Categories
Column Feature

แม้ยังเรียกฟุตบอลว่า “ซอกเกอร์” อเมริกากำลังครอบครองพรีเมียร์ลีก

เดือนกันยายน 2003 มัลคอล์ม เกลเซอร์ เริ่มซื้อหุ้นสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3.17% และเพิ่มเป็น 15% เมื่อจบปี ก่อนตัวเลขขึ้นมาอยู่ที่ 75% ในเดือนพฤษภาคม 2005 และ 98% ภายในหนึ่งเดือนต่อมา มหาเศรษฐีจากนิวยอร์กเทคเทคโอเวอร์สโมสรสมบูรณ์แบบหลัง squeeze-out 2% สุดท้ายจากผู้ถือหุ้นรายย่อย รวมมูลค่า 790 ล้านปอนด์ (1.06 พันล้านเหรียญสหรัฐ)

เกลเซอร์เป็นเจ้าของสโมสรพรีเมียร์ลีกชาวอเมริกันคนแรก และ 20 ปีต่อมา สโมสรพรีเมียร์ลีก 11 ทีมมีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นอเมริกันชนทั้งสถานะบุคคลเดียว ครอบครัว คนดัง และกลุ่มทุนเอกชน

ขยับลงมาลีกเทียร์ 2 ของยอดพีระมิดฟุตบอลอังกฤษ มีอเมริกันชนถือหุ้นใหญ่สโมสรแชมเปียนชิพ 9 ทีม รวมถึงเร็กซ์แฮมของคนดังแห่งฮอลลีวูด ไรอัน เรย์โนลด์ส และร็อบ แมคเอลเฮนนีย์ (ร็อบ แมค) แม้แต่กิลลิ่งแฮม ทีมหัวขบวนลีก ทู ยังอยู่ภายใต้การบริหารของชาวอเมริกัน

กลุ่มคนจากอีกฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกกำลังเขย่าฟุตบอลอังกฤษรุนแรงกว่าที่บางคนคิด บ้านของแมนฯยูไนเต็ด, อาร์เซนอล, ลิเวอร์พูล แม้กระทั่งเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และมิลล์วอลล์ กลายเป็นอสังหาริมทรัพย์เพื่อการกีฬาที่ถูกต้องการมากที่สุดในโลก และชาวอเมริกันอยู่แถวหน้าในการแย่งชิงผืนแผ่นดินนี้

อิทธิพลจากอเมริกาจะส่งผลกระทบต่อลีกกีฬาชั้นนำของอังกฤษหรือไม่ จะถูกเปลี่ยนแปลงไปตามวัฒนธรรมของอเมริกันฟุตบอล เอ็นเอฟแอล และบาสเกตบอล เอ็นบีเอ หรือเปล่าอย่างเพดานค่าเหนื่อยรวม (salary cap), การเทรดนักกีฬา, ดราฟท์ดาวรุ่งจากมหาวิทยาลัย, การแข่งขันโปรแกรมปกติในต่างประเทศ บทความของมาร์ก โอเดน นักข่าวอาวุโสของ ESPN และ ESPN UK จะพาไปสำรวจเรื่องราวนี้กัน

อเมริกายึดพื้นที่พรีเมียร์ลีกและแชมเปียนชิพ

จาก 20 สโมสรในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2025-26 มีเพียงเบรนท์ฟอร์ด, ไบรท์ตัน และทอตแนม ฮอทสเปอร์ ที่ยังมีเจ้าของเป็นบุคคลและบริษัทอังกฤษ ขณะที่ 4 สโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ล้วนถือหุ้นใหญ่โดยกลุ่มอเมริกันได้แก่ ลิเวอร์พูล (เฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ป), แมนฯยูไนเต็ด (ตระกูลเกลเซอร์), อาร์เซนอล (โครเอนเก สปอร์ตส์ แอนด์ เอนเตอร์เทนเมนท์ หรือ KSE) และเชลซี (เคลียร์เลค แคปิตอล / ทอดด์ โบห์ลีย์) แม้กระทั่งแมนเชสเตอร์ ซิตี ของซิตี ฟุตบอล กรุ๊ป ซึ่งมีอาบู ดาบี ยูไนเต็ด กรุ๊ป ถือหุ้น 81% ยังมีซิลเวอร์ เลค กลุ่มทุนเอกชน ถือหุ้น 18%

ขอบคุณภาพจาก  https://www.thisisanfield.com/2025/09/brilliant-strategic-management-former-liverpool-ceo-on-reds-record-transfer-spend/

นอกจาก 3 ทีมพรีเมียร์ลีกที่มีอังกฤษเป็นเจ้าของสโมสร มี 5 ทีมที่ไม่มีอเมริกาเข้ามาเกี่ยวข้องได้แก่ นิวคาสเซิล (ซาอุดิ อาระเบีย), นอตติงแฮม ฟอเรสต์ (กรีซ), วูลฟ์ส (จีน), เวสต์แฮม (สหราชอารณาจักร/เชกเกีย) และซันเดอร์แลนด์ (ฝรั่งเศส/สวิตเซอร์แลนด์/อุรุกวัย)

ที่แชมเปียนชิพ นอกจากเร็กซ์แฮมของ 2 ดาวดังฮอลลีวูดแล้ว สนูป ด็อกก์ แรปเปอร์เบอร์ต้นๆ ของโลก ก็เพิ่งเข้ามาเป็นเจ้าของร่วมสโมสรสวอนซีเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หลังจากนักธุรกิจอเมริกัน เบรทท์ คราแวทท์ และเจสัน โคเฮน เทคโอเวอร์ทีมลูกหนังเวลส์ในเดือนพฤศจิกายน 2024 ขณะที่ทอม เบรดี ตำนานควอเตอร์แบ็ค เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเจ้าของสโมสรเบอร์มิงแฮม ซึ่งถือหุ้นใหญ่โดยทอม แวคเนอร์ จากไนท์เฮด แคปิตอล แมเนจเมนท์ บริษัทไฟแนนซ์ในนิวยอร์ก

ทีมอื่นๆ ที่อยู่ภายใต้การบริหารของกลุ่มอเมริกันได้แก่ อิปสวิช, มิลล์วอลล์, นอริช, พอร์ทสมัธ, เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และเวสต์ บรอมวิช อัลเบียน รวมทั้งสิ้น 9 สโมสร

ฟุตบอลอังกฤษมีอะไรดึงดูดใจคนอเมริกัน

ฟุตบอลอังกฤษมีอะไรเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจและเงินทุนจากอีกฟากหนึ่งของมหาสมุทร ความเป็นไปได้มีทั้งเสน่ห์เย้ายวนใจของเกมลูกหนังและประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน, ความตื่นเต้นเร้าใจของการแข่งขัน, อัตตา, โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนมหาศาล และอื่นๆ แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเรื่องเงิน

“จากมุมมองด้านการลงทุน ผลตอบแทนที่ผ่านมามีความน่าสนใจ และแมนฯยูไนเต็ดเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยม” คริส มานน์ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์และข้อมูลเชิงลึกด้านกีฬาของสปอร์ตโซโลจี กรุ๊ป ซึ่งให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการซื้อขายกิจการสโมสรพรีเมียร์ลีก ให้สัมภาษณ์กับ ESPN “ตระกูลเกลเซอร์เข้าซื้อกิจการสโมสรด้วยมูลค่าประมาณ 800 ล้านปอนด์ในปี 2005แต่เมื่ออินเนออสเข้ามาลงทุนเมื่อกุมภาพันธ์ 2024 มูลค่ากิจการรวมของแมนฯยูไนเต็ดอยู่ที่ตัวเลขสูงกว่า 4 พันล้านปอนด์ เพิ่มขึ้นถึง 400% ภายในเวลา 20 ปี”

“อีกประการหนึ่งที่สำคัญคือ นับตั้งแต่วิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2008 เศรษฐกิจของอเมริกาได้ฟื้นตัวและเติบโตในอัตราที่เร็วกว่าเศรษฐกิจยุโรปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหราชอาณาจักร เศรษฐกิจของอเมริกาได้สร้างกระแสเงินสดส่วนเกินให้กับนักลงทุนกลุ่มนี้ ซึ่งร่ำรวยพอที่จะเข้ามาลงทุนในวงการกีฬายุโรป”

แม้การตกชั้นและเลื่อนชั้นจะสร้างความตึงเครียดให้กับกลุ่มเจ้าของอเมริกัน แต่การลงเงินกับฟุตบอลอังกฤษกลับดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกีฬาอเมริกันอย่างเห็นได้ชัด

มานน์ยกตัวอย่างประเด็นนี้ว่า “สิ่งสำคัญอยู่ที่จุดเข้าซื้อต่ำกว่ามากในแง่การประเมินมูลค่าเช่น ทีมบาสเกตบอล บอสตัน เซลติกส์ ถูกขายไปในราคา 6.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ (4.54 พันล้านปอนด์) เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ขณะที่ทอดด์ โบห์ลีย์ และเคลียร์เลค ซื้อเชลซีเมื่อเดือนพฤษภาคม 2022 ด้วยราคาเพียง 3.36 พันล้านเหรียญสหรัฐ (2.5 พันล้านปอนด์)”

ที่ดินยังมีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนด้วย ตัวอย่างที่ดีได้แก่ อาร์เซนอล ซึ่งขายสนามเอมิเรตส์ให้โครเอนเกฯ ของ เคเอสอี กรุ๊ป ด้วยราคา 120 ล้านปอนด์ (162.5 ล้านเหรียญสหรัฐ) เมื่อปี 2022 ทำให้เจ้าของทีมได้อสังหาริมทรัพย์ชั้นเยี่ยมในหนึ่งมหานครชั้นยอดของโลก

ขอบคุณภาพจาก  https://ca.sports.yahoo.com/news/revealed-arsenal-eyeing-potential-emirates-200000864.html

ขณะที่แผนของแมนฯยูไนเต็ดในการสร้างสนามแห่งใหม่ ทำให้เกิดข้อเสนอสร้างบ้าน 17,000 หลังคาเรือนบนพื้นที่เดิมเมื่อสนามแห่งใหม่ถูกสร้างขึ้นใกล้ๆ และยังส่งผลให้ราคาบ้านพักเฉลี่ยในแมนเชสเตอร์ขยับขึ้นเป็น 242,000 ปอนด์ (หรือ 327,750 เหรียญสหรัฐ) จากการประกาศเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มองด้วยสายตาของผู้เข้าใจวิชาคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐาน ก็สามารถรับรู้มูลค่าที่เพิ่มขึ้นของที่ดินบริเวณสนามฟุตบอลและใกล้เคียง

นอกจากนี้ การครอบครองสโมสรพรีเมียร์ลีกยังเป็นช่องทางสู่อุตสาหกรรมบันเทิงที่สามารถสร้างกำไรมหาศาล

มานน์เสริมว่า “นักลงทุนมองว่าฟุตบอลไม่ใช่การลงทุนด้านกีฬาอย่างแท้จริง แต่เป็นการลงทุนด้านบันเทิงมากกว่า คุณสามารถมองฟุตบอลเป็นส่วนหนึ่งของวงการบันเทิงก็ได้ และทีมกีฬาได้พิสูจน์แล้วว่า สามารถรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ดีกว่าธุรกิจอื่นๆ”

“ถ้าคุณมองแฟนบอลเป็นลูกค้าของสินค้า พวกเขาถือว่าเป็นลูกค้าที่มีรอยัลตีหรือความภักดีอย่างสูง (ต่อสินค้านั้นๆ) ซึ่งหมายความว่า พวกเขายินดีและสามารถจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าหรือดูทีมของตนเองไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

“การถ่ายทอดสดเป็นอีกองค์ประกอบหนึ่ง การชมกีฬาแบบสดๆ เป็นหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่เหลืออยู่ ซึ่งมีเสน่ห์ดึงดูดใจผู้ชมจากรุ่นสู่รุ่น และเป็นกิจกรรมที่มีความโดดเด่นอย่างมากในตลาดบันเทิง”

ไซมอน จอร์แดน อดีตเจ้าของสโมสรคริสตัล พาเลซ ซึ่งถูกวูดดี จอห์นสัน เจ้าของทีมอเมริกันฟุตบอล นิวยอร์ก เจทส์ ซื้อหุ้นสโมสร 43% เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ยอมรับว่า รายได้ในอนาคตจากการถ่ายทอดสดเป็นปัจจัยสำคัญที่พลักดันให้เกิดการลงทุนในสโมสรพรีเมียร์ลีก

“ทอดด์ โบห์ลีย์ และพรรคพวก ไม่ได้เสียเงิน 2.5 พันล้านปอนด์เพื่อซื้อเชลซีในสถานะกลุ่มนักฟุตบอล แต่ซื้อเพราะเชลซีมีมูลค่าหลากหลายช่องทางที่จะสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าทั่วโลก และแน่นอน รายได้จากลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดกีฬาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ”

แฟนบอลเจ้าถิ่นคิดอย่างไรกับเจ้าของทีมอเมริกัน

แม้คนอเมริกันไม่ได้เข้ามาครอบครองสโมสรเพื่อผลประโยชน์ทางการเงินอย่างเดียว ยังมีความรักความลุ่มหลงมนตร์เสน่ห์ของฟุตบอลอังกฤษด้วย พร้อมมุ่งมั่นที่จะนำความสำเร็จมาสู่สโมสร แต่แฟนบอลมีความคิดเห็นอย่างไรกับเจ้าของสโมสรใหม่จากต่างแดน

ออคเดน นักข่าวอาวุโสของ ESPN ตอบว่าขึ้นอยู่กับใครเป็นผู้ตอบคำถาม ซึ่งความสำเร็จหรือล้มเหลวของทีมมีผลอย่างมาก มั่นใจได้เลยที่แฟนบอลของลิเวอร์พูลและเร็กซ์แฮมจะมีมุมมองต่อโมเดลเจ้าของสโมสรอเมริกันแตกต่างจากแฟนบอลแมนฯยูไนเต็ด ซึ่งเคยประท้วงต่อต้านตระกูลเกลเซอร์ทั้งในช่วงเวลาที่ดีและเลวร้าย

กองเชียร์เร็กซ์แฮมต่างรู้สึกดีหรือรัก “ร็อบ และ ไรอัน” ซึ่งสามารถพา “เดอะ เรด ดรากอนส์” ขึ้นดิวิชัน 3 ปีติดต่อกัน จากเนชันแนล ลีก, ลีก ทู, ลีก วัน และอีเอฟแอล แชมเปียนชิพ ซึ่งอยู่ต่ำกว่าพรีเมียร์ลีกเพียง 1 ระดับ

ขอบคุณภาพจาก  https://www.express.co.uk/sport/football/2047271/ryan-reynolds-rob-mcelhenney-wrexham-promotion

บรรดา “เดอะ ค็อป” ต่างมีความสุขกับเอฟเอสจีแม้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์และความโกรธแค้นตลอดหลายปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับราคาตั๋วและการมีส่วนพลักดันยูโรเปียน ซูเปอร์ลีก ซึ่งล้มเหลวในปี 2021 แต่เจ้าของสโมสร ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในบอสตัน ได้สร้างช่วงเวลาที่น่าจดจำมากมาย นอกเหนือแชมป์ลีกสูงสุดสมัยแรกในรอบ 3 ทศวรรษ และสมัยที่ 20 มากที่สุด (ร่วมกับแมนฯยูไนเต็ด) ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ รวมถึงแชมป์ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก 1 สมัย ล่าสุดเอฟเอสจียังเพิ่งทุ่มเงิน 415 ล้านปอนด์ (557.8 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในตลาดซัมเมอร์ที่ผ่านมา เพื่อสร้างทีมใหม่ยุคหลังเยอร์เกน คลอปป์ และต่อสัญญาใหม่กับ 2 ว่าที่ตำนานนักเตะ โม ซาลาห์ กับ เวอร์กิล ฟาน ไดค์

ต่างกับตระกูลเกลเซอร์ที่ไม่เคยได้รับความนิยมในหมู่แฟนบอล “เรด อาร์มี” เนื่องจากการเทคโอเวอร์ในปี 2005 ทำให้สโมสรที่เคยปลอดหนี้ต้องแบกรับภาระหนี้ถึง 660 ล้านปอนด์ (887 ล้านเหรียญสหรัฐ) และหลังจากเป็นเจ้าของสโมสรมา 20 ปี ตระกูลเกลเซอร์ได้ทำให้แมนฯยูไนเต็ดต้องสูญเสียเงิน 1.2 พันล้านปอนด์ (1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ไปกับดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายหนี้ และเงินปันผล

โฆษกของ The 1958 กลุ่มแฟนบอลแมนฯยูไนเต็ด กล่าวกับ ESPN ว่า “ฟุตบอลกำลังกัดกินตัวเอง สิ่งที่เกิดขึ้นที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นการเตือนไปยังสโมสรอื่นๆ สำหรับเรา มันคือความพยายามที่จะทำให้เกมที่เรารักกลายเป็นแบบอเมริกัน เราเตือนเรื่องนี้เมื่อสามปีก่อน และตอนนี้กำลังเป็นจริง หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป กีฬาจะถูกทิ้งให้ว่างเปล่า เป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ที่ไร้วิญญาณ ฟุตบอลจะไม่มีความหมายหากปราศจากแฟนๆ”

แต่ไม่ใช่ว่า “Americanization of football” จะเป็นแนวคิดที่สร้างความเลวร้ายไปเสียหมด

ปาราก มาราเธ ประธานสโมสรลีดส์ ยูไนเต็ด เคยให้สัมภาษณ์กับ ESPN เมื่อปี 2021 ไม่นานหลังจาก โฟร์ตีนายเนอร์ส เอนเตอร์ไพรส์ เข้าซื้อหุ้นสโมสร มาราเธได้สรุปกลยุทธ์ที่เขาคาดว่าจะนำมาใช้กับทีม

“ลีดส์ในวันนี้ทำให้ผมนึกถึงทีม (อเมริกันฟุตบอล ซาน ฟรานซิสโก) โฟร์ตีนายเนอร์ส เมื่อ 15 ปีก่อน ทั้งสองต่างมีฐานแฟนคลับและประวัติศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม 49ers ประสบความสำเร็จอย่างมากช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990 เช่นเดียวกับลีดส์ในยุค 1970 และทั้งสองทีมต่างก็มีปัญหาเล็กน้อยทั้งในและนอกสนาม”

“ขณะนั้น 49ers เล่นอยู่ในสนามกีฬาที่เก่าแก่ที่สุดในเอ็นเอฟแอลที่ยังไม่ได้ปรับปรุง เราสร้างสนามกีฬาแห่งใหม่ ซึ่งได้พลิกโฉม 49ers ไปอย่างสิ้นเชิง และเป็นสิ่งเดียวกับที่เราต้องการทำกับลีดส์”

“ผมมองไปยังเพื่อนร่วมชาติของเราในอเมริกา และสิ่งที่พวกเขาทำ สิ่งที่จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี ได้ทำกับกลุ่มของเขา (เอฟเอสจี) และสิ่งที่พวกเขาทำกับลิเวอร์พูล เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดีของการเติบโตและการพัฒนาสโมสร แต่ท้ายที่สุดแล้ว คุณก็ยังต้องสร้างมันขึ้นมาอย่างเหมาะสม”

สี่ปีต่อมา ลีดส์กลับมาสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้งหลังจากตกชั้นในปี 2023 และเดือนเมษายนที่ผ่านมา สโมสรได้ประกาศแผนการปรับปรุงและขยายสนามเอลแลนด์ โรด ให้ทันสมัย ​ตามรอยสโมสรที่เจ้าของทีมอเมริกันอย่างลิเวอร์พูล, บอร์นมัธ, เบิร์นลีย์ และฟูแลม เคยใช้มาแล้ว

ความต่างในแนวคิดของเจ้าของสโมสรอเมริกัน

นับตั้งแต่ซื้อเชลซีเมื่อ 3 ปีก่อน เคลียร์เลคและโบห์ลีย์ ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมทีมเบสบอล ลอส แอนเจลีส ดอดเจอร์ส ได้เพิ่มทีมวิเคราะห์ข้อมูลของสโมสรแบบเดียวกับที่ใช้ในวงการกีฬาของอเมริกา และเพิ่มอัตราความสำเร็จของเชลซีในการสรรหาผู้เล่น สโมสรยังนำรูปแบบสัญญาระยะยาวของนักกีฬาอเมริกันมาใช้ โดยเซ็นสัญญา 9 ปีในปี 2024 กับโคล พาลเมอร์ และนิโกลาส แจ็คสัน เช่นเดียวกับแมนฯซิตี ซึ่งเซ็นสัญญา 9 ปีกับฮาลันด์เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

ขอบคุณภาพจาก  https://www.skysports.com/football/news/11095/12783738/chelsea-transfers-todd-boehlys-recruitment-strategy-analysed

ที่เร็กซ์แฮม เรย์โนลด์สกับแมคเอลเฮนนีย์ใช้วิธีการที่บางเบากว่า เขาปล่อยฟุตบอลให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญ พวกเขาพุ่งเป้าไปที่การสร้างแบรนด์เร็กซ์แฮมผ่านสารคดี “Welcome to Wrexham” ซึ่งบันทึกการเติบโตจากเทียร์ 5 สู่ระดับ 2ภายในเวลาไม่กี่ปี

ร็อบ แมค กล่าวกับ ITV Sport “เราแค่ดูว่าสโมสรอื่นๆ ทำอะไรเพื่อให้ประสบความสำเร็จในอดีต แล้วพวกเขาทำอะไรจึงไม่ประสบความสำเร็จในอดีต และเราพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งนั้นให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้”

“และนั่นรวมถึงการอยู่ห่างจากธุรกิจฟุตบอลด้วย หน้าที่ของเราคือการบอกเล่าเรื่องราว หน้าที่ของเราคือการโปรโมทสโมสร แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องให้ความเคารพต่อคนที่รู้เรื่องฟุตบอล”

บิล โฟลีย์ เจ้าของสโมสรบอร์นมัธชาวอเมริกัน ได้ออกมาประกาศต่อสาธารณชนว่า ไม่ควรนำเกมการแข่งขันในฤดูกาลปกติไปเล่นในต่างประเทศ

โฟลีย์กล่าวกับ Sky Sports ว่า “ประเพณีที่นี่เข้มแข็งและสำคัญมากจนเราไม่ควรไปเล่นพรีเมียร์ลีกที่อเมริกาหรือประเทศอื่นๆ เราต้องเล่นที่นี่ ต่อหน้าแฟนๆ ของเรา ผมไม่รู้ว่ามีคนจำนวนเท่าไรที่อยากเล่นพรีเมียร์ลีกในอเมริกา แต่ผมไม่ใช่หนึ่งในนั้น”

ยังมีหลายสโมสรแชมเปียนชิพของอเมริกันชนที่สามารถขึ้นไปผงาดบนลีกสูงสุดในฤดูกาลหน้า รวมถึงทีมของเซเลบอย่าง สนูป ด็อกก์ (สวอนซี), เบรดี (เบอร์มิงแฮม) และร็อบกับไรอัน (เร็กซ์แฮม) 

ถ้าทำสำเร็จ พรีเมียร์ลีกจะเป็นสโมสรที่เจ้าของเป็นอเมริกันถึง 14 ทีม แต่นั่นหมายถึงต้องมี 3 สโมสรที่ไม่ใช่อเมริกันลงไปเล่นเทียร์ 2 เช่นกัน แต่เพียงได้ 3 ทีมเลื่อนชั้นขึ้นมา ก็สามารถสร้างสีสันให้พรีเมียร์ลีกได้ไม่ใช่น้อยแล้ว

และแน่นอนว่า ผู้บริหารระดับสูง ทรัพยากรบุคคลทุกระดับชั้น เงินทุน และความคิดจากอเมริกา ไม่มีวี่แววหยุดเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเพื่อขึ้นฝั่งของเกาะอังกฤษ เนื่องจากโอกาสทำเงินก้อนโตกับฟุตบอลอังกฤษ คือสิ่งที่ผลักดันให้ชาวอเมริกันสนใจกีฬาชนิดนี้

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer)