บาเยิร์น มิวนิค และโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 2 สโมสรฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของประเทศเยอรมนี ซึ่งความขัดแย้งระหว่างคู่ปรับคู่นี้ เกิดขึ้นจากการชิงดีชิงเด่นในสังเวียนลูกหนังล้วน ๆ
นับตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา การคว้าแชมป์บุนเดสลีกา ว่ากันแค่ “เสือใต้แห่งบาวาเรีย” กับ “เสือเหลืองแห่งรูห์” เท่านั้น ที่ผลัดกันฉลองโทรฟี่ลีกสูงสุด ไม่มีสโมสรอื่นเบียดขึ้นมาครองบัลลังก์ได้เลย
อย่างไรก็ตาม 11 ปีหลังสุด บาเยิร์น ผูกขาดแชมป์ลีกเยอรมันอยู่ทีมเดียว เมื่อฤดูกาลใหม่มาถึง ดอร์ทมุนด์ก็ยังถูกมองว่าเป็นผู้ท้าชิงอันดับหนึ่งเช่นเดิม และหมายมั่นปั้นมือที่จะโค่นยักษ์จากมิวนิคให้ได้
ด้วยความที่ระยะทางระหว่าง 2 เมือง (มิวนิค-ดอร์ทมุนด์) ห่างกันประมาณ 500 กิโลเมตร ทำให้ไม่ค่อยมีภูมิหลังความเกลียดชังรุนแรงตั้งแต่ยุคอดีต ซึ่งจะแตกต่างจากคู่ปรับคู่อื่นๆ ในโลกฟุตบอล
แม้ดีกรีความดุเดือดจะไม่มากเท่ากับบิ๊กแมตช์อื่น แต่เจอกันครั้งใดก็คลาสสิกอยู่เสมอ จนถูกเรียกว่า “Der Klassiker” และนี่คือเรื่องราวที่อยู่ในความทรงจำระหว่าง 2 เสือผู้ยิ่งใหญ่แห่งบุนเดสลีกา
สกอร์ 11 – 1 ชัยชนะขาดลอยที่สุดของ “เสือใต้”
บุนเดสลีกา ฟุตบอลลีกสูงสุดของเยอรมนี ก่อตั้งขึ้นในปี 1963 และอีก 2 ปีหลังจากนั้น บาเยิร์น มิวนิค และโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ได้พบกันเป็นครั้งแรกที่มิวนิค แต่เป็นดอร์ทมุนด์ที่บุกมาชนะ 2 – 0
พอเข้าสู่ยุค 1970s ได้ไม่นาน เกิดเหตุการณ์สำคัญในแมตช์ “แดร์ กลาซิเกอร์” ที่เอาชนะกันแบบขาดลอยที่สุดในประวัติศาสตร์ของบุนเดสลีกา เป็นบาเยิร์นเปิดบ้านถล่มดอร์ทมุนด์ 11 – 1 เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 1971
11 ประตูของ “เสือใต้” มาจากแกร์ด มุลเลอร์ คนเดียว 4 ประตู, อูลี เฮอเนส กับฟรานซ์ โรธ คนละ 2 ประตู, ฟรานซ์ เบคเค่นบาวเออร์, พอล ไบรท์เนอร์ และวิลไฮม์ ฮอฟมันน์ ส่วน “เสือเหลือง” ตีไข่แตกจากดีเทอร์ ไวน์คอฟฟ์
หลังจากสิ้นสุดฤดูกาล 1971/72 แกร์ด มุลเลอร์ ศูนย์หน้าบาเยิร์น คว้าตำแหน่งดาวซัลโวด้วยผลงาน 40 ประตู เป็นตัวเลขสูงสุดภายในซีซั่นเดียว (ก่อนจะถูกโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ทุบสถิติในซีซั่น 2020/21 ที่ทำได้ 41 ลูก)
ขณะที่ดอร์ทมุนด์ หนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งบุนเดสลีกาตั้งแต่ฤดูกาลแรก ตกชั้นไปเล่นลีกระดับดิวิชั่น 2 หลังจากอยู่ในบุนเดสลีกาได้เพียง 9 ฤดูกาล และใช้เวลานานถึง 4 ปี กว่าจะได้กลับสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง
นับตั้งแต่ช่วงกลางยุค 1960s จนถึงช่วงต้นยุค 1990s บาเยิร์นคว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้ถึง 12 สมัย ดูเหมือนว่า “เสือใต้” กำลังจะผูกขาดความยิ่งใหญ่ไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่มีทีมไหนเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อเลย
ยุคทอง “เสือเหลือง” จากแชมป์เยอรมันสู่เจ้ายุโรป
หลังจากต้องมองดูบาเยิร์น มิวนิค ฉลองแชมป์ครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ถึงทีของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่ได้สร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาบ้าง โดยเริ่มจากการเข้ามาของกุนซืออ๊อตมาร์ ฮิตช์เฟลด์ ตั้งแต่ปี 1991
ซึ่งฤดูกาลแรกของฮิตช์เฟลด์กับดอร์ทมุนด์ ทำได้ดีมากในการลุ้นแย่งแชมป์บุนเดสลีกาจนถึงนัดสุดท้าย จบซีซั่นด้วยตำแหน่งรองแชมป์ มีคะแนนเท่ากับสตุ๊ดการ์ท แพ้เพียงแค่ผลต่างประตูได้-เสีย
แม้หลังจากนั้น ฮิตช์เฟลด์จะทำได้เพียงอันดับ 4 ในลีก 2 ซีซั่นติดต่อกัน แต่การคว้าตัวมัทธีอัส ซามเมอร์ มิดฟิลด์สตุ๊ดการ์ท ที่เคยหักอกดอร์ทมุนด์เมื่อปี 1992 มาร่วมทีม และกลายเป็นคีย์แมนคนสำคัญในยุคทองของสโมสร
ศึกบุนเดสลีกา นัดปิดฤดูกาล 1994/95 ดอร์ทมุนด์ ลุ้นแย่งแชมป์กับแวร์เดอร์ เบรเมน ซึ่งสถานการณ์ก่อนลงสนามเกมสุดท้าย “นกนางนวล” มีคะแนนนำอยู่ 1 แต้ม (สมัยนั้นยังใช้ระบบชนะได้ 2 แต้ม)
ผลปรากฏว่า ดอร์ทมุนด์ ชนะ ฮัมบวร์ก 2 – 0 และได้รับโชคชั้นที่ 2 เมื่อบาเยิร์น มิวนิค ทีมอันดับ 6ปล่อยทีเด็ด ถล่มเบรเมน 3 – 1 ช่วย “เสือเหลือง” แซงคว้าแชมป์ลีกสูงสุดหนแรกในยุค “บุนเดสลีกา”
ความสำเร็จจากแชมป์บุนเดสลีกาสมัยแรก ยังต่อยอดสู่การป้องกันถาดแชมป์ได้สำเร็จในซีซั่นถัดมา และก้าวสู่จุดสูงสุดของยุโรป ในการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่น 1996/97 ที่มิวนิค
อย่างไรก็ตาม หลังจากคว้าแชมป์ยุโรป ฮิตช์เฟลด์ประกาศอำลาทีม ยุคทองของดอร์ทมุนด์ก็ได้สิ้นสุดลง และไปเข้าทางบาเยิร์น ที่ต้องการดึงตัวกุนซือรายนี้มาร่วมงาน หวังทวงความยิ่งใหญ่กลับคืน
“ท่านนายพล” ผู้ทำลายล้าง “เอฟซี ฮอลลีวูด”
ช่วงกลางยุค 1990s คือยุครุ่งเรืองของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ อย่างแท้จริง แต่อีกด้านหนึ่ง บาเยิร์น มิวนิค ล้มเหลวแบบสุด ๆ เพราะนับตั้งแต่ปี 1995-1998 คว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้เพียงสมัยเดียวเท่านั้น
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะนักเตะบาเยิร์นหลายคน สนใจกอสซิปนอกสนาม ราวกับดาราฮอลลีวูด มากกว่าผลงานในสนาม ทำให้สื่อในเยอรมัน ตั้งฉายาให้กับทีมยักษ์ใหญ่แห่งมิวนิคว่า “เอฟซี ฮอลลีวูด”
บาเยิร์น ในฤดูกาล 1994/95 โจวานนี่ ตราปัตโตนี่ เทรนเนอร์ชาวอิตาลี ทำทีมจบแค่อันดับ 6 ถูกปลดออกไป แล้วอ็อตโต้ เรห์ฮาเกล เข้ามาสานต่อในฤดูกาลถัดมา แต่ก็โดนเชือดก่อนจบซีซั่นไม่กี่นัด
แม้ตราปัตโตนี่ จะรีเทิร์นอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการพา “เสือใต้” คว้าถาดแชมป์ในฤดูกาล 1996/97 ทว่าในซีซั่นต่อมา กลับถูกไกเซอร์สเลาเทิร์น ทีมที่เพิ่งเลื่อนชั้น ปาดหน้าคว้าแชมป์ “อิล แทร็ป” ก็ไม่ได้ไปต่อ
ก่อนที่ฤดูกาล 1998/99 จะเริ่มขึ้น บาเยิร์นตัดสินใจเลือกอ๊อตมาร์ ฮิตช์เฟลด์ ผู้เคยพาดอร์ทมุนด์คว้าแชมป์บุนเดสลีกา 2 สมัย และแชมป์แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย มาคุมบังเหียน เพื่อฟื้นฟูทีมให้แข็งแกร่งอีกครั้ง
และความเฮี้ยบของ “ท่านนายพล” ก็ช่วยปลุกเสือใต้ที่หมดสภาพในยุคเอฟซี ฮอลลีวูด ให้กลับมาเป็นเสือใต้ที่น่าเกรงขามเหมือนที่ทุกคนเคยรู้จักอีกครั้ง ด้วยแชมป์บุนเดสลีกา 4 สมัย จาก 6 ฤดูกาลที่คุมทีม
แถมด้วยการเข้าชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาล 1998/99 แพ้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแบบเจ็บปวด แต่ก็แก้ตัวคว้าแชมป์ได้ในอีก 2 ซีซั่นถัดมา พร้อมกับเอาคืน “ปิศาจแดง” ชนะทั้ง 2 นัด ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย
เสือเหลืองกำลังจะจมน้ำ เสือใต้ยื่นมือเข้าช่วย
เข้าสู่ยุค Y2K มัทธีอัส ซามเมอร์ ที่เพิ่งแขวนสตั๊ดได้ไม่นาน เข้ารับตำแหน่งกุนซือคนใหม่ของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในปี 2000 และใช้เวลา 2 ซีซั่น พาทีมกลับมาคว้าแชมป์บุนเดสลีกาหนแรกในรอบ 6 ปี
ซามเมอร์ อดีตดาวเตะเจ้าของฉายา “เจ้าชายผมแดง” กลายเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของดอร์ทมุนด์ ที่ได้ถาดแชมป์ทั้งในฐานะผู้เล่นและโค้ช ซึ่งนั่นคือโทรฟี่ใบเดียวของเขา ตลอดเวลา 4 ฤดูกาลที่คุมทีม
กระนั้น แชมป์บุนเดสลีกาปี 2002 ของ “เสือเหลือง” กลับไม่ช่วยอะไรพวกเขามากนัก เพราะสโมสรเริ่มที่จะเจอปัญหาทางการเงินอย่างหนัก จากการลงทุนขยายสนามเหย้า และการทุ่มเงินเพื่อสู้กับ “เสือใต้”
อีกทั้งการพลาดเข้ารอบแบ่งกลุ่มยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2003/04 ทำให้ดอร์ทมุนด์ขาดรายได้ก้อนโต หนี้สินก็พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ จึงจำเป็นต้องปล่อยนักเตะตัวหลักออกไปหลายคน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย
ด้วยหนี้สินที่ล้นพ้นตัว เสี่ยงต่อการถูกฟ้องล้มละลาย และการถูกปรับตกชั้น ทำให้ดอร์ทมุนด์ ต้องยอมให้บาเยิร์น มิวนิค คู่แข่งสำคัญ ยื่นมือเข้ามาช่วย ด้วยการให้ยืมเงินจำนวน 2 ล้านยูโร เพื่อเป็นเงินหมุนเวียน
เงิน 2 ล้านยูโรของบาเยิร์น มิวนิค แม้มันจะน้อยนิด เมื่อเทียบกับจำนวนหนี้สินของดอร์ทมุนด์ แต่ก็ช่วยให้ “Yellow Wall” รอดพ้นจากการล้มละลาย พร้อมกับได้รับบทเรียนสำคัญจากความผิดพลาดในครั้งนี้
การเข้ามาของคล็อปป์ เปลี่ยนชีวิตดอร์ทมุนด์
จุดเริ่มต้นการสร้างความสำเร็จของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ในยุคใหม่ เกิดขึ้นในปี 2005 เมื่อฮานส์ โยฮาคิม วัตช์เก้ เข้ามารับตำแหน่งซีอีโอคนใหม่ ด้วยนโยบายที่จะช่วยให้สโมสรมีความยั่งยืนทางการเงิน
จากสโมสรที่เคยติดหนี้มากกว่า 100 ล้านยูโร ทำให้วัตช์เก้ ได้เปลี่ยนแนวคิดการบริหารสโมสรเสียใหม่ โดยเน้นการสร้างทีมด้วยนักเตะดาวรุ่งเป็นหลัก และผู้จัดการทีมคนหนุ่มที่กระหายความสำเร็จ
แน่นอนว่า นโยบายเช่นนี้ช่วยให้สถานะทางการเงินของสโมสรดีขึ้น แม้จะต้องแลกกับผลงานในสนามที่ตกต่ำลงจนกลายเป็นทีมระดับกลางตาราง และต้องหนีตกชั้นในฤดูกาล 2007/08 ที่จบอันดับ 13
และในซีซั่นต่อมา ดอร์ทมุนด์ ได้โค้ชวัยหนุ่มอย่างเจอร์เก้น คล็อปป์ อดีตกุนซือทีมเล็กๆ อย่าง ไมนซ์ 05เข้ามาเป็นผู้นำในการกอบกู้สโมสร พร้อมกับแพชชั่นที่สูงมากในการเปลี่ยนทีมให้เต็มไปด้วยพลัง
คล็อปป์ได้สร้างยุคทองครั้งใหม่ ด้วยการคว้าถาดแชมป์บุนเดสลีกา 2 สมัยติดต่อกัน ในปี 2011 และ 2012 พร้อมกับแชมป์เดเอฟเบ โพคาล อีก 1 ถ้วย ในปี 2012 ด้วยการถล่มบาเยิร์นขาดลอย 5 – 2
นอกจากความสำเร็จในสนามแล้ว นโยบายการเพิ่มรายได้ และลดรายจ่าย ก็ช่วยให้ดอร์ทมุนด์ประสบความสำเร็จทางธุรกิจด้วย หนิ้สินก็ลดลง จนกลายเป็นหนึ่งในสโมสรที่มีความมั่นคงทางการเงินสูง
ชีวิตการเป็นผู้จัดการทีม แขวนอยู่บนเส้นด้าย
บาเยิร์น มิวนิค และโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 2 สโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเยอรมัน แต่ก็มาพร้อมกับความคาดหวังที่สูงมาก ส่งผลถึงอายุงานของกุนซือที่ไม่ยาวนานมากนัก พลาดเมื่อไหร่ มีสิทธิ์ตกงานได้ทุกเมื่อ
ยกตัวอย่างเช่น นิโก้ โควัช ถูกปลดจากกุนซือบาเยิร์น ในเดือนพฤศจิกายน 2019 หลังผลงานแย่ในบุนเดสลีกา แล้วฮันซี่ ฟลิค เข้ามาสานต่อ จบซีซั่นด้วย “เทรบเบิลแชมป์” เที่ยวที่ 2 ต่อจากซีซั่น 2012/13
กรณีของโควัช ก็คล้ายกับนาเกลส์มันน์ เมื่อซีซั่นที่แล้ว ที่ผู้บริหารบาเยิร์นประเมินแล้วว่า ถ้าพบแนวโน้มที่จะล้มเหลว มากกว่าจะประสบความสำเร็จ ก็จะแสดงความเด็ดขาด ด้วยการยื่นซองขาวให้กุนซือทันที
ทางฝั่งดอร์ทมุนด์ ก็มีกรณีของเจอร์เก้น คล็อปป์ ในฤดูกาล 2014/15 ซีซั่นสุดท้ายในการทำงาน จบแค่อันดับที่ 7 เจ้าตัวแสดงความรับผิดชอบกับความล้มเหลว ด้วยการประกาศลาออกจากตำแหน่ง
เรื่องผลงานในสนาม อาจจะไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้กุนซือต้องแยกทาง อย่างเช่นในปี 2017 โธมัส ทูเคิ่ล มีปัญหากับบอร์ดบริหาร และนักเตะบางคน แม้จะพาดอร์ทมุนด์คว้าแชมป์เดเอฟเบ โพคาลก็ตาม
ในประวัติศาสตร์ 60 ฤดูกาลที่ผ่านมาของฟุตบอลบุนเดสลีกา บาเยิร์นมีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมทั้งหมด 33 ครั้ง จาก 26 คน ขณะที่ดอร์ทมุนด์ มีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมทั้งหมด 49 ครั้ง จาก 43 คน
อ๊อตมาร์ ฮิตช์เฟลด์ คือโค้ช “เสือใต้” ที่คุมทีมนานสุด (6 ปี) หลังจากนั้น โค้ชมีอายุงานเฉลี่ย 1.58 ปี ด้านเจอร์เก้น คล็อปป์ คือโค้ช “เสือเหลือง” ที่คุมทีมนานสุด (7 ปี) หลังจากนั้น โค้ชมีอายุงานเฉลี่ย 1.14 ปี
ฉากจบที่สุดแสนดราม่า เสือใต้ซิวแชมป์ 11 ปีซ้อน
ย้อนกลับไปในนัดสุดท้ายของฤดูกาล 2022/23 ดอร์ทมุนด์ มีโอกาสทองที่จะหยุดยั้งความยิ่งใหญ่ของบาเยิร์น มิวนิค ที่กินเวลายาว 1 ทศวรรษ เมื่อได้เป็นผู้กุมชะตากรรมด้วยตัวเอง ในการลุ้นแชมป์บุนเดสลีกา
สถานการณ์ก่อนลงเตะเกมปิดซีซั่น ดอร์ทมุนด์มีคะแนนนำบาเยิร์นอยู่ 2 แต้ม ถ้าพวกเขาเปิดบ้านชนะไมนซ์ 05 ได้ ก็จะคว้าแชมป์ทันที ส่วนเสือใต้ต้องบุกไปชนะโคโลญจน์ และลุ้นให้เสือเหลืองไม่ชนะด้วย
สกอร์ของทั้ง 2 สนาม หลังจบครึ่งแรก ดอร์ทมุนด์ ตามหลัง 0 – 2 ส่วนบาเยิร์น ขึ้นนำ 1 – 0 นั่นหมายความว่าใน 45 นาทีหลัง เสือเหลืองต้องยิง 3 ประตู หรือลุ้นให้เสือใต้ถูกตีเสมอ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายทั้ง 2 ทาง
เมื่อเข้าสู่ 10 นาทีสุดท้าย ดอร์ทมุนด์ ไล่ตามมาเป็น 1 – 2 ส่วนบาเยิร์น ถูกตีเสมอ 1 – 1 ถ้าจบด้วยสกอร์นี้ ทีมของเอดิน แทร์ซิซ จะคว้าแชมป์ทันที ทว่าก่อนถึงนาทีสุดท้าย จามาล มูเซียล่า ยิงให้เสือใต้ขึ้นนำ 2 – 1
เมื่อบาเยิร์นพลิกกลับมาเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ ความกดดันก็ตกไปอยู่ที่ดอร์ทมุนด์ ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ นิคลาส ชูเล่ ยิงตีเสมอให้เสือเหลืองเป็น 2 – 2 ในนาทีที่ 90+6 ยังมีเวลาอีกเล็กน้อย เพื่อทำประตูสู่แชมเปี้ยน
แต่จนแล้วจนรอด ดอร์ทมุนด์ยิงเพิ่มไม่สำเร็จ และอีกสนาม จบลงด้วยชัยชนะ 2 – 1 ของบาเยิร์น ทำให้ทีมของโธมัส ทูเคิ่ล คว้าแชมป์ลีกเยอรมัน 11 ปีซ้อน โดยมี 71 คะแนนเท่ากัน แต่ผลต่างประตูได้เสียดีกว่า
เคน VS ฟุลล์ครุก ดวลความคมครั้งแรกในศึกใหญ่
ก่อนศึกใหญ่ที่ซิกนัล อิดูน่า พาร์ค ในสุดสัปดาห์นี้ ทั้งดอร์ทมุนด์ และบาเยิร์น มิวนิค ยังไม่แพ้ใคร มีคะแนนห่างกัน 2 แต้ม แต่ลูกได้เสีย เสือใต้ตุนไว้เยอะพอสมควร บวกถึง 27 ส่วนเสือเหลือง บวกแค่ 9
ศึก “แดร์ กลาซิเกอร์” 108 ครั้งที่ผ่านมา ยิงประตูเฉลี่ย 3.26 ประตูต่อเกม มีเพียง 5 เกมเท่านั้น ที่จบลงด้วยผลเสมอ 0 – 0 ซึ่งหนล่าสุดที่เสมอแบบไร้สกอร์ ต้องย้อนกลับไปในปี 2016 ที่ซิกนัล อิดูน่า พาร์ค
ซึ่งนักเตะที่ถูกยกให้เป็นความหวังสูงสุดในแนวรุกของทั้ง 2 ฝั่ง นั่นคือ นิคลาส ฟุลล์ครุก ของดอร์ทมุนด์ และแฮร์รี่ เคน ของบาเยิร์น มิวนิค ที่กำลังจะเผชิญหน้ากันในเกมใหญ่ที่สุดของฤดูกาลเป็นครั้งแรก
เคน ย้ายจากท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ ด้วยค่าตัว 100 ล้านยูโร แพงสุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร เริ่มต้นฤดูกาลได้อย่างร้อนแรงสุดๆ กดไปแล้ว 12 ประตู กับ 5 แอสซิสต์ จาก 9 นัดแรก เฉพาะในบุนเดสลีกา
สไตล์การเล่นของดาวยิงทีมชาติอังกฤษวัย 30 ปี ไม่ได้มีดีแค่เรื่องทำประตูได้ทุกรูปแบบเท่านั้น เขายังลงมาต่ำเพื่อหาช่องว่าง และผ่านบอลไปให้ลีรอย ซาเน่ รวมถึงตัวรุกคนอื่นๆ เข้าไปยิงประตูได้อีกด้วย
ขณะที่ฟุลล์ครุก ย้ายจากแวร์เดอร์ เบรเมน พร้อมพกดีกรีดาวซัลโวร่วมบุนเดสลีกา เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ด้วยผลงาน 16 ประตู กับ 5 แอสซิสต์ ส่วน 9 นัดแรกเฉพาะในลีก ซีซั่นนี้ เริ่มต้นด้วย 2 ประตู กับ 2 แอสซิสต์
กองหน้าทีมชาติเยอรมนี วัย 30 ปี ก็มีสไตล์การเล่นที่คล้ายคลึงกับเคน คือนอกเหนือจากยิงประตูแล้ว ยังสามารถเปิดบอลไปให้ผู้เล่นแนวรุกที่มีความเร็ว เช่นดอนเยลล์ มาเล็น และยูเลี่ยน บรันด์ท ลุ้นจบสกอร์
และพลาดไม่ได้ที่จะรับชมบิ๊กแมตช์นี้ ซึ่งทาง พีพีทีวี เอชดี 36 ยิงสด ศึกโค่นแชมป์! ที่ทุกคนรอคอย กับ บุนเดสลีกา “แดร์ คลาสสิเคอร์” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ พบ บาเยิร์น มิวนิค วันเสาร์ที่ 4 พ.ย. นี้ เวลาเที่ยงคืนครึ่ง แฟน ๆ “เสือเหลือง” และ “เสือใต้” ห้ามพลาด
ทางสถานีโทรทัศน์ PPTV HD ช่อง 36
ทางออนไลน์ช่องที่ 1 >> https://www.pptvhd36.com/live
และ Application : PPTVHD36 สามารถดาวน์โหลดได้ที่
– iOS : http://goo.gl/Jt1qMA
– Android : http://goo.gl/nTWUS2
ชมไฮไลท์ บุนเดสลีกา และติดตามข่าวสาร ได้แล้วที่ >>
https://www.pptvhd36.com/sport/บุนเดสลีกา
เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง
อ้างอิง :
– https://fcbayern.com/en/news/2021/12/11-1-50-years-ago-fc-bayern-celebrated-their-biggest-ever-bundesliga-win
– https://sqaf.club/why-bayern-munich-called-fc-hollywood/
– https://bvbbuzz.com/2018/01/24/look-back-borussia-dortmunds-remarkable-financial-recovery/
– https://en.wikipedia.org/wiki/Der_Klassiker
– https://www.bundesliga.com/en/bundesliga/news/borussia-dortmund-1994-95-remembering-first-title-12164
– https://www.bundesliga.com/en/bundesliga/news/fullkrug-harry-kane-tactical-comparison-klassiker-dortmund-bayern-25177
– https://www.bundesliga.com/en/bundesliga/news/5-reasons-to-watch-der-klassiker-borussia-dortmund-bayern-munich-kane-neuer-21421
– https://www.bundesliga.com/en/bundesliga/news/10-things-on-der-klassiker-bayern-munich-borussia-dortmund-lewandowski-haaland-7885
– https://www.bundesliga.com/en/bundesliga/news/joy-and-despair-for-bayern-munich-and-borussia-dortmund-in-klassiker-campaign-like-no-other-25160