หลังจากซูเปอร์บิ๊กแมตช์พรีเมียร์ลีก ที่เอดิฮัด สเตเดี้ยม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2 – 2 ลิเวอร์พูล เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ต้องเรียกว่าคือเกมคุณภาพ สมราคาผู้ท้าชิงแชมป์พรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาลนี้
ย้อนกลับไปในนัดแรกที่แอนฟิลด์ ลิเวอร์พูล นำ 2 ครั้งไม่ชนะ ส่วนยกสองที่พบกันล่าสุด แมนฯ ซิตี้ นำ 2 ครั้งไม่ชนะเหมือนกัน เรียกได้ว่าแทบจะก็อปปี้กันมาเลยทีเดียว เพียงแค่กลับข้างกันเท่านั้น
วันนี้เพจ “ไข่มุกดำ” จะมาวิเคราะห์สิ่งที่ได้เห็นตลอด 90 นาที ของ 2 ทีมที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีกกันครับ
“เรือใบ” ไม่ชนะแม้ครองเกมได้ดีกว่า
ระบบ 4-3-3 ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ใช้สามประสานแนวรุกอย่างฟิล โฟเด้น, กาเบรียล เชซุส และราฮีม สเตอร์ริ่ง ที่รับบทเป็น “False 9” หรือหน้าตัวหลอก เพื่อให้กองหลังคู่แข่งเปิดช่องว่างให้กลางตัวรุกโจมตี
ประตูขึ้นนำก่อน 1-0 ตั้งแต่ 5 นาทีแรก จุดเริ่มต้นจากจังหวะฟรีคิก แบร์นาโด้ ซิลวา เล่นเร็วโดยที่แนวป้องกันของลิเวอร์พูลยังไม่ทันได้ตั้งหลัก บอลมาถึงเควิน เดอ บรอยน์ หลอกฟาบินโญ่หนึ่งจังหวะ ก่อนซัดแฉลบโจแอล มาติป เข้าไป
เดอ บรอยน์ ในเกมล่าสุด แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเท วิ่งไม่มีหมดตลอดทั้งเกม ถึงแม้ว่าในช่วงต้นครึ่งหลังจะเงียบหายไปบ้าง แต่โดยภาพรวมแล้ว เดอ บรอยน์ คือ “The Best” ในเกมนี้
ประตูแซงขึ้นนำ 2 – 1 ของซิตี้ ต้องชมความฉลาดของกาเบรียล เชซุส ที่แอบอยู่ข้างหลังเทรนท์ หลังจากที่คานเซโล่ เปิดบอลข้ามไลน์แนวรับลิเวอร์พูล แล้วเชซุส ก็วิ่งแซง แล้วแปกระแทกคานตุงตาข่าย
ต้องชมเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ถึงแม้จะไม่มีศูนย์หน้าตัวเป้า แต่การใช้แท็กติกครอสบอลยาวจากแดนหลัง แล้วให้นักเตะที่มีความเร็วสูง วิ่ง sprint สู้กับ “ไฮไลน์ ดีเฟนซ์” ของหงส์แดง ซึ่งทำได้แม่นยำเลยทีเดียว
ในช่วง 45 นาทีแรก ทีมของเป๊ป ครองบอลได้เหนือกว่า บีบให้ลิเวอร์พูลรับแล้วรอโต้อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ไม่สามารถเปลี่ยนโอกาสให้เป็นประตูเพิ่มเติมได้
ช่วงเวลาที่แย่ที่สุดของซิตี้ คือช่วง 15 นาทีแรกของครึ่งหลัง โดยเฉพาะจังหวะเสียประตูตีเสมอ 2 – 2 ตั้งแต่ยังไม่ทันถึงนาที แนวรับเสียสมาธิ โดนโจมตีเร็ว แต่พอตั้งหลักได้ก็ค่อยๆ เล่นได้ดีขึ้น
ยังไม่นับอีก 2 จังหวะที่แมนฯ ซิตี้ น่าได้ประตูสุดๆ ทั้งลูกยิงของราฮีม สเตอร์ริ่ง แต่ถูก VAR ริบคืนอย่างฉิวเฉียด และนาทีสุดท้ายของช่วงทดเจ็บ ริยาด มาห์เรซ ยิงข้ามคาน ที่อาจจะเป็นประตูตัดสินชัยชนะได้เลย
“หงส์แดง” เล่นไม่เนี้ยบแต่เฉียบขาด
ลิเวอร์พูล กับแผนการเล่น 4-3-3 เช่นเดียวกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แน่นอนว่าบทถนัดของเจอร์เก้น คล็อปป์ คือ การไล่ “เพรสซิ่ง” ตั้งแต่แดนบน เมื่อตัดบอลได้ ก็จะบุกจู่โจมอย่างรวดเร็ว
ช่วงเริ่มต้นเกมในครึ่งแรก ดูเหมือนว่าแผงแนวรับ 4 ตัวของหงส์แดง เกิดอาการประหม่า ตั้งตัวไม่ติด แต่คุณสมบัติอย่างหนึ่งที่ลูกทีมของคล็อปป์มี คือ รู้จักหาวิธียิงประตูได้แม้รูปเกมเป็นรอง
ประตูตีเสมอ 1 – 1 เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ แข้งจอมแอสซิสต์ จ่ายบอลให้ดิเอโก้ โจต้า สังหารเข้าไป แสดงให้เห็นว่า โจต้าคือนักเตะ “อัจฉริยะ” ในกรอบเขตโทษที่ดีที่สุดคนหนึ่งของพรีเมียร์ลีก
อีกจุดหนึ่งที่ลิเวอร์พูลมีปัญหา คือ “แดนกลาง” ทั้งฟาบินโญ, จอร์แดน เฮนเดอสัน และติอาโก อัลคันทาร่า เป็นรองแดนกลางแมนฯ ซิตี้ชัดเจน พอโดนโจมตี ตัดบอลไม่ได้ มักจะทำฟาวล์จนเสียใบเหลือง
ช่วงพักครึ่ง ดูเหมือนว่ากุนซือชาวเยอรมัน จะไปปลุกให้ลูกทีมเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น และตอบสนองได้ยอดเยี่ยมหลังจากเสียประตูที่ 2 ในช่วง 10 นาทีท้ายของครึ่งแรก
เพียงแค่ 47 วินาทีของครึ่งหลัง ประตูไล่ตีเสมอ 2 – 2 ทีเด็ดของเฟอร์จิล ฟาน ไดค์ คือการครอสบอลยาวถึงแดนหน้า โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ เห็นซาดิโอ มาเน่ ขยับขึ้นไป แล้วแอสซิสต์ให้มาเน่ ซัดตุงตาข่าย
ตลอดช่วง 45 นาทีหลัง แนวรับของลิเวอร์พูลช่วยกันได้ดี ทำเอาเควิน เดอ บรอยน์ มิดฟิลด์แมนฯ ซิตี้ ถึงกับเล่นไม่ออก นอกจากนี้ยังช่วยประคองแผงมิดฟิลด์ เมื่อเสียบอลตรงกลาง ทำให้แนวรุกซิตี้ไม่มีโอกาสโจมตีมากนัก
มองไปข้างหน้ากับเส้นทางที่เหลือ
บทสรุปที่ได้จากเกมที่เอดิฮัด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อาจจะเสียดาย ที่ไม่สามารถเก็บชัยชนะได้ ขณะที่ลิเวอร์พูล 1 คะแนนที่ได้มา ด้วยรูปเกมที่ไม่ได้เหนือกว่า ก็ถือว่าน่าพอใจ เพราะยังคงตามหลังจ่าฝูง 1แต้มเท่าเดิม
และทั้ง 2 ทีม ยังต้องเจอกันอีกครั้งในเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ เสาร์ที่ 16 เมษายน แต่งวดนี้ต้องมีผู้ชนะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งทีมใดก็ตามที่เข้าชิงชนะเลิศ แน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อโปรแกรมพรีเมียร์ลีกด้วย
โปรแกรมพรีเมียร์ลีก 7 นัดสุดท้ายของแมนเชสเตอร์ ซิตี้
– 20 เมษายน VS ไบรท์ตัน (เหย้า)
– 23 เมษายน VS วัตฟอร์ด (เหย้า)
– 30 เมษายน VS ลีดส์ (เยือน)
– 8 พฤษภาคม VS นิวคาสเซิล (เหย้า)
– 11 พฤษภาคม VS วูล์ฟแฮมตัน (เยือน)
– 15 พฤษภาคม VS เวสต์แฮม (เยือน)*
– 22 พฤษภาคม VS แอสตัน วิลล่า (เหย้า)
(* ถ้าแมนฯ ซิตี้ เข้าชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ จะเลื่อนไปแข่งวันที่ 17 หรือ 18 พฤษภาคม)
โปรแกรมพรีเมียร์ลีก 7 นัดสุดท้ายของลิเวอร์พูล
– 19 เมษายน VS แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (เหย้า)
– 24 เมษายน VS เอฟเวอร์ตัน (เหย้า)
– 30 เมษายน VS นิวคาสเซิล (เยือน)
– 7 พฤษภาคม VS สเปอร์ส (เหย้า)
– 10 พฤษภาคม VS แอสตัน วิลล่า (เยือน)
– 15 พฤษภาคม VS เซาธ์แธมป์ตัน (เยือน)*
– 22 พฤษภาคม VS วูล์ฟแฮมป์ตัน (เหย้า)
(* ถ้าลิเวอร์พูล เข้าชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ จะเลื่อนไปแข่งวันที่ 17 หรือ 18 พฤษภาคม)
เกมที่เหลือของซิตี้ ต้องเจอกับทีมหนีตาย 3 นัดติดต่อกันทั้งวัตฟอร์ด, ลีดส์ และนิวคาสเซิล ส่วนการเจอวูล์ฟแฮมตัน กับเวสต์แฮม ที่กำลังลุ้นไปถ้วยยุโรป ก็ไม่ใช่งานง่าย
ขณะที่ฝั่งลิเวอร์พูล เริ่มจากการเจอทั้งแมนฯ ยูไนเต็ด และเอฟเวอร์ตัน ถึงแม้ว่าสภาพทีมของ 2 คู่ปรับสำคัญจะเละเทะขนาดไหน ก็ห้ามประมาทโดยเด็ดขาด และต้องไม่ลืมสเปอร์ส ที่ฟอร์มดีมากๆ ในช่วงหลัง
เมื่อเทียบโปรแกรมนัดที่เหลือของทั้ง 2 ทีม คนส่วนใหญ่มองว่าลิเวอร์พูล เจองานที่หนักกว่า ถ้าดูแค่ชื่อทีม แต่ถ้าจะเจาะลึกลงไปในรายละเอียดแล้ว คู่แข่งหลายๆ ทีม ยังมีลุ้นเป้าหมายของตัวเองทั้งสิ้น
และที่สำคัญ แม้ “เรือใบ” จะนำจ่าฝูงอยู่ก็จริง แต่นำแค่แต้มเดียว แถมผู้ที่ตามไล่ล่า ไม่ใช่ใครที่ไหน “หงส์แดง” นั่นเอง ความกดดัน ความผิดพลาด หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด อาจเกิดขึ้นได้
Author : จักรพันธ์ ภู่ทอง
Photo : The Telegraph
อ้างอิง :
– https://www.bbc.com/sport/football/61061827
– https://www.bbc.com/sport/football/61060907
– https://www.bbc.com/sport/football/60970965
– – https://www.telegraph.co.uk/football/2022/04/10/extraordinary-kevin-de-bruyne-peaking-just-right-time-man-citys/
– https://www.telegraph.co.uk/football/2022/04/10/manchester-city-vs-liverpool-player-ratings-kevin-de-bruyne/
– https://www.telegraph.co.uk/football/2022/04/10/manchester-city-vs-liverpool-live-score-premier-league-latest/
Football Editor