หากจะกล่าวถึงทีมชาติเยอรมันตะวันตก ชุดที่ได้แชมป์ฟุตบอลยูโร เมื่อปี 1980 แล้วจะพบชื่อมิดฟิลด์คนหนึ่งที่สามารถแจ้งเกิดอย่างเต็มตัว ในการลงเล่นทัวร์นาเมนท์ใหญ่เป็นครั้งแรก เขาคนนั้นคือ แบรนด์ ชูสเตอร์
อย่างไรก็ดี ความสำเร็จดังกล่าว คือการสัมผัสกับฟุตบอลรายการใหญ่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ก่อนที่จะเลิกเล่นทีมชาติด้วยอายุที่ยังน้อย อีกทั้งมีประเด็นขัดแย้งกับทุกคนที่ร่วมงาน จนได้รับฉายาว่า “ขบถลูกหนัง” แล้วฉายา “ขบถลูกหนัง” ได้มาอย่างไร ? วันนี้ วันคล้ายวันเกิดของเขา 22 ธ.ค. เพจ “ไข่มุกดำ” จะมาขยายให้ฟังกันครับ
จากบ้านเกิด สู่การแจ้งเกิดกับทีมชาติ
แบรนด์ ชูสเตอร์ เกิดเมื่อ 22 ธันวาคม 1959 ที่เมืองเอาก์สบวร์ก ทางตอนใต้ของเยอรมันตะวันตก เริ่มเข้าสู่การเป็นนักฟุตบอลตั้งแต่อายุ 12 ขวบ กับทีมเยาวชนของฮัมเมอร์ชมิดท์ ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับเอาก์สบวร์ก เมื่ออายุ 16 ปี
ปี 1977 ชูสเตอร์ ถูกเรียกติดทีมชาติเยอรมันตะวันตก ชุดยู-18 และด้วยความที่ฉายแววเก่งเกินอายุ ทำให้ตกเป็นเป้าหมายของบรรดาสโมสรในบุนเดสลีกา และเป็นเอฟซี โคโลญจน์ ที่ได้ตัว “เทพบุตรผมบลอนด์” ไปร่วมทีมในปีถัดมา
ผลงาน 9 ประตู จาก 32 นัด ที่ลงเล่นให้กับโคโลญจน์ในลีกสูงสุด ฤดูกาล 1979/80 ทำให้ชูสเตอร์ได้โอกาสติดทีมอินทรีเหล็กชุดใหญ่ เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ปี 1980 ที่ประเทศอิตาลีเป็นเจ้าภาพ
สำหรับ “ยูโร 1980” นั้น (สมัยนั้น) มี 8 ทีมสุดท้ายเข้าร่วม แบ่งเป็น 2 กลุ่ม แชมป์กลุ่ม เข้าชิงชนะเลิศ ส่วนรองแชมป์กลุ่ม ไปชิงอันดับ 3 ซึ่งเยอรมันตะวันตก ภายใต้การคุมทีมของจุ๊ปป์ แดร์วัลล์ ได้เข้าชิงชนะเลิศ ในฐานะแชมป์กลุ่ม 1
จาก 4 นัด ของเยอรมันตะวันตก ชูสเตอร์ได้ลงสนาม 2 นัด คือนัดที่ชนะเนเธอร์แลนด์ 3 – 2 ในรอบแรก และนัดที่ชนะเบลเยียม 2 – 1 ในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งทัวร์นาเมนท์ที่อิตาลีนี่เอง ถือเป็นการแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวของเขา
นัดที่พบกับอัศวินสีส้ม เคลาส์ อัลลอฟส์ เหมาแฮตทริก ชูสเตอร์ทำ 1 แอสซิสต์ และนัดที่พบกับปิศาจแดงแห่งยุโรป ฮอร์ส ฮรูเบซ ยิงคนเดียว 2 ประตู ชูสเตอร์ก็ทำ 1 แอสซิสต์เช่นกัน พาอินทรีเหล็ก คว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 2 อย่างยิ่งใหญ่
ขบถลูกหนัง ผู้ไม่เคยสัมผัสฟุตบอลโลก
แบรนด์ ชูสเตอร์ กลับมาที่โคโลญจน์ในฐานะฮีโร่ของชาติ แต่การกลับมาครั้งนี้ เจ้าตัวไม่มีความสุขเหมือนเมื่อก่อน เนื่องจากภรรยาของเขาถูกคุกคามอย่างหนัก อีกทั้งไม่ลงรอยกับคาร์ล-ไฮนซ์ เฮเดอร์กอตต์ เทรนเนอร์คนใหม่ของ “แพะบ้า” อีกด้วย
ชูสเตอร์จึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า จะขอย้ายออกจากโคโลญจน์ และเป็นบาร์เซโลน่า ยักษ์ใหญ่แห่งลาลีกา สเปน ที่คว้าตัวไปร่วมทีม ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว ถือเป็นการเปิดตำนาน “ขบถลูกหนัง” ในชีวิตของเขา
หลังจากจบซีซั่น 1980/81 ซีซั่นแรกของชูสเตอร์ในสีเสื้อบาร์ซ่า จุ๊ปป์ แดร์วัลล์ กุนซือทีมชาติเยอรมัน ประกาศเรียกตัวพอล ไบรท์เนอร์ นักเตะตัวเก๋า กลับคืนทีมชาติอีกครั้ง เพื่อเตรียมทีมลงเล่นเวิลด์ คัพ 1982 รอบคัดเลือก
นั่นทำให้ชูสเตอร์มีปัญหาขัดแย้งกับไบรท์เนอร์ รวมถึงคาร์ล ไฮนซ์ รุมมินิกเก้ เนื่องจากมองว่าทั้งคู่จะเข้ามามีอิทธิพลภายในทีม แดร์วัลล์ไม่มีทางเลือก จึงตัดชื่อชูสเตอร์ออกจากทีมในนัดที่จะพบกับฟินแลนด์ทันที
จากปัญหาความขัดแย้งดังกล่าว ทำให้เฮอร์มันน์ นอยแบร์เกอร์ ประธานสหพันธ์ฟุตบอลเยอรมัน (เดแอฟเบ) ในขณะนั้น ได้พยายามเป็นกาวใจ ประสานรอยร้าวระหว่างชูสเตอร์ และคู่กรณีทุกฝ่าย แต่ก็ไม่เป็นผล
กระทั่งในเดือนธันวาคม ปี 1981 ชูสเตอร์ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจากการลงเล่นให้กับบาร์เซโลน่า หลังถูกอันโดนี่ กอยโกเชีย แข้งจอมโหดในตำนานของแอธเลติก บิลเบา เสียบสกัดรุนแรง พักยาวจนจบฤดูกาล
ถึงแม้ว่าชูสเตอร์จะหายจากอาการบาดเจ็บทันเวลา และมีโอกาสติดทีมไปลุยฟุตบอลโลกที่สเปน แต่โค้ชและเพื่อนร่วมทีมชาติเยอรมันบอกว่า ไม่จำเป็นต้องมีเขาก็สามารถคว้าแชมป์ได้ แต่ท้ายที่สุดเยอรมันก็แพ้อิตาลีในนัดชิงชนะเลิศ
นัดสุดท้ายของชูสเตอร์กับทีมชาติ เกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1984 ในเกมอุ่นเครื่องที่พบกับเบลเยียม และเจ้าตัวปฏิเสธช่วยทีมชาติในยูโร 1984 รอบสุดท้ายที่ฝรั่งเศส ซึ่งเยอรมันที่ปราศจากตัวเขา ก็ตกรอบแรกในฐานะแชมป์เก่า
หลังจากความล้มเหลวในยูโร 1984 ฟรานซ์ เบคเคนเบาวร์ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นเทรนเนอร์ของเยอรมันคนใหม่ เพื่อเตรียมสู้ศึกเวิลด์ คัพ 1986 แต่ “ไกเซอร์ฟรานซ์” ประกาศอย่างชัดเจนว่า จะไม่เรียกตัวชูสเตอร์มาติดทีมชาติอีกต่อไป
นั่นเท่ากับว่า ชูสเตอร์ ต้องยุติการรับใช้ทีมชาติในวัยเพียงแค่ 24 ปีเท่านั้น ทั้งๆ ที่เป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดของประเทศในยุคนั้น และเข้าทำเนียบนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ของวงการลูกหนัง ที่ไม่เคยลงเล่นฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย
ส่วนทีมอินทรีเหล็ก ที่ไร้เงาชูสเตอร์ ก็เข้าชิงชนะเลิศ 3 ครั้งติดต่อกันในรอบ 8 ปี ถึงแม้ว่าจะสุขสมหวัง ได้แชมป์เพียงแค่ครั้งเดียวในปี 1990 ที่อิตาลี แต่ก็ทำให้แฟนบอลเยอรมัน ลืมชื่อของเทพบุตรผมบลอนด์จอมขบถไปได้เลย
แข้งยอดอัจฉริยะ ผู้ก้าวข้ามความเกลียดชัง
แบรนด์ ชูสเตอร์ ค้าแข้งให้กับบาร์เซโลน่า 8 ปี คว้าแชมป์ 6 โทรฟี่ แต่เหตุการณ์หลังจากนั้น คือสิ่งที่ตอกย้ำในความเป็นขบถลูกหนังของเขา นั่นคือการย้ายไปค้าแข้งกับสโมสรที่เป็นคู่ปรับสำคัญทั้งในสเปน และเยอรมัน
หลังจากจบฤดูกาล 1987/88 ชูสเตอร์สร้างความประหลาดใจ ด้วยการย้ายไปเล่นให้เรอัล มาดริด ทีมคู่อริตลอดกาลชนิดที่ไม่มีใครคาดคิด ซึ่งภายหลังมีการเปิดเผยว่า เขามีเรื่องทะเลาะตั้งแต่เพื่อนร่วมทีม จนถึงประธานสโมสร
ทั้ง ๆ ที่มีหลายสโมสรให้ความสนใจคว้าตัวไปร่วมทีม แต่สาเหตุที่เจ้าตัวเลือกเรอัล มาดริด เพราะไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิตในเมืองบาร์เซโลน่าที่มีแต่ปัญหามากมาย แต่ก็ไม่ต้องการให้ครอบครัวของเขาย้ายออกจากที่นั่น
2 ฤดูกาลกับ “ราชันชุดขาว” คว้าแชมป์ลาลีกา 2 สมัยซ้อน ทว่าหลังจากจบฤดูกาล 1989/90 เจ้าตัวมีปัญหากับประธานสโมสร จึงตัดสินใจยกเลิกสัญญา และย้ายไปอยู่กับทีมคู่ปรับร่วมเมืองอย่างแอตเลติโก้ มาดริด
3 ซีซั่นกับแอต. มาดริด คว้าแชมป์โคปา เดล เรย์ 2 สมัยซ้อน ส่วนในซีซั่นสุดท้าย เขาพลาดการลงสนามไปนานหลายเดือน เนื่องจากอาการบาดเจ็บ แต่มีข่าวว่าชูสเตอร์ปฏิเสธการรักษาตามที่แพทย์แนะนำ ขอรักษาโดยวิธีธรรมชาติแทน
นั่นทำให้แอต. มาดริด ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ที่ชูสเตอร์สร้างประเด็นขัดแย้งขึ้นมา นั่นทำให้สโมสรไม่มีทางเลือก ดร็อปเขาเป็นตัวสำรอง และเมื่อจบฤดูกาล ชูสเตอร์ต้องอำลา “ตราหมี” และพาครอบครัวกลับเยอรมันทันที
ชูสเตอร์ เป็นเพียง 1 ใน 2 นักเตะในประวัติศาสตร์ของลีกสเปน ที่ลงเล่นกับ 3 สโมสรยักษ์ใหญ่ของประเทศ อีกคนหนึ่งคือมิเกล โซแลร์ ที่นอกจากค้าแข้งกับบิ๊ก 3 ลาลีกาแล้ว ยังเคยเล่นให้กับเอสปันญ่อลอีกด้วย
หลังจากใช้ชีวิตในลาลีกานานถึง 13 ปี ชูสเตอร์ก็กลับสู่บุนเดสลีกาอีกครั้ง กับไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ซึ่งก็เป็นทีมคู่ปรับในแถบไรน์ลันด์ (Rheinland) กับเอฟซี โคโลญจน์ สโมสรแรกของเขาในฐานะนักเตะอาชีพ
อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวก็ยังคงมีนิสัยหัวแข็งเช่นเดิม มีเรื่องขัดแย้งกับเอริค ริบเบ็ค เทรนเนอร์ของเลเวอร์คูเซ่นในเวลานั้น ก่อนที่ในปี 1996 ก็ย้ายไปค้าแข้งกับพูมาส ในเม็กซิโก แต่เล่นได้แค่ 9 นัด ก็ประกาศแขวนสตั๊ดในที่สุด
หลังจากเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ ชูสเตอร์ก็ผันตัวไปเป็นโค้ชให้กับหลายสโมสร รวมถึงโคโลญจน์ และเรอัล มาดริด ทีมเก่าสมัยเป็นนักเตะ แต่อายุงานในทุกทีมที่คุมนั้น เป็นช่วงสั้นๆ แค่ 1 – 2 ปีเท่านั้น ก่อนจะรีไทร์อาชีพโค้ชในปี 2019
นักฟุตบอลระดับซูเปอร์สตาร์บางคน มักจะมีความเป็นตัวของตัวเองสูง สร้างวีรกรรมความขัดแย้งไว้หลายครั้ง จนเกิดเรื่องวุ่นวาย แต่ด้วยพรสวรรค์ที่แสดงให้เห็นในสนาม ก็นับว่าเป็นสีสันอย่างหนึ่งที่โลกลูกหนังเคยมีมา
Author : จักรพันธ์ ภู่ทอง
ผู้สนับสนุนเนื้อหา: LaLiga
อ้างอิง :
– http://soccernostalgia.blogspot.com/…/one-upon-time…
– http://www.midfielddynamo.com/players/profiles/schuster.htm
#ไข่มุกดำ
#แบรนด์ชูสเตอร์
#KMDLaLiga
Football Editor