Categories
Football Business

ลาลีกา กับการก้าวไปอีกขั้น ด้วยโมเดลวิเคราะห์ข้อมูล

วงการฟุตบอลในยุคปัจจุบัน ได้นำ “วิทยาศาสตร์” ที่มีความละเอียด และลึกซึ้ง มาช่วยในการกลั่นกรองให้ได้ข้อมูลเชิงลึก และสามารถสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจได้ ซึ่งได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ

การใช้วิทยาศาสตร์ เข้ามาประยุกต์กับข้อมูลที่เกิดขึ้นในสนามฟุตบอล นอกจากจะช่วยสร้างความสำเร็จให้กับทีมฟุตบอลแล้ว ยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มทางการตลาด และยกระดับลีกฟุตบอลขึ้นไปอีกขั้น

ลาลีกา ลีกฟุตบอลของสเปน ได้วางรากฐานสำหรับโลกยุคใหม่ ด้วยการใช้เทคโนโลยีมาช่วยเก็บข้อมูล และพัฒนาโมเดลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ทันสมัย เพื่อขับเคลื่อนลูกหนังแดนกระทิงดุสู่อนาคต

LaLiga Tech ก้าวแรกสู่การยกระดับลีกสเปน

การวิเคราะห์ข้อมูล กำลังกลายเป็นรากฐานสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมกีฬาฟุตบอลตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งลีกชั้นนำอย่างลาลีกา ก็ได้นำข้อมูลมาใช้ในการปรับปรุง และพัฒนาวงการลูกหนังสเปน

นับตั้งแต่ฆาเบียร์ เตบาส เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานลาลีกา เมื่อปี 2013 ได้มียุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยี เพื่อก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัล ด้วยการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ และนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์

โดยเริ่มต้นจากการเพิ่มแผนก “ลาลีกา เทค” (LaLiga Tech) มีทีมงานเริ่มแรกเพียง 8 คน และเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งแยกตัวออกไปเป็นบริษัท ลาลีกา เทค จำกัด ในปี 2021 ปัจจุบันทีทีมงานมากกว่า 150 คน

ภารกิจสำคัญของลาลีกา เทค คือการสร้างพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ ไว้ใช้รองรับข้อมูลดิบที่จะไหลเข้ามาด้วยปริมาณมหาศาล และทุกสโมสรสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์จากแหล่งเดียวกันได้

“ก่อนหน้านี้ เราไม่เคยเห็นความสำคัญของข้อมูลเลย จึงไม่เข้าใจว่าข้อมูลคือสินทรัพย์ที่มีค่า ทำให้เราได้คิดหาทางที่จะจัดการกับข้อมูลที่มากมายเหล่านี้” กิลเยร์โม่ รอลดาน หัวหน้าแผนกสถาปัตยกรรม กล่าว

“ตอนนี้เราได้สร้างที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Lakehouse) ขึ้นมา สามารถทำสิ่งที่เป็นไปได้ยาก ให้เป็นเรื่องที่ง่ายมาก พลังของข้อมูลช่วยมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับแฟน ๆ ที่ติดตามการแข่งขัน”

ด้านราฟาเอล ซามบราโน่ หัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ข้อมูล เปิดเผยว่า “ประโยชน์หลักของการขับเคลื่อนฟุตบอลด้วยข้อมูล คือช่วยให้เราได้เข้าใจพฤติกรรมของแฟนฟุตบอลที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต”

“สำหรับแฟน ๆ บางคน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ที่หันไปดูฟุตบอลบนแพลตฟอร์มดิจิทัลแทน แต่ด้วยพลังของข้อมูล ช่วยให้เราสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับพวกเขาได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับกีฬาอื่น ๆ ด้วย”

ขณะที่ทอม วูดส์ หัวหน้าฝ่ายสื่อสารกลยุทธ์ กล่าวว่า “ลาลีกา เทค กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ทุกสิ่งที่ได้สร้างขึ้น กำลังเป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมกีฬา ทำให้เราได้ตระหนักมากขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัล”

“เราจำเป็นต้องมีสโมสรที่ก้าวหน้ามากกว่า 2-3 สโมสร และมีระดับที่ใกล้เคียงกัน เพื่อให้การแข่งขันมีความน่าสนใจมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้วงการฟุตบอลเติบโต” วูดส์ ปิดท้าย

Mediacoach เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลตัวแรก

ก่อนที่ลูกหนังลีกแดนกระทิงดุ ฤดูกาล 2022/23 จะเริ่มขึ้น ได้มีการจัดประชุมในหัวข้อ “การวิเคราะห์ข้อมูลฟุตบอลขั้นสูง” โดยลาลีกา ร่วมกับ Sport Data Campus, มีเดียโค้ช (Mediacoach) และลาลีกา เทค

สาระสำคัญของการประชุมในครั้งนี้ คือการนำเสนอความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นจากฤดูกาล 2021/22 รวมถึงแง่มุมต่างๆ ของงานวิเคราะห์ข้อมูลในอุตสาหกรรมฟุตบอล และเปิดตัวเครื่องมือใหม่ที่จะใช้ในฤดูกาลนี้

เมื่อซีซั่นที่แล้ว ลาลีกา เทค ได้เปิดตัว Mediacoach แพลตฟอร์มวิเคราะห์การเล่นแบบเรียลไทม์ ทั้งการเคลื่อนที่ของผู้เล่นและลูกฟุตบอล เสร็จแล้วส่งผลออกมา เพื่อนำไปวิเคราะห์ในช่วงพักครึ่ง และหลังจบเกม

ข้อมูลจาก Mediacoach เป็นข้อมูลที่ใช้ติดตามการเคลื่อนที่ระหว่างแข่งขัน โดยมีการติดตั้งกล้องไว้รอบสนามทั้งหมด 19 ตัว จับภาพผู้เล่น, ผู้ตัดสิน และลูกฟุตบอล ในอัตรา 25 เฟรมต่อวินาที

โดยรายละเอียดต่างๆ ที่ Mediacoach ได้ทำการวิเคราะห์ออกมา อย่างเช่น ผู้เล่นวิ่งเยอะแค่ไหน, ผู้เล่นจ่ายบอลสำเร็จ/พลาดกี่ครั้ง รวมไปถึงการตรวจจับความผิดพลาดของผู้เล่นเป็นรายบุคคลด้วย

ริคาร์โด เรสต้า ผู้อำนวยการของ Mediacoach กล่าวว่า “Mediacoach เป็นแพลตฟอร์มที่พัฒนาต่อเนื่องมาเป็นเวลา 10 ปี ทุกสโมสรจาก 2 ดิวิชั่นของลาลีกา สามารถเข้าถึงข้อมูลเดียวกันทั้งหมดได้”

นอกเหนือจากข้อมูลด้านแท็กติก Mediacoach ยังมีประโยชน์สำหรับทีมงานสตาฟฟ์โค้ช ในการประเมินสภาพร่างกายของผู้เล่น และประเมินโอกาสที่จะตรวจพบความผิดปกติใด ๆ ทุกช่วงเวลาได้ทันที

ฟาบิโอ เนวาโด้ นักวิเคราะห์ทางเทคนิคของ Mediacoach กล่าวว่า “หากมีนักเตะที่เพิ่งกลับมาจากอาการบาดเจ็บเป็นเวลานานๆ บางทีอาจจะส่งลงเล่นช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้าย แต่ไม่อยากให้ทำแบบนั้น มันฝืนเกินไป”

“ข้อมูลจากแพลตฟอร์มของเรา สามารถตรวจสอบข้อมูลแบบนาทีต่อนาที ช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บของนักเตะ อีกทั้งช่วยให้นักเตะลงเล่นได้ใกล้เคียงกับประสิทธิภาพสูงสุดที่เคยมี”

ขณะที่ซิลเวสเตอร์ จอส ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Mediacoach เสริมว่า “ข้อมูล และกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูล คือสิ่งที่สำคัญในวงการฟุตบอล เทคโนโลยีกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว โอกาสจะมีเข้ามาอย่างไม่รู้จบ”

Beyond Stats ช่วยเพิ่มพลังข้อมูลด้วย 24 ตัวชี้วัดใหม่

ทีมงานส่วนหนึ่งของลาลีกา เทค เป็นทีมงานที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูล เช่น โค้ช, นักวิเคราะห์ฟุตบอล, นักพัฒนาโปรแกรม, วิศวกรข้อมูล (Data Engineer) รวมถึงนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist)

เมื่อเดือนมกราคม ปี 2022 ลาลีกาได้ร่วมมือกับไมโครซอฟท์ บริษัทไอทียักษ์ใหญ่ระดับโลก เพื่อช่วยทำสถิติ และข้อมูลต่าง ๆ ในการแข่งขัน ภายใต้โปรเจค “Beyond Stats” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ต่อยอดมาจาก Mediacoach

การทำงานของ Beyond Stats จะประมวลผลข้อมูลในรูปแบบ Cloud Platform ด้วยเครื่องมือของไมโครซอฟท์ อย่าง Microsoft Azure ซึ่งใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning)

ซึ่งในเฟสแรกของ Beyond Stats ได้มีการสร้างโมเดล Goal Probability ซึ่งเป็นโมเดลที่ใช้สำหรับบอกค่าความน่าจะเป็นในการทำประตู เมื่อมีการรีเพลย์ภาพจังหวะการลุ้นยิงประตูระหว่างถ่ายทอดสด ซึ่งใช้เวลาประมวลผลแค่ 30 วินาทีเท่านั้น

ต่อมาในซีซั่น 2022/23 Beyond Stats ได้เพิ่มตัวชี้วัดใหม่ขึ้นมาอีก 24 ตัว ในด้านสมรรถภาพทางกาย, การป้องกันประตู, การเคลื่อนที่, การผ่านบอล, การยืนตำแหน่ง, การเพรสซิ่ง, การเลี้ยงบอล และการครองบอล

ทีมงานของลาลีกา ได้นำข้อมูลต่างๆ เข้ามาประมวลผ่านอัลกอริทึมที่กำหนดไว้ และแสดงผลลัพธ์ออกมา สำหรับตัวอย่างของตัวชี้วัดที่เพิ่มเติมขึ้นมาใน Beyond Stats มีดังนี้

– การผ่านบอลพร้อมถูกกดดันแบบประกบคู่ (Double pressure passes) คือ จำนวนการผ่านบอลระหว่างเพื่อนร่วมทีม 2 คน ที่ต่างคนต่างมีผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามเข้ามากดดันด้วย เช่น ระยะทางที่เปลี่ยนแปลงของกองหลัง (เมื่อเข้ามากดดัน ระยะทางจะลดลง 50 เปอร์เซ็นต์) รวมถึงทิศทางและความเร็วของการโจมตี (ด้วยความเร็วสูงถึง 21 กม./ชม.) สำหรับการผ่านบอลแบบนี้ จะนับจำนวนก็ต่อเมื่อ มีผู้เล่นคู่แช่งเข้ามากดดันผู้จ่ายบอล และผู้รับบอล ภายในระยะ 3 เมตร

– การตั้งกำแพง (Walls) คือ ตรวจจับการผ่านบอลแบบรูปสามเหลี่ยม ของเพื่อนร่วมทีม 2 คน พร้อมกับผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม 1 คน ตำแหน่งของผู้เล่นจะถูกคำนวณทีละเฟรม โดยนับจำนวนเฉพาะการผ่านบอลไปยังผู้เล่นที่ใช้เวลาไม่เกิน 12 เฟรม (0.5 วินาที) แล้วผ่านบอลคืนให้เพื่อนร่วมทีมคนเดิมในทิศทางที่ต่างกัน ให้เป็นลักษณะคล้ายรูปสามเหลี่ยม

– การวิ่ง (Runs) คือ การติดตามระยะทาง และความเร็วในการวิ่งของผู้เล่น ผ่านกล้องที่ติดตั้งบริเวณรอบสนาม โดยแบ่งเป็น 4 ระดับ คือ ปกติ, ยาว, ช้าแบบสั้น และเร็ว จะนับจำนวนเฉพาะการวิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อวิ่งจากครึ่งสนามมาถึงกรอบเขตโทษฝ่ายตรงข้าม อย่างน้อย 3 วินาที และวิ่งด้วยระยะทางอย่างน้อย 10 เมตร จากนั้นจบด้วยการยิงประตูภายใน 10 วินาที หลังจากหยุดวิ่ง

– การแย่งบอลคืนในช่วงเวลาที่ได้เปรียบ (recoveries in advantage) คือ การบุกไปยังกรอบเขตโทษของฝ่ายตรงข้าม เมื่อเพื่อนร่วมทีมมีจำนวนมากกว่าคู่แข่ง หลังแย่งบอลจากผู้เล่นคู่แข่งกลับคืนมา

โลกธุรกิจยุคใหม่ “ข้อมูล” คือสินทรัพย์ที่มีความสำคัญอย่างมาก หากได้นำมาวิเคราะห์จนเห็นคุณค่าที่ซ่อนอยู่ และนำข้อมูลมาใช้งานอย่างจริงจัง จะทำให้เกิดโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจแบบคาดไม่ถึงได้

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://laligatech.com/who-is-laliga-tech

– https://www.laliga.com/en-GB/beyondstats

– https://www.laliga.com/en-GB/news/laliga-paves-the-way-for-the-future-of-bi-and-analytics-in-football-thanks-to-mediacoach-and-the-beyond-stats-project

https://www.laliga.com/en-GB/news/laliga-takes-pioneering-step-by-adding-advanced-near-real-time-goal-probability-graphics-to-its-broadcasts-thanks-to-microsoft-technology

– https://www.laliga.com/en-GB/news/laliga-transforms-marketing-strategy-thanks-to-microsoft-and-the-potential-of-hundreds-of-terabytes-of-data

https://www.sportbusiness.com/2021/07/laligas-mediacoach-harnessing-the-power-of-match-data/

https://newsletter.laliga.es/global-futbol/laliga-mediacoach-clubs-compete-using-data

Categories
Football Business

ตลาดนักเตะพรีเมียร์ลีกหน้าหนาว 2023 ที่จ่ายหนักสุดในประวัติศาสตร์

การซื้อขายแลกเปลี่ยนนักฟุตบอลระหว่างสโมสร ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเปลี่ยนแปลงทีมให้มีผลงานที่ดีขึ้น และเป็นสิ่งที่แฟนฟุตบอลทั่วโลกจับตามอง ซึ่งระบบการซื้อขายผู้เล่น ก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัย

ฤดูกาล 2022/23 ถือเป็นวาระคอบรอบ 20 ปี “Transfer Window” หรือตลาดซื้อขายนักเตะแบบ 2 ช่วง คือฤดูร้อน (เดือนกรกฎาคม-สิงหาคม) และฤดูหนาว (เดือนมกราคม ปีถัดไป) ที่ใช้กันในปัจจุบัน

เมื่อมาดูตลาดนักเตะวินเทอร์ของพรีเมียร์ลีก ปี 2023 ซึ่งปิดทำการไปเป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันที่ 31มกราคมที่ผ่านมา สโมสรในลีกสูงสุดอังกฤษเกือบทุกสโมสร ได้มีการเสริมผู้เล่นใหม่ในรอบนี้อย่างคึกคัก

แม้ว่าตลาดนักเตะหน้าหนาว จะเปิดทำการแค่ 31 วัน แต่จำนวนเงินในการซื้อขายในตลาดนักเตะรอบนี้ สโมสรในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ใช้จ่ายรวมกันสูงถึง 815 ล้านปอนด์ มากที่สุดเป็นประวัติการณ์

ตลาดนักเตะทั้ง 2 รอบ ของซีซั่นนี้ มียอดการใช้จ่ายรวมประมาณ 2.8 พันล้านปอนด์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับยอดรวมตลอด 20 ปี ในการซื้อขายเฉพาะเดือนมกราคม ที่มีเกือบ 3 พันล้านปอนด์

สุดยอดบิ๊กดีลฤดูหนาว ที่รอพิสูจน์ความคุ้มค่า

เชลซี สร้างความฮือฮาในตลาดนักเตะหน้าหนาวปีนี้ ด้วยการเซ็นสัญญาเอ็นโช่ เฟอร์นานเดซ จากเบนฟิก้า ด้วยค่าตัว 105 ล้านปอนด์ แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร และวงการฟุตบอลอังกฤษ

เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ
ขอบคุณภาพ https://web.facebook.com/ChelseaFC

ก่อนหน้านี้เมื่อต้นเดือนที่แล้ว “สิงห์บลูส์” ได้ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อคว้าตัวไคโล มูดริค กองหน้าดาวรุ่งยูเครนวัย 22 ปี ค่าตัวเบื้องต้น 62 ล้านปอนด์ บวกแอดออนอีก 27 ล้านปอนด์ รวม 89 ล้านปอนด์

นิวคาสเซิล เสริมความแกร่งด้วยแอนโธนี่ กอร์ดอน ปีกดาวรุ่งชาวอังกฤษวัย 21 ปี จากเอฟเวอร์ตัน ที่อาจมีค่าตัวสูงถึง 45 ล้านปอนด์ เพื่อหวังลุ้นโควตาไปยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี

ลิเวอร์พูล ที่ผลงานตกลงไปอย่างไม่น่าเชื่อในซีซั่นนี้ ตกลงเซ็นสัญญากับโคดี้ กักโป กองหน้าทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ชุดฟุตบอลโลก ครั้งล่าสุด จากพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ด้วยค่าตัวราว 44 ล้านปอนด์

อาร์เซน่อล ดึงตัวเลอันโดร ทรอสซาร์ กองหน้าทีมชาติเบลเยียมจากไบรท์ตัน ด้วยค่าตัว 21 ล้านปอนด์ พร้อมกับยาคุบ กีเวียร์ เซ็นเตอร์แบ็กโปแลนด์ จากสเปเซีย ในอิตาลี ค่าตัว 17.6 ล้านปอนด์

ขอบคุณภาพ https://web.facebook.com/Arsenal

ส่วนทีมครึ่งล่างของตาราง ก็เสริมหนักไม่แพ้กัน อย่างเช่นลีดส์ ยูไนเต็ด ที่ดึงตัวจอร์จินิโอ รัทเทอร์ กองหน้าชาวฝรั่งเศสวัย 20 ปี จากฮอฟเฟ่นไฮม์ ด้วยค่าตัว 36 ล้านปอนด์ เป็นสถิติของสโมสร

บอร์นมัธ ดึงตัวดังโก้ อูอาตตารา กองหน้าบูร์กินาฟาโซจากลอริยองต์ ค่าตัวราว 20 ล้านปอนด์ ส่วนทางด้านเลสเตอร์ ซิตี้ จ่ายเงิน 17 ล้านปอนด์ ให้กับวิคตอร์ คริสเตียนเซ่น แบ็กซ้ายเดนมาร์ก จากโคเปนเฮเกน

เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ซื้อแดนนี่ อิงส์ กองหน้าชาวอังกฤษจากแอสตัน วิลล่า ค่าตัว 15 ล้านปอนด์ และในขณะเดียวกัน วิลล่าก็ดึงตัวจอน ดูแรน กองหน้าดาวรุ่งโคลอมเบียจากชิคาโก ไฟร์ ค่าตัว 18 ล้านปอนด์

รวมดีลในวันเดดไลน์ ที่วุ่นวายไม่ต่างจากอดีต

ถ้านับเฉพาะการซื้อขายที่เกิดขึ้นในวันสุดท้ายของตลาดนักเตะรอบนี้ คือวันที่ 31 มกราคม 2023 จะพบว่ามีดีลที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว โดยมี 19 จาก 20 สโมสรพรีเมียร์ลีก ที่มีการปิดดีลในวันตลาดวาย

ดีลของเอ็นโช่ เฟอร์นานเดซ กองกลางดาวรุ่งวัย 22 ปี ของทีมชาติอาร์เจนติน่า ชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 2022 ที่ย้ายจากเบนฟิกา ไปเชลซี คือหนึ่งในดีลที่เกิดขึ้นในวันสุดท้ายของตลาดนักเตะเดือนมกราคมปีนี้

อีกดีลที่เซอร์ไพรส์ไม่แพ้กัน คือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ตัดสินใจปล่อยเจา กานเซโล่ ไปให้บาเยิร์น มิวนิค ด้วยสัญญายืมตัวจนจบฤดูกาลนี้ ก่อนที่จะย้ายมาร่วมทีมอย่างถาวรในซัมเมอร์นี้ ค่าตัว 61 ล้านปอนด์

อาร์เซน่อล เสริมความแข็งแกร่งด้วยการซื้อจอร์จินโญ่ มิดฟิลด์อิตาลีจากเชลซี ค่าตัว 12 ล้านปอนด์ ในขณะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขอยืมตัวมาร์เซล ซาบิตเซอร์ กองกลางชาวออสเตรียจากบาเยิร์น มิวนิค

ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ ประกาศเซ็นสัญญากับเปโดร ปอร์โร่ ฟูลแบ็กจากสปอร์ติ้ง ลิสบอน ด้วยสัญญายืมตัวจนจบฤดูกาลนี้ และมีออพชั่นซื้อขาดที่ 40 ล้านปอนด์ หวังช่วยทีมลุ้นท็อปโฟร์ในครึ่งซีซั่นหลัง

น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ยังเสริมต่อเนื่อง โดยคว้าตัวเฟลิเป้ กองหลังชาวบราซิลจากแอตเลติโก้ มาดริด, จอนโจ เชลวีย์ กองกลางจากนิวคาสเซิล รวมทั้งยืมตัวเคเลอร์ นาบาส ผู้รักษาประตูจากปารีส แซงต์-แชร์กแมง

เลสเตอร์ ซิตี้ ได้ดึงตัวแฮร์รี่ ซัตตาร์ กองหลังจากสโตค ซิตี้ ด้วยค่าตัวประมาณ 20 ล้านปอนด์ และคริสตัล พาเลซ ที่คว้าตัวนาอูอิรู อาฮามาด้า มิดฟิลด์ดาวรุ่งทีมชาติฝรั่งเศสจากสตุ๊ดการ์ท ค่าตัว 11 ล้านปอนด์

บอร์นมัธ เซ็นสัญญากับอิลเลีย ซาบาร์นยี่ เซ็นเตอร์แบ็กทีมชาติยูเครน ด้วยค่าตัว 24 ล้านปอนด์ และฮาเหม็ด ตราโอเร่ กองกลางไอเวอรี่โคสต์ ด้วยสัญญายืมตัวจนจบซีซั่น และย้ายอย่างถาวรช่วงซัมเมอร์ ค่าตัว 20 ล้านปอนด์

ขอบคุณภาพ https://web.facebook.com/afcbournemouth

ปิดท้ายด้วย เซาแธมป์ตัน เสริมทัพหวังอยู่รอด ด้วยการคว้าตัวกามัลดีน ซูเลมานา ปีกชาวกานาจากแรนส์ ค่าตัว 22 ล้านปอนด์ เป็นสถิติของสโมสร และปอล โอนูอาชู กองหน้าชาวไนจีเรียจากเกงค์ 18.5 ล้านปอนด์

ครองแชมป์ลีกลูกหนัง ช็อปบ้าคลั่งที่สุดในโลก

จากข้อมูลของดีลอยด์ (Deloitte) บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินระดับโลก ระบุว่า ยอดใช้จ่ายเฉพาะตลาดหน้าหนาวปีนี้ สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (295 ล้านปอนด์)

ตัวเลข 815 ล้านปอนด์ เป็นการทุบสถิติเดิมที่ทำไว้เมื่อปี 2018 (430 ล้านปอนด์) เมื่อนำไปรวมกับช่วงซัมเมอร์ปีที่ผ่านมา ก็จะเป็น 2 เท่า ของยอดใช้จ่ายในตลาดนักเตะช่วงซัมเมอร์ปี 2017 (1.4 พันล้านปอนด์)

และถ้านับเฉพาะวันปิดทำการซื้อขาย (31 มกราคม) สโมสรในพรีเมียร์ลีกใช้เงินรวมกันมากถึง 275 ล้านปอนด์ ทำลายสถิติเดิมของวันตลาดวายเมื่อปี 2018 ที่ทำไว้ 150 ล้านปอนด์ หรือเพิ่มขึ้น 83เปอร์เซ็นต์

เอฟเวอร์ตัน เป็นสโมสรเดียวในพรีเมียร์ลีก ที่ไม่เซ็นสัญญานักเตะใหม่ในตลาดซื้อขายรอบนี้เลยแม้แต่คนเดียว เนื่องจากกำลังเจอปัญหาทางการเงิน และอาจจะตัดสินใจขายสโมสรถ้ามีข้อเสนอที่เหมาะสม

พรีเมียร์ลีก เป็นลีกที่ใช้จ่ายในตลาดหน้าหนาวปีนี้ คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 79 เปอร์เซนต์ ของยอดรวมทั้ง 5 ลีกใหญ่ยุโรป ซึ่งสวนทางกับอีก 4 ลีกที่เหลือ ที่สัดส่วนลดลงไป 35 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปรากฎการณ์ “ช็อปตลาดแตก” ของเชลซี ยุคที่ท็อดด์ โบห์ลี่ เข้ามาเป็นเจ้าของทีมในซีซั่นแรก ได้ใช้เงินไปมากกว่ายอดรวมของทุกสโมสรในบุนเดสลีกา, เซเรีย อา, ลาลีกา และลีก เอิง เสียอีก

ตลาดเดือนมกราคมปีนี้ เขลซีใช้เงินไปร่วม 300 ล้านปอนด์ คิดเป็นสัดส่วน 37 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนเงินที่สโมสรพรีเมียร์ลีกใช้จ่ายทั้งหมด แลกกับนักเตะใหม่อายุน้อย 8 คน และเซ็นสัญญาในระยะยาวทั้งสิ้น

ในจำนวนนี้คือ เอ็นโช่ เฟอร์นานเดซ นักเตะค่าตัว 105 ล้านปอนด์ แพงสุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร และพรีเมียร์ลีก รวมทั้งจ่ายค่ายืมตัวเจา เฟลิกซ์ จากแอตเลติโก้ มาดริด เป็นเงินเกือบ 10 ล้านปอนด์

ขอบคุณภาพ https://web.facebook.com/ChelseaFC

ยอดใช้จ่ายของ “สิงห์บลูส์” ในตลาดนักเตะฤดูหนาว แซงหน้าฤดูร้อนที่ใช้เงินไป 270 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นยอดใช้จ่ายในช่วงซัมเมอร์ที่สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากเรอัล มาดริด ในปี (292 ล้านปอนด์) ในปี 2019

“ตลาดนักเตะเดือนมกราคมปีนี้ สโมสรในพรีเมียร์ลีกได้ใช้จ่ายมากที่สุดใน 5 ลีกใหญ่ยุโรป เป็นสัดส่วนที่แตกต่างกันเกือบ 4 เท่า มันไม่เคยมากขนาดนี้มาก่อน” ทิม บริดจ์ หัวหน้าฝ่ายธุรกิจการกีฬาของ Deloitte กล่าว

“อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสโมสรในพรีเมียร์ลีกจะมีการลงทุนมหาศาลในการยกระดับทีม แต่ก็ยังให้ความสำคัญในเรื่องของความสมดุลที่ดีทั้งเรื่องของความสำเร็จในสนาม และความยั่งยืนทางการเงิน”

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://www.bbc.com/sport/football/64473758

– https://www.premierleague.com/news/2891053

Categories
Special Content

7 ปีที่ล้มเหลว : ย้อนรอยความผิดพลาด “เอฟเวอร์ตัน” ในยุคฟาฮัด โมชิริ

นับตั้งแต่ฟาฮัด โมชิริ นักธุรกิจชาวอังกฤษเชื้อสายอิหร่าน เข้ามาเทกโอเวอร์เอฟเวอร์ตันเมื่อช่วงต้นปี 2016 พร้อมกับความทะเยอทะยานที่จะพาสโมสรแห่งนี้ ประสบความสำเร็จในระดับสูงให้ได้

โมชิริได้ลงทุนไปมหาศาลในการดึงผู้จัดการทีมบิ๊กเนม และซื้อนักเตะคุณภาพเข้ามาหลายคนเพื่อหวังยกระดับเอฟเวอร์ตัน แต่ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา กับโค้ช 7 คน กลับไม่ประสบความสำเร็จใด ๆ เลย

ช่วงเวลาดังกล่าว เอฟเวอร์ตันเปรียบเสมือนพายเรือในอ่างมานาน วนเวียนอยู่กับการซื้อนักเตะที่ล้มเหลว และเปลี่ยนตัวกุนซือ ยังหาทิศทางที่ถูกต้องไม่เจอเสียที ยิ่งไล่ตามยิ่งห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ

ผลงานของทีมไม่ดี การเงินของสโมสรก็มีปัญหาอย่างหนัก เหตุผลส่วนหนึ่งก็มาจากโควิด-19 แต่การบริหารที่ผิดพลาดในยุคโมชิริ ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” ตกอยู่ในความเลวร้ายเช่นนี้

วอลซ์ และคูมัน เข้ากันไม่ได้

โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ คือผู้จัดการทีมเอฟเวอร์ตันคนแรก ภายใต้การบริหารของฟาฮัด โมชิริ ในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล 2015/16 แม้จะพาทีมไปถึงรอบรองชนะเลิศฟุตบอลถ้วย 2 รายการ แต่ผลงานในพรีเมียร์ลีกจบแค่อันดับที่ 11

และการตัดสินใจครั้งแรกของโมชิริ คือการปลดมาร์ติเนซออกจากตำแหน่งกุนซือ จากนั้นได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารทีม ด้วยการดึงตัวสตีฟ วอลซ์ เป็นผู้อำนวยการสโมสร และโรนัลด์ คูมัน เป็นเฮดโค้ชคนใหม่

แม้ในซีซั่นแรกของคูมัน ทำผลงานได้ดีจบอันดับที่ 7 แต่ในซีซั่นที่สอง วอลซ์และคูมัน กลับมีความเห็นที่ไม่ตรงกันในเรื่องการเสริมผู้เล่นหลายเรื่อง เช่นการซื้อนักเตะ 3 คนมาเล่นมิดฟิลด์ คือกิลฟี่ ซิกูร์ดส์สัน, ดาวี่ คลาสเซ่น และเวย์น รูนี่ย์

ในช่วงซัมเมอร์ปี 2017 เอฟเวอร์ตันใช้เงินซื้อนักเตะมากถึง 140 ล้านปอนด์ ทว่าผลงานกลับย่ำแย่ในการออกสตาร์ท 9 นัดแรกของพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2017/18 จนเฮดโค้ชชาวดัตช์ถูกปลดออกจากตำแหน่ง

ตลาดนักเตะของเอฟเวอร์ตัน ในฤดูกาล 2016/17 และ 2017/18 ใช้เงินซื้อนักเตะร่วม 220 ล้านปอนด์ แต่ไม่ได้ใกล้เคียงการลุ้นแชมป์ และโควตายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สัญญาณแห่งความหายนะ ได้เริ่มขึ้นแล้ว

ปลดบิ๊กแซม หลังทำงานได้แค่ครึ่งปี

หลังจากหมดยุคของโรนัลด์ คูมัน การสรรหากุนซือใหม่ก็เกิดขึ้น ในตอนแรก ฟาฮัด โมชิริ อยากได้มาร์โก้ ซิลวา โค้ชวัยหนุ่มของวัตฟอร์ด แต่สตีฟ วอลซ์ กลับบอกให้เลือกแซม อัลลาไดซ์ กุนซือวัยเก๋า มารับหน้าที่แทน

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/Everton

เอฟเวอร์ตันได้แต่งตั้งอัลลาไดซ์ มาสานต่อในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2017 เซ็นสัญญา 1 ปีครึ่ง และสามารถกอบกู้ผลงานที่ย่ำแย่ในยุคของคูมันได้อย่างยอดเยี่ยม เข็นเอฟเวอร์ตันจบในอันดับที่ 8 ของตาราง

อย่างไรก็ตาม แฟนบอลของทอฟฟี่สีน้ำเงิน กลับไม่ปลื้มกับสไตล์การทำทีมของบิ๊กแซม ทำให้เจ้าของทีมต้องตัดสินใจปลดออกจากตำแหน่ง ทั้งๆ ที่ทำงานได้แค่ 6 เดือน ส่วนวอลซ์ ผอ.สโมสร ก็ตกงานด้วยเช่นกัน

โมชิริ ต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับอดีตกุนซือทีมชาติอังกฤษ และจ่ายค่าชดเชยอีก 4 ล้านปอนด์ให้กับวัตฟอร์ด จากกรณีที่มีการร้องเรียนว่าไปติดต่อมาร์โก้ ซิลวา ให้มารับงานกุนซือแบบผิดกฎ

แต่ในที่สุด ซิลวาก็เข้ามารับหน้าที่โค้ชคนใหม่ของเอฟเวอร์ตัน ดูเหมือนว่า แนวทางของสโมสรกำลังจะเปลี่ยนไป จากการทุ่มเงินเพื่อความสำเร็จครั้งใหญ่ มาเน้นการวางอนาคตในระยะยาวแทน

ดึงอันเชล็อตติเข้ามา จนผอ. สโมสรอยู่ไม่ได้

ในปี 2018 นอกจากเอฟเวอร์ตันจะแต่งตั้งมาร์โก้ ซิลวา เป็นกุนซือคนใหม่แล้ว ยังได้ดึงตัวมาร์เซล แบรนด์ มาเป็นผอ. สโมสรคนใหม่ด้วย ในการพยายามชดใช้ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจาก 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา

การเสริมผู้เล่นในยุคของซิลวา และแบรนด์ ได้เน้นไปที่นักเตะอายุน้อย และเซ็นสัญญาแบบระยะยาว เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของสโมสร และสามารถทำกำไรมหาศาล เมื่อมีการขายนักเตะไปให้ทีมอื่น

ริชาร์ลิสัน, ลูคัส ดีญ และเยอร์รี่ มิน่า คือ 3 นักเตะดาวรุ่งที่เซ็นสัญญาเข้ามาช่วงตลาดซัมเมอร์ แน่นอนว่า แนวทางนี้ต้องใช้เวลาและความอดทนอย่างสูง ซึ่งเอฟเวอร์ตันก็ทำได้ดี จบอันดับที่ 8 ในซีซั่น 2018/19

แต่ในซีซั่นต่อมา จุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้น เมื่อซิลวาทำผลงานได้ย่ำแย่ และการแพ้ลิเวอร์พูล ในเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ต้นเดือนธันวาคม 2019 พาทีมหล่นไปอยู่โซนตกชั้น นั่นคือฟางเส้นสุดท้าย นำไปสู่การตกงานของเขาในที่สุด

ซึ่งโมชิริ ก็ได้ทำเซอร์ไพรส์ให้กับแฟนๆ ทอฟฟี่สีน้ำเงิน ด้วยการดึงตัวคาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือมากประสบการณ์ มาคุมทีมแทน และดึงตัวนักเตะค่าเหนื่อยแพงอย่างฮาเมส โรดริเกวซ มาร่วมทีมในช่วงซัมเมอร์ปี 2020

เมื่อแบรนด์รู้ว่า โมชิริได้กลับไปใช้นโยบายเดิม คือการใช้เงินมหาศาลเพื่อความสำเร็จอีกครั้ง ซึ่งขัดกับแนวทางของตัวเอง ที่เน้นการสร้างทีมในระยะยาว จึงตัดสินใจอำลาตำแหน่งผอ. สโมสร ในเดือนธันวาคม 2021

เล่นกับไฟด้วยการดึงราฟา เบนิเตซ คุมทีม

คาร์โล อันเชล็อตติ ขอลาออกจากเอฟเวอร์ตัน หลังจบฤดูกาล 2020/21 และฟาฮัด โมชิริ เจ้าของทีม ได้สร้างความฮือฮา ด้วยการแต่งตั้งราฟาเอล เบนิเตซ อดีตกุนซือลิเวอร์พูล ทีมคู่ปรับร่วมเมือง

แน่นอนว่า การเดิมพันของโมชิริในครั้งนี้ ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านอย่างหนักจากแฟนๆ เอฟเวอร์ตันว่า ทำไมสโมสรถึงเลือกโค้ชที่เคยมีประเด็นพูดหมิ่นทอฟฟี่สีน้ำเงินว่าเป็น “ทีมเล็ก” เมื่อปี 2007

ตลาดนักเตะทั้ง 2 รอบ ในฤดูกาล 2021/22 ยุคของเบนิเตซ เอฟเวอร์ตันได้ผู้เล่นใหม่ 10 คน แต่ใช้เงินรวมกันแค่ 30 ล้านปอนด์ ซึ่งถือเป็นยอดใช้จ่ายซื้อนักเตะที่น้อยที่สุด นับตั้งแต่โมชิริเป็นเจ้าของสโมสร

แม้จะเริ่มต้นซีซั่นในพรีเมียร์ลีกได้ดี ชนะ 4 จาก 6 เกมแรก ทำเอาแฟนๆ ทอฟฟี่สีน้ำเงินเริ่มฝันไกล แต่ความจริงที่โหดร้ายก็เข้ามา เพราะ 13 เกมหลังจากนั้น ชนะแค่เกมเดียว เสมอ 3 และแพ้ถึง 9 เกม

เกมสุดท้ายของ “เอล ราฟา” คือนัดแพ้นอริช ซิตี้ 1 – 2 เมื่อ 15 มกราคม 2022 อยู่อันดับที่ 15 มีแต้มมากกว่าโซนตกชั้นแค่ 6 แต้ม ท่ามกลางความสะใจของแฟนๆ “เดอะ ค็อป” ที่เขาไปทำให้เอฟเวอร์ตันเละเทะเข้าไปอีก

การตัดสินใจดึงตัวราฟา เบนิเตซ มารับงานที่เอฟเวอร์ตัน ผลลัพธ์ที่ออกมาล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง แสดงให้เห็นว่า ฟาฮัด โมชิริ มีความเข้าใจในเรื่องการบริหารจัดการทีม และเรียนรู้วัฒนธรรมของสโมสรที่ยังไม่มากพอ

คำพูดของโมชิริ ที่เรียกเสียงวิจารณ์อื้ออึง

ด้วยความที่ฟาฮัด โมชิริ มีแพสชั่นในการยกระดับเอฟเวอร์ตัน ให้ขึ้นมายิ่งใหญ่ทัดเทียมกับบิ๊ก 6 พรีเมียร์ลีก แต่บางคำพูด หรือการให้สัมภาษณ์ของเขา ก็สร้างความไม่พอใจให้กับหลาย ๆ คน ที่เกี่ยวข้อง

อย่างเช่น เมื่อเดือนมกราคม 2018 โมชิริได้กล่าวพาดพิงโรเมลู ลูกากู ดาวยิงเบลเยียม ที่ไม่ยอมต่อสัญญาในถิ่นกูดิสัน พาร์ค ทั้งๆ ที่ ตกลงรายละเอียดไปแล้ว โดยอ้างว่าสาเหตุมาจากเชื่อเรื่องไสยศาสตร์วูดู

หรือเมื่อเดือนมีนาคม 2019 โมชิริอ้างว่า เอฟเวอร์ตันก็มี “Fab 4” อย่างกิลฟี่ ซิกูร์ดส์สัน, เวย์น รูนี่ย์, ยานนิค โบลาซี่ และเซงค์ โทซุน เป็นคู่แข่งกับฟิลิปเป้ คูตินโญ่, ซาดิโอ มาเน่, โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ และโรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ของลิเวอร์พูล

และล่าสุด หลังเกมที่บุกแพ้เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 0 – 2 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โมชิริได้ปฏิเสธที่จะตอบคำถามถึงอนาคตในตำแหน่งกุนซือของแฟรงค์ แลมพาร์ด โดยพูดเพียงสั้น ๆ ว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผม”

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 วันก่อนเกมกับเวสต์แฮม โมชิริยังให้คำมั่นว่าแลมพาร์ดจะยังคุมทีมต่อไป แต่เมื่อกระแสความไม่พอใจของแฟนบอลพุ่งขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ต้องตัดสินใจแยกทางกับตำนานมิดฟิลด์เชลซีในที่สุด

อนาคตของเอฟเวอร์ตันที่พอจะคาดหวังได้ อยู่ที่สนามเหย้าแห่งใหม่ในแบรมลีย์ มัวร์ ความจุ 52,888 ที่นั่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะเปิดใช้งานภายในปี 2024 แม้แฟนบอลของสโมสรจะไม่เห็นด้วยกับการบริหารของโมชิริก็ตาม

บทเรียนแห่งความล้มเหลว ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาของเอฟเวอร์ตัน ในยุคของฟาฮัด โมชิริ ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่ต้องทำเป็นลำดับแรก คือแผนงานที่ถูกต้อง ชัดเจน และตัดสินใจในเรื่องสำคัญแบบชาญฉลาด

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

Categories
Special Content

 คิงส์ ลีก : ทัวร์นาเมนท์ลูกหนังนอกกรอบ ในแบบฉบับเคราร์ด ปิเก้

หลังจากที่เคราร์ด ปิเก้ ยุติอาชีพนักฟุตบอลในสีเสื้อของบาร์เซโลน่า เมื่อปลายปีที่แล้ว และได้เริ่มต้นบทบาทใหม่ ที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงวงการฟุตบอลให้เป็นที่สนใจของคนรุ่นหลัง

ซึ่งโปรเจคแรกของอดีตดาวเตะทีมชาติสเปนวัย 35 ปี คือการจัดตั้งฟุตบอล “คิงส์ ลีก” การแข่งขันสุดประหลาด ที่เป็นการรวมตัวกันระหว่างอดีตนักฟุตบอล กับคนดังในโลกออนไลน์

ไข่มุกดำ จะมาเล่าถึงศึกลูกหนังคิงส์ ลีก เกี่ยวกับที่มาที่ไป รูปแบบการแข่งขัน และสามารถเรียกความสนใจจากผู้คนได้มากน้อยแค่ไหน

ฉีกกติกาลูกหนังแบบดั้งเดิม

เคราร์ด ปิเก้ สุดยอดตำนานกองหลังของบาร์เซโลน่า เห็นด้วยกับมุมมองของฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสรเรอัล มาดริด ที่เชื่อว่า ฟุตบอลจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพื่อดึงดูดความสนใจของเยาวชนให้มากขึ้น

“ความรู้สึกของผมคือ ฟุตบอลมันล้าสมัยแล้ว คุณต้องพยายามทำอะไรสักอย่าง เพื่อเปลี่ยนแปลงรูปแบบที่ใช้กันมาหลายสิบปี ผมเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องยากมากๆ และเกิดขึ้นในกีฬาทุกประเภท” ปิเก้ กล่าวกับอิไบ แอลยานอส สตรีมเมอร์ชื่อดังชาวสเปน

“คุณต้องหาวิธีดึงดูดความสนใจ ผมมองว่ามีการทำคอนเทนท์มากมายที่นอกเหนือจากฟุตบอล สร้างเกมฟุตบอลที่สั้น และน่าตื่นเต้น 90 นาทีสำหรับผมมันมากเกินไป ลองมองหากฎกติกาใหม่ๆ ที่สนุกสนานมากกว่าเดิม”

ปิเก้ยังเสริมอีกว่า มิลาน ลูกชายของเขา เป็นคนที่รักฟุตบอล แต่ไม่ดูการแข่งขันครบ 90 นาที และหันไปเล่นโซเชียลมีเดียแทน

“มันเป็นเรื่องยากมากที่จะดึงดูดคนรุ่นใหม่ ผมจำเป็นต้องทำลายกรอบเดิมๆ ให้หมดไปอย่างสิ้นเชิง ที่คนส่วนใหญ่ไม่คิดจะทำ”

ส่วนประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงกฎกติกาในเกมฟุตบอล ปิเก้ได้เสนอไอเดียเรื่องการต่อเวลาพิเศษรูปแบบใหม่ แต่เรื่องของการดวลจุดโทษตัดสินหาผู้ชนะ ยังคงไว้เช่นเดิม

“การเล่น 11 ต่อ 11 ในช่วงต่อเวลา 30 นาที ผมเสนอให้ผู้เล่นออกจากสนามภายใน 3 นาที จนกว่าจะยิงประตูได้ ส่วนการดวลจุดโทษ เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น ผมเข้าใจที่มีคนพูดว่า จะยิงให้เข้าอย่างไร แล้วเป็นอะไรที่เสี่ยงมากๆ แต่ผมชอบนะ”

อย่างไรก็ตาม ก็มีบางคนที่เห็นต่างกับโปรเจคของปิเก้ หนึ่งในนั้นคือ ฆาเบียร์ เตบาส ประธานลาลีกา โดยกล่าวว่า “นี่คือละครสัตว์ชัดๆ มันไม่เกี่ยวกับการดึงดูดผู้ชมอายุน้อยหรือไม่ เขากำลังเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป”

ทำความรู้จักโปรเจค “คิงส์ ลีก”

บทบาทของเคราร์ด ปิเก้ ในวงการธุรกิจกีฬา เข่น เป็นเจ้าของทีมฟุตบอล เอฟซี อันดอร์ร่า, ผู้ร่วมก่อตั้งคอสมอส โฮลดิ้ง บริษัทสื่อกีฬาของสเปน รวมถึงเป็นผู้จัดตั้งรายการฟุตบอล 7 คน ที่ชื่อว่า “คิงส์ ลีก”

คิงส์ ลีก เริ่มการแข่งขันไปแล้วเมื่อช่วงต้นปี 2023 ที่ผ่านมา มีทีมเข้าร่วม 12 ทีม แต่ละทีมมีผู้เล่น 12 คน โดย 10 คนแรก เป็นผู้สมัครที่ได้รับเลือกเข้าทีม คนที่ 11 จะเป็นอดีตนักฟุตบอลอาชีพ และคนที่ 12 จะเป็นคนดังที่ได้รับเชิญมาในแต่ละสัปดาห์

ในจำนวนนี้ มีประธานทีมที่เป็นอดีตนักเตะดังรวมอยู่ด้วย เช่น วันเค เอฟซี ทีมของอิเคร์ กาซิยาส ตำนานนายทวารเรอัล มาดริด หรือทีมอย่างคูนิสปอร์ตส์ ของเซร์คิโอ กุน อเกวโร่ อดีตกองหน้าแมนเชสเตอร์ ซิตี้

รวมถึงฮาเวียร์ เฮอร์นานเดซ “ชิชาริโต้” อดีตดาวเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ได้เข้าร่วมทีมปอร์ซินอส เอฟซี จากการเชิญของอิไบ แอลยานอส สตรีมเมอร์ที่มีผู้ติดตามกว่า 8 ล้านคนบนอินสตาแกรม

การแข่งขันแต่ละแมตช์ ทุกทีมส่งผู้เล่นตัวจริงได้ 7 คน และสามารถเปลี่ยนตัวสำรองได้แบบไม่จำกัด โดยการคิกออฟ จะให้ผู้เล่นทั้ง 2 ทีม ยืนเรียงหน้ากระดานหันหน้าเข้าหากันจากเส้นประตู แล้ววิ่งเข้ามาแย่งลูกบอลที่อยู่กลางสนามให้ได้

แข่งขันครึ่งเวลาละ 20 นาที ถ้าหากเสมอกัน จะต้องตัดสินหาผู้ชนะด้วยการดวลจุดโทษ แต่การดวลจุดโทษในแบบฉบับของ “ลีกแห่งราชา” นั้น จะต้องยิงจุดโทษจากบริเวณกึ่งกลางสนาม คล้ายกับกีฬาฝั่งอเมริกัน และมีเวลาเพียง 5 วินาทีเท่านั้น

ส่วนการได้จุดโทษในเวลาปกติ จะมีการให้ใบเหลือง หรือใบแดงกับผู้เล่นที่ทำเสียจุดโทษด้วย ถ้าเป็นใบเหลือง จะถูกเชิญไปพักที่ข้างสนาม 2 นาที แต่ถ้าเป็นใบแดง จะเพิ่มเป็น 5 นาที ก่อนกลับเข้ามาในสนามได้ตามเดิม

และทั้ง 2 ทีม สามารถร้องขอ VAR เพื่ออุทธรณ์คำตัดสินได้ทีมละ 1 ครั้ง ถ้าอุทธรณ์ผ่าน จะสามารถรักษาสิทธิ์ใช้ VAR ได้อีก แต่ถ้าหากอุทธรณ์ไม่ผ่าน จะเสียสิทธิ์การใช้ VAR ทันที ในช่วงเวลาที่เหลือของแต่ละแมตช์

นอกจากนี้ ยังเพิ่มความตื่นเต้นด้วย “โกลเด้น การ์ด” ซึ่งมีอยู่ 5 ใบ ตัวแทนของทั้ง 2 ทีม จะเลือกการ์ดก่อนเริ่มเกมได้เพียงทีมละ 1 ใบ ซึ่งภายในจะมีกติกาสุดแปลกประหลาดอยู่ในนั้น เลือกใช้ในนาทีใดก็ได้ แต่ใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียวตลอดเกม

ตัวอย่างกติกาในโกลเด้น การ์ด เช่น ได้จุดโทษพร้อมสั่งพักผู้เล่นคู่แข่ง 1 คน ออกมาที่ข้างสนาม 2 นาที, ประตูใดๆ ที่ทำได้ในนาทีถัดไป นับเป็น 2 เท่า, ผู้รักษาประตูใช้มือไม่ได้ 1 นาที รวมถึงการ์ดโจ๊กเกอร์ที่สามารถเลือกได้ว่าจะใช้การ์ดใบใดก็ได้

รูปแบบการแข่งขัน ในแต่ละสัปดาห์จะแข่งขันครบทั้ง 6 คู่ จบในวันเดียว และเป็นแบบ Round-robin หรือพบกันหมด เป็นเวลา 11 สัปดาห์ คัดเอาทีมที่ผลงานดีสุด 8 ทีม เข้ารอบน็อกเอาต์ และคัดออกจนเหลือทีมที่ชนะเลิศเพียง 1 ทีม

สำหรับฟุตบอล 7 คน คิงส์ ลีก จะมีการถ่ายทอดสดทางออนไลน์ ทุกวันอาทิตย์ เวลา 22.00 – 04.00 น. ตามเวลาประเทศไทย สามารถรับชมได้ฟรี บนแพลตฟอร์ม Twitch และ Youtube

ชมไฮไลท์การแข่งขันสัปดาห์แรก ได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=tvgzbHvb6FQ

Enigma69” ตัวละครลับสุดยอด

เพียงสัปดาห์แรกของการแข่งขันคิงส์ ลีก ก็มีประเด็นฮือฮาให้พูดถึง เมื่อมีนักเตะนิรนาม อายุไม่เกิน 30 ปี ที่ยังมีสัญญากับสโมสรแห่งหนึ่งของลาลีกา สเปน มาปรากฏตัวใน ตามที่เคราร์ด ปิเก้ ได้ประกาศไว้

แข้งคนดังกล่าว ลงแข่งขันฟุตบอล 7 คน ให้กับเอ็กซ์บายเออร์ พบกับ คูนิสปอร์ตส์ แต่มาแบบลึกลับสุดๆ ด้วยการสวมหน้ากากมวยปล้ำปิดบังใบหน้า และสวมเสื้อผ้ามิดชิดเพื่อปกปิดรอยสัก

สาเหตุที่ต้องทำเช่นนั้น เนื่องจากสัญญาของต้นสังกัดของนักเตะรายนี้ ระบุไว้ชัดเจนว่า ไม่อนุญาตให้ไปลงแข่งขันฟุตบอลรายการใดๆ ก็ตาม ในช่วงที่ยังเหลือสัญญาการเป็นนักเตะอาชีพกับสโมสร

นักเตะนิรนามคนนี้ ใช้นามแฝงว่า “Enigma69” ซึ่งถึงแม้จะมีเสียงเรียกร้องให้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของนักเตะคนนี้ แต่ปิเก้ยืนยันว่า ขอเก็บเป็นความลับไว้ก่อน และจะเปิดเผยหลังแข้งคนดังกล่าวหมดสัญญาแล้ว

แน่นอนว่า แฟนๆ ในโลกโซเชี่ยล ก็อดไม่ได้ที่จะพยายามคาดเดาไปต่างๆ นานาว่า นักเตะภายใต้หน้ากากมวยปล้ำ คือใคร

มีบางคนเดาว่า น่าจะเป็นอิสโก้ อดีตเพลย์เมกเกอร์เรอัล มาดริด ที่เพิ่งแยกทางกับเซบีย่าเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว หรือเดนิส ซัวเรซ อดีตนักเตะบาร์เซโลน่า ที่ปัจจุบันอยู่กับเซลต้า บีโก้

แต่นักเตะที่อิไบ แอลยานอส บอกใบ้ในการสตรีมมิ่งสดผ่าน Twitch ว่ามีความเป็นไปได้มากกว่าคนอื่นๆ ได้ชี้เป้าไปที่ นาโน เมซ่า ที่เพิ่งยกเลิกสัญญากับกาดิซ เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา

โปรเจคคิงส์ ลีก ของปิเก้ ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ในระหว่างการออกอากาศสด มีการรับชมขึ้นจุดสูงสุดอยู่ที่ 413,000 วิว และยอดผู้ชมใน Youtube ทะลุ 1 ล้านวิว ภายในเวลาไม่ถึงสัปดาห์

ส่วนเป้าหมายต่อไปของอดีตแนวรับอาซุลกราน่า คือการจัดทัวร์นาเมนท์ “ควีนส์ ลีก” หรือฟุตบอล 7 คน สำหรับทีมหญิง ซึ่งจะใช้รูปแบบเดียวกับทีมชาย คาดว่าจะเปิดตัวในเดือนพฤษภาคมนี้

การที่เคราร์ด ปิเก้ มีแนวความคิดที่นอกกรอบ แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ ไม่ว่าผู้คนจะเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยก็ตาม แต่ชายคนนี้ ได้ประสบความสำเร็จจากการที่ลงมือทำในสิ่งที่ตัวเองคิดไปเรียบร้อยแล้ว

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://www.bbc.com/sport/football/64266765

– https://www.givemesport.com/88082161-gerard-pique-believes-football-needs-radical-changes-after-ending-barcelona-career

https://www.givemesport.com/88104037-kings-league-what-is-gerard-piques-new-competition-and-how-does-it-work

https://www.hitc.com/en-gb/2023/01/12/what-are-golden-cards-in-kings-league-gerard-piques-7-a-side-concept-explained/

https://en.as.com/soccer/who-is-enigma-69-the-masked-player-in-gerard-piques-seven-a-side-kings-league-n/

– https://newsrebeat.com/sports/133546.html

https://www.allsoccer.co.uk/news/kings-league-gerard-pique-7-a-side-football-league/

https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-11623503/Gerard-Piques-7-league-hands-fans-identity-hunt-mysterious-masked-LaLiga-star.html

https://www.sportbible.com/football/gerard-pique-kings-league-barcelona-629207-20230111

https://www.besoccer.com/new/everything-you-need-to-know-about-the-kings-league-1202045

Categories
Football Business

นโยบาย “อายุน้อย สัญญายาว” ของเชลซี ในยุคท็อดด์ โบห์ลี่ย์

ตลาดซื้อขายนักเตะเดือนมกราคม ปี 2023 เริ่มมาได้เพียง 1 สัปดาห์ ก็มีข่าวที่น่าฮือฮาของ “เชลซี” หลังคว้าตัว เบอนัวต์ บาเดียชิล กองหลังดาวรุ่งวัยย่าง 22 ปี จากโมนาโก ด้วยค่าตัว 35 ล้านปอนด์

โดยประเด็นสำคัญอยู่ที่ บาเดียชิล ตกลงเซ็นสัญญายาวถึง 7 ปีครึ่ง หรือสิ้นสุดช่วงซัมเมอร์ปี 2030 ท่ามกลางคำถามที่ตามมาว่า คุ้มเสี่ยงหรือไม่ กับการที่สโมสรเลือกที่จะผูกมัดสัญญานักเตะยาวๆ แบบนี้

บาเดียชิล เป็นหนึ่งในนักเตะใหม่ “สิงห์บูลส์” ที่เซ็นสัญญามากกว่า 5 ปี ซึ่ง ท็อดด์ โบห์ลี่ย์ เจ้าของทีม ได้นำแนวคิดเรื่องสัญญากีฬาอาชีพในสหรัฐอเมริกามาใช้ ไข่มุกดำ จะมาขยายประเด็นนี้ให้ฟัง

โมเดลอเมริกัน แก้ปัญหา FFP

โดยทั่วไปแล้ว สัญญาของนักฟุตบอลอาชีพในลีกอังกฤษ มักจะกำหนดระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 5 ปี แต่เมื่อท็อดด์ โบห์ลี่ย์ เข้ามาเป็นเจ้าของสโมสรเชลซี ก็ได้วางนโยบายใหม่เรื่องสัญญาทั้งนักเตะใหม่ และนักเตะเก่า

นโยบายใหม่ของโบห์ลี่ย์ คือ “ให้ผู้เล่นที่อายุไม่เกิน 25 ปี ทำสัญญากัน 6 – 7 ปี” ซึ่งเป็นการนำแนวคิดเรื่องสัญญาระยะยาวของกีฬาอาชีพในสหรัฐอเมริกามาใช้ เพื่อรั้งนักเตะอายุน้อยฝีเท้าดีให้อยู่กับสโมสรไปนานๆ

ตลาดนักเตะเชลซี ในยุคของโบห์ลี่ย์ ได้คว้าตัวแข้งอายุต่ำกว่า 25 ปี และมอบสัญญายาว 6 – 7 ปี มาแล้ว 5 คน คือ มาร์ค คูคูเรย่า, คาร์นี่ย์ ชุควูเมก้า, เวสลี่ย์ โฟฟาน่า, เซซาเร่ คาซาเด และเบอนัวต์ บาเดียชิล คือรายล่าสุด

ขอบคุณภาพ https://web.facebook.com/ChelseaFC

เมื่อรวมกับนักเตะรายอื่นๆ ในฝั่งขาเข้า ทำให้โบห์ลี่ย์ ใช้เงินรวม 2 รอบตลาด ทะลุ 300 ล้านปอนด์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งยอดใช้จ่ายที่มากขนาดนี้ อาจสุ่มเสี่ยงต่อการผิดกฎไฟแนนเชียล แฟร์เพลย์ (FFP)

อย่างไรก็ตาม ฝั่งขาออกก็ได้ปล่อยนักเตะไปมากกว่า 10 ราย เพื่อปรับสมดุลของงบการเงิน โดยไม่ให้ขัดกับกฎไฟแนนเชียล แฟร์เพลย์ อย่างเช่น ติโม แวร์เนอร์, เอเมอร์สัน, บิลลี่ กิลมัวร์ เป็นต้น

โมเดลสัญญาระยะยาวของโบห์ลี่ย์ ช่วยให้เชลซีลดต้นทุนในการเซ็นสัญญานักเตะใหม่ และต่อสัญญานักเตะเก่า ซึ่งอาจช่วยให้สโมสรใช้เงินซื้อนักเตะใหม่ได้มากขึ้น โดยไม่ผิดกฎไฟแนนเชียล แฟร์เพลย์

รู้ว่าเสี่ยง แต่เป็นผลดีกับนักเตะ

ก่อนที่จะเข้ามาเทกโอเวอร์เชลซี ท็อดด์ โบห์ลี่ย์เคยมีประสบการณ์การบริหารทีมกีฬา ด้วยการเป็นหุ้นส่วนของสโมสรเบสบอลลอสแอนเจลิส ดอดเจอร์ส ในลีก MLS เมื่อปี 2013 ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก

ในยุคที่โบห์ลี่ย์เข้ามาบริหารลอสแอนเจลิส ดอดเจอร์ส ได้พลิกฟื้นทีมจากความตกต่ำให้กลับมายิ่งใหญ่ ด้วยการคว้าแชมป์กลุ่มตะวันตก 8 ครั้ง, แชมป์เนชั่นแนล ลีก 3 ครั้ง และแชมป์เวิลด์ ซีรี่ส์ ในปี 2020

ดร. แดน พลัมลี่ย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน วิเคราะห์ว่า แม้แนวคิดสัญญาระยะยาวของเจ้าของทีมสิงห์บูลส์จะมีความเสี่ยง แต่ก็จะทำให้นักเตะลดความกังวลเกี่ยวกับอนาคตการค้าแข้งในสโมสรได้ไม่น้อย

“สำหรับนักฟุตบอลดาวรุ่งแล้ว พวกเขาจะให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มากที่สุด มันทำให้นักเตะอายุน้อยหลายๆ คน มีโอกาสพิสูจน์ตัวเองในระยะเวลาที่นานขึ้น” ดร. พลัมลี่ย์ กล่าวกับ Football Insider

“ด้วยโมเดลสัญญานักกีฬาแบบอเมริกัน เป็นการชี้ให้เห็นถึงภูมิหลังของโบห์ลี่ ในกีฬาอเมริกัน เขาสามารถใช้กลยุทธ์นี้ ในการลงทุนเพื่อพัฒนานักเตะดาวรุ่ง ซึ่งเป็นผลดีอย่างแท้จริงสำหรับเชลซี”

“แต่สิ่งที่ต้องคิดสำหรับเชลซีคือ วงการฟุตบอลในยุคปัจจุบัน ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ คำถามคือ พวกเขาจะจัดการผลลัพธ์ระยะสั้น ให้สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวได้อย่างไร ?”

แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่เห็นว่าดี

นโยบายที่ให้นักเตะอยู่กับสโมสรใดสโมสรหนึ่งในระยะยาว มีมุมบวกอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว กระนั้น ก็มีอีกมุมหนึ่งที่ออกมาชี้ให้เห็นว่า การเสี่ยงเซ็นสัญญานักเตะยาวหลายปี อาจไม่ใด้เป็นเรื่องที่ดีเสมอไป

เมื่อเชลซี ประกาศคว้าตัวเบอนัวต์ บาเดียชิล ได้มีความเห็นส่วนหนึ่งของแฟนบอลบนโลกออนไลน์ ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การเซ็นสัญญานักเตะรายนี้ ในทำนองว่า “สัญญา 7 ปีครึ่ง มันบ้าเกินไปแล้ว”

ส่วนแฟนบอลทีมอื่นๆ อย่างเช่นแฟนบอลแอตเลติโก้ มาดริดรายหนึ่ง คอมเมนท์ว่า “ซาอูล นิเกซ เซ็นสัญญาใหม่นาน 9 ปี ตอนแรกยังเล่นดีอยู่เลย ตอนนี้เหลือสัญญาอีกถึง 3 ปีครึ่ง ยังต้องเจอกับความเสี่ยงต่อไป”

ด้านแฟนบอลเวสต์แฮม ยูไนเต็ดรายหนึ่ง เสริมว่า “เราเคยทำแบบนี้มาแล้วในอดีตกับแอนดี้ แคร์โรลล์ และวินสตัน รีด ทั้งคู่ต่อสัญญายาวคนละ 6 ปี แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่”

และไม่ใช่แค่ผู้เล่นเท่านั้น ยังมีผู้จัดการทีมอย่างอลัน พาร์ดิว เมื่อปี 2012 ที่ประกาศต่อสัญญาคุมทีมนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ยาวถึง 8 ปี แต่อยู่ได้เพียง 2 ปี ก็ลาออกไปคุมทีมคริสตัล พาเลซ

การนำแนวคิดสไตล์อเมริกันของท็อดด์ โบห์ลี่ย์ จะพาเชลซีไปในทิศทางไหน และผลงานในสนามซีซั่นแรกของการเป็นเจ้าของทีมจะเป็นอย่างไร นี่คือคำถามที่แฟนบอลจะได้ทราบคำตอบในอีกไม่นานนี้

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

– https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-11116957/New-Chelsea-owner-Todd-Boehly-looking-implement-style-contract-policy-club.html

– https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-11603161/Chelseas-decision-hand-Benoit-Badiashile-seven-half-year-deal-called-absolutely-INSANE.html

– https://www.cityam.com/heres-why-chelsea-could-benefit-from-handing-33m-signing-badiashile-a-mammoth-seven-year-contract/

– https://www.footballinsider247.com/chelsea-stars-thrilled-as-seven-year-deal-on-the-cards-finance-guru/

– https://boardroom.tv/benoit-badiashile-chelsea-contract/

Categories
Special Content

ย้อนรอยชีวิต “เปเล่” ราชาผู้ยิ่งใหญ่ ไอคอนแห่งวงการลูกหนังโลก

คืนวันที่ 29 ธันวาคมที่ผ่านมา เป็นอีกครั้งที่โลกลูกหนังได้สูญเสียนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไปอีกราย นั่นคือ เปเล่ ตำนานทีมชาติบราซิล เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งลำไส้ ในวัย 82 ปี

การคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 3 สมัย และสถิติส่วนตัวต่างๆ ที่สร้างไว้นับไม่ถ้วน ก็เพียงพอแล้ว ที่เปเล่จะได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดตลอดกาล โดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ

ไข่มุกดำ x SoccerSuck ขอร่วมรำลึกถึงการจากไปของ “ราชาลูกหนัง” ด้วยการนำเรื่องราวที่เคยสร้างสีสันให้กับวงการฟุตบอล และเป็นที่พูดถึงของผู้คนทั่วโลกมาฝากกัน

เปิดตำนาน “ไข่มุกดำ” สมบัติแห่งแซมบ้า

เอ็ดสัน อรันเตส โด นาสซิเมนโต เกิดมาในครอบครัวที่ยากจนสุดๆ แต่ด้วยความที่รักในฟุตบอล เขาจึงแก้ปัญหาด้วยการใช้หนังสือพิมพ์ยัดใส่ลงไปในถุงเท้า หรืออะไรก็ได้ที่สามารถทำให้เป็นลูกบอล

ส่วนชื่อ “เปเล่” นั้น ได้มาจากการเรียกชื่อของ บิเล่ (Bilé) อดีตผู้รักษาประตูของวาสโก ดา กาม่า ที่ผิดเพี้ยนเป็น ปิเล่ ทำให้เพื่อนๆ ต้องตั้งชื่อให้ใหม่ว่า เปเล่ และใช้เรียกแทน “ดิโก้” ซึ่งเป็นชื่อเล่นเดิมในที่สุด

แม้แฟนบอลโดยส่วนใหญ่ จะเรียกว่า “เปเล่” แต่ยังมีอีกฉายาหนึ่งที่แฟนบอลในบราซิลมอบให้ คือ “Pérola Negra” ซึ่งคำนี้มาจากภาษาโปรตุกีส ที่แปลว่า “Black Pearl” หรือ “ไข่มุกดำ” นั่นเอง

ตลอดชีวิตการค้าแข้ง เปเล่ยิงประตูรวมกันทั้งหมด 757 ประตู ตามข้อมูลที่ฟีฟ่าได้รับรองสถิติ ถึงแม้เจ้าตัวจะเคยบอกว่า เขายิงได้ทั้งหมด 1,283 ประตู โดยอ้างข้อมูลจากสมาพันธ์ฟุตบอลอเมริกาใต้ก็ตาม

เปเล่ ไม่เคยได้สัมผัสชีวิตการเล่นฟุตบอลสโมสรยุโรปเลย เนื่องจากรัฐบาลบราซิลยกให้เป็น “สมบัติของชาติ” เพราะไม่ต้องการให้เขาอ่อนล้าจากการเดินทางไกล หรือไม่สะดวกบินกลับมาช่วยทีมชาติได้

แต่ภายหลัง เมื่อสถานะ “สมบัติของชาติ” ไม่มีอีกต่อไป เปเล่จึงได้โอกาสย้ายไปค้าแข้งต่างทวีปกับนิวยอร์ก คอสมอส ในสหรัฐอเมริกาช่วงสั้นๆ เมื่อปี 1975 และแขวนสตั๊ดเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ ในอีก 2 ปีต่อมา

นักเตะผู้สร้างปรากฏการณ์ในเวิลด์ คัพ

เปเล่ ติดทีมชาติบราซิลชุดใหญ่เป็นครั้งแรก เมื่อปี 1957 และเป็นที่รู้จักของแฟนบอลมากขึ้น เมื่อเขาได้โอกาสรับใช้ทีมแซมบ้า เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลโลก ปี 1958 ที่ประเทศสวีเดน

และประวัติศาสตร์ของเขาได้เริ่มต้นขึ้นในรอบ 8 ทีมสุดท้าย เขาเป็นผู้ทำประตูชัย เอาชนะเวลส์ 1 – 0สร้างสถิติเป็นนักเตะอายุน้อยสุดที่ทำประตูได้ในฟุตบอลโลก ในวัย 17 ปี 239 วัน

อีก 5 วันต่อมา ในรอบรองชนะเลิศที่ถล่มฝรั่งเศสขาดลอย 5 – 2 เปเล่ยิงคนเดียว 3 ประตู สถิติอย่างที่ 2 ก็ตามมา โดยเป็นนักเตะอายุน้อยสุดที่ทำแฮตทริกได้ในฟุตบอลโลก (17 ปี 244 วัน)

ปิดท้ายด้วยนัดชิงชนะเลิศ ที่ชนะเจ้าภาพ 5 – 2 เช่นเดียวกัน เปเล่ ในวัย 17 ปี 249 วัน กลายนักเตะอายุน้อยสุดที่ได้ลงเล่นนัดชิงชนะเลิศ ทำประตูได้ (2 ประตู) และคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก

ความสำเร็จในการคว้าแชมป์เวิลด์ คัพ สมัยแรกกับบราซิล ทำให้เปเล่ได้รับการยกย่องให้เป็น “O Rei” ซึ่งคำนี้มาจากภาษาโปรตุกีส ที่แปลว่า “The King” หรือ “ราชา” ในวงการลูกหนัง

หลังจากนั้น เปเล่ ได้ลงเล่นฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายอีก 3 สมัย และคว้าแชมป์เพิ่มได้ 2 สมัย ในปี 1962 และ 1970 โดยเฉพาะครั้งหลังสุด เขายิงได้ 1 ประตู ในนัดชิงชนะเลิศที่ถล่มอิตาลี 4 – 1

แชมป์โลกหนที่ 3 ของบราซิล ส่งให้เปเล่ได้รับการจารึกชื่อว่า เป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้ 3 สมัย และยังไม่มีนักเตะคนใด ทำได้เทียบเท่าเขาจนถึงปัจจุบัน

เล่นฟุตบอลสุดปัง แต่ทำนายสุดพัง

เรื่องของฝีเท้า ไม่มีใครสงสัยเลยว่า เปเล่ทำได้สุดยอดมากๆ แต่เมื่อเขาออกมาทำนายเหตุการณ์อะไรบางอย่างในวงการฟุตบอล ผลลัพธ์ที่ออกมาตรงกันข้ามแทบจะทุกครั้ง จนเป็นกลายเป็นภาพจำ

ตำนานการทำนายผิดพลาดของเปเล่ เริ่มต้นในปี 1977 เขาให้สัมภาษณ์ว่า “ทีมจากทวีปแอฟริกา จะคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกก่อนปี 2000” แต่จนถึงเวิลด์ คัพ ปี 2022 ชาวกาฬทวีปก็ยังไม่สมหวังเสียที

ต่อไปนี้คือคำทำนายที่ผิดพลาดของเปเล่ ใน “เวิลด์ คัพ” แต่ละครั้ง ตั้งแต่ปี 1990 – 2022

– 1990 : “อิตาลี เป็นทีมที่ดี คือเต็ง 1 ที่จะคว้าแชมป์”

ผลลัพธ์ : อิตาลี ตกรอบรองชนะเลิศ แพ้จุดโทษอาร์เจนติน่า

– 1994 : “โคลัมเบียจะเข้าถึงรอบรองชนะเลิศเป็นอย่างน้อย และอาจถึงขั้นคว้าแชมป์ เยอรมันจะไปถึงรอบชิงชนะเลิศ บราซิลจะไปไม่ถึงแชมป์แม้จะมีนักเตะที่ดี”

ผลลัพธ์ : โคลัมเบียตกรอบแรก, เยอรมันตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย, บราซิลคว้าแชมป์สมัยที่ 4

– 1998 : “สเปนคือเต็งหนึ่งในทัวร์นาเมนท์นี้ อังกฤษมีผู้จัดการทีมที่ดี สไตล์การเล่นที่ดี และมีนักเตะที่แข็งแกร่งมาก จะไปถึงรอบลึกๆ ได้แน่นอน”

ผลลัพธ์ : สเปนตกรอบแรก, อังกฤษตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย

– 2002 : “บราซิลจะตกรอบแรก นักเตะชุดนี้มันห่วยมาก ทีมเวิร์กไม่มี, อาร์เจนติน่า กับ ฝรั่งเศส คือตัวเต็งคว้าแชมป์ ส่วนจีนจะผ่านรอบแรกได้แน่นอน”

ผลลัพธ์ บราซิลคว้าแชมป์สมัยที่ 5 ส่วนอาร์เจนติน่า, ฝรั่งเศส และจีน ตกรอบแรกทั้งหมด

– 2006 : “4 ทีมสุดท้ายในครั้งนี้ บราซิล, อาร์เจนติน่า, อังกฤษ และฝรั่งเศส”

ผลลัพธ์ ฝรั่งเศส เป็นทีมเดียวที่ไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ส่วนอีก 3 ทีมที่เหลือ ตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายทั้งหมด

– 2014 : “อังกฤษอยู่ในกลุ่มที่ยาก แต่คิดว่าผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ได้ และสเปนคือเต็งแชมป์ เพราะใช้นักเตะชุดเดิม”

ผลลัพธ์ อังกฤษตกรอบแรก จบอันดับสุดท้ายของกลุ่ม ส่วนสเปนได้ที่ 3 ของกลุ่ม ตกรอบแรกเช่นกัน

– 2018 : “บราซิลจะคว้าแชมป์ และเนย์มาร์จะเป็นผู้เล่นคนสำคัญในการลุ้นดาวซัลโวกับคริสเตียโน่ โรนัลโด้ และลิโอเนล เมสซี่”

ผลลัพธ์ บราซิลตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย ส่วนเนย์มาร์ยิงได้แค่ 2 ประตู

– 2022 : “ตอนนี้บราซิลมีดาวประดับอยู่บนตรา 5 ดวงแล้ว และรอไม่ไหวแล้วที่จะได้เพิ่มดวงที่ 6 รู้สีกมั่นใจในทีมชุดนี้”

ผลลัพธ์ ขุนพลเซเลเซา ไปได้ไกลเพียงแค่รอบ 8 ทีมสุดท้าย แพ้จุดโทษโครเอเชีย

อย่างไรก็ตาม มีเพียงครั้งเดียวที่เปเล่ทำนายแชมป์ฟุตบอลโลกได้ถูกต้อง เกิดขึ้นเมื่อปี 2010 โดยเจ้าตัวบอกว่า “บราซิล และสเปน คือเต็งแชมป์” ซึ่งท้ายที่สุด สเปนคว้าแชมป์สมัยแรกได้สำเร็จ

ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนเส้นทางลูกหนัง ทำให้เปเล่ กลายเป็นไอคอนของผู้คนทั่วโลก ซึ่งชายคนนี้ จะเป็นที่จดจำไปตลอดกาล และจะเป็นหนึ่งในตำนานที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะหาใครมาเทียบได้

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://www.theguardian.com/football/2010/jun/05/world-cup-2010-pele-predictions

https://www.sportskeeda.com/sports/peles-predictions

https://www.thefa.com/news/2014/jun/10/pele-backs-england-to-get-out-of-group-100614

https://www.express.co.uk/sport/football/971839/World-Cup-2018-Brazil-Neymar-Portugal-Cristiano-Ronaldo-Argentina-Lionel-Messi-Pele

https://en.as.com/soccer/why-did-they-call-pele-o-rei-where-did-it-originate-what-does-it-mean-n/

https://www.marca.com/en/world-cup/2022/12/18/639eebbf46163fe3878b45f8.html

https://en.wikipedia.org/wiki/Pel%C3%A9

Categories
Column

ย้อนอดีต มองอนาคต : 5 ประเด็นที่น่าจับตา ก่อนลาลีกา รีสตาร์ท

ในช่วงที่ฟุตบอลลีกยุโรปพักเบรก แฟนฟุตบอลต่างจดจ่อกับ 64 นัดของฟุตบอลโลก ที่กาตาร์ อาจทำให้หลายคนลืมไปแล้วว่า 14 นัดแรกของลาลีกา สเปน อันดับในตารางเป็นอย่างไร

ศึกลูกหนังลีกกระทิงดุ จะกลับมาทำการแข่งขันอีกครั้งในช่วงส่งท้ายปีเก่า เริ่มตั้งแต่ 29 ธันวาคม หลังจากห่างหายไป 7 สัปดาห์ เพราะต้องหลีกทางให้เวิลด์ คัพ เช่นเดียวกับลีกอื่น ๆ ในยุโรป

เมื่อทัวร์นาเมนท์เวิลด์ คัพ สิ้นสุดลง แฟน ๆ จะได้กลับสู่การติดตามความตื่นเต้นของลีกกระทิงดุ และนี่คือ 5 ประเด็นสำคัญ จาก 14 นัดที่ผ่านมา และช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของฤดูกาลนี้

⚽️ “บาร์ซ่า-ชุดขาว” ผู้ท้าชิงแชมป์ในซีซั่นนี้

บาร์เซโลน่า และเรอัล มาดริด ถูกมองว่าเป็น 2 ทีมที่มีโอกาสคว้าแชมป์ในฤดูกาลนี้มากที่สุด ตอนนี้ทั้งคู่แพ้แค่ทีมละ 1 นัด และมีคะแนนห่างกันแค่ 2 แต้มเท่านั้น (บาร์เซโลน่า 37, เรอัล มาดริด 35)

บาร์ซ่า เปิดซีซั่นด้วยการเสมอราโย บาเยกาโน่ 0 – 0 หลังจากนั้นชนะ 7 นัดรวด ก่อนจะแพ้นัดสำคัญในเกม “เอล กลาซิโก้” กับเรอัล มาดริด 1 – 3 แต่ก็กลับมาชนะ 5 นัดติดต่อกัน ก่อนลีกหยุดพัก

ด้านราชันชุดขาว เริ่มต้นได้สวยงาม ชนะ 10 จาก 11 นัดแรกของซีซั่น แต่อีก 3 นัดหลังจากนั้น เก็บคะแนนเพิ่มได้แค่ 4 แต้ม หนึ่งในนั้นคือการบุกไปแพ้ทีมฟอร์มแรงอย่างราโย บาเยกาโน่ 2 – 3

บาร์เซโลน่า หวังจะกลับมาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดให้ได้ นับจากปี 2019 แนวรับของพวกเขาทำได้ดีขึ้นมาก เสียไปเพียง 5 ประตู และเก็บคลีนชีตถึง 11 จาก 14 นัดแรก ส่วนแนวรุกได้อาวุธหนักอย่างโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ที่ยิงไปแล้ว 13 ลูก

อย่างไรก็ตาม เรอัล มาดริด ก็ตั้งเป้าที่จะป้องกันแชมป์ให้ได้อีกครั้ง ความน่าสนใจอยู่ที่ขุมกำลังเชิงลึก นักเตะอย่างเฟเดริโก บัลเบร์เด้ และโรดริโก้ สามารถก้าวขึ้นมาทดแทนการขาดหายไปของคาริม เบนเซม่า ที่ลงเล่นไปแค่ 7 นัดเท่านั้น

⚽️ 2 คู่ปรับแคว้นบาสก์ ขึ้นมาอยู่ในพื้นที่ UCL

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/RealSociedadFutbol

เรอัล โซเซียดัด และแอธเลติก บิลเบา 2 สโมสรร่วมแคว้นบาสก์ ลุ้นโควตาแชมเปี้ยนส์ ลีก เต็มตัว อยู่ในอันดับ 3 และ 4 ตามลำดับ และมีคะแนนห่างกันเพียง 2 แต้ม (โซเซียดัด 26, บิลเบา 24)

อิมานอล อัลกูอาซิล ที่เพิ่งต่อสัญญาคุมทีมโซเซียดัดออกไปจนถึงปี 2025 ทำผลงานได้ดีอย่างเหลือเชื่อ แม้จะไม่มี 2 ดาวยิงตัวเก่ง มิเกล โอยาซาบัล และอูมาร์ ซาดิค ที่ต่างได้รับบาดเจ็บบริเวณเอ็นไขว้เข่า (ACL) ฉีกขาด ต้องพักยาวทั้งคู่

ขณะที่เอร์เนสโต บัลเบร์เด้ ที่กลับมาคุมบิลเบาเป็นรอบที่ 3 ออกสตาร์ทฤดูกาลนี้ได้ดีที่สุด นับตั้งแต่ฤดูกาล 2013/14 ฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม ส่วนหนึ่งมาจาก 2 พี่น้อง อินากิ และนิโก้ วิลเลี่ยมส์ ที่ยิงรวมกัน 8 ประตู กับ 5 แอสซิสต์

และด้วยคะแนนของทั้งคู่ที่ห่างกันเพียง 2 แต้ม ทำให้เกม “บาสก์ ดาร์บี้” นัดแรกของซีซั่น ที่บ้านของโซเซียดัด ในวันเสาร์ที่ 14 มกราคม 2023 ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว

⚽️ “ราโยฯ” ผู้ไม่แพ้ยักษ์ใหญ่ในครึ่งซีซั่นแรก

อันโดนี่ อิราโอล่า กุนซือราโย บาเยกาโน่ ยังคงสร้างมาตรฐานช่วงเริ่มต้นฤดูกาลได้ดี เช่นเดียวกับเมื่อฤดูกาลที่แล้ว นักเตะอย่าง ฟลอร็อง เลอเฌอยูน, อัลบาโร่ การ์เซีย และอิซี่ ปาลาซอน ยิงไปแล้วคนละ 3 ประตู

จุดแข็งของบาเยกาโน่ในซีซั่นนี้ คือผลงานการพบกับทีมบิ๊ก 4 ที่ไม่แพ้ใครเลย บุกไปเยือนบาร์เซโลน่า, แอตเลติโก้ มาดริด และเซบีย่า เก็บได้ 5 คะแนน แถมยังเป็นทีมเดียวที่ชนะเรอัล มาดริด แชมป์เก่าจากซีซั่นที่แล้ว

ผลงานยามเล่นในบ้าน ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ช่วยให้บาเยกาโน่ มีแต้มตามหลังท็อปโฟร์แค่ 2 แต้มในเวลานี้ โดยมีสถิติชนะ 4 เสมอ 2 แพ้แค่นัดเดียว ให้กับเรอัล มายอร์ก้า ทีมที่ฟอร์มดีเช่นเดียวกัน

และที่สำคัญ “เดอะ เรด แซซ” กำลังจะได้ตัวราอูล เด โทมัส กองหน้าตัวเก่งชาวสเปน วัย 28 ปี จากเอสปันญ่อล มาเสริมความคมในเดือนมกราคมนี้ เพื่อหวังพาทีมบรรลุเป้าหมายเมื่อจบซีซั่น

⚽️  “เซบีย่า” หวังคืนฟอร์มในช่วงที่เหลือของซีซั่น

14 เกมแรกของเมื่อฤดูกาลที่แล้ว เซบีย่า มีแต้มตามหลังจ่าฝูงแค่ 4 แต้ม แต่ในช่วงเดียวกันของซีซั่นนี้ สถานการณ์กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เพราะพวกเขาอยู่ในโซนตกชั้น มีแค่ 11 คะแนนเท่านั้น

ด้วยผลงานการออกสตาร์ทซีซั่นที่ย่ำแย่ ทำให้กุนซือฆูเลน โลเปเตกี ถูกปลดออกจากตำแหน่ง จากนั้นได้แต่งตั้งฮอร์เก้ ซามเปาลี กลับมาคุมทีมอีกครั้ง นับตั้งแต่ปี 2017 เพื่อนำพาสโมสรพ้นจากวิกฤตให้ได้

อดีตเฮดโค้ชทีมชาติชิลี และอาร์เจนติน่า วัย 62 ปี มีงานให้ทำอีกมากในช่วงที่เหลือของซีซั่นนี้ ทั้งการหาผู้เล่นใหม่ในช่วงตลาดนักเตะเดือนมกราคม และการนำฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมกลับคืนมาให้เร็วที่สุด

⚽️ เอลเช่ เปลี่ยนโค้ชครั้งที่ 3 หวังหลุดอันดับบ๊วย

เอลเช่ ทีมอันดับสุดท้ายของตาราง มีการเปลี่ยนแปลงเฮดโค้ช โดยได้ปาโบล มาชิน ที่เข้ามารับตำแหน่งช่วงพักเบรกฟุตบอลโลก และเป็นกุนซือคนที่ 3 ในฤดูกาลนี้ ต่อจากฟรานซิสโก้ และฮอร์เก้ อัลมิรอน

ในเวลานี้ เอลเช่ เป็นทีมเดียวในลีกสูงสุดที่ยังไม่ชนะใคร มีแค่ 4 แต้ม ตามหลังโซนปลอดภัยถึง 8 คะแนน โดยมาชิน จะประเดิมคุมทีมในศึกลาลีกา เจองานหนักอย่างแอตเลติโก้ มาดริด วันที่ 29 ธันวาคมนี้

หลังผ่านไป 14 นัด นอกเหนือจากการลุ้นแชมป์ที่เข้มข้นแล้ว การลุ้นพื้นที่โควต้ายุโรป ก็สนุกไม่แพ้กัน เพราะคะแนนเบียดกันสูสีมาก รวมถึงการลุ้นหนีตกชั้น ทีมอันดับ 11 มีแต้มมากกว่าโซนสีแดงแค่ 8 แต้มเท่านั้น

ด้วยเส้นทางในฤดูกาลนี้ที่ยังเหลืออีกพอสมควร ทุกสถานการณ์บนตารางคะแนนล้วนน่าตื่นเต้นทั้งสิ้น ทำให้อันดับมีโอกาสเปลี่ยนแปลงแบบนัดต่อนัด หากพลาดติดกันหลาย ๆ เกม ก็มีสิทธิ์น้ำตาตกได้เช่นกัน

Categories
Football Business

ว่าด้วยเรื่อง “อาร์เซน่อล” กับการเงินที่ติดลบต่อเนื่อง

วันคริสต์มาส ในปี 2022 แฟนบอลอาร์เซน่อลคงจะมีความสุขไม่น้อย ที่ได้เห็นทีมรักนำเป็นจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก ซึ่งต้องรอดูว่าหลังจากเบรกฟุตบอลโลก จะยังสานต่อความยอดเยี่ยมไว้ได้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม ยักษ์ใหญ่จากนอร์ธ ลอนดอนทีมนี้ ได้ประกาศผลประกอบการรอบล่าสุด ประจำปีงบประมาณ 2021-22 พบว่าขาดทุน 45.5 ล้านปอนด์ ทำสถิติขาดทุนต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ติดต่อกันแล้ว

เรื่องราวเบื้องหลังการเงินของ “เดอะ กันเนอร์ส” ที่ผลประกอบการติดลบอย่างต่อเนื่องหลายปี จะเป็นอย่างไร ติดตามได้ที่ ไข่มุกดำ x SoccerSuck

เปิดเบื้องหลังการเงิน “เดอะ กันเนอร์ส”

ปีงบประมาณ 2021-22 อาร์เซน่อลขาดทุน 45.5 ล้านปอนด์ เป็นการติดลบ 4 ปีติดต่อกัน นับตั้งแต่ปี 2018-19 (27.1 ล้านปอนด์), ปี 2019-20 (47.8 ล้านปอนด์) และปี 2020-21 (107.3 ล้านปอนด์)

ปี 2020-21 ที่อาร์เซน่อลขาดทุนระดับหลักร้อยล้านปอนด์ สาเหตุสำคัญคือผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ไม่สามารถเปิดให้แฟนบอลเข้าชมการแข่งขันในสนามได้ตามปกติ

ขณะที่ในปี 2021-22 อาร์เซน่อลไม่ได้เข้าร่วมฟุตบอลสโมสรยุโรปรายการใดๆ เลย เป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี แต่ยอดขาดทุนลดลงอย่างมากจากงวดปี 2020-21 เพราะมีรายได้จากแมตช์เดย์มากขึ้น

อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อาร์เซน่อลมีปัญหาการเงิน คือการใช้เงินซื้อนักเตะไปมากกว่า 200 ล้านปอนด์ ใน 2 ซีซั่นหลังสุด รวมถึงการผ่องถ่ายนักเตะทั้งการขายขาดและปล่อยยืมตัว ทำได้ไม่ดีพอ และได้ราคาไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น

ในส่วนของเงินทุนหมุนเวียน อาร์เซน่อลได้กู้ยืมเงิน 70 ล้านปอนด์กับธนาคารในอังกฤษ รวมกับเงินที่ได้จากการรีไฟแนนซ์ จาก Kroenke Sports & Entertainment (KSE) ของสแตน โครเอ็นเก้ อีกประมาณ 32 ล้านปอนด์

สำหรับเงินกู้ยืมของอาร์เซน่อล จะนำไปปรับปรุงสนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม รังเหย้าของสโมสรครั้งใหญ่สุด นับตั้งแต่สร้างสนามมาเมื่อปี 2006 เช่น เพดานสนาม รวมถึงจุดทางเข้าสนามเพื่อให้แฟนบอลเข้าไปได้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม เงินที่โครเอ็นเก้ ในนามของ KSE ให้มานั้น ไม่ใช่เงินให้เปล่า แต่เป็นเงินกู้ที่มีระยะเวลาในการกู้นานขึ้น และอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่ากู้ธนาคาร ถือเป็นการพิสูจน์ฝีมือในการบริหารหนี้สินของอาร์เซน่อลได้เป็นอย่างดี

กลับสู่การพึ่งตัวเองเพื่อความยั่งยืน

เมื่อการเงินของอาร์เซน่อล ไม่ได้แข็งแกร่งมากเหมือนกับสโมสรยักษ์ใหญ่อื่นๆ ทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้พวกเขาอยู่ได้อย่างยั่งยืน คือการกลับไปใช้วิธีพึ่งพาตัวเอง เหมือนที่เคยทำมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน

การไม่ได้เข้าร่วมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้รายได้ของอาร์เซน่อลหายไปอย่างมาก จึงต้องเปลี่ยนแปลงการบริหารสโมสร โดยวางแผนทางการเงินอย่างเข้มงวด

ประการแรก อาร์เซน่อลได้ลดจำนวนพนักงานของสโมสร ในฤดูกาล 2021/22 จาก 624 คน เหลือ 595 คน ช่วยประหยัดเงินได้ 34 ล้านปอนด์ และได้จ่ายค่าชดเชยพนักงานที่ถูกเลิกจ้างทั้งหมด 6.7 ล้านปอนด์

และอีกประการหนึ่ง คือการปรับเปลี่ยนโครงสร้างนักเตะทีมชายชุดใหญ่ของสโมสร โดยเน้นการลงทุนไปที่นักเตะอายุน้อย ค่าเหนื่อยไม่สูงเป็นหลัก เพื่อเป็นรากฐานสำหรับการเงินที่แข็งแกร่งในอนาคต

ยกตัวอย่างเช่น การเสริมทีมในช่วงซัมเมอร์ปี 2021 อาร์เซน่อลใช้เงินไป 125.8 ล้านปอนด์ แลกกับนักเตะหลายคน เช่น เบน ไวท์, มาร์ติน โอเดการ์ด, อารอน แรมสแดล, ทาเคฮิโระ โทมิยาสุ, อัลเบิร์ต ซามบี โลก็องก้า และนูโน่ ตาวาเรส

ถึงแม้กาเบรียล เชซุส ได้รับบาดเจ็บหนักต้องพักยาว ก็ยังสามารถซื้อผู้เล่นในตลาดเดือนมกราคมได้ตามปกติ แต่ต้องเป็นการซื้อเพื่อใช้งานในระยะยาวจริงๆ ไม่ใช่ซื้อเพื่อเป็นตัวแทนของเชซุสเพียงชั่วคราว

เป็นที่รู้กันแล้วว่า อนาคตของอาร์เซน่อล ขึ้นอยู่กับการได้สิทธิ์ไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งพวกเขาตั้งเป้าที่จะไปให้ถึงจุดนั้น เพื่อแลกกับความมั่นคงทางการเงินของสโมสรในระยะยาว

“ถ้วยใหญ่ยุโรป” คือความหวัง

จากการที่อาร์เซน่อล ห่างหายจากการเข้าร่วมแข่งขันยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รายการที่เปรียบดั่งขุมทรัพย์ของทีมฟุตบอลมานาน 6 ปีติดต่อกัน ทำให้การเงินของสโมสรไม่คล่องตัวเท่าที่ควร

แน่นอนว่า การเข้าร่วมแชมเปี้ยนส์ ลีก คือเป้าหมายสำคัญที่ “ปืนใหญ่” จำเป็นต้องทำให้ได้เป็นอันดับแรก เพื่อช่วยแก้ไขเรื่องรายรับ และรายจ่ายของสโมสร ให้กลับมาเป็นปกติโดยเร็ว

ถ้าทีมของมิเกล อาร์เตต้า สามารถคว้าโควตาไปแชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาล 2023/24 จะได้รับเงินรางวัลการันตี 13.48 ล้านปอนด์ และมีสิทธิ์ได้เงินเพิ่มอีก 2.4 ล้านปอนด์ ต่อการชนะในเกมรอบแบ่งกลุ่ม 1 นัด

และถ้าหากผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ถ้วยใหญ่ยุโรปได้ จะได้เงินเพิ่มอีก 8.2 ล้านปอนด์ อีกทั้งยังมีรายได้จากค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด และรายได้ในแต่ละแมตช์เดย์ อย่างน้อยที่สุด อาร์เซน่อลจะได้รับเงินประมาณ 50 ล้านปอนด์

โดยกลุ่มแฟนบอลของอาร์เซน่อล ในนาม Arsenal Supporters’ Trust ได้ออกมาแสดงความเชื่อมั่นว่า ผลงานที่ยอดเยี่ยมในฤดูกาลนี้ น่าจะทำให้สโมสรที่พวกเขารัก กลับมามีผลประกอบการที่ดีขึ้นในเร็ววัน

“ด้วยนักเตะที่อายุยังน้อย และการกลับสู่ฟอร์มการเล่นที่ดีของทีม ทำให้รายได้ในสนามเพิ่มขึ้น ถือเป็นรากฐานที่ดีสำหรับอาร์เซน่อล ที่จะต่อยอดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ดังนั้นเราต้องได้ไปแชมเปี้ยนส์ ลีก ในซีซั่นถัดไป เพื่อทำให้เรามั่นใจมากขึ้น”

คาดว่าผลประกอบการในปีงบประมาณ 2022-23 ที่จะสิ้นสุดในเดือนพฤษภาคมปีหน้า อาร์เซน่อลจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น จากการได้เล่นถ้วยสโมสรยุโรป และปล่อยนักเตะค่าเหนื่อยแพงออกไปหลายคน

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://theathletic.com/3965749/2022/12/04/arsenal-45m-loss-january-gabriel-jesus/

https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/champions-league-winner-prize-money-27910360

https://editorial.uefa.com/resources/0277-158b0bea495a-ba6c18158cd3-1000/20220704_circular_2022_47_en.pdf

Categories
Column

10 นักเตะลาลีกา คว้าแชมป์โลก 2022 กับ “ฟ้า-ขาว”

นักฟุตบอลในลาลีกา สเปน 83 คน ที่มีชื่อติดทีมเข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ ต่างได้ร่วมกันสร้างสีสันให้กับแฟนบอลทั่วโลกตลอด 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา

ฟุตบอลโลก 2022 รอบชิงชนะเลิศ ที่เพิ่งจบลงไป ถือเป็นหนึ่งในแมตช์ที่น่าจดจำที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะเต็มไปด้วยคุณภาพ รวมถึงเหตุการณ์ดราม่าสุดระทึกตลอดทั้งเกม

ท้ายที่สุดเป็นทีมชาติอาร์เจนติน่า ที่ดวลจุดโทษเอาชนะทีมชาติฝรั่งเศส 4 – 2 หลังเสมอกัน 3 – 3 ใน 120 นาที คว้าแชมป์ได้เป็นสมัยที่ 3 ยุติการรอคอยโทรฟี่ฟุตบอลโลกไว้ที่ 36 ปี

⚽️ อาร์เจนติน่า กับ 10 ผู้เล่นจากลีกสเปน

ในบรรดาผู้เล่นอาร์เจนติน่า 10 คน ที่ค้าแข้งอยู่ในลาลีกา มีเพียง เกโรนิโม รุลลี ผู้รักษาประตูมือ 3 คนเดียวเท่านั้น ที่ไม่ได้ลงเล่นเลยในเวิลด์ คัพ ที่กาตาร์ ส่วนผู้เล่นคนอื่นๆ ต่างก็มีส่วนร่วมในความสำเร็จครั้งนี้

ยกตัวอย่างเช่น โรดริโก เด ปอล กองกลางจากแอตเลติโก มาดริด ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญในแผงมิดฟิลด์ โดยเป็นผู้เปิดทางให้ลิโอเนล เมสซี่ เล่นเกมรุกได้อย่างอิสระ ซึ่งในนัดชิงชนะเลิศ เขาเรียกฟาวล์ได้มากถึง 6 ครั้ง

นาฮูเอล โมลินา แบ็กขวาเพื่อนร่วมสโมสรเดียวกับเด ปอล ที่ลงเล่นครบทุกนัด และยิง 1 ประตู ในเกมที่พบกับเนเธอร์เลนด์ ส่วนกอนซาโล่ มอนเทียล จากเซบีย่า ที่ลงเล่นเป็นตัวสำรองของโมลินาในตำแหน่งเดียวกัน

สำหรับกอนซาโล่ มอนเทียล แบ็กขวาวัย 26 ปี เขาคือผู้ยิงจุดโทษคนที่ 4 ให้กับ “ฟ้า-ขาว” ซึ่งถ้าหากยิงเข้า เกมจบทันที และเจ้าตัวได้ยิงไปทางซ้ายมือของตัวเองเข้าประตูไป โดยที่อูโก้ โยริส พุ่งผิดทาง คว้าแชมป์ในที่สุด

⚽️ รายชื่อผู้เล่นจากลาลีกา ที่อยู่ในทีมชาติอาร์เจนติน่า ชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 2022

✅ แอตเลติโก้ มาดริด : นาฮูเอล โมลินา, โรดริโก เด ปอล, อังเคล กอร์เรอา

✅ เซบีย่า : กอนซาโล่ มอนเทรียล, มาร์กอส อาคูญา, อเลฮานโดร ปาปู โกเมซ

✅ เรอัล เบติส : เจอร์มัน เปซเซลล่า, กุยโด โรดริเกซ

✅ บียาร์เรอัล :  ฮวน ฟอยธ์, เกโรนิโม รุลลี

⚽️ 5 แข้งฝรั่งเศส รองแชมป์ที่น่าภาคภูมิใจ

น่าเสียดายสำหรับฝรั่งเศส ที่ไม่สามารถป้องกันแชมป์โลกได้สำเร็จ แต่อย่างน้อยที่สุดก็สู้ได้อย่างสมศักดิ์ศรี ฌูลส์ กุนเด้, อองตวน กรีซมันน์ ออเรเลียง ชูอาเมนี่ รวมถึงอุสมาน เดมเบเล่ ต่างออกสตาร์ตเป็นตัวจริงในนัดชิงชนะเลิศ และต้องไม่ลืมเอดูอาร์โด้ คามาวิงก้า ตัวสำรองที่ช่วยพลิกเกมในช่วงครึ่งหลัง แม้จะได้ลงเล่นในตำแหน่งแบ็กซ้ายที่ไม่ถนัดก็ตาม

⚽️ “โมดริช” ที่ 3 กับโครเอเชีย และ Bronze Ball

นักเตะลาลีกา ชุดคว้าที่ 3 กับทีมชาติโครเอเชีย ในเวิลด์คัพ ครั้งนี้ นำโดย ลูก้า โมดริช กัปตันทีมวัย 37 ปี ที่คว้ารางวัล Bronze Ball หรือนักเตะยอดเยี่ยมอันดับ 3 ประจำการแข่งขัน ร่วมด้วยอิโว กรูบิช, และอันเต้ บูดิเมียร์

⚽️ “โบโน & เอ็น-เนซีรี” ช่วยสร้างตำนานให้โมร็อกโก

โมร็อกโก สร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรกจากทวีปแอฟริกา ที่คว้าอันดับ 4 เวิลด์ คัพ ต้องให้เครดิตยาสซีน บูนู ผู้รักษาประตูจอมหนึบ, ยูสเซฟ เอ็น-เนซีรี กับ 2 ประตูในทัวร์นาเมนท์นี้, จาวาด เอล-ยามิค และเอเซ อเบเด้

สรุปผลงานของผู้เล่นจากลาลีกา มีนักเตะที่อยู่ใน 3 อันดับแรก ของฟุตบอลโลก ครั้งล่าสุด รวมทั้งสิ้น 18 คน มาจาก 7 สโมสร ประกอบด้วย เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า, แอตเลติโก้ มาดริด, เซบีย่า, เรอัล เบติส บียาร์เรอัล และโอซาซูน่า

เป็นอันว่า นักเตะทั้ง 83 คน จากลีกสูงสุดของสเปน ได้เสร็จสิ้นภารกิจในฟุตบอลโลก 2022 เป็นที่เรียบร้อย และจะกลับมาเตรียมความพร้อมสำหรับลาลีกา ที่จะกลับมารีสตาร์ทอีกครั้งในช่วงสุดสัปดาห์หน้า

Categories
Column

5 เรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้ของ “เอ็นดริค” ว่าที่แข้งใหม่ราชันชุดขาว

ภาพจำในอดีตของเรอัล มาดริด คือการซื้อนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์มาร่วมทีม จนได้สมญานามว่า “กาลาติกอส” แต่ในระยะหลัง ๆ ได้เริ่มมองหานักเตะดาวรุ่งอายุน้อยฝีเท้าดีมากขึ้นเรื่อย ๆ

เรอัล มาดริด สโมสรในลาลีกา สเปน ประกาศคว้าตัว เอ็นดริค ดาวรุ่งชาวบราซิลวัย 16 ปี จากพัลไมรัส โดยเซ็นสัญญาล่วงหน้าเกือบ 2 ปี ก่อนย้ายทีมอย่างเป็นทางการในช่วงซัมเมอร์ปี 2024

ยักษ์ใหญ่จากเมืองหลวง มองเห็นถึงศักยภาพของเอ็นดริค จึงตัดสินใจลงทุนสำหรับดีลดังกล่าว และนี่คือ 5 เรื่องราวที่หลายคนอาจยังไม่รู้ ของว่าที่สตาร์คนใหม่ “ราชันชุดขาว” รายนี้

⚽️ ได้ย้ายมาอยู่พัลไมรัส เพราะยูทูบ

เอ็นดริค เฟลิเป้ โมไรร่า เด ซูซ่า ไม่ได้เป็นที่จับตามองของทีมยักษ์ใหญ่ในตอนแรก แต่เมื่อพ่อของเขาได้แชร์คลิปทักษะการเล่นฟุตบอลของลูกชายบนยูทูบ แล้วไปเข้าตาแมวมองของพัลไมรัส ทางสโมสรจึงได้เสนอที่อยู่ให้ครอบครัวของเอ็นดริค ได้อาศัยในเซา เปาโล และช่วยพ่อของเขาหางานทำ ด้วยการเป็นพนักงานทำความสะอาด

⚽️ เคยมีสปอนเซอร์เป็นบริษัททันตกรรม

เอ็นดริค เคยได้รับการสนับสนุนจากบริษัทด้านทันตกรรมแห่งหนึ่ง เนื่องจากพ่อของเขาประสบอุบัติเหตุ สูญเสียฟันไปหลายซี่ ทำให้ไม่สามารถทานอาหารแข็งได้ ต้องทานอาหารเหลวเท่านั้น และบริษัทดังกล่าวได้จ่ายค่ารักษาทางทันตกรรมให้ทั้งหมด ทำให้ครอบครัวของเขารู้สึกยินดีสำหรับการช่วยเหลือในครั้งนั้น

⚽️ ทุบสถิติอายุน้อยสุดกับพัลไมรัส

นับตั้งแต่เอ็นดริค ลงสนามให้กับทีมชุดใหญ่ของพัลไมรัส เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เขาได้สร้างสถิติใหม่ให้กับสโมสร โดยเป็นนักเตะอายุน้อยสุดในประวัติศาสตร์ ที่ประเดิมลงเล่นนัดแรกให้กับทีมซีเนียร์ ด้วยวัย 16 ปี 2 เดือน และยังเป็นนักเตะอายุน้อยสุดในประวัติศาสตร์ ที่ยิงประตูแรกให้กับทีมซีเนียร์ ด้วยวัย 16 ปี 3 เดือน 4 วัน

⚽️ แบกอายุ 4 ปี ติดทีมชาติชุดยู-20

เอ็นดริค ถูกเรียกติดทีมชาติบราซิล ในการแข่งขันฟุตบอลโคปา อเมริกา รุ่น ยู-20 ที่ประเทศโคลอมเบีย ระหว่างวันที่ 19 มกราคม ถึง 12 กุมภาพันธ์ 2023 นั่นหมายความว่า ต้องแบกอายุถึง 4 ปี ในการลงเล่นทัวร์นาเมนท์ดังกล่าว โดยเขาเคยประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ฟุตบอลรุ่น ยู-16 และเป็นดาวซัลโวด้วย

⚽️ มี “คริสเตียโน่ โรนัลโด” เป็นไอดอล

เมื่อคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ย้ายมาร่วมทีมเรอัล มาดริด ในปี 2009 เอ็นดริคมีอายุเพียง 3 ขวบเท่านั้น และเติบโตไปพร้อมกับการได้ชมความเก่งกาจของซูเปอร์สตาร์ชาวโปรตุเกส เขารู้สึกประทับใจกับผลงานของโรนัลโด้เป็นอย่างมาก จึงยกให้อดีตดาวเตะราชันชุดขาวรายนี้ เป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดในการเล่นฟุตบอล

การที่เรอัล มาดริด ตัดสินใจซื้ออนาคต ในการเซ็นสัญญาล่วงหน้ากับเอ็นดริค ถือเป็นความเสี่ยงที่พวกเขาได้พิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ต้องรอดูว่าการเสี่ยงในครั้งนี้จะเป็นอย่างไร