#SSxKMD | เบื้องหลังความสำเร็จของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล กับ เชลซี ที่สู้กันลืมตายจนต้องลงเอยด้วยการดวลจุดโทษในฟุตบอล เอฟเอ คัพ ที่ผ่านมา สู่การชิงชัยลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกนัดสุดท้ายในวันพรุ่งนี้ จะเป็นอย่างไร
เมื่อลิเวอร์พูล ย้ำชัยเหนือเชลซีอีกครั้ง ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยของอังกฤษ 2 รายการติดต่อกัน ทั้งคาราบาว คัพ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และเอฟเอ คัพ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ ชนะการดวลจุดโทษทั้ง 2 ถ้วย โดยใช้นักเตะรวมกันทั้งหมด 18 คน ยิงเข้าถึง 17 คน มีเพียงซาดิโอ มาเน่ คนเดียวเท่านั้น ที่สังหารไม่เข้าในเอฟเอ คัพ
แล้วเคล็ดลับสู่ชัยชนะการดวลเป้าของ “หงส์แดง” คืออะไร ? วันนี้ SoccerSuck x ไข่มุกดำ ได้นำบทวิเคราะห์ของแกร์ จอร์เดต์ นักจิตวิทยาฟุตบอล มาขยายให้ฟังกันครับ
พร้อมเป็นคนแรกมักจะได้เปรียบ
หลังจากลงเตะ 120 นาที ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยแล้ว ยังหาผู้ชนะไม่ได้ สิ่งแรกที่ผู้จัดการทีมจะต้องทำคือ สื่อสารกับนักเตะภายในทีม เพื่อคัดเลือก 5 คนแรก ออกมาดวลจุดโทษ
ดูเหมือนว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ จะทำได้ดีกว่าโธมัส ทูเคิ่ลเป็นอย่างมาก โดยคล็อปป์ได้พูดคุยกับนักเตะอย่างเป็นกันเอง ใช้เวลาประชุมทีมไม่ถึง 2 นาที ก็พร้อมแล้วสำหรับเกมวัดใจระยะ 12 หลา
จอร์เดต์ พูดถึงประเด็นนี้ว่า “สิ่งที่คล็อปป์และลิเวอร์พูลทำคือตัวอย่าง พวกเขาใช้เวลาไม่นานในการปลุกใจลูกทีม ผมเชื่อว่าการใช้เวลาประชุมทีมที่รวดเร็ว คือการสร้างความกดดันให้กับเชลซี”
นายทวารช่วยให้นักเตะมีสมาธิ
อลิสสัน เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูชาวบราซิล ได้นำลูกบอลมาให้เพื่อนร่วมทีมทุกคนที่ได้รับหน้าที่สังหารจุดโทษ เขาได้ทำเช่นเดียวกับที่ควีวีน เคลเลเฮอร์ นายทวารมือสอง ในนัดชิงชนะเลิศลีก คัพ
หลายคนอาจจะไม่ทราบเลยว่า การที่อลิสซง และเคลเลเฮอร์ ได้ทำแบบนั้น มันคือแท็กติกที่ช่วยให้เพื่อนร่วมทีมหงส์แดงมีสมาธิ ก่อนเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับจุดโทษระยะ 12 หลาอย่างมั่นใจ
จอร์เดต์ มองว่า “มันไม่ใช่แค่การส่งมอบบอลธรรมดาๆ การยืนปิดกั้นสายตาระหว่างผู้รักษาประตูฝ่ายตรงข้าม กับผู้ยิงจุดโทษฝั่งตัวเอง เป็นเกมจิตวิทยาที่คู่แข่งไม่อาจทราบได้เลย”
ลำดับการยิงจุดโทษก็สำคัญ
ผู้สังหารจุดโทษ 5 คนแรกของลิเวอร์พูล ในนัดชิงดำคาราบาว คัพ ประกอบด้วยเจมส์ มิลเนอร์, ฟาบินโญ่, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และโมฮัมเหม็ด ซาลาห์
แต่ในเกมชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ไม่มีทั้งฟาบินโญ่, ฟาน ไดค์ กับซาลาห์ที่บาดเจ็บ โดยมิลเนอร์ เป็นผู้รับหน้าที่คนแรกเช่นกัน และยิงเข้าไป ซึ่งถือว่ากดดันไม่น้อย เพราะมีผลกับคนต่อๆ ไปด้วย
จอร์เดต์ กล่าวว่า “นักเตะที่มีสถิติการยิงจุดโทษที่ดี มักจะได้รับเลือกให้ยิงเป็นคนแรก และมิลเนอร์ก็เริ่มต้นได้ดี มันสมเหตุสมผลแล้วที่เขาได้เริ่มต้น เพราะมีผลงานที่ดีกว่านักเตะคนอื่นๆ”
จดจ่อกับสิ่งที่ตัวเองทำให้เต็มที่
หลังจากเซซาร์ อัสปิลิกวยต้า ผู้สังหารจุดโทษคนที่ 2 ของเชลซียิงพลาด นั่นคือโอกาสทองของติอาโก้ อัลคันทาร่า ที่จะทำให้ลิเวอร์พูลพลิกขึ้นนำเป็นครั้งแรก เพื่อกุมความได้เปรียบเอาไว้ก่อน
ติอาโก้ มีการเรียกพลังก่อนที่จะยิงจุดโทษ จากนั้นวิ่ง 3 ก้าวเข้าหาบอล มีการหยุดชะงักหนึ่งจังหวะเพียงเสี้ยววินาที รอให้เอดูอาร์ เมนดี้ เสียหลัก ก่อนซัดไปทางซ้ายมือของตัวเอง เข้าประตูไป
จอร์เดต์ กล่าวว่า “ติอาโก้เป็นนักเตะที่มีประสิทธิภาพมาก เมื่อผมเห็นเขายิงจุดโทษ ผมรู้สึกได้เลยว่าเขามุ่งมั่น และทุ่มเทในสิ่งที่เขาทำอย่างมาก เขาทำทุกอย่างเพื่อส่งบอลเข้าประตูให้ได้”
“เมนดี้” ไม่สามารถทำลายสมาธิคู่แข่ง
เอดูอาร์ เมนดี้ นายทวารเชลซี พยายามที่จะทำลายสมาธิการยิงจุดโทษของนักเตะลิเวอร์พูล เช่นการขยับตัวไปมาอยู่หลายครั้ง แต่ต้องยอมรับว่าแท็กติกของเมนดี้ หยุดหงส์แดงไม่ได้จริงๆ
จอร์เดต์ กล่าวว่า “เมนดี้พยายามเข้าหานักเตะลิเวอร์พูลในจังหวะยิงจุดโทษ และพยายามทำตัวให้กระฉับกระเฉงในเวลานั้น แต่ทำอะไรคู่แข่งไม่ได้เลย และเขาไม่ได้มีสถิติเซฟจุดโทษที่ดีอีกด้วย”
“แม้ว่าเขาจะเป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในการเล่นแบบโอเพ่นเพลย์ แต่การรับมือกับจุดโทษ เขาไม่ค่อยมีความมั่นใจมากเหมือนที่ผู้รักษาประตูคนอื่นมี”
อย่าเพิ่งดีใจจนกว่าจะเป็นผู้ชนะ
เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ผู้สังหารจุดโทษคนที่ 4 และยิงไม่พลาด ซึ่งเจ้าตัวไม่แสดงอาการเฉลิมฉลองหลังทำประตูได้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการโยนความกดดันให้กับเชลซีมากขึ้นด้วย
จอร์เดต์ กล่าวว่า “แน่นอน ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายสำหรับนักเตะ ที่จะฉลองหลังทำประตูได้เมื่ออยู่ต่อหน้าแฟนบอลของตัวเอง ถ้ามีโอกาสที่จะเป็นผู้ชนะมากขึ้น ก็ต้องดีใจเป็นเรื่องปกติ”
“แต่ทุกสิ่งทุกอย่างยังไม่มีอะไรแน่นอน สถานการณ์สามารถพลิกผันได้ตลอดเวลา จนกว่าจะแน่ใจแล้วว่าเป็นผู้ชนะจริงๆ”
ปลอบใจ “มาเน่” ในวันที่ผิดพลาด
ซาดิโอ มาเน่ คือนักเตะลำดับที่ 5 ที่เป็นผู้สังหารจุดโทษ โดยหวังที่จะซ้ำรอยนัดชิงชนะเลิศแอฟริกัน คัพ กับฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ที่เจ้าตัวรับหน้าที่นี้เป็นคนสุดท้าย และเซเนกัลเป็นผู้ชนะทั้ง 2 ครั้ง
แต่ในแมตช์ชิงดำเอฟเอ คัพ ดาวเตะเซเนกัล เหมือนจะมีอาการประหม่าก่อนยิงจุดโทษ และในที่สุดเขาก็ยิงไปติดเซฟนายทวารเชลซี ทำให้การดวลจุดโทษต้องยืดเยื้อต่อไป ด้วยเงื่อนไขแบบ “ซัดเดน เดธ”
จอร์เดต์ กล่าวว่า “เมื่อมีนักเตะคนหนึ่งกำลังสูญเสียความมั่นใจหลังยิงจุดโทษพลาด เพื่อนร่วมทีมต้องมีวิธีสื่อสารกับนักเตะคนนั้นในทางสร้างสรรค์ทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อทำให้เขายังรู้สึกดีต่อไป”
การเอาชนะความกดดันของ “โจต้า”
5 คนแรกของทั้ง 2 ฝั่ง สกอร์ยังเสมอกัน ดิเอโก้ โจต้า จึงเป็นผู้ยิงจุดโทษคนที่ 6 หลังจากฮาคิม ซิเย็ค ยิงขึ้นนำไปก่อน ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ถ้ายิงพลาด ส่งมอบแชมป์ให้เชลซีอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ดาวยิงทีมชาติโปรตุเกส ก็สามารถเอาชนะความกดดันของตัวเองได้สำเร็จ สังหารด้วยเท้าขวา บอลพุ่งไปยังมุมบนด้านขวาตุงตาข่าย ช่วยให้ลิเวอร์พูลยังอยู่ในเกมต่อไป
จอร์เดต์ กล่าวว่า “ผมประทับใจในความสามารถของโจต้ามาก ไม่ใช่แค่ยิงประตู แต่เป็นเพราะเขารู้วิธีการรับมือกับความกดดันได้ดี มีนักเตะ 60 เปอร์เซ็นต์ ที่ทำประตูได้ในช่วงเวลาที่ยากแบบนี้”
“สเกาท์เซอร์ กรีก” ดวลเป้าครั้งแรกในชีวิต
คอสตาส ซิมิคาส แบ็กซ้ายทีมชาติกรีซ เป็นผู้รับหน้าที่สังหารคนที่ 7 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ตัวเขาได้สัมผัสบรรยากาศการดวลจุดโทษตัดสิน เพื่อพาลิเวอร์พูล คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ สมัยที่ 8
หลังจากที่เมสัน เมาท์ สังหารพลาดไปแล้ว นั่นหมายความว่า ถ้าซิมิคาสไม่พลาด ลิเวอร์พูลจะเป็นผู้ชนะทันที และ “สเกาท์เซอร์ กรีก” ยิงด้วยเท้าซ้าย บอลพุ่งไปทางด้านซ้ายมือเข้าไป
“ถ้าเขายิงลูกนั้นพลาด เกมยังต้องยืดเยื้อต่อไป แต่หากยิงเข้าไป ก็ชนะทันที เห็นได้ชัดเลยว่ามีความกดดันสูง แต่ก็สามารถนำแรงกดดัน มาเป็นพลังในด้านบวกเช่นกัน” จอร์เดต์ สรุปปิดท้าย
“ประสาทวิทยา” เบื้องหลังความสำเร็จ
หนึ่งในเคล็ดลับชองลิเวอร์พูล สู่การเอาชนะจุดโทษทั้งคาราบาว คัพ และเอฟเอ คัพ คือ Neuro11 บริษัทด้านประสาทวิทยา ที่เข้ามาช่วยพัฒนาสถิติการยิงจุดโทษให้ดีขึ้น
สำหรับ Neuro11 ก่อตั้งในประเทศเยอรมนี โดยดร.นิคลาส ฮอยเลอร์ เน้นการพัฒนาในแขนงประสาทวิทยาโดยเฉพาะ ซึ่งลิเวอร์พูลได้เข้าร่วมกับริษัทนี้ ตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา
Neuro11 เป็นเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์การทำงานของสมองสำหรับนักเตะในการเล่นลูกนิ่ง เช่น ความเครียดในการเล่นจังหวะหนึ่ง, ท่าที่เหมาะสมที่สุดเมื่อต้องยิงฟรีคิก เตะมุม หรือจุดโทษ
เมื่อค้นพบจุดสมดุลแล้ว ช่วยให้สมองของนักเตะผ่อนคลาย มีประสิทธิภาพตามมา ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ ลิเวอร์พูลได้ประตูจากลูกเซ็ตพีซในฤดูกาลนี้เกือบๆ 30 เปอร์เซ็นต์ เลยทีเดียว
เจอร์เก้น คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์หลังพาทีมคว้าแชมป์เอฟอ คัพ ว่า “Neuro 11 ได้ติดต่อมาหาเรามานานแล้ว และเสนอไอเดียเรื่องประสาทวิทยา เราก็ตัดสินใจลองดู พวกเขาจึงมีส่วนกับความสำเร็จในครั้งนี้”
หลังจากลงเตะพรีเมียร์ลีกในนัดสุดท้าย ลิเวอร์พูลยังมีคิวเตะนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ปารีส ถ้าต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษอีกครั้ง หลายคนเชื่อว่าพวกเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแน่นอน
เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง
อ้างอิง :
– https://theathletic.com/3314138/2022/05/17/liverpool-chelsea-fa-cup-victory/
– https://twitter.com/GeirJordet/status/1525755974346321921
– https://neuro11.de/wp-content/uploads/2022/02/220218_The_Times_newpaper.pdf
Football Editor