เออร์ลิง ฮาแลนด์ กองหน้าวัย 22 ปี ย้ายจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ มาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 51 ล้านปอนด์ เซ็นสัญญา 5 ปี รับค่าเหนื่อย 375,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์
ล่าสุด ดาวยิงชาวนอร์เวย์รายนี้ ได้โอกาสลงสนามเป็นตัวจริงให้กับ “เรือใบสีฟ้า” ในเกมอุ่นเครื่องพรี-ซีซั่น ที่สหรัฐอเมริกา โดยเฉือนเอาชนะบาเยิร์น มิวนิค 1 – 0 เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา
ประตูชัยในเกมนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่ 12 นาทีแรก และฮาแลนด์ก็เป็นผู้สังหารเข้าไป ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี หลังจากดาร์วิน นูนเญซ เพิ่งยิงคนเดียว 4 ประตูให้กับลิเวอร์พูล เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านั้น
การมาของฮาแลนด์ และนูนเญซ สร้างความตื่นเต้นให้กับฟุตบอลอังกฤษเป็นอย่างมาก ที่อยากจะเห็นฟอร์มของดาวยิงวัยรุ่นทั้ง 2 คนนี้ โดยเริ่มต้นจากศึก “คอมมูนิตี้ ชิลด์” วันเสาร์นี้
วันนี้ ไข่มุกดำ x SoccerSuck จะมาเล่าเรื่องราวของดาวเตะหมายเลข 9 กับเส้นทางสู่การเป็นนักเตะแมนฯ ซิตี้ ตามรอยคุณพ่ออัลฟ์-อิงเก้ มาให้ฟังกันครับ
เกิดในครอบครัวนักกีฬา และเกษตรกร
เออร์ลิง ฮาแลนด์ เกิดที่เมืองลีดส์ ประเทศอังกฤษ เป็นลูกชายของคุณพ่ออัลฟ์-อิงเก้ ฮาแลนด์ ที่เคยค้าแข้งกับ 3 สโมสรพรีเมียร์ลีก ทั้งน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์, ลีดส์ ยูไนเต็ด และแมนเชสเตอร์ ซิตี้
ส่วนคุณแม่ของเขา ก็เคยเป็นอดีตนักกรีฑาที่มีชื่อเสียงในช่วงทศวรรษ 1990s โดยเคยลงแข่งขันในประเภทสัตตกรีฑา ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ต้องใช้ความพยายาม และความทรหดเป็นอย่างมาก
เมื่อฮาแลนด์อายุได้ 3 ขวบ คุณพ่ออัลฟ์-อิงเก้ ตัดสินใจยุติชีวิตค้าแข้งในเมืองผู้ดี พร้อมพาครอบครัวกลับบ้านเกิดที่เมืองไบรน์ ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งเป็นเมืองแห่งเกษตรกรรม
ฮาแลนด์เริ่มต้นเส้นทางลูกหนังในวัย 5 ขวบ หลังจากเข้ามาเป็นนักเตะเยาวชนกับสโมสรไบรน์ ซึ่งตัวเขามีฝีเท้า พรสวรรค์ และรูปร่างสูงใหญ่ โดดเด่นกว่าเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกัน
หลังจากใช้เวลาอยู่กับอคาเดมี่นานถึง 11 ปี ในปี 2016 ฮาแลนด์ในวัย 16 ปี ก็ได้ประเดิมลงสนามกับทีมชุดใหญ่ของไบรน์เป็นนัดแรก โดยเริ่มเล่นในตำแหน่งปีก ก่อนถูกโยกมาเล่นกองหน้าตัวเป้า
กระทั่งปีต่อมา โอเล่ กุนนาร์ โซลชา อดีตตำนานกองหน้าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่รับงานผู้จัดการทีมโมลด์ในเวลานั้น ได้เห็นฝีเท้าที่ยอดเยี่ยมของฮาแลนด์ จึงได้ดึงตัวเขามาปลุกปั้นต่อ
ซึ่งแมตช์ที่สร้างชื่อให้กับฮาแลนด์ คือเกมที่โมลด์ บุกไปถล่มบรานน์ถึงถิ่น 4 – 0 เมื่อเดือนกรกฎาคม 2018 เจ้าตัวเหมาทั้ง 4 ประตูในครึ่งแรก โดยใช้เวลาเพียงแค่ 17 นาทีเท่านั้น
ค่าเฉลี่ยนัดละ 1 ลูกในลีกออสเตรีย และเยอรมัน
หลังผ่านการพิสูจน์ตัวเองในลีกนอร์เวย์กับไบรน์ และโมลด์ เออร์ลิง ฮาแลนด์ก็ได้ไปค้าแข้งในลีกที่ใหญ่กว่าเดิม เพื่อโอกาสสร้างชื่อในการเป็นหนึ่งในสุดยอดดาวยิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกลูกหนัง
เดือนมกราคม 2019 ซัลซ์บวร์ก ทีมดังในบุนเดสลีกา ออสเตรีย จ่ายเงินให้โมลด์ 8 ล้านยูโร ในการดึงฮาแลนด์มาร่วมทีม และได้สร้างประวัติศาสตร์ไว้มากมายในถิ่นเรดบูลล์ อารีน่า
ตลอด 1 ปี กับซัลซ์บวร์ก ฮาแลนด์ ลงเล่น 27 นัดรวมทุกรายการ ทำได้ 29 ประตู หนึ่งในนั้นคือการยิงประตูลิเวอร์พูลที่แอนฟิลด์ ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม เมื่อเดือนตุลาคม 2019
และการลงเล่นถ้วยใหญ่สุดของยุโรปนี่เอง ฮาแลนด์ได้สร้างสถิติขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง คือเป็นนักเตะคนที่ 6 ในประวัติศาสตร์ ที่ยิงประตูในรายการแชมเปี้ยนส์ ลีก 5 นัดติดต่อกัน
จากนั้นในเดือนมกราคม ปีถัดมา โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ สโมสรยักษ์ใหญ่จากบุนเดสลีกา เยอรมัน ตัดสินใจทุ่มเงิน 20 ล้านยูโร เพื่อเป็นค่าตัวของฮาแลนด์ ท่ามกลางความสนใจจากหลายทีมในยุโรป
นัดแรกของฮาแลนด์ ในสีเสื้อของ “เสือเหลือง” ถูกเปลี่ยนลงมาเป็นตัวสำรอง และทำแฮตทริกได้ทันที โดยใช้เวลาเพียงแค่ 34 นาทีเท่านั้น ในเกมที่บุกไปเอาชนะเอาก์สบวร์กถึงถิ่น 5 – 3
2 ซีซั่นครึ่งในถิ่นซิกนัล อิดูน่า พาร์ค ฮาแลนด์ได้ตอบแทนความคุ้มค่าให้กับดอร์ทมุนด์ ด้วยการเป็นตัวผลิตสกอร์เป็นกอบเป็นกำเช่นเดียวกับตอนเล่นให้ซัลซ์บวร์ก โดยทำได้ 86 ประตู จากการลงสนาม 89 นัด
ผลงานของฮาแลนด์ กับทั้งซัลซ์บวร์ก และดอร์ทมุนด์ ยิงได้ 115 ประตู จาก 116 นัด คิดแบบง่าย ๆ คือ การันตี 1 ประตูทุกนัด ด้วยสถิติสุดโหดแบบนี้ ทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตัดสินใจดึงตัวไปร่วมทีมในที่สุด
บทบาทในเกมรุกของแมนฯ ซิตี้ จะเป็นอย่างไร ?
เออร์ลิง ฮาแลนด์ เลือกวันที่ 12 มิถุนายน เป็นวันเปิดตัวนักเตะใหม่กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่อัลฟ์-อิงเก้ คุณพ่อของเขา เปิดตัวกับเรือใบสีฟ้า หลังย้ายจากลีดส์ ยูไนเต็ด เมื่อ 22 ปีก่อน
การเข้ามาของฮาแลนด์ ถือเป็นการเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า หลังจากหมดยุคของเซร์คิโอ กุน อเกวโร่ และไม่แน่ว่า อาจจะทำได้ดีกว่าอดีตดาวยิงชาวอาร์เจนไตน์ก็เป็นได้
สไตล์การเล่นของฮาแลนด์ มักจะเป็นกองหน้ารอจบสกอร์ในเขตโทษ มากกว่าช่วยเพื่อนร่วมทีมขึ้นเกม ซึ่งจะต่างจากแฮร์รี่ เคน กองหน้าสเปอร์ส ที่แมนฯ ซิตี้เคยตามจีบอย่างหนัก แต่สุดท้ายก็พลาดหวัง
สำหรับแท็กติกที่เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือสมองเพชรของซิตี้ ที่คาดว่าน่าจะนำมาใช้ เพื่อรองรับการมาถึงของดาวยิงทีมชาตินอร์เวย์ วัย 22 ปี รายนี้ มีความเป็นไปได้ทั้ง 4-3-3, 4-2-3-1 หรือ 4-4-2
แผน 4-3-3 สูตรถนัดของเป๊ป ฮาแลนด์จะเป็นกองหน้าตัวกลาง ยืนสูงกว่าด้านข้างทั้งริยาดห์ มาเรซ และฟิล โฟเด้น ส่วนแผงมิดฟิลด์ เควิน เดอ บรอยน์ จะทำหน้าที่คอยปั้นเกม
ส่วนแผน 4-2-3-1 แน่นอนว่าฮาแลนด์ยืนหน้าตัวเป้าแบบเดี่ยว ๆ ส่วนมิดฟิลด์ที่จะขึ้นเกมรุก อาจจะให้เดอ บรอยน์ หรือโฟเด้น รับบทเป็นเพลย์เมกเกอร์ ทำเกมอยู่ด้านหลังฮาแลนด์
ขณะที่แผน 4-4-2 ที่หลายคนอาจปรามาสว่า “ตกยุค” แต่เป๊ปอาจจะหยิบนำมาใช้ได้เช่นกัน ฮาแลนด์จะยืนเป็นกองหน้าคู่ ซึ่งจับคู่ได้ทั้งโฟเด้น, มาเรซ หรือกองหน้าตัวใหม่อย่างยูเลี่ยน อัลวาเรซ
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่แมนฯ ซิตี้อาจจะมีความกังวลในตัวฮาแลนด์ คืออาการบาดเจ็บที่เริ่มจะบ่อยขึ้นในระยะหลังอย่างเห็นได้ชัด โดย 2 ฤดูกาลหลังสุดกับดอร์ทมุนด์ เขาพลาดลงสนามรวมกันถึง 26 นัด
การมาของเออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ทำให้เกมรุกของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ น่ากลัวขึ้นอีกระดับ และหลังจากลิเวอร์พูลได้ตัวดาร์วิน นูนเญซ น่าสนใจว่าพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลใหม่ จะเพิ่มดีกรีความเดือดอย่างมากเลยทีเดียว
เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง
อ้างอิง :
– https://lifebogger.com/erling-braut-haaland-childhood-story-plus-untold-biography-facts/
– https://theathletic.com/3368776/2022/06/17/haaland-de-bruyne-foden-grealish/
Football Editor