Categories
Special Content

“แชงคลีย์ vs บัสบี้” รักในรอยแค้น กับสงครามสีแดงที่ดีที่สุดตลอดกาล

ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมช่วงศตวรรษที่ 18 ลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ 2 เมืองใหญ่ของอังกฤษ ที่มีระยะทางห่างกันเกือบ 60 กิโลเมตร ต่างพึ่งพาอาศัยช่วยเหลือกัน และไม่มีแนวโน้มว่าจะมีปัญหากันเลย

ทว่าในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จุดแตกหักของทั้งคู่ เกิดขึ้นเพราะผลประโยชน์เรื่องค้าขายที่ไม่ลงตัว จนกระทั่งลามไปถึงเรื่องของกีฬาฟุตบอล และกลายเป็นคู่แค้นที่ไม่มีทางกลับมาลงเอยด้วยดีอีกต่อไป

แม้ว่าลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมลูกหนังที่เป็นตัวแทนแห่งปฏิปักษ์ของ 2 เมือง จะชิงดีชิงเด่นในสนามมาตลอด แต่ในความขัดแย้ง มักมีมุมโรแมนติกแอบซ่อนอยู่ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน

ซึ่งหนึ่งในประเด็น “รักในรอยแค้น” นั่นคือ บิลล์ แชงคลีย์ กับเซอร์แมตต์ บัสบี้ 2 ตำนานกุนซือผู้ล่วงลับที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และช่วยสร้างยุคสมัยที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ศึกแดงเดือดของ 2 สโมสร

ลิเวอร์พูลคือขวัญใจ แมนเชสเตอร์คือตำนาน

แมตต์ บัสบี้ เกิดในหมู่บ้านทำเหมืองถ่านหินที่สกอตแลนด์ คุณพ่อเป็นคนงานเหมืองที่ถูกเรียกไปช่วยชาติในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และเสียชีวิตในสงคราม ส่วนคุณแม่อพยพมาจากไอร์แลนด์ช่วงปลายศตวรรษที่ 19

แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นนักฟุตบอลให้ได้ บัสบี้ได้ใช้เวลาว่างจากงานประจำมาเล่นฟุตบบอล ต่อมาเขาขอปฏิเสธไปใช้ชีวิตกับคุณแม่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และเลือกที่จะออกจากบ้านเกิดไปตามหาความฝันที่อังกฤษ

บัสบี้ เริ่มต้นการเป็นนักเตะระดับอาชีพกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในปี 1928 ได้รับค่าจ้างสัปดาห์ละ 5 ปอนด์ โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม และหลายสโมสรได้ให้ความสนใจในตัวเขา แต่ก็ต้องผิดหวัง เนื่องจากค่าตัวที่แพงเกินไป

จนกระทั่งในปี 1936 ลิเวอร์พูลทุ่มเงิน 8,000 ปอนด์ กระชากตัวบัสบี้มาอยู่ในรั้วแอนฟิลด์ เก่งกาจจนกลายเป็นดาวเด่นในทีม จนได้รับการยกย่องจากสื่อว่า เขาคือเซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และสง่างามที่สุดของอังกฤษ

ต่อมาในปี 1939 บัสบี้ ในฐานะกัปตันทีมหงส์แดง ได้ต้อนรับเพื่อนร่วมทีมคนใหม่ที่ชื่อ บ็อบ เพสลี่ย์ ที่ย้ายมาจากสโมสรบิช็อป โอ๊คแลนด์ ซึ่งไม่มีใครล่วงรู้เลยว่า เพสลี่ย์จะได้ทำงานเป็นกุนซือลิเวอร์พูลในอีกหลายสิบปีต่อมา

กัปตันบัสบี้ อยู่ค้าแข้งในถิ่นแอนฟิลด์จนกระทั่งเลิกเล่นในปี 1945 เขาคือบุคคลเพียงไม่กี่คนที่เป็นขวัญใจของลิเวอร์พูล ก่อนจะเป็นตำนานตลอดกาลที่แมนเชสเตอร์ ส่วนเพสลี่ย์รีไทร์จากอาชีพนักเตะในอีก 9 ปีหลังจากนั้น

หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 บัสบี้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมแมนฯ ยูไนเต็ดแบบเต็มตัว ได้เข้ามาฟื้นฟูสโมสรที่ได้รับความเสียหายจากสงคราม แถมติดหนี้ธนาคาร พร้อมกับสร้างทีมจนประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่

คนงานเหมืองถ่านหิน ที่วาดฝันอยากเป็นนักเตะ

บิลล์ แชงคลีย์ เป็นชาวสกอตแลนด์เช่นเดียวกับแมตต์ บัสบี้ เมื่ออายุ 14 ปี เขาจำเป็นต้องลาออกจากโรงเรียน เพื่อไปเป็นคนงานในเหมืองถ่านหินซึ่งเต็มไปด้วยมลพิษ สิ่งสกปรก และอันตรายจากเครื่องจักรกล

แชงคลีย์เคยเขียนไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเองว่า “สมัยยังเด็ก ผมกับเพื่อนๆ เคยขโมยผัก ขนมปัง หรือแม้แต่ผลไม้เน่าๆ จากเกวียนที่อยู่ในเหมือง ผมยอมรับว่ามันผิด แต่จำเป็นต้องทำเพราะความหิวโหย”

“ผมได้เจอปัญหามากมายที่เหมือง เช่น งานหนัก หนู ความยากลำบากในการกินและดื่ม และที่แย่ที่สุดคือความสกปรก เพราะคนงานในเหมืองไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองสะอาด แม้จะได้ล้างตัวหลังออกจากกะแต่ละครั้งก็ตาม”

ในขณะที่แชงคลีย์เป็นคนงานในเหมือง มักจะใช้เวลาว่างเพื่อเล่นฟุตบอลให้ได้บ่อยที่สุด ที่จริงแล้วการทำงานในเหมืองเป็นเพียงแค่การฆ่าเวลาเท่านั้น เพราะความฝันสูงสุดของเขาคือการได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพ

ความมุ่งมั่นบวกกับแพสชั่นในกีฬาลูกหนัง แชงคลีย์ก็ผลักดันตัวเองจนได้เป็นนักเตะอาชีพในที่สุด โดยเล่นตำแหน่งกองหลัง เขาเริ่มจากการเซ็นสัญญากับคาร์ไลส์ ยูไนเต็ด สโมสรระดับดิวิชั่น 3 ของอังกฤษ ในปี 1932

แต่ด้วยความสามารถที่ไม่ธรรมดา ทำให้ในปีต่อมา เพรสตัน นอร์ท เอนด์ ตัดสินใจดึงแชงคลีย์เข้ามาด้วยเงิน 500 ปอนด์ เป็นกำลังสำคัญที่พาทีมขึ้นสู่ดิวิชั่น 1 ตั้งแต่ซีซั่นแรกที่ลงเล่น แถมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ในปี 1938

หลังจากเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ แชงคลีย์ผันตัวมาเป็นผู้จัดการทีมให้กับคาร์ไลส์ ยูไนเต็ด, กริมสบี้ ทาวน์, เวิร์กคิงตัน และฮัดเดอร์ฟิลด์ ทาวน์ หลังจากนั้นไม่นาน ชายคนนี้ก็กลายเป็นสุดยอดกุนซือผู้ยิ่งใหญ่ที่ลิเวอร์พูล

ความรักที่ลึกลับซับซ้อน ซ่อนในความเป็นคู่อริ

ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1958 เกิดเหตุโศกนาฏกรรมเครื่องบินตกที่สนามบินในเมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี ทำให้มีเจ้าหน้าที่และนักเตะชุด “บัสบี้ เบ็บส์” ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้รวม 23 คน

เมื่อลิเวอร์พูลได้รับทราบถึงความสูญเสียของฟากแมนเชสเตอร์ ก็ได้ยื่นข้อเสนอให้ยืมตัวผู้เล่นไปใช้งาน แต่ทางยูไนเต็ดปฏิเสธ และขอสู้ด้วยนักเตะที่มีอยู่ ในสถานการณ์ที่ต้องใช้เวลาไม่น้อยในการฟื้นฟูสโมสรขึ้นมาใหม่

หลังจากคืนฟ้าโศกที่มิวนิคผ่านไปเกือบ 2 ปี บิลล์ แชงคลีย์ ที่กำลังคุมทีมฮัดเดอร์ฟิลด์ ได้รับการแนะนำจากคนสนิทอย่างบัสบี้ ให้เข้ามารับงานที่ลิเวอร์พูล และในที่สุดแชงคลีย์ก็ตอบรับโอกาสนี้ในเดือนธันวาคม 1959

ลิเวอร์พูลในขณะนั้น มีแต่ปัญหารุมเร้าทั้งในและนอกสนาม แชงคลีย์ต้องใช้เวลาและความอดทนอย่างสูงเพื่อเปลี่ยนแปลงทีมให้ดีขึ้น รวมถึงเป็นผู้ที่เปลี่ยนชุดแข่งขันให้เป็นสีแดง ซึ่งกลายเป็นสีประจำสโมสรจนถึงทุกวันนี้

แชงคลีย์ ใช้เวลา 2 ฤดูกาลครึ่ง ในการพาลิเวอร์พูลเลื่อนชั้นขึ้นสู่ดิวิชั่น 1 เป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี จบซีซั่น 1962/63 ในอันดับที่ 8 ด้านแมนฯ ยูไนเต็ดของเซอร์แมตต์ บัสบี้ คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ และรอดตกชั้นอย่างฉิวเฉียด

จนกระทั่งในช่วงปี 1964 – 1967 คือช่วงเวลาที่ 2 สโมสรคู่ปรับสีแดง ยึดครองความยิ่งใหญ่ สลับกันคว้าแชมป์ลีกทีมละ 2 สมัย โดยลิเวอร์พูลได้ฉลองในปี 1964 กับ 1966 ส่วนทางฝั่งยูไนเต็ด สุขสมหวังในปี 1965 และ 1967

ในปี 1968 เมื่อปิศาจแดงผ่านเข้าชิงชนะเลิศยูโรเปี้ยน คัพ Liverpool Echo สื่อประจำเมืองลิเวอร์พูล ได้ออกมาเขียนชื่นชมในความยอดเยี่ยมของคู่แข่ง และทุกคนจะยินดี หากพวกเขาเป็นทีมแรกของอังกฤษที่ทำสำเร็จ

และสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจริงๆ ด้วยการล้มยักษ์อย่างเบนฟิกา จากโปรตุเกส ในช่วงต่อเวลาพิเศษ แน่นอนว่าความสำเร็จครั้งนี้ ได้อุทิศให้กับผู้วายชนม์จากเหตุการณ์เมื่อ 10 ปีก่อนหน้านั้น

ปิศาจแดงเสื่อมถอย หงส์แดงก้าวสู่ยุคยิ่งใหญ่

เมื่อช่วงเวลาของการต่อสู้เพื่อแย่งแชมป์ลีกที่เข้มข้นที่สุดในประวัติศาสตร์ได้ผ่านพ้นไปแล้ว เซอร์แมตต์ บัสบี้ กับบิลล์ แชงคลีย์ ก็เข้าสู่ช่วงท้ายของอาชีพผู้จัดการทีม ซึ่งจุดสิ้นสุดของทั้งคู่นั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

บัสบี้ หลังพาแมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ฤดูกาล 1967/68 อย่างยิ่งใหญ่ แต่ในซีซั่นถัดมา เขาทำทีมจบแค่อันดับที่ 11 และตัดสินใจอำลาสโมสรหลังจบซีซั่น ยุติช่วงเวลา 24 ปี ที่คุมทีมในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

ซึ่งผู้ที่เข้ามาสานต่ออย่างวิลฟ์ แม็คกินเนสส์ ก็ทำหน้าที่ได้ไม่ดีนัก อยู่ในตำแหน่งแค่ 1 ฤดูกาลครึ่ง ทำให้ยูไนเต็ดต้องเรียกบัสบี้ กลับมากู้วิกฤตชั่วคราวอีกครึ่งฤดูกาล ก่อนเข็นทีมปิศาจแดงให้จบซีซั่น 1970/71 ในอันดับที่ 8

การคุมทีมนัดสุดท้ายในชีวิตของบัสบี้ เกิดเหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่อ เมื่อมีแฟนบอลฮูลิแกนเข้ามาปามีดลงมาตกที่อัฒจันทร์ฝั่งทีมเยือน ทำให้ยูไนเต็ดถูกลงโทษห้ามเล่นที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 2 เกม ในช่วงต้นฤดูกาล 1971/72

สำหรับ 2 เกมที่แมนฯ ยูไนเต็ดต้องใช้สนามอื่นลงเตะนัดเหย้า คือเกมพบกับเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ที่วิคตอเรีย กราวด์ ของทีมสโตค ซิตี้ และดวลกับอาร์เซน่อลที่แอนฟิลด์ รังเหย้าของลิเวอร์พูล ทีมคู่ปรับตลอดกาล

ยูไนเต็ด หลังยุคของบัสบี้ ก็ไม่ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม สโมสรก็เข้าสู่ขาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งร่วงตกชั้นจากดิวิชั่น 1 ฤดูกาล 1973/74 หลังถูกอดีตนักเตะเก่าอย่างเดนิส ลอว์ ยิงประตูชัยให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

ฟากแชงคลีย์ ต้องใช้เวลาถึง 7 ปี ในการพาลิเวอร์พูลกลับมาทวงแชมป์ลีกอีกครั้งในปี 1973 พ่วงด้วยแชมป์ยูฟ่า คัพ และรีไทร์อาชีพกุนซือด้วยแชมป์เอฟเอ คัพ ในปีถัดมา ก่อนส่งไม้ต่อให้กับอดีตมือขวาคู่ใจอย่างบ็อบ เพสลี่ย์

ในปี 1977 ปิศาจแดงดับฝันเทรบเบิลแชมป์ของหงส์แดง ในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ แต่แฟนๆ เรด อาร์มี่ ที่เวมบลีย์ ได้ร่วมกันตะโกนเชียร์ศัตรูที่รักก่อนไปชิงชนะเลิศยูโรเปี้ยน คัพ พร้อมกับอวยพรว่า “โชคดีนะ ลิเวอร์พูล”

ท้ายที่สุด ลิเวอร์พูลของเพสลี่ย์ เอาชนะโบรุสเซีย มึนเช่นกลัคบัค คว้าแชมป์ถ้วยใหญ่สุดของยุโรปเป็นสมัยแรก รากฐาน “บูทรูม สตาฟฟ์” ที่แชงคลีย์ได้สร้างไว้ ตอบแทนด้วยแชมป์ลีกสูงสุด 11 สมัย และยูโรเปี้ยน คัพ 4 สมัย

อีกด้านหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่แปลกประหลาด

แม้ลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะเป็น 2 ทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของอังกฤษ แต่ก็น่าประหลาดใจไม่น้อย ที่ทั้งคู่ไม่ค่อยอยู่ในช่วงพีคที่สุดแบบพร้อมกัน ส่วนใหญ่จะต้องมีฝั่งหนึ่งขาขึ้น และอีกฝั่งหนึ่งขาลง

หลังสิ้นสุดยุคของแชงคลีย์และบัสบี้ 2 คู่ปรับสีแดง จบฤดูกาลอยู่ใน 2 อันดับแรก แค่ 3 ครั้งเท่านั้น ได้แก่ฤดูกาล 1979/80, 1987/88 และ 2008/09 แถมเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยกันเองเพียง 3 ครั้ง ในรอบ 40 ปีหลังสุด

เจมี่ คาราเกอร์ คอลัมนิสต์ของ The Telegraph ได้เขียนบทวิเคราะห์ถึงหงส์แดง และปิศาจแดง คู่ปรับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการลูกหนังเมืองผู้ดี แต่มีโมเมนต์แย่งแชมป์ลีกโดยตรงเพียงไม่กี่ครั้งตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา

คาราเกอร์ ระบุว่า ประการแรก “ปกป้องเกียรติประวัติมากเกินไป” เช่น เมื่อยูไนเต็ดหมดหนทางคว้าแชมป์ลีก แฟนบอลก็เอาจำนวนแชมป์ 20 สมัยมาข่ม ราวกับถากถางเดอะ ค็อปว่า พวกเขาคือทีมเดียวที่อยู่เหนือกว่า

อดีตตำนานหงส์แดงรายนี้ ยังได้พูดถึงเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน สมัยที่ยังคุมปิศาจแดงว่า เป็นกุนซือที่ให้ความสำคัญที่สุดกับการไปเยือนแอนฟิลด์ในทุกๆ ฤดูกาล ไม่ว่ายักษ์ใหญ่แห่งเมอร์ซี่ย์ไซด์จะอยู่ในอันดับไหนของตารางก็ตาม

ประการต่อมา “ชี้ชะตาอนาคตทั้งผู้ชนะและผู้แพ้” เช่น เกมที่แอนฟิลด์เมื่อต้นปี 2020 แฟนลิเวอร์พูลต่างร้องเพลง ‘พวกเราจะเป็นแชมป์ลีก’ เพราะเริ่มมั่นใจแล้วว่าใกล้ปลดล็อกคว้าแชมป์ครั้งแรกในรอบ 30 ปี

แถมในบางครั้ง ชัยชนะของลิเวอร์พูล ก็ทำให้กุนซือยูไนเต็ดบางคน หมดความชอบธรรมในหน้าที่การงาน แต่ลิเวอร์พูลเองก็เคยมีปัญหาในยุคของรอย ฮ็อดจ์สัน ความพ่ายแพ้ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ทำให้เดอะ ค็อป ไม่เชื่อมั่นในตัวเขา

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว เอริค เทน ฮาก อยู่ภายใต้ความกดดัน หลังจากแพ้ 2 นัดแรกของฤดูกาล แต่พอเอาชนะในศึกแดงเดือด โมเมนตัมก็เข้าทางยูไนเต็ด สวนทางกับลิเวอร์พูลที่เจอกับอุปสรรคตลอดทั้งซีซั่น

และสุดท้าย “แอนฟิลด์คือนรกของยูไนเต็ด” เพราะไม่ว่าลิเวอร์พูลจะอยู่ในช่วงที่ยิ่งใหญ่หรือตกต่ำ แต่การที่ยูไนเต็ดมาเยือนแอนฟิลด์ พวกเขาจะต้องเจอความยากลำบากเป็นพิเศษในการที่จะเก็บชัยชนะกลับออกไป

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://en.wikipedia.org/wiki/Bill_Shankly

https://en.wikipedia.org/wiki/Matt_Busby

https://en.wikipedia.org/wiki/Liverpool_F.C.%E2%80%93Manchester_United_F.C._rivalry

https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-9098701/Man-United-challenge-Liverpool-title-look-rivalry.html

https://www.liverpoolecho.co.uk/sport/football/football-news/matt-busby-manchester-liverpool-star-8816963

https://www.liverpoolfc.com/news/features/374742-story-of-bill-shankly-journey-to-liverpool

https://www.telegraph.co.uk/football/2018/03/08/manchester-united-vs-liverpool-anatomy-rivalry1/

https://www.nbcsports.com/bayarea/soccer/why-liverpool-fc-manchester-united-rivalrys-glory-days-seem-far-away

https://www.telegraph.co.uk/football/2023/03/03/man-utd-liverpool-englands-two-greatest-clubs-why-dont-compete/

Categories
Football Business

เมื่อ “ลิเวอร์พูล” จับมือพาร์ทเนอร์ใหม่ ช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน

นับตั้งแต่กลุ่มเฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป (FSG) เข้ามาซื้อกิจการของลิเวอร์พูล เมื่อปี 2010 ในช่วงที่สโมสรเกือบจะล้มละลาย แต่ด้วยการบริหารที่ชาญฉลาด ทำให้สถานการณ์ทางการเงินดีขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ

แต่จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลสูญเสียรายได้ราว 100 ล้านปอนด์ แถมมีการลงทุนเพื่อพัฒนาสโมสรในเรื่องที่จำเป็นอยู่หลายเรื่อง ทำให้พวกเขาต้องการหาเงินทุนเพิ่มเติม

ล่าสุด เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา หงส์แดงได้รับข่าวดี เมื่อตกลงขายหุ้นส่วนน้อยให้กับไดนาสตี้ อิควิตี้ (Dynasty Equity) บริษัทลงทุนด้านกีฬาระดับโลก ซึ่งมีมูลค่าอยู่ระหว่าง 82-164 ล้านปอนด์

หากคำนวณจากมูลค่าของลิเวอร์พูล อ้างอิงจากการประเมินของ Forbes ซึ่งอยู่ที่ 4.3 พันล้านปอนด์ (5.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) พบว่าหุ้นส่วนน้อยคิดเป็น 2 – 4 เปอร์เซ็นต์ ของมูลค่าสโมสรในปัจจุบัน

ส่องสถานะการเงินลิเวอร์พูล

เมื่อต้นปี 2023 ที่ผ่านมา Company House เว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลการจดทะเบียนบริษัทในอังกฤษ ได้เผยแพร่เอกสารงบการเงินของ 20 สโมสรพรีเมียร์ลีก รอบปีบัญชี 2021/22 สิ้นสุดวันที่ 31 พฤษภาคม 2022

ลิเวอร์พูล มีรายได้รวมทั้งสิ้น 594.3 ล้านปอนด์ มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยแบ่งเป็นรายได้จากสื่อ 260.8 ล้านปอนด์, รายได้เชิงพาณิชย์ 246.7 ล้านปอนด์ และรายได้จากแมตช์เดย์ 86.8 ล้านปอนด์

รายได้รวมของฤดูกาล 2021/22 เพิ่มขึ้นจากฤดูกาล 2020/21 ถึง 107 ล้านปอนด์ ส่วนหนึ่งมาจากการที่แฟนบอลสามารถกลับเข้าชมเกมในสนามได้ตลอดทั้งซีซั่น หลังจากต้องแข่งขันแบบปิดสนามในซีซั่นก่อนหน้า

ขณะที่ต้นทุนขาย, ค่าใช้จ่ายในการบริหาร และดอกเบี้ยจ่าย มียอดรวมทั้งหมด 615.8 ล้านปอนด์ ซึ่งเมื่อรวมกับผลประโยชน์อื่นๆ ที่ได้รับทั้งในและนอกสนาม ทำให้เหลือกำไรก่อนหักภาษี 7.5 ล้านปอนด์

ในส่วนของการจ้างงานภายในสโมสร ลิเวอร์พูลมีพนักงานประจำ 1,005 คน แบ่งเป็นพนักงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับฟุตบอล 713 คน, ผู้เล่น ผู้จัดการทีม สต๊าฟโค้ช 225 คน และเจ้าหน้าที่สนามดูแลสนามอีก 67 คน

ด้านพนักงานพาร์ท-ไทม์ ซึ่งมักจะทำงานเฉพาะวันที่มีการแข่งขัน มีทั้งหมด 1,930 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากฤดูกาล 2020/21 ที่มีเพียง 945 คน หรือคิดเป็น 51 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากไม่มีการล็อกดาวน์ในช่วงโควิด-19

แต่การเพิ่มขึ้นของพนักงาน ก็ส่งผลถึงค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน โดยลิเวอร์พูล ได้จ่ายค่าจ้างรวมกัน 366 ล้านปอนด์ เมื่อมาคำนวณสัดส่วนของค่าจ้างเมื่อเทียบกับรายได้ จะคิดเป็น 62 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้

มีการคาดการณ์ว่า ในรอบปีบัญชี 2022/23 ที่จะประกาศในช่วงต้นปี 2024 ค่าจ้างของลิเวอร์พูล จะเพิ่มขึ้นจากฤดูกาลก่อนหน้าราว 50 ล้านปอนด์ สวนทางกับรายได้รวมที่ลดลง จากผลงานในสนามที่ล้มเหลว

แม้ว่าในซีซั่น 2023/24 สนามแอนฟิลด์มีความจุมากขึ้น ส่งผลต่อรายได้ที่เพิ่มขึ้น แต่ก็มีรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม ผลงานในสนามของลิเวอร์พูล 2.0 มีทิศทางที่ดีขึ้นมากกว่าซีซั่นที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด

เพราะฉะนั้น หนทางเดียวที่การเงินของลิเวอร์พูลจะกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง คือการได้สิทธิ์ไปยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้า ซึ่งมีการเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันใหม่ ที่จะมีรายได้เข้าสู่สโมสรมากขึ้นกว่าเดิม

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

ทำความรู้จัก “ไดนาสตี้ อิควิตี้” 

สำหรับประวัติของไดนาสตี้ อิควิตี้ เป็นบริษัทด้านการลงทุนในกีฬาระดับโลก มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นิวยอร์ก ในสหรัฐอเมริกาถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 2022 โดยมีโจนาธาน เนลสัน และดอน คอร์นเวลล์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง

เนลสัน มีประสบการณ์การบริหารงานมาไม่น้อยกว่า 35 ปี เป็นผู้ก่อตั้ง Providence Equity Partners ที่ได้ลงทุนกับ Yankees Entertainment and Sports Network (YES) และยังทำงานร่วมกับเมจอร์ลีก ซอคเกอร์ด้วย

ทางด้านคอร์นเวลล์ อดีตหัวหน้าฝ่ายวาณิชธนกิจของ Morgan Stanley บริษัทการเงินระดับโลก และมีประสบการณ์ในการทำข้อตกลงด้านกีฬาหลายประเภทในสหรัฐอเมริกา เช่น อเมริกันฟุตบอล, บาสเก็ตบอล และอื่นๆ

นอกจากนี้ ยังมีเดวิด กินส์เบิร์ก รองประธานของเฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป (เอฟเอสจี) ที่เคยช่วยวิเคราะห์การหาเงินทุน เพื่อเจรจาการเทคโอเวอร์สโมสรลิเวอร์พูล เมื่อปี 2010 มาเป็นที่ปรึกษาอาวุโสให้กับไดนาสตี้ อิควิตี้

ในเว็บไซต์ของไดนาสตี้ อิควิตี้ ได้อธิบายถึงแนวทางการดำเนินงาน ภายใต้เสาหลัก 4 ประการ ได้แก่

– ความซื่อสัตย์ : สร้างความร่วมมือที่ยั่งยืน โดยรักษาไว้ซึ่งความซื่อสัตย์, ความไว้วางใจ อีกทั้งมีความเคารพในทุกด้านของกระบวนการ และการโต้ตอบกับปัญหา

– ความรอบคอบ : ลงทุนด้วยความรอบคอบ เน้นวินัยในด้านการประกันความเสี่ยง, เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ, การวิเคราะห์ที่เข้มงวด, และการตัดสินใจที่ชาญฉลาด

– ความหลากหลาย : นำประสบการณ์และภูมิหลังที่หลากหลาย มาสู่การลงทุนด้านกีฬา ทำให้สามารถประเมินโอกาสและสถานการณ์จากมุมมองที่หลากหลาย

– การทำงานเป็นทีม : เชื่อว่าผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจะเกิดขึ้นได้ เมื่อยอมรับในจิตวิญญาณในการเป็นผู้ประกอบการ และแนวทางการดำเนินกิจการที่เน้นการทำงานเป็นทีม

หลังจากบรรลุข้อตกลงในการร่วมทุน เนลสัน เปิดเผยว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นพันธมิตรกับเอฟเอสจี และสนับสนุนเกียรติประวัติอันน่าทึ่งของลิเวอร์พูล เพื่อเป็นการต่อยอดความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างเรากับสโมสร”

ขณะที่คอร์นเวลล์ กล่าวเสริมว่า “ลิเวอร์พูลคือหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่โดดเด่นที่สุดในโลก ซึ่งมีฐานแฟนบอลทั่วโลกที่หลงใหลในสโมสร เราจะทำงานร่วมกับเอฟเอสจี เพื่อโอกาสในการเติบโตที่ยิ่งใหญ่สำหรับอนาคต”

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

ไม่ได้ใช้ซื้อนักเตะและขายทีม

ก่อนหน้านี้ ในเดือนพฤศจิกายน 2022 มีข่าวลือว่า เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป จะพิจารณาหานักลงทุนรายใหม่เพื่อเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร แต่ผ่านไป 3 เดือน เอฟเอสจีแถลงว่าเป็นเพียงการหาผู้ร่วมทุนรายใหม่เท่านั้น

การสูญเสียรายได้ในช่วงโควิด-19 ระบาด คือเหตุผลที่ไดนาสตี้ อิควิตี้ ได้เข้ามาเป็นผู้ร่วมทุนรายใหม่ เพื่อนำเงินไปชำระหนี้สิน แต่ไม่เกี่ยวข้องกับการซื้อนักเตะใหม่ และไม่ใช่การส่งสัญญาณสู่การขายสโมสร

จากรายงานงบการเงินของ Company House ในรอบปีบัญชีล่าสุด (2021/22) ระบุว่า ลิเวอร์พูลมีหนี้สินจากสถาบันการเงิน 87.1 ล้านปอนด์ ลดลงจากรอบปีบัญชี 2020/21 ที่มีหนี้สิน 126.9 ล้านปอนด์

อย่างไรก็ตาม เงินจำนวน 50 ล้านปอนด์ ที่ใช้ในการสร้างเคิร์กบี้ สนามซ้อมแห่งใหม่ รวมถึง 12 ล้านปอนด์ ที่ซื้อเมลวูด สนามซ้อมเดิมเพื่อให้ทีมฟุตบอลหญิงได้ใช้งานนั้น ไม่ได้ถูกนับรวมอยู่ในหนี้สินแต่อย่างใด

ส่วนการซื้อผู้เล่นใหม่ในตลาดนักเตะช่วงซัมเมอร์ ปี 2023 ทีมของเจอร์เก้น คลอปป์ ใช้เงินไป 145 ล้านปอนด์ กับมิดฟิลด์ใหม่ 4 คน คือ โดมินิค โซบอสซไล, อเล็กซิส แม็คอลิสเตอร์, ไรอัน กราเวนเบิร์ช และวาตารุ เอ็นโด

ปัจจุบันนี้ ลิเวอร์พูลมีภาระค่าใช้จ่ายราว 80 ล้านปอนด์ ในการขยายอัฒจันทร์ฝั่งแอนฟิลด์ โร้ด ซึ่งเดิมทีจะต้องเสร็จสิ้นภายในเดือนตุลาคม แต่ต้องล่าช้าออกไปเพราะ Buckingham Group บริษัทคู่สัญญาเกิดล้มละลาย

ไมค์ กอร์ดอน ประธานของเอฟเอสจี ยังคงยึดมั่นกับการมีส่วนร่วมในการบริหารลิเวอร์พูลเหมือนที่เคยเป็นมากว่า 13 ปี พร้อมมองว่า ไดนาสตี้ อิควิตี้ คือพาร์ตเนอร์ที่เหมาะสมกับการเข้ามาร่วมลงทุนในระยะยาว

“คำมั่นสัญญาในระยะยาวของเรากับลิเวอร์พูล ยังคงเหมือนเดิม เราพูดอยู่เสมอว่า หากมีหุ้นส่วนที่เหมาะสมสำหรับสโมสร เราก็จะตามหาโอกาสเพื่อความคล่องตัวทางการเงินในระยะยาว และการเติบโตในอนาคต”

“เราเฝ้ารอที่จะสร้างความสัมพันธ์อันยาวนานกับไดนาสตี้ อิควิตี้ เพื่อเสริมสร้างสถานะทางการเงินให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และรักษาความทะเยอทะยานเพื่อสร้างความสำเร็จทั้งในและนอกสนาม” กอร์ดอน กล่าวปิดท้าย

แม้แฟนบอลบางส่วนจะผิดหวังที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเจ้าของสโมสร แต่การปลดภาระหนี้สิน ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ลิเวอร์พูลมีสถานะทางการเงินที่มั่นคง และความสำเร็จในสนามที่จะเดินหน้าต่อไป

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

– https://theathletic.com/4909947/2023/09/28/liverpool-investment-explained-fsg-dynasty-equity/

– https://www.telegraph.co.uk/football/2023/09/28/liverpool-us-investment-dynasty-equity-jurgen-klopp/

https://www.liverpoolecho.co.uk/sport/football/football-news/who-dynasty-equity-fsg-sell-27804761

https://find-and-update.company-information.service.gov.uk/company/00035668/filing-history

https://swissramble.substack.com/p/liverpool-finances-202122

– https://find-and-update.company-information.service.gov.uk/company/00035668/filing-history

Categories
Football Tactics

กั๊กโป เกิดใหม่ในร่างนักเตะเบอร์ 9 กับตัวช่วยที่มากกว่าพรสวรรค์-พรแสวง

ลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จในการเลือกสรรนักเตะใหม่เข้ามาในตลาดเดือนมกราคม 2 ปีติดต่อกัน ปี 2022 คือ ลุยซ์ ดิอาซ ค่าตัว 37 ล้านปอนด์จากทีมปอร์โต (บวกแอด-ออน 12 ล้านปอนด์) ปีกซ้ายทีมชาติโคลอมเบียปรับตัวกับลีกใหม่อย่างรวดเร็ว มีส่วนสำคัญขับเคลื่อนฟอร์มทีมหงส์แดงจนคว้า 2 แชมป์ 2 รองแชมป์ ด้วยสถิติ 26 นัด 6 ประตูรวมทุกรายการ แต่โชคร้ายซีซันต่อมา ดิอาซใช้เวลาส่วนใหญ่รักษาอาการบาดเจ็บจนลงสนามรวมแค่ 21 นัด แต่ยังทำได้ 5ประตู

ตลาดนัดปีนี้ ลิเวอร์พูลให้อภัยหน้าเค้กเปรียบเทียบแมนฯยูไนเต็ดจ่ายเงินราว 37 ทดสอบให้พีเอสวี ไอน์ดโฮเฟน (บวกแอด-ออน 3 ความต้องการ) เพื่อซื้อโคดีกั๊กโปซึ่งใกล้  จะ  เซ็น สัญญากับทีมปีศาจแดงปี๊ทิ้งไว้ให้เล่นกับเพื่อนใหม่ดีกว่าจะได้ช่วยทีมหงส์แดงฟอร์มแรงช่วงท้ายไต่อันดับพรีเมียร์ลีกจนมีลุ้นโควตาแชมเปียนส์ลีกโดยดิอาซเล่น 26 นัดที่ 7 ประตูรวมทุกรายการ

สำหรับกั๊กโปแล้ว สิ่งที่เกินคาดทั้งแฟนบอลและสื่อมวลชนคือ แทนที่เยอร์เกน คลอปป์ จะส่งกั๊กโปเล่นแนวรุกฝั่งซ้าย ตำแหน่งประจำที่พีเอสวี แทนดิอาซและดีโอโก โซตา ที่บาดเจ็บพร้อมกัน แต่กลับมอบหมายกั๊กโปยืนศูนย์หน้า ส่วนปีกซ้ายเป็นดาร์วิน นูนเญซ ซึ่งกูรูลูกหนังเคยเชื่อว่า ลิเวอร์พูลยอมทุ่มให้เบนฟิกาสูงถึง 64 ล้านปอนด์ (บวกแอด-ออน 21ล้านปอนด์) เพื่อมายืนตำแหน่งเบอร์ 9 เหมือนเออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ของแมนฯซิตี

ช่วงครึ่งแรกของซีซัน 2022-23 ก่อนย้ายมาเมอร์ซีย์ไซด์ กั๊กโปทำผลงานในเอเรดิวิซีของเนเธอร์แลนด์ 9 ประตู 12 แอสซิสต์จากการเล่น 14 นัด และเป็นปีกซ้ายเบอร์ 1 ของเฮดโค้ช รุด ฟาน นิสเตลรอย และจากสถิติทั้งหมด 159 นัดรวมทุกรายการ (55 ประตู 50 แอสซิสต์) ในสีเสื้อพีเอสวีตั้งแต่เล่นให้ทีมชุดใหญ่นัดแรกต้นปี 2018 เว็บไซต์ transfermarkt ระบุว่า กั๊กโปเล่นปีกซ้ายถึง 118 นัด รองลงมาคือ ศูนย์หน้า 15 นัด และปีกขวา 14 นัด ส่วนอีกนัดเป็นมิดฟิลด์ตัวรุก

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คลอปป์จะทำให้ผู้คนมากมายเซอร์ไพรส์ที่ใช้งานกั๊กโปเป็นกองหน้าตัวเป้า ไม่ใช่ตำแหน่งที่เป็นภาพจำอย่างปีกซ้าย โดยเฉพาะข้อจำกัดที่ดิอาซกับโซตาไม่สมบูรณ์พร้อมกัน แถมนูนเญซก็ถูกคาดหวังมาเป็นศูนย์หน้าตัวหลักอีก … แม้แต่ กั๊กโปเองก็ยอมรับว่าคิดไม่ถึงเช่นกัน

เมินคำแนะนำว่าเหมาะกับสไตรเกอร์มากกว่าปีก

หลังฤดูกาล 2022-23 ปิดฉากลง กั๊กโปให้สัมภาษณ์สื่อว่า คลอปป์โน้มน้าวให้เขาเชื่อว่าตำแหน่งที่ดีสำหรับเขามากที่สุดคือ STRIKER ไม่ใช่ปีก และตอนนี้เขาก็มีความสุขและสนุกกับตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าที่ลิเวอร์พูล การย้ายจากปีกซ้ายมายืนเบอร์ 9 เป็นสิ่งเพลิดเพลินด้วยซ้ำ คอมเมนเตเตอร์หลายคนมองว่าเมื่อโรแบร์โต ฟีร์มิโน ย้ายออกจากแอนฟิลด์ กั๊กโปจะเป็นตัวแทน false nine ของฟีร์มิโนอย่างแน่นอน

กั๊กโปเซ็นสัญญา 5 ปีครึ่งกับลิเวอร์พูลเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2022 หรือ 4 วันก่อนตลาดฤดูหนาวเปิดอย่างเป็นทางการ สร้างรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์สโมสรพีเอสวี เขาปรากฏตัวในสนามครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2023 เป็นเอฟเอ คัพ รอบ 3 ที่เสมอวูลฟ์แฮมป์ตัน 2-2 กั๊กโปยืนตำแหน่งปีกซ้ายที่คุ้นเคย ส่วนศูนย์หน้าคือนูนเญซ นัดต่อมาเป็นเกมพรีเมียร์ลีก วันที่ 14 มกราคม ลิเวอร์พูลชนะไบรท์ตัน 3-0 คลอปป์ปรับหมากเกม  ย้ายกั๊กโปยืนศูนย์หน้า ปีกซ้ายเป็นหน้าที่ของอเล็กซ์ ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน แม้กั๊กโปทำประตูไม่ได้ช่วง 6 นัดแรกแต่เขาไม่คิดว่ามีผลมาจากการปรับเปลี่ยนตำแหน่ง

กั๊กโปส่งลูกหนังซุกตาข่ายให้ลิเวอร์พูลได้สำเร็จ เป็นสกอร์นำร่องก่อนชนะเอฟเวอร์ตัน ทีมเพื่อนบ้าน 2-0 ในบอลลีกวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ประตูที่ 2 ตามมาอีก 5 วันในแมตช์ชนะนิวคาสเซิล 2-0 อีกทั้งยังทำ 2 ประตูเมื่อวันที่ 5 มีนาคม กับเกมหนึ่งที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในซีซันนี้ ลิเวอร์พูลเปิดบ้านถล่มแมนฯยูไนเต็ดราบคาบ 7-0 และยังมีเกมที่กั๊กโปทำ 2 แอสซิสต์อีกด้วยคือวันที่ 30 เมษายน จ่ายให้ดิอาซทำประตูขึ้นนำสเปอร์ส 2-0 ก่อนที่โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ สังหารจุดโทษให้สกอร์ห่างเป็น 3-0 เมื่อกั๊กโปโดนทำฟาวล์ในเขตโทษ แม้สเปอร์สตีเสมอ 3-3 แต่โซตาทำประตูชัยให้เจ้าถิ่นในนาทีที่ 90+4

สตาร์ทีมชาติเนเธอร์แลนด์กล่าวว่า “คลอปป์โน้มน้าวว่ากองหน้าเป็นตำแหน่งที่เหมาะสมกับผมมากที่สุด แน่นอนเป็นช่วงเวลาลำบากเมื่อครั้งมาถึงลิเวอร์พูลใหม่ๆ คลอปป์พูดชัดเจนว่าต้องการอะไรจากผม แต่ช่วงเริ่มต้น ก็ต้องใช้เวลาปรับตัวให้คุ้นชินเป็นธรรมดา แต่อยากบอกว่า ผมสนุกที่ได้เล่นตำแหน่งนี้ตลอด 2-3 เดือนที่ผ่านมา”

แม้ใช้เวลาเกือบทั้งหมดทำหน้าที่แนวรุกริมเส้นบนสังเวียนเอเรดิวิซี แต่กับทีมชาติเนเธอร์แลนด์ เป็นเรื่องปกติถ้ากั๊กโปถูกวางเป็นศูนย์หน้า อย่างเช่นเวิลด์คัพที่กาตาร์ หลุยส์ ฟาน กัล ให้กั๊กโปยืนตำแหน่งเบอร์ 9 ในนัดเสมอเอกวาดอร์ 1-1, ชนะกาตาร์ 2-0 และชนะสหรัฐอเมริกา 3-1 ส่วนนัดเปิดสนามที่ชนะเซเนกัล 0-2 และแมตช์รอบ 8 ทีมสุดท้ายที่แพ้ดวลจุดโทษต่ออาร์เจนตินา กั๊กโปรับบทมิดฟิลด์ตัวรุก โดยฟุตบอลโลก กั๊กโปเป็นตัวจริงทั้ง 5 นัด ทำได้ 3 ประตู

กั๊กโปเล่าว่า “กัส ฮิดดิงค์ เป็นคนแรกที่แนะนำว่า ผมควรเป็นสไตรเกอร์หรือไม่ก็ false nine มีช่วงหนึ่งเขาเป็นบอร์ดบริหารและเคยเห็นผมเล่น แต่ผมไม่เชื่อหรอกนะ ต่อมาเป็นโรเจอร์ ชมิดท์ ที่พูดแบบเดียวกันตอนที่คุมทีมพีเอสวี แต่ผมยังใจแข็งเหมือนเดิมเพราะรู้สึกดีกับปีกซ้ายมากกว่า”

“แต่จุดเปลี่ยนคือเวิลด์คัพ 2022 ผมต้องเล่นบริเวณพื้นที่กลางสนามมากขึ้น และกลายเป็นงานถาวรเกือบตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา มันโอเคแล้วนะ ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ทุกอย่างดีขึ้นเรื่อยๆกับการเล่นตำแหน่งนี้ให้สโมสรเช่นเดียวกับทีมชาติ”

2 นัดล่าสุดกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาในรายการเนชันส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ (แพ้โครเอเชีย) และนัดชิงอันดับ 3 (แพ้อิตาลี) โรนัลด์ คูมัน กุนซือคนใหม่ของเนเธอร์แลนด์ ใช้บริการกั๊กโปเป็นศูนย์หน้าแทนเมมฟิส เดปาย ที่บาดเจ็บน่อง

ดูเหมือนเส้นทางของกั๊กโปทั้งระดับสโมสรและทีมชาติได้มาบรรจบกันที่ “สไตรเกอร์” ทำให้เขาสามารถทุ่มเทสมาธิได้เต็มที่กับทักษะเครื่องจักรล่าประตู ซึ่งที่ผ่านมา แนวรุกดัตช์ไม่ได้มีเพียงสตาฟฟ์โค้ชสโมสรและทีมชาติที่เข้ามาช่วยพัฒนาฝีเท้า แต่ยังมีทีมงานส่วนตัวด้วย

จ้างทีมงานโค้ชแทคติกส่วนตัวเพื่ออัปเกรดฝีเท้า

ถ้าพิจารณาสไตล์การเล่นที่ผ่านมา กั๊กโปก็เป็นแนวรุกริมเส้นที่กึ่งๆกองหน้าอยู่แล้ว เขาเป็นปีกซ้ายที่ถนัดเท้าขวา บ่อยครั้งจะตัดเข้าในและเคลื่อนที่โจมตีฝ่ายตรงข้ามบนพื้นที่กลางสนาม ใช้ความเร็วและการเลี้ยงบอลที่คล่องแคล่วเพื่อ “กิน” กองหลังคู่แข่งจนกระทั่งเจอช่องว่างและโอกาสที่จะซัดบอลเพื่อทำประตู

ย้อนกลับยังเวิลด์ คัพ 2022 นัดแรกของรอบแรก กลุ่ม เอ ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุในกาตาร์ เนเธอร์แลนด์ยังเสมอเซเนกัล 0-0 ดูเหมือนไม่สามารถหาช่องว่างของแนวรับเพื่อเจาะเข้าไปทำสกอร์ นักเตะเสื้อขาวยืนแพ็คแน่นบริเวณกรอบเขตโทษ 

เหลือเวลาราว 6 นาที แฟรงกี เดอ ยอง โยนยาวไปหน้าประตู กั๊กโปวิ่งทะยานจากปีกขวา ทะลวงกองหลังเซเนกัล 2 คนที่มองบอลที่กำลังลอยเข้ามา กั๊กโปกระโดดโฉบโหม่งตัดหน้านายทวารเอดูอาร์ เมนดี ที่กระโดดหวังชกบอลแต่พลาด กั๊กโปโหม่งให้เนเธอร์แลนด์นำ 1-0 ก่อนชนะไปในที่สุด 2-0 เก็บ 3 แต้มแรกตุนได้สำเร็จ

ประตูปลดล็อคคลายความกดดันให้ทีมอัศวินสีส้มมีที่มาที่ไปจากเหตุการณ์ประมาณครึ่งปีก่อนหน้าฟุตบอลโลก ชายผู้สอนทริกการเล่นให้กั๊กโปผ่านการรีเพลย์คลิปวิดิโอทีละขั้นตอน เปิดเผยว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจจากบาสเกตบอล

โลแรน วีรีลิงค์ โค้ชด้านแทคติกของกั๊กโป ให้สัมภาษณ์กับอีเอสพีเอ็นว่า “นั่นเป็นแผนการวิ่งที่พวกเราทำงานร่วมกัน เขาวิ่งไปด้านหลังในจังหวะกองหลังขยับขึ้นหน้า เป็นหนึ่งในแผนการวิ่งที่ผมเรียนรู้จากสมัยเป็นนักบาสเกตบอลอาชีพ เรามีรูปแบบที่แตกต่างกัน 6 อย่างของการวิ่งเข้าไปในกรอบเขตโทษ”

“ซิดนีย์ พี่ชายของกั๊กโป ส่งข้อความมาถึงผม (หลังเนเธอร์แลนด์ชนะเซเนกัล) บอกว่า ‘โลแรน นั่นเป็นประตูของคุณ’ กั๊กโปคงไม่วิ่งลักษณะนั้นถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผม เขาคงมองไม่เห็นดีเฟนซีพไลน์ที่ขยับขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นให้เขาวิ่งตัดหลังคู่แข่ง”

ที่กาตาร์ กั๊กโปเดินหน้าทำสกอร์ต่อไปใน 2 นัดที่เหลือของรอบแรก (เอกวาดอร์และกาตาร์) ก่อนสิ้นสุดเส้นทางที่รอบก่อนรองชนะเลิศเมื่อพ่ายต่ออาร์เจนตินา

เป็นความปกติของฟุตบอลสมัยใหม่ที่นักเตะจะว่าจ้างเทรนเนอร์ส่วนตัวเพื่อยกระดับตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น รวดเร็วขึ้น และเฉียบคมขึ้น กั๊กโปเป็นหนึ่งในนักฟุตบอล 200 คน ที่ทำงานร่วมกับวีรีลิงค์ด้วยความหวังให้ตัวเองเป็นนักเตะที่เก่งขึ้น อดีตครูพละชาวดัตช์ได้เข้ามาช่วยให้นักฟุตบอลมีคู่มือแผนการเล่นเฉพาะตัวเหมือนกับกั๊กโป ซึ่งนำไปสร้างความได้เปรียบหรือความแปลกใจให้กับคู่ต่อสู้บนสนามหญ้า

ปรารถนาเป็นหนึ่งในนักเตะ 1% ที่ยืนบนยอดพิระมิด

ซิดนีย์ กั๊กโป รู้ดีว่าน้องชายของเขาต้องการข้อมูลเชิงลึกมากกว่าเพื่อนร่วมอาชีพทั่วไป จึงแนะนำโคดีให้รู้จักวีรีลิงค์ก่อนลีกเนเธอร์แลนด์เปิดฤดูกาล 2021-22 แม้ความได้เปรียบจากส่วนสูง 6 ฟุต 3 นิ้ว ก็สร้างความหวั่นไหวให้กองหลังได้แล้ว กั๊กโปยังมีอันตรายจากความเร็ว การครองบอล และทักษะด้านเทคนิคในการสร้างแผนเข้าโจมตีฝ่ายตรงข้าม

กั๊กโปมีพ่อเชื้อสายกานาที่เกิดในโตโก แม่เป็นชาวดัตช์ เขาเกิดในไอน์ดโฮเฟน เริ่มเข้าศึกษาศาสตร์ลูกหนังในอะคาเดมีของ พีเอสวี ไอน์ดโฮเฟน เมื่อปี 2007 ตอนอายุเพียง 8 ขวบ กั๊กโปผ่านโปรแกรมเยาวชนทุกระดับของสโมสร และเริ่มเข้าไปอยู่ใน ยอง พีเอสวี ซึ่งเป็นทีมสำรองของพีเอสวี ไอน์ดโฮเฟน ในซีซัน 2016-17 แต่ยังใช้เวลาส่วนใหญ่กับทีม ยู-19กั๊กโปประเดิมทีมชุดใหญ่ของพีเอสวีเมื่อถูกส่งลงสนามช่วงทดเวลาเจ็บของแมตช์ชนะเฟเยนูร์ด 3-1 เมื่อวันที่ 25กุมภาพันธ์ 2018

แม้พรสวรรค์บวกกับพรแสวงที่เพิ่มเติมขึ้นขณะอยู่ในระบบของพีเอสวีจะทำให้กั๊กโปไปได้ไกลกว่านักเตะรุ่นเดียวกันส่วนใหญ่ แต่กั๊กโปต้องการมากกว่านั้น แค่ดียังไม่พอ เขากระหายที่จะเป็นนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ เป็นนักฟุตบอลส่วนน้อย 1เปอร์เซ็นต์ที่ยืนอยู่บนยอดพีระมิด นั่นจึงทำให้เขาตกลงใจทำงานกับวีรีลิงค์

หลังทำการรีวิวการเล่นของกั๊กโป วีรีลิงค์ได้ข้อสรุปว่า กั๊กโปจำเป็นต้องพัฒนาประสิทธิภาพและการเคลื่อนที่ในโซน final third พวกเขาประชุมสุมหัวคิดร่วมกัน กั๊กโปต้องเล่นฟุตบอลด้วยมันสมองมากขึ้น คิดคำนวณให้มากขึ้นในแต่ละครั้งที่จะขยับตัวหรือทำอะไรสักอย่าง แทนการตั้งหน้าตั้งตาวิ่งหรือดวลตัวต่อตัวกับคู่แข่งบ่อยเกินไป กั๊กโปควรสงวนพลังงานเพื่อเอาไปใช้ในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย

“กั๊กโปเป็นนักเตะที่ชอบเวลาลูกบอลอยู่กับเท้า แต่ผมบอกว่า ถ้าเขาต้องการเล่นฟุตบอลให้ได้ถึงระดับท็อป เขาจำเป็นต้องมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่านี้ และมีคำตอบไว้หลายแบบสำหรับสถานการณ์ต่างๆในการแข่งขัน ตัวอย่างเช่น คุณต้องสร้างมุมและตำแหน่งที่แตกต่างกันเวลาเผชิญหน้ากรอบประตู มันเป็นสิ่งที่ผมเรียนรู้จากบาสเกตบอล ทุกครั้งที่ได้ลูก คุณต้องพร้อมที่จะชู้ตลูกออกไปเสมอ นั่นจึงเป็นการสร้างอันตราย”

“ที่พีเอสวี เขาดูนิ่งเกินไปและมักปักหลักยืนแทนที่จะเคลื่อนที่ไปรอบๆ ดังนั้นเราจึงต้องวางแผนงานว่า เขาจะวางสรีระอย่างไรก่อนจะรับบอล(ที่ส่งมาให้)หรือออกวิ่ง เรายังต้องวางแผนเรื่องการเฝ้ามองพื้นที่ว่างไม่ว่าจะมีบอลอยู่กับตัวหรือไม่ เพราะนั่นจะทำให้เขามองเห็นช่องว่างที่สามารถวิ่งทะลวงเข้าไป”

3 ซีซันก่อนหน้าทำงานกับวีรีลิงค์ กั๊กโปมีสถิติรวมทุกรายการคือ 19 นัด 2 ประตูในซีซัน 2018-19, 39 นัด 8 ประตูในซีซัน 2019-20 และ 29 นัด 11 ประตูในซีซัน 2020-21 ส่วนซีซัน 2021-22 เฉพาะในเอเรดิวิซี กั๊กโปทำได้ 12 ประตูจาก 27 นัด และ 21 ประตูจาก 47 นัดรวมทุกรายการ

กั๊กโปอำลาลีกเนเธอร์แลนด์เมื่อซีซัน 2022-23 ผ่านไปราวครึ่งทาง เขาครองอันดับ 1 ของเอเรดิวิซีทั้งจำนวนสกอร์ (9ประตู) และแอสซิสต์ (12 ครั้ง) จากการลงสนาม 14 นัด มีเพียง ดูซาน ทาดิช (อาแจ็กซ์) และ วาคลาฟ เชร์นี (ทเวนเต) ที่ทำประตูได้มากกว่ากั๊กโปเมื่อจบโปรแกรมแข่งขัน แต่ทั้งสองเล่นมากกว่ากั๊กโปคนละ 14 นัด

เปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองก่อนแล้วเพื่อนจะเปลี่ยนตาม

วีรีลิงค์อธิบายถึงการทำงานร่วมกับกั๊กโปว่า ทีมงานได้เตรียมวิดีโอกว่าร้อยคลิปที่ได้จาก WyScout แพลตฟอร์มฟุตบอลอาชีพที่บรรดาเอเยนต์ แมวมอง ผู้เล่น สื่อมวลชน และกรรมการใช้งานอย่างแพร่หลาย พวกเขาโฟกัสไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนที่ของร่างกายและศีรษะของแนวรุกดัตช์เพื่อเชื่อมโยงเข้ากับลูกฟุตบอล, การครองบอลของเพื่อนร่วมทีม และตำแหน่งของตัวประกบ จากนั้นจะถูกวางโปรแกรมให้ตอบสนองต่อสถานการณ์หลายรูปแบบและนำไปสร้างผลกระทบเชิงลบต่อคู่แข่ง ประตูแรกของกั๊กโปช่วงปลายครึ่งแรกที่ทำให้ลิเวอร์พูลนำ 2-0 ก่อนชนะแมนฯยูไนเต็ดถล่มทลาย 7-0 ในเดือนมีนาคม เป็นตัวอย่างที่ดี

เพลย์เริ่มที่อลิสซง เบคเกอร์ เตะบอลยาวไปยังแดนแมนฯยูไนเต็ดให้ แอนดี โรเบิร์ตสัน ที่อยู่ใกล้ริมสนามฝั่งซ้าย กั๊กโปฉีกตัวเองจากแถววงกลมกลางสนามไปริมสนาม แต่เขาไม่ได้ขอบอลจากแบ็คซ้ายร่วมทีม แต่หวังสร้างพื้นที่ว่างตรงกลาง ซึ่งโรเบิร์ตสันตอบสนองด้วยการตัดเข้าในทันที 

มาถึงตรงนี้ กั๊กโปเห็นเฟรด นักเตะแมนฯยูไนเต็ด ที่อยู่ใกล้เขามากที่สุด กำลังมองไปที่บอล นั่นเป็นตัวกระตุ้นให้กั๊กโปนึกถึง backdoor run ที่ได้มาจากทีมงานของวีรีลิงค์ เขาจึงวิ่งตัดเข้าในด้านหลังของเฟรด ซึ่งเซเสียจังหวะ ขณะเดียวกันโรเบิร์ตสันจ่ายบอลทะลุกลุ่มผู้เล่นไปที่มุมกรอบเขตโทษ ส่วนกั๊กโปก็วิ่งเข้ามารับแบบเหมาะเจาะ

ราฟาเอล เวราน ปรี่เข้ามาขวาง กั๊กโปหักหลบเปลี่ยนทิศทางทำให้ปราการหลังเฟรนซ์เสียหลัก เป็นการเพิ่มพื้นที่ว่างด้านหน้า เขาแตะบอลหนึ่งจังหวะก่อนสับไกด้วยเท้าขวา ลูกพุ่งเข้าประตูทางเสาไกล ซึ่งวีรีลิงค์กล่าวเพิ่มว่า ลูกเล่นนี้ กั๊กโปเรียนรู้จากคลิปการสอนของเขาที่ชื่อว่า Clear depth-run – backdoor side

กั๊กโปและ สเตฟาน เดอ ฟรีจ์ ปราการหลังทีมชาติเนเธอร์แลนด์ เป็นนักกีฬาที่มีชื่อเสียงที่วีรีลิงค์สามารถเปิดเผยชื่อได้ วีรีลิงค์ยังมีลูกค้าระดับดาราอีกหลายคนที่ได้ประโยชน์จากหลักสูตรของเขา แต่ปรารถนาจะเก็บการทำงานเป็นเรื่องส่วนตัวอย่างลับๆ

วีรีลิงค์มีแผนขยายธุรกิจของบริษัท แทคทาไลซ์ (Tactalyse) ไปยังสหรัฐอเมริกาก่อนถึงฟุตบอลโลก 2026 ซึ่งเขามั่นใจว่าเป็นโอกาสที่ดีเพราะคนอเมริกันพร้อมลงทุนที่เกี่ยวข้องกับอาชีพตัวเอง ต่างกับยุโรปที่เห็นว่าบริการเหล่านี้เป็นเรื่องเกินความจำเป็น ส่วนที่สหรัฐอเมริกา การจ่ายเงินให้เทรนนิงส่วนตัวเป็นเรื่องปกติมาก

แม้เป็นช่วงปิดซีซัน แต่นักฟุตบอลปัจจุบันนี้มักวางแผนซ้อมส่วนตัวระหว่างฤดูร้อนเพื่อรับประกันว่าพวกเขาจะเข้าค่ายเก็บตัวพรี-ซีซันในสภาพร่างกายที่ดี หรือบางคนที่เพิ่งผ่านซีซันที่เลวร้าย ฤดูร้อนเป็นเวลาเหมาะสมที่จะประเมินประสิทธิภาพของตัวเอง และตั้งคำถามว่า มีอะไรที่ตัวเขาทำได้เพื่อช่วยเหลือทีม

วีรีลิงค์เสนอมุมมองว่า “นักเตะหลายคนชอบบ่นเพื่อนร่วมทีมที่ไม่ยอมส่งบอลมาให้ บางทีเพื่อนอาจมองไม่เห็นคุณก็ได้เลยไม่ผ่านบอลมา ข้อแนะนำของผมคือ ถ้าคุณเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง คุณจะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของเพื่อนได้ ผลกระทบที่ส่งไปจากคนๆเดียวนั้นใหญ่กว่าที่คิด”

กั๊กโปและแทคทาไลซ์ทำงานร่วมกันตลอดซัมเมอร์เพื่อให้มั่นใจว่าเพื่อนร่วมทีมลิเวอร์พูลเห็นเขากำลังวิ่งตัดหลังฝ่ายตรงข้ามหรือกองหลังที่จับตามองบอล จากนั้นเมื่อเขาหลุดเข้าไปดวลตัวต่อตัวกับนายประตูหรือกองหลังคนสุดท้าย เขาต้องพร้อมที่จะโป้งปิดบัญชีด้วยความเฉียบคม สำหรับวีรีลิงค์แล้ว แทคติกของทีมมักถูกตีค่าเกินจริง แต่เป็นกลยุทธเฉพาะบุคคลของตัวนักเตะต่างหากที่สร้างความแตกต่างให้กับเกมลูกหนัง

“เราสามารถคุยเรื่องระบบการเล่นของทีมได้ยาวเป็นชั่วโมงๆ แต่ท้ายสุดแล้ว เป็นนักเตะที่สามารถทำบางอย่างได้สมบูรณ์แบบต่างหากที่จะเป็นตัวตัดสินเกม” บอสใหญ่แห่งแทคทาไลซ์กล่าวทิ้งท้าย

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
KMD Opinion

ทำไมดีล “กัคโป” จึงดูดีในตลาดรอบ 2

สถิติ คือ “เรื่องหนึ่ง” นะครับในการวิเคราะห์ฟุตบอล อย่างไรก็ดี การเชื่อในประสบการณ์ ความรู้ และสัญชาตญาณในการรับชมฟุตบอลของแต่ละคนก็ให้ความรู้สึกเป็นส่วนใหญ่ว่า “ดีล – โคดี กัคโป” คือ ดีลที่ดีที่สุดดีลหนึ่งสำหรับตลาดการซื้อขายนักเตะรอบ 2 เดือนมกราคมแน่นอน

ไม่ใช่เฉพาะกับลิเวอร์พูล แต่คือ มองใน “ภาพรวม” การซื้อขายจากตลาดรอบนี้ได้เลย

เหตุผลหลัก คือ ตัวเลือกมีไม่เยอะ เพราะต้นสังกัดเดิม หรือนักเตะเองจะย้ายทีม “กลางศึก” ระหว่างซีซั่นมันต้องอาศัยการปรับตัวพอประมาณ

จริง ๆ แล้ว ทีมใหม่ หากไม่จำเป็นจริง ๆ ก็จะไม่ซื้อ เพราะนอกจากจะถูกมองได้ว่า เตรียมตัวไม่ดีตอนซัมเมอร์ตลาดรอบแรกแล้ว

มันยังเหมือน panic buy หรือ “ต้องซื้อ” เพื่อขายผ้าเอาหน้ารอดจากผลงานที่ไม่ดีกระทั่งธันวาคม หรือนักเตะหลักเจ็บจึงต้อง “ซ่อมด่วน”

ลิเวอร์พูลเองเป็นอย่างหลังสุดที่อย่างน้อย ดิโอโก โชตา เจ็บจนถึง ก.พ.และหลุยส์ ดิอาซ น่าจะยาวถึง เม.ย.- พ.ค. ทำให้ไม่มีทางเลือกกับการมองหาแนวรุกฝั่งซ้ายที่เกมล่าสุด อเล็กซ์ อ๊อกเลด-แชมเบอร์เลน ได้ลงตัวจริงในแมตช์ชนะแอสตัน วิลล่า 3-1 หรือฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ ได้โชว์ฟอร์มบ้างประปรายช่วงก่อนบอลโลก

ไม่นับที่ยังคิดถึง ซาดิโอ มาเน อดีตตัวเลือกหลักฝั่งนี้อยู่เป็นระยะ ๆ

ฉะนั้น การคว้าตัว กัคโป นักเตะที่ “แจ้งเกิด” เต็มตัวในบอลโลกซึ่งหมายความว่า น่าจะอัพค่าตัวได้มากขึ้นมาร่วมทีมด้วยราคา 37 ล้านปอนด์ และจะแตะ 50 ล้านปอนด์หากรวม add-ons ต่าง ๆ เข้าไปกับค่าเหนื่อยสัปดาห์ละ 120,000 ปอนด์ 6 ปีเพื่อผู้เล่นระดับนี้วัย 23 ปี

พูดได้คำเดียว ณ อุณหภูมิตลาดแบบนี้ หรือแบบนี้ที่ เอนโซ เฟร์นันเดซ ซึ่งเพิ่งย้ายจากริเวอร์เพลทมาเบนฟิกาได้ 6 เดือน และเพิ่งสถาปนาตัวเองให้แชมป์โลก อาร์เจนตินา ได้เดี๋ยว ๆ นี้เองมีค่าฉีกสัญญา 105 ล้านปอนด์

กัคโป กับไม่ถึง 50 ล้านปอนด์ คือ ถูกเป็นขรี้! ไม่ต้องคิดอะไรมาก

ส่วนสูง ทะลุ 190 เซนติเมตร และทั้งใหญ่ ทั้งคล่อง และเร็ว แถมยิงประตูได้ “นิ่ง, เนียน” และเทคนิคดี จึงไม่น่าห่วงเหมือน ดาร์วิน นูนเญซ

แน่นอนว่า สถิติกับลีกดัตช์ สามารถเป็น “ภาพลวง” ได้เหมือนลีกเอิง

แต่มันก็ช่วยให้สบายใจขึ้นว่า ทั้ง 105 ประตู รวม assists จาก 159 นัดลงสนามให้พีเอสวี หรือ 21 ประตู 25 assists จาก 41 ดัตช์ลีกนับจากออกสตาร์ซ๊ซั่นก่อน คือ ดีย์ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

แต่แบบที่ผมบอกไว้ครับ “สถิติ” คือ เรื่องหนึ่ง

แต่ผมเชื่อว่า ด้วยสถานการณ์ที่ตามเกริ่นไว้ข้างบนกับตลาดรอบนี้ เพิ่มเติม คือ เพราะพีเอสวี ไม่ได้เล่น UCL ทำให้ “ร้อนเงิน” ด้วย

กับภาพที่ได้เห็นในเวทีบอลโลกซึ่งเล่นได้แทบทุกตำแหน่งในแนวรุก บวกกับรูปร่าง ทักษะ ลีลาทรงบอลดัตช์แมน ชาวโลกจึงไม่น่าพลาด และ “ผิดหวัง” ในตัวดาวเตะวัย 23 ปีรายนี้

ที่มาที่ไปของดีล และบทจบที่น่าจะทราบกันแล้ว เพราะกำลังตรวจร่างกายระหว่างผมปั่นบทความนี้เมื่อคืนพุธ 28 ธ.ค.เวลาไทย คงไม่ต้องพูดกันเยอะ

หรือไม่ต้องพูดหรอก…ถึง จู๊ด เบลลิงแฮม ที่แบบที่บอกครับ ยากจะมาตอนนี้ ไว้ซัมเมอร์ค่อยว่ากัน

หรือเอนโซ ที่โคตรแพงตามสไตล์เด็กปั้นเบนฟิกา ที่ส่วนตัวผมเฉย ๆ เพราะนั่นคือ “ของดี” จากบอลโลกแท้ ๆ

แต่กับกัคโป คือ “พิสูจน์ทราบ” มาแล้วอย่างน้อย 2 ซีซั่น และตกเป็นข่าว เป็นเป้าอยู่ในเรดาร์ของ “บิ๊กทีม” ยุโรปโดยเฉพาะพรีเมียร์ลีกมาตลอด ไม่นับแค่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

เอาเป็นว่า ไม่มีอะไรจะพูดเลยนอกจาก ยินดีด้วยมาก ๆ กับพวกเราแฟน “หงส์แดง” ล่วงหน้า และ Look forward to watching our brand new attacking player กันได้เลย

Can’t wait ครับ

☕ณัฐวุฒิ ประเทืองศิลป์

📷The Anfield Talk

Categories
KMD Opinion

สื่อสารเพื่อไม่ให้เกิดข้อ “แก้ตัว” ในสนาม

เหมือนสัปดาห์ก่อนในเกมทีมชาติไทยกับอินโดนีเซียที่มี “ภาพไม่น่าจำ” แฟนบอลอินโดฯ กระทำการใส่ทัพนักเตะไทย และเกิดกระแสไวรัลประมาณหนึ่งตามมาถึงพฤติกรรมไม่ดีดังกล่าว บลา บลา จากทุกภาคส่วน

สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้บริหาร ทีมงานโค้ช ก็คือ ต้องสื่อสารออกมาในทิศทางที่จะไม่ทำให้สิ่งกระทบเหล่านั้นสามารถกลายเป็นปัจจัย “แก้ตัว” (Excuse) หากผลงานในสนามไม่ดี

หรือยิ่งกว่านั้นคือ จะกลายเป็น mindset ให้ทีมรู้สึกเหมือนมีข้อแก้ตัวหากผลงานจะไม่ดี ตั้งแต่ยังไม่เตะ

ทิศทางการโต้ตอบก็เช่น “ให้เป็นเรื่องของกฎหมาย กฎระเบียบ เรามุ่งโฟกัสเฉพาะความปลอดภัย และเกมในสนาม” หรือ “เราจะควบคุมเฉพาะที่คุมได้ คือ เรื่องของทีมเราเอง เราไม่สนใจเรื่องอื่น ๆ และจะให้ประเด็นนอกสนามเข้ามากระทบผลงานในสนาม”

หาใช่ ตระหนก หรือกระพือกระแส ผสมโรงกันไปทุกภาคส่วน คือ รายงานหรือพูดตามจริงแบบที่รู้ ๆ ได้ แต่สุดท้ายเราต้อง “ตบกลับ” เข้ามาที่จุดยืนของเรา และของทีม

เช่นกันครับ เหมือนที่ เยอร์เกน คลอปป์ ได้กล่าวไว้ว่า “อะไรกัน ทำราวกับเราไม่มีทีมฟุตบอล” หลังแฟน ๆ ส่งเสียง “Who’s next?” ใครเป็นรายต่อไปหลังเซ็นสัญญา โคดี้ กัคโป มาร่วมทีม

ประมาณว่า เพิ่งเซ็นนักเตะใหม่มายังไม่ทันจะข้ามคืน ขอตัวใหม่ หรือตัวต่อ ๆ ไปกันแล้ว

จริง ๆ ในอีกมุมหนึ่ง และเหมือนที่เช้านี้มี trend ในทวิตเตอร์ #FSGOUT นั่นแหละครับว่า แฟนบอลก็แบบนี้อยู่แล้ว หรือพวกเรา ๆ ก็แบบนี้

ซึ่งบางทีก็พูด ๆ ไปก่อน ไม่ได้มีเจตนาอะไรใด ๆ รุนแรง (แต่ได้ก็ดี)

อันเป็นอะไรที่เข้าใจได้

อย่างไรก็ดีครับ ประเด็นของโพสต์สั้น ๆ วันนี้ ก็คือ respond จากคลอปป์ข้างต้นที่ set up mindset นักเตะ และทีม และแฟน ๆ ทั้งหลายทั้งปวง ทุกกลุ่มผู้เกี่ยวข้องทีมทั้งหมดให้อยู่ในจุดที่ถูกต้อง

แปลความได้ว่า “เฮ้ย! ใจเย็น ๆ เพื่อน เพิ่งเซ็นมา อย่าลืมว่า ทีมที่มีอยู่ก็มีดี”

แน่นอนว่า มุมของคลอปป์ยังหมายถึงแนวคิดเดิม ๆ ได้ “ตอกย้ำ” นั่นคือ จะไม่ซื้ออะไรโดยไม่จำเป็น ไม่เหมาะสม

และมันยังทำให้นักเตะชุดปัจจุบัน ยังเท้าติดดิน และไม่ไขว้เขว ไม่เอนเอียงกับกระแสอะไรใด ๆ อันเป็นสิ่งที่ดี

ไม่มีอะไรครับ ผมเองก็รอจังหวะเขียนถึง “มุมนี้” อยู่เช่นกัน และคิดว่า วันนี้เหมาะสมก่อนเกมทีมชาติไทยนัดสุดท้ายรอบแบ่งกลุ่มอาเซียน คัพ กับกัมพูชา และในช่วงกระแส #FSGOUT แอบแรงแต่เช้าเวลาไทย

ร่วมแตะหน้าจอพูดคุยด้วยตัวอักษรกันได้เหมือนเดิมครับ

☕ณัฐวุฒิ ประเทืองศิลป์

📷Sky Sports

Categories
KMD Opinion

วิเคราะห์จังหวะโคนาเตโดนเหลี่ยมกระแทก

สถานการณ์ “ปัญหา” และเป็นข้อ “ถกเถียง” ช่วงผ่านนาทีที่ 80 ที่เกิดโดย ไบรอัน เอ็มบูโม ใช้หัวไหล่กระแทกด้านหลัง อิบู โคนาเต แต่ถูกตีความว่า “ไหล่ชนไหล่” ทว่าด้วยส่วนสูงต่างกันเกิน 20 เซนติเมตร มันไม่มีทางไหล่ชนกันได้ นำมาซึ่งอิบู ล้มลง แล้วดาวเตะแคเมอรูน เลือกมุมยิงช้อยปิดฉาก 3-1 ให้เบรนท์ฟอร์ดปราบลิเวอร์พูล

เหตุการณ์นี้ มองอย่างไร และตีความอย่างไรได้บ้าง? (ในมุมของผม)

อันดับแรก มันคงไม่ใช่การตัดสินได้ง่าย ๆ ว่าถูก หรือผิด, ฟาล์ว หรือไม่ฟาล์ว เหมือนกรณี เมาแล้วขับ ซึ่งผิดแน่ ๆ แต่ขนาดผิดแน่ ๆ เคสนักเตะชลบุรีเมื่อไม่นานมานี้ปีก่อนยัง “ดรามา” ได้เลย

ดังนั้นกรณี “เสียงแตก” แบบนี้ ยังไงจึงไม่จบง่าย ๆ

ฉะนั้น อันดับสองที่ต้องอธิบายเพิ่ม คือ หากเกิดข้อครหาได้ หรือเสียงแตกได้ขนาดนี้กับการตัดสิน ผมจะเลือกให้ “ฟาล์ว” และไม่ให้ประตูเกิดขึ้นไว้ก่อน

เพราะ 2-1 คือ เสียหายเท่าเดิม แต่ 3-1 คือ ไม่ใช่แล้ว

มันต้องแบบว่า 10 เสียง ชนะกัน 8 ต่อ 2 หรือ 7 ต่อ 3 ไม่ใช่แบบ 5 ต่อ 5 หรือ 4 ต่อ 6 หรือ 6 ต่อ 4 อะไรแบบสถานการณ์นี้

หรือที่กลายเป็นปัญหาตามมาได้แบบนี้มันก็ตอบในตัวเองอยู่แล้วว่า ลูกนี้ไม่ควรเป็นประตู และควรจะเป่าฟาล์วก่อน

อย่างไรก็ดีครับ อันดับสาม คือ โคนาเต (194 เซนติเมตร) ล้มง่ายไปจริง ๆ เหมือนกูรู และเพื่อน ๆ หลายคนว่าไว้เทียบกับ เอ็มบูโล (171 เซนติเมตร)

ฉะนั้น ต่อไปนี้ เวลาสอนผู้เล่นของเรา เราควรเน้นย้ำ stay on your feet ไว้ก่อน ไม่ใช่ล้ม (ง่ายไป) แล้วหวังลุ้นกรรมการตัดสินช่วย โดยเฉพาะสถานการณ์ที่นำสู่การเสียประตูได้แบบนี้

ถัดมา อันดับสี่ คือ อิบู มีชอยส์ในการเล่นได้เยอะ ตั้งแต่อ่านเกม แล้วตัดโหม่งก่อนจากบอลของ คริสเตียน นอร์การ์ด ซึ่งเปิดข้ามศีรษะแนวรับสุดท้าย หรือแทงทะลุช่องแนวรับสุดท้ายได้ดีเหลือเกิน

หรือบอลข้ามหัวแล้วแต่เข้าถึงก่อนเอ็มบูโล่ ก็ควรโหม่งกลับให้ อลิสซง หรือเอาลงแล้วเคลียร์ เอาลงแล้วคืนอาลี ฯลฯ

คือ ทำได้ไม่ต่ำกว่า 3-4 ทางเลือก แต่กลับไปเลือกทางออกที่ “สุ่มเสี่ยง” สำหรับปัญหา และปัญหาก็มาจริง ๆ

ครับ ไม่ได้ซ้ำเติม ไม่ได้อะไรใด ๆ เพราะ “ภาพรวม” ทุกคนเห็นกันอยู่แล้ว

เชียร์กันต่อไปครับ YNWA

☕ณัฐวุฒิ ประเทืองศิลป์

📷Football Tweet

Categories
Football Tactics

เรียนรู้จากสุดยอดโค้ช : แรงบันดาลใจของ “ซาคคี่” ที่อาจช่วย “คล็อปป์” คืนชีพลิเวอร์พูล

เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่กำลังจะครบรอบ 7 ปี ในการคุมทีมลิเวอร์พูล ทำผลงานช่วงออกสตาร์ทฤดูกาลนี้ได้แบบกระท่อนกระแท่น ทำเอาแฟนๆ หงส์แดง ผิดหวังไม่น้อยเลยทีเดียว

เชื่อว่ากุนซือชาวเยอรมัน ขวัญใจ “เดอะ ค็อป” ได้ใช้ช่วงหยุดพักที่ยาวนานถึง 2 สัปดาห์กว่าๆ ทบทวนถึงความพังพินาศที่เกิดขึ้นในช่วงต้นฤดูกาล และพร้อมที่จะสู้กันใหม่กับซีซั่นที่ไม่ปกติ

หลังกลับมาจากพักเบรกโปรแกรมทีมชาติ ลิเวอร์พูลจะเข้าสู่ช่วงโปรแกรมหฤโหด เพราะต้องลงเตะถึง 13 นัด ในช่วงเดือนตุลาคม และพฤศจิกายน ก่อนหลีกทางให้ฟุตบอลโลกที่กาตาร์

บางที คล็อปป์อาจจะต้องศึกษาแนวทางของอาร์ริโก้ ซาคคี่ อดีตตำนานโค้ชผู้ยิ่งใหญ่ของเอซี มิลาน ซึ่งทาง SoccerSuck x ไข่มุกดำ จะมาขยายประเด็นนี้ให้ฟังกันครับ

วิธีคิดของซาคคี่ พลิกจากดำดิ่งสู่ยิ่งใหญ่

“ถ้าทีมฟุตบอลทีมหนึ่งไม่มีอะไรบางอย่าง เช่นการเพรสซิ่ง และการเคลื่อนที่ ศักยภาพจะหายไปครึ่งหนึ่ง ทีมที่ผมเคยเป็นโค้ช ก็ต่อสู้เพื่อชัยชนะ พวกเขาประสบความสำเร็จมาตลอดเมื่อมีแคแร็กเตอร์ที่ชัดเจนและดุดัน”

“พวกเราไม่มีความสุข เพราะความมุ่งมั่นที่ลดลงอย่างชัดเจน พวกเรากำลังละเลยอะไรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเพรสซิ่ง, การหาช่อง และความเร็ว พวกเราต้องทบทวนเกี่ยวกับความคิดของเราใหม่อีกครั้ง”

“พวกเราไม่มีความหนักแน่น หย่อนยาน และเต็มไปด้วยความกลัว ตอนนี้พวกเราคือปืนที่หละหลวม มีนักเตะเพียงไม่กี่คนที่พยายามเคลื่อนไหวสู้กับนักเตะคนอื่น ๆ ความวุ่นวายกำลังครอบงำพวกเขาอยู่”

ทั้งหมดที่กล่าวมา คือคำพูดของอาร์ริโก้ ซาคคี่ อดีตผู้จัดการทีมเอซี มิลาน ชุดคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 2 สมัยติดต่อกัน ที่ได้บอกเล่าผ่านหนังสือ The Immortals หรือชื่อภาษาไทยคือ “ตำนานไม่มีวันตาย”

ซาคคี่ ถือเป็นกุนซือผู้ริเริ่มแนวคิด “เพรสซิ่ง ฟุตบอล” ที่เข้ามาปฏิวัติวงการลูกหนังอิตาลีในช่วงปลายทศวรรษ 1980s ด้วยสไตล์การเล่นที่ใช้พละกำลังสูง ไล่กดดันคู่แข่งตั้งแต่แดนหน้า และต้องเคลื่อนที่ตลอดเวลา

ในฤดูกาล 1987/88 ซาคคี่เข้ามาเป็นเทรนเนอร์ให้กับมิลาน และคว้าแชมป์สคูเด็ตโต้ตั้งแต่ซีซั่นแรกที่คุมทีม แล้วในซีซั่นถัดมา ออกสตาร์ท 5 นัดแรกแบบไร้พ่าย แต่ในเวลาต่อมา ทีมต้องเจอกับช่วง “ดำดิ่ง” สุดๆ

เพราะอีก 7 นัดหลังจากนั้น “รอสโซเนรี่” ชนะแค่เกมเดียว แพ้ไปถึง 4 เกม ให้กับอตาลันต้า, นาโปลี, อินเตอร์ และเชเชน่า ซึ่งซาคคี่ ก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ในเรื่องของสมาธิ พวกเราไม่ได้อยู่กับมันเลย”

ทำให้ซาคคี่ ต้องแก้ปัญหาด้วยการให้ลูกทีมฝึกซ้อมเข้มข้นกว่าเดิม เช่น การซ้อมครองบอลในพื้นที่ขนาด 35 x 35 เมตร เป็นเวลา 15 นาที และการเข้าสกัดบอลจากผู้เล่น 4 คน นับจำนวนครั้งต่อนาที

หลังจากนั้น ผลงานของมิลานก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไร้พ่าย 22 เกมติดต่อกันในลีก แม้จะได้แค่อันดับ 3 แต่พวกเขาปิดซีซั่นอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ และป้องกันแชมป์ได้อีกครั้งในซีซั่นถัดมา

เก่งกาจมาจากไหน ก็ต้องเจอความมืดมน

อาร์ริโก้ ซาคคี่ คือสุดยอดผู้จัดการทีมฟุตบอลที่เจอร์เก้น คล็อปป์ ยกให้เป็น “ไอดอล” และนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการทำทีมลิเวอร์พูลให้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา

นับตั้งแต่ฤดูกาล 2018/19 เป็นต้นมา ที่คล็อปป์ได้แชมป์รายการแรกกับลิเวอร์พูล เขามีสถิติการคุมทีมในพรีเมียร์ลีกนับจนถึงปัจจุบันไปแล้ว 158 นัด ชนะ 112 เสมอ 30 และแพ้แค่ 16 นัดเท่านั้น

คล็อปป์ พาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์รายการใหญ่ครบทุกรายการ โดยเฉพาะเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ที่สร้างประวัติศาสตร์เป็นสโมสรแรกของอังกฤษ ที่ใกล้เคียงกับการลุ้น “ควอดรูเพิล” ลงเล่นครบทุกนัดทั้ง 4 ถ้วย

อดีตเฮดโค้ชปีศาจแดง-ดำ วัย 75 ปี กล่าวว่า “ลิเวอร์พูลคือทีมมหัศจรรย์ คือทีมที่แท้จริงที่ไม่มีซูเปอร์สตาร์ ทีมหนึ่งมีนักเตะ 1 คน ทำเพื่ออีก 11 คน แต่ทีมอื่น มีนักเตะ 11 คน ที่ต่างเล่นเพื่อตัวเอง”

“ผมคิดว่ามีนักเตะประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ที่จะเคลื่อนที่ไปพร้อมกันเวลามีบอล หากเปรียบเป็นวงออร์เคสตร้า พวกเขาก็บรรเลงได้อย่างสมบูรณ์แบบ และมีจังหวะเวลาที่เหมาะสมเสมอ”

อย่างไรก็ตาม คล็อปป์ ก็เหมือนกับสุดยอดผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ในตำนานคนอื่นๆ ที่ต้องเจอช่วงเวลามืดมนเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่นเมื่อ 2 ฤดูกาลก่อน ที่เจอวิกฤตแนวรับตัวหลักบาดเจ็บยกแผง

กุนซือชาวเยอรมัน สร้างสถิติอันเลวร้ายที่ไม่น่าจดจำ แพ้ในบ้าน 6 นัดติด แถมอันดับร่วงลงไปอยู่กลางตาราง แต่ด้วยจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ ทำให้ทีมฮึดสู้จนคว้าตั๋วไปแชมเปี้ยนส์ ลีก ได้แบบฉิวเฉียด

13 เกมก่อนเวิลด์ คัพ ได้เวลาฟื้นหรือยัง ?

ถึงแม้เจอร์เก้น คล็อปป์ เคยวิจารณ์เรื่องโปรแกรมทีมชาติที่มาคั่นเกมระดับสโมสรว่า “ไร้สาระ” แต่ช่วงเวลาที่ได้หยุดพักไปนานถึงครึ่งเดือน เชื่อว่ายอดกุนซือวัย 55 ปี คงจะได้รับประโยชน์ไปไม่น้อยเลย

เริ่มจากสถานการณ์อาการบาดเจ็บของนักเตะในทีมเริ่มที่จะดีขึ้นตามลำดับ อีกทั้งนักเตะที่รับใช้ทีมชาติในช่วง “ฟีฟ่า เดย์” ที่ผ่านมา ต่างโชว์ฟอร์มได้ดี และพร้อมสำหรับการลงเตะ 13 นัด ก่อนฟุตบอลโลก

ช่วงโปรแกรมหฤโหดของ “หงส์แดง” เริ่มจากเดือนตุลาคม พรีเมียร์ลีก 6 เกม ในการพบกับไบรท์ตัน ต่อด้วยศึกใหญ่ 2 นัดติด ทั้งอาร์เซน่อล, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จากนั้นพบกับเวสต์แฮม, ฟอเรสต์ และลีดส์

ส่วนในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จะพบกับกลาสโกว์ เรนเจอร์ส 2 นัดติด ต้องเก็บ 6 แต้มเต็มสถานเดียว เพราะส่งผลถึงเกมที่จะบุกไปเยือนอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ช่วงปลายเดือน ซึ่งมีผลโดยตรงกับการลุ้นเข้ารอบ

เดือนพฤศจิกายน เปิดบ้านพบนาโปลี ที่อาจจะเป็นเกมตัดสินว่าจะได้เข้ารอบน็อกเอาต์ยูซีแอลหรือไม่ จากนั้นเจอศึกหนักกับสเปอร์สในพรีเมียร์ลีก, คาราบาว คัพ กับดาร์บี้ เคาน์ตี้ และปิดท้ายกับเซาธ์แธมป์ตันในลีก

ซึ่งสถานการณ์ของลิเวอร์พูลในเวลานี้ ถ้าให้มองในด้านบวก คือการมองเห็นจุดบกพร่องตั้งแต่ตอนต้นซีซั่น ยังมีเวลาอีกมากให้แก้ไข ซึ่งแฟนๆ ลิเวอร์พูลต่างหวังว่า นี่คือโอกาสที่ดีในการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://theathletic.com/3583294/2022/09/12/jurgen-klopp-liverpool-ac-milan/

https://theathletic.com/3640643/2022/09/29/liverpool-schedule-world-cup/

https://punditarena.com/football/matt-gault/jurgen-klopp-arrigo-sacchi-influence/

https://www.liverpoolecho.co.uk/sport/football/football-news/arrigo-sacchi-liverpool-milan-22009281

https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-10145959/Jurgen-Klopps-Liverpool-perfect-without-real-superstars-says-Sacchi.html

https://www.si.com/soccer/liverpool/interviews/a-masterpiece-ac-milan-legend-arrigo-sacchi-on-jurgen-klopps-liverpool

https://en.wikipedia.org/wiki/1988%E2%80%9389_A.C._Milan_season

Categories
Special Content

แยกทางหรือไปต่อ..อนาคต “ฟีร์มีโน” กับสี่นักเตะสัญญาปีสุดท้าย

ดูเหมือนใคร ๆ ต่างโฟกัสมิดฟิลด์คนใหม่ที่จะเข้ามาในสองตลาดปีหน้า รวมถึงโปรเจ็คต์ของเยอร์เกน คล็อปป์ ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนถ่ายเลือดเพื่อสร้างลิเวอร์พูลรุ่นสองแทนเหล่าขุนพลที่ร่วมกันสร้างความสำเร็จช่วงชีวิตการทำงานเจ็ดปีแรกที่แอนฟิลด์ของเจเค

อีกด้านหนึ่งยังมีนักเตะห้าคนที่กำลังรับใช้สโมสรในซีซันสุดท้ายของสัญญา ซึ่งบอร์ดและสตาฟฟ์โค้ชต้องตัดสินใจอนาคตของพวกเขารวมถึง โรแบร์โต ฟีร์มีโน ที่สโมสรยังค้างคำตอบให้กับสตาร์แซมบาหลังจากเคาะเส้นทางของสองฟรอนท์ทรีร่วมยุคไปแล้ว ขายซาดิโอ มาเน ให้กับบาเยิร์น มิวนิค และขยายสัญญาสามปีกับโมฮัมเหม็ด ซาลาห์ พร้อมเพิ่มค่าเหนื่อยขึ้นเป็น 3.5 แสนปอนด์ต่อสัปดาห์

ดูเหมือนฟีร์มีโน ซึ่งจะมีอายุ 31 ปีในวันที่ 2 ตุลาคม ควรนับเวลาถอยหลังได้แล้วหลังมีปัญหาบาดเจ็บทำให้ลงสนามพรีเมียร์ลีกซีซันที่แล้วได้เพียง 20 นัดทั้งที่หกซีซันก่อนหน้า ตัวเลขต่ำสุดคือ 31 นัดในซีซัน 2015-16 ฤดูกาลแรกในแอนฟิลด์ บวกกับการเข้ามาของ ลุยซ์ ดิอาซ และ ดาร์วิน นูเญซ ว่าที่สามประสานแดนหน้าแห่งอนาคต

มีกระแสข่าวช่วงตลาดซัมเมอร์ว่า ยูเวนตุสสนใจดึงฟีร์มิโนไปสวมเสื้อลายขาวดำ แต่คล็อปป์มีความชัดเจนว่าสตาร์บราซิลยังอยู่ในแผนงานของเขา โดยเฉพาะฟีร์มีโนกลับมาฟิตสมบูรณ์และฝึกซ้อมได้เต็มโปรแกรมปรีซีซัน ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไร กุนซือเยอรมันเลี่ยงที่ตอบตรง ๆ แต่ยืนยันว่า ฟีร์มีโนยังมีประโยชน์กับทีม ยังเป็นหัวใจและจิตวิญญาณของทีม

สถิติพรีเมียร์ลีกซีซันนี้ ฟีร์มีโนเล่น 5 นัด 344 นาที ทำ 3 ประตู 3 แอสซิสต์ เทียบกับซีซันที่แล้ว 20 นัด 985 นาที 5 ประตู 4 แอสซิสต์ จึงน่าสนใจทีเดียว่าคล็อปป์คิดอย่างไรกับว่าที่ตำนานกองหน้าหากยังรักษาสภาพร่างกายได้ดี แต่โอกาสต่ำมากที่สโมสรจะปล่อยให้ฟีร์มีโนเป็นฟรีเอเยนต์ และน่าจะเป็นต่อสัญญา 1-3 ปี เพื่อประคับประคองฟรอนท์ทรีรุ่นน้อง แถมยังสามารถขายได้เงินเข้ากองคลังบ้าง ซึ่ง transfermarkt ประเมินราคาตอนนี้ไว้ที่ 28 ล้านปอนด์

แต่สิ่งที่บอร์ดบริหารต้องขบคิดอย่างหนักคือ ค่าเหนื่อยของฟีร์มีโนที่เคยเรียกร้องเพิ่มขึ้นอย่างต่ำสองเท่าช่วงมีข่าวสโมสรเตรียมเสนอสัญญาใหม่ อีกทั้งยังมีตัวเลขของซาลาห์เป็นบรรทัดฐานให้เทียบอีก

⚽️ “นาบี เกอิตา”

มิดฟิลด์วัย 27 ปี โดนตั้งความคาดหวังไว้สูงมากเมื่อย้ายมาจากเรดบูลล์ ไลป์ซิก ด้วยค่าตัว 48 ล้านปอนด์ในปี 2018 แต่เจออาการบาดเจ็บเรื้อรังทำให้พัฒนาการขาดตอน เป็นเพียงตัวเลือกถัดจากฟาบินโญ, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และติเอโก อัลคันตารา โดยซีซันนี้ คิเอตาเพิ่งได้เล่นแค่ห้านาทีกับคอมมูนิตีชิลด์ คาดว่าเขาจะรักษาต้นขาและลงสนามได้ราวเดือนพฤศจิกายน

ท่ามกลางกระแสข่าวลือเรื่องคิเอตาอยากย้ายทีม ดิ แอธเลติค ระบุว่าลิเวอร์พูลพยายามเสนอสัญญาใหม่ แต่สกาย สปอร์ตส์ เยอรมนี รายงานว่าโต๊ะเจรจาถูกพับไปแล้วและยังไม่มีการยื่นข้อเสนอใดๆ

⚽️ “อเล็กซ์ ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน”

โชคร้ายเอ็นไขว้เข่าเสียหายในเดือนเมษายน 2018 ทั้งที่เพิ่งย้ายจากอาร์เซนอลด้วยค่าตัว 35 ล้านปอนด์ไม่ถึงหนึ่งปี และซีซัน 2021-22 เขาลงตัวจริงบอลลีกแค่ 9 นัด พร้อมข่าวว่าลิเวอร์พูลเสนอขายในราคา 10 ล้านปอนด์ในตลาดล่าสุด แต่ไม่มีทีมไหนยื่นข้อเสนอมาจริงจัง หนำซ้ำมิดฟิลด์วัย 29 ปียังบาดเจ็บแฮมสตริงช่วงปรีซีซันและไม่มีแววคืนสนามเมื่อใด

มีความเป็นไปได้สูงที่ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลนจะถูกปล่อยให้หมดสัญญา หรือหากเรียกความฟิตกลับมาภายใน 1-2 เดือนข้างหน้า ลิเวอร์พูลอาจได้เงินบ้างหากมีสโมสรไหนสนใจเขาในตลาดเดือนมกราคมปีหน้า

⚽️ “เจมส์ มิลเนอร์”

มิดฟิลด์วัย 36 ปี ยังตกอยู่ในสปอตไลท์เสมอนับตั้งแต่ลิเวอร์พูลได้มาฟรีๆจากแมนฯ ซิตี กลางปี 2015 และใกล้จะลงสนามให้หงส์แดงครบ 300 นัด มิลเนอร์ยังอยู่ในแผนของคล็อปป์แม้ถูกสงสัยเรื่องฟอร์มและสังขาร แต่ที่แน่ ๆ เขามีบทบาทสำคัญต่อบรรยากาศในห้องแต่งตัว

มิลเนอร์หมดสัญญาฉบับเก่าหลังซีซันที่แล้ว แต่ลิเวอร์พูลเลือกต่อสัญญาหนึ่งปี ส่วนเขาก็ปฏิเสธข้อเสนอที่ได้รับจากบางสโมสรพรีเมียร์ลีก สำหรับอนาคตหลังวันที่ 30 มิถุนายนปีหน้า ยัง 50-50 กับโอกาสที่หงส์แดงต่อสัญญาอีกหนึ่งปีหรือปล่อยมิลเนอร์เป็นฟรีเอเยนต์

⚽️ “เอเดรียน”

นายทวารวัย 35 ปีโบกมือลาเวสต์แฮมเพื่อมาเป็นตัวสำรองของอลิสซอง เบคเกอร์ ในปี 2019 โดยชีวิตปีแรกที่แอนฟิลด์เป็นช่วงที่เอเดรียนได้เฝ้าประตูมากที่สุดคือ 18 นัดรวมทุกรายการ (11 นัดบอลลีก) ส่วนซีซันที่แล้ว เขาลงทำหน้าที่เพียงคาราบาวคัพ รอบสี่ และซีซันนี้คล็อปป์ใช้งานเขาในเกมคอมมูนิตีชิลด์

ปัจจุบัน นายด่านชาวสเปนเป็นมือสามของทีมต่อจากควีวีน เคลเลเฮอร์ เขาคงเริ่มมองหาความท้าทายใหม่หลังจบฤดูกาลนี้

📝 KMD Content Team

🙏 EUROsport France

Categories
Special Content

ทำไมหงส์แดงฟอร์มร่วง! ส่อง 20 Top Comment แฟนบอลชาว KMD หลัง “ลิเวอร์พูล” ยอดทีมแดนผู้ดี ฟอร์มยังไม่เข้าที่ ล่าสุดถูกนาโปลีไล่ต้อน 4-1 ศึกแชมเปียนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่ม

ภาพการลงเล่นในสนามแบบดุดัน เร้าใจ ยืนกองหลังสูงแบบ high line และไล่บี้เล่นเพรสซิ่งหนักหน่วงกันตั้งแต่แดนบนของลิเวอร์พูลที่แฟนบอลคุ้นเคยตอนนี้ดูเหมือนกลายเป็นปัญหาเสียแล้ว โดยในเกมล่าสุด แชมเปียนส์ลีก คือ แมตช์ขยี้บาดแผลที่กำลังเจ็บให้ยิ่งเจ็บแบบไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น

สาเหตุของฟอร์มการเล่นอันน่าผิดหวัง คือ อะไร?

โลกโซเชียลยังคงประโคมโหมคำตอบกันไม่หยุด โดยทางเพจ KMD ได้เปิดโพสต์ตั้งประเด็น และได้คำตอบจากลูกเพจมากมายร่วม 100 คอมเมนต์ในเวลา 3-4 ชั่วโมงตอนบ่ายหลังเกม 8 ก.ย.ที่ผ่านมา

คอมเมนต์มองว่าอย่างไรกันบ้าง หลังทีมรักฟอร์มตก มาดูกันสัก 20 เมนท์ โดยที่เหลือก็คลิ๊กไปดูอัพเดทในโพสต์ได้เลยค่ะ https://bit.ly/3Bmapim หรือเราคัดมาให้ส่วนหนึ่ง 20 เมนท์ตามนี้:

1. ต่างคนต่างเล่น เหมือนจะเก่งกองหลังเรา ไม่ส่งน้องแนท ผมลงบ้าง เปิดบอลไม่เคยเข้าเป้าเลยสำหลับ ผม(กองหลัง) 

2. การปรับจูน ของผู้เล่นเก่ากับใหม่ยังไม่เข้าที่ แรงจูงใจของนักเตะเก่าที่ใกล้หมดสัญญา โดยรวมผมว่าสภาพจิตใจครับ

3. การลองยิงไกลนอกเขต นอกจากดิอาซกับคาร์วัลโญ่แล้ว แทบไม่เหนใครกล้าลองยิงเลย … จ่ายบอลเพื่อให้ยิงจ่อๆตลอด มันก้อไม่ง่ายแล้วอ่า

4. หมด Passion กันแล้วครับ แกนหลักผ่านจุดสูงสุดไปหมด น่าจะต้องทำใจโละยกทีม แล้วสร้างทีมใหม่มาแทน

5. สงสัยต้องให้วิ่ง 14 กม.แบบเทนฮาก หยอกๆๆ

6. สร้างมาตรฐานไว้สูงเกินไป ผู้คนเลยคาดหวังสูง พอมีปัญหาคนจะรับไม่ค่อยได้ ใจร้อน สรุปแก้ที่ตัวกองเชียร์เองก่อน ส่วนตัวผมก็เชียร์โง่ๆแบบเดิมไป ผมเชื่อว่าบอสแก้ได้ #YNWA

7. ระบบการเล่นที่เดิมๆ

8. ฝั่งขวาทั้งแถบบอดสนิท

9. แท็กติก แผนการเล่นเดิม ไม่เหมาะกับชุดนี้แล้ว ให้ดู รีลมาดริดเล่นจะช่วยได้ เหนียวแน่นและคม ครองบอลไม่เยอะ ร่างกายไม่ล้า

10. ใจ คับ ตอนนี้ ดูไม่มั่นใจอย่างชัดเจน

11. ความหลากหลายและแม่นยำของเกมส์รุกในพื้นที่ที่ 3

12. ฟูลแบ๊ค 2 ข้าง ไปไม่ถึงเส้นหลังครับ ไม่ว่าจะด้วยแผนที่เปลี่ยนไป หรือจากการเสียเซ็ตบอล

13. ความกระหายในการเล่น…ถึงผู้เล่นจะไม่พร้อมและส่งผลถึงระบบการเล่น แต่ถ้ายังมีความกระหาย มันจะต้องช่วยกันเล่นช่วยกันวิ่ง

14. ไม่ยอมเปลี่ยนวิธีการเล่น ทั้งที่คู่แข่งเริ่มจับทางได้ รู้วิธีที่จะเอาชนะลิเวอร์พูล

15. อายุเฉลี่ยนักเตะในทีมสูงเกินกว่าจะเล่นเพลสซิ่งทั้งเกมส์ได้แล้วค่ะ

16. อิ่มตัวครับ การแข่งขันแต่ละตำแหน่งไม่มี เลยเล่นไปเรื่อยๆ

17. อิ่มตัวครับ นักเตะชุดนี้อยู่ด้วยกันมานาน กวาดมาหมดทุกแชมป์ ความกระหายหรือที่เรียกว่าแพสชั่นก็ลดลงเป็นธรรมดา

18. คิดว่าอาการล้ามาจากฤดูกาลก่อนและนักเตะเจ็บเยอะเกินความสมดุลในทีมเลยขาดๆเกินๆ

19. แผนกลางที่ยังไม่ลงตัว ติอาโก้ ฟาบิญโญ่ เฮนเดอร์ซั่น คนอื่นยังทำแทนไม่ได้

20. สำหรับผมให้เป็น โม ซาลาห์ละกัน ตัวซาลาห์ดูดร็อบลงไปตั้งแต่ไปเตะแอฟฟิกันคัพออฟเนชั่นแล้ว และยังยื่นสัญญาให้ใหม่อีก ตอนนี้ผมมองว่าเป็น โอบาเมยอง โมเดลไปแล้ว ยิ่งดูการจับบอลโล่งๆ การอะไรเมื่อคืน และหลายต่อนัด มันยิ่งเห็นชัด

.

เรียบเรียง: ภาวินีย์ สูญสิ้นภัย (แนน)

Categories
Special Content

ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ : เพชรเม็ดงามจากนอกลีก ว่าที่ “นิว คูตินโญ่” คนต่อไป ?

ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ คือนักเตะใหม่คนแรก ที่ลิเวอร์พูลเสริมเข้ามาในช่วงซัมเมอร์นี้ หลังจากจบภารกิจในการพาฟูแล่ม เลื่อนชั้นขึ้นสู่พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2022/23

และในนัดเปิดซีซั่นใหม่ที่จะเริ่มต้นขึ้นในสัปดาห์นี้ “หงส์แดง” มีโปรแกรมออกไปเยือนที่คราเวน ค็อทเทจ นั่นหมายความว่า มิดฟิลด์ดาวรุ่งวัย 20 ปีรายนี้ มีโอกาสเผชิญหน้ากับทีมเก่า

วันนี้ SoccerSuck x ไข่มุกดำ จะพาไปทำความรู้จักอดีตแข้งเยาวชนของ “เจ้าสัวน้อย” กับเส้นทางสู่การเป็นนักฟุตบอลของเขากันครับ

ประสบการณ์เฉียดตายในวัยเด็ก

ในวัยเด็ก ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ มีความสนใจในการเล่นฟุตบอลเป็นอย่างมาก แต่อุปสรรคสำคัญคือ พ่อแม่ห้ามไม่ให้ออกจากบ้าน เนื่องจากบ้านตั้งอยู่ใกล้กับถนน ซึ่งมีความเสี่ยงมาก ๆ ที่จะเกิดอันตราย

แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเล่นฟุตบอลให้ได้ เจ้าหนูคาร์วัลโญ่ได้อาศัยช่วงที่ทุกคนในครอบครัวออกจากบ้านทั้งหมด รอเวลาสักครู่ แล้วเขาค่อยออกจากบ้านไปข้ามถนน เพื่อไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ใกล้บ้าน

ซึ่งเพื่อนบ้านคนหนึ่ง ได้เห็นเจ้าหนูคาร์วัลโญ่วิ่งข้ามถนน จึงออกมาเตือนว่าไม่ให้ทำแบบนี้อีก แต่เขาไม่ฟังคำเตือนจากเพื่อนบ้านคนนั้นเลย แล้ววันต่อ ๆ มา ก็ข้ามถนนเพื่อไปสวนสาธารณะอีก

ความคลั่งไคล้ในกีฬาลูกหนังของเจ้าหนูคาร์วัลโญ่ ทำให้เขาเกือบถูกรถบรรทุกชน เพื่อนบ้านจึงไปบอกให้ครอบครัวของเขาได้ทราบ ครอบครัวรู้สึกเป็นห่วงชีวิตของลูกชายมาก

อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์เฉียดตายในครั้งนั้น ก็ไม่อาจฉุดรั้งความฝันของคาร์วัลโญ่ และได้เริ่มต้นฝึกวิชาฟุตบอลกับอคาเดมี่ของเบนฟิก้า ทีมยักษ์ใหญ่ในบ้านเกิดของเขา เมื่ออายุ 7 ขวบ

จนกระทั่งในปี 2013 เมื่อคาร์วัลโญ่อายุได้ 11 ขวบ โปรตุเกสประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศ ทำให้ครอบครัวของเขา ได้ตัดสินใจย้ายไปอาศัยอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

เข้าตาสโมสรระดับนอกลีกในลอนดอน

เมื่อฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ เข้ามาที่ลอนดอน พร้อมพกความฝันในการเป็นนักฟุตบอล คุณแม่ของเขาได้พาไปที่สนามซ้อมของสโมสรบัลแฮม ทีมนอกลีกอาชีพ และได้พบกับเคร็ก ครัทเวลล์ ประธานสโมสร

ครัทเวลล์ กล่าวว่า “ฟาบิโอและคุณแม่ เพิ่งมาอยู่ลอนดอนได้ไม่นาน และคุณแม่กำลังมองหาทีมฟุตบอลให้ลูกชาย พอดีว่าทั้งคู่ได้มาที่สนามซ้อมของเรา ตอนนั้นผมกำลังดูนักเตะชุด ยู-11 ลงซ้อมอยู่”

“ในช่วง 30 วินาทีแรกของการซ้อม สต๊าฟฟ์ได้เปิดบอลระยะ 30 หลาไปให้ฟาบิโอ สิ่งที่เขาทำคือ เปิดบอลกลับคืนได้อย่างแม่นยำ ผมและโค้ชคนอื่น ๆ ต่างมองหน้ากัน ก่อนที่ผมจะตอบว่า โอเค!”

และเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนต้องทึ่งในความสามารถของคาร์วัลโญ่ เป็นการแข่งขันฟุตบอล 6 คน ที่เมืองกิลด์ฟอร์ด เขาได้โชว์การทำ “ราโบนา” (Rabona) หรือการเปิดบอลแบบไขว้จากริมเส้น

ครัทเวลล์ กล่าวต่อว่า “สิ่งที่ผมได้เห็นจากตรงหน้า คือการไชว้บอลจากริมเส้น และโชว์ลูกเล่นสารพัด ซึ่งก่อนหน้านี้ผมได้รับการติดต่อจากฟูแล่มแล้ว แต่หลังจากนั้นสโมสรยักษ์ใหญ่ก็ติดต่อเข้ามา”

“เขามีคลาสฟุตบอลที่เหนือกว่าคนอื่นๆ แน่นอนว่าเขามีความทะเยอทะยาน แต่ยังถ่อมตัว ไม่เคยมองว่าตัวเองอยู่สูงกว่าคนอื่น ไม่เคยพูดโอ้อวดว่า ฉันจะไปเล่นพรีเมียร์ลีกให้ได้ อะไรประมาณนั้น”

หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ในท้ายที่สุด ครัทเวลล์ ประธานสโมสร และเปโดร โซอาเรส โค้ชผู้รักษาประตูของบัลแฮม ช่วยกันผลักดันให้คาร์วัลโญ่ ย้ายไปอยู่กับอคาเดมี่ของฟูแล่ม

“สโมสรใหญ่ต่างหยิบยกเหตุผลดีๆ มากมายเพื่อล่อใจ แต่ครอบครัวของเขามองว่า ไม่ได้ยึดติดกับการที่เขาต้องเป็นนักเตะดาวดัง ฟูแล่มคือสโมสรที่ใช่สำหรับเขาแล้ว” ครัทเวลล์ กล่าวปิดท้าย

แจ้งเกิดกับฟูแล่ม ช่วยคว้าแชมป์ลีกรอง

หลังจากใช้เวลา 2 ปี กับทีมนอกลีกอย่างบัลแฮม ในปี 2015 ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ ก็ได้ก้าวสู่สโมสรที่ใหญ่กว่าอย่างฟูแล่ม ซึ่งเป็นสโมสรที่ขึ้นชื่อเรื่องปั้นนักเตะเยาวชนระดับต้น ๆ ของวงการฟุตบอลอังกฤษ

ซึ่งก่อนหน้านี้ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ มิดฟิลด์ดาวรุ่งของลิเวอร์พูล ก็เคยอยู่กับอคาเดมี่ของฟูแล่มมาแล้ว ก่อนที่จะย้ายเข้าสู่ถิ่นแอนฟิลด์ เมื่อปี 2019 (เคยถูกแบล็กเบิร์น โรเวร์ส ยืมตัวไปใช้งาน 1 ซีซั่น)

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/FulhamFC

ช่วงเวลา 5 ปี ที่อยู่กับอคาเดมี่ของฟูแล่ม คาร์วัลโญ่มีพัฒนาการที่ดีขึ้นตามลำดับ จนได้ขึ้นมาอยู่ในทีมชุด ยู-18 ในปี 2018 ทำได้ 17 ประตู จาก 43 นัด และต่อด้วยทีมชุดสำรอง 39 นัด ยิง 16 ประตู

ฤดูกาล 2020/21 คาร์วัลโญ่ในวัย 18 ปี ได้รับสัญญานักเตะระดับอาชีพเป็นครั้งแรกกับฟูแล่ม และได้โอกาสลงเล่นในทีมชุดใหญ่ 6 นัด รวมทุกรายการ แต่ต้นสังกัดของเขา มีอันต้องตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก

อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาลถัดมา ถือเป็นซีซั่นที่แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวของคาร์วัลโญ่ เมื่อยิงไป 10 ประตู 8 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 36 นัด ช่วยให้ “เจ้าสัวน้อย” เสื่อนชั้นขึ้นสู่พรีเมียร์ลีก ในฐานะแชมป์ลีกรอง

นอกจากนี้ คาร์วัลโญ่ยังทำ 1 ประตู ในเกมเอฟเอ คัพ รอบ 4 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา แม้ท้ายที่สุด ฟูแล่มจะถูกแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถล่ม 4 – 1 แต่อย่างน้อย เขาก็มีชื่อเป็นผู้ยิงประตูใส่ยอดทีมอย่าง “เรือใบสีฟ้า”

คาร์วัลโญ่ เป็นนักเตะดาวรุ่งอายุย่างเข้าเลข 2 ที่มีทั้งพรสวรรค์และพรแสวง ทำให้หลายสโมสรในพรีเมียร์ลีกต่างจ้องที่จะล่าตัวมาให้ได้ และเป็นลิเวอร์พูล ที่ไม่ปล่อยให้เพชรเม็ดงามหลุดมือไป

แล้วตัวเขา จะให้อะไรกับลิเวอร์พูล ?

ที่จริงแล้ว ลิเวอร์พูลจะปิดดีลฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ ได้ตั้งแต่ช่วงตลาดนักเตะเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่ไม่สามารถดำเนินการให้ทันวันเส้นตาย อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้เป็นนักเตะใหม่ของ “หงส์แดง” ในท้ายที่สุด

สไตล์การเล่นของคาร์วัลโญ่ จะมีบทบาทคล้ายกับฟิลิปเป้ คูตินโญ่ คือเป็นมิดฟิลด์ตัวรุก หรือเพลย์เมกเกอร์หมายเลข 10 ที่มีไอเดียในการสร้างสรรค์เกม อีกทั้งมีสกิลในการครองบอล และเลี้ยงบอลที่ยอดเยี่ยม

พื้นที่ที่คาร์วัลโญ่โปรดปรานเป็นพิเศษคือ การเล่นบอลบริเวณหน้ากรอบเขตโทษ อาจจ่ายบอลแบบสั้น ๆ ให้เพื่อน ก่อนวิ่งเข้าเขตโทษเพื่อรอรับบอล เมื่อเข้าเขตโทษก็เลือกที่จะส่งให้เพื่อน หรือลุ้นยิงประตูในทันที

นอกจากจะเป็นเพลย์เมกเกอร์ หรือกองหน้าตัวต่ำในระบบ 4-2-3-1 คาร์วัลโญ่ ยังเป็นนักเตะที่สามารถโยกไปเล่นเป็นตัวริมเส้นฝั่งซ้ายในระบบ 4-3-3 ซึ่งเป็นแผนการเล่นหลักของเจอร์เก้น คล็อปป์

แต่ด้วยอายุที่ยังน้อย คาร์วัลโญ่จึงถูกวางตัวในการสร้างทีมสำหรับแผงกองกลางรุ่นใหม่ของลิเวอร์พูลในอนาคต เพื่อเข้ามาทดแทนมิดฟิลด์รุ่นพี่บางคน ที่กำลังจะเข้าสู่ช่วงบั้นปลายอาชีพกันแล้ว

ยังเร็วเกินไปที่จะพูดว่าฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ จะก้าวขึ้นมาเป็น “นิว คูตินโญ่” แต่ด้วยสายตาอันแหลมคมในการดึงนักเตะของเจอร์เก้น คล็อปป์ ก็อาจจะมีเซอร์ไพรส์ที่ทำให้ “เดอะ ค็อป” คาดไม่ถึงก็เป็นได้

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://www.bbc.com/sport/football/61654325

https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-10846023/Fabio-Carvalho-tipped-thrive-Liverpools-superstars-starting-career-ninth-tier.html

https://theathletic.com/3251727/2022/04/24/what-fabio-carvalho-will-bring-to-liverpool/

https://lifebogger.com/fabio-carvalho-childhood-biography-story-facts/