะในแชมเปียนส์ ลีก อยู่นอกเหนือเป้าหมายของซีซัน

อย่างไรก็ตาม แมคนัลตีชี้ว่า ยุคใหม่ของเปแอสเชเริ่มต้นจริงๆเมื่อชนะแมนฯซิตี 4-2 ในนัดที่ 7 ของลีกเฟสเดือนมกราคม 2025 ท่ามกลางฝนกระหน่ำปารีส ซึ่งส่งผลให้ทีมของเอ็นริเกกลับมามีลุ้นเข้ารอบน็อคเอาท์

ขอบคุณภาพจาก  https://www.sportscasting.com/uk/news/manchester-city-player-ratings-vs-psg-champions-league/

ขุมกำลังใหม่อย่างเดซิเร ดูเอ  และ แบรดเลย์ บาร์โคลา ทำผลงานได้โดเด่น อุสมาน เดมเบเล ซึ่งเริ่มฟื้นตัวจากปัญหาภายใน ลงเล่นเป็นตัวสำรองได้อย่างน่าทึ่ง และเมื่อเวลาผ่านไป ทั้งสามเปรียบเสมือนลูกตุ้มยักษ์ทำลายล้างคู่แข่งจากพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล, วิลลา และอาร์เซนอล จนผ่านไปเตะนัดสุดท้ายของทัวร์นาเมนท์ในอัลลิอันซ์ อารีนา

เปแอสเชยังเสริมแกร่งเมื่อได้ควิชา ควารัตสเคเลีย ที่ย้ายมาจากนาโปลีในเดือนมกราคม 2025 ด้วยค่าตัว 70 ล้านยูโรรวมแอดออนส์ ทำให้เอ็นริเกได้จิ๊กซอว์ครบทุกชิ้น

แพท เนวิน อดีตปีกทีมชาติสกอตแลนด์และนักวิเคราะห์ของ BBC Sport ชื่นชมแนวรุกทีมชาติจอร์เจียวัย 24 ปีว่ามีคุณสมบัติของปีกครบทุกข้อแถมยังมีเพิ่มให้ด้วย ควารัตสเคเลียชอบท้าทายคู่แข่งด้วยการโจมตีด้วยทริกและลูกเล่นมากมาย ทำในสิ่งเหลือเชื่อเพื่อทำลายแนวรับ ไม่เกรงกลัวใคร และสร้างความบันเทิงให้แฟนบอลเสมอ ฝ่ายตรงข้ามจำเป็นต้องใช้ผู้เล่น 2 คนเพื่อตามประกบ ดึงผู้เล่นคนอื่นเข้ามาหา เป็นการสร้างพื้นที่ว่างให้กับเพื่อนร่วมทีม

ผู้สื่อข่าว BBC Sport เสริมด้วยว่า ดูเออาจเริ่มต้นช้า แต่เมื่อเล่นร่วมกับบาร์โคลาและเดมเบเล ซึ่งทั้งสามได้ประโยชน์จากการเอาใจใส่แบบตัวต่อตัวของเอ็นริเก เปแอสเชจึงได้ดาวดวงใหม่ที่เปี่ยมพรสวรรค์มาประดับทีมใหม่

ไรให้ความเห็นถึงสิ่งที่ประทับใจต่อกองหน้ายุคใหม่ของเปแอสเชว่า พวกเขาผสมผสานคุณภาพทางเทคนิค เข้ากับการน้อมนำแทคติกของโค้ช ความแข็งแกร่งของสภาพร่างกาย และบุคลิภาพส่วนตัว แฟนบอลจึงได้เห็นการเลี้ยงบอลที่น่าเร้าใจและการสรรสร้างรูปแบบการเล่นที่น่าประทับใจ

ถึงกระนั้นไม่มีใครได้รับสิทธิพิเศษ นักเตะทุกคนเท่าเทียมกันในสายตาของเอ็นริเก

กุนซือวัย 55 ปี เคยสั่งดร็อปเดมเบเลก่อนเกมแชมเปียนส์ ลีก ในบ้านของอาร์เซนอลเมื่อเดือนตุลาคม 2024 เนื่องจากไม่พอใจระดับความทุ่มเทของเดมเบเลในการแข่งขันลีกเอิงกับแรนส์ แต่เดมเบเลสามารถกลับมาด้วยฟอร์มที่เปลี่ยนแปลงและแรงพลักดันที่สดใหม่ มีส่วนสำคัญพาเปแอสเชชนะลีกเอิงและกุปเดอฟรองซ์ ก่อนทิ้งท้ายด้วยแชมเปียนส์ ลีก

ขอบคุณภาพจาก  https://www.okayafrica.com/ousmane-dembele-champions-league/

เปแอสเชมีผู้เล่นอายุเฉลี่ย 24 ปี 262 วัน เป็นทีมละอ่อนที่สุดในบรรดาสโมสรที่ผ่านรอบเพลย์ออฟของแชมเปียนส์ ลีก ซีซัน 2024-25 และด้วยสไตล์การเล่นไฮ-เพรสซิ่งที่เข้มข้นทำให้พวกเขารั้งอันดับ 1 ของทัวร์นาเมนท์ในสถิติหมวด shot-ending high turnovers หรือจังหวะการเล่นเกมรุกแดนบนแล้วจบด้วยการยิง ซึ่งหมายความว่า เปแอสเชสามารถใช้ไฮ-เพรสซิ่งกดดันคู่แข่งให้กลายเป็นการสร้างโอกาสเกมบุกได้บ่อยครั้งมาก

เอ็นริเกสามารถสร้างทีมเปแอสเชยุคใหม่ด้วยการผสมผสานพลังงานของนักเตะหนุ่มเข้ากับผู้เล่นเขี้ยวประสบการณ์อย่างกัปตันทีม มาร์กินญอส และผู้รักษาประตู จานลุยจิ ดอนนารุมมา โดยใช้เวลาเพียงปีเดียวที่ไม่มีเอ็มบัปเป ให้ก้าวขึ้นยืนบัลลังก์ยุโรปเป็นสมัยแรกได้ราวกับปาฏิหาริย์ และนำถ้วยแชมเปียนส์ ลีก ไปยังกรุงปารีส

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Feature

คันฉ่องส่อง “ชาบี อลอนโซ” ก่อนเริ่มงานโค้ชที่อาจกดดันที่สุดในโลก

ในวัย 49 ปี ชาบี อลอนโซ มิดฟิลด์ระดับตำนานทีมชาติสเปน เป็น 1 ในผู้จัดการทีมคลื่นลูกใหม่มาแรงที่สุดในทศวรรษนี้ เพียงปีแรกที่คุมทีมชุดใหญ่เต็มซีซัน สามารถพาไบเออร์ เลเวอร์คูเซน ซึ่งได้รับฉายาเย้ยหยันว่า Neverkusen ครองแชมป์บุนเดสลีกาสมัยแรกในประวัติศาสตร์สโมสรเกือบ 120 ปี ล้มบัลลังก์ของบาเยิร์น มิวนิก ที่ครอบครองติดต่อกัน 11 ปี

ทีมของอลอนโซเกือบทำทริปเปิลแชมป์ในฤดูกาลนั้น 2023-24 เมื่อชนะไกเซอร์สเลาเทิร์นในรอบชิงชนะเลิศ เดเอฟเบ โพคาล แต่ได้เพียงรองแชมป์ยูโรปา ลีก เมื่อแพ้อตาลันตา

อลอนโซอำลาเลเวอร์คูเซนหลังจบซีซัน 2024-25 เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมเรอัล มาดริด แทนคาร์โล อันเชลอตติ ที่เปลี่ยนงานไปคุมทีมชาติบราซิล โดยเซ็นสัญญา 3 ปี และจะเริ่มทำงานอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2025 พาลูกทีมโลส บลังโกส ร่วมแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก “คลับ เวิลด์ คัพ” กลางเดือนที่สหรัฐอเมริกา

ด้วยเหตุนี้ ปรัชญาแนวคิดการทำงานของอลอนโซ อดีตขุนพลแชมป์โลก 2010 และแชมป์ทวีปยุโรป 2 สมัย จึงน่าสนใจอย่างยิ่ง

ทำตัวเหมือนผู้จัดการทีมตั้งแต่เป็นนักเตะ

มีนักฟุตบอลน้อยรายที่มีเอกสารแนะนำตัว CV (Curriculum Vitae) เทียบเท่าอลอนโซ ซึ่งไม่เพียงคว้าความสำเร็จมากมายกับยักษ์แห่งยุโรปอย่างลิเวอร์พูล, เรอัล มาดริด และบาเยิร์น มิวนิก แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของมิดฟิลด์ในยุคทองทีมชาติสเปนช่วงทศวรรษ 2010

อลอนโซยังอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของกุนซือชั้นนำทั้งเป๊ป กวาร์ดิโอลา, อันเชลอตติ, โชเซ มูรินโญ และราฟา เบนิเตซ 

เพื่อนนักเตะมีความสุขที่ได้เล่นกับอลอนโซ สตีเวน เจอร์ราร์ด อดีตกัปตันทีมลิเวอร์พูล เคยยกย่องอลอนโซเป็นเซ็นทรัลมิดฟิลด์เก่งที่สุดที่ตัวเขาเคยร่วมเล่นด้วย

ข้ามเวลามายังปัจจุบัน ไม่ถึง 3 ปีแรกในชีวิตผู้จัดการทีมชุดใหญ่ ซึ่งเริ่มต้นกับสโมสรแถวหน้าของลีกยุโรปท็อป 5 อลอนโซได้อำลาเลเวอร์คูเซนเพื่อกลับไปต้นสังกัดเก่า และรับงานที่อาจมีความกดดันมากที่สุดในโลก 

เรอัล มาดริด อ้าแขนรับอลอนโซจากการพาเลเวอร์คูเซนชนะเลิศบุนเดสลีกา ซีซัน 2023-24 ด้วยสถิติไร้พ่าย (ชนะ 28 นัด เสมอ 6 นัด) ด้วยสไตล์การเล่นที่ตื่นเต้นเร้าใจ มีระดับความเข้มข้นสูง และเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ

บอร์ฆา อิเกลเซียส ศูนย์หน้าทีมเรอัล เบตีส ซึ่งถูกเลเวอร์คูเซนยืมตัวในตลาดเดือนมกราคม 2024 กล่าวกับ ESPN ว่า ชาบีเป็นโค้ชยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เคยร่วมงาน และจากที่นักข่าว ESPN สอบถามความเห็นอดีตนักเตะหลายคนที่เคยร่วมงานกับอลอนโซต่างพูดชื่นชมในลักษณะเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม บางคนไม่แปลกใจที่กุนซือใหม่ป้ายแดงประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว

ขอบคุณภาพจาก  https://www.irishmirror.ie/sport/soccer/soccer-news/xabi-alonso-claims-rafael-benitez-10242865

เมื่อเบนิเตซรับตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในฤดูร้อนปี 2004 อลอนโซเป็นผู้เล่นคนแรกที่เขาซื้อเข้ามา จากเรอัล โซเซียดาด ด้วยค่าตัว 10.5 ล้านปอนด์ และเพียง 9 เดือนต่อมา อลอนโซเป็นผู้ทำประตูตีเสมอ 3-3 ในนาทีที่ 60 ก่อนลิเวอร์พูลชนะเอซี มิลาน 3-2 ในการดวลจุดโทษของนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาล 2004-05

ราฟา เบนิเตซ ให้สัมภาษณ์ ESPN ว่า “ปกติแล้วมักจะมีลูกทีมบางคนในทีมที่คุณมองว่าสามารถเป็นโค้ชได้ในอนาคต ด้วยการมองจากทัศนคติและสภาพจิตใจของพวกเขา ชาบีเป็นนักเตะที่ฉลาดคนหนึ่ง เป็นคนประเภทที่คุณรู้สึกว่า เฮ้! นายคนนั้นจะเป็นโค้ชได้แน่ แต่ดีแค่ไหน คงยากที่จะรู้”

ลุยส์ การ์เซีย นักวิเคราะห์เกมของ ESPN ซึ่งย้ายมาค้าแข้งในแอนฟิลด์วันเดียวกับอลอนโซ เล่าว่า “อลอนโซทำตัวเหมือนเป็นผู้จัดการทีมตั้งแต่สมัยเล่นกับลิเวอร์พูล เขาจะบอกให้เพื่อนยืนตำแหน่งที่ถูกต้องและต้องทำอะไร”

“อลอนโซเป็นส่วนขยายของผู้จัดการทีมทั้งหลุยส์ อราโกเนส (ทีมชาติสเปน) และเบนิเตซ เขามักยืนตรงตำแหน่งที่ถูกต้องเสมอ เข้าใจดีว่าโค้ชต้องการอะไร อลอนโซเป็นคนแบบถ้าเป็นโค้ช ต้องทำงานได้ดีแน่ๆ นิสัยของเขาเก่งเรื่องจัดการกับสถานการณ์ สมัยเป็นผู้เล่นเขาสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้มาก เรียนรู้จากยอดกัปตันทีมและยอดโค้ช”

เริ่มชีวิตโค้ช 4 ปีแรกในระดับยู14 และทีมสำรอง

หลังแขวนสตั๊ดเมื่อจบซีซัน 2016-17 กับบาเยิร์น อลอนโซไม่ใช้เวลานานเพื่อเบนเข็มทิศสู่อาชีพโค้ช เริ่มจากเข้าคอร์สโค้ชไลเซนส์ เอ และ บี ของยูฟาในเดือนเมษายน 2018 ใช้เวลา 6 เดือนเรียนหลักสูตรเข้มข้นที่สำนักงานใหญ่ของสหพันธ์ฟุตบอลสเปน (RFEF) ร่วมห้องเรียนเดียวกับ ชาบี เอร์นานเดซ ซึ่งต่อมาเป็นผู้จัดการทีมบาร์เซโลนาระหว่างปี 2021–2024 และราอูล กอนซาเล ซึ่งเพิ่งพ้นตำแหน่งผู้จัดการทีมสำรองของเรอัล มาดริด เมื่อพฤษภาคม 2025

ปลายปี 2018 อลอนโซก็รับงานแรก เป็นโค้ชให้ทีมยู14ของเรอัล มาดริด ซึ่งลูกทีม 2 คนจากชุดในซีซัน 2018-19 คือ ฆาโกโบ รามอน และ เชมา อันเดรส ได้รับการโปรโมทขึ้นทีมชุดใหญ่ของมาดริดในฤดูกาล 2024-25 ที่เพิ่งจบลง ขณะที่อเล็กซ์ ฆีเมเนซ ถูกเอซี มิลาน ยืมตัวไปเล่นให้ทีมยู19 ในตลาดซัมเมอร์ปี 2023 มีโอกาสลงสนามเซเรีย อา 3 นัด ทำให้ “รอสโซเนรี” ประทับใจจนใช้ออปชันซื้อขาดคว้าตัวไปเล่นในซีซัน 2024-25 ด้วยค่าตัว 5 ล้านยูโร 

การ์เซียพูดถึงอดีตเพื่อนร่วมทีมว่า “สำหรับผมแล้ว นั่นเป็นการก้าวเดินด้วยขั้นตอนที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นบุคลิกของอลอนโซอยู่แล้ว เขาไม่เคยเร่งรัดหรือข้ามขั้นตอนในอาชีพ ผมมั่นใจว่ามีหลายทีมพร้อมรับเขาไปคุมทีม แต่เขาตัดสินใจเลือกทำงานกับอะคาเดมีของมาดริดเป็นอันดับแรก ตามด้วยทีมสำรองของโซเซียดาด (ปี 2019) ซึ่งต่างเป็นทีมที่เขารู้จักดี ทั้งยังควบคุมสถานการณ์ต่างๆได้ ตัดสินใจว่าควรทำอะไร และสามารถทำผิดพลาดได้”

อลอนโซเริ่มต้นเล่นระดับซีเนียร์กับทีมสำรองของโซเซียดาด (1999–2000) ในลีกเซกุนดา ก่อนเลื่อนขึ้นทีมชุดใหญ่ (2000–2004) ช่วยโซเซียดาดเป็นรองแชมป์ลา ลีกา และย้ายไปเล่นให้ลิเวอร์พูล (2004–2009) ตามด้วยเรอัล มาดริด (2009–2014) และบาเยิร์น (2014–2017) 

ขอบคุณภาพจาก  https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-9393707/Xabi-Alonso-left-mark-Real-Sociedad-leave-soon-build-legacy.html

หลังทำงานในอะคาเดมีของมาดริด อลอนโซจับงานใหญ่ขึ้น คุมทีมสำรองของโซเซียดาดในเดือนมิถุนายน 2019 ซึ่งตอนนั้น อเล็กซ์ เพตซาร์โรมัน แบ็คขวาทีมเดปอร์ติโว ลา คอรุนญา สโมสรในเซกุนดาปัจจุบัน อยู่ในทีมแล้ว 

“อลอนโซเป็นไอดอลเสมอที่ลา เรอัล” เพตซาร์โรมันรำลึกอดีต “ความรู้สึกแรกของผมคือ ว้าว! เรามีโค้ชเป็นอดีตแชมป์โลกและได้แชมป์หลายรายการ ก็มีบางคนกังวลเหมือนกันว่าเขาเป็นคนแบบไหน แต่พอทำงานด้วยกันจริงๆ ทุกอย่างก็ง่ายมาก”

ที่สเปน ทีมสำรองลงแข่งในโครงสร้างลีกเดียวกับทีมชุดใหญ่ เพียงแต่ไม่สามารถเลื่อนชั้นขึ้นไปเล่นลีกเดียวกัน โดยซีซันแรกของอลอนโซ “ซานเซ” (Sanse) จบที่อันดับ 5 ของเซกุนดา ดิวิชัน บี แต่ซีซันต่อมา 2020-21 ซานเซคว้าแชมป์และถูกโปรโมทคืนสู่เซกุนดาหรือลีกเทียร์ 2 ของสเปนเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี และยังเป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์สโมสรด้วย

เพตซาร์โรมัน ซึ่งเป็นกัปตันทีมซานเซขณะนั้น กล่าวด้วยว่า “อลอนโซใกล้ชิดกับนักเตะ เป็นคนที่เข้าถึงง่าย ทุกคนต่างพูดถึงเขาในทางที่ดี ผมยังจำวันเก่าๆตอนเลื่อนดิวิชันได้ มีอารมณ์ร่วมมากมาย”

“ก่อนหน้าปีนั้นผมเอ็นไขว้หัวเข่าฉีก แต่อลอนโซเป็นโค้ชที่ดึงศักยภาพสูงสุดและฟอร์มดีที่สุดของผมออกมา บทสนทนาระหว่างเราในสนามหลังจากได้สิทธิเลื่อนชั้น ยังคงอยู่กับผมจนถึงทุกวันนี้”

แบ็คขวาทีมลา คอรุนญา ระบุว่า อลอนโซแสดงปรัชญาการเป็นโค้ชออกมาตั้งแต่ตอนนั้น “ทีมของอลอนโซต้องการบอลและเล่นไดเรคด้วย ทีมต้องเข้าเพรสทันทีที่เสียบอลด้วยความเข้มข้น นั่นคือสิ่งที่เขาบอกพวกเราบ่อยมากที่สุด เขามีไอเดียมากมายในหัว ต้องการให้ทีมเล่นอย่างไร โดยมีรูปแบบหลากหลาย แต่หลักการสำคัญที่สุดคือเรื่องที่กล่าวมาข้างต้น”

ไม่แปลกใจเลยที่เพตซาร์โรมันพูดเช่นนั้น เพราะเป็นสิ่งที่คาดหวังได้จากนักเตะที่เรียนรู้วิชาโค้ชจากกวาร์ดิโอลา, มูรินโญ และอันเชลอตติ ซึ่งปรากฏให้เห็นคนละนิดคือ แทคติกที่ยืดหยุ่น ความละเอียดถี่ถ้วน และการบังคับบัญชา แต่ยังเป็นผู้จัดการทีมที่มีความคิดเฉียบแหลมและไม่โอ้อวด”

“เราคุยกันในวันหนึ่ง อลอนโซบอกว่าวิธีที่ผมฝึกซ้อมยังไม่ดีพอ ผมจำเป็นต้องซ้อมทุกวันให้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เพื่อไปถึงจุดสูงสุด เขาบอกว่าผมมีศักยภาพมาก แต่วิธีฝึกซ้อมไม่ได้ดึงมันออกมาทั้งหมด ซึ่งเป็นคำพูดที่ผุดขึ้นมาในหัวผมบ่อยครั้ง ผมจึงเปลี่ยนวิธีซ้อม ไม่ทำอะไรสบายๆหรือผ่อนคลาย ผมเริ่มทุ่มเทให้กับมันมากขึ้น” เพตซาร์โรมันเปิดใจถึงคำพูดของอลอนโซนที่เค้นศักยภาพสูงสุดออกมาจากตัวเขา

ทีมสำรองของโซเซียดาดตกไปอยู่ดิวิชัน บี ในซีซันต่อมา 2021-11 แต่ไม่มีใครตำหนิหรือโยนความผิดให้อลอนโซ ซึ่งทุกคนรับรู้ถึงสไตล์คุมทีมที่เหมือนเงาสะท้อนสถานภาพนักเตะของเขาคือ เทคนิคที่ดึงดูดสายตา และเน้นแทคติก 

หลังจาก 3 ปีที่กลับมาใช้ชีวิตในซาน เซบาสเตียน เป็นเวลาที่อลอนโซต้องก้าวขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง

เปลี่ยน Neverkusen เป็นแชมป์บุนเดสลีกาไร้พ่าย

เลเวอร์คูเซนเป็นหนึ่งในสโมสรต้นแบบ ผลิตนักเตะดีๆออกมาต่อเนื่องและมักมีฤดูกาลที่ดีเสมอ แต่ไม่เคยสัมผัสช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ ในประวัติศาสตร์กว่า 1 ศตวรรษก่อนมาของอลอนโซ ถ้วยรางวัลที่ Neverkusen ได้สัมผัสมีเพียง เดเอฟเบ โพคาล 1993 และยูฟา คัพ 1988 โดยช่วงพีคสุดคือระหว่างปลายทศวรรษ 1990 ถึงต้น 2010 เคยเป็นรองแชมป์บุนเดสลีกา 5 สมัย และอันดับ 2 แชมเปียนส์ ลีก 2002 

นั่นหมายถึง อลอนโซใช้เวลาแค่ 1 ปีครึ่งในการล้างสมญานาม Neverkusen

ขอบคุณภาพจาก  https://www.getfootballnewsgermany.com/2024/xabi-alonso-comments-on-what-it-means-to-win-the-bundesliga/

บิล คอนเนลลีย์ นักข่าวอีกคนหนึ่งของ ESPN เล่าว่า อลอนโซใช้เวลาไม่นานพาเลเวอร์คูเซนพ้นโซนตกชั้นหลังรับตำแหน่งเมื่อตุลาคม 2022 ก่อนสร้างลายเซ็นให้กับสไตล์ฟุตบอล แต่ยังเก็บแนวคิดแทคติกที่ซับซ้อนเอาไว้ใช้ในพรีซีซันในปี 2023 วางแผนซ้อมพิเศษเพื่อสร้างระบบการเล่นที่เน้นการครองบอล (possession-based system) ซึ่งนำไปสู่ดับเบิลแชมป์เมื่อจบซีซัน 2023-24 คือบุนเดสลีกาไร้พ่ายและเดเอฟเบ โพคาล ทั้งยังเป็นรองแชมป์ยูโรปา ลีก

ปีต่อมา อลอนโซไม่สามารถรักษาผลงานระดับนั้นได้ก็ตาม เสียถาดแชมป์กลับไปให้บาเยิร์น, แพ้อาร์มิเนีย บีเลเฟลด์ รอบตัดเชือกถ้วยเยอรมัน และตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย แชมเปียนส์ ลีก ด้วยน้ำมือบาเยิร์น

คอนเนลลีย์อธิบายรูปแบบการเล่นของเลเวอร์คูเซนว่า อลอนโซวางหลักการบางอย่างที่ไม่สามารถต่อรองได้ ทุกคนไม่เคยเห็น Die Werkself จ่ายบอลยาวอย่างรีบเร่ง แต่ยังมีความยืดหยุ่นของแทคติก ทีมจบเกมด้วยการครองบอลต่ำกว่า 50% ประมาณ 20% ของโปรแกรมแข่ง และครองบอลมากกว่า 65% ราว 32% ของทั้งหมด

เลเวอร์คูเซนยุคอลอนโซทำแต้มเฉลี่ย 2.19 คะแนนต่อนัดเมื่อครองบอลน้อยกว่า 50% และนัดละ 2.15 คะแนนเมื่อครองบอลเหนือ 50% นั่นหมายถึง possession-based system ของทีมมีประสิทธิภาพสูง ทั้งที่ทีมสามารถเคาน์เตอร์แอทแทคได้แต่กลับไม่ทำ พร้อมอาจสร้างแรงกดดันฝ่ายตรงข้ามด้วย counter-pressing และ high defensive line แต่กลับทำเช่นนั้นเฉพาะเมื่อมีโอกาสเท่านั้น

แต่คอนเนลลีย์ชี้ว่า บางทีความยืดหยุ่นทางแทคติกอาจส่งผลเสียได้เช่นกัน อลอนโซคิดมากกับการจัดตัวผู้เล่น่ในบางครั้ง เช่นเปลี่ยนแผนจากหลัง 3 เป็นหลัง 4 ในเกมกับบาเยิร์นและบอลยุโรปหลายนัด ซึ่งให้ผลลัพธ์ต่างกันไป และหากแผน เอ ไม่ทำงาน เลเวอร์คูเซนจะหันไปพึ่งพาการเล่นที่ดุเดือดเข้มข้นเสมอ โดยทีมของอลอนโซมีผลต่างประตู +32 ตั้งแต่นาทีที่ 80ขึ้นไป รวมถึงประตูได้ 34 และเสีย 5 รวมทุกรายการในซีซัน 2023-24 และยังรักษาสถิติไร้พ่ายได้สำเร็จแม้โดนคู่แข่งรุกกระหน่ำช่วงทดเวลาเจ็บ นั่นแสดงถึงโปรแกรมฝึกซ้อมสร้างความฟิตของทีมงานมีผลอย่างมากในการต่อสู้ท้ายเกม ส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อมั่นของลูกทีมที่มีต่อโค้ชที่ผลักดันให้ทีมผ่านพ้นวิกฤติของเกมไปได้

การเสริมนักเตะเป็นอีกปัจจัยสำคัญ อลอนโซเซ็นสัญญากับกรานิต ชากาในปี 2023 เพื่อมาเป็นเจ้าทัพในแดนกลาง ด้วยประสบการณ์ของอดีตกัปตันทีมอาร์เซนอล พร้อมการสนับสนุนจากคู่ปราการหลังที่แข็งแกร่ง อย่างโจนาธาน ทาห์ และเอ็ดมอนด์ แท็ปโซบา บวกกับตัวรุก วิคเตอร์ โบนิเฟซ, เฌเรมี ฟริมปง และฟลอเรียน เวิร์ตซ์ จนดูเหมือนอลอนโซมีทรัพยากรบุคคลที่เข้าได้สมบูรณ์แบบกับวิสัยทัศน์ของตนเอง เนื่องจากก่อนการมาของกุนซือวัย 49 จากสเปน ฟริมปงและ อเลฆานโดร กริมัลโด วิงแบ็ค 2 ฝั่ง ไม่เคยสร้างผลงานได้ระดับนั้นให้กับเลเวอร์คูเซนเลย ขณะที่เวิร์ตซ์ก็มีพัฒนาการรุดหน้าเมื่อได้ทำงานร่วมกับอลอนโซ

เลเวอร์คูเซนฝากอนาคตในมือผู้จัดการทีมรุกกี

อลอนโซเป็นนักเตะเวิลด์คลาสอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ไม่ได้หมายความจะเป็นผู้จัดการทีมที่ดี ทำไมเลเวอร์คูเซนกล้าเสี่ยงกับอลอนโซ ซึ่งมีประสบการณ์โค้ชเพียง 4 ปี แถมเป็นเพียงทีมยู14 และทีมสำรอง

ขณะเซ็นสัญญาอลอนโซ เลเวอร์คูเซนอยู่อันดับ 17 ของตารางลีกเมืองเบียร์ ซีซัน 2022-23 แต่ไซมอน โรล์ฟส์ ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการของสโมสร ดูเหมือนตระหนักว่าได้พบคนที่มีจิตวิญญาณเหมือนกัน

ขอบคุณภาพจาก  https://www.sandiegouniontribune.com/2024/02/10/leverkusen-de-xavi-alonso-golea-3-0-bayern-munich-y-abre-brecha-de-5-puntos-en-cima-de-bundesliga/

โรล์ฟส์ให้สัมภาษณ์ ESPN เมื่อปีที่แล้วว่า “สโมสรมีข้อมูลที่ดีอยู่แล้ว มีการวิเคราะห์ว่าเขาเล่นอย่างไร ทำฟุตบอลสไตล์ไหน สามารถคาดหวังอะไรได้บ้าง เหมาะกับนักเตะของเราหรือเปล่า บุคลิกภาพส่วนบุคคล เขาเป็นคนอย่างไร และการสนทนาส่วนตัวระหว่างเราก็ยืนยันเรื่องนี้”

“อลอนโซสามารถได้ประสบการณ์ที่นี่ เราในฐานะสโมสรสามารถสนับสนุนเขาได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เราเป็นสโมสรที่ดีและมั่นคง เรามีทีมงานโค้ชที่ดี ซึ่งสามารถช่วยเหลือเขาได้ ส่วนผม ด้วยสถานภาพตามตำแหน่ง ผมต้องให้การสนับสนุนเขาอยู่แล้ว”

ขณะที่คนอื่นๆในสโมสรต่างเชื่อมั่นเช่นกันว่า ออราที่ออกมาจากอลอนโซและประสบการณ์ในฐานะนักเตะ รวมถึงการเป็นกองกลางที่เฉลียวฉลาดมาก และรู้จักการเล่นในตำแหน่งต่างๆ ทำให้อลอนโซเป็นตัวเลือกสมบูรณ์แบบสำหรับเลเวอร์คูเซน แม้เพิ่งเป็นการก้าวขึ้นอีกระดับหนึ่งของอาชีพโค้ช

เฟอร์นันโด คาร์โร ซีอีโอของเลเวอร์คูเซน กล่าวกับ ESPN เมื่อปีที่แล้วเช่นกันว่า “ไซมอนและชาบีมีมุมมองฟุตบอลคล้ายกัน คือต้องการเป็นฝ่ายคอนโทรลเกม ทั้งคู่เป็นมิดฟิลด์ที่เล่นตำแหน่งเดียวกัน สิ่งที่ทำให้ผมเชื่อมั่นคือ ทักษะการวิเคราะห์ของชาบี วิธีที่เขาวิเคราะห์สถานการณ์ สิ่งที่เขาคิดว่ามีความจำเป็น สิ่งที่เขาเรียนรู้จากโค้ชคนอื่นๆที่แตกต่างกัน ผมพอใจที่ชาบีเป็นคนฝักใฝ่เรียนรู้เสมอ และความสามารถของเขาในการนำประสบการณ์นักฟุตบอลมาใช้กับบทบาทโค้ช เขาทั้งฉลาด ใจเย็น และทะเยอทะยาน”

เพราะความทะเยอะทะยานนำพาอลอนโซก้าวขึ้นในระดับที่สูงขึ้นกับเรอัล มาดริด ซึ่งไม่ใช่เพียงเป็นสโมสรยักษ์ใหญ่ ขณะที่เลเวอร์คูเซนเป็นทีมชั้นนำที่กระหายความสำเร็จ แต่ “โลส บลังโกส”  คาดหวังความสำเร็จตลอดเวลา “ถ้าทีมไม่ชนะ คุณต้องไป ไม่ว่าเป็นใคร” อลอนโซเป็นอดีตนักเตะมาดริดคนที่ 7 ที่รับตำแหน่งใหญ่ในเบร์นาเบว และซีเนอดีน ซีดาน เป็นคนเดียวที่คุมทีมนานกว่า 1 ปีครึ่ง

อลอนโซเปิดใจขณะคุมทีมเลเวอร์คูเซนว่า “สิ่งที่เป็นกุญแจดอกสำคัญสำหรับผมที่เยอรมนีคือนักฟุตบอล ผมได้รับความเชื่อมั่นจากพวกเขา พวกเขามอบสิทธิพิเศษให้ผม ‘ใช่ เราต้องการเดินตามคุณ’ พวกเขาต่างมั่นใจว่า ‘ใช่ มันจะได้ผล’ พวกเขาเดินตามด้วยความเชื่อมั่นในสิ่งที่กำลังทำ”

แต่กับมาดริด ทีมที่อุดมไปด้วยดาวเตะฝีเท้าดีที่เชื่อมั่นในตัวเองสูง เช่นเดียวกับประธานสโมสรผู้แข็งกร้าว อลอนโซจะได้รับอิสระและมีลูกทีมที่ศรัทธาและยอมทำตามอย่างที่เลเวอร์คูเซนหรือไม่

แต่มองโลกแง่ดี อลอนโซมีประสบการณ์ที่มาดริดทั้งฐานะผู้เล่นและโค้ช ย่อมรู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับอะไร และต้องทำอะไร เมื่อบวกกับบุคลิกที่มั่นใจในตัวเองกับตัวอย่างที่ผ่านมา บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า อลอนโซเป็นโค้ชที่มีศักยภาพสูงแม้ระยะเวลาทำทีมยังไม่มากนัก

อย่างไรก็ตาม คอนเนลลีย์มองว่า ความยืดหยุ่นทางแทคติกยังเป็นเรื่องยากสำหรับอลอนโซในมาดริดเมื่อเทียบกับเลเวอร์คูเซน เพราะมีแนวรุกระดับบัลลงดอร์ถึง 3 คนคือ คีลิยัน เอ็มบัปเป, วินีซิอุส จูเนียร์ และจูด เบลลิ่งแฮม

นั่นหมายถึงอลอนโซยังมีเรื่องต้องแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนาพอสมควร แม้กระทั่งอันเชลอตติยังยอมรับหลังประกาศอำลาตำแหน่งหลังจบซีซัน 2024-25 ว่า ตัวเขาไม่สามารถจัดทีมนี้ให้มีประสิทธิภาพได้ ปัญหาอยู่ที่การจัดสมดุล ซึ่งอเล็กซ์ เคิร์กแลนด์ ผู้สื่อข่าว ESPN มองว่าเป็นการหาวิธีใส่เอ็มบัปเปให้ลงตัวในทีมที่มีวินีซิอุส, เบลลิ่งแฮม และโรดรีโกอยู่แล้ว โดยไม่ส่งผลเสียหายต่อความสมบูรณ์ของระบบเกมรับ

ขอบคุณภาพจาก  https://www.sportscasting.com/uk/news/real-madrid-vincius-kylian-mbappe-relationship/

เคิร์กแลนด์ยังชี้ถึงงานท้าทายใหญ่ที่สุดสำหรับอลอนโซอาจเป็นการหาจุดลงตัวระหว่างเอ็มบัปเปและวินีซิอุส ซึ่งต่างชอบเล่นฝั่งซ้ายของแนวรุก ทั้งสองต้องร่วมกันทำหน้าที่ฟรอนท์ทูอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีสัญญาณดีจากแฮททริกของเอ็มบัปเปในแมตช์แพ้บาร์ซา 3-4 (11 พ.ค.2025) รวมถึง 2 แอสซิสต์จากวินีซิอุส แต่ยังมีปัญหาสำคัญอยู่ที่การทำงานนอกบอลของทั้งสอง ซึ่งโดนวิจารณ์ว่าเป็นนักเตะเอาท์ฟิลด์ 2 คนที่ใช้เวลามากที่สุดไปกับการเดินไปเดินมาบนสนามลาลีกาฤดูกาลนี้

แต่แฟนบอลไม่ต้องรอให้ถึงเกมอุ่นเครื่องพรีซีซันหรือฤดูกาลหน้าเปิดฉาก เพื่อจะได้เห็นว่าอลอนโซจะนำมาดริดไปสู่สไตล์การเล่นรูปแบบไหน เพราะ “โลส บลังโกส” มีคิวลงแข่งขันชิงแชมป์สโมสรโลกที่สหรัฐอเมริกา โดยอยู่กลุ่ม เอช ของกรุ๊ปสเตจ พบกับอัล ฮิลาล, ปาชูกา (เม็กซิโก) และเรดบูล ซัลซ์บวร์ก ซึ่งหากมาดริดยืนอันดับ 1 ของกลุ่ม จะผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ 16 ทีมสุดท้าย พบกับอันดับ 2 ของกลุ่ม จี ซึ่งมีแมนฯซิตี, ยูเวนตุส, วีแดด เอซี (โมร็อกโก) และ อัล ไอน์ (ยูเออี)

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Feature

LIVE AND LEARN โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ ผู้นำพาเลซชิงถ้วยเอฟเอกับแมนฯซิตี

คริสตัล พาเลซ สโมสรฟุตบอลอายุเกือบ 120 ปีแห่งเซลเฮิร์สท์ ลอนดอนใต้ มีเกียรติประวัติสูงสุด แชมป์ลีกเทียร์ 2 ซีซัน 1978-79 และ 1993–94 รวมถึงรองแชมป์เอฟเอ คัพ 2 สมัย ซึ่งแพ้ต่อแมนฯยูไนเต็ดทั้ง 2 ครั้ง

ฤดูกาล 1989-90 พาเลซขึ้นนำ 2 ครั้ง ก่อนเสมอ 3-3 เมื่อจบเกม 120 นาที ต้องเตะรีเพลย์อีก 5 วันถัดมา ซึ่งแมนฯยูไนเต็ดชนะ 1-0 จากประตูนาทีที่ 59 ของลี มาร์ติน เป็นแชมป์รายการแรกของอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งช่วยให้ตำนานผู้จัดการรอดพ้นจากการโดนปลด

ฤดูกาล 2015-16 พาเลซยังคงเป็นฝ่ายนำ และแมตช์ต้องต่อเวลาอีกครั้งหลังเสมอ 1-1 ก่อนที่แมนฯยูไนเต็ดปิดจ็อบสำเร็จ เจสซี ลินการ์ด ทำประตูชัยนาทีที่ 110 

ฤดูกาล 2024-25 วันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม 2025 พาเลซจะเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ เป็นครั้งที่ 3 และเป็นอีกครั้งที่ฝ่ายตรงข้ามคือ แมนเชสเตอร์ แต่หนนี้เป็นแมนฯซิตี

ถ้าล้มทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอลา ได้สำเร็จ “ดิ อีเกิลส์” ไม่เพียงสัมผัสถ้วยเก่าแก่สมัยแรก ยังได้สิทธิร่วมแข่งขันยูโรปา ลีก ฤดูกาลหน้า

ผู้จัดการทีมที่อาจสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้พาเลซมีชื่อว่า โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ กุนซือวัย 50 ปีจากออสเตรีย

เริ่มต้นสวย พาเลซล้มลิเวอร์พูลแมนฯยูไนเต็ด

ว่างงานเกือบ 1 ปีหลังไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต ยกเลิกสัญญาเมื่อจบซีซัน 2022-23 กลาสเนอร์ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมพาเลซ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2024 แทนรอย ฮอดจ์สัน แต่ไม่ได้คุมทีมข้างสนามในวันนั้น ซึ่งพาเลซเสมอ 1-1 ในบ้านของเอฟเวอร์ตัน เพียงเฝ้าดูบนอัฒจันทร์เคียงข้างสตีฟ แพรีช ประธานสโมสร มอบหน้าที่ให้แพดดี แมคคาร์ธี

ขอบคุณภาพจาก  https://www.reddit.com/r/soccerbanners/comments/1awbbbt/austrian_oliver_glasner_has_taken_over_as_crystal/

กับการคุมทีมลงสนามพรีเมียร์ลีกนัดแรก วันที่ 24 กุมภาพันธ์ กลาสเนอร์พาทีมชนะเบิร์นลีย์ 3-0 ในเซลเฮิร์สท์ พาร์ค และยังสามารถหยุดสถิติไร้พ่ายในแอนฟิลด์ของลิเวอร์พูลไว้ที่ 29 นัดด้วยชัยชนะ 1-0 เมื่อ 14 เมษายน

แค่นั้นยังไม่พอ พาเลซยังอัดแมนฯยูไนเต็ดพังพาบ 4-0 ในเซลเฮิร์สท์ พาร์ค เมื่อ 6 พฤษภาคม และปิดฉากซีซันด้วยฟอร์มข่มวิลลา 5-0 เก็บชัยชนะ 6 นัดจาก 7 นัดสุดท้าย จบด้วยอันดับ 10 ซึ่งสูงสุดในยุคพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งที่ 2 หลังจากขึ้นๆลงๆอันดับ 14-15 ระหว่างต้นธันวาคมถึงปลายเมษายน อีกทั้งกลาสเนอร์ยังช่วยให้พาเลซเก็บแต้มสะสมได้ 49 คะแนน

ลูกทีม 4 คนของกลาสเนอร์ยังโชว์ฟอร์มเข้าตาแกเรธ เซาธ์เกต ซึ่งใส่ชื่อในทีมชาติอังกฤษชุดยูโร 2024 ได้แก่ เอเบเรชี เอเซ, มาร์ก เกฮี, อดัม วอร์ตัน และดีน เฮนเดอร์สัน เป็นจำนวนมากที่สุดในบรรดาสโมสรพรีเมียร์ลีก

แต่การคุมทีมเต็มซีซันครั้งแรกของกลาสเนอร์ พาเลซออกสตาร์ทพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2024-25 ย่ำแย่ ชนะนัดเดียวจาก 13 เกมแรก เสมอและแพ้อย่างละ 6 นัด ก่อนยกระดับผลงานขึ้นมา เคยขึ้นไปถึงอันดับ 11 ส่วนบอลถ้วย พาเลซตกรอบ 8ทีมสุดท้าย คาราบาว คัพ เมื่อแพ้อาร์เซนอล 2-3 แต่ได้ชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ กับแมนฯซิตี

กลาสเนอร์อาจไม่ใช่ผู้จัดการทีมในพรีเมียร์ลีกที่ได้รับความสนใจจากสื่อกระแสหลักในอังกฤษ และถูกนำเสนอข่าวสารมากนัก แต่เรื่องราวและปรัชญาการทำงานของเขาก็น่าสนใจใม่ใช่น้อย

ความผิดพลาดทำให้นักเตะก้าวหน้า

ว่ากันว่าเมื่อครั้งกลาสเนอร์รับงานที่เซลเฮิร์สท์ ข้อความแรกที่ส่งไปยังนักเตะพาเลซคือ “อย่ากลัวที่จะทำผิดพลาด”เนื่องจากกุนซือออสเตรียตระหนักว่า ฟุตบอลเป็นเกมที่สร้างขึ้นมาจากความผิดพลาด และผู้เล่นจะเติบโตก้าวหน้าอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อปราศจากความกลัว

เคนเนดี บัวเต็ง เซ็นเตอร์แบ็ควัย 28 ของดีนาโม บูคาเรสต์ ซึ่งเคยเล่นให้กลาสเนอร์ที่แอลเอเอสเค ช่วยยืนยันแนวคิดข้างต้นว่า “สำหรับนักฟุตบอลหนุ่มๆ แนวคิดนี้ถือว่าดีมาก กลาสเนอร์เป็นโค้ชที่ใกล้ชิดลูกทีมและอนุญาตให้ทำผิดพลาดได้ ขณะที่ความอิสระเป็นเรื่องดีเพราะเปิดโอกาสให้เรียนรู้โดยปราศจากความกลัว ซึ่งมักเกิดขึ้นเวลาทำผิด”

ปรัชญาดังกล่าวมาจากประสบการณ์ “เฉียดตาย” ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของกลาสเนอร์ ซึ่งแขวนสตั๊คขณะอายุ 37 ปีเพราะเลือดออกในสมอง ดังนั้นเมื่อหันเข็มทิศชีวิตมาเป็นโค้ช กลาสเนอร์จึงสัญญากับตัวเองว่า นี่ไม่ใช่เพียงงาน แต่ยังต้องสนุกด้วย

กลาสเนอร์เริ่มเส้นทางนักฟุตบอลกับ SV Riedau ก่อนเข้าร่วม SV Ried ทีมในดิวิชัน 2 ของออสเตรียในปี 1993 ขณะอายุ 19 ปี 

เอสเฟา รีด เลื่อนขึ้นไปยังออสเตรียน บุนเดลีกา ในปี 1995 และชนะเลิศออสเตรียน คัพ ซีซัน 1997-98 แต่เมื่อทีมตกลงไปดิวิชัน 2 ในปี 2003 กลาสเนอร์ย้ายไปเล่นให้แอลเอเอสเคในลีกสูงสุดด้วยสัญญายืมตัว ก่อนกลับมา เอสเฟา รีด ซึ่งโปรโมทขึ้นลีกสูงสุดในปี 2005 และได้แชมป์ออสเตรียน คัพ อีกสมัยในซีซัน  2010-11

ขอบคุณภาพจาก  https://www.thesun.co.uk/sport/34725201/oliver-glasner-premier-league-crystal-palace-fa-cup/

31 กรกฎาคม 2011 กลาสเนอร์มีแผลแตกเหนือตาและมีอาการกระทบกระเทือนทางสมองเล็กน้อยขณะแย่งโหม่งระหว่างแข่งขันบอลลีกกับราปิด เวียนนา แต่ยังร่วมเดินทางกับทีม ซึ่งมีคิวเตะยูโรปา ลีก นัดที่ 2 ของรอบคัดเลือก รอบ 3 กับบรอนด์บี 

อาการเลือดออกในสมองกำเริบขึ้นเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2011 หลังการฝึกซ้อม กลาสเนอร์ถูกส่งเข้ารับการผ่าตัดฉุกเฉิน แม้พ้นขีดอันตรายแต่กลาสเนอร์ประกาศอำลาวงการตามคำแนะนำของแพทย์เมื่อ 23 สิงหาคม 2011 ด้วยสถิติลงสนามบอลลีกกว่า 500 นัดตลอดระยะเวลา 16 ปีในฐานะผู้เล่นกองหลัง

ไม่เพียงปรัชญาการใช้ชีวิต แต่แนวคิดการทำงานของกลาสเนอร์ก็ให้ประโยชน์แก่เช่นกัน

สนับสนุนให้นักเตะปลดปล่อยตัวตนออกมา

หลังยุติอาชีพนักฟุตบอล กลาสเนอร์ได้รับข้อเสนอให้ทำหน้าผู้ช่วยโค้ชที่เอสเฟา รีด ในปี 2012 แต่ ปีเตอร์ โวเกิล ซึ่งตอนนั้นเป็นประธานสโมสรกิตติมศักดิ์ของเอสเฟา รีด และซีอีโอของเรดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก ได้ดึงเขามาเป็นผู้ช่วยฝ่ายบริหารและรับผิดชอบด้านกีฬา

กลาสเนอร์เคยขอโอกาสจาก ราล์ฟ รังนิก เพื่อทำหน้าที่โค้ช และเดือนกรกฎาคม 2012 ก็ได้เป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมของ โรเจอร์ ชมิดท์ ในทีมชุดใหญ่ของซัลซ์บวร์ก แต่หลังจากร่วมคว้าแชมป์ลีกและบอลถ้วย ซีซัน 2013-14 กลาสเนอร์ก็ไม่ได้ตามไปทำงานกับชมิดท์ที่ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน แต่ตอบรับตำแหน่งผู้จัดการทีม เอสเฟา รีด ซีซัน 2014-15 

ฤดูกาลถัดมา กลาสเนอร์ย้ายไปทำงานให้สโมสรเก่าอีกแห่งคือ แอลเอเอสเค ควบตำแหน่งผู้จัดการทีมและผู้อำนวยการด้านกีฬา สามารถพาทีมขึ้นไปเล่นลีกสูงสุดในการคุมทีมปีที่ 2 และจบอันดับ 4 ออสเตรียน บุนเดสลีกา ซีซัน 2017-18 ได้สิทธิเล่นยูโรปา ลีก รอบคัดเลือก รอบที่ 3 ซึ่งเป็นการคืนสังเวียนยุโรปของทีมนับจากปี 2000 

กลาสเนอร์พาแอลเอเอสเคเป็นรองแชมป์ลีก ซีซัน 2018-19 ได้สิทธิเล่นแชมเปียนส์ ลีก รอบคัดเลือก รอบที่ 3 ซึ่งทำให้ เยิร์ก ชมัดท์เคอ เห็นแวว จึงดึงตัวไปคุมทีมโวล์ฟส์บวร์กในบุนเดสลีกาเมื่อเดือนกรกฎาคม 2019

ขอบคุณภาพจาก  https://www.common-goal.org/Stories/Glasner-Joins-Common-Goal2020-07-27

เคนเนดี บัวเต็ง อดีตลูกทีมของกลาสเนอร์ที่แอลเอเอสเค กล่าวถึงอดีตนายใหญ่ที่เปลี่ยนจากทีมเล็กๆให้กลายเป็นทีมแนวหน้าว่า กลาสเนอร์ใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆ เปรียบเสมือนพ่อคนที่ 2 เวลาอยู่ในโรงอาหาร ซึ่งเป็นคนละคนกับตอนอยู่ในสนามฟุตบอล สนใจอยากรู้แบ็คกราวน์ของผู้เล่นเพื่อทำความเข้าใจในฐานะเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง

“สำหรับคนที่มาจากแอฟริกาอย่างผม ย่อมอยากได้ใครสักคนที่เป็นเหมือนพ่อ โดยเฉพาะพวกเราที่เพิ่งมาอยู่ยุโรปเป็นครั้งแรก เรื่องนี้มีความสำคัญมาก เขาไม่ได้ปฏิบัติต่อพวกเราทุกคนเหมือนกันหมด แต่จะปรับแต่งให้เข้ากับแต่ละคนในฐานะปัจเจกบุคคล ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องทำอะไรเหมือนๆกัน แต่ทุกคนจะรู้สึกมีส่วนร่วม”

กลาสเนอร์ยังเป็นคนเดิมที่สนามซ้อมเบคเคนแฮมของพาเลซ สนับสนุนให้แต่ละคนแสดงความออกถึงความเป็นตัวของตัวเอง และยืนยันให้ทุกคนทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่ในงานที่ทำ ไม่ว่าจะเป็นนักฟุตบอล สตาฟฟ์โค้ช หรือแม้แต่พนักงานในครัว

บทเรียนจากการขัดแย้งแรงที่โวล์ฟส์บวร์ก

บุนเดสลีกาถือเป็นก้าวกระโดดสำหรับอาชีพโค้ชของกลาสเนอร์ พาโวล์ฟส์บวร์กจบอันดับ 7 ในปีแรก ได้โควตายูโรปา ลีก ซึ่งเข้าถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย และจบอันดับ 4 ในปีที่ 2 ได้โควตาแชมเปียนส์ ลีก แต่กลับแยกทางกับสโมสรเมื่อจบซีซัน 2020-21 เนื่องจากมีความขัดแย้งกับชมัดท์เคอ ผู้อำนวยการกีฬาของสโมสร และลูกทีมขาใหญ่บางคน

กลาสเนอร์ประสบปัญหาระเบียบวินัยในห้องแต่งตัว จนทุกอย่างถึงจุดระเบิด เป็นกุนซือที่เลือกเป็นฝ่ายก้าวเท้าออกจากโวล์ฟส์บวร์ก โดย โจชัว กุยลาโวกุย กัปตันทีมขณะนั้น ซึ่งตอนนี้เล่นกับทีมลีดส์ ถึงกับลั่นวาจาว่า ตัวเขาดีใจที่กลาสเนอร์ออกไป

ทอม เดสโบโรห์ นักข่าวเยอรมัน ให้ความเห็นว่า มันจบได้แปลกมากขณะที่ทีมมีช่วงเวลาที่ดีมาก กลาสเนอร์ทำผลงานในสนามได้เยี่ยม แต่มีปัญหาส่วนตัวกับชมัดท์เคอ รวมถึงกุยลาโวกุย ซึ่งเหตุผลคงเป็นเพราะดร็อปกัปตันทีมเป็นผู้เล่นสำรอง

“แต่ผมเชื่อว่า กลาสเนอร์ได้บทเรียนจากเรื่องเหล่านี้ และนำมันติดตัวไปที่แฟรงค์เฟิร์ต”

ยอมรับไม่ได้หากใช้อีโกกับทีมและส่วนรวม

เดือนพฤษภาคม 2021 แฟรงค์เฟิร์ตประกาศชื่อกลาสเนอร์เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ด้วยสัญญา 3 ปีจนถึง 30 มิถุนายน 2024 ตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้น กุนซือออสเตรียนให้คำมั่นสัญญาว่า จะมอบความเคารพและอิสระแก่นักเตะ แต่ระเบียบวินัยเป็นสิ่งที่ไม่สามารถต่อรองได้

กลาสเนอร์เคยให้สัมภาษณ์กับ The High Performance Podcast ว่า “ในชีวิตหนึ่ง ถ้าคุณลงทุนกับอะไรบางอย่างและมุ่งสมาธิอยู่กับมัน ก็จะได้รับรางวัลในที่สุด”

“ทุกคนต่างมีอัตตา (ego) ผมบอกกับนักเตะว่าให้ใช้มันเพื่อทีม ถ้าขัดแย้งกับผมด้วยอัตตา ไม่มีปัญหา แต่ถ้าใช้กับทีม เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้”

กลาสเนอร์เริ่มต้นไม่ดีนักในเยอรมนี แพ้วาลด์ฮอฟ มานน์ไฮม์ คู่แข่งระดับเทียร์ 3 ตกรอบแรก เดเอฟเบ โพคาล และลงไปอยู่ใกล้โซนตกดิวิชันในเดือนพฤศจิกายน 2021 หลังจากชนะนัดเดียวจาก 10 นัดแรก แต่เป็นชัยชนะเหนือบาเยิร์น มิวนิก 2-1 ในอัลลิอันซ์ อารีนา 

ขอบคุณภาพจาก  https://www.bundesliga.com/en/bundesliga/news/eintracht-frankfurt-oliver-glasner-method-uefa-europa-league-final-glory-glasgow-rangers-19883

แต่ระหว่างพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2021 แฟรงค์เฟิร์ตชนะ 6 นัดจาก 7 นัด ทะยานขึ้นไปอยู่อันดับ 6 เมื่อจบครึ่งแรกของซีซัน 2021-22 แต่ครึ่งหลัง ฟอร์มขึ้นๆลงๆ จบซีซันด้วยอันดับ 11 แต่กลาสเนอร์ทำผลงานได้เยี่ยมบนสังเวียนยุโรป ชนะเรอัล เบติส, บาร์เซโลนา และเวสต์แฮมในรอบน็อคเอาท์ เข้าถึงรอบชิงขนะเลิศ ยูโรปา ลีก และชนะเรนเจอร์สในการดวลจุดโทษ 5-4 พร้อมได้สิทธิเล่นแชมเปียนส์ ลีก เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1960

ก่อนนัดชิงชนะเลิศที่เซบีญา ประเทศสเปน แหล่งข่าวใกล้ชิดเปิดเผยว่า กลาสเนอร์ใช้เวลาส่วนตัวกับสมาชิกทุกคนในทีม รวมถึงเจ้าหน้าที่ดูแลชุดแข่ง เพื่อบอกว่า ทีมได้รับชัยชนะแล้วจากการมาถึงจุดนี้ เพราะสำหรับกลาสเนอร์แล้ว การเดินทางมีความสำคัญกว่าจุดหมายปลายทาง

กลาสเนอร์แยกทางกับแฟรงค์เฟิร์ตหลังจบซีซัน 2022-23 ก่อนหมดสัญญา 1 ปี โดย “ดิ อีเกิลส์” แพ้ไลป์ซิก 0-2 ในรอบชิงชนะเลิศ เดเอฟเบ โพคาล, จบอันดับ 7 ของบุนเดสลีกาหลังจากรั้งอันดับ 4 เมื่อจบครึ่งแรกของซีซัน และตกรอบ 16 ทีม แชมเปียนส์ ลีก

การหย่อนยานด้านระเบียบวิยันทำให้ห้องแต่งตัวพัง

ที่ประเทศอังกฤษ กลาสเนอร์พัฒนาพาเลซให้ดีขึ้นอย่างรวดเร็วหลังคุมทีมแทนฮอดจ์สันกลางกุมภาพันธ์ 2024 และได้ตอกย้ำความเชื่อเรื่อง “ระเบียบวินัยเป็นสิ่งที่ไม่สามารถต่อรองได้”

ต้นซีซัน 2024-25 กลาสเนอร์เคยสัญญาจะให้โอกาสลงสนามกับ ร็อบ โฮลดิง ในแมตช์กับเวสต์แฮม แต่เปลี่ยนแผนเมื่อพาเลซตามหลังอยู่ 0-2 สร้างความไม่พอใจให้อดีตเซ็นเตอร์แบ็คทีมชาติอังกฤษ ยู 21 ซึ่งย้ายมาจากอาร์เซนอลในตลาดซัมเมอร์ปี 2023 แต่ได้เล่นแค่นัดเดียวนับจากนั้น

หลังการแข่งขัน โฮลดิงไม่ยอมวอร์มดาวน์กับเพื่อนร่วมทีม ซึ่งกลาสเนอร์ไม่สามารถปล่อยผ่านได้ จึงลงโทษให้โฮลดิงแยกฝึกซ้อมคนเดียว และเพิ่มโทษให้ไปฝึกซ้อมกับทีมอะคาเดมีหลังจากไม่ได้รับคำขอโทษของโฮลดิง ก่อนส่งไปให้เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด สโมสรแชมเปียนชิพ ยืมตัวในครึ่งหลังของซีซัน 2024-25

เมื่อถูกถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานแถลงข่าว กลาสเนอร์กล่าวว่า “ตอนนี้ร็อบกำลังฝึกซ้อมเป็นรายบุคคลอยู่ เราจะคุยกัน เขารู้สาเหตุ แต่เรื่องนี้ยังเป็นเพียงเรื่องระหว่างเราเท่านั้น”

มีรายงานจากแหล่งข่าววงในด้วยว่า บอร์ดบริหารพยายามเข้ามาแทรกแซงความขัดแย้งดังกล่าว แต่กลาสเนอร์ยังคงยืนหยัดการตัดสินใจเพราะตระหนักดีว่า การต่อรองเรื่องนี้จะนำไปสู่การล่มสลายของบรรยากาศภายในห้องพักนักกีฬา

กลาสเนอร์ชุบชีวิตและทำให้พาเลซต่างไปจากเดิม

แม้ออกสตาร์ทฤดูกาลนี้ด้วยความลำบาก แต่กลาสเนอร์ยังพาพาเลซเข้าชิงชนะเลิศถ้วยเอฟเอเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2016 และสามารถรักษาสถานภาพในพรีเมียร์ลีกของทีมเป็นปีที่ 13 ติดต่อกัน พร้อมทั้งชนะใจสตีฟ แพรีช ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนเอาใจยากได้สำเร็จ โดยประธานสโมสรกล่าวถึงกลาสเนอร์ว่า “ทำให้พวกเราทุกคนมีความคิดที่ต่างไปจากเดิม”

ขอบคุณภาพจาก  https://www.thesun.co.uk/sport/34725201/oliver-glasner-premier-league-crystal-palace-fa-cup/

บุรุษที่เคยเผชิญเหตุการณ์เฉียดตาย กลับเป็นผู้มอบชีวิตให้กับ “ดิ อีเกิลส์” ตอนนี้ และสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ กลาสเนอร์ไม่ได้มาที่พาเลซเพื่อพาทีมเอาตัวรอดเท่านั้น แต่กำลังสร้างบางอย่างที่ไม่เหมือนใครขึ้นมา

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer)