Categories
Special Content

เรื่องเล่าตำนานเวิลด์ คัพ : วิตโตริโอ ปอซโซ่ โค้ชหนึ่งเดียว 2 แชมป์ฟุตบอลโลก

ฟุตบอลโลก 2022 เดินทางมาถึงนัดสุดท้ายของทัวร์นาเมนท์ ในวันที่ 18 ธันวาคมนี้ คู่ชิงชนะเลิศประจำการแข่งขันครั้งที่ 22 เป็นการพบกันระหว่าง อาร์เจนตินา กับ ฝรั่งเศส

ทั้ง 2 ทีม ต่างเดิมพันแชมป์โลกสมัยที่ 3 และนักเตะหลายๆ คน ก็มีลุ้นทำสถิติส่วนตัวอีกมากมาย โดยลิโอเนล สกาโลนี่ ผู้จัดการทีม “ฟ้า-ขาว” หวังยุติการรอคอยโทรฟี่ใบนี้ที่ห่างหายไป 36 ปี

ด้านดิดิเย่ร์ เดอช็องส์ เทรนเนอร์ “เลอ เบลอส์” ก็มีลุ้นที่จะเป็นโค้ชคนแรกในรอบ 84 ปี ที่พาทีมเดิมคว้าแชมป์โลก 2 สมัยติดต่อกัน นับตั้งแต่วิตโตริโอ ปอซโซ่ อดีตตำนานโค้ชอิตาลีเคยทำไว้

ไข่มุกดำ x SoccerSuck จะพาไปย้อนเรื่องราวของปอซโซ่ ในการเป็นกุนซือคนแรก และคนเดียวในประวัติศาสตร์ลูกหนัง ที่สามารถป้องกันแชมป์ “เวิลด์ คัพ” ได้สำเร็จ

ผู้คิดค้นแผนการเล่นแบบ “เมโทโด”

ชีวิตในวงการฟุตบอลของวิตโตริโอ ปอซโซ่ เริ่มจากการเป็นนักเตะอาชีพของกราสฮอปเปอร์ ซูริค ในสวิตเซอร์แลนด์ และโตริโน่ ในอิตาลี ก่อนผันตัวมาเป็นกุนซือให้กับทีมชาติอิตาลี ซึ่งเขารับหน้าที่ถึง 4 รอบ

แรงบันดาลใจในการเป็นโค้ชของปอซโซ่ มาจากการเข้าไปชมเกมของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ใช้แผนการเล่น 2-3-5 จนประสบความสำเร็จ อีกทั้งได้มีโอกาสพบกับชาร์ลี โรเบิร์ตส์ เซ็นเตอร์แบ็กของทีมด้วย

และในช่วงทศวรรษที่ 1930 ปอซโซ่ได้คิดค้นแผนการเล่น 2-3-2-3 ที่เรียกว่า “เมโทโด” (Metodo) มีลักษณะคล้ายตัวอักษร “WW” ที่พัฒนามาจากแผน 2-3-5 ของแมนฯ ยูไนเต็ด และแผน 3-2-2-3 ของอาร์เซน่อล

จุดเด่นของแท็กติกเมโทโด คือผู้เล่นตำแหน่ง “ฮาล์ฟแบ็ก” 3 คน ที่อยู่ตรงกลางระหว่างฟูลแบ็ก 2 คน และกองหน้าด้านใน (Inside forward) 2 คน ทำหน้าที่คอยช่วยดึงตัวประกบผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม และเล่นเกมรุกด้วย

การเล่นแบบเมโทโด เหมาะสำหรับทีมที่มีนักเตะประเภทเทคนิคสูง ข้อดีคือช่วยให้เกมรับเหนียวแน่นขึ้นกว่าเดิม และมีประโยชน์ในการตั้งรับเพื่อรอโต้กลับ หรือเคาน์เตอร์-แอทแทค (Counter-attacks)

แผนการเล่นแบบเมโทโด กลายเป็นรากฐานในความสำเร็จของปอซโซ่ กับการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2 สมัยติดต่อกัน ในปี 1934 และ 1938 รวมถึงเป็นต้นแบบของแผนการเล่น 4-3-3 ที่รู้จักกันในปัจจุบัน

1934 ฟาสซิสต์ครอง (แชมป์) โลก

ฟุตบอลโลก ครั้งที่ 2 ในปี 1934 อิตาลี ภายใต้การปกครองของเบนิโต มุสโสลินี ผู้นำฟาสซิสต์ในยุคนั้น ได้รับเลือกจากฟีฟ่า ให้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันเป็นประเทศแรกของทวีปยุโรป

มีการลือกันว่า มุสโสลินี ได้มีคำสั่งให้อิตาลีต้องคว้าแชมป์โลกมาให้ได้ เพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้แก่ตนเองและประเทศชาติ แน่นอนว่าความกดดันทั้งหมดจึงตกมาที่ปอซโซ่อย่างเลี่ยงไม่ได้

เส้นทางของอิตาลีในเวิลด์ คัพ หนนี้ เริ่มจากรอบ 16 ทีมสุดท้าย ชนะ สหรัฐอเมริกา 7 – 1, รอบ 8 ทีมสุดท้าย เสมอ สเปน 1 – 1 ต้องเล่นนัดรีเพลย์ และชนะ 1 – 0 ก่อนที่ในรอบรองชนะเลิศ ชนะ ออสเตรีย 1 – 0

10 มิถุนายน 1934 การแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ อิตาลี พบกับเชโกสโลวะเกีย จัดขึ้นที่สตาดิโอ นาซิโอนาเล่ พีเอ็นเอฟ ในกรุงโรม ท่ามกลางแฟนบอลในสนามกว่า 55,000 คน

เชโกสโลวาเกีย ยิงขึ้นนำไปก่อน แต่อิตาลีทำ 2 ประตูรวด แซงเอาชนะ 2 – 1 ไรมุนโด ออร์ซี และแองเจโล ชิอาวิโอ ทำคนละ 1 ประตู คว้าแชมป์สมัยแรกในถิ่นของตัวเอง ตามที่มุสโสลีนีต้องการได้สำเร็จ

แม้การจัดการแข่งขันครั้งนี้อาจเต็มไปด้วยข้อครหามากมาย แต่แท็กติก “เมโทโด” ของปอซโซ่ ก็พิสูจน์ให้หลายคนเห็นแล้วว่าประสบความสำเร็จ โดยยิงได้ 12 ประตู เสียไปเพียง 3 ประตู จาก 5 นัด

1938 ป้องกันแชมป์ที่แดนน้ำหอม

เวิลด์ คัพ ครั้งที่ 3 ในปี 1938 ที่ประเทศฝรั่งเศส ภารกิจสำคัญของวิตโตริโอ ปอซโซ่ ในการพาทีมป้องกันตำแหน่งแชมป์โลก ผู้เล่นตัวหลักจากเมื่อ 4 ปีก่อนหน้านั้น ยังคงติดทีมมาหลายคน

เส้นทางของอิตาลีในบอลโลกหนนี้ เริ่มจากรอบ 16 ทีมสุดท้าย ชนะ นอร์เวย์ 2 – 1 (หลังต่อเวลาพิเศษ), รอบ 8 ทีมสุดท้าย ชนะ ฝรั่งเศส 3 – 1 ต่อด้วยรอบรองชนะเลิศ ชนะ บราซิล 2 – 1

19 มิถุนายน 1938 การแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ อิตาลี พบกับฮังการี จัดขึ้นที่สต๊าด โอลิมปิก เด โคลอมเบส ในกรุงปารีส ท่ามกลางแฟนบอลในสนามกว่า 45,000 คน

ก่อนที่นัดชิงดำจะเริ่มขึ้น มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า มุสโสลินี ได้ส่งโทรเลขไปยังทีมชาติอิตาลี ด้วยข้อความว่า “Vincere O Morire” ที่แปลแบบตรงตัวว่า “ชนะ หรือ ตาย” แต่ก็ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุด “อัซซูรี่” ก็เอาชนะไปได้ 4 – 2 จากผลงานของจิโน่ โคลาอุสซี่ และซิลวิโอ ปิโอลา คนละ 2 ประตู ทำให้ปอซโซ่ กลายเป็นผู้จัดการทีมคนแรก ที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกเป็นสมัยที่ 2

นอกจากนี้ ปอซโซ่ ยังเป็นเฮดโค้ชคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้ในต่างประเทศ อาจจะทำให้ผู้คนคลายข้อสงสัยเรื่องความสามารถในตัวเขาไปได้ไม่มากก็น้อย

ผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครพูดถึง

ก่อนที่นัดชิงดำฟุตบอลโลก 2022 จะเริ่มขึ้น วิตโตริโอ ปอซโซ่ ยังคงเป็นโค้ชเพียงคนเดียว ที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2 สมัยติดต่อกัน แต่ชื่อเสียงของเขา กลับไม่ได้เป็นที่รู้จักจนถูกพูดถึงในวงกว้างแต่อย่างใด

สาเหตุสำคัญคือ ช่วงที่อิตาลีคว้าแชมป์เวิลด์ คัพ ในปี 1934 และ 1938 ประเทศตกอยู่ภายใต้การปกครองของมุสโสลินี่ ผู้นำเผด็จการ จนถูกตั้งข้อสงสัยว่า ความสำเร็จดังกล่าวได้มาแบบใสสะอาดหรือไม่

“มันมีความผิดปกติเล็กน้อย และปอซโซ่ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเท่าที่ควร อาจเป็นเพราะเขาคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ภายใต้ระบอบฟาสซิสต์” จอห์น ฟุต ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ฟุตบอล กล่าว

ขณะที่ ดร.อเล็กซ์ อเล็กซานดรู นักประวัติศาสตร์กีฬา กล่าวเสริมว่า “มีความพยายามให้ปอซโซ่เป็นที่รู้จักให้น้อยที่สุด เพราะเขามีความเชื่อมโยงกับเผด็จการ และเขาต้องเอาตัวรอดจากระบอบนั้น”

ปอซโซ่ เสียชีวิตในวันที่ 21 ธันวาคม 1968 ขณะมีอายุ 82 ปี แม้เรื่องราวความสำเร็จของเขาจะถูกลืมเลือนไป แต่อย่างน้อยที่สุด เจ้าตัวก็ได้ทิ้งมรดกที่ยิ่งใหญ่ให้กับโลกฟุตบอล และจะเป็นตำนานไปอีกนาน 

นัดชิงชนะเลิศเวิลด์ คัพ ในคืนวันนี้ กระแสส่วนใหญ่เทใจเชียร์ลิโอเนล เมสซี่ คว้าแชมป์ก่อนอำลาอย่างยิ่งใหญ่ แต่ดิดิเย่ร์ เดอช็องส์ ก็หวังที่จะสร้างประวัติศาสตร์เทียบเท่ากับวิตโตริโอ ปอซโซ่ ให้ได้เช่นกัน

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

Categories
Column

“กาดิซ” อุ่นแข้งดวลทีมพรีเมียร์ลีก ก่อนลาลีการีสตาร์ท

กาดิซ สโมสรจากลาลีกา สเปน เปิดสนามเอสตาดิโอ นูเอโว มิรันดิลลา เอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอดทีมพรีเมียร์ลีก 4 – 2 ในเกมอุ่นเครื่องช่วงฟุตบอลโลก เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา

นับตั้งแต่ปี 1955 จนถึงปัจจุบัน สนามเอสตาดิโอ นูเอโว มิรันดิลลา ได้ใช้จัดเกมอุ่นเครื่องพรี-ซีซั่น ในรายการ “ราม่อน เด การ์รันซ่า โทรฟี่” โดยเชิญสโมสรชื่อดังจากทั่วโลกมาแข่งขันด้วย

นี่เป็นการพบกันครั้งแรกของทั้งกาดิซ และแมนฯ ยูไนเต็ด โดยก่อนหน้านี้ ผู้มาเยือนจากอังกฤษ เคยพบกับสโมสรจากสเปน ทั้งเกมกระชับมิตรช่วงซัมเมอร์นี้ 2 นัด และฟุตบอลถ้วยยุโรป อีก 2 นัด

เกมพรี-ซีซั่น 2022/23 ยูไนเต็ด แพ้แอตเลติโก้ มาดริด 0 – 1 และเสมอราโย บาเยกาโน่ 1 – 1 นอกจากนี้ พวกเขายังพบกับเรอัล โซเซียดัด ในยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ต่างฝ่ายต่างเอาชนะในเกมเยือนด้วยสกอร์ 1 – 0

เอริค เทน ฮาก กุนซือ “ปิศาจแดง” ลงคุมทีมเป็นนัดแรกโดยที่ไม่มีคริสเตียโน่ โรนัลโด้ อดีตดาวเตะเรอัล มาดริด แต่ยังมีนักเตะคนอื่น ๆ ได้แก่ มาร์ติน ดูบราฟก้า, อองโตนี่ มาร์กซิยาล, ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค เป็นต้น

ขณะที่กาดิซ นำโดย 2 อดีตกองหน้าพรีเมียร์ลีก ทั้งอัลบาโร่ เนเกรโด้ ที่เคยค้าแข้งให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมคู่ปรับร่วมเมือง รวมถึงลูคัส เปเรซ ที่เคยลงเล่นให้กับอาร์เซน่อล และเวสต์แฮม ยูไนเต็ด มีชื่อเป็นสำรอง

เจ้าถิ่นออกนำ 2 – 0 ภายใน 15 นาทีแรก จากคาร์ลอส การ์เซีย-ดาย และแอนโธนี่ โลซาโน่ ก่อนที่อองโตนี่ มาร์กซิยาล จะยิงตีไข่แตกให้แมนฯ ยูไนเต็ดไล่ตามมาเป็น 1 – 2 และจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้

เริ่มครึ่งหลังได้เพียง 3 นาที แมนฯ ยูไนเต็ดตีเสมอเป็น 2 – 2 จากค็อบบี้ ไมนู มิดฟิลด์ดาวรุ่งวัย 17 ปี อย่างไรก็ตาม กาดิช มายิงเพิ่มอีก 2 ประตู จากรูเบน โซบริโน่ และปิดท้ายด้วยผลงานของโทมัส อลาร์คอน

เกมอุ่นเครื่องนัดต่อไปของกาดิซ คือการพบกับวูล์ฟแฮมตัน อีกหนึ่งทีมจากอังกฤษ ในช่วงกลางสัปดาห์หน้า ขณะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะพบกับเรอัล เบติส ในวันเสาร์ที่ 10 ธันวาคมนี้

Categories
Column

สำรวจแข้งลาลีกา ที่ยังอยู่รอดใน “เวิลด์ คัพ 2022”

บรรดานักเตะที่มีโอกาสลงเล่นในฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ต่างพร้อมที่จะโชว์ฝีเท้าอันน่าตื่นตาตื่นใจให้กับแฟนบอลทั่วโลกได้เห็น สมกับเป็นตัวแทนของทีมชาติ และลีกฟุตบอลของแต่ละประเทศด้วย

ฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ ได้ 8 ทีมสุดท้าย ที่ยังอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์เป็นที่เรียบร้อย โดยลาลีกา สเปน เป็นลีกลูกหนังที่มีจำนวนผู้เล่นเหลืออยู่มากที่สุดเป็นอันดับ 2 จาก 5 ลีกใหญ่ยุโรป

จาก 83 คนในรอบแรก เหลืออีกเกือบ 60 คน ในรอบที่สอง และหลังจากการแข่งขันในรอบ 16 ทีมสุดท้ายเสร็จสิ้นลงเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา มีนักเตะที่ยังอยู่ในการแข่งขันทั้งหมด 32 คน จาก 8 สโมสร

ลาลีกา เป็นลีกที่มีนักเตะเหลืออยู่ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายเวิลด์ คัพ ปีนี้ มากสุดเป็นอันดับ 2 เป็นรองเพียงแค่พรีเมียร์ลีก (64 คน) และมากกว่าอีก 3 ลีกใหญ่ยุโรปที่เหลือ (เซเรีย อา, ลีกเอิง, บุนเดสลีกา)

และถ้ามองในด้านการถูกคัดออกจากทัวร์นาเมท์ ลีกสเปนก็ยังครองอันดับ 2 ที่สูญเสียนักเตะจากการตกรอบน้อยที่สุด โดยคิดเป็น -61.4 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนนักเตะเดิมทั้งหมดก่อนเริ่มการแข่งขัน

โดยลีกที่เสียนักเตะน้อยที่สุด คือ พรีเมียร์ลีก (-52.2 เปอร์เซ็นต์) ส่วนอีก 3 ลีกใหญ่ยุโรปที่เหลือ ได้แก่เซเรีย อา (-63.9 เปอร์เซ็นต์), ลีก เอิง (-64.8 เปอร์เซ็นต์) และบุนเดสลีกา (-76.3 เปอร์เซ็นต์)

“เราภูมิใจที่ผู้เล่นชั้นนำมากมายจากลีกของเรา ยังอยู่ในการแข่งขันฟุตบอลโลกจนถึงช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้ เรามั่นใจว่าสิ่งนี้จะคงอยู่ต่อไปจนจบการแข่งขัน” ฆาเบียร์ เตบาส ประธานลาลีกา กล่าว

สำหรับนัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 2022 จะมีขึ้นที่สนามลูเซล สเตเดี้ยม ในวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม ต้องมาติดตามกันว่า จะมีนักเตะจากลาลีกา สเปน คว้าแชมป์กลับไปหรือไม่

⚽️ รายชื่อผู้เล่นจากลาลีกา ในฟุตบอลโลก 2022 รอบ 8 ทีมสุดท้าย

👉 โครเอเชีย : อิโว เกอร์บิช (แอตเลติโก มาดริด), ลูก้า โมดริช (เรอัล มาดริด), อันเต้ บูดิเมียร์ (โอซาซูน่า)

👉 บราซิล : เอแดร์ มิลิเตา (เรอัล มาดริด), อเล็กซ์ เตลเลส (เซบีย่า), วินิซิอุส จูเนียร์ (เรอัล มาดริด), ราฟินญา (บาร์เซโลน่า), โรดริโก (เรอัล มาดริด)

👉 เนเธอร์แลนด์ : แฟรงกี้ เดอ ยอง (บาร์เซโลน่า), เมมฟิส เดปาย (บาร์เซโลน่า)

👉 อาร์เจนตินา : เกโรนิโม รุลลี (บียาร์เรอัล), นาฮูเอล โมลินา (แอตเลติโก มาดริด), กอนซาโล่ มอนเทรียล (เซบีย่า), เจอร์มัน เปซเซลล่า (เรอัล เบติส), มาร์กอส อาคูญา (เซบีย่า), ฮวน ฟอยธ์ (บียาร์เรอัล), โรดริโก เด ปอล (แอตเลติโก มาดริด), กุยโด โรดริเกซ (เรอัล เบติส), อเลฮานโดร ปาปู โกเมซ (เซบีย่า), อังเคล กอร์เรอา (แอตเลติโก มาดริด)

👉 โมร็อกโก : ยาสซีน โบโน่ (เซบีย่า), จาวาด เอล-ยามิค (เรอัล บายาโดลิด), ยูสเซฟ เอ็น-เนซีรี (เซบีย่า), เอเซ อเบเด้ (โอซาซูน่า)

👉 โปรตุเกส : วิลเลียม คาร์วัลโญ่ (เรอัล เบติส), เจา เฟลิกซ์ (แอตเลติโก มาดริด)

👉 ฝรั่งเศส : ฌูลส์ กุนเด้ (บาร์เซโลน่า), เอดูอาร์โด้ คามาวิงก้า (เรอัล มาดริด), ออเรเลียง ชูอาเมนี่ (เรอัล มาดริด), อุสมาน เดมเบเล่ (บาร์เซโลน่า), อองตวน กรีซมันน์ (แอตเลติโก มาดริด), คาริม เบนเซม่า (เรอัล มาดริด)

Categories
Special Content

เรื่องเล่าตำนานเวิลด์ คัพ : ย้อนวีรกรรม “มาราโดน่า” ที่ตราตรึงในฟุตบอลโลก

25 พฤศจิกายน คือวันครบรอบการเสียชีวิตของดิเอโก้ มาราโดน่า อดีตราชาลูกหนังทีมชาติอาร์เจนติน่า ถือเป็นหนึ่งในสุดยอดตำนานของวงการฟุตบอลที่สร้างเรื่องราวต่างๆ ไว้มากมาย

สุดยอดนักฟุตบอลอัจฉริยะอย่างมาราโดน่า ที่มีชีวิตเต็มไปด้วยสีสันทั้งในและนอกสนาม ไม่เคยใช้ชีวิตแบบครึ่งๆ กลางๆ สุดขั้วทั้งด้านขาวและดำ เป็นทั้งที่รัก และถูกเกลียดชังในเวลาเดียวกัน

SoccerSuck x ไข่มุกดำ จะพาย้อนกลับไปดูเหตุการณ์สำคัญที่อยู่ในความทรงจำ ตลอดการลงเล่นเวิลด์ คัพ ทั้ง 4 สมัย ของสุดยอดตำนาน “ฟ้า-ขาว” หมายเลข 10 ที่ดีที่สุดตลอดกาล

1982 ครั้งแรกที่เจ็บปวด

ดิเอโก้ มาราโดน่า ลงเล่นฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายเป็นครั้งแรกในปี 1982 ที่ประเทศสเปน ในวัย 21 ปี เป็นนักเตะร่างเล็กที่แม้จะมีส่วนสูงเพียง 165 เซนติเมตร แต่มีเทคนิค และความคล่องตัวสูง

รอบแบ่งกลุ่ม รอบแรก เปิดหัวแพ้เบลเยียม 0 – 1 แต่อีก 2 นัดถัดมา เก็บ 6 คะแนนเต็ม จากการเอาชนะฮังการี 4 – 1 มาราโดน่า เหมาคนเดียว 2 ลูก และชนะเอล ซัลวาดอร์ 2 – 0 เข้ารอบเป็นที่ 2 ของกลุ่ม

เข้าสู่รอบแบ่งกลุ่ม รอบสอง แบ่งเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 3 ทีม แชมป์ของกลุ่มเท่านั้น ที่จะได้เข้ารอบรองชนะเลิศ ซึ่งอาร์เจนติน่า อยู่ในกลุ่มสุดโหด เพราะต้องอยู่ร่วมสายกับ 2 ตัวเต็งทั้งบราซิล และอิตาลี

นัดแรก อาร์เจนติน่า พบกับอิตาลี มาราโดน่า ต้องเผชิญหน้ากับปราการหลังสายมืดของอัซซูรี่ ที่ชื่อว่า เคลาดิโอ เจนติเล่ ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านการหยุดนักเตะคู่แข่งด้วยสไตล์ฮาร์ดคอร์ ไม่เกรงใจใครทั้งนั้น

และมาราโดน่า ก็ได้ลิ้มรสชาติความโหดร้ายของเจนติเล่ เพราะถูกทำฟาวล์ใส่แทบจะตลอดทั้งเกม แถม “เสือเตี้ย” ยังโดนใบเหลืองในนาทีที่ 35 ข้อหาโวยใส่ผู้ตัดสิน ช่วยทีมไม่สำเร็จ แพ้ไป 1 – 2

นัดที่ 2 พบกับบราซิล ก็เป็นอีกเกมที่มาราโดน่าทำอะไรไม่ได้ อีกทั้งเจ้าตัวโดนไล่ออกในช่วง 5 นาทีสุดท้ายของเกม หลังไปเล่นนอกเกมใส่บาติสต้า มิดฟิลด์แซมบ้า สุดท้ายทีมแพ้ 1 – 3 ตกรอบชนิดที่ไม่มีแต้ม

1986 ซาตานและฮีโร่ใน 4 นาที

ฟุตบอลโลก 1986 ที่เม็กซิโก ถือเป็นทัวร์นาเมนท์สร้างชื่อให้กับดิเอโก้ มาราโดน่าอย่างแท้จริง ด้วยวีรกรรม “หัตถ์พระเจ้า” ที่โด่งดังไปทั่วโลก และท้ายที่สุดก็ชูโทรฟี่เวิลด์ คัพในฐานะกัปตันทีม

ผลงานของมาราโดน่าใน 4 นัดแรก เหมาแอสซิสต์คนเดียว ในนัดที่ชนะเกาหลีใต้ 3 – 1, นัดต่อมายิงตีเสมออิตาลี 1 – 1, จัด 1 แอสซิสต์ นัดที่ชนะบัลแกเรีย 2 – 0 และพาทีมชนะอุรุกวัย 1 – 0 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย

พอมาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย อาร์เจนติน่า ต้องโคจรมาพบกับอังกฤษ มาราโดน่ารับบททั้งซาตานกับฮีโร่ในเกมเดียวกัน ภายในช่วงเวลาห่างกันแค่ 4 นาที และกลายเป็นเหตุการณ์ที่โลกลูกหนังจะไม่มีวันลืม

นาทีที่ 51 จังหวะที่บอลลอยโด่งกำลังจะเข้าหาประตู มาราโดน่า และปีเตอร์ ชิลตัน นายทวารสิงโตคำราม ต่างเทคตัวขึ้นหาบอลพร้อมกัน มาราโดน่าถึงบอลก่อน และใช้มือปัดเข้าประตูหน้าตาเฉย

มาราโดน่า ให้สัมภาษณ์ภายหลังจบเกมว่า “ส่วนหนึ่งเกิดจากหัวของผม และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากหัตถ์ของพระเจ้า” แน่นอนว่าชาวอังกฤษคงจะแค้นฝังหุ่น ชนิดที่ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบไปอีกนาน

ต่อมาในนาทีที่ 55 คราวนี้มาราโดน่าได้โชว์ทักษะสุดยอด ด้วยการโซโล่ลากหลบผู้เล่นอังกฤษ 5 คน ก่อนปิดท้ายด้วยการล็อกหลบชิลตัน และยิงเข้าไปชนิดที่แฟนฟุตบอลทั่วโลกถึงกับตกตะลึงตาค้าง

ก่อนที่ในรอบรองชนะเลิศ มาราโดน่าจะยิง 2 ประตูใส่เบลเยียม และมีส่วนสำคัญในการเอาชนะเยอรมันตะวันตก 3 – 2 ภาพที่มาราโดน่า ชูถ้วยแชมป์เวิลด์ คัพ กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่จดจำไปตลอดกาล

1990 น้ำตาจากพระเจ้า

ฟุตบอลโลก 1990 ที่ประเทศอิตาลี ดิเอโก้ มาราโดน่า กับภารกิจนำอาร์เจนติน่าป้องกันแชมป์เวิลด์ คัพให้ได้อีกครั้ง โดยคาร์ลอส บิลาร์โด้ เฮดโค้ชจากชุดคว้าแชมป์โลกเมื่อ 4 ปีก่อนหน้านั้น ยังคุมทีมเช่นเดิม

นัดแรก แพ้แคเมอรูนแบบพล็กล็อก 0 – 1 ก่อนที่นัดต่อมาจะชนะสหภาพโซเวียต 2 – 0 และปิดท้ายรอบแรก เสมอกับโรมาเนีย 1 – 1 ที่ซาน เปาโล รังเหย้าของนาโปลี สโมสรที่มาราโดน่าค้าแข้งอยู่ในเวลานั้น

อาร์เจนติน่า จบรอบแบ่งกลุ่มด้วย 3 คะแนน (สมัยนั้นใช้ระบบชนะได้ 2 แต้ม) ได้ผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ในฐานะ 1 ใน 4 ทีมอันดับ 3 ที่ผลงานดีที่สุด แต่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ต้องไปชนกับบราซิล คู่ปรับตลอดกาลแห่งอเมริกาใต้

ขณะที่ยังเสมอกัน 0 – 0 จนถึงช่วง 10 นาทีสุดท้าย เหตุการณ์สำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อมาราโดน่า แอสซิสต์ให้เคลาดิโอ คานิกเกีย ยิงเข้าไป เป็นประตูเดียวที่เกิดขึ้นในเกมนี้ “ฟ้า-ขาว” ดับ “แซมบ้า” ผ่านเข้ารอบต่อไป

รอบ 8 ทีมสุดท้าย เสมอยูโกสลาเวีย 0 – 0 ใน 120 นาที ต้องดวลจุดโทษตัดสิน มาราโดน่ายิงไม่เข้า แต่อาร์เจนติน่ายังได้เข้ารอบรองชนะเลิศ พบกับเจ้าภาพ ต่อหน้าแฟนๆ ที่ซาน เปาโล เสมอกัน 1 – 1 หลังต่อเวลาพิเศษ

ช่วงการดวลจุดโทษ “เสือเตี้ย” ยิงจุดโทษเป็นคนที่ 4 ให้อาร์เจนติน่า แต่คราวนี้เจ้าตัวสังหารไม่พลาดเหมือนรอบที่แล้ว และคนสุดท้ายของอัซซูรี่ โรแบร์โต้ โดนาโดนี่ ยิงพลาด ส่ง “ฟ้า-ขาว” เข้าชิงกับเยอรมันตะวันตก คู่ปรับเก่า

แต่การที่อาร์เจนติน่า ต้องขาดผู้เล่น 4 คน ที่ติดโทษแบนจากรอบตัดเชือก แถมโดนไล่ออกอีก 2 คนในนัดชิงชนะเลิศ ที่สุดก็ต้านเยอรมันตะวันตกไม่ไหว แพ้ไป 0 – 1 ทำเอามาราโดน่าถึงกับร่ำไห้หลังจบเกมแบบไม่อายใคร

1994 พระเจ้าตกสวรรค์

ฟุตบอลโลก 1994 ที่สหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าภาพ ดิเอโก้ มาราโดน่า ลงเล่นรอบสุดท้ายเป็นสมัยที่ 4 ในเกมแรก อาร์เจนติน่า ถล่มกรีซ 4 – 0 เจ้าตัวยิง 1 ประตู และนัดต่อมาจัด 1 แอสซิสต์ เอาชนะไนจีเรีย 2 – 1

แต่หลังจากจบเกมกับ “อินทรีมรกต” เจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจสารเสพติดนักเตะทั้ง 2 ทีม ปรากฏว่ามาราโดน่าถูกพบว่าตรวจโด๊ปไม่ผ่าน จึงถูกขับออกจากทัวร์นาเมนท์ และถูกส่งตัวกลับประเทศทันที

ในเวลาต่อมา “เสือเตี้ย” ประกาศยุติการรับใช้ทีมชาติในวัย 33 ปี และ “ฟ้า-ขาว” ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ในทีม ก็ต้องจบเส้นทางเวิลด์ คัพ เพียงแค่รอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยแพ้ให้กับโรมาเนีย 2 – 3

ภายหลังจบทัวร์นาเมนท์บอลโลก ที่อเมริกา มาราโดน่าออกมาเปิดเผยว่า สารที่พบในร่างกายของเขา เป็นสารที่มาจากเครื่องดื่มชูกำลังที่ผสมสารต้องห้าม ทว่าก็ไม่ได้มีการขยายผลเรื่องนี้แต่อย่างใด

แม้ตัวของดิเอโก้ มาราโดน่า จะไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว แต่วีรกรรมทั้งในและนอกสนาม ยังเป็นเรื่องราวที่จะถูกเล่าต่อกันไปแบบไม่รู้จบ สมกับเป็นสุดยอดนักฟุตบอลที่เกิดมาเพื่อเป็นตำนานอย่างแท้จริง

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

Categories
Column

อเลฮานโดร บัลเด้ : แข้งดาวรุ่ง “กระทิงดุ” ลุยเวิลด์ คัพ 2022

ศูนย์ฝึกฟุตบอล “ลา มาเซีย” ตำนานอคาเดมี่ผู้สร้างสุดยอดนักเตะพรสวรรค์ให้กับบาร์เซโลน่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และล่าสุดได้ค้นพบดาวรุ่งดวงใหม่อีกดวงแล้ว นั่นคือ อเลฮานโดร บัลเด้

แบ็กซ้ายดาวรุ่งพุ่งแรงวัย 19 ปี ถูกเรียกติดทีมชาติสเปน ชุดสู้ศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์ แทนที่ของโฆเซ่ กาย่า แบ็กซ้ายกัปตันทีมบาเลนเซีย วัย 27 ปี ที่ถอนตัวออกไป เนื่องจากเจ็บที่ข้อเท้า

ถือเป็นหนึ่งในนักเตะดาวรุ่งที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง หลังได้รับโอกาสลงสนามมากขึ้นในยุคของกุนซือซาบี้ เอร์นานเดซ จนก้าวสู่การได้รับโอกาสสำคัญของชีวิต ในการติดทีมชาติชุดใหญ่เป็นครั้งแรก

บัลเด้ เป็นชาวคาตาลันโดยกำเนิด และได้เข้ามาเรียนรู้วิชาลูกหนังกับศูนย์ฝึก “ลา มาเซีย” ของบาร์เซโลน่า ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ บ่มเพาะฝีเท้าจนได้เลื่อนขึ้นมาอยู่ทีมสำรองของสโมสร ในปี 2020

ช่วงต้นฤดูกาล 2021/22 บัลเด้ได้โอกาสลงสนามกับทีมชุดใหญ่ของบาร์ซ่า ภายใต้การคุมทีมของโรนัลด์ คูมันอยู่ 3 นัด แต่เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอด ทำให้สภาพความฟิตไม่เต็มที่

จนกระทั่งเข้าสู่ยุคของซาบี้ เอร์นานเดซ เทรนเนอร์คนปัจจุบัน บัลเด้ยังได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้า พักยาว 2 เดือน ทำให้ตลอดซีซั่นที่แล้ว เขาได้ลงสนามกับทีมชุดใหญ่รวมทุกรายการแค่ 7 นัดเท่านั้น

ก่อนเปิดฤดูกาล 2022/23 ซาบี้ ให้สัมภาษณ์ว่า “บัลเด้คือส่วนหนึ่งในแผนการทำทีม เพราะมีช่วงพรี-ซีซั่นที่ดีมาก แม้ตอนนี้อายุจะยังน้อย แต่เขาจะเป็นตัวแทนของฆอร์ดี้ อัลบาในอนาคตอย่างแน่นอน”

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/fcbarcelona

เกมลาลีกา นัดที่ 2 ของซีซั่นใหม่ บาร์เซโลน่า บุกไปเยือนเรอัล โซเซียดัด ซาบี้ตัดสินใจส่งบัลเด้ ลงเป็น 11 ตัวจริง ถึงแม้ว่าฆอร์ดี้ อัลบา แบ็กซ้ายตัวจริง จะฟิตสมบูรณ์พร้อมลงสนามก็ตาม

และเหตุการณ์สำคัญของเกมดังกล่าว เกิดขึ้นหลังเริ่มเกมแค่ 45 วินาทีแรก บัลเด้วิ่งตะลุยเข้ากรอบเขตโทษ ก่อนจ่ายบอลให้โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ สังหารเป็นประตูขึ้นนำ 1 – 0 ก่อนที่บาร์ซ่าจะชนะ 4 – 1

ต่อจากนั้น ในเกมนัดล่าสุด ที่ “เจ้าบุญทุ่ม” เปิดบ้านถล่มเรอัล บายาโดลิด 4 – 0 บัลเด้ได้ลงสนามครบ 90 นาทีเต็มเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือนครึ่ง หรือนับตั้งแต่นัดที่พบกับเกตาเฟ่ เมื่อช่วงปลายซีซั่นที่แล้ว

ถึงแม้ว่าบัลเด้จะเจอปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนมาตลอดฤดูกาล 2021/22 แต่อย่างน้อยที่สุด เจ้าตัวก็มีรายชื่อติด 60 คนสุดท้าย ที่ได้รับการเสนอชื่อลุ้นรางวัล “โกลเด้น บอย อวอร์ด” ในปีนี้

สำหรับรางวัลโกลเด้น บอย อวอร์ด จัดโดย “ตุ๊ดโต้สปอร์ต” สื่อกีฬาของอิตาลี เป็นรางวัลที่มอบให้กับนักฟุตบอลอายุไม่เกิน 21 ปี ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในลีกสูงสุดของยุโรป ในหนึ่งรอบปีปฏิทิน

และล่าสุด ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 นัดแรกของกลุ่ม E ที่สเปน ถล่มคอสตาริกา 7 – 0 เมื่อวันพุธที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา บัลเด้ ถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทนฆอร์ดี้ อัลบา ในนาทีที่ 64

เวลานี้ อเลฮานโดร บัลเด้ ยังคงเป็นตัวสำรองของฆอร์ดี้ อัลบา ไปก่อน และต้องทำงานหนักอีกมาก เพื่อเก็บประสบการณ์สำหรับการขึ้นมาเล่นให้กับทีมชุดใหญ่อย่างสม่ำเสมอในอนาคต

Categories
Special Content

ถอดบทเรียนจากอดีต ก่อนตามหาแชมป์ “เวิลด์ คัพ 2022”

ฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ในวันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่แข่งขันในช่วงปลายปี ไม่ใช่ช่วงกลางปีเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

ที่สำคัญ “เวิลด์ คัพ” ในครั้งนี้ ก็จะเป็นครั้งสุดท้ายที่มี 32 ทีม หลังจากเริ่มใช้รูปแบบนี้มาตั้งแต่ปี 1998 ที่ฝรั่งเศส ก่อนที่ในอีก 4 ปีข้างหน้า จะมีการขยายทีมในรอบสุดท้ายเพิ่มเป็น 48 ทีม

จาก 1998 ถึง 2018 กับฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย 6 ครั้ง ทีมที่คว้าแชมป์ในแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะด้วยฟอร์มการเล่นที่สมบูรณ์แบบ หรือกระท่อนกระแท่น ยังไงพวกเขาก็ได้ชื่อว่าเป็น “ผู้ชนะ” อยู่ดี

ไม่จำเป็นต้องโชว์ฟอร์มสุดยอดตั้งแต่รอบแรก

ผลงานในรอบแบ่งกลุ่มของทีมแชมป์ฟุตบอลโลก 6 ครั้งหลังสุด มีเพียงฝรั่งเศส (1998) และบราซิล (2002) 2 ทีมนี้เท่านั้น ที่เก็บ 9 คะแนนเต็ม โดยยิงได้ 9 และ 11 ประตู ตามลำดับ

อิตาลี (2006) ชนะ 2 เสมอ 1 ยิงได้ 5 ประตู, สเปน (2010) แพ้ในนัดแรกของรอบแบ่งกลุ่ม ให้กับสวิตเซอร์แลนด์ 0 – 1 แต่อีก 2 นัดที่เหลือ แก้ตัวเก็บ 6 คะแนนเต็ม ยิงได้ 4 ประตู

เยอรมัน (2014) ก็ใช่ว่าจะฟอร์มดี นัดที่ถล่มโปรตุเกส 4 – 0 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเปเป้ถูกไล่ออกตั้งแต่ครึ่งแรก ต่อด้วยเสมอกานา 2 – 2 ปิดท้ายด้วยการเฉือนสหรัฐอเมริกา 1 – 0

ฝรั่งเศส (2018) เก็บได้ถึง 7 แต้ม แต่ยิงรวมกันได้แค่ 3 ประตูเท่านั้น ซึ่งในจำนวนนี้ มี 2 ประตูที่มาจากลูกจุดโทษ และนักเตะคู่แข่งทำเข้าประตูตัวเอง ในนัดที่พบกับออสเตรเลีย

เมื่อถึงรอบน็อกเอาต์ ควรเสียประตูให้น้อยที่สุด

ทุกคนทราบดีว่า เมื่อเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ หมายความว่า “ผู้แพ้” หมดสิทธิ์แก้ตัวอย่างแน่นอน ซึ่งหนทางที่ดีที่สุดในการช่วยเพิ่มโอกาสการคว้าแชมป์ คือต้องพยายามไม่เสียประตู

สเปน (2010) เป็นทีมเดียวที่ทำ “คลีนชีต” แบบ 100 เปอร์เซนต์ ตลอดรอบน็อกเอาต์ รองลงมาคือฝรั่งเศส (1998), บราซิล (2002) และอิตาลี (2006) ทำคลีนชีต 3 นัด เสีย 1 ประตู เท่ากันหมด

ส่วนเยอรมัน (2014) และฝรั่งเศส (2018) ทำคลีนชีตทีมละ 2 นัด ต่างกันตรงที่เยอรมัน เสียแค่ 2 ประตู ขณะที่ฝรั่งเศส เสียมากถึง 5 ประตู แต่ได้เกมรุกที่เฉียบขาดมาช่วยทดแทนไว้

การเสียประตูน้อยๆ ในรอบแรกๆ ไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป จากแชมป์เวิลด์ คัพ 6 ครั้งหลังสุด มีเพียงบราซิล และสเปน ที่เสียประตูในรอบแบ่งกลุ่ม มากกว่ารอบน็อกเอาต์

ยิ่งไปกว่านั้น เคยมีทีมที่ไม่เสียประตูเลยทั้ง 3 เกม ในรอบแบ่งกลุ่ม ได้แก่ อาร์เจนติน่า (1998), สวิตเซอร์แลนด์ (2006) และอุรุกวัย (2010, 2018) แต่ไปไม่ถึงดวงดาวเลยแม้แต่ทีมเดียว

แท็กติกในช่วงแรกยังไม่ลงตัว แต่มักจะน่ากลัวในรอบลึกๆ

การแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่ม ไม่ว่าจะได้เป็นที่ 1 หรือที่ 2 ก็ถือว่า “เข้ารอบ” เหมือนกัน ทีมที่ระบบยังไม่ลงตัวในช่วงแรกๆ ไม่ควรวิตกกังวล แต่ระบบการเล่นที่ดีที่สุด จะต้องมาในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด

ฝรั่งเศส ในปี 1998 เธียร์รี่ อองรี ดาวรุ่งในขณะนั้น เล่นในตำแหน่งปีก แต่มาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย เอเม่ ฌักเกต์ เทรนเนอร์ “เลอ เบลอส์” ได้จับไปเล่นหน้าต่ำร่วมกับซีเนอดีน ซีดาน และยูริ จอร์เกฟฟ์ โดยมีสเตฟาน กิวาร์ช เป็นหน้าเป้า

บราซิล ในปี 2002 กุนซือหลุยส์ ฟิลิปเป้ สโคลารี่ ใช้กิลแบร์โต้ ซิลวา เป็นกองกลางตัวรับใน 4 นัดแรก โดยให้จูนินโญ่ เปาลิสต้า คอยกดดันในแนวรุก และรอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นต้นไป ได้เปลี่ยนเคลเบอร์สันลงเล่นแทนเปาลิสต้า

อิตาลี ในปี 2006 มาร์เซโล่ ลิปปี้ เฮดโค้ชของทีมใช้แผนการเล่น 4-3-1-2 ถึง 3 จาก 4 เกมแรก แต่พอเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย จนถึงนัดชิงชนะเลิศ ได้เปลี่ยนแผนการเล่นเป็น 4-4-1-1

สเปน ในปี 2010 บิเซนเต้ เดล บอสเก้ ยึดแผนการเล่น 4-2-3-1 ในบางครั้งมีการขยับตำแหน่งให้ดาบิด บีย่า จากที่เล่นปีกฝั่งซ้าย มาเป็นกองหน้า โดยให้เปโดร โรดริเกซ มาเล่นปีกแทน

เยอรมัน ในปี 2014 โยฮัคคิม เลิฟ ใช้แผน 4-3-3 เป็นหลัก แต่มีความน่าสนใจตรงที่ตำแหน่งของฟิลิปป์ ลาห์ม 4 นัดแรก เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ ก่อนที่ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นต้นไป เขากลับไปประจำการในตำแหน่งแบ็กขวา 

ฝรั่งเศส ในปี 2018 ดิดิเยร์ เดอชองส์ ประเดิมนัดแรกใช้แผน 4-3-3 โดยมี 3 ประสานกองหน้ารุ่นใหม่ทั้งอองตวน กรีซมันน์, คิลิยัน เอ็มบัปเป้ และอุสมาน เดมเบเล่ แต่หลังจากนั้นเปลี่ยนมาเป็น 4-2-3-1 โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ เป็นหน้าเป้า ขยับเอ็มบัปเป้เป็นหน้าต่ำด้านขวา และให้แบลส มาตุยดี้ เป็นวิงแบ็กฝั่งซ้าย

ลงเล่นกับสโมสรมีปัญหา แต่กับทีมชาติเป็นคนละคน

ผู้จัดการทีมชาติโดยส่วนใหญ่ มักจะเลือกนักเตะติดทีมไปร่วมรายการสำคัญ โดยดูจากฟอร์มการเล่นในระดับสโมสร ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่นั่นก็ไม่ใช่สูตรสำเร็จเสมอไป

ฝรั่งเศส ในปี 1998 ซีเนอดีน ซีดาน เพิ่งอกหักจากนัดชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก กับยูเวนตุส พอเข้าสู่ฟุตบอลโลก ก็ถูกไล่ออกในเกมที่พบกับซาอุดิอารเบีย จนถูกแบน 2 นัด แต่เทรนเนอร์ เอเม่ ฌักเกต์ ยังคงไว้ใจเขา และตอบแทนด้วย 2 ประตูในนัดชิงชนะเลิศ พา “เลอ เบลอส์” คว้าแชมป์โลกสมัยแรกในบ้านตัวเอง

บราซิล ในปี 2002 โรนัลโด้ สมัยที่ค้าแข้งอยู่กับอินเตอร์ มิลาน เกือบไม่ติดทีมไปลุยบอลโลกฉบับเอเชีย หลังเพิ่งหายจากการบาดเจ็บที่นานร่วม 2 ปี แต่ความเชื่อใจของหลุยส์ ฟิลิปเป้ สโคลารี่ ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ แชมป์โลกสมัยที่ 5

อิตาลี ในปี 2006 มาร์เชโล่ ลิปปี้ ตัดสินใจเรียกฟรานเชสโก้ ต็อตติ ติดทีม ทั้งๆ ที่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บ แต่ประตูชัยช่วงทดเจ็บนาทีที่ 5 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย คือการตัดสินใจที่ถูกต้อง

สเปน ในปี 2010 บิเซนเต้ เดล บอสเก้ เรียกตัวอิเคร์ กาซิยาส ที่ฟอร์มไม่ดีกับสโมสร และอันเดรียส อิเนสต้า ที่มีอาการบาดเจ็บ แต่ท้ายที่สุด ทั้ง 2 คนคือกำลังสำคัญสู่แชมป์โลกสมัยแรก

เยอรมัน ในปี 2014 บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ ลงเล่นฟุตบอลโลกครั้งที่ 3 ในวัย 30 ปี และไม่อยู่ในฟอร์มที่ดีกับการลงเล่นให้บาเยิร์น มิวนิค แต่เขาคือกองกลางที่พา “อินทรีเหล็ก” คว้าแชมป์สมัยที่ 4

และฝรั่งเศส เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ปอล ป็อกบา ซึ่งฟอร์มการเล่นไม่อยู่กับร่องกับรอยที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่พอมาเล่นให้ทีมชาติ เขาคือมิดฟิลด์คนสำคัญสู่การคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2 ในรอบ 20 ปี

ไม่จำเป็นต้องเป็นดาวซัลโว ก็ช่วยทีมคว้าแชมป์ได้

แชมป์ฟุตบอลโลก 6 ครั้งหลังสุด มีเพียงบราซิล ในปี 2002 ทีมเดียวเท่านั้นที่คว้าแชมป์ และมีนักเตะในทีมได้ตำแหน่งดาวซัลโวประจำทัวร์นาเมนท์ นั่นคือ โรนัลโด้ ที่ทำไป 8 ประตู

อิตาลี ในปี 2006 ลูก้า โทนี่ และมาร์โก มาเตรัซซี่ เป็นนักเตะที่ยิงได้มากที่สุดในทีม คนละ 2 ประตู โดยโทนี่ เหมาเบิ้ลในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ส่วนมาเตรัซซี่ ยิงได้ในรอบแรก และนัดชิงชนะเลิศ

กรณีของสเปน ในปี 2010 ดาบิด บีย่า ยิงไป 5 ประตู เท่ากับโทมัส มุลเลอร์, เวสลี่ย์ ชไนเดอร์ และดิเอโก้ ฟอร์ลัน แต่มุลเลอร์ แอสซิสต์ให้เพื่อนมากที่สุด จึงได้รางวัลโกลเด้น บูท ไปครอง

เยอรมัน ในปี 2014 โธมัส มุลเลอร์ ยิงในรอบแบ่งกลุ่มถึง 4 ประตู แต่รอบน็อกเอาต์ยิงเพิ่มได้แค่ประตูเดียว โดยนักเตะที่ยิงประตูมากที่สุดในรอบน็อกเอาต์ คือ อังเดร ชูร์เล่ ที่ทำได้ 3 ประตู

ฝรั่งเศส ในปี 1998 และ 2018 ก็ไม่มีนักเตะในทีมได้รางวัลดาวซัลโวประจำทัวร์นาเมนท์ทั้ง 2 ครั้ง โดยผู้ทำประตูสูงสุดคือเธียร์รี่ อองรี (3 ประตู) และอองตวน กรีซมันน์ (4 ประตู) ตามลำดับ

หลายทีมที่ได้แชมป์ ต้องเจอเกมยืดเยื้อระหว่างทาง

จากรายชื่อทีมแชมป์ฟุตบอลโลก 6 ครั้งหลังสุด จะพบว่า บราซิล ในปี 2002 เป็นทีมเดียวที่ทำสถิติแบบ “เพอร์เฟกต์” ชนะในเวลาปกติ 90 นาที ครบทั้ง 7 นัด ตลอดทัวร์นาเมนท์

อีกหนึ่งทีมที่ชนะคู่แข่งใน 90 นาที ทั้ง 4 เกมในรอบน็อกเอาต์ นั่นคือฝรั่งเศส ในปี 2018 ส่วนอีก 4 ทีมที่เหลือ ล้วนต้องเจอกับแมตช์ที่ยืดเยื้อ ลงเล่นมากกว่าเวลาปกติอย่างน้อย 1 เกม

ฝรั่งเศส ในปี 1998 กับอิตาลี ในปี 2006 ต่างชนะในช่วงต่อเวลาพิเศษ ต่อด้วยชนะดวลจุดโทษในนัดต่อมาเหมือนกัน ส่วนสเปน ในปี 2010 และเยอรมัน ในปี 2014 ลงเล่นนัดชิงชนะเลิศมากกว่า 90 นาที

ทั้งหมดนี้คือกรณีศึกษาจากอดีต ของทีมที่เคยประสบความสำเร็จระดับแชมป์ฟุตบอลโลกมาแล้ว แต่ไม่ว่าระหว่างทางจะเป็นอย่างไร การเอาชนะในนัดชิงชนะเลิศ คือสิ่งที่สำคัญที่สุด

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

Categories
Column

“มายอร์ก้า – บาเยกาโน่” แจ็คผู้ฆ่ายักษ์แห่งลาลีกา

ความคลาสสิกอย่างหนึ่งในการแข่งขันฟุตบอล คือ ทีมที่เป็นรอง สามารถพลิกล็อกเอาชนะทีมยักษ์ใหญ่ หรือทีมบิ๊กเนมได้ และในทุก ๆ ฤดูกาลของฟุตบอลลีก ก็จะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอยู่เสมอ

สำหรับลูกหนังลีกกระทิงดุ ในช่วงไม่กี่ปีหลัง มีความสูสีกันมากขึ้น ทีมขนาดกลางสามารถยกระดับสู้กับทีมกลุ่มบนได้ไม่เป็นรอง และมีโอกาสจะเกิดเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมายได้ทุกเมื่อ

ฟุตบอลลาลีกา สเปน ฤดูกาล 2022/23 ผ่านไปแล้ว 14 นัด ก่อนหยุดพักเพื่อหลีกทางให้ฟุตบอลโลก ที่ประเทศกาตาร์ ประมาณ 1 เดือนครึ่ง และกลับมาแข่งขันอีกครั้งในช่วงส่งท้ายปี

นับตั้งแต่เปิดซีซั่น มีทีมที่อยู่นอกสายตาแต่ทำผลงานได้ดี นั่นคือราโย บาเยกาโน่ และเรอัล มายอร์ก้า ที่โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมในช่วงหลัง ๆ จนมีแต้มขยับเข้าใกล้โซนลุ้นพื้นที่โควตายุโรป

เมื่อพิจารณาผลงานในช่วง 1 เดือนสุดท้าย ที่ลงเล่นทั้งหมด 6 นัด ก่อนพักเบรกช่วงเวิลด์ คัพ จะพบว่า บาเยกาโน่ กับมายอร์ก้า ได้สร้างเซอร์ไพรส์ เอาชนะทีมที่ชื่อชั้นเหนือกว่าอยู่หลายนัด

เริ่มจาก 6 นัดหลังสุดของราโย บาเยกาโน่ ชนะ 3 เสมอ 3 เก็บได้ 12 คะแนน ในจำนวนนี้คือการลัมยักษ์อย่างเรอัล มาดริด ด้วยสกอร์ 3 – 2, บุกไปชนะเซบีย่า 1 – 0 และบุกไปตีเสมอแอตเลติโก้ มาดริด 1 – 1

ก่อนหน้านี้ในนัดเปิดซีซั่น บุกไปยันเสมอบาร์เซโลน่า ถึงสปอติฟาย คัมป์ นู 0 – 0 นั่นหมายความว่าในครึ่งซีซั่นแรก บาเยกาโน่ ไม่แพ้ทีม “บิ๊ก 4” และเป็นทีมเดียวที่เอาชนะ “แชมป์เก่า” เมื่อซีซั่นที่แล้วได้

ผลงานยามเล่นในบ้าน ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ช่วยให้ “เดอะ เรด แซซ” มีแต้มตามหลังท็อปโฟร์แค่ 2 แต้มในเวลานี้ โดยมีสถิติชนะ 4 เสมอ 2 แพ้แค่นัดเดียว ให้กับเรอัล มายอร์ก้า ทีมที่ฟอร์มดีเช่นเดียวกัน

ทีมของกุนซืออันโดนี่ อิราโอล่า มีนักเตะที่โชว์ฟอร์มได้ดีหลายคน อาทิเช่น ฟลอร็อง เลอเฌอยูน เซ็นเตอร์แบ็กฝรั่งเศส, อัลบาโร่ การ์เซีย และอิซี่ ปาลาซอน 2 ปีกตัวเก่ง ทั้ง 3 คนนี้ ยิงไปแล้วคนละ 3 ประตู

ขณะที่ 6 นัดหลังสุดของเรอัล มายอร์ก้า เริ่มจากแพ้เซบีย่า กับเรอัล โซเซียดัด แต่อีก 4 นัดหลังจากนั้นไม่แพ้ใคร แถมโค่นทีมดังอย่างบาเลนเซีย ด้วยสกอร์ 2 – 1, ชนะบียาร์เรอัล 2 – 0 และชนะแอตฯ มาดริด 1 – 0

ปัจจัยที่ทำให้ “เดอะ เวอร์มิลเลียน” เก็บแต้มได้มาก จนขึ้นมาอยู่กลางตาราง คือแท็กติกของกุนซือฮาเวียร์ อากีร์เร่ ที่เล่นเกมรับเหนียวไว้ก่อน จนเสียไปเพียงแค่ 13 ประตู น้อยสุดเป็นอันดับที่ 4 ของลีก

นอกจากนี้ เกมรุกยังได้ทีเด็ดของเวดัด มูริกี ดาวยิงชาวโคโซโว วัย 28 ปี ที่ย้ายมาจากลาซิโอ เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ยิงประตูติดต่อกันใน 5 นัดหลังสุด ซึ่งยอดรวมในเวลานี้ เขาทำได้ 8 ประตู

ราโย บาเยกาโน่ และเรอัล มายอร์ก้า หวังที่จะรักษาโมเมนตัมที่กำลังดีแบบนี้ไปเรื่อยๆ น่าสนใจว่า หลังจากหยุดพักเบรกฟุตบอลโลก ทั้ง 2 ทีมนี้ จะยังทำได้ยอดเยี่ยมเหมือนช่วงต้นฤดูกาลหรือไม่

Categories
Column

เคราร์ด ปิเก้ : 14 ปี แห่งความยิ่งใหญ่กับบาร์เซโลน่า

#SSxLaLiga | เคราร์ด ปิเก้ ถือเป็นหนึ่งในปราการหลังที่ดีที่สุดคนหนึ่งในยุคทองของบาร์เซโลน่า และทีมชาติสเปน ช่วยทีมคว้าแชมป์มามากมาย อีกทั้งพร้อมที่จะทำทุกอย่าง เพื่อสโมสรที่อยู่ในหัวใจมาตั้งแต่เกิด

แต่วันเวลาก็ไม่เคยโกหกปิเก้ สภาพร่างกายพร้อมกับฟอร์มการเล่นเริ่มที่จะถดถอยลง ทำให้ต้องจำใจ ยอมรับการเป็นตัวสำรอง และในที่สุดก็ถึงเวลาที่เจ้าตัวประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการ

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา อดีตเซ็นเตอร์แบ็กชาวสเปนวัย 35 ปี ลงเล่นในถิ่นสปอติฟาย คัมป์ นู เป็นนัดสุดท้าย ในเกมที่บาร์เซโลน่า เปิดบ้านเอาชนะอัลเมเรีย 2 – 0 อำลาทีมด้วยคลีนชีต และชัยชนะ

แฟนบอลบาร์เซโลน่าในสปอติฟาย คัมป์ นู ต่างลุกขึ้นยืนปรบมือ และตะโกนเรียกชื่อปิเก้แบบสุดเสียง หลังถูกเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 85 ปิดฉากการค้าแข้ง 14 ปี กับ “เจ้าบุญทุ่ม” อย่างยิ่งใหญ่

ความจริงแล้ว ปิเก้มีชื่อเป็นสำรอง ในนัดที่บุกไปเยือนโอซาซูน่า เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา แต่เขาถูกไล่ออกจากข้างสนาม กลายเป็นว่า นัดสุดท้ายในอาชีพนักเตะ ก็คือนัดที่พบกับอัลเมเรียนั่นเอง

ปิเก้ เริ่มต้นฝึกวิชาลูกหนังกับอคาเดมี่ของบาร์เซโลน่า สโมสรยักษ์ใหญ่ในบ้านเกิดตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ก่อนที่ในปี 2004 จะย้ายไปอยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ไม่ค่อยได้รับโอกาสลงสนามมากนัก

หลังจากชีวิตการค้าแข้ง 4 ปีในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ไม่สวยงามดังหวัง ในปี 2008 ปิเก้จึงกลับมาอยู่ที่บาร์เซโลน่าอีกครั้ง ตำแหน่งการเล่นคือเซ็นเตอร์แบ็ก ซึ่งคู่หูคนแรกของเขาคือ คาร์เลส ปูโยล

คู่หูคนต่อมาคือ ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ ที่เปลี่ยนจากมิดฟิลด์ตัวรับ ลงมาเล่นปราการหลังตัวกลาง แต่หลังจากที่ดาวเตะอาร์เจนไตน์ย้ายออกไป ก็เปลี่ยนคู่หูมาเป็นซามูเอล อุมติตี้, เกลม็องต์ ลองเล่ต์ หรือโรนัลด์ อเราโฆ่

อย่างไรก็ตาม บาร์เซโลน่าในฤดูกาลนี้ ได้ตัดสินใจมองเป้าหมายในระยะยาว ด้วยการเซ็นสัญญากองหลังดาวรุ่งมาร่วมทีม ทำให้ปิเก้ต้องยอมรับบทบาทที่เขาไม่คุ้นเคย คือการนั่งเป็นตัวสำรอง

แม้ว่าปิเก้จะต่อสู้เพื่อกลับมายึดตำแหน่งตัวจริงจนสุดความสามารถ แต่ในที่สุดเขาก็ยืนยันว่า เวลาแห่งการอำลามาถึงแล้วจริง ๆ จึงตัดสินใจประกาศเลิกเล่นฟุตบอล ก่อนเกมกับอัลเมเรีย เพียง 2 วัน

ในพิธีอำลาอาชีพค้าแข้งเมื่อวันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ปิเก้ กล่าวกับแฟน ๆ อาซุลกราน่าทั้งน้ำตาว่า “ในบางครั้ง ความรักคือการปล่อยวาง ผมคิดว่ามันถึงเวลาที่จะเปิดพื้นที่ส่วนตัวของผมแล้ว”

“คุณปู่ให้ผมเป็นสมาชิกของสโมสรตั้งแต่วันที่ผมเกิด ผมเกิดที่นี่ และผมจะตายที่นี่ พวกคุณรู้จักผมดี มันไม่ใช่การอำลาเสียทีเดียว เพราะในไม่ช้าก็เร็ว ผมจะกลับมาที่นี่แน่นอน บาร์ซ่าจงเจริญ”

ขณะที่ซาบี้ เอร์นานเดซ เฮดโค้ชบาร์เซโลน่า พูดถึงอดีตเพื่อนร่วมทีมคนนี้ว่า “เราต้องการคนอย่างเขาในทีม เขาได้ทิ้งมรดกอันยิ่งใหญ่ในความเป็นผู้นำและบุคลิกภาพ เขากลายเป็นตำนานเรียบร้อยแล้ว”

ตลอด 14 ปี ที่อยู่กับบาร์เซโลน่า ปิเก้คว้าแชมป์เมเจอร์ 18 โทรฟี่ ภายใต้ผู้จัดการทีมหลายคน นับตั้งแต่เป๊ป กวาร์ดิโอล่า, ติโต้ บิลาโนบา, หลุยส์ เอ็นริเก้, เออร์เนสโต้ บัลเบร์เด้, กิเก้ เซเตียน และโรนัลด์ คูมัน

ปราการหลังวัย 35 ปีรายนี้ ลงสนามให้กับบาร์ซ่ารวมทั้งสิ้น 616 นัด มากที่สุดเป็นเป็นอันดับ 5 ของสโมสร ส่วนการรับใช้ทีมชาติสเปน ลงเล่น 102 นัด พร้อมกับแชมป์ฟุตบอลโลก 2010 และแชมป์ฟุตบอลยูโร 2012

แม้ว่าวันนี้ เคราร์ด ปิเก้จะไม่ได้เป็นนักเตะบาร์เซโลน่าแล้ว แต่ได้ฝากความทรงจำที่ดีให้กับแฟน ๆ ไว้มากมาย และสักวันหนึ่ง ชายคนนี้จะกลับมายังสโมสรที่เขาผูกพันอีกครั้ง กับบทบาทใหม่ที่เขาได้ใฝ่ฝันไว้

Categories
Column

5 ประเด็นที่ได้เรียนรู้หลังเกม “เอล แกรน ดาร์บี้”

เมืองเซบิลล์ เมืองใหญ่อันดับที่ 4 ของสเปน และเป็นเมืองหลวงของแคว้นอันดาลูเซีย การพบกันของเซบีย่า และเรอัล เบติส 2 สโมสรฟุตบอลที่ดีที่สุดประจำเมือง ถูกเรียกว่า “เอล แกรน ดาร์บี้”

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เรอัล เบติส เปิดถิ่นเอสตาดิโอ เบนิโต บียามาริน เสมอกับเซบีย่า 1 – 1 ในการทำศึกเอล แกรน ดาร์บี้ หรือดาร์บี้แมตช์แห่งแคว้นอันดาลูเซีย ครั้งที่ 103 ในลาลีกา

การพบกันของ 2 ทีมนี้ หมายถึง “ดาร์บี้แมตช์ที่ยิ่งใหญ่” ที่ต่างผลัดกันแย่งชิงความเป็นที่ 1 ของเมืองกันอย่างจริงจังยิ่งกว่าดาร์บี้แมตช์ที่อื่น และนี่คือ 5 ประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นในเกมนี้

บรรยากาศดาร์บี้แมตช์ที่ไม่มีใครเทียบได้

“เอล แกรน ดาร์บี้” ครั้งล่าสุด เป็นดาร์บี้แมตช์ที่เปี่ยมไปด้วยสีสันไม่ต่างจากครั้งที่ผ่าน ๆ มา มีการเปิดเพลงปลุกใจตั้งแต่ก่อนเริ่มเกม และพลังเสียงเชียร์จากแฟนบอลในสนามระหว่างเกม จนกระทั่งจบเกม นี่คือบรรยากาศของเกมดาร์บี้แมตช์แห่งเมืองเซบิลล์ ที่หาไม่ได้จากดาร์บี้แมตช์เมืองอื่น ๆ ในโลก

กูเดลจ์ กับลูกยิงเสียบสามเหลี่ยมสุดสวย

โดยปกติแล้ว เนมันย่า กูเดลจ์ จะเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ แต่ในดาร์บี้แมตช์ครั้งล่าสุด เขาถูกจับไปเล่นเซ็นเตอร์แบ็ก อย่างไรก็ตาม ดาวเตะเซอร์เบียวัย 31 ปี ก็เป็นคนยิงตีเสมอให้เซบีย่า ในนาทีที่ 81 ด้วยลูกยิงไกลเสียบสามเหลี่ยมอย่างงดงาม คล้ายกับประตูที่ยิงใส่เรอัล มายอร์ก้า เมื่อเดือนที่แล้ว

เอ็ดการ์ ช่วยแนวรับเบติสได้เป็นอย่างดี

แม้เบติส จะต้องเล่นเพียง 9 คน เกือบตลอดทั้งครึ่งหลัง แต่พวกเขาก็รอดพ้นความปราชัยคาบ้านได้สำเร็จ ซึ่งต้องให้เครดิตเอ็ดการ์ กอนซาเลซ เซ็นเตอร์แบ็กเลือดคาตาลันวัย 25 ปี ที่ช่วยให้ทีมของมานูเอล เปเยกรินี่ ไม่เสียประตูอยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะช็อตสกัดลูกยิงของราฟา เมียร์ ออกจากเส้นประตูในครึ่งแรก

นาบาส ทำเข้าประตูตัวเองในดาร์บี้แมตช์

เฆซุส นาบาส ลงเล่นดาร์บี้แมตช์แห่งอันดาลูเซีย เป็นครั้งที่ 22 ด้วยการทำเข้าประตูตัวเองในช่วงครึ่งแรก อย่างไรก็ตาม เขาเกือบแอสซิสต์ให้เนมันย่า กูเดลจ์ ยิงประตูชัยช่วงทดเจ็บครึ่งหลัง แต่ถูกเคลาดิโอ บราโว่ นายทวารเบติส ซึ่งเป็นอดีตเพื่อนร่วมทีมของนาบาสที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เซฟได้อย่างหวุดหวิด

ดาร์บี้แมตช์ที่เล่นใหญ่ทั้งในและนอกสนาม

เอล แกรน ดาร์บี้ ครั้งล่าสุด เรียกได้ว่าเล่นใหญ่สมชื่อ เพราะมีใบแดงถึง 3 ใบ พร้อมกับใบเหลืองอีก 10 ใบ ซึ่งฝั่งเบติสถูกไล่ออกไป 2 คน คือนาบิล เฟคีร์ และเซร์กิโอ กานาเลส ส่วนฝั่งเซบีย่า เป็นกอนซาโล่ มอนเตียล ที่ถูกเชิญออกจากสนาม

ศึกเอล แกรน ดาร์บี้ ยกแรกของฤดูกาลนี้ ไม่มีผู้ชนะ แต่ทั้ง 2 ทีมยังคงต้องต่อสู้ในเส้นทางของตัวเองต่อไป ก่อนจะพบกันอีกครั้ง ที่สนามรามอน ซานเชซ ปิซฆวน ในเดือนพฤษภาคม ปีหน้า

Categories
Column

“โยคะ” ช่วยฝึกความสงบด้านจิตใจ และยืดอาชีพนักฟุตบอลได้อย่างไร ?

การที่นักฟุตบอลอาชีพ จะยืนระยะอยู่ในวงการลูกหนังได้ยาวนานนั้น นอกจากจะต้องอาศัยการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอแล้ว ยังต้องมีทัศนคติที่ดีในการดูแลสภาพร่างกายอีกด้วย

และหนึ่งในวิธีที่แข้งชื่อดังหลาย ๆ คน เลือกใช้ในการยืดอาชีพค้าแข้ง นั่นคือ “โยคะ” อาจฟังดูเหมือนไม่มีความเกี่ยวข้องกับ “ฟุตบอล” แต่ความจริงแล้ว มันเกี่ยวข้องกันแบบไม่น่าเชื่อ

เหตุใด “โยคะ” จึงมีประโยชน์สำหรับนักเตะทั้งด้านจิตใจและร่างกาย ติดตามได้ที่ SoccerSuck x ไข่มุกดำ กันได้เลยครับ

️รวมกาย ใจ และจิตวิญญาณให้เป็นหนึ่งเดียว

โยคะ (Yoga) มีต้นกำเนิดที่ประเทศอินเดียเมื่อหลายพันปีมาแล้ว โดยศาสตร์ของโยคะ คือการเน้นความยืดหยุ่นทางด้านร่างกาย ที่ส่งผลให้ทุกส่วนในระบบร่างกายของมนุษย์ทำงานได้ดีขึ้น

โยคะ มีเอกลักษณ์อย่างหนึ่งอยู่ที่กระบวนการในการฝึกร่างกายอย่างช้า ๆ ประสานกับลมหายใจเข้าออก รวมทั้งการฝึกจิต สมาธิให้สงบนิ่งในขณะที่เคลื่อนไหว ซึ่งต้องปฏิบัติรวมเข้าด้วยกัน

สำหรับท่าในการเล่นโยคะ ก็มีหลายท่าให้เลือกตามขีดความสามารถด้านร่างกายของแต่ละคน สำหรับนักฟุตบอล ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการอบอุ่นร่างกายก่อนแข่งขัน และการผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลังแข่งขัน

ตัวอย่างเช่น “ท่าต้นไม้” (Tree Pose) ท่าดีใจของโมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ หลังยิงประตูใส่เชลซี ในปี 2019 และอีกครั้งกับการยิงประตูใส่แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ที่กลายเป็นไวรัลในโลกโซเชียล

ลักษณะของท่าต้นไม้ หรือ Tree Pose นั้น เริ่มจากยืนขาชิด งอขาข้างหนึ่ง ยกเท้าขึ้น เอาส้นเท้ามาแปะที่ต้นขาอีกข้างหนึ่งที่ใช้ยืนทรงตัว ทิ้งปลายเท้าข้างที่งอลงด้านล่าง ลักษณะคล้ายเลข 4

จากนั้นให้ใช้มือประกบกันทั้งสองข้าง คล้าย ๆ การไหว้ แล้วยกขึ้นเหนือศีรษะ หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ ค้างไว้ 2-3 วินาที ก่อนกลับไปท่ายืนขาชิด แล้วทำแบบเดียวกันแต่สลับข้าง

“ใช่แล้ว! ผมคือมนุษย์โยคะ ผมเล่นโยคะโดยปกติอยู่แล้ว พอยิงประตูได้ อยู่ดี ๆ สิ่งนั้นก็แล่นเข้ามาในหัว” ดาวเตะอียิปต์ กล่าวไว้หลังเกมที่ “หงส์แดง” เปิดบ้านเอาชนะ “สิงห์บลูส์” เมื่อ 2 ปีก่อน

ชีล่า แม็ควิตตี้ ครูสอนโยคะที่เคยร่วมงานกับหลายสโมสรฟุตบอลในอังกฤษ เช่นเอฟเวอร์ตัน, วีแกน, แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส และแมนฯ ยูไนเต็ด (ทีมหญิง) ก็เป็นอีกคนที่มองเห็นความสำคัญของโยคะ

เธอกล่าวว่า “ฉันเห็นเด็ก ๆ ได้ฝึกเล่นโยคะที่โรงเรียน ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาอยู่ในอคาเดมี่ฟุตบอล มันเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม เพราะพวกเขาเข้าใจถึงประโยชน์ที่ได้รับตั้งแต่อายุยังน้อย”

“ถ้าคุณเป็นนักฟุตบอล มักจะฝึกซ้อมเป็นเวลานาน ทั้งการวิ่ง และอื่นๆ ทำให้เอ็นร้อยหวายมีความตึงมาก เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ดังนั้นคุณต้องหาวิธีที่จะทำให้ร่างกายมีความยืดหยุ่นมากขึ้น”

⚽️ “ไฮดาริปูร์” ครูสอนโยคะผู้เปลี่ยนโลกลูกหนัง

ชารอน ไฮดาริปูร์ อดีตนักฟุตบอลหญิงที่ได้ผันตัวมาเป็นครูสอนโยคะ และมีเรื่องราวในการเปลี่ยนแปลงชีวิตนักฟุตบอลบางคน ให้กลับมาทำในสิ่งที่พวกเขารักอย่างมีความสุขทั้งในและนอกสนาม

ไฮดาริปูร์ในวัยเด็ก มีความใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ซึ่งความฝันของเธอก็เป็นจริง เมื่อได้เล่นให้กับจิเท็กซ์ สโมสรชั้นนำในลีกฟุตบอลหญิงของสวีเดน แต่โชคร้ายได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่า

“ฉันมีเวลาฝึกซ้อม 2 สัปดาห์ ที่จะสะสมความฟิตและรักษามันไว้ แต่ไม่สามารถทำได้ ฉันต้องถูกส่งโรงพยาบาลทันที และพบว่าเจ็บตรงที่เอ็นไขว้หน้า (ACL) มันแย่มากจริง ๆ ฟุตบอลของฉันจบลงแล้ว”

จากนั้น ไฮดาริปูร์ได้กลับไปรักษาตัวในบ้านเกิดที่โกเตนเบิร์ก และหวังที่จะทำในสิ่งที่เธอยังรัก แต่ถ้ากลับมาเล่นไม่ได้อีกต่อไป ก็จะใช้ความรู้ที่มีอยู่ ในการช่วยเหลือนักเตะที่บาดเจ็บจากการเล่นฟุตบอล

หลังจากไฮดาริปูร์ จบการศึกษาปริญญาตรีด้านกีฬาบำบัด และปริญญาโทด้านการฟื้นฟูร่างกายสำหรับฟุตบอล เธอได้เข้าทำงานที่สโมสรเชลซี และอาร์เซน่อล ในการดูแลนักเตะทั้งทีมเยาวชน และทีมชุดใหญ่

ในปี 2015 ไฮดาริปูร์ได้รับทุนสนับสนุนการศึกษาเกี่ยวกับโยคะเป็นเวลา 1 ปี และได้มีโอกาสเดินทางไปที่สโมสรเดปอร์ติโว ซาปริสซ่า ในคอสตาริกา และได้พบกับนักเตะที่หายเจ็บจาก ACL ไปนาน 9 เดือนครึ่ง

ไฮดาริปูร์ ได้อธิบายว่า “คนส่วนใหญ่หายใจไม่ถูกวิธี ลมหายใจของพวกเขาไม่ลึกมากพอ นักฟุตบอลก็ไม่มีข้อยกเว้น โยคะสามารถฝึกเรื่องลมหายใจ เพราะมันช่วยกระตุ้นระบบประสาทได้จริง”

ต่อมาในปี 2018 ไฮดาริปูร์ได้ลูกค้าคนสำคัญอย่างโลร็องต์ กอสเซียนี่ ที่ตอนนั้นค้าแข้งให้กับอาร์เซน่อล ซึ่งได้รับบาดเจ็บเอ็นร้อยหวายฉีกในช่วงปลายฤดูกาล อดไปฟุตบอลโลกที่รัสเซีย

ไฮดาริปูร์ เปิดเผยว่า “หลังจากผ่าตัด เขา (กอสเซียนี่) กลับมาเล่นโยคะเบา ๆ สัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง หลังการฝึกซ้อม เพื่อไม่ให้เอ็นร้อยหวายของเขาได้รับผลกระทบมากเกินไป”

“เขาอยู่ที่สนามซ้อม แต่ไม่สามารถซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมได้ เขารู้สึกเบื่อหน่ายและหงุดหงิดมาก แต่โยคะช่วยทำให้เขาใจเย็นมากขึ้น การหาจุดสมดุลทางด้านอารมณ์ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ”

นักเตะทั้งอดีตและปัจจุบัน ล้วนเป็นโยคะแมน

ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ใช้พละกำลังที่มาก ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะบาดเจ็บได้ง่าย นักฟุตบอลบางคน ทั้งอดีตและปัจจุบัน ได้มองเห็นประโชยน์จาก “โยคะ” ในการช่วยเพิ่มสมาธิ และยืดอาชีพค้าแข้งให้นานขึ้น

เปแดร็ก ราโดซาวิเยวิช อดีตมิดฟิลด์เอฟเวอร์ตัน และพอร์ทสมัธ ยุค 90’s ซึ่งในบั้นปลายอาชีพนักฟุตบอล เลือกที่จะย้ายไปค้าแข้งที่สหรัฐอเมริกา แต่เมื่อเข้าสู่อายุ 38 ปี เขารู้สึกว่าร่างกายเริ่มไม่ไหวแล้ว

อย่างไรก็ตาม ด้วยคำแนะนำจากภรรยา ที่ให้ราโดซาวิเยวิชลองเล่นโยคะ ตอนแรกก็ยังไม่คุ้นชินมากเท่าใดนัก แต่ในที่สุดเขาก็เปิดใจกับสิ่งนี้ และสามารถยืดอาชีพนักเตะ จนกระทั่งรีไทร์ตอนอายุ 42 ปี

แกเร็ธ แบร์รี่ ตำนานนักเตะเจ้าของสถิติลงเล่นมากที่สุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก 653 นัด เริ่มค้าแข้งกับแอสตัน วิลล่า ในปี 1998 และประกาศเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพที่เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ในปี 2020

“ผมเริ่มเล่นโยคะตั้งแต่ตอนอายุ 20 ปลายๆ แน่นอนว่ามันช่วยได้ในช่วงท้ายของอาชีพค้าแข้ง ก่อนที่จะเลิกเล่นกับเวสต์บรอมวิช ผมยังเล่นโยคะสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง” แบร์รี่ เปิดเผยกับ The Athletic

ไรอัน กิ๊กส์ ตำนานปีกพ่อมด ที่ลงเล่นให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มากที่สุดในประวัติศาสตร์ 963 นัด และอันดับ 2 ในพรีเมียร์ลีก รองจากแบร์รี่ ประกาศรีไทร์เมื่อปี 2014 ขณะมีอายุ 40 ปี 6 เดือน

“เมื่ออายุประมาณ 29 หรือ 30 ผมตัดสินใจเริ่มเล่นโยคะ เพราะเจ็บที่เอ็นร้อยหวาย โยคะสามารถช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บได้ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงเล่นฟุตบอลได้นานขึ้นอีก 10 ปี” กิ๊กส์ กล่าว

แม้กระทั่งนักเตะซูเปอร์สตาร์ระดับโลกคนอื่น ๆ อย่าง เดวิด เบ็คแฮม, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หรือแม้แต่ลิโอเนล เมสซี่ ก็ได้ใช้โยคะ ในการลดความเสี่ยงเรื่องอาการบาดเจ็บ และยืดอาชีพค้าแข้งให้นานขึ้นด้วย

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://theathletic.com/3764075/2022/11/06/footballers-yoga-extending-careers-inner-calm/

– https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/mohamed-salah-liverpool-yoga-celebration-26749831

https://www.thesun.co.uk/sport/football/7941506/arsenal-football-yoga-sharon-heidaripour-koscielny-pires-cazorla/

– https://www.fourfourtwo.com/performance/training/how-yoga-could-reduce-your-risk-injury

https://www.topendsports.com/sport/soccer/yoga.htm

https://www.artofliving.org/in-en/yoga/yoga-benefits/yoga-for-footballers

https://www.londonmet.ac.uk/profiles/students/sharon-heidaripour/

https://www.rsng.com/categories/movement-fuel/articles/ryan-giggs-reveals-how-yoga-helped-him-become-the-most-successful-british-footballer-in-history

https://www.amplifiedsoccerathlete.com/coachguide/more-footballers-turn-to-yoga-to-extend-their-careers