กลุ่ม เอ: อิตาลี นิวสไตล์, เติร์กเกมรับ, สวิส และเวลส์ อ่อนแรง
กลุ่มเอ แม้ไม่ใช่ Group of Death แต่ก็เต็มไปด้วยทีมชั้นแนวหน้าในอันดับท็อป 22 ของ ยูฟา เนชันส์ ลีก Ranking ในปี 2018 อันได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ อันดับ 1, อิตาลี อันดับ 8, เวลส์ อันดับ 19 และ ตุรกี อันดับ 22 กลุ่มนี้จึงเป็นหนึ่งในกลุ่มที่น่าจะมีการแข่งขันเพื่อแย่งกันเข้ารอบเดือดที่สุดกลุ่มหนึ่งก็ว่าได้ ซึ่งเราจะมาเจาะกันไปทีละทีมครับ
ตุรกี
แม้จะผ่านรอบคัดเลือกมาในอันดับที่ 2 ของกลุ่มเอช แต่พวกเขาเป็นเพียงทีเดียวที่ไม่แพ้ให้ฝรั่งเศสในรอบคัดเลือกกลุ่มนี้ โดยเก็บได้ถึง 4 คะแนนจากการเจอกัน 2 นัด นั่นก็พอจะแสดงให้เห็นว่าตุรกีมีดีแค่ไหน โดยจุดเด่นของทีมชุดนี้ ไม่ใช่การยิงประตูได้เยอะแต่เป็นการเสียประตูยาก ในรอบคัดเลือกเสียไปแค่ 3 ประตูเท่านั้น ซึ่งน้อยที่สุดร่วมกับเบลเยียม
เซนอล กูเรส กุนซือรุ่นเดอะวัย 69 เข้ามาทำให้ทีมไก่งวงเป็นบอลชัวร์แบบอนุรักษ์นิยมเน้นเกมรับตามคติที่ว่า “ไม่ได้ก็ไม่เสีย” และทำได้ดีโดยเฉพาะในรอบคัดเลือกที่เก็บคลีนชีตได้เป็นกอบเป็นกำ
เจ้าตัวยังจัดทีมผสมนักเตะดาวรุ่งกับตัวเก๋าได้อย่างลงตัว โดยมีหัวใจคือ บูรัค ยิลมาซ กองหน้าจอมเก๋าวัย 35 ปี ที่น่าจะเล่นในยูโรครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายในอาชีพ กองกลางจอมฝีมือ ฮาคาน ซาลาโนกลู และดาวเตะรุ่นใหม่อย่าง เซคิ ซีลิค แบ็คขวาวัย 24 ปี จากลีลล์ และก็แน่นอนเซนเตอร์ฮาล์ฟดี ๆ อย่าง เมริ เดมิราล, ซากลาร์ โซยุนชู ไม่นับโอซาน คาบัค อดีตนักเตะลิเวอร์พูล
ตุรกี จะเล่นใน อิตาลี 1 นัด คือเกมเปิดสนามกับทีมเจ้าบ้านในกรุงโรม ก่อนที่อีก 2 นัดพบกับ เวลส์ และ สวิตเซอร์แลนด์ จะย้ายไปเล่นที่ บาคู ประเทศ อาเซอร์ไบจาน
อิตาลี
หนึ่งใน 2 ทีมที่ครองสถิติชนะ 100% ในรอบคัดเลือกร่วมกับ เบลเยียม ทั้งยังครองอันดับที่ 2 ในการทำประตู และเสียประตูน้อยที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจากเบลเยียมเช่นกัน นั่นแสดงให้เห็นถึงความสมดุลทั้งในเกมรุก และเกมรับทำให้ผลงานของทีมแกร่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่องโดยมีสถิติไม่แพ้ใครมาแล้วติดต่อกัน 27 นัด และมีโอกาสทำสถิติไม่แพ้ใครติดต่อกันยาวนานที่สุด 35 นัดเทียบชั้น สเปน กับ บราซิล ที่ครองสถิติร่วมกัน หากคว้าแชมป์ได้ในยูโร 2020 ครั้งนี้
หลังจากความล้มเหลวในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โรแบร์โต มันชินี ก็เข้ามาเปลี่ยนแปลงทีม “อัซซูรี” ให้กลับมาแกร่งอีกครั้ง เขาใช้ทีมที่มีอายุน้อยลงเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา ให้โอกาสนักเตะรุ่นใหม่ได้แจ้งเกิดแทนที่จะเรียกใช้งานขาประจำ นั่นทำให้มีชื่อที่น่าสนใจอย่าง โดมินิโก เบราร์ดี กับ มานูเอล โลคาเตลลี จาก ซาสซูโอโล แต่ก็ยังมีแนวรับตัวเก๋าอย่าง เลโอนาร์โด โบนุชชี กับ จอร์โจ คิเอลลินี เป็นเจ้าเก่าคอยประคองทีมอยู่เช่นกัน
แดนกลาง ยังน่าสนใจ เพราะชื่อของ จอร์จินโญ่, มาร์โก แวร์รัตติ ขณะที่แนวรุกแม้จะเหมือนไม่มีเบอร์ 9 แท้ ๆ แต่เกมรุกจากกองหน้าด้านข้าง (ระบบหน้า 3) น่ากลัว เฟเดริโก เคียซ่า, ชิโร อิมโมบิเล, ลอเรนโซ อินซินเย หรือกลางตัวรุก นิโคโล บาเรลลา
อิตาลี จะได้เปรียบทีมอื่น ๆ ในกลุ่มพอสมควรเนื่องจากพวกเขาจะได้เล่นในโรมทั้ง 3 นัด โดยจะเปิดสนามกับ ตุรกี, ตามด้วยการพบกับ สวิตเซอร์แลนด์ และ ปิดท้ายในเกมพบกับ เวลส์
สวิตเซอร์แลนด์
นี่คือทีมชาติที่น่าทึ่งที่สุดในช่วงที่ผ่านมา เพราะหลังจากผ่านรอบคัดเลือกของศึกยูโร 2020 ในฐานะแชมป์กลุ่ม สวิส ไม่ชนะใครเลยติดต่อกัน 5 นัดช่วงการแข่งขัน ยูฟา เนชันส์ ลีก ก่อนจะมาชนะคู่แข่งติดกันรวด 6 นัด รวมถึงเกมอุ่นเครื่อง 2 นัดสุดท้ายก่อนยูโร 2020 กับ สหรัฐอเมริกา และ ลิชเตนสไตน์ด้วย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะบอกว่าพวกเขากำลังอยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยมได้ถูกที่ถูกเวลาทีเดียว
วลาดิเมียร์ เพ็ตโควิช ทำงานกับทีมมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ถูกแต่งตั้งให้มาดูแลทีมในเดือนกรกฎาคม 2014 กุนซือวัย 57 ปี ทำผลงานได้ตามเป๋ามาตลอดทั้งพาทีมเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ยูโร 2016 และ ฟุตบอลโลก 2018 โดยผู้เล่นส่วนใหญ่ก็ไม่เปลี่ยนแปลงอาทิ ฟาเบียน ชาร์, ริคาร์โด โรดริเกวซ, เซอร์ดาน ชาคิรี และ กรานิต ชากา จับคู่ เรโม ฟรอยเลอร์ ก็อยู่กับทีมชุดนี้อย่างครบถ้วน
นอกจาก ชาคิรี อยากให้จับตา บรีส เอมโบโล แนวรุกบทบาท False 9 กับทีมที่น่าจะหันมาเล่น แบ็คทรี ในทัวร์นาเมนท์นี้
สวิตเซอร์แลนด์ เป็นทีมที่มีโปรแกรมลำบากที่สุดเพราะต้องบินไปบินมา เริ่มจากเกมแรกที่จะพบกับ เวลส์ จะเล่นใน อาเซอร์ไบจาน ก่อนบินมาเตะกับ อิตาลี ที่โรม และจะบินกลับไปเตะกับตุรกีในเกมสุดท้ายรอบแบ่งกลุ่มที่ บาคู อีกครั้ง
เวลส์
ว่ากันว่านี่คือทัพ ‘มังกรแดง’ ที่ดีที่สุดในรอบ 58 ปี เพราะพวกเขามาปรากฏตัวในการแข่งขันทัวร์นาเมนต์เมเจอร์ระดับชาติครั้งแรกแบบไม่ต้องลุ้นเพราะยึดอันดับ 2 กลุ่มอี ตามหลังทีมรองแชมป์โลกอย่างโครเอเชียเพียง 3 คะแนน อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่อ่อนประสบการณ์ที่สุดนี่เอง ที่ทำให้หลายฝ่ายยังให้พวกเขาดูเป็นรองกว่าทีมอื่น ๆ ในกลุ่ม
โรเบิร์ต เพจ เข้ามารับงานต่อจาก ไรอัน กิกส์ ที่ถูกตั้งข้อหาทำร้ายอดีตแฟนสาวทำให้โดนพักงาน และนั่นคือจุดที่น่ากังวลที่สุดของทัพ ‘มังกรแดง’ เพราะหลังจากนั้นมาในเกมอุ่นเครื่องทั้งที่พบกับ ฝรั่งเศส และ แอลเบเนีย ทีมยังไม่พบกับชัยชนะเลย แต่ในข้อดีก็ยังพอมี เพราะ เวลส์ชุดนี้น่าจะมีทีมดีที่สุด เนื่องจากนักเตะที่มีให้เลือกใช้งานทั้ง อารอน แรมซีย์, แดเนียล เจมส์, เนโก วิลเลียมส์, แฮร์รี วิลสัน รวมไปถึง แกเร็ธ เบล ที่ฟอร์มกลับมาดีอีกครั้งเมื่อย้ายมาเล่นกับ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ด้วย หรือเดวิด บรู๊ก ดาวรุ่งตัวรุกจากบอร์นมัธ ที่จะทำให้แนวรุกของทีมมีออฟชั่นหลากหลายมาก
เวลส์ ก็ต้องเจอชะตากรรมในการเล่นที่ อาเซอร์ไบจาน 2 นัดเช่นกัน ในเกมกับ สวิตเซอร์แลนด์ และ ตุรกี ก่อนบินมาเล่นเกมสุดท้ายที่โรม ในเกมพบกับอิตาลี
ความน่าจะเป็น:
โดยกลุ่มนี้ เมื่ออิงจากอัตรต่อรองถูกกฎหมายแล้ว อิตาลี (11/1) มีภาษีดีที่สุดในการเข้ารอบ เพราะพวกเขายังเป็นหนึ่งในทีมเต็งแชมป์ปีนี้ด้วย รองลงมาเป็น ตุรกี (50/1) ที่มีโอกาสเป็นอันดับที่ 2 และที่ 3 เป็นสวิตเซอร์แลนด์ (66/1) และ และสุดท้ายเป็น เวลส์ (150/1)
ซึ่งคงต้องบอกว่า ราคาต่อรองไม่ได้ดูเกินจริงไปนัก อิตาลี ของมันชินี่ คือ สมัยใหม่ และไม่ใช่เน้นรับแบบอิตาเลียน สไตล์ แท้ ๆ และขุมกำลังเก่าใหม่ดูลงตัว ตุรกีกับตัวผู้เล่นโดยรวมก็เช่นกันเฉพาะอย่างยิ่งเกมรับ ขณะที่สวิส หรือเวลส์ หากยังนึกถึงแค่ ชาคิรี หรือเบล เป็นหลัก (แม้คนอื่นจะพอมี) แต่ทว่านั่นดูเหมือนจะไม่เพียงพอ
รวมความแล้ว เพจไข่มุกดำ เลือกมองไปที่ อิตาลี และตุรกี สำหรับการเข้าสู่รอบต่อไปครับ
—
กลุ่ม บี: เบลเยียมแบเบอร์ แต่ให้จับตาเกมรับ ส่วนเดนมาร์ก คือ ดีระดับม้ามืดทัวร์นาเมนท์
ถ้าไม่นับเรื่องอันดับโลกแล้ว เหมือนเป็นเรื่องบังเอิญที่กลุ่มบี เดนมาร์ก, ฟินแลนด์, เบลเยียม และ รัสเซีย เป็นกลุ่มที่ 3 จาก 4 ทีมมักมีอะไรคล้ายกัน อย่างเช่น การที่ 3 ชาติมีอาณาเขตติดกับทะเลบอลติก (เดนมาร์ก, ฟินแลนด์ และ รัสเซีย) หรือ 3 ทีมในกลุ่มนี้มีเสื้อเหย้าสีแดง (เบลเยียม, เดนมาร์ก, รัสเซีย) และ 3 ทีมจากกลุ่มนี้เข้ารอบมาด้วยฐานะอันดับที่ 2 ในรอบคัดเลือก (เดนมาร์ก, ฟินแลนด์ และ รัสเซีย) แถมในกลุ่มนี้ก็ยังถือเป็นกลุ่มที่มีโอกาสสูงที่จะมีทีมได้เข้ารอบน็อคเอาต์ถึง 3 ทีมอย่างไม่ต้องสงสัยโดยยังจะมี “ปัจจัย” จากการเล่นในบ้านเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างมาก หากไม่นับความได้เปรียบในเรื่องคุณภาพฝีเท้า ครับ ใครเป็นใครอย่างไร เราจะไล่ไปดูกันทีละทีม
เดนมาร์ก
ทีมอันดับ 10 ของโลกในปัจจุบันที่ถูกซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทำนายว่ามีโอกาสเข้าไปได้ลึกถึงรอบชิงชนะเลิศ โดยพวกเขาเข้ารอบสุดท้ายมาในฐานะอันดับ 2 ของกลุ่มดี ที่เกือบจะเป็นแชมป์กลุ่มแต่นัดสุดท้ายกลับไปพลาดเสมอกับไอร์แลนด์ แต่ถึงอย่างนั้น เดนมาร์ก ก็ถือเป็นหนึ่งในทีมไร้พ่ายในรอบคัดเลือกซึ่งมีทีมที่ทำได้แค่ 5 ทีม (อื่น ๆ คือ อิตาลี, เบลเยียม, ยูเครน และ สเปน) จึงไม่น่าแปลกใจถ้าถูกยกให้เป็นม้ามืดในการแข่งขันครั้งนี้
แคสเปอร์ ฮูลจ์มันด์ เข้ามาทำหน้าที่แทน อาเก ฮาไรเด ที่หมดสัญญาไปเมื่อปี 2020 ซึ่งอันที่จริงแล้วสัญญาของ ฮาไรเด ต้องหมดหลังยูโร 2020 แต่เนื่องจากพิษโควิด-19 ทำให้ทัวร์นาเมนต์ต้องเลื่อนออกไป และกุนซือวัย 67 ปีก็เลือกวางมือแทนที่จะไปต่อ งานยากจึงตกมาสู่มือโค้ชวัย 49 ปี (ถือว่าเป็นโค้ชหนุ่ม) ซึ่งทำผลงานได้ดีเกินคาด เพราะตั้งแต่เกมกับอังกฤษใน เนชันส์ลีก เมื่อเดือนกันยายน 2020 มาจนถึงปัจจุบัน ทีม ‘โคนม’ แพ้ไปเพียงนัดเดียวจากการเล่น 10 นัด ซึ่งน่าจะพอพิสูจน์อะไรได้บางอย่าง
เดนมาร์กชุดนี้ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในรอบหลายปี เพราะมีผู้เล่นคุณภาพตั้งแต่หน้าประตูตัวเองไปถึงหน้าประตูฝั่งตรงข้ามไล่ตั้งแต่ แคสเปอร์ ชไมเคิล, ซิมง เคียร์, อันเดรียส คริสเตียนเซน, ยานนิค เวสเทอร์การ์ด, โยอาคิม แอนเดอร์เซน (3 รายหลังคือ ยอดเซนเตอร์ฯ ของพรีเมียร์ลีก) ทำหน้าที่ในเกมรับ ปิแอร์ เอมิล ฮอยจ์เบิร์ก ผนึกความแข็งแกร่งแดนกลางกับ โทมัส เดลานีย์ โดยมี คริสเตียน อิริคเซน เป็นเบอร์ 10 ทำเกมรุกเสมือนเป็นหัวใจในแดนกลาง แดนหน้า แม้จะเหมือนไม่โดดเด่นเท่าแต่ชื่อของ มาร์ติน เบรธเวต และ ยูซูฟ โพลเซน นั้นขายได้ แถมยังทำหน้าที่ล่าตาข่าย ซึ่งตลอด 10 นัดหลังภายใต้โค้ช ฮูลจ์มันด์ พวกเขายิงได้ถึง 25 ประตู เฉลี่ยนัดละ 2.5 ลูกเลยทีเดียว
เดนมาร์ก เป็นอีกทีมที่ ‘มีบุญ’ เพราะได้เตะในบ้านที่สนาม ปาร์เกน สเตเดียม ในโคเปนเฮเกน ทั้ง 3 นัดรอบแบ่งกลุ่ม อันถือเป็นจุดได้เปรียบสำคัญเหนือทุกทีม โดยเริ่มจากเกมพบกับ ฟินแลนด์ ต่อด้วยเบลเยียม และปิดท้ายกับ รัสเซีย
เบลเยียม
‘ทีมอันดับ 1 ของโลกในปัจจุบัน’ คงพออธิบายถึงความยอดเยี่ยมให้เห็นภาพของทัพปิศาจแดงยุโรปได้ไม่ยาก เพราะในรอบคัดเลือก สามารถครองสถิติอันเป็นที่สุดในหลายด้าน ทั้งชนะ 100%, ยิงมากที่สุด (40 ประตู), เสียประตูน้อยที่สุด (3 ประตู) และผลต่างประตูเสียดีที่สุด (+37 ประตู) จากการพลาดแชมป์โลกไปเมื่อ 2 ปีก่อน (ตกรอบเซมิฯ เพราะลูกตั้งเตะให้ฝรั่งเศส) การมาเล่นในยูโรครั้งนี้ เป้าหมายของทีมคือจุดสูงสุดคว้าแชมป์แบบไม่ต้องสงสัย
ชื่อของโรแบร์โต มาร์ติเนซ จนถึงตอนนี้คงไม่มีอะไรต้องพิสูจน์อีกแล้ว หลังเข้ามารับงานแทนมาร์ค วิลม็อตส์ตอนจบยูโร 2016 โค้ชชาวสเปนพาทีมไปถึงอันดับ 3 ในฟุตบอลโลกที่รัสเซียเมื่อ 2 ปีก่อน และหลังจากนั้นก็พาเบลเยียมไต่ขึ้นไปเป็นทีมอันดับ 1 ของฟีฟา เวิร์ลด์ แรงกิง และทำให้ เบลเยียม มีชื่อเป็นตัวเต็งเบอร์ต้น ๆ ในการแข่งขันในครั้งนี้ด้วย
ขุมกำลังของเบลเยียมชุดนี้ยังไม่ต่างจากเมื่อ 2 ปีก่อนเท่าไหร่นัก (ขาด กอมปานี, เฟลไลนี และเดมเบเล) ความแข็งแกร่งของทีมก็ไม่ได้ต่างไปจากช่วงฟุตบอลโลกเท่าไหร่ด้วย โดยผู้รักษาประตูยังเป็น ติเบาต์ กูร์กตัวร์ ,แนวรับก็ยังมีตัวหลัก ๆ อย่าง โทบี อัลเดอร์ไวเรลด์, เดดริค โบยาตา, เจสัน เดไนเยอร์ โดยกองกลางอุดมไปด้วยตัวพรสวรรค์ อาทิ เควิน เดอ บรอยน์, เดนนิส ปรัต, ยูรี เทเลมองส์, ยานนิค การ์รัสโก, ขณะที่แนวรุกชื่อของ เอเด็ง อาซาร์ และ โรเมลู ลูกากู ยังคงน่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัย
โดดเด่นสุดน่าจะเป็นเกมริมเส้นที่ตัวอย่าง โธมัส มินิเยร์, ธอร์แกน อาซาร์, นาเซอร์ ชาดลี และการัสโก คือ มีดี หรือกองหน้าที่ดีที่สุดคนหนึ่งของทัวร์นาเมนท์ โรเมลู ลูกากู
แต่ทว่า เบลเยียม มีชะตากรรมสุดหฤโหดในการบินไป-กลับระหว่างรัสเซียกับโคเปนเฮเกน ระยะทางกว่า 5,600 ไมล์ เนื่องจาก เกมแรกที่จะพบกับ รัสเซีย ต้องแข่งขันใน เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ก่อนไปแข่งกับ เดนมาร์ก ที่ ปาร์เกน สเตเดียม และบินมาปิดท้ายเกมที่ 3 ใน เชนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก อีกครั้งกับ ฟินแลนด์
รัสเซีย
ทัพ ‘หมีขาว’ ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจในรอบคัดเลือก เพราะแม้จะจบอันดับที่ 2 ของกลุ่ม แต่เป็นการจบที่ 2 ตามหลังทีมชั้นเซียนแบบ เบลเยียม และผลงานในรอบคัดเลือกคือชนะ 8 แพ้ 2 ซึ่งถ้าไม่นับความพ่ายแพ้ต่อทีมอันดับ 1 ของโลกแล้ว (แพ้ทั้ง 2 นัด) ที่เหลือพวกเขาก็ ‘ตบ’ ทีมร่วมกลุ่ม ‘เรียบ’ เหมือนกัน และคราวนี้ รัสเซีย ก็ได้โอกาสในการล้างตากับ เบลเยียมอีกครั้งในบ้านของตัวเองด้วย
สแตนิสลาฟ เซอร์เซซอฟ อดีตนายทวารทีมชาติรัสเซียยุค 90s พิสูจน์ตัวเองได้อย่างงดงามในฟุตบอลโลก 2018 ที่ทำให้ทีมที่มีอันดับต่ำที่สุดเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศได้สำเร็จ และยื้อทีมรองแชมป์โลกอย่างโครเอเชียให้ต้องไปตัดสินกันในการดวลลูกที่จุดโทษได้ ผลงานดังกล่าวทำให้เขาได้รับความไว้วางใจให้คุมทีมต่อ และเจ้าตัวตอบแทนความไว้ใจพาลูกทีมซึ่งส่วนใหญ่เตะอยู่ลีกในประเทศผ่านเข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายของศึกยูโรในครั้งนี้ได้ตามเป้า
รัสเซียมีการสร้างทีมใหม่จากเมื่อ 2 ปีก่อนจากการรีไทร์ของนายทวาร อีกอร์ อาคินเฟเยฟ (ตอนนี้เลยสบับกันชิงเบอร์ 1 อยู่ แต่น่าจะใช้ อันทอน ซูนิน) และตัวเก๋า เซอร์เก อิกนาเชวิช ทำให้ทีมมีนักเตะเจนเนอเรชั่นใหม่เข้ามาทำให้ทีมชุดนี้อาจจะดูลงตัวมากขึ้นกว่าเมื่อ 2 ปีก่อนด้วยซ้ำ แม้ผู้เล่นส่วนใหญ่จะมาจากลีกในประเทศทำให้อาจจะไม่คุ้นชื่อเสียง แต่ก็มีนักเตะบางคนที่เป็นแกนหลัก และค้าแข้งในลีกชั้นนำอย่าง อเล็กซานเดอร์ โกโลวิน จากโมนาโก ยอดตัวรุกที่เล่นได้หลายตำแหน่ง หลายสไตล์, อเล็กเซ มิรันชุค จากอตาลันตา และ เดนนิส เชอริเชฟ จาก บาเลนเซีย ซึ่งทั้ง 3 คนเป็นผู้เล่นสำคัญในแดนกลาง ส่วนในแดนหน้า อาร์เตม ซูบา กองหน้าจากเซนิต จะเป็นตัวหลักอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้จะได้สิทธิ์ในการเล่นในบ้าน แต่รัสเซียจะได้เล่นในบ้านเพียง 2 เกมแรกที่จะพบกับ เบลเยียม และ ฟินแลนด์ เท่านั้น ส่วนอีกเกมที่จะพบกับ เดนมาร์ก พวกเขาต้องบินไปเล่นที่ โคเปนเฮเกน แต่กระนั้นก็ถือว่าได้เปรียบมาก ๆ แล้ว
ฟินแลนด์
นี่คือทีมที่มาไกลที่สุดในด้านพัฒนาการ เพราะเมื่อย้อนกลับไปในรอบคัดเลือกปี 2016 พวกเขาไม่ชนะใครเลยแม้แต่เกมเดียว แต่ภายใน 4 ปี ฟินแลนด์พัฒนาจนสามารถเข้าสู่รอบสุดท้ายของฟุตบอลยูโรได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติ และเป็นการเข้ารอบแบบไม่ต้องไปลุ้นเพลย์ออฟด้วย หลังจบอันดับ 2 ในกลุ่มเจ ตามหลังอิตาลีแค่ทีมเดียว
มาร์คคู คาเนอร์วา กุนซืออดีตครูโรงเรียนประถม คือผู้อยู่เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงกของทีมจากดินแดนแห่งซานตาคลอส หลังจากรับงานผู้ช่วยมา 4 ปี เขาถูกแต่งตั้งให้คุมฟินแลนด์ชุดใหญ่ในปี 2016 ก่อนพาทีมเอาชนะได้ถึง 54.29% จากการคุมทีมลงสนาม 35 เกม และชนะถึง 19 เกม และแม้สไตล์บอลของโค้ชวัย 57 ปี คนนี้จะเล่นโดยเน้นเกมรับแบบ ‘ไม่ได้ก็อย่าเสีย’ แต่ผลที่ออกมาคือการพาทีมบ้านเกินไปเล่นในฟุตบอลรายการเมเจอร์เป็นครั้งแรกได้อย่างยอดเยี่ยม
นอกจาก เตมู ปุกกี ที่เป็นที่รู้จักจากการเล่นกับ นอริช ซิตี แล้ว นักเตะหลาย ๆ คนก็มาจากลีกในบ้านเกิดทำให้ไม่น่าจะเป็นที่รู้จักของแฟนบอลทั่วไปสักเท่าไหร่ โดยนักเตะที่เล่นในลีกชั้นนำของยุโรปก็มีไม่มาก และส่วนมากไม่ได้อยู่ในทีมใหญ่ อย่าง ซาอูลื ไวซาเนน จาก คิเอโว, ไพรี ซอยร จาก เอสบอร์ก, เกล็น กามารา จาก เรนเจอร์ส และ เฟเดอริก เยนเซน จาก เอาสบวร์ก หรือขอฝากหัวหอกอีกคนที่หาก ปุกกี ยิงไม่ได้ก็จะเป็น มาร์คุส ฟอร์สส์ ดาวเตะเบรนท์ฟอร์ด น้องใหม่พรีเมียร์ลีก
ฟินแลนด์ ไม่ต่างจากทีมชาติส่วนใหญ่ที่ต้องเล่นใน 2 ประเทศในการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่ม แต่ยังเคราะห์ดีที่พวกเขาไม่ต้องเจอการบินไปกลับ โดยเกมแรกจะพบกับ เดนมาร์ก ที่โคเปนเฮเกน ก่อนบินไปแข่งอีก 2 เกมที่รัสเซีย พบกับ รัสเซีย และ เบลเยียม ตามลำดับ
ความน่าจะเป็น
เมื่ออิงจากอัตราต่อรองถูกกฎหมายแล้วไม่น่าแปลกใจที่ตัวเต็งจะเป็นเบลเยียม เพราะนอกจากจะเป็นตัวเต็งในการเข้ารอบแล้ว ‘ปีศาจแดงแห่งยุโรป’ ยังเป็นตัวเต็งแชมป์อีกทีมที่อัตรา 6/1 รองลงมา รองลงมาคือ เดนมาร์ก ที่มีอัตราต่อรองที่ 33/1 โดยอันดับที่ 3 เป็นรัสเซีย 80/1 และปิดท้ายที่ฟินแลนด์ มีอัตราต่อรองห่างออกไปถึง 200/1
อย่างไรก็ตามอย่างที่เกริ่นไว้ว่า กลุ่มนี้มีนัยยะบางอย่างกับ ‘3 ใน 4’ ดังนั้นนี่อาจจะเป็นกลุ่มที่มีโอกาสเข้ารอบได้ถึง 3 ทีมได้ไม่ยาก โดยอันดับที่ 3 ที่ดีที่สุด 4 จาก 6 กลุ่ม จะได้เข้าไปเล่นในรอบน็อคเอาต์ ซึ่งถ้ามองว่า ฟินแลนด์ ที่ดูเป็นรองสุดกู่ แจกแต้มให้กับทุกทีมในกลุ่มทีมละ 3 คะแนน นั่นก็มีโอกาสส่งทีมอื่น ๆ ไปยังรอบน็อคเอาต์ได้ 3 ทีมสูงมากเช่นกัน
โดยถ้ามองจากเนื้อผ้าแล้ว เบลเยียม น่าจะเข้ารอบแบบลอยลำ แต่อยากให้จับตาเกมรับที่ไม่เคยเข้าตานัก ตามด้วยเดนมาร์ก ที่ดูกลมกล่อมระดับเป็น “ม้ามืด” ทัวร์นาเมนท์ได้เลย เพราะเกมรับดีมาก แดนกลางดี และกองหน้า คือ not bad ขณะที่รัสเซีย ซึ่งแท็คติกส์ค่อนข้างดี และได้เล่นในบ้านถึง 2 นัดน่าจะได้เข้ารอบเป็นหนึ่งใน 4 อันดับ 3 ที่ดีที่สุดด้วยการเอาชนะ ฟินแลนด์ ซึ่งคงมาเน้นรับหวัง 0-0 ทุกเกมแต่ไม่น่าจะต้านทานได้ครับ
—
กลุ่ม ซี: กลุ่มที่อ่อนสุด!? และการกลับมาอีกครั้งของกังหันลม
กลุ่มซีในยูโร 2020 เป็นกลุ่มที่ผสมผสานแต่ละทีมได้อย่างลงตัว เพราะมีทั้งยักษ์หลับที่กลับมาอย่าง เนเธอร์แลนด์, ทีมแชมป์กลุ่มในรอบคัดเลือกอย่าง ยูเครน, ทีมรองแชมป์กลุ่มอย่าง ออสเตรีย และทีมที่มาจากการเพลย์ออฟอย่าง นอร์ธ มาซิโดเนีย และเหมือนเช่นเคย ที่เราจะไปดูรายละเอียดกันเป็นทีม ๆ ไป
เนเธอร์แลนด์
‘อัศวินสีส้ม’ ห่างหายจากฟุตบอลรายการเมเจอร์ระดับชาติรอบสุดท้ายไปถึง 7 ปี ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาได้เล่นในทัวร์นาเมนต์ระดับนี้ คือ ฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล (2 ทัวร์นาเมนท์หลักล่าสุด ชวดไป) หลังจากนั้นก็โชว์ฟอร์มได้น่าผิดหวังอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงในยูโร 2020 ที่สามารถขับเคี่ยวในรอบคัดเลือกได้อย่างสนุก แม้สุดท้ายจะเข้ารอบเป็นที่ 2 ของกลุ่มซี แต่ก็จี้เยอรมนีทีมแชมป์กลุ่มห่างแค่ 2 คะแนนเท่านั้น
แฟรงก์ เดอ บัวร์ เข้ามารับงานแทน โรนัลด์ คูมัน ที่พาทีมเข้าสู่รอบสุดท้ายของ ยูโร 2020 ได้สำเร็จแต่เนื่องจากทัวร์นาเมนต์ต้องเลื่อนออกไปทำให้อดีตแนวรับบาร์เซโลนาตัดสินใจไปรับงานกับทีมสโมสรเก่าในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล 2020/21 โดยผลงานของ เดอ บัวร์ หลังเข้ามารับงานค่อนข้างน่าเป็นห่วง หลังคุมทีมไป 11 เกมชนะได้ไม่ถึงครึ่งเพียง 5 นัด เสมอ 4 และ แพ้ 2 ซึ่งความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้น คือการแพ้ในเกมที่มีความหมายอย่างการแพ้ อิตาลี 0-1 คาบ้าน ในเนชันส์ ลีก และพ่ายต่อ ตุรกี ในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2022 ไป 2-4
นอกจากผลงานในระยะหลังจะน่าเป็นห่วงแล้ว นักเตะในทีมชุดนี้ของเดอ บัวร์ ก็ไม่ใช่ชุดที่สมบูรณ์ที่สุด เพราะกัปตันทีม เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ และไม่ติดทีมชุดนี้ ขณะที่ ดอนนี ฟาน เดอ เบค ก็มาเจ็บถอนตัวไปอีกคน โดยเดอ บัวร์ ตัดสินใจไม่เรียกใครมาทดแทนส่งผลให้ทีมชุดนี้มีนักเตะเพียง 25 คนเ
สองแนวรับจากกัลโช เซเรีย อา มาไธจ์ส เดอ ลิกต์ (ยูเวนตุส) และ สเตฟาน เดอ ฟรายจ์ (อินเตอร์) ยังคงเป็นตัวหลัก โดยแดนกลางจะมีนักเตะจากลีกชั้นนำอย่าง แฟรงกี เดอ ยองก์ (บาร์เซโลนา), มาร์เทน เดอ รูน (อตาลันตา) และ จีนี ไวจ์นัลดุม (ลิเวอร์พูล) คอยเดินเกม และแนวรุกก็มีชื่อของ เมมฟิส เดปาย (ลียง) ซึ่งกลายเป็นตัวความหวังสูงสุดในแนวรุก, ลุค เดอ ยองก์ (เซบีญา – น่าจะลงมาเป็นตัวสำรอง ในสไตล์เบอร์ 9 แท้ ๆ) และ เวาต์ เว็กฮอร์สต์ (โวสต์สบวร์ก – อาจเป็นทีเด็ดกับสไตล์จี๊ดจ๊าด เพรสซิ่งเก่ง เร็ว อายุยังน้อย ยิงได้สม่ำเสมอมาตลอดในช่วง 5 ซีซั่นที่ผ่านมา) คอยทำหน้าที่ล่าตาข่าย
ฮอลแลนด์ เป็นอีกทีมที่ ‘บุญหนา’ เพราะจะได้เล่นในบ้านที่สนามโยฮันน์ ครัฟฟ์ อารีนา ตลอด 3 เกมรอบแรกในการพบกับ ยูเครน, ต่อด้วย ออสเตรีย ก่อนปิดท้ายกับ นอร์ธ มาซิโดเนีย
ยูเครน
นี่คือหนึ่งในทีมที่มีโอกาสเป็น ‘ม้ามืด’ (ชักจะหลายทีม 555) ในการแข่งขันครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย หลังพวกเขาสร้างเซอร์ไพร์สในรอบคัดเลือกด้วยการเบียดทีมแชมป์เก่า โปรตุเกส ให้จบแค่ที่ 2 ของกลุ่มบี พร้อมคว้าแชมป์กลุ่มเข้ารอบสุดท้ายมาได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเสียประตูเพียง 4 ลูกซึ่งน้อยที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจาก เบลเยียม กับตุรกี ทั้งที่ต้องเจอบททดสอบกับทีม ‘ฝอยทอง’ และ เซอร์เบีย (หรือ ต.ค.ปีก่อนเคยเล่นรับชนะสเปน 1-0 ได้สำเร็จ)
อังเดร เชฟเชนโก กองหน้าระดับตำนานของ เอซี มิลาน และเชลซี เข้ามารับงานกับ ยูเครนหลังจบ ยูโร 2016 (หลังไปเล่นการเมืองพักหนึ่ง) และไม่พลาดพาทีมเข้ามาเล่นในยูโรเป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกันได้สำเร็จ ‘เชวา’ กล้าที่จะใช้นักเตะดาวรุ่งโดยเฉพาะในตำแหน่งกองหลัง ตำแหน่งที่โค้ชส่วนใหญ่เลือกจะใช้ตัวเก๋า และผลตอบแทนที่ได้รับคือการที่ทีมสามารถ เก็บ 4 คะแนนในการเล่น 2 นัดกับ โปรตุเกส และส่งผลให้ทีมของเขาคว้าแชมป์กลุ่มในรอบคัดเลือกได้ในที่สุด
ยูเครนชุดนี้เป็นส่วนผสมระหว่างตัวประสบการณ์อายุราว 30 ปี กับตัวสดอายุราว 25 หรือต่ำกว่า โดยมีแกนหลักมาจากสโมสร ดินาโม เคียฟ และ ชัคตาร์ โดเนสต์ ซึ่งเป็นสโมสรจากลีกในประเทศ และมีนักเตะจากลีกใหญ่มาแซมเล็กน้อย ที่น่าจับตามองคือแบ็คขวาพรสวรรค์วัย 18 ปี อิลิยา ซาบาร์นี ส่วนคู่เชนเตอร์ฯ ก็เป็นตัวหลักจาก ชัคตาร์ฯที่เล่นร่วมกันมานานทั้ง มิโคลา มาติเยนโก, ซอร์เกย์ ครีฟตอฟ, ทาราส สเตปาเนนโก ในแดนกลาง รัสลัน มาลินอฟสกี จากอตาลันตา (ครีเอทีฟ เทคนิคดี, เท้าซ้ายดีทั้งผ่าน ทั้งยิง, assist ได้) จะเล่นร่วมกับ อังเดรย์ ยาโมเลนโก จากเวสต์แฮม และ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก จากแมนฯ ซิตี ในแดนหน้าจะมี โรมัน ยาเรมชุก จาก เกนต์ ที่ฟอร์มซีซั่นปัจจุบันดี และสถิติทีมชาติก็ใช้ได้ คอยล่าตาข่าย
ยูเครน จะประเดิมสนามในอัมสเตอร์ดัม กับ เนเธอร์แลนด์ ก่อนบินไปเล่นที่ บูคาเรสต์ กับ นอร์ธ มาซิโดเนีย และ ออสเตรียตามลำดับ
ออสเตรีย
เทียบกันในกลุ่มนี้ ออสเตรีย มีอันดับโลกอยู่ในอันดับ 23 รองจาก เนเธอร์แลนด์ ทีมเดียวเท่านั้น แม้จะอันดับโลกดีกว่ายูเครน แต่ก็ดีกว่าแค่อันดับเดียว แถมพวกเขากลับผ่านรอบคัดเลือกมาในฐานะที่แย่กว่าโดยเป็นรองแชมป์ของกลุ่มจี ที่ถูกแชมป์กลุ่มอย่างโปแลนด์ทิ้งขาดถึง 6 คะแนน ทำให้ชื่อของ ออสเตรีย อาจจะไม่ถูกพูดถึงมากนัก แต่อย่างไรก็ตาม ออสเตรียก็สามารถเข้าสู่รอบสุดท้ายฟุตบอลยูโรได้เป็นครั้ง 2 ติดต่อกัน จึงต้องให้เครดิตในข้อนี้ด้วย
หลังจากความล้มเหลวในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2018 ฟรานโก โฟดา กุนซือชาวเยอรมนี ก็เข้ามารับต่อ และทำสถิติได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการคุมทีม 34 นัด พาทีมเอาชนะได้ถึง 20 นัด คิดเป็น 58.82% และอันที่จริงแล้วสถิติการคุมทีมชนะของกุนซือวัย 55 ปีนั้น เกิน 60% มาตลอดจนกระทั่งใน 6 เกมหลังสุดที่เหมือนเครื่องช็อตไปดื้อ ๆ หลังเอาชนะได้เพียงเกมเดียวเหนือหมู่เกาะแฟโร 3-1 นอกจากนั้นอีก 5 เกมออกผลเสมอ 3 และแพ้ 2 ซึ่งน่าสนใจว่าในทัวร์นาเมนต์นี้ โฟดา จะปลุกทีมให้กลับมาดุอีกครั้งได้หรือไม่?
นักเตะของออสเตรียส่วนมากค้าแข้งอยู่ในบุนเดสลีกา นำทัพโดย ดาบิด อลาบา ที่เพิ่งย้ายไปร่วมทีม เรอัล มาดริด (โฟดา จะให้เล่นตรงไหน แบ็คซ้าย, เซนเตอร์ฯ หรือมิดฟิลด์ เพราะโดนลองมาหมดแล้ว – น่าจะจบที่แบ็คซ้าย) และยังมี สเตฟาน ไลเนอร์ จากมึนเชนกลัดบัค, สเตฟาน พอสช์ (ฮอฟเฟนไฮม์) และมาร์ติน ฮินเตเร็กเกอร์ (แฟรงก์เฟิร์ต) ที่จะช่วยกันทำหน้าที่ในแดนหลัง โดยแดนกลางจะมี ฟลอเรียน กริลลิตส์ช กับคริสตอปห์ บอมการ์เนอร์ จากฮอฟเฟนไฮม์, จูเลียน บอมการ์ตลินเกอร์ จาก เลเวอร์คูเซน, วานเลนติโน ลาซาโร จากมึนเชนกลัดบัค, คอนราด ไลเมอร์ จาก แอร์เบ ไลป์ซิก และที่น่าจับตา คือ ซาเวอร์ ชลาเกอร์ (โวลฟ์บวร์ก – ตัดบอล, ไปกับบอล, ผ่านบอลทางลึก) และแดนหน้าจะมี มาร์เซล ซาบิตเซอร์ อีกหนึ่งตัวหลักของ ไลป์ซิกยืนหน้าต่ำหลังหัวหอกอย่าง ซาซา คาลาดซิช ที่ สตุ๊ตการ์ตส่งเข้าประกวด
ออสเตรีย แม้ตัวผู้เล่นไม่เด่น แต่นักเตะส่วนใหญ่มาจาก เรดบูลล์ โมเดล ผ่าน ซัลซ์บวร์ก และไลป์ซิก จะเป็นทีมที่โดน ‘แจ็คพ็อต’ ของกลุ่มนี้ เพราะต้องบินไป-กลับ สองรอบระหว่างแข่งขัน 3 นัด รวมระยะทางเกือบ 3,300 ไมล์ โดยพวกเขาจะเปิดสนามกับ นอร์ธ มาซิโดเนีย ที่ บูคาเรสต์ หลังจากนั้นบินไปเล่นกับ เนเธอร์แลนด์ ที่อัมสเตอร์ดัม ก่อนบินมาปิดท้ายรอบแบ่งกลุ่มที่ฮังการีอีกครั้งกับ ยูเครน
นอร์ธ มาซิโดเนีย
นี่คือประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของประเทศชาติที่มาถึงฟุตบอลยูโร 2020 รอบสุดท้ายได้สำเร็จ และเป็นการแข่งขันในทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์ครั้งแรกนับตั้งแต่มีการก่อนตั้งประเทศเลยด้วย นอร์ธ มาซิโดเนีย เก็บชัยชนะ 4 นัด และเสมออีก 2 ในรอบแบ่งกลุ่ม 10 เกม จบอันดับที่ 3 ของกลุ่ม ก่อนโชคดีได้เจองานง่ายในเพลย์ออฟ 2 นัดกับ โคโซโว และ จอร์เจีย จึงไม่แปลกหากใครหลายคนจะมองว่าพวกเขาคือทีมไม้ประดับของทัวร์นาเมนต์นี้ (คือ ผลผลิตการเพิ่มทีมจาก 16 เป็น 24 ทีม)
อีกอร์ อังเยลอฟสกี เข้ามาทำทีมชาติชุดนี้ตั้งแต่อายุ 39 ปี โดยเข้ามาแทนที่ของ ลูบินโก ดรูโลวิช ที่ไปรับงานคุมทีม ปาร์ติซาน เบลเกรด แต่ผลงานของกุนซือวัย 45 ปีรายนี้กลับน่าประทับใจ เมื่อคุมทีมจบที่ 3 ในรอบคัดเลือกกลุ่มจี เป็นรองแค่ โปแลนด์ และ ออสเตรีย ก่อนจะมาคว้าโควตาในรอบเพลย์ออฟ ด้วยการเอาชนะ โคโซโว และ จอร์เจีย สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับ นอร์ธ มาซิโดเนีย ได้สำเร็จ
แม้จะเป็นชาติน้องใหม่ในยุโร แต่ นอร์ธ มาซิโดเนีย ก็มีนักเตะคุณภาพกระจายอยู่ในลีกยุโรปมากมาย ไล่ตั้งแต่ผู้รักษาประตู สโตเล ดิมิเตรฟสกี จาก ราโย บาเยกาโน, เอซกาน อลิออสกี (ลีดส์ ยูไนเต็ด), โบบัน นิโคลอฟ มิดฟิลด์จาก เลชเช, อีลิฟ เอฟมาซ กองกลางดาวรุ่งจากนาโปลี, ดราโก เชอร์ลินอฟ ปีกตัวจี๊ดจาก สตุ๊ตการ์ต, อเล็กซานดาร์ ทราจ์คอฟสกี กองหน้าจากมาญอร์กา และ โกรัน ปานเดฟ หัวหอกตัวเก๋าจากเจนัว เมื่อมองนักเตะที่ว่ามาทั้งหมดการจะกาชื่อพวกเขาทิ้งตั้งแต่ก่อนทัวร์นาเมนต์เริ่มก็ออกจะรีบร้อนเกินไปหน่อย (เคยปราบเยอรมันมา 2-1 เมื่อไม่นานมานี้)
นอร์ธ มาซิโดเนีย เล่นได้ทั้งหลัง 3 และแบ็คโฟร์ แต่กำลังพลไม่แข็งแกร่ง และมากพอ (น่าจะเป็น 3-5-2) จะได้เล่นในฮังการีก่อน 2 นัด โดยจะพบกับ ออสเตรีย และ ยูเครน ตามลำดับ ก่อนบินไปปิดรอบแบ่งกลุ่มกับ เนเธอร์แลนด์ ที่ อัมสเตอร์ดัม ในนัดสุดท้าย
ความน่าจะเป็น:
อ้างอิงจากอัตราต่อรองจากบริษัทรับพนันถูกกฎหมายก็คงเดาไม่ยากว่า เนเธอร์แลนด์ เป็นตัวเต็งของกลุ่มนี้ด้วยอัตรา 10/1 รองลงมาคือ ยูเครน ที่อัตรา 66/1 ส่วน ออสเตรีย ตามมาเป็นที่ 3 ที่อัตราต่อรอง 100/1 และ นอร์ธ มาซิโดเนีย นอกจากจะรั้งท้ายในกลุ่มแล้ว พวกเขายังเป็นหนึ่งในทีมที่ได้เรตแย่ที่สุดในการแข่งขันครั้งนี้ดัวอัตรา 500/1 ด้วย
ขณะที่ในทางปฏิบัติแล้ว กลุ่มนี้อาจจะชุลมุนกว่าที่คาด เพราะถึงแม้ฮอลแลนด์จะดูดีกว่าใคร แต่โค้ชที่ทำทีมจนมาถึงจุดนี้ ไม่ใช่แฟรงก์ เดอ บัวร์ ประกอบกับทีมก็ไม่ได้พร้อมสมบูรณ์ ดังนั้นคาดหวังได้เลยว่า แฟน ๆ จะไม่ได้เห็นทีมดัตช์ที่เล่นรุก สวยงาม มีประสิทธิภาพ แบบที่เราชื่นชอบแน่นอน
ดังนั้นโอกาสจึงอาจเปิดให้ทีมอย่าง ออสเตรีย หรือ ยูเครน ฉกฉวยคว้าคะแนนไปได้ ขณะที่ นอร์ธ มาซิโดเนีย ก็มีนักเตะที่มีชื่อชั้นอยู่ไม่น้อยทำให้อาจจะไม่ถึงขั้นแจกแต้มไปทั่วอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ก็ได้ (ด้วยเพราะอยู่ในกลุ่มที่ไม่ได้แข็งมากด้วยเช่นกัน)
มองจากเหตุผลที่ว่ามา ยูเครน กับ เนเธอร์แลนด์ มีโอกาสมากที่สุด (เพราะคุณภาพผู้เล่น) ที่จะคว้า 2 อันดับแรกในกลุ่มนี้ ขณะที่ ออสเตรีย ก็มีโอกาสที่จะสอดแทรกขึ้นไปใน 2 อันดับแรกได้เช่นกัน ส่วน นอร์ธ มาซิโดเนีย ก็อาจจะกลายเป็นทีมที่เข้ารอบน็อคเอาต์ได้หากมีทีมใดใน 3 ทีมที่ว่ามาทำผลงานได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น และพวกเขาฉกฉวย 3 แต้มมาครองได้ในการเจอกับทีมนั้น
—
กลุ่ม ดี: อังกฤษ ขวัญใจตลอดกาล/รุ่นเก๋า โครแอต/สด เช็ค/สู้สกอตต์
อังกฤษ เป็นทีมชาติที่แฟนบอลชาวไทยให้ความสำคัญกันมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเชียร์ หรือ แช่งขัน และในยูโร 2020 หนนี้ ทัพ ‘สิงโตคำราม’ อยู่ในกลุ่มดี ร่วมกับ โครเอเชีย ทีมรองแชมป์โลก, สก็อตแลนด์ ทีมบ้านใกล้เรือนเคียง และ สาธารณรัฐเช็ก ทีมที่ถูกซูเปอร์คอมพิวเตอร์มองว่าจะเป็นแชมป์ในการแข่งขันคราวนี้ ใครเป็นใครอย่างไรกัน ไปแกะรอยแต่ละชาติกันครับ
อังกฤษ
ทีมขวัญใจพ่อยกแม่ยกแฟนบอลชาวไทยทำให้น่าจะมีคนรอลุ้นมากที่สุด และอังกฤษก็ไม่ทำให้การรอคอยของแฟนบอลในยูโรคราวนี้ผิดหวัง (ณ จุดนี้) หลังเข้ารอบสุดท้ายมาด้วยฐานะแชมป์กลุ่มเอ เก็บชัยชนะได้ 7 จาก 8 นัด และยิงประตูได้ถึง 37 ลูก สูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ร่วมกับอิตาลี และเป็นรองแค่ เบลเยียม ทีมเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ 6 เกมหลังสุดก่อนมาถึงทัวร์นาเมนต์นี้ อังกฤษยังเก็บชัยชนะรวดคิดต่อกันทั้งหมดด้วย
แกเร็ธ เซาธ์เกต ได้รับเครดิตค่อนข้างสูงหลังพาอังกฤษเข้าสู่รอบรองชนะเลิศในฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย (แม้จะถูกมองว่า ขาดความ “ยืดหยุ่น” และแก้เกมได้ดี) หลังจากนั้นยังพาทัพ ‘สิงโตคำราม’ คว้าอันดับที่ 3 ในยูฟา เนชันส์ ลีก 2019 อีกด้วย โดยตลอด 5 ปีที่ผ่านมากุนซือวัย 50 ปี คุมทีมชาติไปแล้ว 54 นัด และพาทีมเก็บชัยได้มากถึง 63% หรือ 34 นัด แต่อย่างไรก็ตามสำหรับแฟนบอลแล้ว ต้องการแชมป์เป็นรูปธรรมมากกว่า หรือต้องการเห็นชัยชนะในนัดสำคัญ ๆ มากกว่าสถิติที่สวยหรู ซึ่งเซาธ์เกต ก็ตั้งความหวังไว้กับศึกยูโรในคราวนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
สำหรับขุมกำลังของนักเตะทีมชาติอังกฤษ คงไม่ต้องสาธยายอะไรกันมากมาย เพราะล้วนแต่เป็นนักเตะที่คุ้นหน้าตุ้นตากันจากพรีเมียร์ลีกทั้งสิ้น โดยทั้ง 26 คน มีเพียง 3 คนเท่านั้นที่มาจากลีกอื่น ได้แก่ คีแรน ทริปเปียร์ จาก แอตฯ มาดริด, เจดอน ซานโซ กับ จูด เบลลิงแฮม (17 ปีเท่านั้น) จาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ โดยอังกฤษชุดนี้ถือว่ามีแนวรุกอันตรายหลายคน ทั้ง แฮร์รี เคน, มาร์คัส แรชฟอร์ด, แจ็ค กรีลิช รวมไปถึง ราฮีม สเตอร์ลิง และดาวรุ่งอีกหลายคนที่อาจแจ้งเกิดทันเวลา อาทิ ฟิล โฟเดน, เมสัน เมาท์ หรือซานโช กับเบลลิงแฮม ที่ได้เอ่ยชื่อไว้แล้วข้างต้น ดังนั้นความพร้อมจึงน่าจะอยู่ที่ความฟิตของแกนหลัก อย่าง แฮร์รี แมคไกวร์ ที่บาดเจ็บมาจากสโมสร และไม่น่าจะพร้อมในเกมแรก ๆ หรือจอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่หายเจ็บกลับมาทันเวลาพอดี
โครเอเชีย
ทีมรองแชมป์โลกทีมล่าสุด แม้จะเข้ารอบสุดท้ายมาด้วยฐานะแชมป์กลุ่มอี แต่ผลงานในรอบคัดเลือกจะเรียกว่าน่าผิดหวังก็ว่าได้ เมื่อเก็บได้เพียง 17 คะแนน ซึ่งน้อยที่สุดในบรรดาทีมที่เข้าสู่รอบสุดท้ายได้ เท่านั้นยังไม่พอ นับตั้งแต่ปี 2020 จาถึงปัจจุบัน ‘โครแอต’ เล่นเกมทีมชาติไปแล้ว 13 เกม ชนะได้เพียง 4 เกมเท่านั้น แพ้ไปถึง 7 และเสมอ 1 โดยพวกเขาแพ้ทีมอย่าง สโลเวเนีย และเสมอกับอาร์เมเนีย ด้วยซ้ำไป ทำให่สถานการณ์ก่อนเข้าสู่ทัวร์นาเมนต์นี้ ดูไม่ดีเลย หรือรวม ๆ แล้วทีมดูแย่ลงกว่าเมื่อ 3 ปีก่อนที่ได้รองแชมป์โลก 2018
ซลัตโก ดาลิช ทำผลงานได้อย่างยอดเยียมในฟุตบอลโลก 2018 ด้วยการไปถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก แต่หลังจากนั้นผลงานของก็ดูดร็อปลงมาเรื่อย ๆ แม้จะประคองตัวเข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายของยูโร 2020 ได้ แต่ทีมก็ดูจะมีปัญหามากทีเดียวโดยเฉพาะแนวรุกที่ทำประตูไม่ค่อยได้ในระยะหลังเมื่อไม่มี มาริโอ มานด์ซูคิซ ซึ่งหากหวังจะทำผลงานได้น่าประทับใจอีกครั้ง กุนซือวัย 54 ปี ก็ต้องหาทางแก้ปัญหาตรงนี้ให้ได้
ผู้เล่นตัวหลัก ๆ ของโครเอเชียชุดนี้ ส่วนมากคือผู้เล่นชุดรองแชมป์โลกเมื่อ 3 ปีก่อน (แต่แก่ลง! หรือหายไป 2-3 ตัวดี ๆ) โดยแนวรับยังมีนักเตะอย่าง โดมากอย วิดา, ซิเม เวอร์ซาลจ์โก และ เดยัน ลอฟเรน คอยประจำการ หรือดาวรุ่ง ยอสโก กวาดิโอล วัย 19 ปีที่เตรียมย้ายไปไลป์ซิก ซัมเมอร์นี้ (ฉายา ลิตเติ้ล เป๊ป) แต่ปัญหาน่าจะอยู่ที่ฟูลแบ็คดี ๆ และไว้ใจได้ ส่วนแดนกลางยังแน่นเพราะมี มัตเตโอ โควาซิช, ลูกา โมดริช, มาร์เซโล โบรโววิช หรือมิลาน บาเดลจ์ ที่ล้วนเก๋า คอยทำหน้าที่คุมเกม ส่วนแดนหน้า อีวาน เปริซิช, อังเดรจ์ คามาริช และ อันเท เรบิช จะยืนเป็น 3 ประสานร่วมกันล่าตาข่าย ตัวใหม่หน่อยก็จะมี นิโคลา วลาซิช (อดีตขุนพลเอฟเวอร์ตัน) ที่อาจถึงเวลาของเขา และเล่นดีขึ้น ๆ หลังย้ายออกมาจากเอฟเวอร์ตัน หรือบรูโน เพตโควิช ที่ต้องพิสูจน์ตัวเองหลังไม่มี มานด์ซูคิช
โครเอเชีย จะเริ่มทัวร์นาเมนต์นี้ในลอนดอน ในการเจอกับอังกฤษ ก่อนบินไปยัง กลาสโกว์ เพื่อเล่นอีก 2 เกมที่เหลือกับ สาธารณรัฐเช็ก และ สก็อตแลนด์ ตามลำดับ
สาธารณรัฐเช็ก
สาธารณรัฐเช็ก เป็นขาประจำของฟุตบอลยูโรมาตลอดตั้งแต่สมัยยังเป็น เช็กโกสโลวาเกีย โดยเป็นทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันทุกครั้งไม่เคยขาดจนถึงในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ในรอบคัดเลือก เช็ก ถูกจัดให้ไปอยู่ในกลุ่มเดี่ยวกับอังกฤษ และตามหลังเข้ารอบมาในฐานะทีมอันดับที่สอง ด้วยผลงานชนะ 5 แพ้ 3 ทว่าพอมาในรอบสุดท้าย พวกเขาก็ยังต้องอยู่กลุ่มเดียวกับอังกฤษอีกครั้งเหมือนเดิม
ยาโรสลาฟ ซิลฮาวี เข้ามารับงานคุมสาธารณรัฐเช็กในเดือนกันยายน 2018 เขาเป็นคนที่คุมทีมในรูปแบบที่กล้าได้กล้าเสีย ไม่ประณีประนอม ผลที่ออกมาคือทีมไม่เสมอแม้แต่นัดเดียวในรอบคัดเลือกยูโร 2020 และตลอด 3 ปี ซิลฮาวี คุมเช็กไป 27 นัด โดยมีเกมที่เขาคุมทีมเสมอเพียงนัดเดียวเท่านั้น โดยเป็นการเสมอกับ เบลเยียม ในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2022 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา (โดยรวม คือ เกมรับไม่ค่อยดีนัก แม้รุกจะโอเคร)
สาธารณรัฐเช็กเป็นทีมที่ประกอบขึ้นมาจากนักเตะที่ค้าแข้งอยู่ทั่วยุโรป อาทิ โทมัส วาซลิก ผู้รักษาประตูจากเซบีญา, วลาดิเมียร์ คูฟาล และ โทมัส ชูเช็ก จาก เวสต์แฮม ยูไนเต็ด, พาเวล คาเดราเบค จาก ฮอฟเฟนไฮม์, อันโตนิน บารัค จาก เฮลลาส เวโรนา, วลาดิเมียร์ ดาริดา กัปตันทีมจากแฮร์ธา เบอร์ลิน หรือที่กำลังมาแรง อดัม โลเช็ค ที่เด่นเกมรุก และทำประตูได้ เลี้ยงบอลดี เล่นได้หลายตำแหน่ง (อาจถูกดึงมาเวสต์แฮม ตามพี่ ๆ ได้) และกองหน้าก็มี แพทริก ชีค ซึ่งค่อนข้างโอเครจาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน และ มาเตจ วีดรา จากเบิร์นลีย์
เช็กจะเริ่มต้นเกมแรกของยูโร 2020 ที่ กลาสโกว์ ในการเจอกับสก็อตแลนด์ และนักต่อมายังเล่นที่เดิมในการพบกับ โครเอเชีย ก่อนจะไปปิดท้ายรอบแบ่งกลุ่มที่ลอนดอน ในการพบกับอังกฤษ
สก็อตแลนด์
นี่เป็นเพียงครั้งที่ 3 เท่านั้นที่สก็อตแลนด์ได้เข้ามาเล่นในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป และยังเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ เคร็ก บราวน์ คุมทีมเข้ามาในรายการนี้เมื่อปี 1996 โดยทีมจากแดนวิสกี จบอันดับที่ 3 ในกลุ่มไอ แต่ผ่านเข้ามาในรอบสุดท้ายด้วยการเพลย์ออฟเอาชนะทั้ง อิสราเอล และ เซอร์เบีย ได้สำเร็จ ดังนั้นสถานของทีมจึงค่อนข้างดูเป็นรองชาติอื่น ๆ อยู่บ้าง
สตีฟ คลาร์ก ถูกแต่งตั้งให้เข้ามารับตำหน่งระหว่างรอบคัดเลือกยูโร 2020 ในเดือนพฤษภาคม 2019 และสุดท้ายก็พาทีมผ่านรอบเพลย์ออฟเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายได้สำเร็จ ถึงแม้ผลงานจะดูไม่ค่อยสักเท่าไหร่เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมกลุ่ม แต่ คลาร์ก ก็คุมทีมไม่แพ้ใครมาตลอด 5 นัดหลังสุดก่อนเริ่มการแข่งขัน ยูโร 2020 และสามารถพาทีมเสมอกับ เนเธอร์แลนด์ และ ออสเตรีย ที่ดูเหนือกว่าพวกเขาได้ด้วย (อีกทั้งด้วยประสบการณ์ คนฟุตบอลจำนวนไม่น้อยยังเรต คลาร์ก เหนือกว่า เซาธ์เกต ด้วยซ้ำ)
สำหรับนักเตะของ สก็อตแลนด์ ก็มาจากพรีเมียร์ลีก อังกฤษ และ สก็อตติช พรีเมียร์ชีฟ เป็นส่วนใหญ่ และมีนักเตะหลายคนที่แฟนบอลชาวไทยน่าจะคุ้นหูคุ้นตา ทั้ง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, แกรนท์ ฮันลีย์, คีแรน เทียร์นีย์, เลียม คูเปอร์ ที่ทำหน้าที่ในแนวรับ (น่าจะเป็นระบบหลัง 3 และแข็งมากทั้งฝั่งซ้ายที่เทียร์นีย์ จะถูกโยกไปเป็นเซนเตอร์ฯ และ รบส.วิงก์แบ็คซ้าย) กองกลางก็มีนักเตะให้เลือกใช้หลายรายทั้ง สก็อตต์ แมคโทมิเนย์, จอห์น แมคกินน์, สจวร์ต ดัลลัส, ไรอัน เฟรเซอร์ รวมไปถึง บิลลี กิลมอร์ และกองหน้าก็มี เช อดัมส์ คอยล่าตาข่าย หรือไรอัน คริสตี ซึ่งมีความหลากหลายในเกมรุกได้ทั้งมิดฟิลด์ตัวรุก และกองหน้า ทำประตูได้ เพรสซิ่งแดนบนได้ดี มีหลายทีมจับจ้องจะดึงตัวมาจากเซลติก
ความน่าจะเป็น:
อ้างอิงจากอัตราต่อรองจากบริษัทรับพนันถูกกฎหมายก็จะเห็นว่าอังกฤษ แทบจะนอนมาในกลุ่มนี้ เพราะนอกจากจะเป็นตัวเต็งของกลุ่มแล้ว อัตราต่อรอง 5/1 ของพวกเขายังเป็นอัตราต่อรองในการเป็นเต็งแชมป์ด้วย โดยที่ตามมาคือ โครเอเชีย ที่อัตรา 66/1 ส่วน สาธารณรัฐเช็ก มีอัตราต่อรองที่ 150/1 และปิดท้ายที่ สก็อตแลนด์ ที่ 250/1
อย่างไรก็ตาม ถึงสก็อตแลนด์ จะดูมีอัตราต่อรองที่แย่งที่สุด แต่พวกเขาอาจจะมีบทบาทในฐานะ ‘ตัวแปร’ ที่อาจจะส่งใครเข้ารอบหรือลากใครตกรอบไปพร้อม ๆ กันก็ได้ เพราะถึงแม้หลายปัจจัยจะดูไม่เอื้ออำนวย แต่นักเตะของพวกเขาก็ยังพอมีดีอยู่ ดังนั้นมีโอกาสที่ทั้งสามทีมไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ, สาธารณรัฐเช็ก หรือ โครเอเชีย จะมาพลาดสะดุดในการเจอกันได้อยู่เหมือนกัน
ส่วนทีมแชมป์กลุ่มนั้นก็ค่อยข้างชัดเจนว่าน่าจะเป็นอังกฤษ ถ้าพวกเขาไม่สะดุดขาตัวเองจนเกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ แต่ในส่วนที่ว่าใครจะเป็นที่สองแล้วตามทีมของ แกเร็ธ เซาธ์เกต เข้าไปในรอบน็อตเอาต์ อันนี้น่าจะต้องไปดูฟอร์มในเกมกันอีกที
—
กลุ่ม อี: กระทิงยิงไม่ดุ สวีเดน อีกหนึ่งม้ามืด
กลุ่มอี เป็นหนึ่งในกลุ่มที่น่าสนใจของฟุตบอลยูโรในคราวนี้ เพราะเต็มไปด้วยบรรดาทีมขาประจำ และมีทีมระดับท็อป 20 ของโลกอยู่ถึง 3 ชาติ ได้แก่ สเปน, สวีเดน และ โปแลนด์ โดยที่ตัวสอดแทรก และตัวแปรสำคัญ ก็ไม่ใช่ทีมน้องใหม่ในรายการนี้ แต่เป็น สโลวะเกีย ทำให้กลุ่มนี้มีสีสัน และน่าสนใจไม่แพ้กลุ่มอื่น ๆ ในการแข่งขันคราวนี้ และเหมือนเดิมที่เราจะไปดูกันทีละทีมครับ
สเปน
ทีมอันดับโลกสูงสุดในกลุ่มนี้ที่เข้ารอบมาด้วยฟอร์มอันแข็งแกร่ง จากการชนะ 8 เสมอ 2 ไม่แพ่ใครใน 10 เกมรอบคัดเลือก พร้อมเสียไปเพียง 5 ประตู ซึ่งน้อยที่สุดเป็นอันดับที่ 3 หลังจากนั้นก็ยังโชว์ฟอร์มได้แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เพิ่งไล่ถล่มเยอรมนีไปขาดลอยถึง 6-0 ทำให้เพวกขาเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์ในปีนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
หลุยส์ เอ็นริเก กลับมาคุมทีมชาติสเปนอีกครั้งหลังการสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตเมื่อลูกสาวต้องจากไปเพราะอาการป่วย เขาพยายามเปลี่ยนเลือดใหม่ให้ทัพ ‘กระทิงดุ’ โดยผลงานตั้งแต่กลับมาคุมทีมในคำรบนี้ของอดีตกุนซือบาร์เซโลนา ค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะใน 11 เกมหลังแม้จะแพ้แค่เกมเดียว แต่ก็ชนะได้เพียงแค่ 5 เกมเท่านั้น ซึ่งไม่ถึงครึ่งของจำนวนนัดทั้งหมด โดยไปหลุดเสมอไปถึง 5 เกมด้วยกัน
สเปนชุดนี้จะไม่มี เซร์คิโอ รามอส ที่รับใช้ทีมชาติมาอย่างยาวนาน จนเกิดกระแสดรามามิใช่น้อยนอกสนาม โดยรามอสซึ่งจริง ๆ ไม่สมบูรณ์นักก่อนทัวร์นาเมนท์จะถูกทดแทนด้วยนักเตะเลือดใหม่อย่างวัยไม่ถึง 30 อย่าง เปา ตอร์เรส, อีริค การ์เซีย, โฆเซ กายา, ดีเอโก ยอเรนเต รวมไปถึง อายเมอริค ลาปอร์ต ที่โยกจากฝรั่งเศสมาเล่นให้สเปน ขณะที่แดนกลาง ยังมีทั้งตั๋วเก๋า และเลือดใหม่ปะปนกันไป อาทิ เซร์คิโอ บุสเกตส์, โกเก, โรดรี, ดานี โอลโม (จะเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตา และได้รับความสนใจจากทีมใหญ่ทั่วยุโรปในฐานะมิดฟิลด์ตัวรุก) และ ปาโบล ซาราเบรีย เป็นต้น โดยที่แดนหน้า ก็ล้วนแต่มีนักเตะที่น่าสนใจทั้ง เกราร์ด โมเรโน รองดาวซัลโวลาลีกา, แฟร์ราน ตอร์เรซ กับ อดามา ตราโอเร สองนักเตะจากพรีเมียร์ลีก และอัลวาโร โมราตา กับ มิเกล โอยาร์ซาบาล รวมอยู่ด้วย แต่ในเชิงประสิทธิภาพการทำประตูยังคงต้องลุ้นกันเล็กน้อย
สเปน ยังเป็นทีมที่เน้นต่อบอล ครองบอล แต่ก็ไม่ได้หนักหน่วงเท่ากับยุครุ่งเรือง 2008 – 2012 และโชคดีในทัวร์นาเมนท์นี้ที่ไม่ต้องเดินทางไปไหน พวกเขาจะปักหลักแข่งขันที่เอสตาดิโอ เด ลา การ์ตูฆา ในเซบีญา ทั้ง 3 เกม โดยไล่จากการเจอกับ สวีเดน ต่อด้วย โปแลนด์ และปิดท้ายพบ สโลวะเกีย
สวีเดน
หากไม่นับปี 1992 ที่สวีเดน ได้อันดับที่ 3 และนับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา ทัพ ‘ไวกิงส์’ เป็นขาประจำในฟุตบอลยูโรมาตลอด แต่มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่พวกเขาผ่านรอบแบ่งกลุ่มไปเล่นในรอบน็อคเอาต์ได้ คือในปี 2004 และปีนี้เป็นโอกาสดีที่ทีมจะทำแบบนั้นให้ได้อีกครั้ง แม้ค่อนข้างจะเกรงใจสเปนที่พวกเขาเอาชนะไม่ได้ทั้งสองนัดที่เจอกันในรอบคัดเลือกที่ผ่านมาก็ตาม
แยนน์ แอนเดอร์สัน เข้ามารับงานคุมทีมสวีเดนตั้งแต่จบฟุตบอล ยูโร 2016 และพาทีมเก็บชัยชนะได้เกินครึ่ง (แบบคาบเส้น) หลังลงเล่นไป 55 นัด และ ชนะไปได้ 28 นัด เสมอ 10 แพ้ 17 โดยผลงานของเขาในปี 2021 ก็ดูเข้าที เมื่อพาทีมชนะได้ทุกเกมรวม 5 นัด ทั้งในฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก และ เกมกระชับมิตร ซึ่งอาจจะมองได้กุนซือวัย 58 ปีผู้นี้จูนทีมได้ลงตัวแบบถูกเวลาอย่างพอเหมาะพอเจาะ
นักเตะชุดนี้ของ สวีเดนก็น่าสนใจ เพราะถึงแม้ไม่มี ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ในทีม (กลับมาเล่นทีมชาติ แต่เจ็บถอนตัวออกไป) ทว่าก็ปรากฏชื่อของนักเตะหลายคนจากลีกชั้นนำซึ่งน่าจะช่วยทีมชุดนี้ได้มากไล่ตั้งแต่ในแนวรับ วิคตอร์ ลินเดเลิฟ จาก แมนฯ ยูไนเต็ด, ลุดวิก ออกุสตินสัน จาก เบรเมน, เอมิล คราฟธ์ จาก นิวคาสเซิล, พอนตัส ยานส์สัน จาก เบรนท์ฟอร์ต ขณะที่แดนกลางมี เดยัน คูลูเซฟสกี จาก ยูเวนตุส, มาติอัส สแวนเบิร์ก จาก โบโลญญา, อัลบิน เอ็คดาล จาก ซามพ์โดเรีย และ เอมิล ฟอร์สเบิร์ก จาก ไลป์ซิก โดยแดนหน้า ยังมีตัวเก๋า มาคุส เบิร์ก (34 ปี) และเลือดใหม่อย่าง อเล็ดซานเดอร์ อิซัค จากเรอัล โซเซียดาด (21 ปี กำลังก้าวขึ้นมา และถูกเปรียบเทียบกับ เออร์ลิง เบราต์-ฮาลันด์ เช่นกัน) คอยประจำการ
สวีเดน จะเริ่มทัวร์นาเมนต์ที่ เซบีญา ในเกมพบกับสเปน ก่อนบินไปยังรัสเซีย เพื่อพบกับ สโลวาเกีย และ โปแลนด์ ตามลำดับต่อไป
โปแลนด์
เมื่อได้ยินชื่อนี้หลาย ๆ คนคงอดคิดถึงชื่อของ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี ไม่ได้ แต่นั่นไม่ใช่นักเตะคนเดียวที่พวกเขามี เพราะทีมนี้มีนักเตะที่ยอดเยี่ยมอีกหลายคน จึงสามารถผ่านรอบคัดเลือกมาในฐานะแชมป์กลุ่มชนิดที่ทิ้งอันดับที่ 2 ขาดถึง 6 คะแนน แต่เครื่องหมายคำถามตัวโตที่เกิดขึ้นกับทีมนี้คือโค้ชที่พาทีมมาสู่ยูโร 2020 กับโค้ชที่จะคุมทีมลงสนามสู้ศึกเป็นคนละคนกัน
เยอร์ซี เบอร์ซีเซ็ค ถูกปลดจากตำแหน่งอย่างเหนือความคาดหมายเมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยสมาคมฟุตบอลฯให้เหตุผลว่าไม่พอใจสไตล์การทำทีมของเขา และแทนที่ด้วย เปาโล ซูซา ที่ว่างงานอยู่พอดี ทว่า ภายใต้การทำทีมของซูซา โปแลนด์ เพิ่งชนะไปเพียงเกมเดียวจาก 5 นัดหลัง โดยเสมอไปถึง 3 และแพ้ไปอีก 1 เกม ทำให้หลายฝ่ายมองว่าทีมอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าตอนที่ เบอร์ซีเซ็คทำงานอยู่ก็ได้
โปแลนด์ชุดนี้ ส่วนใหญ่ยังเป็นนักเตะที่ทางด้าน เบอร์ซีเซ็ค เคยเลือกใช้งาน ซึ่งเป็นนักเตะที่มีวัยอยู่ในช่วง 25-32 ปี โดยมีทั้งประสบการณ์ และความพร้อม อาทิ วอยเซียก เชสนีย์ ผู้รักษาประตูจากยูเวนตุส, แนวรับจะมี พาเวล ดาวิโดวิชซ์ จากเวโรนา, คามิล กลิก ตัวเก๋าจากเบเนเวนโต, แยน เบดนาเร็ก จากเซาแฮมป์ตัน กองกลางมี เกอร์เซกอร์ซ ครีโซเวียก จากโลโกโมทีฟ มอสโกว์, มาเทอุสซ์ คลิช จากลีดส์, ปีโอตอร์ ซีลินสกี จากนาโปลี (เป็นรุกทางซ้าย ไดนามิก ชอบบุก) โดยกองหน้าใช้งาน โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี จาก บาเบิร์น มิวนิค หนึ่งในกองหน้าตัวเป้าที่ขึ้นชื่อที่สุดในทัวร์นาเมนท์ และ อาร์คาดิอุสซ์ มิลิก จาก มาร์กเซย์ ทำงานร่วมกัน
โปแลนด์ น่าจะเล่น 4-4-2 และมีกำลังพลที่น่าสนใจ สู้ได้ในกลุ่มนี้ แต่โดน ‘แจ็คพ็อต’ บินสองรอบในกลุ่มนี้ พวกเขาจะต้องเล่นเกมแรกกับ สโลวะเกีย ที่รัสเซีย ก่อนบินไปเล่นที่ เซบีญา กับสเปน และปิดท้ายด้วยการบินกลับมา เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก พบกับ สวีเดน
สโลวะเกีย
คงจะไม่เกินไปหากบอกว่าหลายคนจะมอง สโลวะเกีย เป็นแค่ทีมไม้ประดับประจำกลุ่มอี และน่าจะถือเป็น 1 ในทีมที่น่าสนใจน้อยที่สุดในทัวร์นาเมนท์ครั้งนี้ เพราะพวกเขาเพิ่งได้มาเล่นในฟุตบอลยูโรครั้งนี้เป็นครั้งที่สองเท่านั้น แถมมาจากการเพลย์ออฟเอาชนะ ไอร์แลนด์ (จุดโทษ) กับ ไอร์แลนด์เหนือ (หลังต่อเวลา) ผ่านเข้ามาอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นต้องอย่าลืมว่า เมื่อ 5 ปีก่อน ทีมทีมนี้เคยเอาแต้มจากทั้ง อังกฤษ และ รัสเซีย มาแล้วในรอบแบ่งกลุ่ม และไปได้ลึกถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายมาแล้ว
ปาเวล ฮาปาล ถูกปลดกลางอากาศระหว่างพาทีมเล่นเพลย์ออฟเพื่อไปสู่ยูโร 2020 หลังพาทีมพ่ายต่อ อิสราเอล คาบ้าน 2-3 ทำให้ สเตฟาน ทาร์โควิช เข้ามารับงานต่อ ก่อนพาทีมเอาชนะ ไอร์แลนด์เหนือ และเข้าไปเล่นในยูโรได้ในที่สุด อย่างไรก็ตาม ผลงานของเขาก็ไม่ได้ดีขนาดจะมาคุยได้ เพราะ 8 นัดที่คุมทีม สโลวักเอาชนะไปได้ 3 เกม เสมอ 4 และ แพ้ 1 นัดก่อนเข้าสู่ศึกยูโรในครั้งนี้
สโลวะเกีย เป็นชาติที่มีนักเตะน่าสนใจหลายคน ไล่ตั้งแต่ มาร์ติน ดูบราฟกา นายทวารจากนิวคาสเซิล, ปีเตอร์ เปการิก แนวรับจาก แฮร์ธา เบอร์ลิน, มิลาน สคริเนียร์ เช็นเตอร์จากอินเตอร์ มิลาน, มาเร็ก ฮัมซิก อดีตจอมทัพของนาโปลี (ไปอยู่สวีเดนในช่วงหลายเดือนหลัง เพื่อเร่งความฟิตส่วนตัว แต่ก็ยังน่าจะห่างจากจุดพีคของตนเอง), ยูไรจ์ คุชกา ตัวตัดเกมจากปาร์มา, ออนเดรจ์ ดูดา มิดฟิลด์ตัวรุกจาดกคโลญ และ สตานิสลาฟ โรบอตกา กองกลางสารพัดประโยชน์จากนาโปลี เป็นต้น
ความน่าจะเป็น:
เมื่อมองจากความพร้อมและประสบการณ์ สเปน คือทีมที่มีโอกาสคว้าแชมป์สูงกลุ่มเนื่องจากเป็นตัวเต็งในการคว้าแชมป์ยูโรครั้งนี้ด้วย โดยมีอัตราต่อรองอยู่ที่ 8/1 ตามมาด้วย สวีเดน ที่อัตราต่อรอง 80/1 ซึ่งเท่ากับ โปแลนด์ อย่างไรก็ตาม อัตราต่อรองของโปแลนด์เคยสูงถึง 60/1 ก่อนที่เยอร์ซี เบอร์ซีเซ็คจะถูกปลด แต่เรตก็ลดลงมาเรื่อย ๆ และมีแนวโน้มว่าจะลดลงต่อไป ขณะที่ สโลวะเกีย มีเรตรั้งท้ายที่ 250/1
มองตามฟอร์มในระยะหลังและคุณภาพทีม ดูเหมือนว่า สเปน น่าจะไม่พลาดการเข้ารอบในฐานะทีมอันดับที่ 1 ของกลุ่ม และปล่อยให้ โปแลนด์ และสวีเดน ตบตีแย่งชิงตำแหน่งที่ 2 ของกลุ่มกันเอง และทั้ง 2 ทีมก็มีโอกาสที่จะเข้ารอบไปเล่นในรอบน็อคเอาต็ได้พอ ๆ กัน โดย สโลวะเกีย ไม่น่ารอดครับ
—
กลุ่ม เอฟ: กรุ๊ป ออฟ เดธ ที่ไม่เดธ เพราะเข้ารอบ 3 ทีม
Group of Death ที่เป็นไฮไลท์ประจำการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020 กลุ่มที่อัดแน่นไปด้วยทีมชั้นแนวหน้าไม่ใช่เพียงแต่ในยุโรป แต่ถือเป็นชาติระดับโลกไล่ตั้งแต่ ฝรั่งเศส แชมป์โลก 2018, โปรตุเกส แชมป์ฟุตบอลยูโรคราวก่อนเมื่อปี 2016, เยอรมนี ทีมแชมป์โลก 4 สมัย อยู่ร่วมกลุ่มกับ ฮังการี ทีมอันดับ 37 ของโลก ดังนั้นคงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณไปมากกว่านี้แล้ว ไปไล่ดูกันทีมต่อทีมกันเลยครับ
ฝรั่งเศส
เบอร์ 2 ของโลก ไม่ใช่เพียงแค่แชมป์โลกในฟุตบอลโลก 2018 แต่พวกเขายังเป็นรองแชมป์ยูโร 2016 ด้วย และด้วยขุมกำลังชุดเดิมที่ยังอยู่กันอย่างพร้อมหน้า ทำให้ภารกิจในการผ่านรอบคัดเลือกไม่ใช่เรื่องยาก ด้วยการทำสถิติชนะ 8 เสมอ 1 และแพ้ 1 คว้าแชมป์กลุ่มเอช และเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์ในรายการนี้ อย่างไรก็ตามปัญหาความบาดหมางระหว่าง คีเลียน เอ็มบัปเป กับ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ พร้อมกับปัญหาอาการบาดเจ็บของ คาริม เบนเซมา ที่เกิดขึ้น (แต่หายดีแล้วทันนัดเปิดสนามกับเยอมัน) อาจจะส่งผลต่อขวัญกำลังใจทีมได้เหมือนกัน
ดิดิเยร์ เดส์ช็องป์ส กลายเป็นบุคคลที่ 3 ในโลกใบนี้ที่สามารถคว้าแชมป์โลกได้ทั้งในฐานะนักเตะ และ กุนซือ ต่อจาก มาริโอ ซากาโล แห่งบราซิล และ ‘เดร์ ไคเซอร์’ ฟรานซ์ เบคเคนเบาเออร์ แห่งเยอรมนี ดังนั้นเป้าของ ‘เดเด้’ อีกอย่างเดียวที่เขาต้องการทำให้ได้ คือการคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโร ที่เมื่อ 5 ปีก่อน เขาพลาดท่าไปเพียงแค่เกมสุดท้ายเกมเดียวเท่านั้น และเหมือนโชคชะตาจะให้เขาแก้ไขความข้องใจ เพราะส่งโปรตุเกส คู่แข่งในรอบชิงคราวก่อนมาอยู่กลุ่มเดียวกันเสียเลย
ทีม ‘ตราไก่’ ยังคงแข็งแกร่งในทุกตำแหน่ง เดส์ช็องป์ส ยังคงใช้ระบบ 4-2-3-1 เหมือนเดิม แต่ฝั่งจาก แบรต มาทุยดี้ จะเป็นอาเดรียน ราบิโอต์ และการกลับมาของ คาริม เบนเซมา โดยโอลิวิเยร์ ชิรูด์ กับสถิติยิงประตูยังจัดได้ว่า น่าประทับใจในการเล่นทีมชาติ
ไล่จากแดนหลังมาหน้า มีผู้รักษาประตูที่ไว้ใจได้อย่าง อูโก ยอริส แนวรับตัวหลัก ลูกาส์ เอร์น็องเดซ, เพรสเนล คิมเพมเป, ราฟาเอล วาราน และ แบ็งฌาแม็ง ปาวาร์ กองกลางแข็งปั๊กอย่าง เอ็นโกโล กองเต, ปอล ป็อกบา, อาเดรียน ราบิโอต์ และกองหน้ามีให้เลือกมากมาย ทั้ง อองตวน กรีซมันน์, คาริม เบนเซมา, คีเลียน เอ็มบัปเป และอื่น ๆ ทั้งตัวจริง และสำรองแบบดีขึ้นกว่าชุดแชมป์โลกเพราะประสบการณ์ และกลับมาของ เบนเซมา
ฝรั่งเศส จะเริ่มต้นทัวร์นาเมนต์กับ เยอรมนี ที่เมือง มิวนิค ก่อนบินไปเล่นกับ ฮังการี ที่ บูดาเปสต์ และปิดท้ายรอบแบ่งกลุ่มกับ โปรตุเกส ที่ฮังการีอีกนัด
โปรตุเกส
ทีมแชมป์เก่า เบอร์ 5 ของโลกที่คว้าแชมป์ในยูโรคราวก่อนแบบพลิกความคาดหมายเล็ก ๆ และภารกิจในครั้งนี้คือการป้องกันแชมป์ให้ได้เหมือนที่ สเปน เคยทำได้ในปี 2012 แต่นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะผลถูกจับฉลากให้มาอยู่ในกลุ่มสุดโหด โดยนี่อาจจะเป็นการเล่นในฟุตบอลยูโร ครั้งสุดท้ายของนักเตะยุคทองของทีมหลาย ๆ คนด้วย ทั้ง คริสเตียโน โรนัลโด, เปเป, ชูเอา มูตินโญ และ โชเซ ฟอนเต
แฟร์นานโด ซานโตส อยู่กับทีมชุดนี้มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2014 ผลงานการคว้าทั้งแชมป์ ยูโร 2016 (ไม่ชนะเลยใน 3 นัดรอบแรก) และ เนชันส์ ลีก 2019 ก็เกิดขึ้นภายใต้การทำทีมของกุนซือวัย 66 ปีคนนี้ จุดเด่นของ ซานโตส คือการเลือกใช้นักเตะดาวรุ่งให้ขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ และเป็นที่รู้จักสู่สายตาชาวโลกแบบที่เกิดขึ้นกับ เรนาโต ชานเชส ในยูโร 2016 และ กอนซาโล กูเอเดส ในฟุตบอลโลก 2018 ต้องมาดูว่า ในยูโร คราวนี้จะมีนักเตะโปรตุเกสที่แจ้งเกิดได้เพิ่มเติมหรือ
โปรตุเกส ในชุดนี้แม้จะมีนักเตะใกล้หมดอายุอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่บรรดานักเตะใหม่ ๆ ที่ก้าวขึ้นมาก็ทำให้ทีม ‘ฝอยทอง’ แกร่งในทุกตำแหน่ง อาทิ ชูเอา คันเซโล กับ รูเบน ดิอาส, เปเป้ และ ราฟา เกอร์เรโร ที่ประจำการในเกมรับทั้งริมเส้น และเซนเตอร์ฮาล์ฟที่เด่นมาก, บรูโน แฟร์นานด์ส, รูเบน เนเวส และ เรนาโต ชานเชส ที่เก็บบอล และคอยทำเกมในแดนกลาง ขณะที่ อังเดร ซิลวา, ดีเอโก โชตา รวมไปถึง ชูเอา เฟลิกซ์ ที่จะคอยช่วยงาน คริสเตียโน โรนัลโด ได้
โปรตุเกส ดูเป็นทีมที่ดีทีเดียวหากไม่ดีกว่าเมื่อ 4 ปีก่อนจะเปิดสนามเกมแรกกับ ฮังการี ที่ บูดาเปสต์ ก่อนบินไปเจอเยอรมนี ที่ มิวนิค และปิดท้ายด้วยการบินกลับมาปิดรอบแบ่งกลุ่มกับฝรั่งเศส ที่ ฮังการี
เยอรมนี
หลุดนิด ๆ ไปอยู่เบอร์ 12 ของโลก แต่ไม่ว่าฟอร์มของทีม ‘อินทรีเหล็ก’ จะเป็นอย่างไรมาก่อนหน้านี้ แต่นี่คือหนึ่งในไม่กี่ชาติที่มักจะอันตรายเสมอสำหรับคู่แข่งเมื่อได้ลงเล่นในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ แม้อินมรีเหล็กจะเพิ่งคว้าแชมป์โลกมาเมื่อปี 2014 ทำให้ห่างจากความสำเร็จมาไม่นาน แต่การที่ได้แชมป์ยูโรครั้งสุดท้ายในปี 1996 ทำให้พวกเขาต้องการคว้าแชมป์รายการนี้มาครองอีกครั้ง และอีกนัยยะหนึ่งก็จะเป็นการอำลากุนซือของพวกเขาอย่างงดงามด้วย
โยอาคิม เลิฟ จะก้าวลงจากตำแหน่งหลังจากจบทัวร์นาเมนต์นี้ และเปิดทางให้ ฮันซี ฟลิก เข้ามารับช่วงต่อ นั่นหมายความว่าเขาน่าจะต้องการส่งท้ายการทำหน้าที่ด้วยความสำเร็จ แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าทัวร์นาเมนต์นี้จะจบลงอย่างไร เลิฟ ก็จะถูกจดจำในฐานะคนที่พา ‘อินทรีเหล็ก’ คว้าแชมป์โลก 2014 อย่างแน่นอน
เยอรมนี เรียกกองหน้ามาติดทีมแค่ 2 คนคือ ติโม แวร์เนอร์ และ เควิน โวลแลนด์ ซึ่งทั้งคู่ต่างเป็นกองหน้ากึ่งปีก ทำให้เราต้องลืมภาพเยอรมียุคก่อนที่มีกองหน้าตัวเป้าแบบ มิโรสลาฟ โคลเซ คอยประจำการไปเลย แต่อย่างไรก็ตาม ทีมชุดนี้ยังถือมีนักเตะชื่อชั้นดี และกองหน้าอาจเล่น False 9 ได้อย่าง ไค ฮาเวิร์ตซ์ และ โธมัส มุลเลอร์ ติดตามมา โดยมีนักเตะตัวหลัก ๆ อย่าง มานูเอล นอยเออร์, มัตส์ ฮุมเมิลส์, อันโตนิโอ รูดิเกอร์, โรบิน โกเซน, คริสเตียน กันเตอร์, โจชัว คิมมิช, โทนี โครส, แชร์จ กนาบรี, เลออน โกเรตซกา และ อิลกาย กุนโดกัน ติดทีมมาด้วย โดยรวม ๆ เหมือนจะขาดฟูลแบ็คดี ๆ ทำให้อาจเล่นระบบ “แบ็คทรี” และให้ไปใช้ตัวรุกเล่นวิงก์แบ็คกับภาพรวมของทีมที่น่าจับตาบาลานซ์ของทีม
‘อินทรีเหล็ก’ คือทีมที่มีบุญประจำกลุ่มนี้ พวกเขาจะได้เล่นทั้ง 3 เกมในรอบแบ่งกลุ่มที่ อาลิอันซ์ อารีนา ในเมืองมิวนิค ทุกเกม โดยไล่จากการพบกับ ฝรั่งเศส, ตามด้วยโปรตุเกส และปิดท้ายกับ ฮังการี
ฮังการี
อดีตยอดทีมระดับรองแชมป์โลกในยุคของ เฟเรนซ์ ปุสกัสห่างหายจากความสำเร็จในเวทีใหญ่มาอย่างยาวนาน ถึงขั้นไม่ผ่านเข่ามาเล่นในรอบสุดท้ายอยู่หลายปีทั้งในฟุตบอลโลก และ ฟุตบอลยูโร จนกระทั่งยูโรครั้งที่แล้วที่พวกเขาสามารถกลับมาได้อีกครั้ง และผ่านไปถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายได้ด้วย โดยในครั้งนี้พวกเขาผ่านเข้ารอบมาในฐานะทีมจากการเพลย์ออฟ ซึ่งสามารถเอาชนะทีมอย่าง ไอซ์แลนด์ และเข้าร่วมการแข่งขันในรอบสุดท้ายได้ในที่สุด
มาร์โก รอสซี เข้ามารับงานหลังจากความล้มเหลวในรอบคัดเลือกของฟุตบอลโลก 2018 ต่อจาก จอร์จ ลีเคนส์ อันที่จริงแล้วผลงานในรอบคัดลือกของทีมก็ถือว่าน่าผิดหวัง แต่จากการที่เอาตัวรอดผ่านเพลย์ออฟมาได้ ทำให้กุนซือวัย 56 ปี ยังได้ทำงานต่อไป โดยสิ่งที่น่าสนใจคือการที่ฮังการีชุดนี้เล่นบอลแบบร้อนแรง กล้าได้กล้าเสีย ทำให้เป็นทีมที่ดูสนุก และต้องยกเครดิตให้กุนซือชาวอิตาเลียนรายนี้ด้วย
นักเตะในทีมชุดนี้ของฮังการี มากถึง 11 คนมาจากลีกในประเทศ นอกจากนั้นมาจากลีกต่าง ๆ ปะปนกันไป ที่น่าเสียดายคือการบาดเจ็บของ โดมินิค โซบอสซไล ดาวรุ่งจาก แอร์เบ ไลป์ซิก ที่มีอาการบาดเจ็บเล่นงานทำให้หลุดจากทีมชุดนี้ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังมีนักเตะอย่าง ปีเตอรต์ กูลาคซี และ วิลลี ออร์บาน จาก ไลป์ซิก, อดัม ซาไล หัวหอกกัปตันทีมจาก ไมนซ์ 05 มีความแข็งแกร่ง โดดเด่นลูกกลางอากาศ และ โรแลนด์ ซัลไล จากไฟร์บวร์ก ในทีมชุดนี้
ฮังการี จะได้เล่นใน บูดาเปสต์ 2 นัด (แฟนบอลเข้าได้เต็มความจุสนาม) ในการพบกับ โปรตุเกส และ ฝรั่งเศส ตามลำดับ ก่อนที่จะบินไปเล่นที่ มิวนิค ในเกมพบกับ เยอรมนี เป็นการปิดท้าย
ความน่าจะเป็น :
ทีมเกรดเอ 3 ค่อนข้างจะมีอัตราต่อรองเบียดกันชนิดที่ทิ้งฮังการีขาดลอย โดยฝรั่งเศส อัตราต่อรองดูดีที่สุดที่ 9/2 ส่วน เยอรมนี กับ โปรตุเกส จะมีอัตราต่อรองเท่ากันอยู่ที่ 8/1 และ ฮังการี เป็นทีมไม้ประตับในกลุ่มอย่างชัดเจนด้วยอัตราต่อรองที่ 250/1
ประเด็นหลักที่ทำให้คำว่า “กรุ๊ป ออฟ เดธ” ดูด้อยความหมายไปก็คือ การเข้ารอบได้สูงถึง 3 จาก 4 ทีม และก็เป็นอันดับ 3 ที่ดีที่สุดของ 4 กลุ่มจาก 6 กลุ่มซึ่งดูไม่ยากสำหรับโคตรทีมกลุ่มเอฟ
กลุ่มนี้มีโอกาสสูงที่จะกอดคอกันเข้ารอบ 3 ทีม คือ ฝรั่งเศส, เยอรมนี และ โปรตุเกส โดยความน่าจะเป็นที่สุดคือการที่ทั้ง 3 ทีมเก็บ 3 คะแนนเต็มได้จากฮังการี และที่เหลือก็มาวัดกันเอง ซึ่งทั้ง 3 ทีมก็ต่างมีโอกาสเป็นแชมป์กลุ่ม ที่ 2 หรือที่ 3 เพียงแต่ยากที่จะบอกว่าใครอยู่ในอันดับไหนเท่านั้น
—
Author: สมศักดิ์ จันทวิชชประภา Editor: ณัฐวุฒิ ประเทืองศิลป์
อ้างอิง