Categories
Special Content

ยูฟ่า ยูธ ลีก : เวทีของแข้งวัยละอ่อน ก่อนเข้าสู่สนามใหญ่

เสียงเพลงแห่งยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ขับขานในยามค่ำคืนวันอังคาร และวันพุธ เป็นสัญลักษณ์ที่บอกกับชาวโลกว่า ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมาถึงแล้ว

นอกจากแฟนบอลที่เฝ้ารอชมการแข่งขันของทีมชุดใหญ่แล้ว นักเตะระดับเยาวชน ต่างก็อยากจะสัมผัสกับบรรยากาศที่เข้มข้นเช่นนี้ในวันหน้าบ้าง แต่การจะไปถึงจุดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

ทัวร์นาเมนท์ “ยูฟ่า ยูธ ลีก” ถือกำเนิดขึ้นมา เพื่อเปิดโอกาสให้บรรดานักเตะเยาวชน ได้รับประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกับทีมซีเนียร์ และเตรียมความพร้อมสู่โลกที่ใหญ่กว่าอย่างแชมเปี้ยนส์ ลีก

SoccerSuck x ไข่มุกดำ จะพาไปทำความรู้จักกับเวทีประลองแข้งวัยละอ่อนที่ดีที่สุดของยุโรป และอาจเปลี่ยนชีวิตนักเตะดาวรุ่งบางคน สู่การเป็นดาวโรจน์ในอนาคตก็เป็นได้

⚽️ “สนามเด็กเล่น” ที่ออกแบบให้คล้ายเวทีใหญ่

ยูฟ่า ยูธ ลีก เป็นการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี จัดโดยสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจาก “ยูฟ่า ยู-18 ชาเลนจ์” ระหว่างอินเตอร์ มิลาน กับบาเยิร์น มิวนิค เมื่อปี 2010

ทีมชุดเยาวชนของอินเตอร์ และบาเยิร์น ได้ลงสนามก่อนที่ทีมชุดใหญ่ของทั้ง 2 สโมสร จะดวลแข้งในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เพียง 3 วัน เป็นเด็ก “งูใหญ่” ที่เอาชนะ 2 – 0 สกอร์เดียวกับทีมซีเนียร์

ขอบคุณภาพ : https://web.facebook.com/Inter

ทัวร์นาเมนท์ยูธ ลีก ถูกออกแบบมาให้ใกล้เคียงกับแชมเปี้ยนส์ ลีก มากที่สุด ทั้งทีมที่ได้เข้าร่วม รวมถึงโปรแกรมเตะก็จะเหมือนกับทีมซีเนียร์ เพื่อให้นักเตะวัยทีนคุ้นเคยกับความเข้มข้นของการแข่งขันรายการใหญ่

ยูฟ่า ยูธ ลีก ประเดิมจัดการแข่งขันครั้งแรก ในฤดูกาล 2013/14 รอบแบ่งกลุ่ม 32 ทีม จะแข่งขันแบบเหย้า-เยือน รวม 6 นัด เหมือนแชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ต่างกันที่รอบน็อกเอาต์ของยูธ ลีก เตะนัดเดียวรู้ผล

จนกระทั่งในฤดูกาล 2015/16 ยูธ ลีก ได้ขยายเป็น 64 ทีม โดยเพิ่มกลุ่ม “โควตาพิเศษ” ให้กับทีมที่ได้แชมป์ลีกรุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี จากประเทศที่ติดอยู่ใน 32 อันดับแรก ตามคะแนนค่าสัมประสิทธิ์ของยูฟ่า

ซึ่ง “โควตาพิเศษ” จะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อทีมชุดใหญ่ไม่ได้สิทธิ์เข้าร่วมแชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ถ้าทีมชุดใหญ่ได้ไปแชมเปี้ยนส์ ลีก และทีมชุดยู-19 คว้าแชมป์ลีกในซีซั่นเดียวกัน ก็จะให้สิทธิ์กับประเทศที่ได้อันดับรองลงมาแทน ไล่ไปเรื่อย ๆ จนครบ 32 ทีม

สาย “แชมเปี้ยนส์ ลีก” แชมป์กลุ่มเท่านั้น ที่ได้ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายอัตโนมัติ ในซีซั่น 2022/23 ได้แก่ ลิเวอร์พูล, แอตเลติโก้ มาดริด, บาร์เซโลน่า, สปอร์ติ้ง ลิสบอน, เอซี มิลาน, เรอัล มาดริด, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และปารีส แซงต์-แชร์กแมง

ส่วน 32 ทีมที่อยู่ในสาย “แชมป์ลีก ยู-19” จะประกบคู่เตะแบบน็อกเอาต์ (เหย้า-เยือน) คัดเอา 8 ทีม ไปเพลย์ออฟกับทีมรองแชมป์กลุ่ม จากสายแชมเปี้ยนส์ ลีก ผู้ชนะ 8 ทีมจากรอบเพลย์ออฟ จะตามเข้าไปสมทบในรอบ 16 ทีมสุดท้ายต่อไป

 ทำเนียบทีมชนะเลิศยูฟ่า ยูธ ลีก

– 2021/22 เบนฟิก้า (โปรตุเกส)

– 2020/21 *** งดจัดการแข่งขัน เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ***

– 2019/20 เรอัล มาดริด (สเปน)

– 2018/19 ปอร์โต้ (โปรตุเกส)

– 2017/18 บาร์เซโลน่า (สเปน)

– 2016/17 ซัลซ์บวร์ก (ออสเตรีย)

– 2015/16 เชลซี (อังกฤษ)

– 2014/15 เชลซี (อังกฤษ)

– 2013/14 บาร์เซโลน่า (สเปน)

⚽️ ตัวอย่างจากเชลซี ที่แจ้งเกิดจาก “สนามเด็กเล่น”

เชลซี คือตัวอย่างที่ดีที่สุดในเรื่องนี้ เพราะเป็นทีมเดียวในประวัติศาสตร์ที่สามารถป้องกันแชมป์ยูฟ่า ยูธ ลีก และมีนักเตะหลายคนที่สามารถผ่านบทพิสูจน์อันหนักหน่วง จนก้าวขึ้นสู่ทีมชุดซีเนียร์ได้สำเร็จ

ขอบคุณภาพ : https://web.facebook.com/ChelseaFC

แชมป์ยูธ ลีก สมัยแรก ในฤดูกาล 2014/15 นักเตะอย่างอันเดรียส คริสเตนเซ่น, รูเบน ลอฟตัส ชีค และโดมินิค โซลันกี้ ต่างได้ลงเล่นตัวจริงในนัดชิงชนะเลิศ โดยมีฟิกาโย่ โทโมริ และแทมมี่ อับราฮัม เป็นตัวสำรอง

โซลันเก้ คือดาวซัลโวประจำซีซั่นดังกล่าว ด้วยผลงาน 12 ประตู ปัจจุบันลงเล่นให้กับบอร์นมัธ คู่แข่งร่วมพรีเมียร์ลีก ขณะที่แชมป์สมัยที่ 2 ในซีซั่นถัดมา มีชื่อเทรโวห์ ชาโลบาห์ กับเมสัน เมาท์ อยู่บนม้านั่งสำรอง

เด็ก ๆ “สิงห์บลูส์” ยังเข้าชิงชนะเลิศอีก 2 ครั้งติดต่อกัน ในฤดูกาล 2017/18 และ 2018/19 แต่ได้เพียงแค่รองแชมป์ทั้ง 2 ครั้ง มีนักเตะเช่นมาร์ค เกฮี, รีซ เจมส์, คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย, ทาริค แลมพ์ดีย์, คอเนอร์ กัลป์ลาเกอร์, บิลลี่ กิลมอร์ เป็นต้น

ในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปี 2021 เมสัน เมาท์ และอันเดรียส คริสเตนเซ่น ได้รับการจารึกว่า เป็น 2 นักเตะเชลซี ที่เคยคว้าแชมป์ยุโรปทั้งทีมระดับเยาวชน และทีมระดับซีเนียร์

แมกซ์เวลล์ กาเบลิโน่ อดีตกองหลังบาร์เซโลน่า และปารีส แซงต์-แชร์กแมง ที่ปัจจุบันเป็นหัวหน้าฝ่ายพัฒนาฟุตบอลของยูฟ่า เชื่อว่ายูฟ่า ยูธ ลีก เป็นทัวร์นาเมนต์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้เล่นวัยเยาว์

“เราได้เห็นนักเตะดาวรุ่งไม่น้อยกว่า 800 คน จากยูธ ลีก ที่ได้ก้าวขึ้นสู่ทัวร์นาเมนต์ใหญ่ทั้งแชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูโรป้า ลีก และคอนเฟอเรนซ์ ลีก มันสามารถสร้างอิมแพกต์อย่างมากต่อการพัฒนาเยาวชน”

⚽️ น้องชาย “เอ็มบัปเป้-เฟลิกซ์”, อดีตบอลบอย และอื่น ๆ

สำหรับผู้เล่นที่มีสิทธิ์ลงเตะยูฟ่า ยูธ ลีก ในฤดูกาล 2022/23 จะต้องไม่เกิดก่อนวันที่ 1 มกราคม 2004 แต่กฎอนุญาตให้ผู้เล่นที่เกิดในปี 2003 ลงทะเบียนในโควตานักเตะอายุเกินได้สูงสุด 5 คน

อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้เล่นคนใดที่เคยลงสนามในแชมเปี้ยนส์ ลีก หรือถ้วยยุโรปอื่น ๆ กับทีมชุดใหญ่ รวมกันไม่น้อยกว่า 3 นัด นับจนถึงรอบแบ่งกลุ่ม ฤดูกาลนี้ จะไม่มีสิทธิ์ลงเล่นในรายการยูธ ลีก

ดาวรุ่งที่น่าสนใจในยูธ ลีก ซีซั่นนี้ อย่างเช่นอีธาน เอ็มบัปเป้ มิดฟิลด์วัย 15 ปี น้องชายแท้ ๆ ของคิลิยัน เอ็มบัปเป้ ดาวเตะปารีส แซงต์-แชร์กแมง ที่ลงเล่นในชุดยู-19 ทั้งหมด 5 นัด ทำ 2 แอสซิสต์

อูโก้ เฟลิกซ์ มิดฟิลด์ตัวรุกวัย 18 ปี ที่โชว์ฟอร์มเก่งกับเบนฟิก้า ยู-19 ลงเล่นครบทุกนัดในรอบแบ่งกลุ่ม ทำ 2 ประตู กับ 4 แอสซิสต์ ซึ่งหวังที่จะตามรอยพี่ชายอย่างเจา เฟลิกซ์ กองหน้าแอตเลติโก้ มาดริด

ลิเวอร์พูล ชุดยู-18 เป็นหนึ่งในทีมที่สามารถบ่มเพาะบรรดานักเตะดาวรุ่งได้เป็นอย่างดี เพราะมีนักเตะวัยคะนองหลายคน โชว์ฟอร์มได้ดีในยูธ ลีก จนสามารถจบตำแหน่งแชมป์กลุ่มในฤดูกาลนี้

นำโดย โอคลีย์ แคนโนนิเออร์ อดีตเด็กเก็บบอลที่เคยสร้างตำนานในเกมถล่มบาร์เซโลน่า เมื่อ 3 ปีก่อน ซัดไปแล้ว 7 ประตู ตามมาด้วยเบน โด๊ค ปีกจรวดสกอตแลนด์วัย 16 ปี กับผลงาน 4 ประตู

และยังมีเทรนท์ โคเน่-โดเฮอร์ตี้ ปีกเลือดไอริชวัย 16 ปี, ลุค แชมเบอร์ส แบ็กซ้ายอังกฤษวัย 18 ปี หรือคนอื่น ๆ อย่างเช่นบ็อบบี้ คลาร์ก, ลูอิส คูมาส และเมลคามู ฟราเอนดอร์ฟ ที่ต่างโชว์ฟอร์มน่าประทับใจ

ความสำคัญของยูฟ่า ยูธ ลีก คือการลดช่องว่างระหว่างเยาวชนกับซีเนียร์ให้ได้มากที่สุด และนี่คือความเห็นของ มาร์ค บริดจ์-วิลคินสัน เฮดโค้ช “หงส์แดง” ยู-18 หลังถล่มเด็กนาโปลี 5 – 0 ในนัดส่งท้ายรอบแบ่งกลุ่ม

“ผมหวังว่ามันจะเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กับเด็กๆ สู่การเติบโตในอนาคต ถ้าพวกเขาดีพอที่จะไปสู่สิ่งที่ใหญ่กว่า ไม่ว่าจะเป็นแชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูโรป้า ลีก หรืออะไรก็ตาม มันสำคัญมากสำหรับการพัฒนาเด็ก ๆ เหล่านี้”

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://theathletic.com/3755799/2022/11/03/uefa-youth-league-mbappe-felix-doak/

– https://www.uefa.com/insideuefa/news/0268-11fb59544106-7607fc9a6e46-1000–maxwell-scherrer-grassroots-is-the-foundation-for-the-future-ga/

https://www.uefa.com/uefayouthleague/news/0272-148d738f93c9-0c86a876d48c-1000–uefa-youth-league-the-perfect-platform-for-progress/

https://documents.uefa.com/r/Regulations-of-the-UEFA-Youth-League-2022/23/Article-36-Player-lists-Online

https://en.wikipedia.org/wiki/UEFA_Youth_League

Categories
Football Business

เมื่อ “ลาลีกา” เบรกฎหมายกีฬาฉบับใหม่ ที่หวังอุ้ม “ซูเปอร์ ลีก”

วงการฟุตบอลสเปนช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา เรียกว่ามีทั้งความผิดหวังและความวุ่นวาย นับตั้งแต่ตัวแทนจากลีกกระทิงดุ กระเด็นตกรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกถึง 3 ทีม

ผลงานในสนามว่าย่ำแย่แล้ว นอกสนามก็ยังมีประเด็นขัดแย้งให้พูดถึง จากกรณีที่ลาลีกา ได้ตัดสินใจขวางร่างกฎหมายกีฬาฉบับใหม่ของรัฐบาล เพราะมองว่าเป็นการหนุน “ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก”

แล้วร่างกฏหมายกีฬาฉบับใหม่ สร้างปัญหาให้กับวงการลูกหนังแดนกระทิงดุอย่างไร ? SoccerSuck x ไข่มุกดำ จะมาขยายให้ฟังกันครับ

จับตา “ซูเปอร์ ลีก” ขยับตัวครั้งใหม่ ?

ถ้ายังจำกันได้ เมื่อเดือนเมษายน 2021 โปรเจ็กต์ “ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก” ที่มี 12 สโมสรยักษ์ใหญ่ของยุโรปเป็นผู้ก่อการ ถูกต่อต้านอย่างหนักจากทั่วทุกสารทิศ ทำให้โปรเจ็กต์นี้ต้องถูกพับเก็บไป

หลาย ๆ สโมสร อย่างเช่น บิ๊ก 6 ของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้ถอนตัวออกไปแล้ว แต่ยังเหลือเรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า และยูเวนตุส 3 สโมสรที่ยังคงร่วมหัวจมท้ายกับซูเปอร์ ลีก จนถึงปัจจุบันนี้

จากบทเรียนครั้งใหญ่เมื่อ 18 เดือนก่อน ทำให้ 3 สโมสรผู้ร่วมจัดตั้งที่เหลืออยู่ ได้เคลื่อนไหวแบบสุขุม ประนีประนอม และรูปแบบการแข่งขันจะเป็นระบบเปิดมากขึ้น ตัดปัจจัยที่สุดโต่งออกไป

ซูเปอร์ ลีก กลับมาเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง เมื่อช่วงกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยเบิร์นด์ ไรชาร์ท ซีอีโอของ A22 Sports Management เป็นหัวหอกคนสำคัญในการผลักดันโปรเจ็กต์นี้

อย่างไรก็ตาม ผู้ก่อตั้งซูเปอร์ ลีก มีคดีความที่ไปฟ้องร้องยูฟ่าว่า “ผูกขาดการแข่งขัน” ซึ่งคดีจะตัดสินกันในเดือนธันวาคมนี้ ถ้าฝั่งซูเปอร์ ลีก ชนะคดี ก็มีโอกาสสูง ที่โปรเจ็กต์นี้จะเกิดขึ้นจริง

ต้องรอดูว่า ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก ในเวอร์ชั่นที่เป็นมิตรมากกว่าเดิมนั้น จะออกมารูปแบบไหน ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ขัดแย้งกับโปรแกรมฟุตบอลในประเทศ, ฟุตบอลสโมสรยุโรป และทีมชาติ

หลายสโมสรลาลีกาไม่เอา “ซูเปอร์ ลีก”

ความขัดแย้งกรณียูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก เริ่มมีมากขึ้น หลังจากเมื่อวันอังคารที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา รัฐสภาของสเปน ไฟเขียวผ่านร่างกฎหมายกีฬาฉบับใหม่ ที่จะควบคุมอุตสาหกรรมฟุตบอลในอนาคต

จากเรื่องดังกล่าว สร้างความไม่พอใจให้กับฆาเบียร์ เตบาส ประธานลาลีกา และสโมสรส่วนใหญ่ ซึ่ง 39 จากทั้งหมด 42 สโมสรสมาชิกของลาลีกา ได้แสดงพลังครั้งใหญ่กับการต่อต้านร่างกฎหมายใหม่

สาเหตุสำคัญที่ทำให้สโมสรลาลีกาเกือบทุกสโมสร “ไม่เห็นด้วย” กับร่างกฎหมายกีฬาฉบับใหม่ เนื่องจากมองว่าเป็นการเปิดทางให้เรอัล มาดริด และบาร์เซโลน่า เข้าร่วมยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก ได้ง่ายขึ้น

รายงานจาก The Athletic อ้างว่า ถ้า 2 สโมสรยักษ์ใหญ่ของสเปน เข้าร่วมยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก ได้สำเร็จ จะทำให้ลาลีกาสูญเสียเงินมหาศาล ประมาณเกือบ 9 พันล้านยูโร ในอีก 10 ปีข้างหน้า

และล่าสุด อีก 2 วันต่อมา (พฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม) ในการประชุมสโมสรสมาชิกลาลีกา เตบาส ได้ออกมาแสดงความพอใจกับ 39 สโมสร ที่ร่วมมือกันคัดค้านการแก้ไขกฎหมายกีฬาของรัฐบาลสเปน

นอกจากนี้ ยังประกาศว่า ถ้าหากยังเดินหน้าแก้ไขกฎหมายต่อไป ก็มีความเป็นไปได้ที่จะให้งดการแข่งขันลาลีกาทั้ง 2 ดิวิชั่น เป็นเวลา 1 สัปดาห์ เพื่อเป็นการประท้วงรัฐบาล ที่สนับสนุนโปรเจ็กต์ซูเปอร์ ลีก

โฆเซ่ คาสโตร ประธานสโมสรเซบีย่า กล่าวว่า “เราคือ 1 ใน 39 สโมสร ที่ไม่อาจยอมรับกฎหมายใหม่นี้ได้ เราไม่กลัวที่ตัดสินใจแบบนี้ แม้ว่าจะไปกระทบกับผลประโยขน์ของบางคนก็ตาม”

“เปเรซ VS เตบาส” คู่กัดที่สู้กันอีกยาว ?

ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสรเรอัล มาดริด เป็นคนแรกที่ริเริ่มไอเดีย “ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก” ที่นำสุดยอดทีมยักษ์ใหญ่ของยุโรปมาฟาดแข้ง และมีเงินรางวัลมหาศาลมาล่อใจ โดยไม่ง้อยูฟ่าอีกต่อไป

แต่ทว่า ผู้คนส่วนใหญ่ออกมาต่อต้านแนวคิดของเปเรซ ประมาณว่า ซูเปอร์ ลีก เกิดขึ้นมาจากความโลภและเห็นแก่ตัวของบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ โดยแทบไม่ให้ความเคารพกับประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเลย

ในปี 2013 ฆาเบียร์ เตบาส เข้ามารับตำแหน่งประธานลาลีกา ได้กำหนดนโยบายที่ให้มีการกระจายรายได้กับทุกสโมสรอย่างเป็นธรรม รวมถึงการออกกฎควบคุมการเงินและหนี้สิน ของแต่ละสโมสรด้วย

ก่อนหน้านี้ เรอัล มาดริด และบาร์เซโลน่า คือทีมที่รับรายได้จากการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์มากที่สุด แต่นโยบายของเตบาส ทำให้ทั้ง “ราชันชุดขาว” และ “เจ้าบุญทุ่ม” ต่างไม่พอใจที่ผลประโยชน์ส่วนนี้ลดลง

แน่นอนว่า ฝ่ายที่เสียประโยชน์อย่างเปเรซ มักจะงัดข้อกับเตบาสมาหลายครั้งกับประเด็นซูเปอร์ ลีก และพยายามพูดเหตุผลเพื่อโน้มน้าวให้บรรดาสโมสรยักษ์ใหญ่ คล้อยตามความคิดของเขา

“กีฬาฟุตบอลที่เรารักกำลังป่วยหนัก มันสูญเสียความนิยมในระดับโลกไปแล้ว คนรุ่นใหม่สนใจฟุตบอลน้อยลงเรื่อย ๆ เราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้น ก่อนที่จะสายเกินไป” เปเรซ กล่าว

ขณะที่เตบาส ก็โต้กลับว่า “เปเรซคือคนที่แพ้ไม่เป็น เขาเชื่อว่าตัวเขายิ่งใหญ่ และพยายามทำทุกอย่างที่เขาคิด แต่เขาไม่รู้อะไรเลยว่า สิ่งที่เขาพูดถึง กำลังทำลายสโมสรอื่น ๆ ทั้งหมด รวมถึงเรอัล มาดริดด้วย”

ปัญหาความขัดแย้งระหว่างลาลีกา กับยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก คงไม่จบลงง่ายๆ ตราบใดที่ทั้ง 2 ฝ่าย ยังเชื่อมั่นในจุดยืนอย่างหนักแน่น เพราะเป้าหมายของการต่อสู้ ล้วนต้องการอำนาจและผลประโยชน์ทั้งสิ้น

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :
– https://theathletic.com/3729937/2022/10/28/la-liga-super-league-sports-law/
– https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/european-super-league-relaunch-explained-28282561
– https://nationworldnews.com/spanish-football-avoids-strike-after-adjustment-in-sporting-law/
– https://en.wikipedia.org/wiki/Liga_Nacional_de_F%C3%BAtbol_Profesional

Categories
Column

ออยอาน ซานเซ็ต : มิดฟิลด์ดาวรุ่งบิลเบา ที่พร้อมเขย่าเวทีลาลีกา

แอธเลติก บิลเบา เป็นสโมสรฟุตบอลที่ยึดมั่นกับวัฒนธรรมการค้นหานักเตะเยาวชนที่มาจากท้องถิ่นของตัวเอง เพื่อเข้าสู่อคาเดมี่ที่ชื่อว่า “เลซามา” ศูนย์ฝึกฟุตบอลของยอดทีมจากแคว้นบาสก์

ออยอาน ซานเซ็ต มิดฟิลด์วัย 22 ปี ของแอธเลติก บิลเบา ถือเป็นอีกหนึ่งนักเตะดาวรุ่งที่น่าจับตามองของลาลีกา โดยลงสนามในลีกสูงสุดครบทั้ง 11 นัดในฤดูกาลนี้ และทำไปแล้ว 3 ประตู

ซานเซ็ต เกิดที่เมืองปัมโปลน่า ในแคว้นนาบาร์ร่า ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นบาสก์ เริ่มต้นฝึกวิชาฟุตบอลกับทีมเยาวชนของโอซาซูน่า ก่อนที่ในปี 2015 จะย้ายมายังศูนย์ฝึก “เลซามา” ของบิลเบา

ช่วงพรี-ซีซั่นของปี 2018 ซานเซ็ตถูกเรียกตัวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของบิลเบา แต่โชคร้ายได้รับบาดเจ็บเอ็นไขว้หน้าเข่าซ้ายฉีก (ACL) ในช่วงต้นเดือนกันยายน หมดสิทธิ์ลงสนามตลอดทั้งฤดูกาล 2018/19

แม้อาการบาดเจ็บจะหนักเพียงใด แต่ซานเซ็ตก็พยายามฟื้นฟูร่างกายให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และสามารถลงสนามได้เป็นนัดแรก ในเกมเปิดฤดูกาล 2019/20 บิลเบาเอาชนะบาร์เซโลน่า 1 – 0 ที่ซาน มาเมส

ในซีซั่นแรกของซานเซ็ต เขาได้ลงสนามให้บิลเบาทั้งหมด 19 นัด คิดเป็น 764 นาที จากนั้นซีซั่นถัดมา ก็ได้โอกาสลงสนามเพิ่มขึ้นเป็น 26 เกม (1,126 นาที) และเมื่อซีซั่นที่แล้ว เพิ่มขึ้นเป็น 33 เกม (1,682 นาที)

ซานเซ็ต เป็นมิดฟิลด์ที่เล่นได้ทั้งรับและรุก หรือในบางครั้งก็ขึ้นไปเป็นศูนย์หน้าตัวกลาง หรือด้านข้างก็ได้ โดยเฉพาะเมื่อซีซั่นที่แล้ว ที่รับบทบาทศูนย์หน้าโดยส่วนใหญ่ และยิงได้ 6 ประตู กับทำ 4 แอสซิสต์

ผลงานที่ดีที่สุดของซานเซ็ตในสีเสื้อบิลเบา เกิดขึ้นในนัดที่บุกไปชนะโอซาซูน่า 3 – 1 เมื่อเดือนมกราคม 2022 เจ้าตัวทำคนเดียว 3 ลูก กลายเป็นนักเตะอายุน้อยสุดที่ทำแฮตทริก นับตั้งแต่ฆูเลน เกร์เรโร่ เมื่อปี 1994

สำหรับในฤดูกาลนี้ เออร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ ที่กลับมาคุมทีมบิลเบาเป็นรอบที่ 3 ได้วางแผนการเล่นแบบ 4-2-3-1 โดยให้ซานเซ็ต รับบทบาทเป็นมิดฟิลด์ตัวรับตามถนัด แต่ก็สามารถเล่นมิดฟิลด์ตัวรุกได้ดีไม่แพ้กัน

ซานเซ็ต ให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นว่า “โค้ช (บัลเบร์เด้) คิดว่าผมทำได้ดีในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุก เพราะผมสามารถเข้าไปในกรอบเขตโทษ ช่วยผ่านบอลแล้วยิงประตู ผมเคยชินกับตำแหน่งนี้ไปแล้ว”

ออยอาน ซานเซ็ต ลงเล่นในทุกรายการไปแล้ว 89 นัด เป็นหนึ่งในนักเตะคนสำคัญ ที่จะช่วยแอธเลติก บิลเบา คว้าโควตาฟุตบอลยุโรปในซีซั่นหน้า และอาจจะมีลุ้นติดทีมชาติสเปนชุดใหญ่ในอนาคตก็เป็นได้

Categories
Football Tactics

ผ่าแท็กติก “อาร์เซน่อล” กับการเริ่มต้นซีซั่นที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์

อาร์เซน่อล ออกสตาร์ท 10 เกมแรกของพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2022/23 ด้วยผลงานที่สุดยอด ชนะ 9 และแพ้ 1 นำเป็นจ่าฝูงของตาราง เป็นสถิติที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรมา 136 ปี

ส่วนในยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ก็เก็บชัยชนะทั้ง 4 เกม โดยเกมล่าสุดเมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เปิดบ้านชนะพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น 1 – 0 และจะพบกับยอดทีมจากเนเธอร์แสนด์ทีมนี้อีกครั้งในสัปดาห์หน้า

SoccerSuck x ไข่มุกดำ จะมาอธิบายถึงเหตุผลในเชิง “แท็กติก” ที่ทำให้ทีมของมิเกล อาร์เตต้า สร้างสถิติการเริ่มต้นซีซั่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของ “เดอะ กันเนอร์ส”

⚽️ เกมรับที่ดูดี และมีประสิทธิภาพ

ก่อนที่พรีเมียร์ลีกจะทำการแข่งขันในสุดสัปดาห์นี้ อาร์เซน่อล เสียไป 10 ประตู จาก 10 นัด น้อยสุดเป็นอันดับ 2 ร่วมกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเชลซี ซึ่งเป็นรองนิวคาสเซิล (9 ประตู) เพียงทีมเดียวเท่านั้น

2 นัดหลังสุดที่พบกับลิเวอร์พูล และลีดส์ ยูไนเต็ด แผงแนวรับของอาร์เซน่อล ประกอบด้วยฟูลแบ็ก 2 ข้าง ทาเคฮิโร่ โทมิยาสุ (ซ้าย), เบน ไวท์ (ขวา) และเซ็นเตอร์แบ็ก วิลเลี่ยม ซาลีบา คู่กับกาเบรียล มากัลเญส

โดยเฉพาะนัดที่เปิดบ้านชนะลิเวอร์พูล 3 – 2 แบ็กซ้ายอย่างโทมิยาสุ สามารถจัดการโมฮัมเหม็ด ซาลาห์ จนแทบจะไม่มีส่วนร่วมกับเกม และทำให้ดาวเตะอียิปต์ถูกเปลี่ยนตัวออกในช่วง 20 นาทีสุดท้าย

ส่วนคู่เซ็นเตอร์แบ็กทั้งซาลีบา และมากัลเญส ที่ต่างสไตล์แต่เข้ากันได้อย่างลงตัว มีความแข็งแกร่ง ดุดัน ครองบอลได้ดีและสามารถดันขึ้นไปช่วยทำเกมรุกได้ แต่มากัลเญสดูเหมือนจะครบเครื่องกว่า

แท็กติก “ไฮไลน์ ดีเฟนซ์” ของอาร์เตต้า ได้ผลดีเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นเกมที่แพ้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพียงเกมเดียวเท่านั้น ที่แนวรับเสียสมาธิแค่ไม่กี่วินาที เปิดช่องให้ “ปิศาจแดง” ฉวยโอกาสพังประตูจนได้

ขอบคุณภาพ : https://web.facebook.com/Arsenal

⚽️ เริ่มต้นเกมได้ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

จาก 14 เกมรวมทุกรายการ มีถึง 10 เกมที่อาร์เซน่อล ไม่เสียประตู แถมยิงประตูขึ้นนำคู่แข่งก่อนภายใน 30 นาทีแรกของการแข่งขัน อีกทั้งยังรักษาสกอร์นำได้นานที่สุดในพรีเมียร์ลีก คิดเป็น 59 เปอร์เซ็นต์จากทั้งหมด

มิเกล อาร์เตต้า กุนซือเดอะ กันเนอร์ส กล่าวว่า “โค้ชทุกคนต้องการเห็นทีมทำประตูตั้งแต่นาทีแรก แน่นอนว่ามันคงไม่เกิดขึ้นทุกนัด แต่เป้าหมายของเราคือพาบอลบุกไปข้างหน้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”

นอกจากนี้ การที่อาร์เตต้าได้แต่งตั้งมาร์ติน โอเดการ์ด มิดฟิลด์เลือดนอร์เวย์ เป็นกัปตันทีมคนใหม่ ทำให้แนวทางของทีมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งกรานิต ซาก้า อดีตกัปตันทีม ก็ข่วยหนุนหลังอย่างเต็มที่

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด คือเกมที่พบกับท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา อาร์เซน่อล ผ่านบอลจากแผงหลังอย่างรวดเร็ว ระหว่างเบน ไวท์ โทมัส ปาร์เตย์, มาร์ติน โอเดการ์ด และกาเบรียล เชซุส

อาร์เซน่อล ขึงเกมรุกกดดันในแดนของคู่แข่งอยู่พักใหญ่ ทำให้สเปอร์เสียฟาวล์บริเวณกลางสนาม ก่อนที่ปาร์เตย์จะยิงขึ้นนำตั้งแต่ 20 นาทีแรก แม้จะเสียประตูตีเสมอจากจุดโทษ แต่ก็กลับมาเอาชนะได้

⚽️ สร้างโอกาสทำประตูได้มากขึ้น

การเซ็นสัญญากาเบรียล เชซุส จากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีส่วนสำคัญที่ทำให้แนวทางการเล่นเกมรุกของอาร์เซน่อล เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด และช่วยให้แนวรุกคนอื่น ๆ สร้างโอกาสลุ้นประตูได้มากขึ้น

เชซุส เข้ามาเพิ่มความคล่องตัว และสร้างความอันตรายในเกมบุกของอาร์เซน่อลได้ดีกว่าอเล็กซองดร์ ลากาแซตต์ ดาวยิงคนเก่า โดยอดีตดาวเตะแมนฯ ซิตี้ รับบอลจากเพื่อนร่วมทีมได้ถึง 91 ครั้ง มากที่สุดในลีก

ขอบคุณภาพ : https://web.facebook.com/Arsenal

บูกาโย่ ซาก้า กับกาเบรียล มาร์ติเนลลี่ มีโอกาสซัดประตูภายในกรอบเขตโทษถึง 20 ครั้ง (มากที่สุดเท่ากับโมฮัมเหม็ด ซาลาห์) และมาร์ติน โอเดการ์ด อาจโผล่ขึ้นมาระหว่างไลน์เพื่อสอดบอลเข้าไปด้านหลัง

ขณะที่กรานิต ซาก้า หลังจากเล่นในตำแหน่งกลางตัวรับที่ไม่ถนัดมานาน ก็ได้รับบทบาทใหม่ที่มีส่วนช่วยในการขึ้นเกมรุกมากขึ้น และมักจะสอดเข้าไปในกรอบเขตโทษพร้อมยิงประตูได้ตลอดเวลา

จากข้อมูลชอง fbref.com ระบุว่า แนวรุก 4 จาก 5 คนของอาร์เซน่อล ติดอันดับนักเตะที่มีส่วนในการสร้างโอกาสเพื่อทำประตู (Shot-Creating Actions : SCA) ในพรีเมียร์ลีกมากที่สุด 10 อันดับแรก

ซาก้า กับมาร์ติเนลลี่ มีส่วนร่วม 38 ครั้งเท่ากัน อยู่อันดับ 3, เชซุส 36 ครั้ง อยู่อันดับ 8 ร่วม และชาก้า35 ครั้ง อยู่อันดับ 10 ร่วม ขณะที่โอเดการ์ด ทำได้ 32 ครั้ง ซึ่งเป็นตัวเลขที่ถือว่าใกล้เคียงกันมาก

⚽️ พร้อมลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกหรือยัง ?

อีกสิ่งหนึ่งที่อาร์เซน่อล ทำผลงานได้ดีสม่ำเสมอขนาดนี้ คือนับตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว จนถึงตอนนี้ มิเกล อาร์เตต้า ใช้ผู้เล่น 11 ตัวจริงหน้าเดิมถึง 11 นัด มากที่สุดเมื่อเทียบกับทีมอื่นๆ ในพรีเมียร์ลีก

ภาพรวมฟอร์มการเล่นนับตั้งแต่เปิดซีซั่น ตำแหน่งที่อาร์เซน่อลพัฒนาขึ้นมามากในฤดูกาลนี้ คือฟูลแบ็กทั้ง 2 ข้าง รวมถึงแนวรุกที่เล่นได้อย่างลื่นไหล ขณะที่แดนกลางแม้จะไม่โดดเด่นมากนัก แต่ถือว่ายังทำได้ดี

โดยอาร์เซน่อล มีค่าเฉลี่ยความเป็นไปได้ที่จะมีประตูเกิดขึ้นต่อเกม (Expect Goal : xG) อยู่ที่ 1.0 หมายความว่า 1 นัด การันตี 1 ประตู ซึ่งดีสุดเป็นอันดับ 2 รองจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มีค่า xG ต่อเกมอยู่ที่ 1.4

ในประวัติศาสตร์ 30 ปี ของพรีเมียร์ลีก ทีมที่ทำสถิติชนะ 9 จาก 10 นัดแรก เคยเกิดขึ้นทั้งหมด 5 ครั้ง และคว้าแชมป์เมื่อจบซีซั่นได้ 4 ครั้ง คือ เชลซี (2005/06), แมนฯ ซิตี้ (2011/12, 2017/18) และลิเวอร์พูล (2019/20)

ขอบคุณภาพ : https://web.facebook.com/Arsenal

อย่างไรก็ตาม 10 นัดแรกของซีซั่นที่แล้ว แมนฯ ซิตี้ ตามหลังเชลซี จ่าฝูงในขณะนั้นอยู่ 5 แต้ม แต่ก็แซงคว้าแชมป์ในบั้นปลาย เฉือนชนะลิเวอร์พูลแค่แต้มเดียว ส่วน “สิงห์บูลส์” ได้แค่ที่ 3 และมีแต้มน้อยกว่าถึง 19 แต้ม

ส่วนเกมที่อาร์เซน่อล จะดวลกับทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่านั้น เดิมทีต้องลงเตะเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ถูกเลื่อนออกไป เนื่องจาก “เดอะ กันเนอร์ส” ติดโปรแกรมยูโรป้า ลีก กว่าจะได้เจอกันต้องรอถึงช่วงหลังปีใหม่

เป้าหมายแรกของอาร์เซน่อลที่ต้องทำให้ได้ก่อน คือการกลับเข้าร่วมแชมเปี้ยนส์ ลีก ส่วนเรื่องลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก คงต้องยืนระยะให้ได้แบบยาว ๆ ซึ่งจะเป็นบทพิสูจน์ชั้นดีว่ามิเกล อาร์เตต้า เจ๋งจริงหรือไม่

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://theathletic.com/3704476/2022/10/20/arsenal-arteta-data-tactics-analysis/

https://theathletic.com/3638949/2022/09/30/arsenal-tottenham-tactical-preview/

https://theathletic.com/3633401/2022/09/28/arsenal-control-mikel-arteta-passes-request/

https://theathletic.com/3555797/2022/09/01/arsenal-villa-gabriel-martinelli-responding/

https://theathletic.com/3527556/2022/08/24/arsenal-press-jesus-martinelli-saka/

https://theathletic.com/3524139/2022/08/21/zinchenko-arsenal-xhaka/

https://fbref.com/en/squads/18bb7c10/Arsenal-Stats

Categories
Football Tactics

เรียนรู้จากสุดยอดโค้ช : แรงบันดาลใจของ “ซาคคี่” ที่อาจช่วย “คล็อปป์” คืนชีพลิเวอร์พูล

เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่กำลังจะครบรอบ 7 ปี ในการคุมทีมลิเวอร์พูล ทำผลงานช่วงออกสตาร์ทฤดูกาลนี้ได้แบบกระท่อนกระแท่น ทำเอาแฟนๆ หงส์แดง ผิดหวังไม่น้อยเลยทีเดียว

เชื่อว่ากุนซือชาวเยอรมัน ขวัญใจ “เดอะ ค็อป” ได้ใช้ช่วงหยุดพักที่ยาวนานถึง 2 สัปดาห์กว่าๆ ทบทวนถึงความพังพินาศที่เกิดขึ้นในช่วงต้นฤดูกาล และพร้อมที่จะสู้กันใหม่กับซีซั่นที่ไม่ปกติ

หลังกลับมาจากพักเบรกโปรแกรมทีมชาติ ลิเวอร์พูลจะเข้าสู่ช่วงโปรแกรมหฤโหด เพราะต้องลงเตะถึง 13 นัด ในช่วงเดือนตุลาคม และพฤศจิกายน ก่อนหลีกทางให้ฟุตบอลโลกที่กาตาร์

บางที คล็อปป์อาจจะต้องศึกษาแนวทางของอาร์ริโก้ ซาคคี่ อดีตตำนานโค้ชผู้ยิ่งใหญ่ของเอซี มิลาน ซึ่งทาง SoccerSuck x ไข่มุกดำ จะมาขยายประเด็นนี้ให้ฟังกันครับ

วิธีคิดของซาคคี่ พลิกจากดำดิ่งสู่ยิ่งใหญ่

“ถ้าทีมฟุตบอลทีมหนึ่งไม่มีอะไรบางอย่าง เช่นการเพรสซิ่ง และการเคลื่อนที่ ศักยภาพจะหายไปครึ่งหนึ่ง ทีมที่ผมเคยเป็นโค้ช ก็ต่อสู้เพื่อชัยชนะ พวกเขาประสบความสำเร็จมาตลอดเมื่อมีแคแร็กเตอร์ที่ชัดเจนและดุดัน”

“พวกเราไม่มีความสุข เพราะความมุ่งมั่นที่ลดลงอย่างชัดเจน พวกเรากำลังละเลยอะไรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเพรสซิ่ง, การหาช่อง และความเร็ว พวกเราต้องทบทวนเกี่ยวกับความคิดของเราใหม่อีกครั้ง”

“พวกเราไม่มีความหนักแน่น หย่อนยาน และเต็มไปด้วยความกลัว ตอนนี้พวกเราคือปืนที่หละหลวม มีนักเตะเพียงไม่กี่คนที่พยายามเคลื่อนไหวสู้กับนักเตะคนอื่น ๆ ความวุ่นวายกำลังครอบงำพวกเขาอยู่”

ทั้งหมดที่กล่าวมา คือคำพูดของอาร์ริโก้ ซาคคี่ อดีตผู้จัดการทีมเอซี มิลาน ชุดคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 2 สมัยติดต่อกัน ที่ได้บอกเล่าผ่านหนังสือ The Immortals หรือชื่อภาษาไทยคือ “ตำนานไม่มีวันตาย”

ซาคคี่ ถือเป็นกุนซือผู้ริเริ่มแนวคิด “เพรสซิ่ง ฟุตบอล” ที่เข้ามาปฏิวัติวงการลูกหนังอิตาลีในช่วงปลายทศวรรษ 1980s ด้วยสไตล์การเล่นที่ใช้พละกำลังสูง ไล่กดดันคู่แข่งตั้งแต่แดนหน้า และต้องเคลื่อนที่ตลอดเวลา

ในฤดูกาล 1987/88 ซาคคี่เข้ามาเป็นเทรนเนอร์ให้กับมิลาน และคว้าแชมป์สคูเด็ตโต้ตั้งแต่ซีซั่นแรกที่คุมทีม แล้วในซีซั่นถัดมา ออกสตาร์ท 5 นัดแรกแบบไร้พ่าย แต่ในเวลาต่อมา ทีมต้องเจอกับช่วง “ดำดิ่ง” สุดๆ

เพราะอีก 7 นัดหลังจากนั้น “รอสโซเนรี่” ชนะแค่เกมเดียว แพ้ไปถึง 4 เกม ให้กับอตาลันต้า, นาโปลี, อินเตอร์ และเชเชน่า ซึ่งซาคคี่ ก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ในเรื่องของสมาธิ พวกเราไม่ได้อยู่กับมันเลย”

ทำให้ซาคคี่ ต้องแก้ปัญหาด้วยการให้ลูกทีมฝึกซ้อมเข้มข้นกว่าเดิม เช่น การซ้อมครองบอลในพื้นที่ขนาด 35 x 35 เมตร เป็นเวลา 15 นาที และการเข้าสกัดบอลจากผู้เล่น 4 คน นับจำนวนครั้งต่อนาที

หลังจากนั้น ผลงานของมิลานก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไร้พ่าย 22 เกมติดต่อกันในลีก แม้จะได้แค่อันดับ 3 แต่พวกเขาปิดซีซั่นอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ และป้องกันแชมป์ได้อีกครั้งในซีซั่นถัดมา

เก่งกาจมาจากไหน ก็ต้องเจอความมืดมน

อาร์ริโก้ ซาคคี่ คือสุดยอดผู้จัดการทีมฟุตบอลที่เจอร์เก้น คล็อปป์ ยกให้เป็น “ไอดอล” และนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการทำทีมลิเวอร์พูลให้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา

นับตั้งแต่ฤดูกาล 2018/19 เป็นต้นมา ที่คล็อปป์ได้แชมป์รายการแรกกับลิเวอร์พูล เขามีสถิติการคุมทีมในพรีเมียร์ลีกนับจนถึงปัจจุบันไปแล้ว 158 นัด ชนะ 112 เสมอ 30 และแพ้แค่ 16 นัดเท่านั้น

คล็อปป์ พาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์รายการใหญ่ครบทุกรายการ โดยเฉพาะเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ที่สร้างประวัติศาสตร์เป็นสโมสรแรกของอังกฤษ ที่ใกล้เคียงกับการลุ้น “ควอดรูเพิล” ลงเล่นครบทุกนัดทั้ง 4 ถ้วย

อดีตเฮดโค้ชปีศาจแดง-ดำ วัย 75 ปี กล่าวว่า “ลิเวอร์พูลคือทีมมหัศจรรย์ คือทีมที่แท้จริงที่ไม่มีซูเปอร์สตาร์ ทีมหนึ่งมีนักเตะ 1 คน ทำเพื่ออีก 11 คน แต่ทีมอื่น มีนักเตะ 11 คน ที่ต่างเล่นเพื่อตัวเอง”

“ผมคิดว่ามีนักเตะประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ที่จะเคลื่อนที่ไปพร้อมกันเวลามีบอล หากเปรียบเป็นวงออร์เคสตร้า พวกเขาก็บรรเลงได้อย่างสมบูรณ์แบบ และมีจังหวะเวลาที่เหมาะสมเสมอ”

อย่างไรก็ตาม คล็อปป์ ก็เหมือนกับสุดยอดผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ในตำนานคนอื่นๆ ที่ต้องเจอช่วงเวลามืดมนเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่นเมื่อ 2 ฤดูกาลก่อน ที่เจอวิกฤตแนวรับตัวหลักบาดเจ็บยกแผง

กุนซือชาวเยอรมัน สร้างสถิติอันเลวร้ายที่ไม่น่าจดจำ แพ้ในบ้าน 6 นัดติด แถมอันดับร่วงลงไปอยู่กลางตาราง แต่ด้วยจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ ทำให้ทีมฮึดสู้จนคว้าตั๋วไปแชมเปี้ยนส์ ลีก ได้แบบฉิวเฉียด

13 เกมก่อนเวิลด์ คัพ ได้เวลาฟื้นหรือยัง ?

ถึงแม้เจอร์เก้น คล็อปป์ เคยวิจารณ์เรื่องโปรแกรมทีมชาติที่มาคั่นเกมระดับสโมสรว่า “ไร้สาระ” แต่ช่วงเวลาที่ได้หยุดพักไปนานถึงครึ่งเดือน เชื่อว่ายอดกุนซือวัย 55 ปี คงจะได้รับประโยชน์ไปไม่น้อยเลย

เริ่มจากสถานการณ์อาการบาดเจ็บของนักเตะในทีมเริ่มที่จะดีขึ้นตามลำดับ อีกทั้งนักเตะที่รับใช้ทีมชาติในช่วง “ฟีฟ่า เดย์” ที่ผ่านมา ต่างโชว์ฟอร์มได้ดี และพร้อมสำหรับการลงเตะ 13 นัด ก่อนฟุตบอลโลก

ช่วงโปรแกรมหฤโหดของ “หงส์แดง” เริ่มจากเดือนตุลาคม พรีเมียร์ลีก 6 เกม ในการพบกับไบรท์ตัน ต่อด้วยศึกใหญ่ 2 นัดติด ทั้งอาร์เซน่อล, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จากนั้นพบกับเวสต์แฮม, ฟอเรสต์ และลีดส์

ส่วนในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จะพบกับกลาสโกว์ เรนเจอร์ส 2 นัดติด ต้องเก็บ 6 แต้มเต็มสถานเดียว เพราะส่งผลถึงเกมที่จะบุกไปเยือนอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ช่วงปลายเดือน ซึ่งมีผลโดยตรงกับการลุ้นเข้ารอบ

เดือนพฤศจิกายน เปิดบ้านพบนาโปลี ที่อาจจะเป็นเกมตัดสินว่าจะได้เข้ารอบน็อกเอาต์ยูซีแอลหรือไม่ จากนั้นเจอศึกหนักกับสเปอร์สในพรีเมียร์ลีก, คาราบาว คัพ กับดาร์บี้ เคาน์ตี้ และปิดท้ายกับเซาธ์แธมป์ตันในลีก

ซึ่งสถานการณ์ของลิเวอร์พูลในเวลานี้ ถ้าให้มองในด้านบวก คือการมองเห็นจุดบกพร่องตั้งแต่ตอนต้นซีซั่น ยังมีเวลาอีกมากให้แก้ไข ซึ่งแฟนๆ ลิเวอร์พูลต่างหวังว่า นี่คือโอกาสที่ดีในการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://theathletic.com/3583294/2022/09/12/jurgen-klopp-liverpool-ac-milan/

https://theathletic.com/3640643/2022/09/29/liverpool-schedule-world-cup/

https://punditarena.com/football/matt-gault/jurgen-klopp-arrigo-sacchi-influence/

https://www.liverpoolecho.co.uk/sport/football/football-news/arrigo-sacchi-liverpool-milan-22009281

https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-10145959/Jurgen-Klopps-Liverpool-perfect-without-real-superstars-says-Sacchi.html

https://www.si.com/soccer/liverpool/interviews/a-masterpiece-ac-milan-legend-arrigo-sacchi-on-jurgen-klopps-liverpool

https://en.wikipedia.org/wiki/1988%E2%80%9389_A.C._Milan_season

Categories
Column

เซบีย่า VS แอตเลติโก้ มาดริด : บิ๊กแมตช์ที่เดิมพันด้วยชัยชนะ เพื่อกลับสู่หัวตาราง

เซบีย่า และแอตเลติโก้ มาดริด คือ 2 สโมสรใหญ่ ที่ต่างทำผลงานยอดเยี่ยมจนติดอันดับ “ท็อป 4” ตลอด 3 ฤดูกาลที่ผ่านมา แต่ในฤดูกาลนี้ กับการออกตัว 6 นัดแรก ทั้งคู่ทำผลงานได้ไม่เป็นที่น่าพอใจ

ฟุตบอลลาลีกา สเปน ในสุดสัปดาห์นี้ เป็นนัดที่ 7 ของซีซั่น 2022/23 ทั้งเซบีย่า และแอตฯ มาดริด จะทำศึก “บิ๊กแมตช์” ที่สนามรามอน ซานเชซ ปิชฆวน ในคืนวันเสาร์ที่ 1 ตุลาคมนี้ เวลา 23.30 น.

เซบีย่า ที่ก่อนหน้านี้จบในอันดับที่ 4 มา 3 ฤดูกาลติดต่อกัน แต่ในซีซั่นนี้ออกสตาร์ทได้อย่างน่าผิดหวัง ขนะ 1 เสมอ 2 และแพ้ 3 เกม อยู่อันดับ 15 ของตาราง มีแต้มมากกว่าโซนตกชั้นแค่คะแนนเดียว

ทีมของกุนซือฆูเลน โลเปเตกี เริ่มต้น 4 นัดแรกด้วยการแพ้ โอซาซูน่า, เสมอ เรอัล บายาโดลิด, แพ้ อัลเมเรีย, แพ้ บาร์เซโลน่า ก่อนปลดล็อกเก็บชัยเหนือเอสปันญ่อล และนัดล่าสุดเสมอกับบียาร์เรอัล

โฆอัน ฆอร์ดัน มิดฟิลด์ของเซบีย่า กล่าวว่า “ผมเชื่อมั่นว่าสิ่งดี ๆ จะมาถึงในเร็ว ๆ นี้ เราเล่นได้ดีแล้ว แต่เรายังต้องทำงานอย่างหนักตลอด 90 นาที ผมเชื่อมั่นในเพื่อนร่วมทีม และจะนำฟอร์มที่ดีที่สุดกลับมาในนัดต่อไป”

ทางฝั่งของแอตเลติโก มาดริด ก็เริ่มต้นซีซั่นได้ไม่ดีเท่าที่ควรเช่นเดียวกัน ชนะ 3 เสมอ 1 แพ้ 2 อยู่ในอันดับที่ 7 ของตาราง ตามหลังจ่าฝูงห่างถึง 8 แต้ม โดยนัดล่าสุดเปิดบ้านแพ้เรอัล มาดริด 1 – 2 ในศึกดาร์บี้แมตช์

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้แอตฯ มาดริด มีผลงานที่กระท่อนกระแท่นเช่นนี้ คือ 2 นักเตะแนวรุกคนสำคัญทั้งอัลบาโร่ โมราต้า และเจา เฟลิกซ์ ที่ยิงประตูไม่ได้มาแล้ว 4 และ 8 นัดติดต่อกันในระดับสโมสร ตามลำดับ

ฤดูกาล 2012/13 เป็นครั้งแรกที่ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ เฮดโค้ชชาวอาร์เจนไตน์ ทำหน้าที่คุมทีมแบบเต็มซีซั่น และพา “ตราหมี” อยู่ในท็อป 3 ของลาลีกาทุกซีซั่น แต่ตอนนี้พวกเขาต้องกลับสู่เส้นทางที่ควรจะเป็นให้ได้ก่อน

⚽️ เซบีย่า 4 นัดหลังสุดในบ้าน ไม่แพ้แอตฯ มาดริด

ก่อนที่จะลงสนามในสัปดาห์นี้ มีสถิติที่อาจจะเป็นลางดีสำหรับเซบีย่า เพราะพวกเขาเปิดบ้านเจอกับแอตเลติโก้ มาดริด 4 นัดหลังสุดในลาลีกา ไม่เคยแพ้เลย และเอาชนะได้ใน 2 นัดหลังสุดที่พบกัน

4 นัดหลังที่เซบีย่าไร้พ่ายในบ้าน เริ่มจากเสมอกัน 1 – 1 ในฤดูกาล 2018/19 และ 2019/20 ต่อด้วยชนะ 1 – 0 ในฤดูกาลถัดมา และล่าสุดเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ชนะ 2 – 1 อิวาน ราคิติช และลูคัส โอคัมโปส ทำคนละประตู

ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ เทรนเนอร์แอตฯ มาดริด มีสถิติการคุมทีมพบกับเซบีย่า 25 เกม ชนะ 10 เสมอ 10 แพ้ 5 อย่างไรก็ตาม ถ้านับเฉพาะ 8 นัดหลังสุดที่พบกันเฉพาะในลาลีกา ซิเมโอเน่เก็บชัยชนะได้แค่เกมเดียว

⚽️ “เอล โชโล่” เคยค้าแข้งให้กับเซบีย่ามาก่อน

ก่อนที่ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ จะเป็นนักเตะที่โด่งดังกับแอตเลติโก้ มาดริด เขาเคยเป็นนักเตะของเซบีย่ามาก่อน โดยลงเล่นอยู่ 2 ฤดูกาล กับ 2 ผู้จัดการทีมอย่างคาร์ลอส บิลาร์โด้ และหลุยส์ อราโกเนส

ซีซั่น 1992/93 ซิเมโอเน่ เป็นเพื่อนร่วมทีมของดิเอโก้ มาราโดน่า ตำนานลูกหนังทีมชาติอาร์เจนติน่าผู้ล่วงลับ ก่อนที่บิลาร์โด้ และมาราโดน่า จะอำลาถิ่นรามอน ซานเชซ ปิชฆวน หลังจบซีซั่นไปพร้อมกัน

และซีซั่น 1993/94 ในยุคของกุนซือหลุยส์ อราโกเนส “เอล โชโล่” ได้มีความทรงจำที่ดีในการลงเล่นนัดที่เปิดบ้านพบกับ “ตราหมี” เมื่อโหม่งคนเดียว 2 ประตู พายอดทีมจากอันดาลูเซีย แซงกลับมาชนะ2 – 1

เซบีย่า และแอตเลติโก้ มาดริด ต่างมีเป้าหมายในการกลับสู่หัวตารางให้เร็วที่สุด ผลเสมอคงจะไม่ใช่เรื่องดีต่อทั้งสองฝ่าย  ต้องมาติดตามกันว่า ทีมใดจะเป็นฝ่ายเก็บชัยชนะที่ต้องการนี้ไปได้

Categories
Football Business

อาณาจักรไร้พรมแดน : “มัลติ-คลับ” โมเดลที่กำลังเขย่าวงการลูกหนังเมืองผู้ดี ?

สโมสรฟุตบอล ถือเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนระดับมหาเศรษฐีอยากจะครอบครองไว้ ด้วยเหตุผลหลายประการ อาจเพราะด้วยใจรักที่แท้จริง หวังมีชื่อเสียง กอบโกยผลประโชยน์ และอื่น ๆ

แต่ฟุตบอลในยุคสมัยใหม่นั้นไปไกลกว่าเมื่อก่อนมาก เพราะมีเจ้าของสโมสรฟุตบอลบางกลุ่ม ได้ “ต่อยอด” โดยการสร้างเครือข่ายกับสโมสรฟุตบอลอื่น ๆ ครอบคลุมทุกทวีปทั่วโลก หรือ “มัลติ-คลับ”

แล้วโมเดล “มัลติ-คลับ” จะสร้างแรงสั่นทะเทือนกับวงการฟุตบอลอังกฤษได้มากน้อยเพียงใด ? SoccerSuck x ไข่มุกดำ จะมาขยายให้ฟังกันครับ

จุดเริ่มต้นมาจาก “เบร็กซิต”

แนวคิดที่เจ้าของสโมสรในพรีเมียร์ลีก หรือลีกระดับรองของอังกฤษ ในการซื้อทีมฟุตบอลได้มากกว่า 1 ทีม เริ่มขึ้นในปี 2016 หลังจากสหราชอาณาจักร ลงประชามติขอออกจากสหภาพยุโรป หรือ “เบร็กซิต” (Brexit)

ซึ่งเบร็กซิต มีผลอย่างเป็นทางการแล้วตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา ทำให้ลีกฟุตบอลในสหราชอาณาจักร ต้องอยู่ภายใต้ระบบการคิดคะแนนเพื่อได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงาน หรือ GBE (Governing Body Endorsement)

สำหรับเกณฑ์การคิดคะแนน GBE นั้น จะดูจาก 3 หัวข้อ ประกอบด้วย สถิติการลงเล่นทีมชาติทั้งชุดใหญ่และชุดเยาวชน, สถิติการลงเล่นกับสโมสรทั้งในลีกและถ้วยยุโรป และเกรดของสโมสรที่ขายนักเตะให้

นักเตะที่เป็นเป้าหมายการซื้อตัว จะต้องได้คะแนนอย่างน้อย 15 คะแนนขึ้นไป จึงจะได้รับอนุญาตให้เป็นนักเตะใหม่ในเมืองผู้ดี ซึ่งถ้าหากเคยลงเล่นกับสโมสรใหญ่ใน 5 ลีกหลักของยุโรป จะได้เปรียบกว่าคนอื่น

แต่ถ้าหากนักเตะเป้าหมายได้คะแนนอยู่ในช่วง 10 – 14 คะแนน สโมสรมีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ และต้องสามารถชี้แจงเหตุผลต่อคณะกรรมการได้ว่า นักเตะคนนั้นได้คะแนนไม่ถึง 15 คะแนน เพราะสาเหตุที่ควบคุมไม่ได้

จากผลกระทบของเบร็กซิต ทำให้เจ้าของสโมสรฟุตบอลในสหราชอาณาจักรบางกลุ่ม ได้ใช้วิธีแก้ปัญหาด้วยการซื้อทีมฟุตบอลมากกว่า 1 แห่ง ทั้งในและนอกยุโรป และอาจฝากเลี้ยงนักเตะดาวรุ่งจนกว่าจะอายุครบ 18 ปี

“คอนเน็คชั่น” ของทีมในอังกฤษ 

ใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป มีเจ้าของสโมสรฟุตบอลจำนวนคิดเป็น 32.7 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด ที่ใช้โมเดลการซื้อทีมฟุตบอลสะสมไว้ในเครือข่ายของตัวเอง โดยมีการเชื่อมโยงกันมากถึง 91 ทีม จาก 5 ทวีปทั่วโลก

การซื้อทีมฟุตบอลสะสมไว้ในเครือข่ายของตัวเอง จะเป็นการนำโครงสร้างพื้นฐานจากสโมสรแม่ ที่พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จ ไปแชร์ให้กับสโมสรลูก เสมือนกับการไปเปิดสาขาธุรกิจแฟรนไชส์ข้ามชาติ

โดยพรีเมียร์ลีก อังกฤษ มี 9 สโมสรที่ใช้โมเดลมัลติ-คลับ ได้แก่ อาร์เซน่อล, เบรนท์ฟอร์ด, ไบรท์ตัน, คริสตัล พาเลซ, เลสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์, เซาธ์แธมป์ตัน และเวสต์แฮม ยูไนเต็ด

ขณะที่ดิวิชั่นรองลงมาที่อยู่ภายใต้ EFL มีทีมที่ใช้โมเดลมัลติ-คลับ รวมกัน 9 ทีม ได้แก่คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้, ควีนสปาร์ค เรนเจอร์ส, เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด, ซันเดอร์แลนด์, สวอนซี ซิตี้, วัตฟอร์ด, บาร์นสลี่ย์, อิปสวิช ทาวน์ และซัลฟอร์ด ซิตี้

สโมสรในพรีเมียร์ลีกที่มีพันธมิตรลูกหนังอยู่ในเครือข่ายของตัวเองมากที่สุด คือ แมนฯ ซิตี้ 10 ทีม ตามมาด้วยพาเลซ 8 ทีม ส่วนอีก 7 สโมสรที่เหลือ ต่างมีพันธมิตรสโมสรละ 1 ทีม รวมทั้งสิ้น 25 ทีม

ตัวอย่างจากแมนฯ ซิตี้ กับบริษัท City Football Group (CFG) ที่นอกจากจะมีเป้าหมายในการทำให้สโมสรนี้ครองความยิ่งใหญ่ในอังกฤษแล้ว ยังได้นำ “พิมพ์เขียว” ไปให้สโมสรอื่น ๆ ในเครือด้วย

วิธีการของ CFG คือ จะขอซื้อกิจการของสโมสรขนาดกลางหรือเล็ก ที่พิจารณาแล้วว่าสามารถเติบโตไปด้วยกันได้ จากนั้นจะปรับภาพลักษณ์สโมสรเหล่านั้นให้เข้ากับตัวตนของแมนฯ ซิตี้ ตามความเหมาะสม

จุดเด่นของการสร้างคอนเน็คชั่นแบบนี้ คือ สโมสรฟุตบอลจะสามารถแบ่งปัน หมุนเวียนทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีอยู่ร่วมกัน ภายในเครือข่ายเดียวกัน เป็นการเพิ่มศักยภาพทั้งด้านฟุตบอล และธุรกิจไปพร้อมกัน

โดย CFG มีฐานข้อมูลขนาดใหญ่ สำหรับค้นหานักเตะอายุต่ำกว่า 18 ปี ซึ่งอาจส่งไปให้สโมสรลูกลงเล่นบนสนามแข่งขันจริงให้ได้มากที่สุด ถ้าฝีเท้าดี และอายุถึง 18 ปีเมื่อใด ก็เซ็นสัญญากับ “เรือใบสีฟ้า” ได้ทันที

และทีมฟุตบอลที่อยู่ภายใต้เครือข่าย CFG จะมีอำนาจในการตัดสินใจขายนักเตะเพื่อทำกำไรได้ ถึงแม้นักเตะจะไปไม่ถึงทีมชุดใหญ่ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่อย่างน้อยที่สุดก็ได้ผ่านประสบการณ์จากสนามจริงมาแล้ว

ดาบสองคมของ “มัลติ-คลับ”

การสร้างอาณาจักรมัลติ-คลับ คือพลังที่มาพร้อมกับเม็ดเงินและโอกาสที่มากขึ้น อาจเป็นแนวทางที่ดีในปัจจุบันที่สโมสรอื่น ๆ อยากเลียนแบบบ้าง แต่อีกมุมหนึ่ง โมเดลนี้ก็อาจมีปัญหาที่ตามมาเช่นเดียวกัน

ประการแรก การที่สโมสรแม่ใช้แนวคิดแบบมัลติ-คลับ คือการดึงดูดสโมสรลูกให้เข้ามาเป็นพวกเดียวกันก็จริง แต่ต้องไม่ลืมว่า แต่ละสโมสรมีอัตลักษณ์ที่แตกต่างกัน และมีความเป็น “ท้องถิ่นนิยม” ที่สูงมาก

หากสโมสรแม่ไปปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่างที่ไม่เข้าท่า หรือไม่ได้รับการยินยอมจากแฟนบอลของสโมสรท้องถิ่น อาจจะเกิดกระแสตีกลับ เปลี่ยนจากแรงสนับสนุน กลายเป็นแรงต่อต้านแบบคาดไม่ถึงก็เป็นได้

ฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดของโมเดลฟุตบอลมัลติ-คลับ คือการรักษาสมดุลระหว่างผลประโยชน์ กับความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละสโมสรเอาไว้ เพื่อช่วยให้สโมสรในเครือเดินหน้าไปด้วยกันได้อย่างราบรื่น

อีกประการหนึ่ง โมเดลมัลติ-คลับ จะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับผลงานของสโมสรแม่ ถ้าช่วงเวลาหนึ่ง สโมสรแม่มาถึงช่วงไร้ความสำเร็จไปนาน ๆ อนาคตของสโมสรในเครือก็อาจจะไม่แน่นอนเช่นกัน

ไม่ว่าจะทำธุรกิจฟุตบอลแบบซิงเกิล-คลับ หรือมัลติ-คลับก็ตาม ต่างก็ต้องเจอกับปัญหา และอุปสรรคที่เข้ามาไม่ต่างกัน ซึ่งเจ้าของธุรกิจต้องใช้องค์ความรู้ที่มีอยู่ มาช่วยขับเคลื่อนวงการฟุตบอลอังกฤษให้เดินหน้าต่อไป

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://www.cityfootballgroup.com/

https://theathletic.com/3135274/2022/02/19/does-owning-multiple-clubs-actually-work/

https://theathletic.com/3610992/2022/09/21/multi-club-ownership-boehly-chelsea-city-football-group/

– https://theathletic.com/3554783/2022/09/06/brexit-transfers-clubs-work-permit/

– https://www.theguardian.com/news/2017/dec/15/manchester-city-football-group-ferran-soriano

https://www.independent.co.uk/sport/football/premier-league/inside-city-football-group-manchester-city-s-network-of-clubs-new-york-melbourne-girona-a7934436.html

Categories
Column

15 ดาวเด่นลาลีกา ช่วงต้นฤดูกาล 2022/23

ผ่านไปแล้ว 6 นัด สำหรับลาลีกา สเปน ฤดูกาล 2022/23 ได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นมากมาย ทั้งจังหวะทำประตู และแอสซิสต์ของนักเตะ รวมถึงผู้จัดการทีมบางคนที่เริ่มต้นคุมทีมด้วยผลงานที่ดี

และนี่คือ 15 รายชื่อที่มีการรวบรวมมาแล้วว่าทำผลงานได้โดดเด่นที่สุด ในช่วงออกสตาร์ท 6 เกมแรก ที่อาจจะพาทีมประสบความสำเร็จ หรือคว้ารางวัลส่วนบุคคลหลังจบซีซั่นนี้ก็เป็นได้

️ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้

เลวานดอฟสกี้ ประเดิมลงสนามในลาลีกาเป็นเกมแรก ในนัดเปิดซีซั่นที่พบกับราโย บาเยกาโน่ แต่อีก 5 นัดหลังจากนั้น ศูนย์หน้าทีมชาติโปแลนด์ ยิงได้ทุกนัด รวม 8 ประตู ขึ้นนำดาวซัลโวแบบเดี่ยว ๆ อีกทั้งกดแฮตทริกแรกในสีเสื้อของบาร์เซโลน่า ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เอาชนะวิคตอเรีย พิลเซ่น

️ วินิซิอุส จูเนียร์

ในช่วงที่คาริม เบนเซม่า ดาวยิงหมายเลข 1 ของเรอัล มาดริด ประสบกับปัญหาอาการบาดเจ็บ วินิซิอุส คือความหวังคนสำคัญในแนวรุก ที่พกสถิติยิงประตู 4 นัดติดต่อกันในลาลีกา ซีซั่นนี้ และล่าสุดในเกม “มาดริด ดาร์บี้” เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จัด 1 แอสซิสต์ให้เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้ ยิงประตู

️ อเล็กซ์ บาเอน่า

บาเอน่า ถือเป็นสุดยอด “ซูเปอร์ซับ” ของบียาร์เรอัลอย่างแท้จริง 3 ประตูในลาลีกา ซีซั่นนี้ ทำได้ในฐานะตัวสำรองทั้งหมด นอกจากนี้ ปีกดาวรุ่งชาวสเปน วัย 21 ปี ยังทำได้ 3 ประตู กับ 1 แอสซิสต์ จาก 2 นัดแรก ในถ้วยยูโรป้า คอนเฟอเรนซ์ ลีก

️ ยาโก้ อัสปาส

อัสปาส ยังคงเป็นความหวังอันดับ 1 ในการทำประตูให้กับเซลต้า บีโก้ ดาวยิงชาวสเปนวัย 35 ปี เริ่มต้นลาลีกาซีซั่นนี้ ด้วยการยิงได้ 5 ประตู จากการลงเล่น 6 นัดแรก ถือเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงรางวัลส่วนบุคคลทั้ง “ปิชิชี่ โทรฟี่” และ “ซาร์ร่า โทรฟี่”

️ นิโก้ วิลเลียมส์

วิลเลียมส์ ปีกดาวรุ่งวัย 20 ปี เริ่มต้นซีซั่นนี้ด้วยฟอร์มการเล่นที่ดีกับแอธเลติก บิลเบา ผลงาน 2 ประตู กับ 2 แอสซิสต์ จากลาลีกา 6 นัดแรก ก็เพียงพอที่จะทำให้หลุยส์ เอ็นริเก้ เรียกติดทีมชาติสเปน ชุดลุยศึกยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก 2 นัด ในเดือนนี้ 

️ ออเรเลียง ชูอาเมนี่

ผลงานของชูอาเมนี่ ในช่วงออกสตาร์ทซีซั่นกับเรอัล มาดริด ทำ 2 แอสซิสต์ในเกมที่พบกับเอสปันญ่อล และแอตเลติโก้ มาดริด นอกจากนี้ มิดฟิลด์วัย 22 ปี ยังได้รับเลือกให้เป็น “แมน ออฟ เดอะ แมตช์” ในเกมที่พบกับเรอัล เบติสอีกด้วย

️ อุสมาน เดมเบเล่

ลาลีกาออกสตาร์ทในซีซั่นนี้ไปแล้ว 6 นัด เดมเบเล่มีส่วนร่วมทั้งหมด 4 ประตู (2 ประตู กับ 2 แอสซิสต์) นอกจากนี้ ปีกทีมชาติฝรั่งเศสวัย 25 ปี ของบาร์เซโลน่า ยังทำ 2 แอสซิสต์ ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ชนะวิคตอเรีย พิลเซ่นอีกด้วย

️ บอร์ฆา อิเกลเซียส

อิเกลเซียส ศูนย์หน้าวัย 29 ปี ของเรอัล เบติส ทำไป 6 ประตู เป็นดาวซัลโวอันดับที่ 2 หลังผ่านไป 6 นัดในลาลีกา ซีซั่นนี้ เป็นอีกหนึ่งนักเตะที่มีลุ้นรางวัล “ปิชิชี่ โทรฟี่” และล่าสุด ถูกเรียกติดทีมชาติสเปนเป็นครั้งแรก เช่นเดียวกับนิโก้ วิลเลียมส์ 

️ ชิมี่ อาบีล่า

อาบีล่า กองหน้าชาวอาร์เจนติน่าวัย 28 ปี ทำได้ 3 ประตู จาก 6 นัดแรกในลาลีกา ฤดูกาลนี้ โดยยิงใส่เซบีย่า, กาดิซ และอัลเมเรีย นัดละ 1 ประตู ช่วยให้โอซาซูน่าออกสตาร์ตซีซั่นได้ดีเกินคาด และหวังทำอันดับไปเล่นฟุตบอลยุโรปให้ได้

️ เกโรนิโม่ รุลลี่

รุลลี่ ผู้รักษาประตูชาวอาร์เจนติน่าวัย 30 ปีของบียาร์เรอัล เสียไปเพียง 2 ประตู จาก 6 นัดแรกในลาลีกา ซีซั่นนี้ มีลุ้นก้าวขึ้นมาท้าชิงรางวัลนายทวารยอดเยี่ยม “ซาโมร่า โทรฟี่” โดยเฉพาะจังหวะเซฟมหัศจรรย์ในนัดที่พบกับแอตเลติโก้ มาดริด

️ เวดาต มูริกี

มูริกี ดาวยิงทีมชาติโคโซโววัย 28 ปี ที่เป็นดาวซัลโวสูงสุดกับเรอัล มายอร์ก้า เมื่อฤดูกาลที่แล้ว และได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของลาลีกา ประจำเดือนพฤษภาคม ส่วนในซีซั่นนี้เขาเริ่มต้นได้ดีเกินคาด ยิงได้ 3 ประตู จาก 6 นัดแรกในลาลีกา

️ อิซี่ ปาลาซอน

ปาลาซอน ปีกชาวสเปนวัย 27 ปี ทำได้ 2 ประตู จากการลงสนาม 5 นัดในลาลีกา ฤดูกาลนี้ โดยยิงใส่เอสปันญ่อล และบาเลนเซีย นัดละ 1 ลูก ช่วยให้ราโย บาเยกาโน่ ต้นสังกัดของเขา เริ่มต้นซีซั่นได้อย่างยอดเยี่ยม เช่นเดียวกับเมื่อซีซั่นที่แล้ว

️ อองตวน กรีซมันน์

แม้ว่ากรีซมันน์จะไม่ได้อยู่ในสนามช่วยแอตเลติโก้ มาดริด แบบเต็ม 90 นาที ครบทุกนัด แต่ดาวยิงชาวฝรั่งเศสวัย 31 ปี ยังถือเป็นนักเตะคนสำคัญของทีม ด้วยผลงาน 2 ประตู และจัด 1 แอสซิสต์ ให้มาริโอ เอร์โมโซ่ ยิงตีไข่แตกในมาดริด ดาร์บี้

️ ทาเคฟุสะ คุโบะ

คุโบะ ดาวเตะทีมชาติญี่ปุ่นวัย 21 ปี ย้ายมาค้าแข้งกับเรอัล โซเซียดัดในซีซั่นนี้ 6 นัดแรกในลาลีกา ยิง 1 ประตู ในนัดเปิดซีซั่นกับกาดิซ และ 1 แอสซิสต์ ในนัดล่าสุดกับเอสปันญ่อล ต้องดูกันต่อว่าจะสามารถรักษาฟอร์มที่ดีในระยะยาวได้หรือไม่

️ เจนนาโร่ กัตตูโซ่

ผู้จัดการทีมเพียงหนึ่งเดียวที่ติดอยู่ในลิสต์นี้ เฮดโค้ชคนใหม่ของบาเลนเซีย ทำทีมสไตล์เกมรุก มีความกล้าได้กล้าเสียมากขึ้น ผลงานคุมทีมในช่วงต้นซีซั่นถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว ชนะ 3 แพ้ 3 จาก 6 นัดแรก ตามหลังท็อปโฟร์เพียง 4 แต้มเท่านั้น

การที่นักเตะและผู้จัดการทีมหลายคน เริ่มต้นฤดูกาลได้ดีเกินความคาดหมายจนได้รับคำชื่นชมมากมาย แต่จะสามารถรักษาผลงานที่ดีอย่างสม่ำเสมอไปจนจบซีซั่นได้หรือไม่ เวลาเท่านั้นจะเป็นผู้ให้คำตอบ

Categories
Special Content

เรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้ ? : ราชวงศ์อังกฤษ กับการเชียร์ทีมฟุตบอลในดวงใจ

ชาวอังกฤษในเวลานี้ ยังอยู่ในช่วงของการไว้ทุกข์ หลังจากสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งเกมฟุตบอลในสุดสัปดาห์นี้ แข่งขันตามปกติ

แต่มีบางแมตช์ที่ต้องเลื่อนการแข่งขันออกไป ด้วยเหตุผลเรื่องกำลังตำรวจที่ไม่เพียงพอ เนื่องจากจะต้องไปดูแลความปลอดภัย ในวันประกอบพระราชพิธีพระบรมศพ วันจันทร์ที่ 19 กันยายนนี้

เมื่อพูดถึงสมาชิกราชวงศ์ของอังกฤษ หลายคนอาจยังไม่เคยทราบมาก่อนว่า ได้เลือกสนับสนุนทีมฟุตบอลที่แต่ละพระองค์ชื่นชอบ ซึ่งเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ เช่นเดียวกับประชาชนคนธรรมดา

วันนี้ SoccerSuckไข่มุกดำ จะมาเล่าให้ฟังว่า สมาชิกราชวงศ์ของอังกฤษ เลือกเชียร์ทีมฟุตบอลทีมใดกันบ้าง ซึ่งอาจจะตรงใจกับทีมเชียร์ของแต่ละคนก็เป็นได้

สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 : อาร์เซน่อล หรือ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด

อดีตประมุขแห่งสหราชอาณาจักร ที่ครองราชบัลลังก์ยาวนานถึง 70 ปี ไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณชนอย่างชัดเจนว่า เลือกเชียร์ทีมฟุตบอลทีมใด แต่สันนิษฐานว่า อาจจะเป็นอาร์เซน่อล หรือ เวสต์แฮม

ด้านหนึ่ง มีการวิเคราะห์ว่า ควีนอลิซาเบธที่ 2 ได้สนับสนุนอาร์เซน่อล เพราะเป็นสโมสรเดียวในอังกฤษ ที่เปิดโอกาสให้นักเตะ และผู้จัดการทีม ได้เข้าเฝ้าพระองค์ที่พระราชวังบักกิงแฮม เมื่อปี 2007

นอกจากนี้ “เดอะ ซัน” สื่อดังของอังกฤษ เคยอ้างคำพูดของควีนอลิซาเบธที่ 2 ขึ้นหน้าหนึ่งมาแล้วว่าเป็นกองเชียร์ของอาร์เซน่อล ตามพระมารดา รวมถึงมีการเอ่ยชื่อเชส ฟาเบรกาส ที่ขณะนั้นเป็นนักเตะของทีมด้วย 

อนึ่ง เมื่อปี 2006 เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ พระราขสวามี (สิ้นพระชนม์เมื่อเดือนเมษายน ปี 2021) เคยเสด็จแทนพระองค์ในพิธีเปิดสนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม รังเหย้าแห่งใหม่ของ “เดอะ กันเนอร์ส”

แต่มีอีกด้านหนึ่งที่ระบุว่า ควีนอลิซาเบธที่ 2 เป็นแฟนเวสต์แฮม เนื่องจากชื่นชอบรอน กรีนวู้ด อดีตผู้จัดการทีมของ “เดอะ แฮมเมอร์ส” เป็นการส่วนพระองค์ และเคยมอบยศอัศวินให้เมื่อปี 1981 ด้วย

จากการที่ควีนอลิซาเบธที่ 2 ไม่บอกให้คนภายนอกรู้ว่า พระองค์ชื่นชอบทีมฟุตบอลทีมใดเป็นพิเศษ เพราะต้องการวางตัวเป็นกลาง และคงเป็นความลับที่จะไม่ถูกเปิดเผยไปตลอดกาล

สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 : เบิร์นลี่ย์

กษัตริย์พระองค์ใหม่แห่งสหราชอาณาจักร พระชนมายุ 73 พรรษา ทีมฟุตบอลที่ทรงชื่นชอบคือ เบิร์นลี่ย์ ทีมที่เพิ่งตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก เมื่อฤดูกาลที่แล้ว หลังอยู่ในลีกสูงสุดมา 6 ซีซั่นติดต่อกัน

ความชื่นชอบในสโมสรเบิร์นลี่ย์ ของสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 มีจุดเริ่มต้นเมื่อปี 2005 พระองค์ได้เสด็จไปเยือนเมืองเบิร์นลี่ย์ เพื่อติดตามโครงการ Prince’s Trust และเยี่ยมชมสนามเทิร์ฟ มัวร์

ฤดูกาล 2009/10 เบิร์นลีย์เลื่อนชั้นขึ้นสู่ลีกสูงสุดในยุค “พรีเมียร์ลีก” เป็นครั้งแรก แต่หลังจากนั้นผลงานไม่สม่ำเสมอเท่าที่ควร เคยตกชั้นไป 2 ครั้ง ก่อนกลับมาอยู่พรีเมียร์ลีกแบบต่อเนื่องถึง 6 ซีซั่น

ซึ่งเมื่อทราบข่าวว่า สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ชื่นชอบ “เดอะ คลาเร็ตส์” และติดตามผลการแข่งขันของทีมอยู่เสมอ ทางสโมสรจึงมอบตั๋วปีแบบวีไอพีให้กับพระองค์เป็นการตอบแทน

เจ้าชายวิลเลียมส์ : แอสตัน วิลล่า

พระราชโอรสพระองค์โต ในสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 พระชันษา 40 ปี ปัจจุบันทรงดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ สมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) เลือกแอสตัน วิลล่า เป็นทีมที่ทรงโปรด

เมื่อปี 2015 เจ้าชายวิลเลียมส์ เคยให้สัมภาษณ์กับแกรี่ ลินิเกอร์ พิธีกรของ BBC ว่า “เพื่อน ๆ ของผมที่เรียนหนังสือมาด้วยกัน พวกเขาจะเชียร์แมนฯ ยูไนเต็ด หรือเชลซี แต่ผมไม่อยากทำแบบนั้น”

“ผมเลือกเชียร์ทีมที่อยู่กลางตารางมากกว่า เพราะทำให้รู้สึกตื่นเต้นกับผลการแข่งขันที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ทีมนั้นคือแอสตัน วิลล่า สโมสรฟุตบอลที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน”

“นัดแรกที่ผมได้ไปดู คือเกมที่วิลล่า เจอโบลตัน ในเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ ปี 2000 วิลล่าผ่านเข้าชิงชนะเลิศกับเชลซี บรรยากาศมันวิเศษมาก รู้สึกได้เลยว่าวิลล่าคือทีมที่ใช่สำหรับผม”

ฤดูกาล 2018/19 วิลล่าได้เลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง หลังตกชั้นไปเล่นลีกรองอยู่ 3 ซีซั่น เจ้าชายวิลเลี่ยมได้เข้าไปกอดกับยอห์น คาริว ดาวยิงตัวเก่งด้วยความดีใจแบบสุดเหวี่ยงเลยทีเดียว

ส่วนเจ้าชายจอร์จ พระโอรสองค์โตวัย 9 ขวบ ได้เคยไปชมเกมที่แอสตัน วิลล่า ชนะนอริช ซิตี้ 5 – 1 เมื่อปี 2019 แต่เจ้าชายวิลเลียมส์ก็จะให้อิสระอย่างเต็มที่ ในการเลือกทีมฟุตบอลที่เขาชื่นชอบ

เจ้าหญิงแคเธอรีน : เชลซี

พระชายาของเจ้าชายวิลเลียมส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ พระชันษา 40 ปี เท่ากัน ทรงชื่นชอบกีฬาตั้งแต่วัยเยาว์ และเคยเป็นอดีตกัปตันทีมฮอกกี้ระดับมัธยมศึกษา ทรงประกาศพระองค์ว่าเชียร์เชลซี

เรื่องราวความคลั่งไคล้เชลซีนั้น เกิดขึ้นในปี 2015 เจ้าหญิงแคเธอรีน ได้ไปงานการกุศลที่แอนนา ฟรอยด์ เซนเตอร์ ศูนย์ดูแลสุขภาพจิตสำหรับเด็กและเยาวชน และได้สนทนากับรีเจย์ ไบรอัน เด็กชายวัย 8 ขวบ

เจ้าหนูรีเจย์ ก็ได้ทักทายแบบเป็นมิตร เพราะทราบว่าเจ้าหญิงแคเธอรีน เชียร์เชลซีเช่นเดียวกับเขา นอกจากนี้ แกรี่ โกลด์สมิธ คุณลุงแท้ ๆ ของเจ้าหญิงแคเธอรีน ก็เป็นแฟนตัวยงของ “สิงห์บูลส์” เช่นกัน

และยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่มีความเป็นไปได้ คือ พ่อแม่ของเจ้าหญิงแคเธอรีน ได้ซื้อบ้านหลังหนึ่งมูลค่ากว่า 1 ล้านปอนด์ ที่อยู่ใกล้กับสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ รังเหย้าชองเชลซี

เจ้าชายแฮร์รี่ : อาร์เซน่อล

พระราชโอรสพระองค์เล็ก ในสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และเป็นพระสวามีของเมแกน ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ พระชันษา 38 ปี ทรงชื่นชอบอาร์เซน่อล สโมสรที่มีความใกล้ชิดกับราชวงศ์อังกฤษมากที่สุด

เมื่อปี 2017 “เดอะ ซัน” สื่อชื่อดังของอังกฤษ รายงานว่า เจ้าชายแฮร์รี่ เดินทางไปชมการซ้อมของทีมรักบี้ทีมชาติอังกฤษ และได้สนทนากับแจ็ค แกร์ หนึ่งในทีมสต๊าฟฟ์โค้ช เกี่ยวกับเรื่องการเชียร์ฟุตบอล

เจ้าชายแฮร์รี่ ถามว่า คุณเชียร์ทีมอะไร ? แจ็ค แกร์ตอบว่า “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” แล้วถามเจ้าชายแฮร์รี่กลับไปว่า คุณเชียร์ทีมไหนล่ะ ? ก็ได้คำตอบว่า “อาร์เซน่อล… แต่ตอนนี้อย่าไปพูดถึงมันดีกว่า”

สาเหตุที่เจ้าชายแฮร์รี่ พูดประโยคดังกล่าวออกมา เป็นเพราะว่า “เดอะ กันเนอร์ส” เพิ่งถูกบาเยิร์น มิวนิค ถล่ม 5 – 1 ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และหลังจากนั้น ทีมก็ห่างหายจากถ้วยใหญ่ยุโรปมาแล้ว 6 ปี

ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ หรือครอบครัวสามัญชนทั่วไป ย่อมมีรสนิยมความชื่นชอบที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การยอมรับความคิดที่แตกต่างกันให้ได้ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง : 

– https://www.mirror.co.uk/news/uk-news/royals-favourite-football-teams-williams-24519087

https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/prince-william-explains-supports-aston-22435558

https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/watch-prince-william-reveal-supports-5778761

https://www.mirror.co.uk/news/uk-news/the-queens-a-west-ham-fan-416997

https://www.dailystar.co.uk/sport/football/king-charles-supports-burnley-queen-27946146

https://www.dailystar.co.uk/sport/football/prince-harry-royal-football-arsenal-24347305

https://www.thesun.co.uk/sport/football/2892012/prince-harry-reveals-he-is-an-arsenal-fan/

– https://www.telegraph.co.uk/sport/football/9085234/Prince-of-Wales-supports-Burnley-football-club.html

https://www.lancashiretelegraph.co.uk/news/4781705.prince-charles-pledges-support-burnley-fc/

Categories
Special Content

เมื่อฟุตบอลอังกฤษเลือก “หยุดนิ่ง” หลังสูญเสียควีนอลิซาเบธที่ 2

สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 ประมุขแห่งสหราชอาณาจักร เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา นั่นหมายถึงการสิ้นสุดรัชสมัยของพระองค์ ที่ครองราชย์มายาวนานกว่า 70 ปี

และหลังจากการสูญเสียควีนอลิซาเบธที่ 2 ทำให้โปรแกรมการแข่งขันฟุตบอลในอังกฤษ และทั่วทั้งสหราชอาณาจักร ที่จะจัดขึ้นในสุดสัปดาห์นี้ (10 – 12 กันยายน) ถูกเลื่อนออกไปทั้งหมด

แต่การที่องค์กรลูกหนังเมืองผู้ดี ตัดสินใจเลื่อนการแข่งขันฟุตบอลในครั้งนี้ ได้มีผู้คนบางส่วนแสดงความไม่เห็นด้วย พร้อมทั้งแนะวิธีที่เหมาะสม ในการแสดงออกเพื่อไว้อาลัยควีนอลิซาเบธที่ 2

SoccerSuck x ไข่มุกดำ จะมาพูดถึงการจัดการของฟุตบอลอังกฤษ จากเหตุการณ์สำคัญในอดีต รวมถึงการเลื่อนเตะในสัปดาห์นี้ จะทำให้โปรแกรมเตะในช่วงที่เหลือของซีซั่นเป็นอย่างไร

กรณีศึกษาจากการสูญเสียบุคคลสำคัญ

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1952 สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 พระราชบิดาของสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 เสด็จสวรรคต แต่โปรแกรมฟุตบอลเอฟเอ คัพ 4 คู่ในวันดังกล่าว ยังแข่งขันตามปกติ

ต่อมาในวันที่ 31 สิงหาคม 1997 เจ้าหญิงไดอานา สิ้นพระชนม์ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ประเทศฝรั่งเศส ทำให้โปรแกรมพรีเมียร์ลีก คู่ระหว่างลิเวอร์พูล กับนิวคาสเซิล ที่ตรงกับวันดังกล่าว ถูกยกเลิก

วันรุ่งขึ้น (1 กันยายน 1997) เกม “โอลด์เฟิร์ม ดาร์บี้” แห่งสกอตแลนด์ เซลติก กับ เรนเจอร์ส ถูกยกเลิกเช่นกัน แต่เกมพรีเมียร์ลีก คู่ระหว่างโบลตัน วันเดอเรอร์ส กับเอฟเวอร์ตัน แข่งขันตามโปรแกรมเดิม

ในวันที่ 6 กันยายน 1997 มีการจัดงานพระศพของเจ้าหญิงไดอาน่า การแข่งขันฟุตบอลในยูเคถูกงดทั้งหมด ทำให้เกมฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ระหว่างสกอตแลนด์ กับเบลารุส ต้องเลื่อนไปแข่งในวันถัดมา

ขณะที่อังกฤษ ที่มีโปรแกรมพบกับเบลารุส ก็ถูกเลื่อนไปอีก 4 วัน หลังจากงานพระศพของเจ้าหญิงไดอาน่า ซึ่งในวันแข่งขัน นักเตะ “สิงโตคำราม” พร้อมใจกันสวมปลอกแขนสีดำ และยืนสงบนิ่ง 1 นาที

และล่าสุด การเสด็จสวรรคตของควีนอลิซาเบธที่ 2 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อาร์เซน่อล และเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ร่วมกันแสดงความไว้อาลัย ก่อนเริ่มการแข่งขันฟุตบอลถ้วยยุโรป

ขอบคุณภาพ : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

การจัดงานศพครั้งใหญ่ของอังกฤษ ไม่ได้เกิดขึ้นมานานถึง 57 ปีแล้ว นับตั้งแต่งานศพของอดีตนายกรัฐมนตรีวินสตัน เชอร์ชิล เมื่อวันที่ 30 มกราคม 1965 แต่ฟุตบอลเอฟเอ คัพในวันนั้น ไม่ถูกเลื่อนออกไป

ไม่มีการตัดสินใจครั้งใดที่สมบูรณ์แบบ

การเสด็จสู่สวรรคาลัยของควีนอลิซาเบธที่ 2 แน่นอนว่าเป็นข่าวใหญ่ของชาวอังกฤษ แต่การจัดการกับเหตุการณ์ความสูญเสีย คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ในการทำให้การแข่งขันกีฬาได้ไปต่อแบบไม่มีสะดุด

รัฐบาลอังกฤษ ออกมายืนยันว่าไม่มีการบังคับให้เลื่อน หรือยกเลิกกิจกรรมกีฬาต่าง ๆ ในช่วงเวลา 10 วัน แห่งการไว้ทุกข์ โดยองค์กรต่าง ๆ สามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้เลยว่า จะเดินหน้าจัดแข่งขันหรือไม่

ในที่สุด การประชุมของพรีเมียร์ลีก, อีเอฟเอล, เอฟเอ ร่วมกับกรมดิจิทัลวัฒนธรรมสื่อและกีฬาของอังกฤษ (DCMS) ได้ตัดสินใจ “เลื่อนการแข่งขัน” ฟุตบอลทุกระดับในสุดสัปดาห์นี้ออกไปก่อน

แต่กีฬาอื่น ๆ เช่น รักบี้, วิ่งฮาล์ฟมาราธอน, คริกเก็ต, ฮอกกี้น้ำแข็ง และแข่งม้า ในสุดสัปดาห์นี้ ยังดำเนินไปตามปกติ โดยให้ผู้จัดการแข่งขันและนักกีฬา สวมปลอกแขนสีดำเป็นการไว้ทุกข์แทน

นั่นทำให้ปีเตอร์ เคราช์ อดีตดาวเตะทีมชาติอังกฤษ แสดงความไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจเลื่อนการแข่งขันฟุตบอล พร้อมชี้ว่า มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ ในการแสดงความเคารพสูงสุดต่อควีนอลิซาเบธที่ 2

เคราช์ กล่าวว่า “ผมรู้ว่าเป็นแค่ฟุตบอลเกมหนึ่ง และบางเรื่องมันใหญ่กว่ามาก แต่ลองมองภาพว่าถ้าฟุตบอลแข่งตามปกติ แล้วมีการสวมปลอกแขนสีดำ, ยืนสงบนิ่ง, ร้องเพลงชาติ, เล่นดนตรี และอื่น ๆ ให้ผู้คนทั่วโลกได้ดู แบบนั้นไม่ดีกว่าหรือ” 

การที่โปรแกรมการแข่งขันพรีเมียร์ลีกสัปดาห์นี้ถูกเลื่อนออกไปนั้น ทำให้หลายฝ่ายแสดงความกังวลถึงตารางการแข่งขันในช่วงครึ่งซีซั่นหลัง ที่จะอัดแน่นจนอาจจะส่งผลต่อร่างกายของนักเตะได้

โปรแกรมที่ถูกเลื่อนมา จะเอาลงตรงไหน ?

พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2022/23 เป็นฤดูกาลที่ไม่ปกติ เนื่องจากจะต้องหยุดพักการแข่งขันในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ถึงกลางเดือนธันวาคม เป็นเวลา 5 สัปดาห์ เพื่อหลีกทางให้ฟุตบอลโลก ที่ประเทศกาตาร์

ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ 7 ทีมพรีเมียร์ลีก ที่เข้าร่วมฟุตบอลถ้วยยุโรป จะไม่มีที่ว่างในช่วงกลางสัปดาห์เลย เพราะมีโปรแกรมทั้งสโมสรและทีมชาติ ยาวไปตั้งแต่เดือนกันยายน จนถึงสิ้นปี 2022

เมื่อจบรอบแบ่งกลุ่มของฟุตบอลถ้วยยุโรปแล้ว จะมีโปรแกรมพรีเมียร์ลีก อีก 2 นัด และคาราบาว คัพ รอบ 32 ทีมสุดท้าย อีก 1 นัด ก่อนจะเว้นว่าง 1 สัปดาห์ เพื่อให้นักเตะเดินทางไปแข่งขันเวิลด์ คัพ

หลังจากนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก วันที่ 18 ธันวาคม ถ้าทีมที่ได้ไปต่อในถ้วยยุโรป ผ่านเข้ารอบ 16ทีมสุดท้ายคาราบาว คัพ จะต้องลงเตะในช่วงก่อนคริสต์มาส ต่อด้วยพรีเมียร์ลีกช่วงบ็อกซิ่ง เดย์ ถึงปีใหม่

เพราะฉะนั้น โปรแกรมพรีเมียร์ลีกในสัปดาห์นี้ที่ถูกเลื่อนออกไป มีความเป็นไปได้ว่าจะลงในช่วงกลางเดือนมกราคม ปีหน้า แต่ถ้าเกิดทีมใดผ่านเข้ารอบลึก ๆ ของฟุตบอลถ้วย โปรแกรมเตะก็จะเพิ่มขึ้นไปอีก

แล้วโปรแกรมเตะในสัปดาห์หน้า (17-18 กันยายน) ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกเลื่อนด้วย เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนไม่น้อย จะต้องไปดูแลความปลอดภัยในงานพระราชพิธีพระบรมศพ วันที่ 19กันยายนนี้

การตัดสินใจกับบางเรื่องที่ใหญ่มากๆ และมีผลกระทบในวงกว้าง คงไม่มีทางที่จะถูกใจทุกคนไปเสียหมด ผู้ที่มีอำนาจการตัดสินใจ ต้องพยายามรักษาความสมดุลให้ได้ เพื่อทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง : 

https://theathletic.com/3579593/2022/09/09/football-calendar-queen-elizabeth/

https://theathletic.com/3580783/2022/09/10/football-matches-postponed-premier-league/

https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-11197111/Piers-Morgan-Gary-Neville-criticse-Premier-Leagues-postponement-matches.html