Categories
Column Feature

คริสเตียโน โรนัลโด นักบอลมหาเศรษฐีพันล้านคนแรกของโลก

8 ตุลาคม 2025 ได้รับการบันทึกบนหน้าประวัติศาสตร์ว่า เป็นวันที่กีฬาฟุตบอลมีผู้เล่นอภิมหาเศรษฐีระดับพันล้านเป็นคนแรกของโลก

คริสเตียโน โรนัลโด ซูเปอร์สตาร์ลูกหนังวัย 40 ปี ถูกบรรจุเข้าเป็นสมาชิกคนใหม่ของ Three Comma Club แห่งวงการกีฬา โดย “สโมสร 3 จุลภาค” สื่อถึงกลุ่มบุคคล Billionaire ที่มีความมั่งคั่งสุทธิหรือมูลค่าสุทธิ (Net Worth) ระดับพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ในระบบตัวเลขภาษาอังกฤษ “หนึ่งพันล้าน” จะมีเครื่องหมายจุลภาค (Comma) คั่นอยู่ 3 ตัวคือ 1,000,000,000)

Bloomberg บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านบริการข้อมูลทางการเงิน ซอฟต์แวร์ และสื่อ รายงานว่า โรนัลโดเป็นมหาเศรษฐีนักฟุตบอลหลังจากต่อสัญญาเมื่อเดือนมิถุนายน 2025 กับอัล นาสเซอร์ สโมสรในกรุงรียาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย ได้รับค่าเหนื่อย 492 ล้านปอนด์ (660 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ในระยะเวลา 2 ปีข้างหน้า เทียบกับค่าเหนื่อยปีละ 173 ล้านปอนด์ (232 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ตอนที่เพิ่งย้ายจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาร่วมทีมอัล นาสเซอร์ ในปี 2023

Bloomberg Billionaires Index ระบุว่า รายได้ดังกล่าวทำให้ความมั่งคั่งสุทธิของโรนัลโดพุ่งขึ้นเป็น 1.045 พันล้านปอนด์ (1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) หนีห่างเพื่อนร่วมอาชีพเบอร์ 2 ลิโอเนล เมสซี ที่มีความมั่งคั่งสุทธิ 620 ล้านปอนด์ (832 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) 

หมายเหตุ : “ความมั่งคั่งสุทธิ” เป็นตัวชี้วัดสถานะทางการเงินที่สำคัญ โดยคำนวณจากสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี หักลบด้วยหนี้สินทั้งหมดที่มี ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง สูตรคือ ความมั่งคั่งสุทธิ = สินทรัพย์รวม – หนี้สินรวม แสดงให้เห็นว่ามีเงินเหลือเท่าไรหลังชำระหนี้ทั้งหมดแล้ว และใช้ในการติดตามความก้าวหน้าทางการเงินในระยะยาว

10 นักฟุตบอลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

อ้างอิงจากดัชนีมหาเศรษฐีของบลูมเบิร์กฉบับล่าสุดได้รายงาน 10 อันดับนักฟุตบอลที่ร่ำรวยที่สุดจากการประเมินด้วยความมั่งคั่งสุทธิได้แก่

1. คริสเตียโน โรนัลโด (ชาวโปรตุเกส, สโมสรอัล นาสเซอร์) 1.045 พันล้านปอนด์

2. ลิโอเนล เมสซี (อาร์เจนตินา, อินเตอร์ ไมอามี) 620 ล้านปอนด์

3. เนย์มาร์ จูเนียร์ (บราซิล, ซานโตส) 280 ล้านปอนด์

4. คีลิยัน เอ็มบัปเป (ฝรั่งเศส, เรอัล มาดริด) 186 ล้านปอนด์

5. คาริม เบนเซมา (ฝรั่งเศส, อัล อิตติฮัด) 150 ล้านปอนด์

6. พอล ป๊อกบา (ฝรั่งเศส, โมนาโก) 93 ล้านปอนด์

7. ซน ฮึง-มิน (เกาหลีใต้, ลอส แอนเจลีส เอฟซี) 75 ล้านปอนด์

8. อองตวน กรีซมานน์ (ฝรั่งเศส, แอตเลติโก มาดริด) 67 ล้านปอนด์

9. โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ (อียิปต์, ลิเวอร์พูล) 66 ล้านปอนด์

10. โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี (โปแลนด์, บาร์เซโลนา) 63 ล้านปอนด์

ขอบคุณภาพจาก  https://www.thesun.co.uk/sport/12682986/lionel-messi-billionaire-adidas-hotel/

จากท็อป 10 พบว่าเป็นชาวฝรั่งเศสถึง 4 คน เลวานดอฟสกีเป็นอีกคนที่เกิดในยุโรป โดยอภิมหาเศรษฐีร่ำรวยที่สุด 3 คนแรกมาจากอเมริกาใต้ ส่วนอีก 2 คนในลิสต์มาจากแอฟริกา (ซาลาห์) กับเอเชีย (ฮึง-มิน)

เป็นที่น่าสังเกตว่า โรนัลโดมีความมั่งคั่งสุทธิมากกว่าเมสซีถึง 425 ล้านปอนด์ ซูเปอร์สตาร์อาร์เจนไตน์รวยกว่าอันดับ 3 เนย์มาร์ 340 ล้านปอนด์ มีเอ็มบัปเปและเบนเซมาอีก 2 คนเท่านั้นที่รวยแตะหลักร้อยล้านปอนด์

นอกจากโรนัลโดแล้ว Forbes สื่อเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ เพิ่งรายงานเมื่อปลายสิงหาคม 2025 ว่า โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ตำนานนักเทนนิส กลายเป็นนักกีฬาคนที่ 7 ในประวัติศาสตร์ที่ร่ำรวยหลักพันล้าน

เชื่อว่า ยอดนักหวดชาวสวิส ซึ่งแขวนแร็กเก็ตเมื่อปี 2022 มีความมั่งคั่งสุทธิล่าสุดอยู่ที่ 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งตัวเลขที่ถีบตัวสูงขึ้นมาจากการถือหุ้นส่วนน้อยในแบรนด์รองเท้าและเสื้อผ้าสัญชาติสวิส On เฟเดอเรอร์ยังเป็นนักเทนนิสที่ได้รับค่าตอบแทนสูงสุดเป็นเวลา 16 ปีติดต่อกัน แม้ได้รับเงินรางวัลจากการแข่งขันน้อยกว่าคู่แข่งสำคัญอย่างโนวัค ยอโควิช และราฟาเอล นาดาล

บาสเกตบอลเป็นกีฬาที่สร้างร่ำรวยระดับพันหลักเพราะมีตำนานอยู่ในลิสต์ถึง 4 คนคือ จูเนียร์ บริดจ์แมน, เมจิก จอห์นสัน, ไมเคิล จอร์แดน และเลบรอน เจมส์ โดย Billionaire อีกคนคือ ไทเกอร์ วูดส์ ยอดนักกอล์ฟลูกครึ่งไทย-อเมริกัน

ทำไมโรนัลโดจึงรวยเกินหน้าเกินตายอดนักเตะเบอร์ต้นๆ ของโลกมากขนาดนี้ คำถามอยู่ที่แหล่งรายได้ ซึ่งไม่ได้มาจากสโมสรและบริษัทสปอนเซอร์เท่านั้น

Lifetime Deal และ Co-branded Collection

แน่นอนว่า แหล่งรายได้เบื้องต้นที่สร้างความมั่งคั่งให้กับโรนัลโดมาจากสัญญาว่าจ้างในอดีตกับสโมสรยักษ์ใหญ่อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เรอัล มาดริด และยูเวนตุส แต่นอกสนามฟุตบอล โรนัลโดยังได้รับข้อเสนออีกมากมายทางธุรกิจที่น่าทึ่งและมหาศาล ตัวอย่างเช่น Nike, Armani, Herbalife, TAG Heuer ซึ่งต่างเซ็นสัญญาผูกมัดนานหลายปี รวมถึง Clear Shampoo, DAZN, LiveScore, Panini ฯลฯ และดีลล่าสุด KFC 

ข้อตกลงกับ Nike นับเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงที่สุดเพราะโรนัลโดเป็น 1 ในนักกีฬาเพียงไม่กี่คนในโลก ร่วมกับ 2 สุดยอดนักบาสเกตบอล ไมเคิล จอร์แดน และเลบรอน เจมส์ ที่มี “สัญญาตลอดชีพ” (Lifetime Deal) กับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านสินค้าและอุปกรณ์กีฬาสัญชาติอเมริกัน โดยบลูมเบิร์กรายงานว่า โรนัลโด ซึ่งเซ็นสัญญาดังกล่าวเมื่อปี 2016 ได้รับเงินจากไนกี้เกือบปีละ 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

ขอบคุณภาพจาก  https://telegrafi.com/en/ronaldo%27s-lifetime-contract-with-nike-is-worth-1-billion-euros/

นอกจากนี้ โรนัลโดยังผลักดันแบรนด์ CR7 ของตนเองจนโด่งดังระดับโลก พร้อมยังจับมือกับพันธมิตรหลัก (Major Partners) หลายแบรนด์ชั้นนำ ซึ่งโรนัลโดเป็นพรีเซนเตอร์หรือนายแบบโฆษณาแคมเปญให้ ออกสินค้ารุ่นพิเศษในชื่อ CR7 ร่วมกับเขา (Co-branded Collection) อาทิ

TAG Heuer Formula 1 CR7 Limited Edition Chronograph (รุ่น CAZ1113.FC8189) ร่วมกับบริษัทนาฬิกาหรูสัญชาติสวิส “แทค ฮอยเออร์” เป็นนาฬิกาจับเวลาโครโนกราฟ (Chronograph) ที่อยู่ในตระกูล Formula 1 สีดำและสีเขียว ซึ่งเป็นสีที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสนามฟุตบอล (สีเขียวของหญ้า) และมีสไตล์ที่ดูสปอร์ตและดุดัน ผลิตจำนวนจำกัด (Limited Edition) เพียง 3,000 เรือนทั่วโลก

Clear Men Legend by CR7 Special Edition Shampoo ร่วมกับบริษัทผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม “เคลียร์” เป็นแชมพูขจัดรังแครุ่นพิเศษที่โรนัลโดมีส่วนร่วมคัดเลือกส่วนประกอบบางอย่างของผลิตภัณฑ์ เช่นเป็นคนเลือกกลิ่นหอมสปอร์ตแนว Aquatic ที่ติดทนนานถึง 8 ชั่วโมง รวมถึงลักษณะของเนื้อผลิตภัณฑ์และดีไซน์ของขวด

Herbalife24 CR7 Drive ร่วมกับบริษัทโภชนาการระดับโลก “เฮอร์บาไลฟ์” เป็นเครื่องดื่มเกลือแร่ ซึ่งเน้นไปที่การให้พลังงานและความชุ่มชื้นสำหรับนักกีฬาและผู้ที่ออกกำลังกาย

CR7 ForeverZone ร่วมกับแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีขนาดใหญ่ “ไบแนนซ์” เป็นบ้านดิจิทัลสำหรับคอลเลกชัน NFT ของโรนัลโดโดยเฉพาะ ซึ่ง NFT เหล่านี้มีลักษณะเป็นของสะสมดิจิทัลที่เกี่ยวกับช่วงเวลาสำคัญในอาชีพค้าแข้งของโรนัลโด

โดยเฉพาะ “ไนกี้” ซึ่งได้ออกรองเท้าสตั๊ดรุ่นพิเศษในชื่อ CR7 มาแล้วกว่า 30 รุ่น เน้นการบอกเล่าเรื่องราวชีวิตและความสำเร็จของเขา ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นซีรีส์ เช่น Signature Chapter Boots ซีรีส์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยแต่ละรุ่นจะเปรียบเสมือนบท (Chapter) ในเส้นทางอาชีพของโรนัลโด และมีดีไซน์เอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น CR7 Chapter 1: Savage Beauty แรงบันดาลใจจากเกาะมาเดรา บ้านเกิดของเขา , CR7 Chapter 4: Forged For Greatness สื่อถึงการพัฒนาตัวเองจากพรสวรรค์สู่ความยิ่งใหญ่ , CR7 Chapter 5: Cut To Brilliance ได้รับแรงบันดาลใจจากเพชรที่ถูกเจียระไนอย่างสมบูรณ์แบบ

ไนกี้ยังมีสินค้าอื่นๆ ในคอลเลกชัน CR7 เช่น เสื้อผ้า กางเกง ถุงเท้า ที่ใช้เทคโนโลยี Dri-FIT และมีโลโก้ CR7 ปรากฏอยู่ด้วย

จ้างมืออาชีพเพื่อเพิ่มรายได้มหาศาลจากการลงทุน

แน่นอนว่า ความสามารถและชื่อเสียงอันยาวร่วม 2 ทศวรรษของโรนัลโด ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายที่ดึงดูดเม็ดเงินมหาศาลโดยตรงจากสโมสรต้นสังกัดและบริษัทธุรกิจทั่วโลก แต่การนำเงินเหล่านั้นไปต่อยอดสร้างรายได้ก้อนใหญ่ไม่แพ้กันจากการลงทุนด้วยตนเองก็น่าสนใจ

โรนัลโดใช้สถานภาพ G.O.A.T, ความโด่งดังระดับซูเปอร์สตาร์ และภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งมาสร้างอาณาจักรธุรกิจของตนเองภายใต้แบรนด์ CR7 และขยายเข้าไปในธุรกิจหลายประเภท ซึ่งจะทำให้เขามีรายได้ต่อเนื่องและมั่นคงแม้เลิกเล่นฟุตบอลไปแล้ว โดยไม่ได้มีเพียงสินค้าแฟชันและไลฟ์สไตล์ที่คุ้นเคยสำหรับแฟนบอลเช่น เสื้อผ้า ชุดชั้นใน แว่นตา น้ำหอม รองเท้า ตัวอย่างเช่น

ธุรกิจโรงแรม Pestana CR7 Hotels ลงทุนร่วมกับ Pestana Group เปิดโรงแรมหรูในหลายเมืองสำคัญ เช่น ลิสบอน, มาเดรา, นิวยอร์ก และมาดริด

ธุรกิจฟิตเนส CR7 Fitness by Crunch เปิดศูนย์ออกกำลังกาย โดยใช้ภาพลักษณ์การดูแลสุขภาพและรูปร่างที่ดีของตนเองเป็นจุดขาย

ธุรกิจความงาม Insparya ลงทุนในคลินิกปลูกผมในสเปน โดยถือหุ้นในสัดส่วน 50%

ขอบคุณภาพจาก  https://www.bjtonline.com/business-jet-news/cristiano-ronaldos-global-express-is-very-cool

ธุรกิจให้เช่าเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว นอกเหนือเป็นเจ้าของเครื่องบินส่วนตัวหลายลำที่ใช้เดินทางเอง โดยบางลำเช่น Gulfstream G650 หรือ Bombardier Global Express XRS ได้รับการตกแต่งเป็นพิเศษและมีสัญลักษณ์ CR7 อยู่บนลำเครื่องบินด้วย

พิพิธภัณฑ์ส่วนตัว CR7 Museum ซึ่งแฟนๆ แฟน ๆ ของโรนัลโดสามารถเรียนรู้เรื่องราวชีวิต ความสำเร็จ และแรงบันดาลใจตลอดเส้นทางการเป็นนักฟุตบอล รวมถึงจัดแสดงถ้วยรางวัล รางวัลส่วนตัว เสื้อแข่ง รองเท้าสตั๊ด ได้แก่ Museu CR7 พิพิธภัณฑ์ดั้งเดิมในบ้านเกิดที่เมืองฟุงชาล บนเกาะมาเดรา ประเทศโปรตุเกส, CR7 Signature Museum ที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย) และ CR7 LIFE Museum ที่ฮ่องกง

นอกจากธุรกิจแบรนด์ตัวเองแล้ว โรนัลโดยังบริหารจัดการความมั่งคั่งด้วยการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงเช่น ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หรูหลายแห่งทั่วโลกอาทิ รีสอร์ตกอล์ฟขนาดใหญ่ บ้านและที่ดินส่วนตัวที่มีมูลค่าสูง รวมถึงเข้าไปถือหุ้นในธุรกิจต่างๆ หลายรูปแบบ เช่น ซื้อหุ้น Vista Alegre บริษัทเครื่องเคลือบดินเผาเก่าแก่ของโปรตุเกส เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนระยะยาว

มีรายงานว่า โรนัลโดมีทีมที่ปรึกษาทางการเงินและนักกฎหมายคอยให้คำแนะนำในการจัดการภาษี การลงทุน และการดำเนินธุรกิจต่างๆ เพื่อให้ทุกการตัดสินใจเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายและเกิดประโยชน์สูงสุด

การก้าวขึ้นเป็นอภิมหาเศรษฐีพันล้านของโรนัลโดจึงไม่ได้มาจากค่าเหนื่อยและพรีเซนเตอร์สินค้าเหมือนนักฟุตบอลอาชีพทั่วไป แต่ยังมาจากการใช้ “แบรนด์ตัวเอง” เป็นเครื่องมือหลักในการขยายอาณาจักรธุรกิจ การกระจายความเสี่ยง และการบริหารจัดการเงินทุนอย่างมีวินัยร่วมกับทีมงานที่ปรึกษามืออาชีพ

วางเป้าหมายเล่นต่อ 2-3 ปี และคว้าแชมป์เวิลด์คัพ

แม้ความร่ำรวยเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ Newsweek นิตยสารข่าวระดับโลก ได้วิเคราะห์เรื่องนี้ว่า โรนัลโดกลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้านคนแรกของวงการฟุตบอลถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในแวดวงเศรษฐศาสตร์กีฬา การต่อสัญญาฉบับใหม่กับอัล นาสเซอร์ ไม่เพียงเป็นการกำหนดนิยามใหม่ของค่าตอบแทนผู้เล่นเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของประเทศต่างๆ ในอ่าวเปอร์เซียต่อวงการกีฬาโลกอีกด้วย

รายได้ที่สูงเป็นประวัติการณ์ของโรนัลโด ซึ่งได้ค่าเหนื่อย 300 ปอนด์ต่อนาทีในซาอุดีอาระเบีย ได้เปลี่ยนโฉมเกณฑ์มาตรฐานด้านความมั่งคั่งของนักกีฬา ศักยภาพในการสร้างแบรนด์ และการย้ายทีมข้ามทวีป กรณีศึกษานี้สะท้อนให้เห็นถึงพลังทางเศรษฐกิจในวงกว้างที่หล่อหลอมวงการฟุตบอลอาชีพและนักกีฬาชื่อดังระดับโลก

หลังจากเซ็นสัญญากับอัล นาสเซอร์ และเล่นในซาอุดิ โปร ลีก จนถึงปี 2027 Newsweek มองว่า ภาพลักษณ์ของโรนัลโดจะช่วยส่งเสริมการเติบโตของวงการฟุตบอลในตะวันออกกลาง และการขยายแบรนด์ CR7 ไปทั่วโลก การย้ายทีมของเขายังสร้างบรรทัดฐาน ทั้งด้านการเงินและวัฒนธรรม สำหรับนักกีฬาชื่อดังในอนาคตที่กำลังพิจารณาข้อเสนออันคุ้มค่าจากอ่าวเปอร์เซีย

ขอบคุณภาพจาก  https://telegrafi.com/en/Ronaldo-admits-he-used-it-to-write-his-speech-for-the-Globo-Prestigio-award/

แล้วเส้นทางบนสนามฟุตบอลของโรนัลโดจะเป็นอย่างไรต่อไป ตำนานที่ยังเล่นอยู่เพิ่งให้คำตอบบนเวทีแห่งเกียรติยศ ซึ่งเขาได้รับรางวัล Globo Prestigio Award จากสหพันธ์ฟุตบอลโปรตุเกส (FPF) ซึ่งมอบรางวัลนี้เพื่อยกย่องความสำเร็จและคุณูปการอันยิ่งใหญ่และยาวนานของบุคคลที่มีชื่อเสียงต่อวงการฟุตบอลโปรตุเกส

โรนัลโดกล่าวถึงรางวัลนี้ว่า “นี่ไม่ใช่รางวัลสำหรับการยุติอาชีพ แต่เป็นการยอมรับในความพยายาม ความทุ่มเท และความมุ่งมั่นมาเป็นเวลาหลายปี” เพื่อเน้นย้ำแบบทีเล่นทีจริงว่า Globo Prestigio Award เป็น “รางวัลเชิดชูเกียรติความสำเร็จในอาชีพ” ไม่ใช่รางวัลสำหรับผู้ที่กำลังจะเกษียณอายุ

เจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ 5 สมัยกล่าวเสริมว่า “ผมมีถ้วยรางวัลอยู่บ้างที่บ้าน แต่ขอบอกเลยว่าใบนี้พิเศษและสวยงามมาก ผมต้องสารภาพว่าบ่ายวันนี้ผมนั่งคิดอยู่ว่าจะพูดอะไรในสุนทรพจน์นี้ ผมคิดอยู่ว่า ‘รางวัลเกียรติยศคืออะไรกันนะ? สงสัยจะเป็นรางวัลปิดฉากอาชีพหรือเปล่า’ ผมรู้สึกประหม่าเล็กน้อยและคิดว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ ที่จะเป็นแบบนั้น”

“ผมอยู่กับทีมชาติมา 22 ปีแล้ว นั่นบ่งบอกถึงความหลงใหลที่ผมมีต่อการสวมเสื้อทีมชาติเพื่อคว้าถ้วยรางวัลและการลงเล่นให้โปรตุเกส ผมยังมีอะไรอีกมากที่จะมอบให้กับทีมชาติและวงการฟุตบอล ผมอยากจะเล่นต่อไปอีกสัก 2-3 ปี ไม่มากนักหรอก”

“อีก 2-3 ปี” ดูเหมือนเป็นเป้าหมายที่ทะเยอทะยานแม้โรนัลโดจะมีชื่อเสียงเรื่องความทุ่มเทให้กับการรักษาและเสริมสร้างสภาพร่างกายก็ตาม แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายทะเยอทะยานที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่โรนัลโดบอกว่า

“แน่นอนสำหรับผมแล้ว เป้าหมายของโปรตุเกส คือการไปฟุตบอลโลกและคว้าแชมป์ตามที่เราทุกคนต้องการ”

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Feature

ดิโอโก โชตา สัญลักษณ์แห่งความหวังและแรงบันดาลใจ

การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2025 ที่ผ่านมาในประเทศสเปนของ ดิโอโก โชตา กองหน้าวัย 28 ปีของลิเวอร์พูลและทีมชาติโปรตุเกส และน้องชายของเขา อังเดร ซิลวา เป็นเหตุการณ์สะเทือนใจต่อผู้รับรู้ข่าวสารในวงกว้าง ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มแฟนบอลเท่านั้น

เรื่องราวของดาวเตะโปรตุกีสตั้งแต่อดีตจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตได้รับการเผยแพร่ผ่านแง่มุมต่างๆ จนบางคนกล่าวว่า โชตาได้สร้างแรงบันดาลใจและจุดประกายแห่งความหวังให้กับผู้คนมากมายภายในระยะเวลาไม่กี่วันหลังเหตุโศกนาฏกรรม

ไม่ใช่ว่าเรามาจากไหน แต่เป็นเรื่องว่าเราจะไปที่ไหน” เป็นประโยคที่ปรากฏบริเวณทางเข้าอะคาเดมีของสโมสรกอนโดมาร์ เอสซี ในเขตปอร์โต ประเทศโปรตุเกส ใกล้กันเป็นภาพของโชตาในเสื้อฟุตบอลของทีมที่เคยเล่นช่วงอายุ 9 ถึง 17 ปี และติดกันเป็นอีกภาพของโซตาในยูนิฟอร์มทีมชาติโปรตุเกส

ภาพทั้งสองสื่อถึงเส้นทางของโชตาจากจุดเริ่มต้นไปถึงปลายทาง และตั้งแต่ปี 2022 อะคาเดมีได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ดิโอโก โชตา อะคาเดมี”

ดิโอโก โชตา หรือชื่อจริง ดิโอโก โจเซ เตเซย์รา ดา ซิลวา กล่าวประโยคนั้นหลังจากทำ 2 ประตู 1 แอสซิสต์ในแมตช์เนชัน ลีกส์ ซึ่งโปรตุเกสชนะสวีเดน 3-0 เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2020

โชตาใช้เวลาสมัยเด็กและวัยรุ่นในบ้านเกิดกับสโมสรระดับเทียร์ 3 ต้องเสียเงินเดือนละ 20 ยูโรเพื่อให้ได้เล่นฟุตบอล เขาเคยแก้ไขข้อมูลดังกล่าวเมื่อ 3 ปีที่แล้วว่า “ผมไม่ได้เสียเงิน แต่เป็นพ่อแม่ของผมต่างหาก ที่โปรตุเกสแตกต่างจากอังกฤษ ผมเล่นให้สโมสรเล็กๆ ที่เราต้องจ่ายเงินเป็นรายเดือนเพื่อที่จะได้เล่นกับทีม จนกระทั่งย้ายไปที่ปาโคส เด เฟอร์เรรา ในปี 2013 นั่นแหละ ผมจึงเริ่มมีรายได้”

ไม่เพียงจ่ายเงินเพื่อแลกกับการได้เล่นฟุตบอล โชตายังถูกสโมสรชั้นนำมองข้ามเนื่องจากขนาดร่างกายที่เล็ก แต่นั่นไม่เป็นอุปสรรคให้เขาล้มเลิก โชตามีความมุ่งมั่นที่จะเป็นนักฟุตบอลอาชีพโดยตลอด ออกจากกอนโดมาร์ ก็ไปยังปาโคส เด เฟอร์เรรา, แอตเลติโก มาดริด (ซึ่งไม่ได้ใช้งานเขาแต่ปล่อยยืมแทน), ปอร์โต, วูลฟ์แฮมป์ตัน และลิเวอร์พูล

นั่นทำให้โชตาเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังและแรงบันดาลใจเมื่อกลับไปยังบ้านเกิด เขาแสดงให้เห็นว่า ยังมีความเป็นไปได้ที่จะก้าวไปยังจุดสูงสุดแม้ถนนสายนั้นไม่ใช่ทางตรง ตราบเท่าที่ความสามารถยังอยู่ในตัวตนเสมอ

จิตใจทำให้โชตาอยู่เหนือทุกสถานการณ์

หลังจากเล่นฟุตบอลตั้งแต่เด็กจนเป็นวัยรุ่นกับกอนโดมาร์ ในที่สุดโชตาก็เริ่มเป็นที่สนใจ เริ่มจากปาโคส สโมสรที่ใหญ่ขึ้นในเขตปอร์โต ยอร์เก ซิเมา อดีตโค้ชที่ปาโคส เคยบอกกับโชตาระหว่างซีซัน 2015-16 ว่า เขาสามารถสืบทอดตำแหน่งของคริสเตียโน โรนัลโด สักวันหนึ่ง

แน่นอน โชตาย่อมประหลาดใจและไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินครั้งแรก “ถ้าโค้ชเชื่อแบบนั้น ทำไมผมถึงทำให้มันเกิดขึ้นจริงไม่ได้ล่ะ” โชตาเปลี่ยนมุมมองแทบจะทันที

ขอบคุณภาพจาก  https://maisfutebol.iol.pt/luto/morte/o-nome-de-diogo-jota-faz-parte-da-nossa-historia-e-sempre-fara

โชตาถือเป็นนักเตะน้อยรายมากของโปรตุเกสที่มีฝีเท้าดีชื่อเสียงโด่งดังแต่ไม่ผ่านการเพาะบ่มจากสถาบันฝึกนักเตะเยาวชนของบิ๊ก 3 ได้แก่ เบนฟิกา, สปอร์ติง ลิสบอน และปอร์โต

กิลแบร์โต อันดราเด ผู้ประสานงานฟุตบอลเยาวชนของปาโคส เคยกล่าวกับ BBC Sport ว่า “สิ่งที่ทำให้โชตาต่างจากนักเตะคนอื่นๆคือด้านจิตใจ ซึ่งเป็นปัจจัยทำให้เขาอยู่เหนือสถานการณ์ต่างๆ และเขาทำมันได้ไวด้วย”

“ผมคิดว่ามีบางครั้งที่ไม่ว่าคุณจะเป็นโค้ช ผู้ประสานงาน หรือผู้อำนวยการ ก็มีคำพูดหรือสิ่งต่างๆ ที่พูดออกมา ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้เล่น แต่บางทีพวกเขาอาจไม่เข้าใจมันอย่างถ่องแท้ ท้ายที่สุดภายหลังมันสะท้อนออกมาในพฤติกรรมของพวกเขา ในวิธีที่พวกเขาฝึกซ้อม ในวิธีที่พวกเขาใช้ชีวิตในแต่ละวัน”

“ผมคิดว่าโชตาเข้าใจในระดับหนึ่งว่า การเป็นนักเตะมืออาชีพ นักกีฬาที่ดี บุคคลที่ดีหมายความว่าอย่างไร เขาเป็นตัวอย่างในเรื่องนั้น เพราะบ่อยครั้งที่ความสำเร็จและเงินทองทำให้ผู้เล่นหลายคนมีเส้นทางชีวิตที่คดเคี้ยว แต่นั่นไม่ใช่โชตา เขาเป็นคนมีวินัยมาก ฉลาดมาก และถ่อมตัวมาก เขาลงทุนเพื่อพัฒนาตนเองอย่างชาญฉลาด รู้ว่ากำลังทำอะไร ช่วยเหลือผู้คนเท่าที่ทำได้ ดังนั้นผมคิดว่า นี่เป็นภาพลักษณ์ที่คงอยู่กับตัวเขาตลอดไป”

กับประโยค “ไม่ใช่ว่าเรามาจากไหน แต่เป็นเรื่องว่าเราจะไปที่ไหน” มันไม่ใช่คำพูดหล่อๆ แต่โชตาตระหนักจริงๆถึงจุดหมายปลายทางที่จะไปให้ถึง อันเดรเดยกตัวอย่างเหตุการณ์วันหนึ่งที่โชตาเข้ามาขอคำปรึกษา

“โชตาบอกว่าต้องการเรียนภาษาต่างประเทศ เพราะวันหนึ่งเขาจะต้องออกไปเล่นต่างประเทศ จึงต้องเตรียมตัวให้พร้อม”

ตอนนั้น โชตาเป็นเพียงนักเตะวัยรุ่นในปาโคสที่ไม่ได้รับความสนใจของสโมสรชั้นนำในโปรตุเกส แต่กลับคิดถึงการค้าแข้งที่ห่างไกลจากถิ่นเกิด

ขอบคุณภาพจาก  https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/diogo-jota-dead-car-crash-35492300

อันเดรเด ซึ่งเคยทำงานในอิตาลี เบลเยียม และซาอุดิ อาระเบีย เล่าต่อว่า “โชตารู้ดีว่าเขาต้องการอะไร พอดีผมมีเทปเรียนภาษาเลยให้เขาไป แต่หลังจากนั้นไม่นาน โชตารู้สึกว่าแค่นั้นไม่เพียงพอ เขาต้องการครูจริงๆ สำหรับเขาแล้วครูมีความจำเป็นเมื่อเติบโตในสายอาชีพ นั่นทำให้โชตาแตกต่างจากคนทั่วไป”

แต่แล้วก็มีอุปสรรคมาทดสอบความแข็งแกร่งของจิตใจเมื่อพบว่า โชตามีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจขณะตรวจร่างกายในช่วงพรีซีซันก่อนเปิดฤดูกาล 2014-15 ไม่สามารถลงซ้อมเกือบ 1 เดือน ก่อนได้รับอนุญาตจากแพทย์

โชตามักตอบทุกคนที่เข้ามาสอบถามด้วยความห่วงใยว่า “อย่าเอาเกวียนไปไว้หน้าม้า” ซึ่งเป็นสำนวนหมายถึง อย่ากระทำสิ่งใดๆที่ผิดลำดับ หรือควรทำสิ่งใดๆตามลำดับธรรมชาติหรือตามตรรกะ และนั่นบ่งถึงวิธีการใช้ชีวิตของโชตา … ดำเนินชีวิตวันต่อวัน

โซตาเคยให้สัมภาษณ์เรื่องนี้เมื่อปี 2021 ว่า “ผมรู้ดีว่ามันอาจหมายถึงต้องเลิกเล่นฟุตบอล แต่ผมไม่มีความเชื่อแม้เสี้ยววินาทีเดียวว่ามันจะเกิดขึ้น”

ชีวิตเหมือนเดินหน้า 2 ก้าว ถอยหลัง 1 ก้าว

โชตาถูกโปรโมทขึ้นทีมชุดใหญ่ของปาโคสในฤดูกาลนั้นหลังจากเข้าร่วมทีมเยาวชนของสโมสรเมื่อปี 2013 มีโอกาสประเดิมสนามนัดแรกเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2014 เป็นตัวจริงในรายการ Taça de Portugal หรือบอลถ้วยสมาคมฟุตบอลโปรตุเกส ซึ่งปาโคสชนะแอตเลติโก เด เรเกงโกส 4-0 และจบปรีไมรา ลีกา หรือลีกสูงสุดของโปรตุเกส ซีซันแรกด้วยสถิติ 10 นัด 2 ประตู ก่อนพัฒนาเป็น 31 นัด 12 ประตูในฤดูกาล 2015-16

จากฟอร์มที่โดดเด่น โชตาเริ่มเป็นจุดสนใจในฐานะดาวรุ่งดวงใหม่จากหลายสโมสร แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวตนของเขา โชตายังเลือกที่จะอาศัยอยู่ในหอพักของสโมสรร่วมกับผู้เล่นอะคาเดมีและนักเตะที่เข้ามาทดสอบฝีเท้า เขาอยู่ที่นี่จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตนักเตะทีมปาโคส เขาเป็นนักเตะชุดใหญ่คนเดียวที่อาศัยอยู่ที่นั่น

อันเดรเดเล่าว่า “เขาแทบไม่ได้ออกจากห้องพักเลย มุ่งสมาธิไปกับการเรียนภาษาต่างประเทศ ดูเหมือนไม่มีอะไรหันเหความสนใจของเขาได้”

ขอบคุณภาพจาก  https://www.thescottishsun.co.uk/sport/15028264/diogo-jota-liverpool-death-barry-douglas-wolves-tribute/

โชตาเปิดใจกับ Sky Sports เมื่อปี 2022 ถึงชีวิตนักเตะเยาวชนว่า “ผมมีความกระหายมาตลอดตั้งแต่จำความได้ ผมไม่เคยเล่นให้ทีมใหญ่ๆเลยสมัยเด็ก ผมเห็นเพื่อนร่วมทีม 2-3 คนย้ายไปอยู่กับปอร์โตหรือเบนฟิกา ส่วนผมก็ไปทดสอบฝีเท้าแต่ไม่เคยได้รับเลือกเลย ผมเป็นหนึ่งในกลุ่มคนเก่งแต่ไม่เคยถึงระดับเก่งที่สุด”

แต่แล้ว 14 มีนาคม 2016 โซตาตอบรับข้อเสนอสัญญา 5 ปีของแอตเลติโก มาดริด ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1กรกฎาคม แต่วันที่ 26 สิงหาคม ทีมตราหมีส่งเขากลับโปรตุเกส ให้ปอร์โตยืมตัวตลอดซีซัน 2016-17 โชตามีสถิติรวมทุกรายการ 37 นัด 9 ประตู รวมถึง 27 นัด 8 ประตูในปรีไมรา ลีก และยังได้เล่นแชมเปียนส์ ลีก 8 นัด ทำได้ 1 ประตูในแมตช์ชนะเลสเตอร์ 5-0 

ซีซันต่อมา โชตาเดินทางไปเล่นให้วูลฟ์แฮมป์ตัวด้วยสัญญายืมตัวอีกเช่นกัน มีสถิติรวมทุกรายการในซีซัน 2017-18 เล่น 46นัด 18 ประตู รวมถึง 44 นัด 17 ประตูในแชมเปียนชิพ ซึ่งทีมหมาป่าคว้าแชมป์ ได้สิทธิขึ้นไปเล่นพรีเมียร์ลีก

30 มกราคม 2018 วูลฟ์สตัดสินใจซื้อขาดโชตาจากแอตเลติโก มาดริด ด้วยค่าตัว 14 ล้านปอนด์ และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฏาคม โดย 2 ซีซันบนสังเวียนพรีเมียร์ลีก โชตาลงสนาม 67 นัด ทำ 16 ประตู

โชตายอมรับว่ารู้สึกสับสนกับเส้นทางชีวิตบ้างเหมือนกัน “บ้างครั้งก็หมือนก้าวไปข้างหน้า 2 ก้าว แล้วต้องถอยหลัง 1 ก้าว บางทีผมไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวเองจะไปถึงสโมสรลิเวอร์พูล ผมเพียงทำหน้าที่วันต่อวัน”

แต่ความสำเร็จดังกล่าวดึงดูดความสนใจของลิเวอร์พูล และเจฟฟ์ ชี ประธานสโมสรวูล์ฟสแฮมป์ตัน ยอมรับว่าเป็นการขายที่เขาเสียใจที่สุด 

โชตาจะเป็นหมายเลข 20 ของลิเวอร์พูลตลอดไป

ฤดูร้อนปี 2020 ลิเวอร์พูลซื้อกองหน้าโปรตุกีสวัย 23 จากวูลฟ์สด้วยค่าตัว 45 ล้านปอนด์ที่รวมแอดออนส์ ขณะที่โชตาต้องเผชิญหน้ากับภารกิจที่ท้าทายอย่างมากในการก้าวขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของ 3 ประสานกองหน้าที่ดีที่สุดชุดหนึ่งในโลกฟุตบอล

โจอันนา ดูร์คาน ผู้ช่วยบรรณาธิการ This is Anfield ให้ความเห็นว่า คุณสมบัติที่สร้างความแตกต่างให้โชตาคือ การจบสกอร์ที่ไร้ความปราณี เขารู้โดยสัญชาตญาณถึงการทำประตู สามารถส่งลูกหนังเข้าก้นตาข่ายด้วยเท้าซ้ายหรือขวา รวมถึงลูกโหม่ง

มีเหตุผลสนับสนุนสำหรับการยกย่องโชตาเป็นหนึ่งในนักล่าประตู และเป็นผู้จบสกอร์โดยธรรมชาติมากที่สุดของลิเวอร์พูล แม้มีปัญหาบาดเจ็บหลายครั้ง แต่กลับเป็นการตอกย้ำว่าสไตรเกอร์หมายเลข 20 คนนี้มีความสำคัญต่อ “เดอะ เรดส์” มากเพียงใด

ขอบคุณภาพจาก  https://www.thisisanfield.com/2025/07/what-diogo-jota-achieved-in-life-will-echo-in-eternity/

เยอร์เกน คลอปป์ อดีตผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล เคยพูดถึงโชตาตอนที่ย้ายมาจากโมลินิวซ์ว่า “เขาเพิ่งอายุ 23 ปี ยังห่างจากการเป็นนักเตะสมบูรณ์แบบ แต่มีศักยภาพมาก เพียบพร้อมด้วยความเร็ว สามารถเล่นประสานกับคนอื่นๆ เล่นเกมรับและเข้าเพรสได้ จึงทำให้เขาเป็นนักเตะที่ช่วยสร้างทางเลือกให้เรามากมายกับรูปแบบการเล่นที่หลากหลาย”

ดูร์คานเสริมความรู้สึกที่มีต่อโชตาว่า ความกระตือรือร้นของเขาช่วยให้เพื่อนร่วมทีมฮึกเหิม อีกทั้งยังเป็นที่รักในห้องแต่งตัว และเป็นที่รักของแฟนบอลอย่างมาก โชตาพร้อมเสมอที่จะยืนหยัดในช่วงเวลาสำคัญ ไม่ว่าการปฏิบัติต่ออาร์เซนอลอย่างไร้ความปราณี ทำประตูชัยช่วงท้ายเกมกับสเปอร์ส สังหารจุดโทษพาทีมชนะเลสเตอร์ หรือประตูสำคัญที่ทำให้เอฟเวอร์ตันพ่ายแพ้ในเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บีแมตช์ ครั้งหลังสุด 

โชตามีบทบาทสำคัญในช่วงเวลาแห่งความทรงจำของลิเวอร์พูล รวมถึงซีซัน 2021-22 ที่ยอดเยี่ยม ช่วยให้ทีมครองดับเบิลแชมป์บอลถ้วย อีเอฟแอล คัพ และเอฟเอ คัพ ทำ 21 ประตู 6 แอสซิสต์จาก 55 นัดรวมทุกรายการ ซึ่ง “เดอะ เรดส์” เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ ลีก รวมถึงตำแหน่งรองแชมป์พรีเมียร์ลีก

รองบรรณาธิการหญิงของ This is Anfield ยังชื่นชมการแสดงออกผ่านจิตวิญญาณของโชตา ซึ่งต้องเผชิญหน้ากับอาการบาดเจ็บครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สามารถกลับมาได้อย่างน่าชื่นชมเสมอ ซึ่งโชตาเคยให้สัมภาษณ์กับ Sky Sports ถึงเรื่องนี้ว่า “สิ่งที่ยากไม่ใช่การขึ้นไปให้ถึงยอดเขา แต่เป็นการอยู่ตรงนั้นต่อไป ซึ่งเป็นประโยคที่สมเหตุสมผลสำหรับผมอย่างแน่นอน”

คำพูดดังกล่าวเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวตนของโชตา บุรุษผู้สวมเสื้อหมายเลข 20 ที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนจนก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดและพยายามอยู่จุดนั้นต่อไป โชตามีบุคลิกภาพที่เหมาะสมกับการเป็นนักเตะลิเวอร์พูลอย่างสมบูรณ์แบบทั้งในและนอกสนาม จากสายตามุมมองของดูร์คาน ซึ่งเขียนบทความทิ้งท้ายว่า

“โชตาจะเป็นหมายเลข 20 ของลิเวอร์พูลตลอดไป ขอบคุณที่มีบทบาทสำคัญในชีวิตของพวกเราทุกคน ขอบคุณสำหรับความทรงจำและช่วงเวลาที่ไม่มีวันลืมเลือน ซึ่งจะอยู่กับพวกเราตลอดไป” 

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Feature

หลุยส์ เอ็นริเก กับเวลา 2 ปี สร้างเปแอสเช สู่บัลลังก์แชมเปียนส์ลีก

หลุยส์ เอ็นริเก ใช้เวลาเพียง 2 ซีซันพาปารีส แซงต์แยร์กแมง ครองบัลลังก์ทวีปยุโรปเป็นสมัยแรกในประวัติศาสตร์ 54 ปีของสโมสรหลังจากชนะอินเตอร์ มิลาน 5-0 ในรอบชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ ลีก เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2025 ที่นครมิวนิก ประเทศเยอรมนี

ถ้ามองเฉพาะยุคทองภายใต้การบริหารของกาตาร์ สปอร์ตส์ อินเวสต์เมนท์ (QSI) ซึ่งเข้าเทคโอเวอร์เมื่อปี 2011 เปแอสเชไม่เคยหลุดท็อป 2 ของลีกเอิง โดยเป็นแชมป์ 11 สมัย และรองแชมป์ 3 สมัย แต่กลับไม่เคยสัมผัสถ้วยบิ๊กเอียร์แม้อยู่ภายใต้การคุมทีมของผู้จัดการทีมที่มีชื่อเสียงอย่างคาร์โล อันเซลอตติ, โลรองต์ บลองค์, อูไน เอเมรี, โธมัส ทูเคิล, เมาริซิโอ โปเชตติโน และในทีมเคยมีนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์อย่างซลาตัน อิบราฮิโมวิช, เดวิด เบคแฮม, เอดินสัน คาวานี, เนย์มาร์, ลิโอเนล เมสซี, คิลิยัน เอ็มบัปเป

ก่อนหน้าฤดูกาล 2024-25 เปแอสเชทำได้ดีที่สุดคือ รองแชมป์แชมเปียนส์ ลีก ปี 2020 เมื่อแพ้บาเยิร์น มิวนิก 0-1 และเข้าถึงรอบรองชนะเลิศเพียง 2 ครั้งในซีซัน 2020-21 และ 2023-24 อีกทั้ง 8 ปีก่อนหน้าหรือตั้งแต่ซีซัน 2016-17 ปารีสสิ้นสุดเส้นทางที่รอบ 16 ทีมสุดท้ายถึง 5 ครั้ง

เปแอสเชครองความยิ่งใหญ่ในฝรั่งเศส แต่ไม่ใช่ทีมที่น่าเกรงขามเลยเมื่อต้องดวลสตั๊ดกับทีมชั้นนำของยุโรป จนกระทั่งการมาของอดีตผู้จัดการทีมชาติสเปนวัย 55 ปี ซึ่งรับตำแหน่งผู้จัดการทีมอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2023 โดยซีซันแรก เอ็นริเกพาเปแอสเชกวาดทริปเปิลแชมป์ภายในประเทศ และเข้าถึงรอบรองชนะเลิศแชมเปียนส์ ลีก แต่แพ้โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ด้วยสกอร์รวม 0-2

ซีซันที่ 2 ทีมของเอ็นริเกยังเหมาโทรฟี 3 รายการของฝรั่งเศสอีกครั้ง ที่เพิ่มเติมคือถ้วยบิ๊กเอียร์ โดยเป็นสโมสรจากฝรั่งเศสทีมที่ 2 ต่อจากมาร์กเซยเมื่อปี 1993 ทั้งที่หากย้อนกลับไปปลายเดือนพฤศจิกายน 2024  ดูเหมือนเปแอสเชอาจไม่ผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ด้วยซ้ำเมื่อเริ่มโปรแกรมลีกเฟสอย่างยากลำบาก ชนะ 1 นัด เสมอ 1 นัด แพ้ 3 นัด ก่อนฟอร์มเข้าฟักชนะรวด 3 นัดสุดท้าย จบที่อันดับ 15 มี 13 คะแนน อยู่เหนืออันดับ 25 ดีนาโม ซาเกรบ ทีมบนสุดของโซนตกรอบแค่ 2 คะแนน และต้องเตะรอบเพลย์ออฟกับเบรสท์

หลังผ่านคู่แข่งร่วมชาติ เปแอสเชเอาชนะลิเวอร์พูล, แอสตัน วิลลา และอาร์เซนอล ก่อนพบ “เนรัสซูรี” ในรอบชิงชนะเลิศ

เริ่มยุคใหม่หลังการอำลาของเอ็มบัปเป

ประวัติศาสตร์บทใหม่ของเปแอสเชเริ่มขึ้นวันที่ 10 พฤษภาคม 2024 เมื่อเอ็มบัปเปประกาศไม่ต่อสัญญาและจะอำลาสโมสรเมื่อสิ้นสุดซีซัน 2023-24 ก่อนย้ายไปร่วมทีมเรอัล มาดริด ในฐานะฟรีเอเยนต์ของตลาดซัมเมอร์ เท่ากับสิ้นสุดยุคของ 3 ซูเปอร์สตาร์กองหน้าหลังจากเนย์มาร์กับเมสซีอำลาเมืองหลวงของฝรั่งเศสไปก่อนช่วงกลางปี 2023

ขอบคุณภาพจาก  https://talksport.com/football/3254694/nasser-al-khelaifi-lionel-messi-kylian-mbappe-neymar-psg-champions-league/

แม้ไม่มีเอ็มบัปเป ซึ่งทำ 256 ประตูจาก 308 นัดรวมทุกรายการนับตั้งแต่ยืมตัวจากโมนาโกในซีซัน 2017-18  แต่อีกด้านหนึ่งเป็นการเปิดทางให้เกิดการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของเปแอสเชภายใต้การคุมทีมปีที่ 2 ของเอ็นริเก

เอ็นริเก ซึ่งผู้คนในเปแอสเชขนานนามว่าเป็น “สถาปนิกแห่งวงการลูกหนัง” ใช้โอกาสที่ไม่มีดาราใหญ่อย่างเอ็มบัปเป โน้นน้าวนาสเซอร์ อัล-เคไลฟี ประธานสโมสร และหลุยส์ คัมโปส ที่ปรึกษาด้านฟุตบอล ให้เชื่อว่าเขาสามารถสร้างทีมขึ้นมาใหม่ด้วยนักเตะอายุน้อยกว่า เก่งกว่า และมีความสามัคคีมากขึ้น

ความจริงแล้ว การเซ็นสัญญากับเอ็นริเกเมื่อเดือนกรกฎาคม 2023 เปแอสเชมีสัญญาณชัดเจนว่าต้องการลบล้างวัฒนธรรมซูเปอร์สตาร์ของสโมสร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทิศทางที่น่าทึ่งเป็นตัวดึงดูดใจของยอดกุนซือชาวสเปน ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นโค้ชที่ยึดมั่นใน “จริยธรรมของทีม” (team ethic หรือ หลักการที่ควบคุมพฤติกรรมของสมาชิกในทีมเพื่อส่งเสริมความร่วมมือ การเคารพ และประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกัน.

จูเลียน ลอเรนส์ ผู้เชี่ยวชาญฟุตบอลฝรั่งเศส ให้ความเห็นกับ บีบีซี สปอร์ต ว่า เปแอสเชต้องการใครสักคนที่สร้างทีมเพื่ออนาคตด้วยความอดทน และเอ็นริเกเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมและดีที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับตัวเต็งรายอื่นอย่างอันโตนิโอ คอนเต และโชเซ มูรินโญ ซึ่งต่างเป็นผู้ชนะและเป็นชัยชนะที่เกิดขึ้นทันที แต่ไม่ได้สร้างอะไรขึ้นมาอย่างแท้จริง ดังนั้นเอ็นริเกจึงเข้าได้กับสิ่งที่ปารีสต้องการ

ไร อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติบราซิลวัย 60 ปี ซึ่งเคยเล่นให้เปแอสเชชุดแชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพ ปี 1996 กล่าวว่า ฟุตบอลทุกวันนี้ ทีมที่สมบุรณ์แบบและมีโอกาสคว้าแชมป์รายการใหญ่ไม่ได้ต้องการผู้เล่นที่มีพรสวรรค์เท่านั้น แต่ยังต้องการการทุ่มเทร้อยเปอร์เซ็นต์จากนักเตะทุกคน ทุกช่วงเวลาของแมตช์ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบุกหรือตั้งรับ ไม่ว่ามีบอลหรือไม่มีบอล

ในมุมมองของไร สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดเกี่ยวกับการบริหารทีมของเอ็นริเก คือความจริงที่ว่าเอ็นริเกประสบความสำเร็จโดยใช้ระยะเวลาอันสั้น ด้วยกลุ่มผู้เล่นอายุน้อย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ทุกคนเข้าใจการวางแผนเชิงแทคติกอย่างดี และเชื่อมั่นศรัทธาในตัวเอ็นริเก รวมถึงระบบการเล่นของเอ็นริเกก็มีประสิทธิภาพมาก

ขณะที่นอกสนามแข่งขัน เอ็นริเกยังเรียกร้องระดับการควบคุมทีมและนักเตะที่เคยหลุดลอยไปจากมือของผู้จัดการทีมคนก่อนหน้าอาทิ เอเมรี, ทูเคิล, โปเชตติโน และคริสตอฟ กัลติเยร์

ลอเรนส์พูดถึงประเด็นนี้ว่า เอ็นริเกเป็นผู้นำตัวจริงเสียงจริงของสโมสร ซึ่งที่ผ่านมาเคยตกอยู่ในมือของบรรดานักเตะซูเปอร์สตาร์ ที่มีความคิดว่า หากไม่อยากทำอะไรก็จะไม่ทำ จากนั้นก็เดินตรงเข้าหาประธานสโมสร นั่นเท่ากับบ่อนทำลายโค้ช ซึ่งตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว อำนาจของเอ็นริเกถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในเปแอสเช

ปิแอร์-เอเตียน มินอนซิโอ ผู้สื่อข่าวของเลกิ๊ป หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศส ให้ความเห็นว่า ผู้คนในเปแอสเชต่างรู้ดีว่าสโมสรมีปัญหาด้านอำนาจในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กัลติเยร์เป็นผู้จัดการทีมชาวฝรั่งเศสที่เก่ง แต่ขาดประสบการณ์ที่จะบังคับใช้มุมมองของตนเอง และไม่แกร่งพอที่จะเผชิญหน้าหรือพูดตรงๆกับเอ็มบัปเป เช่นเดียวกับโปเชตติโน ซึ่งหมกหมุ่นกับการรักษาความสงบในห้องแต่งตัว ทำให้ไม่เคยตัดสินใจอะไรที่ตรงข้ามกับเมสซีและเอ็มบัปเปเลย ต่างกับเอ็นริเก ซึ่งบอกกับสโมสรชัดเจนว่า ถ้าเขาเป็นนายใหญ่ เขาก็จะต้องทำตัวเป็นนายใหญ่

เอ็นริเกแค่ออกทริปปั่นจักรยานถ้าตกงาน

เป็นที่ทราบกันดีในเปแอสเช เอ็นริเกเป็นคนที่มีระเบียบวินัยสูงแม้กระทั่งกับตัวเองในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ อย่างเช่นตั้งนาฬิกาให้เตือนหากเขาไม่ได้ยืดเส้นยืดสายหรือไม่เคลื่อนไหวร่างกายใดๆเป็นเวลา 30 นาที

เมื่อปี 2017 เอ็นริเกสามารถจบการแข่งขันแฟรงค์เฟิร์ต ไอออนแมน ชาลเลนจ์ ด้วยการว่ายน้ำ 2.4 ไมล์, ขี่จักรยาน 118ไมล์ และวิ่งฟูลมาราธอน ต่อมาในปี 2018 เอ็นริเกยังสามารถจบการวิ่งมาราธอน เดอ ซาเบลส์ สุดหฤโหดระยะทาง 115ไมล์เป็นเวลากว่า 6 วันในทะเลทรายซาฮารา

เอ็นริเกยังมีกิจวัตรประจำวันทุกเช้า คือเดินด้วยเท้าเปล่าบนสนามหญ้าของแคมปัส เปแอสเช สนามฝึกซ้อมของสโมสร ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมอุทิศตนต่อ earthing ซึ่งหมายถึงการเชื่อมต่อร่างกายกับพื้นดินหรือพื้นผิวที่มีการเชื่อมต่อกับดินโดยตรง โดยเอ็นริเกมีความเชื่อว่า การทำเช่นนี้ช่วยให้เขาใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้นและช่วยต่อสู้กับโรคภูมิแพ้ได้

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่แท้จริงของเอ็นริเกเกิดขึ้นหลังการเสียชีวิตของซานา ลูกสาววัย 9 ขวบจากโรคมะเร็งกระดูกชนิดหายากในปี 2019

ขอบคุณภาพจาก  https://www.thesun.co.uk/sport/35205287/luis-enrique-daughter-xana-tribute-psg-champions-league/

เอ็นริเกเคยให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า “แม้ร่างกายของเธอจากไปแล้ว แต่เธอไม่ได้ตายและยังคงอยู่กับพวกเรา เธออาจไม่ได้อยู่ ณ ที่ตรงนี้ในทางกายภาพ แต่เชิงจิตวิญญาณ เธอยังคงอยู่ที่นี่ เพราะทุกวัน เราได้คุยเกี่ยวกับเธอ เราหัวเราะซึ่งกันและกัน เรายังมีความทรงจำ เพราะผมเชื่อว่า ซานายังคงมองเห็นเรา”

นั่นทำให้เอ็นริเกสามารถไตร่ตรองถึงสัจธรรมของวงการฟุตบอลได้จากคำพูดที่เคยเอ่ยกับนักข่าวว่า “ผมไม่เคยกลัวว่าสิ่งเลวร้ายจะเกิดขึ้นในวงการฟุตบอล ถ้าสโมสรต้องการไล่ผมออก ก็ไม่มีปัญหาอะไร จากนั้นในวันต่อมา ผมก็จะออกทริปปั่นจักรยาน”

ทีมพลังหนุ่มไร้สตาร์ที่ทุกคนเท่าเทียมกัน

ฟิล แมคนัลตี หัวหน้าทีมข่าว BBC Sport ที่รายงานนัดชิงแชมเปียนส์ ลีก นำเสนอมุมมองว่า การจากไปของเอ็มบัปเปคือช่วงเวลาสดใสของเปแอสเช ทำให้สถานการณ์ของปาร์ก เดส์ แพรงซ์ เปลี่ยนไปแม้ดาวดังทีมชาติฝรั่งเศสมีการเล่นเวิลด์คลาส และเอ็นริเกเชื่อว่านี่เป็นโอกาสที่จะควบคุมวิธีการเล่นของทีมอย่างสมบูรณ์

ซีซัน 2024-25 จึงเป็นการเริ่มต้นในการควบคุม “ทีมใหม่” ตามความหมายอย่างแท้จริง โดยเอ็นริเกมุ่งเน้นไปที่พรสวรรค์ของนักเตะอายุน้อย ซึ่งเขาสามารถหล่อหลอมได้แทนการทำงานกับนักเตะดังที่มักขับเคลื่อนด้วยอัตตา

อดีตกุนซือบาร์เซโลนาและโรมายอมรับว่าอาจต้องใช้เวลามากกว่า 1 ฤดูกาลเพื่อยกระดับทีมให้ขึ้นสู่ความท้าทายรางวัลใหญ่สุดของทวีป ซึ่งการออกสตาร์ทลีกเฟสอย่างเชื่องช้าเป็นประจักษ์พยานที่ดี ถึงขั้นมีความคิดว่า ชัยชนะในแชมเปียนส์ ลีก อยู่นอกเหนือเป้าหมายของซีซัน

อย่างไรก็ตาม แมคนัลตีชี้ว่า ยุคใหม่ของเปแอสเชเริ่มต้นจริงๆเมื่อชนะแมนฯซิตี 4-2 ในนัดที่ 7 ของลีกเฟสเดือนมกราคม 2025 ท่ามกลางฝนกระหน่ำปารีส ซึ่งส่งผลให้ทีมของเอ็นริเกกลับมามีลุ้นเข้ารอบน็อคเอาท์

ขอบคุณภาพจาก  https://www.sportscasting.com/uk/news/manchester-city-player-ratings-vs-psg-champions-league/

ขุมกำลังใหม่อย่างเดซิเร ดูเอ  และ แบรดเลย์ บาร์โคลา ทำผลงานได้โดเด่น อุสมาน เดมเบเล ซึ่งเริ่มฟื้นตัวจากปัญหาภายใน ลงเล่นเป็นตัวสำรองได้อย่างน่าทึ่ง และเมื่อเวลาผ่านไป ทั้งสามเปรียบเสมือนลูกตุ้มยักษ์ทำลายล้างคู่แข่งจากพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล, วิลลา และอาร์เซนอล จนผ่านไปเตะนัดสุดท้ายของทัวร์นาเมนท์ในอัลลิอันซ์ อารีนา

เปแอสเชยังเสริมแกร่งเมื่อได้ควิชา ควารัตสเคเลีย ที่ย้ายมาจากนาโปลีในเดือนมกราคม 2025 ด้วยค่าตัว 70 ล้านยูโรรวมแอดออนส์ ทำให้เอ็นริเกได้จิ๊กซอว์ครบทุกชิ้น

แพท เนวิน อดีตปีกทีมชาติสกอตแลนด์และนักวิเคราะห์ของ BBC Sport ชื่นชมแนวรุกทีมชาติจอร์เจียวัย 24 ปีว่ามีคุณสมบัติของปีกครบทุกข้อแถมยังมีเพิ่มให้ด้วย ควารัตสเคเลียชอบท้าทายคู่แข่งด้วยการโจมตีด้วยทริกและลูกเล่นมากมาย ทำในสิ่งเหลือเชื่อเพื่อทำลายแนวรับ ไม่เกรงกลัวใคร และสร้างความบันเทิงให้แฟนบอลเสมอ ฝ่ายตรงข้ามจำเป็นต้องใช้ผู้เล่น 2 คนเพื่อตามประกบ ดึงผู้เล่นคนอื่นเข้ามาหา เป็นการสร้างพื้นที่ว่างให้กับเพื่อนร่วมทีม

ผู้สื่อข่าว BBC Sport เสริมด้วยว่า ดูเออาจเริ่มต้นช้า แต่เมื่อเล่นร่วมกับบาร์โคลาและเดมเบเล ซึ่งทั้งสามได้ประโยชน์จากการเอาใจใส่แบบตัวต่อตัวของเอ็นริเก เปแอสเชจึงได้ดาวดวงใหม่ที่เปี่ยมพรสวรรค์มาประดับทีมใหม่

ไรให้ความเห็นถึงสิ่งที่ประทับใจต่อกองหน้ายุคใหม่ของเปแอสเชว่า พวกเขาผสมผสานคุณภาพทางเทคนิค เข้ากับการน้อมนำแทคติกของโค้ช ความแข็งแกร่งของสภาพร่างกาย และบุคลิภาพส่วนตัว แฟนบอลจึงได้เห็นการเลี้ยงบอลที่น่าเร้าใจและการสรรสร้างรูปแบบการเล่นที่น่าประทับใจ

ถึงกระนั้นไม่มีใครได้รับสิทธิพิเศษ นักเตะทุกคนเท่าเทียมกันในสายตาของเอ็นริเก

กุนซือวัย 55 ปี เคยสั่งดร็อปเดมเบเลก่อนเกมแชมเปียนส์ ลีก ในบ้านของอาร์เซนอลเมื่อเดือนตุลาคม 2024 เนื่องจากไม่พอใจระดับความทุ่มเทของเดมเบเลในการแข่งขันลีกเอิงกับแรนส์ แต่เดมเบเลสามารถกลับมาด้วยฟอร์มที่เปลี่ยนแปลงและแรงพลักดันที่สดใหม่ มีส่วนสำคัญพาเปแอสเชชนะลีกเอิงและกุปเดอฟรองซ์ ก่อนทิ้งท้ายด้วยแชมเปียนส์ ลีก

ขอบคุณภาพจาก  https://www.okayafrica.com/ousmane-dembele-champions-league/

เปแอสเชมีผู้เล่นอายุเฉลี่ย 24 ปี 262 วัน เป็นทีมละอ่อนที่สุดในบรรดาสโมสรที่ผ่านรอบเพลย์ออฟของแชมเปียนส์ ลีก ซีซัน 2024-25 และด้วยสไตล์การเล่นไฮ-เพรสซิ่งที่เข้มข้นทำให้พวกเขารั้งอันดับ 1 ของทัวร์นาเมนท์ในสถิติหมวด shot-ending high turnovers หรือจังหวะการเล่นเกมรุกแดนบนแล้วจบด้วยการยิง ซึ่งหมายความว่า เปแอสเชสามารถใช้ไฮ-เพรสซิ่งกดดันคู่แข่งให้กลายเป็นการสร้างโอกาสเกมบุกได้บ่อยครั้งมาก

เอ็นริเกสามารถสร้างทีมเปแอสเชยุคใหม่ด้วยการผสมผสานพลังงานของนักเตะหนุ่มเข้ากับผู้เล่นเขี้ยวประสบการณ์อย่างกัปตันทีม มาร์กินญอส และผู้รักษาประตู จานลุยจิ ดอนนารุมมา โดยใช้เวลาเพียงปีเดียวที่ไม่มีเอ็มบัปเป ให้ก้าวขึ้นยืนบัลลังก์ยุโรปเป็นสมัยแรกได้ราวกับปาฏิหาริย์ และนำถ้วยแชมเปียนส์ ลีก ไปยังกรุงปารีส

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Our Work

PRIMETIME ON STAGE คุยกันแบบสด ๆ เล่าข่าวฟุตบอลสไตล์เพื่อนคุยกัน โดย 3 อินฟลูเอนเซอร์หลัก: ปีเตอร์ โบ๊ท, ขวัญ ลามาเซีย, และโครตแอ็ค

PRIMETIME เป็นรายการเล่าข่าวฟุตบอลสไตล์เพื่อนคุยกัน ก่อตั้งโดย 3 อินฟลูเอนเซอร์: โบ๊ท, ขวัญ, และแอ็ค มีมานานกว่า 8 ปี รูปแบบรายการ สรุปข่าวแบบเข้าใจง่าย พร้อมการวิเคราะห์แบบแตกต่าง ทว่าครบถ้วนทุกแง่มุม โดยปัจจุบัน Primetime ถือเป็นรายการไลฟ์ข่าวฟุตบอลตอนเที่ยง ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ยอดผู้ชมสดโดยเฉลี่ย 5,000-10,000 คนต่อไลฟ์ และยอดวิวรวม 40,000-100,000 วิวต่อไลฟ์

ด้วยเหตุทำให้เกิดกิจกรรม PRIMETIME ON STAGE ขึ้นมาเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ณ Metropoint Bangkok Hotel พูดคุยกันแบบสด ๆ เล่าข่าวฟุตบอลสไตล์เพื่อนคุยกันโดยมี 3 อินฟลูเอนเซอร์ที่กล่าวไปข้างต้น พร้อมด้วย กันโตน่า, ตังกุย, ยักษ์ ดอยแดง, เบลล์ ขอบสนาม และเกมส์เอง ที่มาร่วมสร้างสีสันให้คึกคัก

งานนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมงานกว่า 150 คน บรรยากาศเดือด สนุก อบอุ่น และอบอวลไปด้วยพลังของแฟนบอลตัวจริงที่มารวมตัวกันร่วมแชร์เสียงหัวเราะ เสียงเฮ และความทรงจำดีๆ ในค่ำคืนนี้

นอกจากเล่าข่าวกันแล้ว ยังมีมินิคอนเสิร์ตจาก เสก โลว์คอสต์ ที่มาสร้างสีสันได้เป็นอย่างดี พร้อมชวนอินฟลูเอนเซอร์ขึ้นไปร่วมร้องเพลงด้วยกันอย่างอบอุ่น เท่านั้นไม่พอยังมีวงดนตรีสุดน่ารักที่มาช่วยเพิ่มความอิ่มเอมไปอีก กับวง TulipsBand และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือ เสียงเพราะ ๆ ของ โอปอล์ All in ที่มาร่วมแจมร้องเพลงด้วยกัน

งานนี้ต้องขอบคุณสปอนเซอร์หลักใจดีอย่าง Suzuki และ INCHON ที่สนับสนุนให้เกิด PRIMETIME ON STAGE ขึ้น และจบลงด้วยบรรยากาศแสนพิเศษ และหวังว่าจะมีขึ้นอีกในครั้งถัด ๆ ไป

ชมภาพเพิ่มเติม คลิก: https://drive.google.com/drive/u/1/folders/1v6uyzARwkBKDalvjOu2X-r9r9ClDbIx4

📝: ภาวินีย์ สูญสิ้นภัย (แนน)

Categories
Feature

คันฉ่องส่อง “ชาบี อลอนโซ” ก่อนเริ่มงานโค้ชที่อาจกดดันที่สุดในโลก

ในวัย 49 ปี ชาบี อลอนโซ มิดฟิลด์ระดับตำนานทีมชาติสเปน เป็น 1 ในผู้จัดการทีมคลื่นลูกใหม่มาแรงที่สุดในทศวรรษนี้ เพียงปีแรกที่คุมทีมชุดใหญ่เต็มซีซัน สามารถพาไบเออร์ เลเวอร์คูเซน ซึ่งได้รับฉายาเย้ยหยันว่า Neverkusen ครองแชมป์บุนเดสลีกาสมัยแรกในประวัติศาสตร์สโมสรเกือบ 120 ปี ล้มบัลลังก์ของบาเยิร์น มิวนิก ที่ครอบครองติดต่อกัน 11 ปี

ทีมของอลอนโซเกือบทำทริปเปิลแชมป์ในฤดูกาลนั้น 2023-24 เมื่อชนะไกเซอร์สเลาเทิร์นในรอบชิงชนะเลิศ เดเอฟเบ โพคาล แต่ได้เพียงรองแชมป์ยูโรปา ลีก เมื่อแพ้อตาลันตา

อลอนโซอำลาเลเวอร์คูเซนหลังจบซีซัน 2024-25 เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมเรอัล มาดริด แทนคาร์โล อันเชลอตติ ที่เปลี่ยนงานไปคุมทีมชาติบราซิล โดยเซ็นสัญญา 3 ปี และจะเริ่มทำงานอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2025 พาลูกทีมโลส บลังโกส ร่วมแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก “คลับ เวิลด์ คัพ” กลางเดือนที่สหรัฐอเมริกา

ด้วยเหตุนี้ ปรัชญาแนวคิดการทำงานของอลอนโซ อดีตขุนพลแชมป์โลก 2010 และแชมป์ทวีปยุโรป 2 สมัย จึงน่าสนใจอย่างยิ่ง

ทำตัวเหมือนผู้จัดการทีมตั้งแต่เป็นนักเตะ

มีนักฟุตบอลน้อยรายที่มีเอกสารแนะนำตัว CV (Curriculum Vitae) เทียบเท่าอลอนโซ ซึ่งไม่เพียงคว้าความสำเร็จมากมายกับยักษ์แห่งยุโรปอย่างลิเวอร์พูล, เรอัล มาดริด และบาเยิร์น มิวนิก แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของมิดฟิลด์ในยุคทองทีมชาติสเปนช่วงทศวรรษ 2010

อลอนโซยังอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของกุนซือชั้นนำทั้งเป๊ป กวาร์ดิโอลา, อันเชลอตติ, โชเซ มูรินโญ และราฟา เบนิเตซ 

เพื่อนนักเตะมีความสุขที่ได้เล่นกับอลอนโซ สตีเวน เจอร์ราร์ด อดีตกัปตันทีมลิเวอร์พูล เคยยกย่องอลอนโซเป็นเซ็นทรัลมิดฟิลด์เก่งที่สุดที่ตัวเขาเคยร่วมเล่นด้วย

ข้ามเวลามายังปัจจุบัน ไม่ถึง 3 ปีแรกในชีวิตผู้จัดการทีมชุดใหญ่ ซึ่งเริ่มต้นกับสโมสรแถวหน้าของลีกยุโรปท็อป 5 อลอนโซได้อำลาเลเวอร์คูเซนเพื่อกลับไปต้นสังกัดเก่า และรับงานที่อาจมีความกดดันมากที่สุดในโลก 

เรอัล มาดริด อ้าแขนรับอลอนโซจากการพาเลเวอร์คูเซนชนะเลิศบุนเดสลีกา ซีซัน 2023-24 ด้วยสถิติไร้พ่าย (ชนะ 28 นัด เสมอ 6 นัด) ด้วยสไตล์การเล่นที่ตื่นเต้นเร้าใจ มีระดับความเข้มข้นสูง และเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ

บอร์ฆา อิเกลเซียส ศูนย์หน้าทีมเรอัล เบตีส ซึ่งถูกเลเวอร์คูเซนยืมตัวในตลาดเดือนมกราคม 2024 กล่าวกับ ESPN ว่า ชาบีเป็นโค้ชยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เคยร่วมงาน และจากที่นักข่าว ESPN สอบถามความเห็นอดีตนักเตะหลายคนที่เคยร่วมงานกับอลอนโซต่างพูดชื่นชมในลักษณะเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม บางคนไม่แปลกใจที่กุนซือใหม่ป้ายแดงประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว

ขอบคุณภาพจาก  https://www.irishmirror.ie/sport/soccer/soccer-news/xabi-alonso-claims-rafael-benitez-10242865

เมื่อเบนิเตซรับตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในฤดูร้อนปี 2004 อลอนโซเป็นผู้เล่นคนแรกที่เขาซื้อเข้ามา จากเรอัล โซเซียดาด ด้วยค่าตัว 10.5 ล้านปอนด์ และเพียง 9 เดือนต่อมา อลอนโซเป็นผู้ทำประตูตีเสมอ 3-3 ในนาทีที่ 60 ก่อนลิเวอร์พูลชนะเอซี มิลาน 3-2 ในการดวลจุดโทษของนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาล 2004-05

ราฟา เบนิเตซ ให้สัมภาษณ์ ESPN ว่า “ปกติแล้วมักจะมีลูกทีมบางคนในทีมที่คุณมองว่าสามารถเป็นโค้ชได้ในอนาคต ด้วยการมองจากทัศนคติและสภาพจิตใจของพวกเขา ชาบีเป็นนักเตะที่ฉลาดคนหนึ่ง เป็นคนประเภทที่คุณรู้สึกว่า เฮ้! นายคนนั้นจะเป็นโค้ชได้แน่ แต่ดีแค่ไหน คงยากที่จะรู้”

ลุยส์ การ์เซีย นักวิเคราะห์เกมของ ESPN ซึ่งย้ายมาค้าแข้งในแอนฟิลด์วันเดียวกับอลอนโซ เล่าว่า “อลอนโซทำตัวเหมือนเป็นผู้จัดการทีมตั้งแต่สมัยเล่นกับลิเวอร์พูล เขาจะบอกให้เพื่อนยืนตำแหน่งที่ถูกต้องและต้องทำอะไร”

“อลอนโซเป็นส่วนขยายของผู้จัดการทีมทั้งหลุยส์ อราโกเนส (ทีมชาติสเปน) และเบนิเตซ เขามักยืนตรงตำแหน่งที่ถูกต้องเสมอ เข้าใจดีว่าโค้ชต้องการอะไร อลอนโซเป็นคนแบบถ้าเป็นโค้ช ต้องทำงานได้ดีแน่ๆ นิสัยของเขาเก่งเรื่องจัดการกับสถานการณ์ สมัยเป็นผู้เล่นเขาสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้มาก เรียนรู้จากยอดกัปตันทีมและยอดโค้ช”

เริ่มชีวิตโค้ช 4 ปีแรกในระดับยู14 และทีมสำรอง

หลังแขวนสตั๊ดเมื่อจบซีซัน 2016-17 กับบาเยิร์น อลอนโซไม่ใช้เวลานานเพื่อเบนเข็มทิศสู่อาชีพโค้ช เริ่มจากเข้าคอร์สโค้ชไลเซนส์ เอ และ บี ของยูฟาในเดือนเมษายน 2018 ใช้เวลา 6 เดือนเรียนหลักสูตรเข้มข้นที่สำนักงานใหญ่ของสหพันธ์ฟุตบอลสเปน (RFEF) ร่วมห้องเรียนเดียวกับ ชาบี เอร์นานเดซ ซึ่งต่อมาเป็นผู้จัดการทีมบาร์เซโลนาระหว่างปี 2021–2024 และราอูล กอนซาเล ซึ่งเพิ่งพ้นตำแหน่งผู้จัดการทีมสำรองของเรอัล มาดริด เมื่อพฤษภาคม 2025

ปลายปี 2018 อลอนโซก็รับงานแรก เป็นโค้ชให้ทีมยู14ของเรอัล มาดริด ซึ่งลูกทีม 2 คนจากชุดในซีซัน 2018-19 คือ ฆาโกโบ รามอน และ เชมา อันเดรส ได้รับการโปรโมทขึ้นทีมชุดใหญ่ของมาดริดในฤดูกาล 2024-25 ที่เพิ่งจบลง ขณะที่อเล็กซ์ ฆีเมเนซ ถูกเอซี มิลาน ยืมตัวไปเล่นให้ทีมยู19 ในตลาดซัมเมอร์ปี 2023 มีโอกาสลงสนามเซเรีย อา 3 นัด ทำให้ “รอสโซเนรี” ประทับใจจนใช้ออปชันซื้อขาดคว้าตัวไปเล่นในซีซัน 2024-25 ด้วยค่าตัว 5 ล้านยูโร 

การ์เซียพูดถึงอดีตเพื่อนร่วมทีมว่า “สำหรับผมแล้ว นั่นเป็นการก้าวเดินด้วยขั้นตอนที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นบุคลิกของอลอนโซอยู่แล้ว เขาไม่เคยเร่งรัดหรือข้ามขั้นตอนในอาชีพ ผมมั่นใจว่ามีหลายทีมพร้อมรับเขาไปคุมทีม แต่เขาตัดสินใจเลือกทำงานกับอะคาเดมีของมาดริดเป็นอันดับแรก ตามด้วยทีมสำรองของโซเซียดาด (ปี 2019) ซึ่งต่างเป็นทีมที่เขารู้จักดี ทั้งยังควบคุมสถานการณ์ต่างๆได้ ตัดสินใจว่าควรทำอะไร และสามารถทำผิดพลาดได้”

อลอนโซเริ่มต้นเล่นระดับซีเนียร์กับทีมสำรองของโซเซียดาด (1999–2000) ในลีกเซกุนดา ก่อนเลื่อนขึ้นทีมชุดใหญ่ (2000–2004) ช่วยโซเซียดาดเป็นรองแชมป์ลา ลีกา และย้ายไปเล่นให้ลิเวอร์พูล (2004–2009) ตามด้วยเรอัล มาดริด (2009–2014) และบาเยิร์น (2014–2017) 

ขอบคุณภาพจาก  https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-9393707/Xabi-Alonso-left-mark-Real-Sociedad-leave-soon-build-legacy.html

หลังทำงานในอะคาเดมีของมาดริด อลอนโซจับงานใหญ่ขึ้น คุมทีมสำรองของโซเซียดาดในเดือนมิถุนายน 2019 ซึ่งตอนนั้น อเล็กซ์ เพตซาร์โรมัน แบ็คขวาทีมเดปอร์ติโว ลา คอรุนญา สโมสรในเซกุนดาปัจจุบัน อยู่ในทีมแล้ว 

“อลอนโซเป็นไอดอลเสมอที่ลา เรอัล” เพตซาร์โรมันรำลึกอดีต “ความรู้สึกแรกของผมคือ ว้าว! เรามีโค้ชเป็นอดีตแชมป์โลกและได้แชมป์หลายรายการ ก็มีบางคนกังวลเหมือนกันว่าเขาเป็นคนแบบไหน แต่พอทำงานด้วยกันจริงๆ ทุกอย่างก็ง่ายมาก”

ที่สเปน ทีมสำรองลงแข่งในโครงสร้างลีกเดียวกับทีมชุดใหญ่ เพียงแต่ไม่สามารถเลื่อนชั้นขึ้นไปเล่นลีกเดียวกัน โดยซีซันแรกของอลอนโซ “ซานเซ” (Sanse) จบที่อันดับ 5 ของเซกุนดา ดิวิชัน บี แต่ซีซันต่อมา 2020-21 ซานเซคว้าแชมป์และถูกโปรโมทคืนสู่เซกุนดาหรือลีกเทียร์ 2 ของสเปนเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี และยังเป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์สโมสรด้วย

เพตซาร์โรมัน ซึ่งเป็นกัปตันทีมซานเซขณะนั้น กล่าวด้วยว่า “อลอนโซใกล้ชิดกับนักเตะ เป็นคนที่เข้าถึงง่าย ทุกคนต่างพูดถึงเขาในทางที่ดี ผมยังจำวันเก่าๆตอนเลื่อนดิวิชันได้ มีอารมณ์ร่วมมากมาย”

“ก่อนหน้าปีนั้นผมเอ็นไขว้หัวเข่าฉีก แต่อลอนโซเป็นโค้ชที่ดึงศักยภาพสูงสุดและฟอร์มดีที่สุดของผมออกมา บทสนทนาระหว่างเราในสนามหลังจากได้สิทธิเลื่อนชั้น ยังคงอยู่กับผมจนถึงทุกวันนี้”

แบ็คขวาทีมลา คอรุนญา ระบุว่า อลอนโซแสดงปรัชญาการเป็นโค้ชออกมาตั้งแต่ตอนนั้น “ทีมของอลอนโซต้องการบอลและเล่นไดเรคด้วย ทีมต้องเข้าเพรสทันทีที่เสียบอลด้วยความเข้มข้น นั่นคือสิ่งที่เขาบอกพวกเราบ่อยมากที่สุด เขามีไอเดียมากมายในหัว ต้องการให้ทีมเล่นอย่างไร โดยมีรูปแบบหลากหลาย แต่หลักการสำคัญที่สุดคือเรื่องที่กล่าวมาข้างต้น”

ไม่แปลกใจเลยที่เพตซาร์โรมันพูดเช่นนั้น เพราะเป็นสิ่งที่คาดหวังได้จากนักเตะที่เรียนรู้วิชาโค้ชจากกวาร์ดิโอลา, มูรินโญ และอันเชลอตติ ซึ่งปรากฏให้เห็นคนละนิดคือ แทคติกที่ยืดหยุ่น ความละเอียดถี่ถ้วน และการบังคับบัญชา แต่ยังเป็นผู้จัดการทีมที่มีความคิดเฉียบแหลมและไม่โอ้อวด”

“เราคุยกันในวันหนึ่ง อลอนโซบอกว่าวิธีที่ผมฝึกซ้อมยังไม่ดีพอ ผมจำเป็นต้องซ้อมทุกวันให้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เพื่อไปถึงจุดสูงสุด เขาบอกว่าผมมีศักยภาพมาก แต่วิธีฝึกซ้อมไม่ได้ดึงมันออกมาทั้งหมด ซึ่งเป็นคำพูดที่ผุดขึ้นมาในหัวผมบ่อยครั้ง ผมจึงเปลี่ยนวิธีซ้อม ไม่ทำอะไรสบายๆหรือผ่อนคลาย ผมเริ่มทุ่มเทให้กับมันมากขึ้น” เพตซาร์โรมันเปิดใจถึงคำพูดของอลอนโซนที่เค้นศักยภาพสูงสุดออกมาจากตัวเขา

ทีมสำรองของโซเซียดาดตกไปอยู่ดิวิชัน บี ในซีซันต่อมา 2021-11 แต่ไม่มีใครตำหนิหรือโยนความผิดให้อลอนโซ ซึ่งทุกคนรับรู้ถึงสไตล์คุมทีมที่เหมือนเงาสะท้อนสถานภาพนักเตะของเขาคือ เทคนิคที่ดึงดูดสายตา และเน้นแทคติก 

หลังจาก 3 ปีที่กลับมาใช้ชีวิตในซาน เซบาสเตียน เป็นเวลาที่อลอนโซต้องก้าวขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง

เปลี่ยน Neverkusen เป็นแชมป์บุนเดสลีกาไร้พ่าย

เลเวอร์คูเซนเป็นหนึ่งในสโมสรต้นแบบ ผลิตนักเตะดีๆออกมาต่อเนื่องและมักมีฤดูกาลที่ดีเสมอ แต่ไม่เคยสัมผัสช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ ในประวัติศาสตร์กว่า 1 ศตวรรษก่อนมาของอลอนโซ ถ้วยรางวัลที่ Neverkusen ได้สัมผัสมีเพียง เดเอฟเบ โพคาล 1993 และยูฟา คัพ 1988 โดยช่วงพีคสุดคือระหว่างปลายทศวรรษ 1990 ถึงต้น 2010 เคยเป็นรองแชมป์บุนเดสลีกา 5 สมัย และอันดับ 2 แชมเปียนส์ ลีก 2002 

นั่นหมายถึง อลอนโซใช้เวลาแค่ 1 ปีครึ่งในการล้างสมญานาม Neverkusen

ขอบคุณภาพจาก  https://www.getfootballnewsgermany.com/2024/xabi-alonso-comments-on-what-it-means-to-win-the-bundesliga/

บิล คอนเนลลีย์ นักข่าวอีกคนหนึ่งของ ESPN เล่าว่า อลอนโซใช้เวลาไม่นานพาเลเวอร์คูเซนพ้นโซนตกชั้นหลังรับตำแหน่งเมื่อตุลาคม 2022 ก่อนสร้างลายเซ็นให้กับสไตล์ฟุตบอล แต่ยังเก็บแนวคิดแทคติกที่ซับซ้อนเอาไว้ใช้ในพรีซีซันในปี 2023 วางแผนซ้อมพิเศษเพื่อสร้างระบบการเล่นที่เน้นการครองบอล (possession-based system) ซึ่งนำไปสู่ดับเบิลแชมป์เมื่อจบซีซัน 2023-24 คือบุนเดสลีกาไร้พ่ายและเดเอฟเบ โพคาล ทั้งยังเป็นรองแชมป์ยูโรปา ลีก

ปีต่อมา อลอนโซไม่สามารถรักษาผลงานระดับนั้นได้ก็ตาม เสียถาดแชมป์กลับไปให้บาเยิร์น, แพ้อาร์มิเนีย บีเลเฟลด์ รอบตัดเชือกถ้วยเยอรมัน และตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย แชมเปียนส์ ลีก ด้วยน้ำมือบาเยิร์น

คอนเนลลีย์อธิบายรูปแบบการเล่นของเลเวอร์คูเซนว่า อลอนโซวางหลักการบางอย่างที่ไม่สามารถต่อรองได้ ทุกคนไม่เคยเห็น Die Werkself จ่ายบอลยาวอย่างรีบเร่ง แต่ยังมีความยืดหยุ่นของแทคติก ทีมจบเกมด้วยการครองบอลต่ำกว่า 50% ประมาณ 20% ของโปรแกรมแข่ง และครองบอลมากกว่า 65% ราว 32% ของทั้งหมด

เลเวอร์คูเซนยุคอลอนโซทำแต้มเฉลี่ย 2.19 คะแนนต่อนัดเมื่อครองบอลน้อยกว่า 50% และนัดละ 2.15 คะแนนเมื่อครองบอลเหนือ 50% นั่นหมายถึง possession-based system ของทีมมีประสิทธิภาพสูง ทั้งที่ทีมสามารถเคาน์เตอร์แอทแทคได้แต่กลับไม่ทำ พร้อมอาจสร้างแรงกดดันฝ่ายตรงข้ามด้วย counter-pressing และ high defensive line แต่กลับทำเช่นนั้นเฉพาะเมื่อมีโอกาสเท่านั้น

แต่คอนเนลลีย์ชี้ว่า บางทีความยืดหยุ่นทางแทคติกอาจส่งผลเสียได้เช่นกัน อลอนโซคิดมากกับการจัดตัวผู้เล่น่ในบางครั้ง เช่นเปลี่ยนแผนจากหลัง 3 เป็นหลัง 4 ในเกมกับบาเยิร์นและบอลยุโรปหลายนัด ซึ่งให้ผลลัพธ์ต่างกันไป และหากแผน เอ ไม่ทำงาน เลเวอร์คูเซนจะหันไปพึ่งพาการเล่นที่ดุเดือดเข้มข้นเสมอ โดยทีมของอลอนโซมีผลต่างประตู +32 ตั้งแต่นาทีที่ 80ขึ้นไป รวมถึงประตูได้ 34 และเสีย 5 รวมทุกรายการในซีซัน 2023-24 และยังรักษาสถิติไร้พ่ายได้สำเร็จแม้โดนคู่แข่งรุกกระหน่ำช่วงทดเวลาเจ็บ นั่นแสดงถึงโปรแกรมฝึกซ้อมสร้างความฟิตของทีมงานมีผลอย่างมากในการต่อสู้ท้ายเกม ส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อมั่นของลูกทีมที่มีต่อโค้ชที่ผลักดันให้ทีมผ่านพ้นวิกฤติของเกมไปได้

การเสริมนักเตะเป็นอีกปัจจัยสำคัญ อลอนโซเซ็นสัญญากับกรานิต ชากาในปี 2023 เพื่อมาเป็นเจ้าทัพในแดนกลาง ด้วยประสบการณ์ของอดีตกัปตันทีมอาร์เซนอล พร้อมการสนับสนุนจากคู่ปราการหลังที่แข็งแกร่ง อย่างโจนาธาน ทาห์ และเอ็ดมอนด์ แท็ปโซบา บวกกับตัวรุก วิคเตอร์ โบนิเฟซ, เฌเรมี ฟริมปง และฟลอเรียน เวิร์ตซ์ จนดูเหมือนอลอนโซมีทรัพยากรบุคคลที่เข้าได้สมบูรณ์แบบกับวิสัยทัศน์ของตนเอง เนื่องจากก่อนการมาของกุนซือวัย 49 จากสเปน ฟริมปงและ อเลฆานโดร กริมัลโด วิงแบ็ค 2 ฝั่ง ไม่เคยสร้างผลงานได้ระดับนั้นให้กับเลเวอร์คูเซนเลย ขณะที่เวิร์ตซ์ก็มีพัฒนาการรุดหน้าเมื่อได้ทำงานร่วมกับอลอนโซ

เลเวอร์คูเซนฝากอนาคตในมือผู้จัดการทีมรุกกี

อลอนโซเป็นนักเตะเวิลด์คลาสอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ไม่ได้หมายความจะเป็นผู้จัดการทีมที่ดี ทำไมเลเวอร์คูเซนกล้าเสี่ยงกับอลอนโซ ซึ่งมีประสบการณ์โค้ชเพียง 4 ปี แถมเป็นเพียงทีมยู14 และทีมสำรอง

ขณะเซ็นสัญญาอลอนโซ เลเวอร์คูเซนอยู่อันดับ 17 ของตารางลีกเมืองเบียร์ ซีซัน 2022-23 แต่ไซมอน โรล์ฟส์ ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการของสโมสร ดูเหมือนตระหนักว่าได้พบคนที่มีจิตวิญญาณเหมือนกัน

ขอบคุณภาพจาก  https://www.sandiegouniontribune.com/2024/02/10/leverkusen-de-xavi-alonso-golea-3-0-bayern-munich-y-abre-brecha-de-5-puntos-en-cima-de-bundesliga/

โรล์ฟส์ให้สัมภาษณ์ ESPN เมื่อปีที่แล้วว่า “สโมสรมีข้อมูลที่ดีอยู่แล้ว มีการวิเคราะห์ว่าเขาเล่นอย่างไร ทำฟุตบอลสไตล์ไหน สามารถคาดหวังอะไรได้บ้าง เหมาะกับนักเตะของเราหรือเปล่า บุคลิกภาพส่วนบุคคล เขาเป็นคนอย่างไร และการสนทนาส่วนตัวระหว่างเราก็ยืนยันเรื่องนี้”

“อลอนโซสามารถได้ประสบการณ์ที่นี่ เราในฐานะสโมสรสามารถสนับสนุนเขาได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เราเป็นสโมสรที่ดีและมั่นคง เรามีทีมงานโค้ชที่ดี ซึ่งสามารถช่วยเหลือเขาได้ ส่วนผม ด้วยสถานภาพตามตำแหน่ง ผมต้องให้การสนับสนุนเขาอยู่แล้ว”

ขณะที่คนอื่นๆในสโมสรต่างเชื่อมั่นเช่นกันว่า ออราที่ออกมาจากอลอนโซและประสบการณ์ในฐานะนักเตะ รวมถึงการเป็นกองกลางที่เฉลียวฉลาดมาก และรู้จักการเล่นในตำแหน่งต่างๆ ทำให้อลอนโซเป็นตัวเลือกสมบูรณ์แบบสำหรับเลเวอร์คูเซน แม้เพิ่งเป็นการก้าวขึ้นอีกระดับหนึ่งของอาชีพโค้ช

เฟอร์นันโด คาร์โร ซีอีโอของเลเวอร์คูเซน กล่าวกับ ESPN เมื่อปีที่แล้วเช่นกันว่า “ไซมอนและชาบีมีมุมมองฟุตบอลคล้ายกัน คือต้องการเป็นฝ่ายคอนโทรลเกม ทั้งคู่เป็นมิดฟิลด์ที่เล่นตำแหน่งเดียวกัน สิ่งที่ทำให้ผมเชื่อมั่นคือ ทักษะการวิเคราะห์ของชาบี วิธีที่เขาวิเคราะห์สถานการณ์ สิ่งที่เขาคิดว่ามีความจำเป็น สิ่งที่เขาเรียนรู้จากโค้ชคนอื่นๆที่แตกต่างกัน ผมพอใจที่ชาบีเป็นคนฝักใฝ่เรียนรู้เสมอ และความสามารถของเขาในการนำประสบการณ์นักฟุตบอลมาใช้กับบทบาทโค้ช เขาทั้งฉลาด ใจเย็น และทะเยอทะยาน”

เพราะความทะเยอะทะยานนำพาอลอนโซก้าวขึ้นในระดับที่สูงขึ้นกับเรอัล มาดริด ซึ่งไม่ใช่เพียงเป็นสโมสรยักษ์ใหญ่ ขณะที่เลเวอร์คูเซนเป็นทีมชั้นนำที่กระหายความสำเร็จ แต่ “โลส บลังโกส”  คาดหวังความสำเร็จตลอดเวลา “ถ้าทีมไม่ชนะ คุณต้องไป ไม่ว่าเป็นใคร” อลอนโซเป็นอดีตนักเตะมาดริดคนที่ 7 ที่รับตำแหน่งใหญ่ในเบร์นาเบว และซีเนอดีน ซีดาน เป็นคนเดียวที่คุมทีมนานกว่า 1 ปีครึ่ง

อลอนโซเปิดใจขณะคุมทีมเลเวอร์คูเซนว่า “สิ่งที่เป็นกุญแจดอกสำคัญสำหรับผมที่เยอรมนีคือนักฟุตบอล ผมได้รับความเชื่อมั่นจากพวกเขา พวกเขามอบสิทธิพิเศษให้ผม ‘ใช่ เราต้องการเดินตามคุณ’ พวกเขาต่างมั่นใจว่า ‘ใช่ มันจะได้ผล’ พวกเขาเดินตามด้วยความเชื่อมั่นในสิ่งที่กำลังทำ”

แต่กับมาดริด ทีมที่อุดมไปด้วยดาวเตะฝีเท้าดีที่เชื่อมั่นในตัวเองสูง เช่นเดียวกับประธานสโมสรผู้แข็งกร้าว อลอนโซจะได้รับอิสระและมีลูกทีมที่ศรัทธาและยอมทำตามอย่างที่เลเวอร์คูเซนหรือไม่

แต่มองโลกแง่ดี อลอนโซมีประสบการณ์ที่มาดริดทั้งฐานะผู้เล่นและโค้ช ย่อมรู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับอะไร และต้องทำอะไร เมื่อบวกกับบุคลิกที่มั่นใจในตัวเองกับตัวอย่างที่ผ่านมา บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า อลอนโซเป็นโค้ชที่มีศักยภาพสูงแม้ระยะเวลาทำทีมยังไม่มากนัก

อย่างไรก็ตาม คอนเนลลีย์มองว่า ความยืดหยุ่นทางแทคติกยังเป็นเรื่องยากสำหรับอลอนโซในมาดริดเมื่อเทียบกับเลเวอร์คูเซน เพราะมีแนวรุกระดับบัลลงดอร์ถึง 3 คนคือ คีลิยัน เอ็มบัปเป, วินีซิอุส จูเนียร์ และจูด เบลลิ่งแฮม

นั่นหมายถึงอลอนโซยังมีเรื่องต้องแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนาพอสมควร แม้กระทั่งอันเชลอตติยังยอมรับหลังประกาศอำลาตำแหน่งหลังจบซีซัน 2024-25 ว่า ตัวเขาไม่สามารถจัดทีมนี้ให้มีประสิทธิภาพได้ ปัญหาอยู่ที่การจัดสมดุล ซึ่งอเล็กซ์ เคิร์กแลนด์ ผู้สื่อข่าว ESPN มองว่าเป็นการหาวิธีใส่เอ็มบัปเปให้ลงตัวในทีมที่มีวินีซิอุส, เบลลิ่งแฮม และโรดรีโกอยู่แล้ว โดยไม่ส่งผลเสียหายต่อความสมบูรณ์ของระบบเกมรับ

ขอบคุณภาพจาก  https://www.sportscasting.com/uk/news/real-madrid-vincius-kylian-mbappe-relationship/

เคิร์กแลนด์ยังชี้ถึงงานท้าทายใหญ่ที่สุดสำหรับอลอนโซอาจเป็นการหาจุดลงตัวระหว่างเอ็มบัปเปและวินีซิอุส ซึ่งต่างชอบเล่นฝั่งซ้ายของแนวรุก ทั้งสองต้องร่วมกันทำหน้าที่ฟรอนท์ทูอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีสัญญาณดีจากแฮททริกของเอ็มบัปเปในแมตช์แพ้บาร์ซา 3-4 (11 พ.ค.2025) รวมถึง 2 แอสซิสต์จากวินีซิอุส แต่ยังมีปัญหาสำคัญอยู่ที่การทำงานนอกบอลของทั้งสอง ซึ่งโดนวิจารณ์ว่าเป็นนักเตะเอาท์ฟิลด์ 2 คนที่ใช้เวลามากที่สุดไปกับการเดินไปเดินมาบนสนามลาลีกาฤดูกาลนี้

แต่แฟนบอลไม่ต้องรอให้ถึงเกมอุ่นเครื่องพรีซีซันหรือฤดูกาลหน้าเปิดฉาก เพื่อจะได้เห็นว่าอลอนโซจะนำมาดริดไปสู่สไตล์การเล่นรูปแบบไหน เพราะ “โลส บลังโกส” มีคิวลงแข่งขันชิงแชมป์สโมสรโลกที่สหรัฐอเมริกา โดยอยู่กลุ่ม เอช ของกรุ๊ปสเตจ พบกับอัล ฮิลาล, ปาชูกา (เม็กซิโก) และเรดบูล ซัลซ์บวร์ก ซึ่งหากมาดริดยืนอันดับ 1 ของกลุ่ม จะผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ 16 ทีมสุดท้าย พบกับอันดับ 2 ของกลุ่ม จี ซึ่งมีแมนฯซิตี, ยูเวนตุส, วีแดด เอซี (โมร็อกโก) และ อัล ไอน์ (ยูเออี)

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Feature

22 ปีของเลเวอร์คูเซน กับการลบล้างภาพ NEVERKUSEN

วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน 2024 ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน ชนะเลิศบุนเดสลีกาสมัยแรกในประวัติศาสตร์สโมสรที่ยาวนานเกือบ 120 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร วันที่ 1 กรกฎาคม 1904 โดยมีสารตั้งต้นจาก Wilhelm Hauschild เขียนจดหมายที่มีลายเซ็นของเพื่อนร่วมงาน 170 คน ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 1903 เพื่อขอการสนับสนุนในการก่อตั้งทีมกีฬาจากบริษัท Friedrich Bayer and Co. (ชื่อขณะนั้น หรือ Bayer AG ในปัจจุบัน) ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเคมีและยา ในเมืองเลเวอร์คูเซน ประเทศเยอรมนี

ในวันแห่งประวัติศาสตร์สโมสร เลเวอร์คูเซนถล่มทีมเยือน แวร์เดอร์ เบรเมน 5-0 คว้าแชมป์ลีกสูงสุดเมืองเบียร์แม้ฤดูกาล 2023-24 ยังเหลือการแข่งขันอีก 5 นัด แต่เพราะมีแต้มสะสม 79 คะแนน มากกว่ารองจ่าฝูง บาเยิร์น มิวนิก 16 คะแนน

นี่ถือเป็นผลงานที่เหลือเชื่อภายในเวลา 1 ปีครึ่งของ ชาบี อลอนโซ ซึ่งเพิ่งเข้ามาคุมทีมเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2022 ขณะที่เลเวอร์คูเซนรั้งอันดับ 2 จากท้ายตารางบุนเดสลีกา ก่อนพาทีมจบซีซัน 2022-23 ด้วยอันดับ 6 และได้สิทธิเล่นยูโรปา ลีก รอบแบ่งกลุ่ม

เป็นเรื่องดีสำหรับฟุตบอลเยอรมนีที่การครองแชมป์ติดต่อกันยาวนานของบาเยิร์นมาถึงจุดสิ้นสุดเสียที” แฟนบอลเบรเมนคนหนึ่งที่สวมเสื้อที่มีชื่อของเคลาดิโอ ปีซาร์โร พิมพ์อยู่ด้านหลังเปิดใจกับนักข่าว

ขอบคุณภาพจาก  https://www.bbc.com/sport/football/68812971

โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ชนะเลิศบุนเดสลีกาซีซัน 2011-12 ซึ่งนับจากนั้น บาเยิร์นครอบครองบัลลังก์ติดต่อกันถึง 11 ปี ซึ่งระหว่างนี้ หลายสโมสรผลัดเปลี่ยนขึ้นมาท้าทายไม่ว่าจะทีมแข็งแกร่งอย่างดอร์ทมุนด์, แอร์เบ ไลป์ซิก, เลเวอร์คูเซน หรือทีมที่มีประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่และมีแฟนบอลสนับสนุนระดับบิ๊กอย่าง ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต, โบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค หรือทีมที่มีเรื่องเล่าไม่มากนักอย่างอูนิโอน เบอร์ลิน, ไฟรบวร์ก, ฮอฟเฟนไฮม์ แต่ก็ไม่มีใครล้มยักษ์ใหญ่แห่งแคว้นบาวาเรียได้จนกระทั่งอลอนโซและลูกทีม Die Werkself (หรือ factory 11) ร่วมกันทำลายเป้าหมาย “12 ปีซ้อน” ของ Die Bayern ได้สำเร็จ

เลเวอร์คูเซนยังแชมป์ใหม่ป้ายแดงของบิ๊ก 5 ลีกของยุโรป นับตั้งแต่เลสเตอร์ ซิตี ซึ่งได้รับราคาต่อรอง 500-1 ชนะเลิศพรีเมียร์ลีก ซีซัน 2015-16 และไม่เพียงเป็นแชมป์บุนเดสลีกาสมัยแรกของสโมสร ทีมห้างขายยายังลบล้างฉายา “Neverkusen” ลงได้อีกด้วย

11 วันขยี้ฝันทริปเปิลแชมป์กับฉายา Neverkusen

แม้ก่อนหน้านี้ เลเวอร์คูเซนไม่เคยนั่งบัลลังก์ลีกสูงสุดเมืองเบียร์ แต่สังเวียนระดับทวีป พวกเขาเคยครองแชมป์ยูฟา คัพ (หรือยูโรปา ลีก) ซีซัน 1987-88 และรองแชมป์แชมเปียนส์ ลีก ซีซัน 2001-02 ส่วนภายในประเทศ Die Werkself เคยเป็นแชมป์เดเอฟเบ โพคาล ซีซัน 1992-93 และรองแชมป์อีก 3 สมัย รวมถึงครั้งหลังสุด ซีซัน 2019–20 พวกเขายังชนะเลิศบุนเดสลีกา 2 นอร์ธ ซีซัน 1978–79 และเลื่อนชั้นขึ้นมาแข่งขันสนามบุนเดสลีกาต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

ส่วนบุนเดสลีกา เลเวอร์คูเซนทำได้ดีที่สุดเพียง “รองแชมป์” ในซีซัน 1996–97, 1998–99, 1999–2000, 2001–02 และ 2010–11 รวม 5 ครั้งระหว่าง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้โดนล้อเลียน แปลงชื่อสโมสรจาก Leverkusenกลายเป็น Neverkusen (หรือ Visekusen ในภาษาเยอรมัน) เมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว

ย้อนกลับไปเมื่อโลกเข้าสู่ยุคมิลเลนเนียม วันที่ 20 พฤษภาคม 2000 เลเวอร์คูเซนต้องการเพียงเสมอในบ้านของทีมกลางตาราง อุนเตอร์ฮัคคิงก์ ในเกมสุดท้ายของซีซันเพื่อครอบครองถาดแชมป์ Die Meisterschale แต่ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ 0-2 หนึ่งประตูที่เสียเกิดจากการทำลูกเข้าประตูตัวเองของมิชาเอล บัลลัค ซึ่งต่อมากลายเป็นตำนานมิดฟิลด์ทีมชาติเยอรมนี ส่งให้บาเยิร์นเข้าป้ายวินเนอร์ มี 73 คะแนนเท่ากับเลเวอร์คูเซนแต่ประตูได้เสียเหนือกว่า 7 ลูก

ฉายา Neverkusen เกิดขึ้นอีก 2 ปีต่อมาในซีซัน 2001-02 เลเวอร์คูเซนประกอบด้วยสตาร์นักเตะอย่าง บัลลัค, ลูซิโอ, เซ โรแบร์โต, แบรนด์ ชไนเดอร์, อูล์ฟ เคียร์สเทน และดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ พวกเขากำลังลุ้น “ทริปเปิล แชมป์” แต่ความฝันพังมลายเพียงเวลา 11 วัน

ขอบคุณภาพจาก  https://twitter.com/BTLvid/status/1623058080446423041/photo/1

Die Schwarzroten (หรือ The Black and Reds) นำ 5 คะแนนก่อนเข้าสู่ 3 นัดสุดท้าย แต่กลับแพ้เบรเมน 1-2 (เหย้า) และแพ้เนิร์นแบร์ก 0-1 (เยือน) ก่อนปิดท้ายด้วยชนะแฮร์ธา เบอร์ลิน 2-1 (เหย้า) ทำให้ถาดแชมป์ตกเป็นของดอร์ทมุนด์ที่เหนือกว่าแค่ 1 คะแนน ขณะที่เลเวอร์คูเซนมีประตูได้เสียดีกว่าถึง 10 ลูก

แค่นั้นยังไม่พอ เลเวอร์คูเซนยังแพ้ชาลเก 04 ด้วยสกอร์ 2-4 ในนัดชิงเดเอฟเบ โพคาล และแพ้เรอัล มาดริด 1-2 ในนัดชิงแชมเปียนส์ ลีก จากประตูชัยที่สวยระดับตำนานของซีเนอดีน ซีดาน ทั้งที่รอบก่อนๆ สามารถผ่านทีมแข็งๆอย่างบาร์เซโลนา, ยูเวนตุส, ลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาได้

เหตุผลที่ความอาภัพอับโชคของ Neverkusen มีหลากหลาย ขึ้นอยู่กับผู้ถูกถามเป็นใคร แต่บัลลัคเชื่อว่ามาจากสภาพจิตใจที่ไม่สามารถรับมือกับแรงกดดันได้ ขณะที่โธมัส เบอร์ดาริช กองหน้าชาวเยอรมัน พูดถึง 11 วันนั้นว่าเป็นช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดในชีวิตนักฟุตบอลอาชีพ

แต่ 22 ปีต่อมา อลอนโซและลูกทีมในฤดูกาล 2023-24 สามารถเปลี่ยนฉายา Neverkusen ให้กลายเป็น Winnerkusen และยังเดินบนเส้นทาง “ทริปเปิล แชมป์” โดยจะชิงแชมป์เดเอฟเบ โพคาล กับไกเซอร์สเลาเทิร์น คู่แข่งเทียร์ 2 วันที่ 25 พฤษภาคม 2024 ขณะที่ยูโรปา ลีก พวกเขาผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศและพบกับโรมา

อลอนโซเป็นคนที่ใช่แม้อ่อนประสบการณ์โค้ช

ในวันแห่งประวัติศาสตร์สโมสร 6 ชั่วโมงก่อนคิกออฟกับเบรเมน บาร์ใกล้ไบอารีนาคลาคล่ำไปด้วยแฟนบอลเจ้าถิ่น พลุสีแดงถูกจุดส่งควันอบอวลไปทั่วบริเวณ ป้ายชื่อถนนที่เลี้ยวเข้าสู่สนามเหย้าของเลเวอร์คูเซนถูกแฟนบอลใช้ป้ายสติกเกอร์ที่พิมพ์ว่า Xabi-Alonso-Allee.” มาปิดทับเพื่อเป็นเกียรติแก่กุนซือสเปนวัย 42 ปี ซึ่งผ่านประสบการณ์เพียงโค้ชเรอัล โซเซียดาด ทีม บี ระหว่างปี 2019 – 2022 ก่อนรับงานทีมห้างขายยา

ย้อนกลับไปซีซัน 2021-22 เคราร์โด เซโอเน พาเลเวอร์คูเซนจบด้วยอันดับ 3 หลังจาก 5 ซีซันก่อนหน้าขึ้นถึงอันดับ 4ครั้งเดียว นั่นทำให้เกิดความหวังสูงกับซีซัน 2022-23 แต่เหตุการณ์ต่างราวหน้ามือหลังมือ กุนซือชาวสวิสพาทีมชนะ 2 นัด เสมอ 2 นัด แพ้ 8 นัดจาก 12 เกมแรกรวมทุกรายการ แถมพ่ายต่อเอลเวอร์สเบิร์ก ทีมดิวิชัน 3 ในเดเอฟเบ โพคาล รอบแรก และแพ้ 3 จาก 4 นัดแรกของแชมเปียนส์ ลีก สโมสรปลดเซโอเนพ้นตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2022 ขณะทีมอยู่อันดับรองโหล่ของบุนเดสลีกา

ไซมอน โรลเฟส อดีตมิดฟิลด์เลเวอร์คูเซน ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการกีฬาของสโมสร ให้สัมภาษณ์ว่า “มันน่าแปลกใจมากทั้งที่เราเก็บนักเตะดีๆไว้ได้หมด จบอันดับ 3 ซีซันที่แล้ว เล่นได้ดีมากๆด้วยซ้ำ ผมคิดว่าเราทำได้ถึง 80 ประตู มากที่สุดในประวัติศาสตร์เลย แต่จู่ๆเราก็ออกสตาร์ทได้ย่ำแย่”

“จากการวิเคราะห์ได้ข้อสรุปว่า เราจะหลุดพ้นสถานการณ์แย่นี้ได้อย่างไร เรารู้สึกว่าโค้ชคงไม่เวิร์กเหมือนเดิมแล้ว นั่นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง”

และวันเดียวกับที่เซโอเนจากไป สโมสรประกาศแต่งตั้งอลอนโซเป็นเทรนเนอร์คนใหม่ ซึ่งหลายคนมองว่า การให้โค้ชที่ไม่มีประสบการณ์คุมทีมชุดใหญ่เลยเป็นความเสี่ยง แต่โรลเฟสเฝ้ามองอลอนโซอย่างใกล้ชิดระยะเวลาหนึ่งแล้ว และหลังผ่านขั้นตอนสัมภาษณ์ เขาก็มั่นใจว่า อลอนโซเป็นคนที่ใช่

“เรามีข้อมูลดีๆเกี่ยวกับเขาอยู่ในมือแล้ว การพูดคุยกันช่วยยืนยันในสิ่งที่ผมคิด เราวิเคราะห์สไตล์การเล่นและการทำทีมของเขา อะไรบ้างที่สามารถคาดหวังได้ มันจะเข้ากับนักเตะที่มีอยู่อย่างไร รวมถึงบุคลิกภาพ”

“เขาสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่นี่ เราเป็นสโมสรที่สามารถสนับสนุนเขา เราเป็นสโมสรที่ดีมีเสถียรภาพ มีสตาฟโค้ชที่ดีคอยช่วยเหลือเขาได้ เป็นกลุ่มคนที่ดีมากๆ ต่อมาก็เป็นตำแหน่งของผม ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขา ผมพร้อมสนับสนุนเขาเต็มที่ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญ”

แต่แมตช์แรกที่อลอนโซคุมทีม เลเวอร์คูเซนแพ้ชาลเกยับ 0-4 ตามด้วยปราชัยต่อปอร์โตและแฟรงค์เฟิร์ตด้วยสกอร์รวม 1-8 โดย 7 นัดแรกรวมทุกรายการ (บุนเดสลีกากับแชมเปียนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม) ทีมของอลอนโซเก็บมาได้เพียง 6คะแนนเท่านั้น 

ผู้อำนวยการกีฬาย้อนความรู้สึกตอนนั้นว่า “1 เดือนแรก มันเป็นช่วงเวลาที่หนาหนัก แต่ข้อดีคือช่วยให้เราเรียนรู้และรู้จักกันดีขึ้น ช่วยให้เราตระหนักว่าควรทำงานด้วยกันอย่างไร”

ทุกอย่างดีขึ้นเมื่อถลุงทีมอันดับ 4 ซีซันนั้น อูนิโอน เบอร์ลิน 5-0 เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2022 โดยถ้วยสโมสรยุโรปที่ตกลงไปเล่นยูโรปา ลีก เลเวอร์คูเซนเอาชนะโมนาโก, เฟเรนซ์วารอส และยูเนียน แซงต์ กิลลัวส์ ผ่านเข้าถึงรอบรองขนะเลิศและแพ้โรมา ส่วนบุนเดสลีกา อลอนโซดันทีมจากอันดับ 17 ขึ้นมาปิดซีซันด้วยอันดับ 6 และจบซีซันต่อมาด้วยถาดแชมป์ทั้งที่ยังเหลือโปรแกรม 5 นัด

เหตุปัจจัย 4 ข้อ สู่ความสำเร็จของทีมห้างขายยา

ESPN สื่อใหญ่ในอเมริกา ได้วิเคราะห์รากฐานสำคัญ 4 ข้อที่ส่งให้เลเวอร์คูเซนไปสู่ความสำเร็จเหนือความคาดหมาย

ข้อ 1 เป็นการขาย ไค ฮาแวร์ตซ์ ให้เชลซีเมื่อปี 2020 ด้วยค่าตัวถึง 70 ล้านยูโร ซึ่งถูกนำมาลงทุนต่อได้อย่างสุดคุ้ม ขณะที่นักเตะจากยุคเดียวกันอย่าง โยนาธาน ทาห์ และเอเซเกล ปาลาซิออส ยังมีบทบาทสำคัญกับทีมจนถึงตอนนี้

ข้อ 2 ต้องมอบเครดิตมากมายให้กับ ไซมอน โรลเฟส สำหรับผลงานในตลาดซัมเมอร์ที่ผ่านมาเช่น อเล็กซ์ กรีมัลโด,กรานิต ชากา, โยนาส ฮอฟมันน์, เนธาน เทลลา และวิคเตอร์ โบนิเฟซ ทุกคนต่างให้ผลลัพธ์เชิงบวกแก่เลเวอร์คูเซนในฤดูกาลนี้

ข้อ 3 ฟลอเรียน เวิร์ตซ์ เป็นอัญมณีเม็ดสำคัญของเลเวอร์คูเซนนับตั้งแต่เลื่อนชั้นจากทีม ยู-17 ขึ้นมาเล่นให้ชุดใหญ่ครั้งแรกเมื่อ 18 พฤษภาคม 2020 ในเกมเยือนที่เบรเมน ทำลายสถิตินักเตะอายุน้อยที่สุดของสโมสรที่เล่นบุนเดสลีกาของฮาแวร์ตซ์ ที่ 17 ปี 15 วัน และต่อมาวันที่ 6 มิถุนายน ก็ทำประตูแรกให้ทีมห้างขายยาและเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ทำสกอร์ได้ในประวัติศาสตร์บุนเดสลีกาที่ 17 ปี 34 วัน จากเกมเหย้าที่แพ้บาเยิร์น 2-4 ประตูเกิดขึ้นนาทีที่ 89

ข้อ 4 แน่นอนย่อมเป็น ชาบี อลอนโซ ซึ่งหลายคนเห็นตรงกันว่าสโมสรโขคดีมากที่ได้ตัวตำนานมิดฟิลด์ ซึ่งเล่นให้ทีมชาติสเปนถึง 114 นัด และเคยร่วมบิ๊กทีมอย่างลิเวอร์พูล, เรอัล มาดริด และบาเยิร์น

ลูกัส ฮราเด็ตสกี นายทวารทีมชาติฟินแลนด์ ซึ่งร่วมทีมมาตั้งแต่ปี 2018 เปิดใจกับ ESPN ว่า “ผมเคยคิดว่ารถไฟแล่นออกไปแล้วเสียอีก แต่พอเราได้โค้ชและการเสริมผู้เล่นจากตลาด นั่นทำให้ผมเกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาอีกครั้ง”

เลเวอร์คูเซนยังจะประสบความสำเร็จอีกได้ไหม

งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา การเฉลิมฉลองของเลเวอร์คูเซนย่อมมีวันสุดสิ้น คำถามคือ Die Werkself จะไปได้ไกลกว่าซีซัน 2023-24 ไหม หรือเป็นเพียงซินเดอเรลลาผู้เลอโฉมก่อนเวลาเที่ยงคืน

บิล คอนเนลลี นักข่าว ESPN มองว่าขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยบางข้อ เริ่มจากเวิร์ตซ์ ซึ่งถูกตีราคาไว้สูงถึง 100 ล้านยูโร แม้แนวรุกดาวรุ่งวัย 20 ปี ยังมีสัญญากับสโมสรถึงกลางปี 2027 และน่าจะเป็นเป้าหมายเนื้อหอมในตลาดซัมเมอร์ปีหน้า ถ้าเลเวอร์คูเซนจะรักษาความสำเร็จได้นานๆ ควรรักษาเวิร์ตซ์ให้ได้

สถิติรวมทุกรายการซีซันนี้ สิ้นสุดที่แมตช์กับเบรเมน เวิร์ตซ์ลงสนาม 42 นัด ทำ 17 ประตู สูงเป็นอันดับ 2 ของทีม และ 18แอสซิสต์ มากที่สุดในทีม แต่เหนือกว่านั้น เวิร์ตซ์พาบอลเข้าไปยังโซน final third ถึง 426 ครั้งทั้งการจ่ายบอลและเลี้ยงบอลแบบ progressive เป็นตัวเลขที่เหนือกว่าเพื่อนทุกคน ทิ้งห่างอันดับ 2-3 เจเรมี ฟริมปง 304 ครั้ง และกรีมัลโด 250ครั้ง

แม้มีปัญหาเอ็นไขว้หน้าเข่า ถูกจำกัดด้วยจำนวนการลงสนาม แต่ค่าเฉลี่ยต่อ 90 นาทีกลับดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อ 12.2 ครั้งในซีซันนี้เทียบกับ 6.8 ครั้ง ซีซันที่แล้ว และ 7.5 ครั้ง ซีซัน 2021-22 

แม้เวิร์ตซ์ยังจะอยู่ในทีมป้องกันแชมป์บุนเดสลีกา แต่เลเวอร์คูเซนจะสามารถรักษาขุนพลสำคัญไว้ครบไหมในซีซัน 2024-25 อย่างเช่น ชากา, กรีมัลโด, ฮอฟมันน์, โรเบิร์ต อันดริช รวมถึงนักเตะที่อยู่กับทีมยาวนานอย่างทาห์และฮราเด็ตสกี ขณะที่มีข่าวออกมาว่า สโมสรพรีเมียร์ลีกให้ความสนใจอย่างจริงจังกับเอ็ดมงด์ ทัปโซบ และฟริมบง แต่คอนเนลลีเชื่อว่า ปกติแล้วสโมสรมักไม่หวั่นหากเสียสตาร์ไปสัก 1-2 คน แล้วก็จ่ายเงินน้อยกว่าไปซื้อผู้เล่นที่มีความแตกต่างไม่มากนัก

แต่ตัวแปรที่สำคัญสูงสุดคือ อลอนโซ ซึ่งตัดสินใจสานต่อโปรเจ็คท์ที่เลเวอร์คูเซน ไม่ย้ายไปคุมทีมลิเวอร์พูลหรือบาเยิร์น อย่างน้อยก็ซีซัน 2024-25 คงต้องติดตามต่อไปว่า อลอนโซจะทำได้เหมือนเยอร์เกน คลอปป์ ไหม ซึ่งนำแชมป์บุนเดสลีกามาให้ดอร์ทมุนด์ 2 ปีติดต่อกันในซีซัน 2010-11 และ 2011-12 

อย่างไรก็ตาม เลเวอร์คูเซนจะทำให้เป็นจริงหรือไม่ขึ้นอยู่กับบาเยิร์นไม่ใช่น้อย แม้ทีมเสือใต้จะเพลี่ยงพล้ำเสียถาดแชมป์ที่รักษาไว้นาน 11 ปี แต่บาเยิร์นยังเป็นบาเยิร์น ซึ่งล่าสุดล้มอาร์เซนอล ผ่านเข้าไปตัดเชือก แชมเปียนส์ ลีก กับเรอัล มาดริด รวมถึงดอร์ทมุน์กับไลป์ซิก ซึ่งเพียรพยายามล้มบัลลังก์ของบาเยิร์น แม้กระทั่งอาจมีทีมที่สร้างปาฏิหาริย์เหลือเชื่อปรากฎขึ้นอย่างซตุ๊ตการ์ท ซึ่งอยู่อันดับ 3 ตอนนี้ทั้งที่ซีซันที่แล้ว จบอันดับ 16 แต่สามารถต่ออายุบุนเดสลีกาได้ด้วยการชนะฮัมบวร์ก จากลีก 2 ในแมตช์เพลย์ออฟ

ทั้งหมดนี้ทำให้การแย่งถาดแชมป์ Die Meisterschale มีความสนุกสนานขึ้นในรอบหลายๆปีสำหรับแฟนบอลบุนเดสลีกาที่ไม่ใช่กองเชียร์บาเยิร์น

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Feature

ติอาโก มอตตา กับปรัชญาลูกหนังล้ำสมัยที่ซ่อนอยู่ใน 2-7-2

ติอาโก มอตตา เทรนเนอร์ชาวบราซิลวัยเพียง 41 ปี เป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมฟุตบอลคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามองแม้ยังไม่เคยพาทีมประสบความสำเร็จใดๆ ผลงานดีที่สุดเพียงพาโบโลญญาจบซีซันด้วยเลขตัวเดียวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ขึ้นมาเล่นกัลโช เซเรียอา ฤดูกาล 2015–16 และตอนนี้กำลังพารอสโซบลู (ทีมแดงน้ำเงิน) ลุ้นโควตาทัวร์นาเมนท์ยุโรป

ยิ่งกว่านั้น มอตตาเคยตกเป็นข่าวดังในสื่อฟุตบอลเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2018 มอตตา ซึ่งเพิ่งแขวนสตั๊ดราวครึ่งปีก่อนหน้า ให้สัมภาษณ์กับสื่อยักษ์อิตาลี ลา กัซเซตตา เดลโล สปอร์ต ขณะรับตำแหน่งโค้ชใหม่ของทีมปารีส แซงต์-แยร์กแมง รุ่นยู-19 ว่า เขาต้องการปฏิวัติฟุตบอลผ่านรูปแบบการเล่น 4-3-3 ด้วยการตีความใหม่เป็น 2-7-2 (ซึ่งบทความนี้จะขยายความและวิเคราะห์ทางแทคติกภายหลัง)

ต้นเมษายนที่ผ่านมามีรายงานว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สนใจที่จะดึงมอตตามาคุมทีมแทนเอริก เทน ฮาก เพราะพอใจผลงานและรูปแบบการเล่นนับตั้งแต่เป็นเทรนเนอร์ให้โบโลญญาในเดือนกันยายน 2022 มอตตาพารอสโซบลูจบซีซันแรกด้วยอันดับ 9 และมีลุ้นจบซีซันนี้ด้วยท็อป-4 

นอกจากแมนฯยูไนเต็ด ยูเวนตุสเป็นอีกทีมที่ต้องการอดีตมิดฟิลด์ทีมชาติบราซิล/อิตาลี ซึ่งกำลังจะหมดสัญญากับโบโลญญาหลังซีซันนี้จบลง ดาริโอ คาโนวี เอเยนต์ของมอตตาเคยกล่าวเมื่อไม่นานมานี้ว่า มอตตาปรารถนาจะคุมทีมลงแข่งแชมเปียนส์ ลีก สักวันหนึ่ง ซึ่งนั่นทำให้โอกาสของแมนฯยูไนเต็ดเป็นไปได้น้อยกว่ายูเวนตุส อย่างไรก็ตาม “เรด เดวิลส์” ยังมีข่าวเชื่อมโยงกับแกรห์ม พอตเตอร์ และแกเรธ เซาธ์เกต ในฐานะผู้จัดการทีมใหม่ด้วย แม้กระทั่งเทน ฮาก จะทำหน้าที่ต่อไปเป็นปีที่ 3 ยังไม่สามารถขีดทิ้งได้

มิดฟิลด์สารพัดประโยชน์ ชาญฉลาดเชิงเทคนิค

มอตตาเกิดวันที่ 28 สิงหาคม 1982 ที่เซา เบอร์นาโด ดู คัมโป ในรัฐเซา เปาโล ประเทศบราซิล ย้ายจากคลับ แอตเลติโก ยูเวนตุส ทีมลูกหนังในเซา เปาโล มาอยู่บาร์เซโลนาเมื่อปี 1999 ขณะอายุ 17 ปี แต่เริ่มกับทีมชุด บี มีสถิติ 12 ประตูจาก 84 นัดเฉพาะบอลลีก ก่อนถูกโปรโมทขึ้นชุดใหญ่ในปี 2001

มอตตาค้าแข้งที่บาร์เซโลนาระหว่างปี 2001 – 2007  ทำ 9 ประตูจาก 139 นัดรวมทุกรายการ โชคร้ายที่บาดเจ็บเป็นระยะๆ รวมถึงเอ็นเข่าซ้ายจากเกมกับเซบีญา วันที่ 11 กันยายน 2004 ต้องพักรักษาตัวถึง 7 เดือน นอกจากนี้ยังเคยตกเป็นข่าวใหญ่บนหน้าสื่อจากยูฟา คัพ รอบ 4 นัดแรก วันที่ 11 มีนาคม 2004 ซึ่งบาร์เซโลนาแพ้ 0-1 ในบ้านเซลติก เมื่อเขาและโรเบิร์ต ดักลาส นายทวารเจ้าบ้าน ได้รับใบแดงจากเหตุทะเลาะวิวาทในอุโมงค์ขณะพักครึ่ง

หลังถอดยูนิฟอร์มบาร์ซา มอตตาย้ายไปเล่นให้อัตเลติโก มาดริด ซีซัน 2007-08 และเจนัว ซีซัน 2008-09 ตามด้วยอีก 2 ซีซันครึ่งกับอินเตอร์ มิลาน ก่อนย้ายไปอยู่ปารีส แซงต์-แยร์กแมง ด้วยค่าตัวประมาณ 10 ล้านยูโรในตลาดฤดูหนาวปี 2012 มอตตาเล่นให้เปแอสเช 6 ซีซันครึ่ง ทำ 12 ประตูจาก 232 นัดรวมทุกรายการ และคว้าแชมป์กับยักษ์ใหญ่แห่งปารีสถึง 19รายการ รวมถึงแชมป์ลีกเอิง 5 สมัย ก่อนแขวนสตั๊ดหลังจบซีซัน 2017-18 และผันตัวเองไปเป็นโค้ช ยู-19 ของสโมสร

ตลอดอาชีพค้าแข้ง มอตตาชนะเลิศถึง 27 รายการ รวมถึงแชมป์ลา ลีกา 2 สมัยซ้อน และชนะเลิศแชมเปียนส์ ลีก ปี 2006 กับบาร์เซโลนา และอยู่ในทีมอินเตอร์ มิลาน ชุดทริปเปิล แชมป์ ซีซัน 2009-10 (เซเรีย อา, โคปปา อิตาเลีย และแชมเปียนส์ ลีก)

สำหรับทีมชาติ มอตตาเคยเล่นให้ทีมบราซิล ยู-17 และ ยู-23 ก่อนติดชุดใหญ่ไปแข่งขันคอนคาเคฟ โกลด์ คัพ ปี 2003 ซึ่งได้ลงสำรอง 2 นัดกับเม็กซิโกและฮอนดูรัสในรอบแบ่งกลุ่มรวมเพียง 71 นาที 

หลายปีต่อมา มีข่าวระบุว่ามอตตาอาจถูกทีมชาติอิตาลีเรียกตัวและอาจได้ไปเล่นเวิลด์คัพ 2010 เนื่องจากเขาถือ 2 สัญชาติ (dual nationality)  โดยปู่ของเขาเป็นชาวอิตาเลียนเนื่องจากปู่ทวดย้ายถิ่นฐานจาก Polesella ในอิตาลีมาอยู่ทวีปอเมริกาใต้ช่วงต้นทศวรรษ 1900

มอตตาเล่นให้อิตาลีนัดแรก วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2011 ถูกเปลี่ยนลงมานาทีที่ 63 ของเกมกระชับมิตรที่เสมอเยอรมนี 1-1 รวมแล้วเขาแข่งขันให้ทีมอัซซูรี 30 นัด ทำ 1 ประตูระหว่างปี 2011 – 2016 และได้รับเหรียญรองแชมป์ยูโร 2012 รวมถึงติดทีมชาติไปแข่งเวิลด์ คัพ 2014

สไตล์การเล่นของมอตตาเป็นประเด็นน่าสนใจเพราะอาจส่งผลต่อแนวคิดในฐานะเทรนเนอร์ มอตตาได้รับนิยามว่าเป็น combative player หรือนักเตะแนวนักสู้พันธุ์ดุ เล่นได้ทั้ง defensive midfielder และ central midfielder แต่ความจริงเล่นได้หลากหลายหน้าที่ในกองกลางด้วยความเฉลียวฉลาดเชิงเทคนิคและสารพัดประโยชน์

กับทีมชาติอิตาลี โค้ชเซซาเร ปรานเดลลี ให้เล่นเป็น deep-lying playmaker หรือ attacking midfielder เพราะมองว่ามอตต้าสามารถจ่ายบอลเพื่อเซตจังหวะการเล่นในแดนกลางได้ดี หรือในยูโร 2012 มอตตาทำหน้าที่ใหม่เป็น false attacking midfielder ในฟอร์เมชัน 4–3–1–2 ของปรานเดลลี บทบาทของเขาเปรียบเสมือน metodista ในภาษาอิตาเลียนหรือเซ็นเตอร์ฮาล์ฟนั่นเอง เนื่องจากเป็นตัวควบคุมการเล่นในกองกลางและช่วยเหลือแนวรับของทีม

แม้ได้รับเสียงชื่นชมเรื่องแทคเกิล, การอ่านเกม และคุณสมบัติเกมรับอย่างเช่น ball winner แต่จุดเด่นที่สุดของมอตตาเป็นการคอนโทรลบอล, เทคนิค, วิสัยทัศน์ และระยะการจ่ายบอล อีกทั้งมอตตายังมีสรีระแข็งแกร่ง, ลูกโหม่งดี และสามารถวิ่งตัดหลังเข้าไปในเขตโทษ จึงเป็นตัวโจมตีทางอากาศที่อันตราย รวมถึงการซัดบอลจากระยะไกล แต่มักโดนวิจารณ์เรื่องความก้าวร้าวในสนามและขาดความเร็ว

ประกาศปฏิวัติฟุตบอลแม้ยังไม่มีโปร ไลเซนซ์

ปารีส แซงต์-แยร์กแมงให้มอตตาคุมทีมยู-19 หลังแขวนสตั๊ดไม่กี่เดือน มอตตาสมัครเข้าเรียนคอร์สยูฟา โปร ไลเซนซ์ ที่ Centro Tecnico Federale di Coverciano ในเดือนสิงหาคม 2019 และได้รับใบอนุญาตเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2020 แต่ระหว่างนั้นในเดือนตุลาคม 2019 เจนัว ซึ่งรั้งอันดับรองบ๊วยของเซเรีย อา ได้แต่งตั้งมอตตาเป็นผู้จัดการทีมแทนออเรลิโอ อันเดรียสโซลี แต่ไล่ออกอย่างรวดเร็วปลายธันวาคมหลังคุมทีมเพียง 10 นัด เจนัวชนะ 2 นัด เสมอ 3 นัด แพ้ 5 นัด

กรกฎาคม 2021 มอตตาได้รับตำแหน่งผู้จัดการทีมของสเปเซียแทนวินเซนโซ อิตาเลียโน ซึ่งลาออกไปคุมทีมฟิออเรนตินา เขาทำงานเต็มซีซัน มีผลงานชนะ 11 นัด เสมอ 6 นัด แพ้ 23 นัด, เคยได้รับรางวัลเทรนเนอร์ยอดเยี่ยมของเซเรีย อา ประจำเดือนมกราคม 2022 เมื่อสเปเซียชนะ 3 นัดรวด และท้ายสุดช่วยให้ทีมรอดตกชั้นหวุดหวิด 

มอตตาตกลงยกเลิกสัญญากับสเปเซีย วันที่ 28 มิถุนายน 2022 ก่อนรับตำแหน่งผู้จัดการทีมโบโลญญา วันที่ 12 กันยายน 2022 แทนซินิซา มิไฮจ์โลวิช สามารถพาทีมรอซโซบลูจบซีซันด้วยอันดับ 9 เป็นเลขตัวเดียวครั้งแรกนับตั้งแต่ขึ้นมาเล่นเซเรียอา ฤดูกาล 2015–16 และยังได้รางวัลเทรนเนอร์ยอดเยี่ยมประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2023

มอตตาเป็นหนึ่งในเทรนเนอร์คลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามองจากไอเดียการทำทีม เคยเรียกเสียงฮือฮาเมื่อให้สัมภาษณ์กับลา กัซเซตตา เดลโล สปอร์ต ในเดือนพฤศจิกายน 2018 ทั้งที่เพิ่งรับงานโค้ชครั้งแรกในชีวิตกับทีมยู-19 ของเปแอสเช และยังไม่ได้ยูฟา โปร ไลเซนซ์ ด้วยซ้ำ เมื่อเขาประกาศว่ามีเป้าหมายปฏิวัติฟุตบอลผ่านรูปแบบการเล่น 4-3-3 ด้วยการตีความใหม่เป็น 2-7-2

“ความคิดของผมคือ เล่นเกมบุก คอนโทรลเกมได้ ไฮ-เพรสซิ่ง และเต็มไปด้วยการเคลื่อนที่ทั้งขณะมีและไม่มีบอล ผมต้องการให้ลูกทีมที่กำลังครองบอลมีวิธีแก้เกมอยู่ในหัว 3-4 รูปแบบเสมอ พร้อมทั้งมีเพื่อนร่วมทีม 2 คนอยู่ใกล้ๆเพื่อช่วยเหลือ”

“ผมไม่ชอบตัวเลขในสนาม (ฟอร์เมชันต่างๆ) เพราะมันหลอกคุณได้ บางทีทีมสามารถเปิดเกมรุกได้สุดๆด้วยระบบการเล่น 5–3–2 และสามารถตั้งรับได้เหนียวแน่นจาก 4–3–3 ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับคุณภาพของนักฟุตบอล”

“ผมมีแมตช์หนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ที่ฟูลแบ็ค 2 คนลงเอยด้วยการเล่นตำแหน่งเบอร์ 9 และ 10 แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมไม่ชอบนักเตะอย่างซามูเอลและคิเอลลินีที่เป็นกองหลังธรรมชาติ ถ้าอย่างนั้นมันควรเป็นฟอร์เมชัน 2–7–2 หรือเปล่า ผู้รักษาประตูถูกนับเป็นหนึ่งในกองกลาง 7 คน สำหรับผมแล้ว กองหน้าคือกองหลังคนแรก และผู้รักษาประตูเป็นกองหน้าคนแรก ผู้รักษาประตูเป็นคนเริ่มการเล่นด้วยเท้า กองหน้าเป็นคนแรกที่เข้ากดดันเพื่อแย่งบอลกลับคืนมา”

ตีความปรัชญาฟุตบอลของมอตตาผ่านฟอร์เมชัน 2-7-2

โทนี โรเบิร์ตสัน นักข่าวดิจิตอลของ The Sun อธิบายปรัชญาฟุตบอลของกุนซือวัย 41 ปีว่า ตัวเลข 2-7-2 ดูแปลกเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะมอตตามองผู้รักษาประตูเป็นเหมือนผู้เล่นมิดฟิลด์คนหนึ่งของเขา

แต่ความจริงแล้ว มอตตาอ่านแผนผัง 2-7-2 จากข้างสนามด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง ไม่ใช่จากกรอบประตูของทีมตัวเองไปยังฝั่งตรงข้ามเหมือนมุมมองปกติ ดังนั้นตัวเลข 2 จึงเป็นแบ็คขวาและปีกขวา กับแบ็คซ้ายกับปีกซ้าย โดยกองกลาง 7 คนประกอบด้วยผู้รักษาประตู, เซ็นเตอร์แบ็ค 2 คน, ดีเฟนซีพ มิดฟิลด์, เซ็นทรัล มิดฟิลด์ 2 คน และศูนย์หน้า

โรเบิร์ตสันสรุปว่า อีกนัยหนึ่ง 2-7-2 สำหรับมอตตาก็เป็นฟอร์เมชันปกติของ 4-3-3 หรือ 4-2-3-1 นั่นเอง หากวิเคราะห์จากรูปแบบการเล่นซีซันนี้ของโบโลญญา เห็นได้ชัดตรงกับปรัชญาข้อหนึ่งที่มอตตาพูดไว้เมื่อปี 2018 คือ โดดเด่นเรื่องการครองบอล รอสโซบลูจ่ายบอลแม่นยำสูงถึง 85.2% มากเป็นอันดับ 2 ของเซเรีย อา ณ ต้นเดือนเมษายน 2024 

การบิลด์อัพเพลย์ของโบโลญญาเริ่มที่ 1-3-2-5 แต่สามารถปรับเปลี่ยนเป็น 2-3-5 ตามด้วยอะไรที่คล้ายกับ 4-3-3 ซึ่งมิดฟิลด์เบอร์ 8 สองคนจะออกด้านข้างเพื่อสนับสนุนปีกและฟูลแบ็ค แต่โบโลญญามีจำนวนครอสบอลเข้ากรอบเขตโทษอยู่อันดับท้ายๆของลีกเมืองมะกะโรนี มอตตาชอบให้ลูกทีมเล่นกับพื้นที่ว่างและสร้างสรรค์จากตำแหน่งการยืนที่แคบๆ ซึ่งจะเห็นจากกองหน้าอย่างโจชัว ซีร์กเซ ถอยลงไปในพื้นที่ว่างเพื่อช่วยลำเลียงบอลจาก box midfield ของทีม

สำหรับเกมรับ โบโลญญาจะใช้แทคติกไฮ-เพรส ก่อนปรับรูปแบบเป็น 4-1-4-1 mid-block นั่นทำให้ทีมของโบโลญญามีสไตล์การเล่นที่ค่อนข้างสลับซับซ้อนและทำให้คู่แข่งงุนงงสับสนได้

วิเคราะห์รูปแบบการเล่นที่สลับซับซ้อนของทีมโบโลญญา

เว็บไซต์ The Football Analyst ได้จัดทำบทความวิเคราะห์แทคติกของมอตตาไว้อย่างน่าสนใจ เริ่มจากการสร้างเกมที่แบ่งออกเป็น low build-up และ high build-up

มอตตาจะวางฟอร์เมชัน 4-2-5 สำหรับ low build-up โดยให้เซ็นเตอร์แบ็ค 2 คนยืนด้านข้าง ผู้รักษาประตูจะยืนบริเวณเสาข้างหนึ่ง อีกข้างมีผู้เล่นคนหนึ่ง โดยมีผู้เล่นอีก 2 คนอยู่ด้านหน้า ทำให้ฟอร์มตัวเป็น box-midfield ตรงกลางบริเวณกรอบเขตโทษ บ่อยครั้งมิดฟิลด์ตัวรุกจะถอยลงมาร่วมด้วยเพื่อเพิ่มจำนวนผู้เล่นที่สามารถร่วมช่วยกันแก้เพรสของฝ่ายตรงข้าม

ส่วน high build-up รูปแบบจะเปลี่ยนเป็น 1-3-2-5 คล้ายกับ low build-up ต่างกันเพียงผู้รักษาประตูยืนหน้าโกล์คนเดียวเหมือนปกติ เซ็นเตอร์แบ็ค 2 คนกับผู้เล่นอีก 1 คนดันตัวขึ้นไปข้างหน้า 

อย่างไรก็ตาม โบโลญญาของมอตตามักโรเตชันรูปแบบบิลด์อัพเพื่อสร้างความสับสนให้คู่แข่งขัน หรือปรับตัวเองไปตามฟอร์เมชันของฝ่ายตรงข้ามเพื่อให้จำนวนผู้เล่นมีความได้เปรียบตามพื้นที่หรือโซนต่างๆ หวังผลในการทำลายเกมรับและเข้าไปทำประตูได้มากขึ้น แต่การปรับเปลี่ยนที่ใช้บ่อยที่สุดเป็นการดันเซ็นเตอร์แบ็คคนหนึ่งขึ้นไปยังกองกลางเป็นรูปแบบ 1-2-3-5 

สำหรับการเข้าโจมตี โบโลญญาเป็นทีมหนึ่งที่ยอดเยี่ยมในพื้นที่ final third มักสร้างโอกาสได้เสมอ หลักๆคือโจมตีพื้นที่ว่างของคู่แข่งระหว่างเซ็นเตอร์แบ็คกับฟูลแบ็คหรือ half-space นั่นเอง ลูกทีมของมอตตามักโจมตีบริเวณด้านข้างของสนามด้วยการโอเวอร์แลปของผู้เล่นมิดฟิลด์

นอกเหนือโจมตี half-space แล้ว มอตตายังมีแทคติกเกมบุกอีกอย่างที่เป็นเอกลักษณ์คือผู้เล่นในแดนกลางให้มีจำนวนเหนือกว่าคู่แข่ง ซึ่งปกติมักวางผู้เล่น 4 คนเพื่อต่อกรกับ box-midfield ของรอสโซบลู โดยมอตตาจะแก้เกมด้วยการให้กองหน้าถอยลงมา สร้างความได้เปรียบในจำนวนผู้เล่นกองกลาง และมักจะประสบความสำเร็จในการทำลายแนวรับของคู่แข่ง ซึ่งเป็นไปได้ที่เซ็นเตอร์แบ็คจะตามไปประกบกองหน้า นั่นเป็นโอกาสให้โบโลญญาเข้าไปทะลวงพื้นที่ว่างที่อยู่ข้างหลัง

The Football Analyst มองว่าการเล่นของโบโลญญาเป็นไปในลักษณะที่มอตตาเคยให้สัมภาษณ์ปลายปี 2018 คือ เล่นเกมบุก คอนโทรลเกมได้ ไฮ-เพรสซิ่ง และเต็มไปด้วยการเคลื่อนที่ทั้งขณะมีหรือไม่มีบอล ส่วนใหญ่จะทำเช่นนั้นไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะใช้รูปแบบไหนมาต่อกร หลักการสำคัญข้อหนึ่งที่มอตตาทำได้สำเร็จคือ สร้างความไหลเวียนภายในระบบของทีมผ่านinterchanges และ rotations หลายรูปแบบ

ตัวอย่างเช่น มอตตาต้องการให้เซ็นเตอร์แบ็คของโฮลดิ้งมิดฟิลด์โรเตทและเปลี่ยนตำแหน่งกันเพื่อทำให้ฝ่ายตรงข้ามสับสน บ่อยครั้งที่มิดฟิลด์ตัวรับถอยลงเพื่อลากกองกลางคู่แข่งขันตามมา ซึ่งจะเปิดพื้นที่ว่างตรงกลาง เซ็นเตอร์แบ็คจะวิ่งเข้าไปใน open space นั้นเพื่อรับบอลและลำเลียงขึ้นไปข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม การเล่นลักษณะนี้ได้ต้องอาศัยทักษะเชิงแทคติกและเทคนิคจากนักเตะเป็นอันมาก การไหลเวียนภายในระบบจะสร้างไดนามิกใหม่และหลากหลายให้กับเกมบุกของโบโลญญา อีกทั้งยังช่วยเพิ่มทางออกใหม่ๆในการเอาชนะเพรสซิ่งของทีมคู่แข่งด้วย

ในส่วนของเกมรับก็ไม่แตกต่างจากบิลด์อัพและเกมบุก โบโลญญาจะมีทั้ง high press และ low press ทีมของมอตตาจะดูดุดันแม้ทั้งจังหวะไม่มีบอลเช่น high press มอตตาต้องการให้นักเตะตามประกบคู่แข่งแบบ man-to-man และเข้าเพรสซิ่งอย่างเข้มข้น ทีมรอสโซบลูมักจะแย่งบอลได้บริเวณพื้นที่ด้านบนของสนามเสมอ แน่นอนบ่อยครั้งที่พวกเขาได้ประตูจากไฮเพรส

สำหรับ low press โบโลญญาจะปรับฟอร์เมชันเป็น 1-4-5-1 สร้าง mid-block เพื่อปิดพื้นที่บริเวณกลางสนาม บีบให้คู่แข่งออกบอลไปด้านข้าง มอตตาต้องการให้ลูกทีมประกบมิดฟิลด์ฝ่ายตรงข้ามแบบ man-mark อย่างไรก็ตามโบโลญญามีเกมรับที่ไดนามิกสูง แปรเปลี่ยนไปตามการเล่นของคู่แข่ง นอกจาก 1-4-5-1 ยังอาจเป็น 1-4-1-4-1 หรือ 1-4-2-3-1 ได้อีกด้วย

2-7-2 อาจเป็นการจิกกัดด้วยอารมณ์ขันของโค้ชหัวก้าวหน้า

อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ transfermarkt ในการแข่งขันฤดูกาล 2023-24 ฟอร์เมชันที่โบโลญญาใช้เป็นหลักคือ 4-2-3-1รองลงมาคือ 4-1-4-1 บางครั้งเป็น 4-3-3 Attacking ซึ่งก็ตรงอย่างที่มอตตาพยายามสื่อปรัชญาฟุตบอลของเขากับลา กัซเซตตา เดลโล สปอร์ต เมื่อกว่า 5 ปีที่แล้วว่า เขาเพียงต้องการตีความฟอร์เมชันให้แตกต่างจากลักษณะเดิมๆที่ไม่ได้ชี้ให้เห็นถึงลักษณะการเล่นที่แท้จริงเลย เขาจึงอ่านฟอร์เมชันด้วยวิธีใหม่คือจากด้านข้างของสนาม ซึ่งเมื่อเวลาผ่านเลยจนถึงตอนนี้ 2-7-2 อาจเป็นเพียงอารมณ์ขันเชิงจิกกัดตามประสาโค้ชใหม่ไฟแรงที่มีความเป็นศิลปินซุกซ่อนอยู่

เราสามารถมองอีกมุมหนึ่งได้ว่า แนวคิดที่ให้สัมภาษณ์ปลายปี 2018 ถือเป็นไอเดียหัวก้าวหน้าเพราะทุกวันนี้ ไฮเพรสซิ่ง, การให้ความสำคัญกับเปอร์เซ็นต์การครองบอล, โรเตชันและทรานซิชันตำแหน่งระหว่างผู้เล่น ถือเป็นแทคติกปกติและได้รับความนิยมในหมู่สโมสรชั้นนำไปแล้ว

ดังที่ The Football Analyst ได้สรุปบทวิเคราะห์แทคติกของโบโลญญาว่า เห็นได้ชัดมอตตามีกลยุทธ์ที่ซับซ้อน ซึ่งสามารถยกให้เป็นวิวัฒนาการของปรัชญาฟุตบอลก็ไม่ผิดความจริงนัก สร้างสรรค์ให้เกิดรูปแบบการเล่นใหม่ๆที่ทันสมัยและมีชีวิตชีวา นำไปสู่เกมฟุตบอลที่สวยงามมอบแก่ผู้ชม

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Feature

หรือว่า “ผู้จัดการทีม” เป็นต้นเหตุ บราซิลยังรอคอยแชมป์โลกสมัยที่ 6

หลังตีเตพ้นตำแหน่งเมื่อจบเวิลด์คัพ 2022 ที่กาตาร์ ทีมชาติบราซิลใช้บริการของกุนซือรักษาการไป 2 คนคือ รามอน เมเนเซส (3 นัด ช่วงกุมภาพันธ์ถึงกรกฎาคม 2023) และ แฟร์นานโด ดินิซ (6 นัด ช่วงกรกฎาคม 2023 ถึง มกราคม 2024) ระหว่างรอ คาร์โล อันเซลอตติ ตอบรับข้อเสนอ แต่ท้ายสุดไม่เป็นดังหวัง ยอดกุนซืออิตาเลียนวัย 64  ปี ต่อสัญญาคุมทีมเรอัล มาดริด ไปถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2026

นั่นทำให้สมาพันธ์ฟุตบอลบราซิลเบนเข็มไปดึง โดริวัล จูเนียร์ มาจากสโมสรเซา เปาโล ทั้งที่เฮดโค้ชวัย 61 ปี เพิ่งเข้าทำงานให้สโมสรเป็นรอบ 2 เมื่อเดือนเมษายน 2023 โดยประกาศแต่งตั้งโดริวัลอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมา

จากโปรแกรมแข่งขันของอดีตแชมป์โลก 5 สมัย โดริวัลจะคุมทีมบราซิลอุ่นเครื่อง 4 นัดกับอังกฤษ, สเปน, เม็กซิโก และสหรัฐอเมริกา ก่อนเข้าร่วมโคปา อเมริกา หรือศึกลูกหนังชิงแชมป์แห่งชาติทวีปอเมริกาใต้ ครั้งที่ 48 ระหว่างวันที่ 20มิถุนายน ถึง 14 กรกฎาคม 2024 ที่สหรัฐอเมริกา

หลังจบโคปา อเมริกา โดริวัลยังมีภารกิจสำคัญคือ เวิลด์คัพ 2026 รอบคัดเลือก โซนอเมริกาใต้ ซึ่งยังเหลืออีก 12 นัด ที่จบโปรแกรมในเดือนกันยายน 2025 แต่บราซิลทำผลงาน 6 นัดแรกต่ำกว่ามาตรฐาน ชนะ 2 นัด เสมอ 1 นัด และแพ้ถึง 3นัด มีเพียง 7 คะแนน รั้งอันดับ 6 ตามหลังจ่าฝูง อาร์เจนตินา 8 คะแนน

อย่างไรก็ตามด้วยชื่อชั้นและเกรดฝีเท้าของนักเตะ บวกการแข่งขันที่ยังเหลือ 12 นัด โดริวัลน่าจะพาบราซิลไต่ขึ้นไปอันดับสูงๆ ไม่ถึงขั้นต้องพึ่งอันดับ 6 ซึ่งเป็นโควตาสุดท้ายของตั๋วอัตโนมัติไปบอลโลก หรืออันดับ 7 ซึ่งต้องแข่งขันเพลย์ออฟกับทีมชาติจากทวีปอื่น

แม้บราซิลเป็นอดีตแชมป์โลก 5 สมัย แต่ว่างเว้นยาวนานกว่า 2 ทศวรรษนับตั้งแต่ชนะเยอรมนี 2-0 นัดชิงชนะเลิศเวิลด์คัพ 2002 ที่โยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นยุคทองของ 3 ประสาน โรนัลโด-ริวัลโด-โรนัลดินโญ รวมถึงตำนานวิงแบ็ค คาฟู-โรแบร์โต คาร์ลอส ทั้งที่บราซิลไม่เคยขาดแคลนนักเตะฝีเท้าระดับซูเปอร์สตาร์ แม้แต่ขุนพลชุดบอลโลกแต่ละสมัยก็แข็งแกร่งเป็นหนึ่งในทีมเต็งแชมป์อันดับต้นๆ

บางทีจุดอ่อนที่ไม่สามารถพา Seleção Canarinha หรือ Canary Squad (ทีมนกคีรีบูน) ไปถึงฝั่งฝันคือ “ผู้จัดการทีม”เพราะนับตั้งแต่ ลุยซ์ เฟลิเป สโคลารี นำถ้วยฟีฟา เวิลด์ คัพ มาสู่มาตุภูมิ บราซิลใช้ผู้จัดการทีมถึง 11 คน รวมรักษาการ และโดริวัลเป็นคนที่ 12 ในรอบ 22 ปี แม้กระทั่งดึงสโคลารีกลับมาคุมทีมรอบที่ 2 ระหว่างกุมภาพันธ์ 2013 ถึงกรกฎาคม 2014

ผลงานของผู้จัดการทีมระหว่าง 2 ทศวรรษล่าสุดที่นำขุนพลแซมบาสู่สมรภูมิบอลโลกได้แก่ คาร์ลอส อัลแบร์โต เปเรยรารอบ 8 ทีมสุดท้าย ปี 2006 ทั้งที่เคยพาทีมชนะเลิศเวิลด์คัพ 1994, ดุงกา รอบ 8 ทีมสุดท้าย ปี 2010, สโคลารี อันดับ 4ปี 2014 และ ตีเต รอบ 8 ทีมสุดท้าย ปี 2018 และ 2022

จะเห็นได้ว่า ฟุตบอลโลก 5 ครั้งหลังสุด บราซิลตกรอบก่อนรองชนะเลิศถึง 4 ครั้ง และผลงานดีที่สุดคือ อันดับ 4 ซึ่งแพ้เนเธอร์แลนด์ 0-3 ในแมตช์ชิงอันดับ 3

กาเบรียล มาร์กอตติ นักข่าวอาวุโสของ ESPN FC เขียนบทวิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจถึงสาเหตุว่า ทำไมผู้จัดการทีมชาวบราซิลไม่ประสบความสำเร็จเทียบเท่านักฟุตบอลบราซิล

สโมสรลีกบิ๊ก 5 ยุโรปเมินโค้ชอินพอร์ตจากบราซิล

มาร์กอตติเริ่มต้นด้วยการอธิบายให้เห็นภาพใหญ่ของโค้ชบราซิล … ตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติบราซิลเป็นงานโค้ชงานที่ 26 ของโดริวัลภายในเวลา 22 ปี คิดเป็นค่าเฉลี่ยทำงานแต่ละแห่งไม่ถึง 1 ปีเต็ม แต่โดริวัลก็ไม่ได้แปลกแยกไปจากเพื่อนร่วมชาติที่ทำงานอาชีพโค้ชฟุตบอล

ดินิซ ซึ่งคุมทีมฟลูมิเนนเซก่อนเข้ารักษาการผู้จัดการทีมชาติบราซิลในเดือนกรกฎาคม 2023 ก็ทำงาน 17 แห่งในช่วง 13ปี ขณะที่กุนซือคนก่อนหน้า เมเนเซส ทำงาน 11 แห่งในช่วง 10 ปี แม้กระทั่งตีเต ซึ่งนำทัพ Seleção Canarinha สู่เวิลด์คัพ 2 สมัย เป็นโค้ชทีมชาติบราซิลที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์คือ 6 ปี 3 เดือน ก็ยังคุมทีม 17 แห่งในช่วง 25 ปี ก่อนได้รับสัญญาจากสมาพันธ์ฟุตบอลบราซิล

แน่นอน สมาพันธ์ฯย่อมมองหาตัวเลือกที่ดีที่สุดเพื่อคุมทีมชาติบราซิลที่มีเกียรติประวัติอดีตแชมป์โลก 5 สมัย แต่บางทีอาจเป็น best available ณ ช่วงเวลานั้นที่อยู่ระหว่างคำว่า good กับ great เพราะข้อจำกัดคือ โค้ชดีๆมักติดอยู่กับงานที่กำลังทำ สโมสรจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อรักษาโค้ชคนนั้นไว้ ถึงไม่ได้คุมทีมชาติและถูกต้นสังกัดไล่ออกในเวลาต่อมา โค้ชบราซิลไม่ลำบากที่จะหางานใหม่ในระดับใกล้เคียงกัน

วงจรชีวิตของโค้ชบราซิลแตกต่างจากยุโรป การเปลี่ยนงานเป็นเรื่องปกติ อย่างโดริวัล ระยะคุมทีมนานที่สุดคือไม่ถึง 2 ปีที่ซานโตส ระหว่างกรกฎาคม 2015 ถึงมิถุนายน 2017 เขาเข้ามารับงานกลางฤดูกาล พาซานโตสขึ้นอันดับ 7 และจบอันดับ 3 ในปีต่อมา ก่อนโดนปลดฟ้าผ่าหลังปี 2017 เล่นไปได้เพียง 4 นัด นั่นเป็น 1 จาก 2 ครั้งที่โดริวัลทำงานนานกว่า 1 ปี

เห็นได้ชัดว่า วัฒนธรรมของโค้ชบราซิลแตกต่างจากยุโรปและส่วนใหญ่ของโลก ซึ่งเชื่อว่าโค้ชต้องการเวลาสร้างทีม พัฒนานักเตะ และติดตั้งแนวคิดสไตล์การเล่น แต่โค้ชในเมืองกาแฟไม่ได้มีประสบการณ์เช่นนั้น และถูกมองว่าคงไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมทำทีมในยุโรป

ดังนั้นโค้ชบราซิลน้อยรายมากที่ทำงานใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป สโคลารีไม่ประสบความสำเร็จกับเชลซีในซีซัน 2008-09, วานเดอร์ไล ลักเซมบูร์โก คุมทีมเรอัล มาดริด ไม่ถึง 12 เดือนเมื่อปี 2005, ริคาร์โด โกเมซ มีช่วงเวลาไม่นานนักที่บอร์กโดซ์และโมนาโก, เลโอนาร์โด โค้ชให้กับเอซี มิลาน และอินเตอร์ มิลาน ระหว่างปี 2009 ถึง 2011 และติอาโก มอตตา คุมทีมโบโลญญาตั้งแต่กันยายน 2022 ถึงปัจจุบัน

ในโปรไฟล์ต้องใส่เครื่องหมายดอกจันไว้หลังชื่อนั้นๆ สโคลารีได้รับความสนใจจากยุโรปหลังพาบราซิลชนะเลิศเวิลด์คัพ 2002 เริ่มจากสมาคมฟุตบอลโปรตุเกสตามด้วยเชลซี, เลโอนาร์โดเบนเข็มทิศไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการหลังทำหน้าที่โค้ชเพียง 2 ปี, มอตตาเล่นให้บาร์เซโลนาขณะอายุ 17 และประสบความสำเร็จกับอาชีพค้าแข้งในสเปน อิตาลี ฝรั่งเศส เคยเล่นให้ทีมชาติอิตาลี และได้รับโค้ชไลเซนซ์ที่ยุโรป

ดูแล้วเป็นเรื่องไม่สมเหตุผลในแง่ความกว้างใหญ่มหาศาลของบราซิล เพียงภาคเหนือก็มีประชากรกว่า 200 ล้านคน มากกว่า 4 ประเทศอดีตแชมป์โลกรวมกันคือ เยอรมนี อาร์เจนตินา อิตาลี และอุรุกวัย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บราซิลผลิตนักฟุตบอลเพื่อส่งออกได้มากมาย จากการศึกษาพบว่ามีนักฟุตบอล 14,405 คนที่เล่นอยู่ในลีกนอกประเทศบ้านเกิดของตัวเอง 135 ลีกทั่วโลก ซึ่งจำนวน 1,289 คนมาจากบราซิล เป็นส่วนสัด 1 ต่อ 11 ทีเดียว

เป็นใครอาจสันนิษฐานต่อว่า ในเมื่อเป็นประเทศที่ผลิตนักเตะเปี่ยมพรสวรรค์ได้มากผ่านองค์ความรู้และประเพณี บราซิลจึงควรผลิตโค้ชระดับท็อปได้มากเช่นกัน ซึ่งทราบกันดีว่าเป็นตรรกะที่ผิด

และจากการที่นักข่าวอาวุโสของ ESPN FC ได้พูดคุยกับนักข่าว ผู้บริหาร เอเยนต์ และโค้ชที่เคยทำงานในบราซิล ได้พบความจริงคือ ฟุตบอลบราซิลเป็นโลกที่แตกต่าง และไม่ได้สัมพันธ์เพียงยุโรปแต่รวมถึงชาติอื่นในทวีปอเมริกาใต้ด้วย โดยมีหลายตัวแปรที่ทำให้โค้ชบราซิลไม่ได้รับการยกย่องเหมือนนักฟุตบอลร่วมชาติ

แนวคิด “จ้างแล้วไล่ออก” เหนี่ยวรั้งพัฒนาการของโค้ชบราซิล

ข้อสำคัญคือ สโมสรบราซิลมีแนวคิด “hire-and-fire” หรือ “จ้างแล้วไล่ออก” เนื่องจากหมกหมุ่นอยู่กับผลลัพธ์ระยะสั้น ตัวอย่างเห็นได้ชัดจากโดริวัล สโมสรสามารถปลดโค้ชออกหลังผลแข่งแย่ไม่กี่นัด บ่อยครั้งสโมสรจึงเซ็นสัญญาแค่ระยะสั้น แม้มีข้อดีเอื้อต่อสภาพคล่องในการปรับเปลี่ยน แต่ถ้าโค้ชเกิดทำผลงานได้ดี ก็อาจถูกสโมสรอื่นแย่งตัวไปง่ายเช่นกัน

เบื้องหลังแนวคิด “จ้างแล้วไล่ออก” มาจากทีมส่วนใหญ่ในบราซิลใช้ระบบเลือกตั้งประธานสโมสรและบอร์ดบริหาร (ต่างกับยุโรปที่กลุ่มหรือบริษัทเจ้าของพิจารณาแต่งตั้งเอง) จึงต้องอาศัยคะแนนนิยมจากแฟนบอล ผลแข่งขันย่ำแย่ไม่กี่นัดสามารถดึงเสียงโหวตไปให้กับคู่แข่งขัน แม้บราซิลออกกฎหมายใหม่เมื่อปี 2021 เปิดประตูให้แหล่งเงินทุนต่างประเทศเข้ามาครอบครองสโมสร แต่ยังมีจำนวนน้อยนิดได้แก่ วาสโก ดา กามา, โบตาโฟโก, มิไนโร และครูไซโร

ขอบคุณภาพจาก  https://en.as.com/en/2017/12/15/soccer/1513337545_179071.html

ขอบคุณภาพจาก  https://en.as.com/en/2017/12/15/soccer/1513337545_179071.html

เทียบกับสโมสรยุโรปที่เจ้าของทีมคือเจ้าของเงินลงทุน จึงอาจอดทนกับโค้ชได้นานเพราะการไล่ออกหมายถึงเสียค่าชดเชยหรือต้องจ่ายค่าจ้างต่อทั้งที่มีโค้ชใหม่เข้ามาทำงานแทน แต่ที่บราซิล ประธานสโมสรและบอร์ดบริหาร ซึ่งได้รับเลือกจากฐานแฟนบอล ไม่ได้ใช้เงินตัวเองในการทำทีมฟุตบอล พวกเขาเป็นเพียงบุคลากรที่ถูกว่าจ้างและบริหารทีมฟุตบอลด้วยทรัพย์สินของสโมสร

แนวคิด “จ้างแล้วไล่ออก” ที่เกิดจากอารมณ์ความรู้สึกของคะแนนเสียง สามารถสะท้อนผ่านตัวอย่างของเรนาโต เกาโช ซึ่งเข้าๆออกๆตำแหน่งโค้ชของเกรมิโอเป็นรอบที่ 4 ขณะนี้ และยังมีอีก 4 รอบที่ฟลูมิเนนเซ แม้กระทั่ง 1 ครั้งกับฟลาเมงโก ทีมคู่อริของฟลูมิเนนเซ ส่วนโดริวัลก็คุมทีมฟลาเมงโก 3 รอบ และเซา เปาโล กับซานโตส ทีมละ 2 รอบ เป็นความแตกต่างชัดเจนเทียบกับวงจรชีวิตโค้ชในยุโรป

ในเมื่ออาชีพไม่มีความมั่นคง จึงไม่มีเหตุผลเลยที่โค้ชต้องเสี่ยงกับวิสัยทัศน์สร้างทีมระยะยาว ทำไมต้องทำเมื่อผลแย่ๆไม่กี่นัดสามารถส่งให้ตกงาน การใส่ไอเดียใหม่ๆและพัฒนานักเตะหนุ่มๆล้วนต้องอาศัยเวลาที่ไม่เคยมีสำหรับโค้ชบราซิล ซึ่งคนอื่นไม่สามารถตัดสินว่าผิดหรือถูกเพราะเป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนยุโรป ซึ่งเอื้อให้ใช้ความคิดสร้างสรรค์กับงานแทคติกและนวัตกรรมมากกว่า

ไลเซนส์-ภาษา-เหยียดเชื้อชาติ เป็นอุปสรรคขวางในทวีปยุโรป

นอกเหนือลักษณะโครงสร้างการบริหารของสโมสรบราซิล ยังมีตัวแปรเล็กๆน้อยๆที่มีผลต่อพัฒนาของผู้มีอาชีพโค้ช

เริ่มจากค่านิยมของยุโรปที่มีต่อโค้ชอิมพอร์ตจากเมืองกาแฟ สโมสรที่เล่นในแชมเปียนส์ ลีก ไม่สนใจว่าจ้างโค้ชบราซิลแล้ว (อาจยกเว้นหากบราซิลชนะเลิศเวิลด์คัพ 2026) โค้ชที่มีรีซูเมกับทีมระดับบิ๊กในบราซิลอาจได้งานจากสโมสรกลางตารางค่อนไปทางด้านล่างของลีกบิ๊ก 5 ยุโรป (ถ้าพาทีมรอดตกชั้นได้ อาจมีสโมสรที่ใหญ่ขึ้นหันมามอง)

ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าโค้ชบราซิลออกจากบ้านเกิด พวกเขามีโอกาสมากกว่าที่ตะวันออกกลางหรือเอเชียเช่น สโคลารี ซึ่งเพิ่งอำลามิไนโร สถานที่ทำงานแห่งที่ 31 ในรอบ 42 ปี เคยคุมทีมในซาอุดิ อาระเบีย, คูเวต, ญี่ปุ่น, อุซเบกีสถาน และจีน

สโมสรยุโรปไม่ยอมรับไลเซนส์ที่ออกในบราซิล โค้ชที่ได้รับการพิจารณาจึงมักมีความสำเร็จให้จับต้องได้ระดับหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นช่วงเล่นฟุตบอลก็ได้ดังตัวอย่างที่ยกข้างต้น แต่แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่โค้ชหนุ่มไฟแรงจากบราซิลจะค่อยๆไต่เต้าจากฐานของโค้ชพีรามิดในยุโรป ดังนั้นโค้ชบราซิลบางส่วนจึงเดินทางไปร่ำเรียนโค้ชคอร์สในต่างประเทศ อาร์เจนตินาเป็นตัวเลือกหนึ่ง บางคนอาจเป็นโค้ชหลังเลิกเล่นฟุตบอลในยุโรป

ภาษาเป็นอุปสรรคหนึ่งที่หลายคนอาจไม่เชื่อ โปรตุกีสเป็นภาษาหลักที่ใช้ในบราซิล เชื่อหรือไม่โค้ชบราซิลแทบพูดภาษาอังกฤษหรือสแปนิชไม่ได้เลย เหตุผลคือบราซิลเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่มาก พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องเรียนภาษาต่างชาติ ดังนั้นลำพังหาโค้ชบราซิลที่ผลงานดีๆยังยาก สโมสรยุโรปยิ่งไม่อยากเสียเงินเพิ่มด้วยการจ้างล่าม

โปรตุเกสน่าจะเป็นเป้าหมายที่ดีสำหรับโค้ชบราซิล แต่กลับเป็นนักฟุตบอลที่แห่แหนไปค้าแข้งในลีกแดนฝอยทอง ส่วนโค้ชนั้นแทบนับนิ้วได้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แถมยิ่งเป็นไปได้ยากเพราะตอนนี้โปรตุเกสผลิตโค้ชเก่งๆมากขึ้นเรื่อยๆ 

ปิดท้ายด้วยผลสำรวจจากสโมสร 96 ทีมที่แข่งขันในลีกบิ๊ก 5 ของยุโรป พบว่ามีผู้จัดการทีมที่ไม่ใช่คนยุโรปแค่ 8 คนเท่านั้น จึงแทบไม่มีโอกาสเลยสำหรับโค้ชต่างทวีป และน้อยมากถึงมากที่สุดสำหรับโค้ชบราซิล

3 คนเป็นอดีตนักบอลที่เล่นอย่างยาวนานในยุโรปและไม่เคยออกไปจากพื้นแผ่นดินใหญ่หลังแขวนสตั๊ดได้แก่ ติอาโก มอตตา ของโบโลญญา, เมาริซิโอ โปเชตติโน ของเชลซี และ เปลเลกริโน มาตาราซโซ ของฮอฟเฟนไฮม์, 2 คนเป็นผู้จัดการทีมที่มีผลงานเข้าตาในฟุตบอลโลกได้แก่ อังเก ปอสเตโคกลู ของสเปอร์ส และ ฮาเวียร์ อากีร์เร ของมายอร์กา, อีก 2 คนคือ ดีเอโก ซีเมโอน ของแอตเลติโก มาดริด กับ เมาริซิโอ เปลเลกริโน ของคาดีซ ต่างเคยเล่นในยุโรปเป็นเวลาหลายปีและพิสูจน์ฝีมือคุมทีมในอาร์เจนตินา ก่อนกลับมาใช้ชีวิตในยุโรป ส่วน มานูเอล เปลเลกรินี ของเบตีส เป็นคนเดียวที่ไม่เคยค้าแข้งในยุโรป และไม่เคยคุมทีมชาติหรือกระทั่งสโมสรในลีกบิ๊ก 5 ยุโรป

ปูมประวัติศาสตร์ทีมชาติบราซิล มีผู้จัดการทีมทั้งหมด 84 คน (กลุ่มสตาฟฟ์โค้ชนับเป็น 1 เช่น รูเบน ซัลเลส และซัลวิโอ ลาเกรกา ซึ่งร่วมกันคุมบราซิลเตะแมตช์ทางการนัดแรกในปี 1914 เป็นเกมกระชับมิตรกับสโมสร เอ็กซ์เซเตอร์ ซิตี) พบว่าไม่ใช่ชาวบราซิลเพียง 3 คน คือ รามอน พลาเตโร (อุรุกวัย) ที่คุมทีมกับโจอาคิม กิมาเรส เมื่อปี 1925, โฮเรกา (โปรตุเกส) ที่คุมทีมกับฟลาวิโอ คอสตา เมื่อปี 1944 และ ฟิลโป นูเญซ (อาร์เจนตินา) ซึ่งคุมทีมแค่นัดเดียวในเดือนกันยายน 1965 

แต่ละคนมีช่วงเวลาสั้นมากกับตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติบราซิล และนับจากนูเญซนานเกือบ 60 ปีที่สมาพันธ์ฟุตบอลบราซิลไม่เคยเซ็นสัญญากับโค้ชต่างชาติ แม้กระทั่งความพยายามล่าสุดที่จะปฏิวัติครั้งใหญ่ด้วยการดึงกุนซือระดับโลกอย่างอันเซลอตติเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Seleção Canarinha ชูถ้วยฟีฟา เวิลด์คัพ สมัยที่ 6 ยังล้มเหลว

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Our Work

ลาลีกา ร่วมบูรณะสนามฟุตซอล โรงเรียนวัดปรมัยยิกาวาส เกาะเกร็ด เตะบอลกระชับมิตร พร้อมเปิดตัวโลโก้ใหม่ และหาเงินสมทบทุนปรับปรุงโรงอาหารโรงเรียน

“เกาะเกร็ด” หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดนนทบุรี เป็นชุมชนคนมอญที่มีชื่อเสียงในเรื่องของเครื่องปั้นดินเผา และยังคงอนุรักษ์ไว้ซึ่งวัฒนธรรมแบบพื้นบ้านดั้งเดิม

การท่องเที่ยวในเกาะเกร็ด จะครึกครื้นช่วงวันเสาร์ – อาทิตย์ รวมถึงวันหยุดนักขัตฤกษ์ เพราะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมาย ร้านค้า ร้านอาหาร ขนมไทยต่าง ๆ ของคนในพื้นที่ มีร้านกาแฟให้นักท่องเที่ยวได้แวะพักผ่อน รวมไปถึงก็การนั่งเรือชมรอบเกาะ ก็ยังมีอีกเช่นกัน

แต่อีกหนึ่งเรื่องน่าสนใจคือ บนเกาะเกร็ด จะมีสนามฟุตซอลที่ค่อนข้างมาตรฐานที่สุด เพียงสนามเดียว ซึ่งอยู่ในโรงเรียนวัดปรมัยยิกาวาส เดิมทีเกาะเกร็ด และสนามแห่งนี้ เมื่อถึงเวลาหน้าฝน หรือช่วงที่มีน้ำท่วมนาน ๆ สนามก็จะทรุดโทรมไปตามสภาพ และจากเหตุอุทกภัยจากน้ำท่วมเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563 ทำให้สภาพสนามแห่งนี้ ได้รับความเสียหายอย่างมาก นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทางเราทีม ไข่มุกดำ และ ลาลีกา เร่งเห็น จึงติดต่อทางผู้อำนวยการโรงเรียน เพื่อบูรณะสนาม ภายใต้โปรเจคต์ Second Chance นี้

โดยเมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2556 ที่ผ่านมา “ลาลีกา ประเทศไทย” นำโดย มร.จอร์โจ ปอมปิลิ รอสซี ตัวแทน ลาลีกา ได้จัดกิจกรรมส่งมอบงานบูรณะสนามฟุตซอล โรงเรียนวัดปรมัยยิกาวาส (แสนสวัสดิ์วิทยาคาร) เกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยได้ศิลปินกราฟฟิติ-สตรีทอาร์ท ที่ได้รับการยอมรับสูงที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย “มวย” ปิยศักดิ์ เขียวสะอาด มารังสรรค์ผลงาน พร้อมต้อนรับโลโก้ใหม่ ลาลีกา และประเดิมการใช้สนามด้วยแมตช์พิเศษ หาเงินสมทบทุนปรับปรุงโรงอาหารโรงเรียน 

โดย มร.จอร์โจ ปอมปิลิ รอสซี กล่าวว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ทำโปรเจคต์ลักษณะนี้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประเทศไทย มันแสดงให้เห็นว่า ลาลีกา ไม่ได้นำแค่ฟุตบอลสเปนเข้ามาใกล้แฟนฟุตบอลไทย แต่เป็นประโยชน์ที่ทำให้แก่ชุมชนด้วยเช่นกัน ภายใต้รูปลักษณ์โลโก้ใหม่ ลาลีกาต้องการจะสร้างแรงบันดาลใจไปทั่วโลกผ่านคุณค่าของเกมฟุตบอล และหวังจะขยายโปรเจคต์ไปยังประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนด้วยเช่นกัน”

ขณะที่ นาย จิราปรัชญ์ ณ ป้อมเพชร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดปรมัยยิกาวาส (แสนสวัสดิ์วิทยาคาร) กล่าวว่า “ผมขอเป็นตัวแทนขอบคุณลาลีกาสำหรับการบูรณะสนามกีฬาของโรงเรียนในครั้งนี้ที่ไม่เพียงแต่เกิดประโยชน์ต่อเด็กนักเรียนเท่านั้น แต่ยังเกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อชุมชนให้ได้ใช้เป็นสถานที่ออกกำลัง สันทนาการ จัดงานพิธี และด้วยการออกแบบที่อิงกับชุมชน พื้นที่นี้ยังสามารถเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ผู้คนจดจำเกาะเกร็ด และอยากแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนได้อีกด้วย”

สนามฟุตซอลแห่งนี้ ได้รับการเพนท์ ด้วยลวดลายที่สวยงาม มีทั้งภาพช้าง สัตว์คู่บ้านคู่เมืองของไทย ลูกฟุตบอลที่พุ่งตรงเข้าไปในตาข่าย ภาพเจดีย์เอียง ที่เป็นสัญลักษณ์ของเกาะเกร็ด รวมไปถึงภาพลิง ที่เป็นเสมือนลายเส้นสำคัญของศิลปินอย่างคุณมวย ภายใต้สีหลัก แดง และฟ้า สอดคล้องไปกับสีของโลโก้ใหม่ลาลีกา แทรกด้วยสีอื่น ๆ ตามสไตล์ของศิลปิน และความสอดคล้องของพื้นผิวสนาม ต่อเนื่องไปถึงกำแพงซึ่งสามารถกลายเป็นจุดเช็คอิน และสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวที่จะมาเยี่ยมเยือนเกาะ นอกเหนือจากการมาชมแหล่งที่ปั้นดินเผา เจดีย์เอียง แวะทานอาหารท้องถิ่น อย่าง ทอดมันหน่อกะลา  

บนสนามยังได้เห็นตัวหนังสือ #OneHumanity ซึ่งเป็นแคมเปญของลาลีกา และ UNAOCโปรโมตไปทั่วโลกเพื่อสนับสนุนความสามัคคี ความเป็นหนึ่งเดียว ความเคารพ ในโลกของกีฬา และมีสโลแกน THE POWER OF OUR FÚTBOL” อยู่บนสนาม 

สำหรับโลโก้ใหม่นี้ ตัวอักษรย่อ LL ในสีแดงคอรัล จะเริ่มใช้ในฤดูกาล 2023/24 นี้แทนที่โลโก้เดิมที่ถูกใช้มายาวนานกว่า 30 ปี โดยแฟนฟุตบอลชาวไทยสามารถรับชมการถ่ายทอดสดครบทุกแมตช์ ผ่านทางแอพลิเคชั่น ‘LALIGA+’ และมีการบรรยายเป็นภาษาไทยด้วยในบางแมตช์ โดยสามารถสมัครสมาชิกแบบรายเดือน หรือทั้งฤดูกาล บนโทรศัพท์มือถือทั้งระบบ iOS และ Android” 

สำหรับคอนเทนท์ที่จะมีอยู่ใน LaLiga Plus มีทั้งรายการสั้น, สารคดี และแมตช์ลาลีกาสุดคลาสสิก ที่สามารถรับชมได้ฟรี นอกจากนี้ ยังมีคอนเทนท์ที่จัดทำขึ้นเฉพาะในประเทศไทย กับรายการใหม่ “LaLiga Pass Show” วิเคราะห์เจาะลึกลาลีกาในทุกสัปดาห์ โดยกูรูฟุตบอลสเปนชาวไทย นำโดย ขวัญ ลามาเซีย, เจมส์ ลาลีกา เบน บาร์ซ่าเข้าเส้น และท่านอื่น ๆ อีกมากมาย

ซึ่งก่อนเกมกระชับมิตรวันเสาร์ที่ 22 ก.ค.จะมีการพาสื่อมวลชนเดินเที่ยวชมเกาะเกร็ด นำโดย ขวัญ ลามาเซีย, เบน บาร์ซ่าเข้าเส้น, อาย Poprock On Field, เบน ฟรีคิ๊ก (เบน Soccer Suck), ต่อ ณ ระนอง และท่านอื่น ๆ อีกมากมาย โดยมีมัคคุเทศก์น้อย ที่เป็นเด็กนักเรียนของโรงเรียนวัดปรมัยยิกาวาส พาเดินเที่ยว ไปไหว้พระที่วัดปรมัยยิกาวาส ชมเจดีย์เอียง แล้วเดินตลาด ทานอาหารขึ้นชื่อของเกาะเกร็ด อย่าง ทอดมันหน่อกะลา รวมทั้งขนม หรือ อาหาร อื่น ๆ อีกด้วย

และเดิมทีตามแพลน น้อง ๆ มัคคุเทศก์ตั้งใจจะพาสื่อมวลชนไปชมและลองปั้นเครื่องปั้นดินเผา ที่เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ประจำเกาะเกร็ดด้วย แต่ด้วยสถานการณ์ฝนฟ้าที่เราไม่อาจควบคุมได้ไม่เป็นใจนัก บวกกับเวลาที่มีจำกัด จึงเป็นที่น่าเสียดายที่ไม่ได้แวะเข้าไปทำกิจกรรมส่วนนี้กัน

ส่วนช่วงเย็นจะเป็นการเตะบอลกระชับมิตรการกุศล ระหว่างทีมสื่อมวลชน กับ ทีมของคุณครู นักเรียน และตัวแทนหน่วยงานของท้องถิ่น ร่วมกับชาวบ้าน ภายใต้บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ จากความสุขของการได้ทำกิจกรรม และได้การร่วมกันสมทบกองทุนทอดผ้าป่าเพื่อการศึกษา และปรับปรุงโรงอาหารให้กับนักเรียน เนื่องจากที่ผ่านมา ไม่ได้มีโรงอาหารเป็นสัดเป็นส่วนให้นักเรียน และเมื่อถึงเวลาหน้าฝน หรือช่วงที่มีน้ำท่วม นักเรียนจะไม่มีพื้นที่สำหรับนั่งทานอาหารกัน ทางโรงเรียนจึงเห็นสมควร และอยากสร้างโรงอาหารให้แก่นักเรียน

✍️ ภาวินีย์ สูญสิ้นภัย (แนน)

Categories
Football Tactics

recap มุมมอง ของ โค้ชน้อย อนันต์ อมรเกียรติ กับเรื่องราว เมื่อ PEP แปลง (TRANSFORM) แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปสู่ทีมฟุตบอลแห่งอนาคตกาล

บันทึกกว่า 7 หน้ากระดาษที่ส่งตรงมาจาก “โค้ชน้อย” อนันต์ อมรเกียรติ ที่ปรึกษาด้านเทคนิค ทีมชาติไทย ยู-23 ปี ถึงเรื่องราว เมื่อ PEP แปลง (TRANSFORM) แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปสู่ทีมฟุตบอลแห่งอนาคตกาล บันทึกนี้เปี่ยมไปด้วย “คุณค่า” ที่น่าติดตาม ซึ่งทาง ไข่มุกดำ ก็พร้อมที่บอกต่อเรื่องราวนี้ ให้กับทุก ๆ คนได้อ่าน ในเว็ปไซต์กัน