Categories
Special Content

“แชงคลีย์ vs บัสบี้” รักในรอยแค้น กับสงครามสีแดงที่ดีที่สุดตลอดกาล

ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมช่วงศตวรรษที่ 18 ลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ 2 เมืองใหญ่ของอังกฤษ ที่มีระยะทางห่างกันเกือบ 60 กิโลเมตร ต่างพึ่งพาอาศัยช่วยเหลือกัน และไม่มีแนวโน้มว่าจะมีปัญหากันเลย

ทว่าในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จุดแตกหักของทั้งคู่ เกิดขึ้นเพราะผลประโยชน์เรื่องค้าขายที่ไม่ลงตัว จนกระทั่งลามไปถึงเรื่องของกีฬาฟุตบอล และกลายเป็นคู่แค้นที่ไม่มีทางกลับมาลงเอยด้วยดีอีกต่อไป

แม้ว่าลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมลูกหนังที่เป็นตัวแทนแห่งปฏิปักษ์ของ 2 เมือง จะชิงดีชิงเด่นในสนามมาตลอด แต่ในความขัดแย้ง มักมีมุมโรแมนติกแอบซ่อนอยู่ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน

ซึ่งหนึ่งในประเด็น “รักในรอยแค้น” นั่นคือ บิลล์ แชงคลีย์ กับเซอร์แมตต์ บัสบี้ 2 ตำนานกุนซือผู้ล่วงลับที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และช่วยสร้างยุคสมัยที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ศึกแดงเดือดของ 2 สโมสร

ลิเวอร์พูลคือขวัญใจ แมนเชสเตอร์คือตำนาน

แมตต์ บัสบี้ เกิดในหมู่บ้านทำเหมืองถ่านหินที่สกอตแลนด์ คุณพ่อเป็นคนงานเหมืองที่ถูกเรียกไปช่วยชาติในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และเสียชีวิตในสงคราม ส่วนคุณแม่อพยพมาจากไอร์แลนด์ช่วงปลายศตวรรษที่ 19

แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นนักฟุตบอลให้ได้ บัสบี้ได้ใช้เวลาว่างจากงานประจำมาเล่นฟุตบบอล ต่อมาเขาขอปฏิเสธไปใช้ชีวิตกับคุณแม่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และเลือกที่จะออกจากบ้านเกิดไปตามหาความฝันที่อังกฤษ

บัสบี้ เริ่มต้นการเป็นนักเตะระดับอาชีพกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในปี 1928 ได้รับค่าจ้างสัปดาห์ละ 5 ปอนด์ โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม และหลายสโมสรได้ให้ความสนใจในตัวเขา แต่ก็ต้องผิดหวัง เนื่องจากค่าตัวที่แพงเกินไป

จนกระทั่งในปี 1936 ลิเวอร์พูลทุ่มเงิน 8,000 ปอนด์ กระชากตัวบัสบี้มาอยู่ในรั้วแอนฟิลด์ เก่งกาจจนกลายเป็นดาวเด่นในทีม จนได้รับการยกย่องจากสื่อว่า เขาคือเซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และสง่างามที่สุดของอังกฤษ

ต่อมาในปี 1939 บัสบี้ ในฐานะกัปตันทีมหงส์แดง ได้ต้อนรับเพื่อนร่วมทีมคนใหม่ที่ชื่อ บ็อบ เพสลี่ย์ ที่ย้ายมาจากสโมสรบิช็อป โอ๊คแลนด์ ซึ่งไม่มีใครล่วงรู้เลยว่า เพสลี่ย์จะได้ทำงานเป็นกุนซือลิเวอร์พูลในอีกหลายสิบปีต่อมา

กัปตันบัสบี้ อยู่ค้าแข้งในถิ่นแอนฟิลด์จนกระทั่งเลิกเล่นในปี 1945 เขาคือบุคคลเพียงไม่กี่คนที่เป็นขวัญใจของลิเวอร์พูล ก่อนจะเป็นตำนานตลอดกาลที่แมนเชสเตอร์ ส่วนเพสลี่ย์รีไทร์จากอาชีพนักเตะในอีก 9 ปีหลังจากนั้น

หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 บัสบี้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมแมนฯ ยูไนเต็ดแบบเต็มตัว ได้เข้ามาฟื้นฟูสโมสรที่ได้รับความเสียหายจากสงคราม แถมติดหนี้ธนาคาร พร้อมกับสร้างทีมจนประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่

คนงานเหมืองถ่านหิน ที่วาดฝันอยากเป็นนักเตะ

บิลล์ แชงคลีย์ เป็นชาวสกอตแลนด์เช่นเดียวกับแมตต์ บัสบี้ เมื่ออายุ 14 ปี เขาจำเป็นต้องลาออกจากโรงเรียน เพื่อไปเป็นคนงานในเหมืองถ่านหินซึ่งเต็มไปด้วยมลพิษ สิ่งสกปรก และอันตรายจากเครื่องจักรกล

แชงคลีย์เคยเขียนไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเองว่า “สมัยยังเด็ก ผมกับเพื่อนๆ เคยขโมยผัก ขนมปัง หรือแม้แต่ผลไม้เน่าๆ จากเกวียนที่อยู่ในเหมือง ผมยอมรับว่ามันผิด แต่จำเป็นต้องทำเพราะความหิวโหย”

“ผมได้เจอปัญหามากมายที่เหมือง เช่น งานหนัก หนู ความยากลำบากในการกินและดื่ม และที่แย่ที่สุดคือความสกปรก เพราะคนงานในเหมืองไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองสะอาด แม้จะได้ล้างตัวหลังออกจากกะแต่ละครั้งก็ตาม”

ในขณะที่แชงคลีย์เป็นคนงานในเหมือง มักจะใช้เวลาว่างเพื่อเล่นฟุตบอลให้ได้บ่อยที่สุด ที่จริงแล้วการทำงานในเหมืองเป็นเพียงแค่การฆ่าเวลาเท่านั้น เพราะความฝันสูงสุดของเขาคือการได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพ

ความมุ่งมั่นบวกกับแพสชั่นในกีฬาลูกหนัง แชงคลีย์ก็ผลักดันตัวเองจนได้เป็นนักเตะอาชีพในที่สุด โดยเล่นตำแหน่งกองหลัง เขาเริ่มจากการเซ็นสัญญากับคาร์ไลส์ ยูไนเต็ด สโมสรระดับดิวิชั่น 3 ของอังกฤษ ในปี 1932

แต่ด้วยความสามารถที่ไม่ธรรมดา ทำให้ในปีต่อมา เพรสตัน นอร์ท เอนด์ ตัดสินใจดึงแชงคลีย์เข้ามาด้วยเงิน 500 ปอนด์ เป็นกำลังสำคัญที่พาทีมขึ้นสู่ดิวิชั่น 1 ตั้งแต่ซีซั่นแรกที่ลงเล่น แถมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ในปี 1938

หลังจากเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ แชงคลีย์ผันตัวมาเป็นผู้จัดการทีมให้กับคาร์ไลส์ ยูไนเต็ด, กริมสบี้ ทาวน์, เวิร์กคิงตัน และฮัดเดอร์ฟิลด์ ทาวน์ หลังจากนั้นไม่นาน ชายคนนี้ก็กลายเป็นสุดยอดกุนซือผู้ยิ่งใหญ่ที่ลิเวอร์พูล

ความรักที่ลึกลับซับซ้อน ซ่อนในความเป็นคู่อริ

ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1958 เกิดเหตุโศกนาฏกรรมเครื่องบินตกที่สนามบินในเมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี ทำให้มีเจ้าหน้าที่และนักเตะชุด “บัสบี้ เบ็บส์” ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้รวม 23 คน

เมื่อลิเวอร์พูลได้รับทราบถึงความสูญเสียของฟากแมนเชสเตอร์ ก็ได้ยื่นข้อเสนอให้ยืมตัวผู้เล่นไปใช้งาน แต่ทางยูไนเต็ดปฏิเสธ และขอสู้ด้วยนักเตะที่มีอยู่ ในสถานการณ์ที่ต้องใช้เวลาไม่น้อยในการฟื้นฟูสโมสรขึ้นมาใหม่

หลังจากคืนฟ้าโศกที่มิวนิคผ่านไปเกือบ 2 ปี บิลล์ แชงคลีย์ ที่กำลังคุมทีมฮัดเดอร์ฟิลด์ ได้รับการแนะนำจากคนสนิทอย่างบัสบี้ ให้เข้ามารับงานที่ลิเวอร์พูล และในที่สุดแชงคลีย์ก็ตอบรับโอกาสนี้ในเดือนธันวาคม 1959

ลิเวอร์พูลในขณะนั้น มีแต่ปัญหารุมเร้าทั้งในและนอกสนาม แชงคลีย์ต้องใช้เวลาและความอดทนอย่างสูงเพื่อเปลี่ยนแปลงทีมให้ดีขึ้น รวมถึงเป็นผู้ที่เปลี่ยนชุดแข่งขันให้เป็นสีแดง ซึ่งกลายเป็นสีประจำสโมสรจนถึงทุกวันนี้

แชงคลีย์ ใช้เวลา 2 ฤดูกาลครึ่ง ในการพาลิเวอร์พูลเลื่อนชั้นขึ้นสู่ดิวิชั่น 1 เป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี จบซีซั่น 1962/63 ในอันดับที่ 8 ด้านแมนฯ ยูไนเต็ดของเซอร์แมตต์ บัสบี้ คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ และรอดตกชั้นอย่างฉิวเฉียด

จนกระทั่งในช่วงปี 1964 – 1967 คือช่วงเวลาที่ 2 สโมสรคู่ปรับสีแดง ยึดครองความยิ่งใหญ่ สลับกันคว้าแชมป์ลีกทีมละ 2 สมัย โดยลิเวอร์พูลได้ฉลองในปี 1964 กับ 1966 ส่วนทางฝั่งยูไนเต็ด สุขสมหวังในปี 1965 และ 1967

ในปี 1968 เมื่อปิศาจแดงผ่านเข้าชิงชนะเลิศยูโรเปี้ยน คัพ Liverpool Echo สื่อประจำเมืองลิเวอร์พูล ได้ออกมาเขียนชื่นชมในความยอดเยี่ยมของคู่แข่ง และทุกคนจะยินดี หากพวกเขาเป็นทีมแรกของอังกฤษที่ทำสำเร็จ

และสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจริงๆ ด้วยการล้มยักษ์อย่างเบนฟิกา จากโปรตุเกส ในช่วงต่อเวลาพิเศษ แน่นอนว่าความสำเร็จครั้งนี้ ได้อุทิศให้กับผู้วายชนม์จากเหตุการณ์เมื่อ 10 ปีก่อนหน้านั้น

ปิศาจแดงเสื่อมถอย หงส์แดงก้าวสู่ยุคยิ่งใหญ่

เมื่อช่วงเวลาของการต่อสู้เพื่อแย่งแชมป์ลีกที่เข้มข้นที่สุดในประวัติศาสตร์ได้ผ่านพ้นไปแล้ว เซอร์แมตต์ บัสบี้ กับบิลล์ แชงคลีย์ ก็เข้าสู่ช่วงท้ายของอาชีพผู้จัดการทีม ซึ่งจุดสิ้นสุดของทั้งคู่นั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

บัสบี้ หลังพาแมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ฤดูกาล 1967/68 อย่างยิ่งใหญ่ แต่ในซีซั่นถัดมา เขาทำทีมจบแค่อันดับที่ 11 และตัดสินใจอำลาสโมสรหลังจบซีซั่น ยุติช่วงเวลา 24 ปี ที่คุมทีมในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

ซึ่งผู้ที่เข้ามาสานต่ออย่างวิลฟ์ แม็คกินเนสส์ ก็ทำหน้าที่ได้ไม่ดีนัก อยู่ในตำแหน่งแค่ 1 ฤดูกาลครึ่ง ทำให้ยูไนเต็ดต้องเรียกบัสบี้ กลับมากู้วิกฤตชั่วคราวอีกครึ่งฤดูกาล ก่อนเข็นทีมปิศาจแดงให้จบซีซั่น 1970/71 ในอันดับที่ 8

การคุมทีมนัดสุดท้ายในชีวิตของบัสบี้ เกิดเหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่อ เมื่อมีแฟนบอลฮูลิแกนเข้ามาปามีดลงมาตกที่อัฒจันทร์ฝั่งทีมเยือน ทำให้ยูไนเต็ดถูกลงโทษห้ามเล่นที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 2 เกม ในช่วงต้นฤดูกาล 1971/72

สำหรับ 2 เกมที่แมนฯ ยูไนเต็ดต้องใช้สนามอื่นลงเตะนัดเหย้า คือเกมพบกับเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ที่วิคตอเรีย กราวด์ ของทีมสโตค ซิตี้ และดวลกับอาร์เซน่อลที่แอนฟิลด์ รังเหย้าของลิเวอร์พูล ทีมคู่ปรับตลอดกาล

ยูไนเต็ด หลังยุคของบัสบี้ ก็ไม่ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม สโมสรก็เข้าสู่ขาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งร่วงตกชั้นจากดิวิชั่น 1 ฤดูกาล 1973/74 หลังถูกอดีตนักเตะเก่าอย่างเดนิส ลอว์ ยิงประตูชัยให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

ฟากแชงคลีย์ ต้องใช้เวลาถึง 7 ปี ในการพาลิเวอร์พูลกลับมาทวงแชมป์ลีกอีกครั้งในปี 1973 พ่วงด้วยแชมป์ยูฟ่า คัพ และรีไทร์อาชีพกุนซือด้วยแชมป์เอฟเอ คัพ ในปีถัดมา ก่อนส่งไม้ต่อให้กับอดีตมือขวาคู่ใจอย่างบ็อบ เพสลี่ย์

ในปี 1977 ปิศาจแดงดับฝันเทรบเบิลแชมป์ของหงส์แดง ในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ แต่แฟนๆ เรด อาร์มี่ ที่เวมบลีย์ ได้ร่วมกันตะโกนเชียร์ศัตรูที่รักก่อนไปชิงชนะเลิศยูโรเปี้ยน คัพ พร้อมกับอวยพรว่า “โชคดีนะ ลิเวอร์พูล”

ท้ายที่สุด ลิเวอร์พูลของเพสลี่ย์ เอาชนะโบรุสเซีย มึนเช่นกลัคบัค คว้าแชมป์ถ้วยใหญ่สุดของยุโรปเป็นสมัยแรก รากฐาน “บูทรูม สตาฟฟ์” ที่แชงคลีย์ได้สร้างไว้ ตอบแทนด้วยแชมป์ลีกสูงสุด 11 สมัย และยูโรเปี้ยน คัพ 4 สมัย

อีกด้านหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่แปลกประหลาด

แม้ลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะเป็น 2 ทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของอังกฤษ แต่ก็น่าประหลาดใจไม่น้อย ที่ทั้งคู่ไม่ค่อยอยู่ในช่วงพีคที่สุดแบบพร้อมกัน ส่วนใหญ่จะต้องมีฝั่งหนึ่งขาขึ้น และอีกฝั่งหนึ่งขาลง

หลังสิ้นสุดยุคของแชงคลีย์และบัสบี้ 2 คู่ปรับสีแดง จบฤดูกาลอยู่ใน 2 อันดับแรก แค่ 3 ครั้งเท่านั้น ได้แก่ฤดูกาล 1979/80, 1987/88 และ 2008/09 แถมเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยกันเองเพียง 3 ครั้ง ในรอบ 40 ปีหลังสุด

เจมี่ คาราเกอร์ คอลัมนิสต์ของ The Telegraph ได้เขียนบทวิเคราะห์ถึงหงส์แดง และปิศาจแดง คู่ปรับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการลูกหนังเมืองผู้ดี แต่มีโมเมนต์แย่งแชมป์ลีกโดยตรงเพียงไม่กี่ครั้งตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา

คาราเกอร์ ระบุว่า ประการแรก “ปกป้องเกียรติประวัติมากเกินไป” เช่น เมื่อยูไนเต็ดหมดหนทางคว้าแชมป์ลีก แฟนบอลก็เอาจำนวนแชมป์ 20 สมัยมาข่ม ราวกับถากถางเดอะ ค็อปว่า พวกเขาคือทีมเดียวที่อยู่เหนือกว่า

อดีตตำนานหงส์แดงรายนี้ ยังได้พูดถึงเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน สมัยที่ยังคุมปิศาจแดงว่า เป็นกุนซือที่ให้ความสำคัญที่สุดกับการไปเยือนแอนฟิลด์ในทุกๆ ฤดูกาล ไม่ว่ายักษ์ใหญ่แห่งเมอร์ซี่ย์ไซด์จะอยู่ในอันดับไหนของตารางก็ตาม

ประการต่อมา “ชี้ชะตาอนาคตทั้งผู้ชนะและผู้แพ้” เช่น เกมที่แอนฟิลด์เมื่อต้นปี 2020 แฟนลิเวอร์พูลต่างร้องเพลง ‘พวกเราจะเป็นแชมป์ลีก’ เพราะเริ่มมั่นใจแล้วว่าใกล้ปลดล็อกคว้าแชมป์ครั้งแรกในรอบ 30 ปี

แถมในบางครั้ง ชัยชนะของลิเวอร์พูล ก็ทำให้กุนซือยูไนเต็ดบางคน หมดความชอบธรรมในหน้าที่การงาน แต่ลิเวอร์พูลเองก็เคยมีปัญหาในยุคของรอย ฮ็อดจ์สัน ความพ่ายแพ้ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ทำให้เดอะ ค็อป ไม่เชื่อมั่นในตัวเขา

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว เอริค เทน ฮาก อยู่ภายใต้ความกดดัน หลังจากแพ้ 2 นัดแรกของฤดูกาล แต่พอเอาชนะในศึกแดงเดือด โมเมนตัมก็เข้าทางยูไนเต็ด สวนทางกับลิเวอร์พูลที่เจอกับอุปสรรคตลอดทั้งซีซั่น

และสุดท้าย “แอนฟิลด์คือนรกของยูไนเต็ด” เพราะไม่ว่าลิเวอร์พูลจะอยู่ในช่วงที่ยิ่งใหญ่หรือตกต่ำ แต่การที่ยูไนเต็ดมาเยือนแอนฟิลด์ พวกเขาจะต้องเจอความยากลำบากเป็นพิเศษในการที่จะเก็บชัยชนะกลับออกไป

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://en.wikipedia.org/wiki/Bill_Shankly

https://en.wikipedia.org/wiki/Matt_Busby

https://en.wikipedia.org/wiki/Liverpool_F.C.%E2%80%93Manchester_United_F.C._rivalry

https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-9098701/Man-United-challenge-Liverpool-title-look-rivalry.html

https://www.liverpoolecho.co.uk/sport/football/football-news/matt-busby-manchester-liverpool-star-8816963

https://www.liverpoolfc.com/news/features/374742-story-of-bill-shankly-journey-to-liverpool

https://www.telegraph.co.uk/football/2018/03/08/manchester-united-vs-liverpool-anatomy-rivalry1/

https://www.nbcsports.com/bayarea/soccer/why-liverpool-fc-manchester-united-rivalrys-glory-days-seem-far-away

https://www.telegraph.co.uk/football/2023/03/03/man-utd-liverpool-englands-two-greatest-clubs-why-dont-compete/