วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน 2024 ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน ชนะเลิศบุนเดสลีกาสมัยแรกในประวัติศาสตร์สโมสรที่ยาวนานเกือบ 120 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร วันที่ 1 กรกฎาคม 1904 โดยมีสารตั้งต้นจาก Wilhelm Hauschild เขียนจดหมายที่มีลายเซ็นของเพื่อนร่วมงาน 170 คน ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 1903 เพื่อขอการสนับสนุนในการก่อตั้งทีมกีฬาจากบริษัท Friedrich Bayer and Co. (ชื่อขณะนั้น หรือ Bayer AG ในปัจจุบัน) ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเคมีและยา ในเมืองเลเวอร์คูเซน ประเทศเยอรมนี
ในวันแห่งประวัติศาสตร์สโมสร เลเวอร์คูเซนถล่มทีมเยือน แวร์เดอร์ เบรเมน 5-0 คว้าแชมป์ลีกสูงสุดเมืองเบียร์แม้ฤดูกาล 2023-24 ยังเหลือการแข่งขันอีก 5 นัด แต่เพราะมีแต้มสะสม 79 คะแนน มากกว่ารองจ่าฝูง บาเยิร์น มิวนิก 16 คะแนน
นี่ถือเป็นผลงานที่เหลือเชื่อภายในเวลา 1 ปีครึ่งของ ชาบี อลอนโซ ซึ่งเพิ่งเข้ามาคุมทีมเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2022 ขณะที่เลเวอร์คูเซนรั้งอันดับ 2 จากท้ายตารางบุนเดสลีกา ก่อนพาทีมจบซีซัน 2022-23 ด้วยอันดับ 6 และได้สิทธิเล่นยูโรปา ลีก รอบแบ่งกลุ่ม
“เป็นเรื่องดีสำหรับฟุตบอลเยอรมนีที่การครองแชมป์ติดต่อกันยาวนานของบาเยิร์นมาถึงจุดสิ้นสุดเสียที” แฟนบอลเบรเมนคนหนึ่งที่สวมเสื้อที่มีชื่อของเคลาดิโอ ปีซาร์โร พิมพ์อยู่ด้านหลังเปิดใจกับนักข่าว
โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ชนะเลิศบุนเดสลีกาซีซัน 2011-12 ซึ่งนับจากนั้น บาเยิร์นครอบครองบัลลังก์ติดต่อกันถึง 11 ปี ซึ่งระหว่างนี้ หลายสโมสรผลัดเปลี่ยนขึ้นมาท้าทายไม่ว่าจะทีมแข็งแกร่งอย่างดอร์ทมุนด์, แอร์เบ ไลป์ซิก, เลเวอร์คูเซน หรือทีมที่มีประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่และมีแฟนบอลสนับสนุนระดับบิ๊กอย่าง ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต, โบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค หรือทีมที่มีเรื่องเล่าไม่มากนักอย่างอูนิโอน เบอร์ลิน, ไฟรบวร์ก, ฮอฟเฟนไฮม์ แต่ก็ไม่มีใครล้มยักษ์ใหญ่แห่งแคว้นบาวาเรียได้จนกระทั่งอลอนโซและลูกทีม Die Werkself (หรือ factory 11) ร่วมกันทำลายเป้าหมาย “12 ปีซ้อน” ของ Die Bayern ได้สำเร็จ
เลเวอร์คูเซนยังแชมป์ใหม่ป้ายแดงของบิ๊ก 5 ลีกของยุโรป นับตั้งแต่เลสเตอร์ ซิตี ซึ่งได้รับราคาต่อรอง 500-1 ชนะเลิศพรีเมียร์ลีก ซีซัน 2015-16 และไม่เพียงเป็นแชมป์บุนเดสลีกาสมัยแรกของสโมสร ทีมห้างขายยายังลบล้างฉายา “Neverkusen” ลงได้อีกด้วย
11 วันขยี้ฝันทริปเปิลแชมป์กับฉายา Neverkusen
แม้ก่อนหน้านี้ เลเวอร์คูเซนไม่เคยนั่งบัลลังก์ลีกสูงสุดเมืองเบียร์ แต่สังเวียนระดับทวีป พวกเขาเคยครองแชมป์ยูฟา คัพ (หรือยูโรปา ลีก) ซีซัน 1987-88 และรองแชมป์แชมเปียนส์ ลีก ซีซัน 2001-02 ส่วนภายในประเทศ Die Werkself เคยเป็นแชมป์เดเอฟเบ โพคาล ซีซัน 1992-93 และรองแชมป์อีก 3 สมัย รวมถึงครั้งหลังสุด ซีซัน 2019–20 พวกเขายังชนะเลิศบุนเดสลีกา 2 นอร์ธ ซีซัน 1978–79 และเลื่อนชั้นขึ้นมาแข่งขันสนามบุนเดสลีกาต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
ส่วนบุนเดสลีกา เลเวอร์คูเซนทำได้ดีที่สุดเพียง “รองแชมป์” ในซีซัน 1996–97, 1998–99, 1999–2000, 2001–02 และ 2010–11 รวม 5 ครั้งระหว่าง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้โดนล้อเลียน แปลงชื่อสโมสรจาก Leverkusenกลายเป็น Neverkusen (หรือ Visekusen ในภาษาเยอรมัน) เมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว
ย้อนกลับไปเมื่อโลกเข้าสู่ยุคมิลเลนเนียม วันที่ 20 พฤษภาคม 2000 เลเวอร์คูเซนต้องการเพียงเสมอในบ้านของทีมกลางตาราง อุนเตอร์ฮัคคิงก์ ในเกมสุดท้ายของซีซันเพื่อครอบครองถาดแชมป์ Die Meisterschale แต่ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ 0-2 หนึ่งประตูที่เสียเกิดจากการทำลูกเข้าประตูตัวเองของมิชาเอล บัลลัค ซึ่งต่อมากลายเป็นตำนานมิดฟิลด์ทีมชาติเยอรมนี ส่งให้บาเยิร์นเข้าป้ายวินเนอร์ มี 73 คะแนนเท่ากับเลเวอร์คูเซนแต่ประตูได้เสียเหนือกว่า 7 ลูก
ฉายา Neverkusen เกิดขึ้นอีก 2 ปีต่อมาในซีซัน 2001-02 เลเวอร์คูเซนประกอบด้วยสตาร์นักเตะอย่าง บัลลัค, ลูซิโอ, เซ โรแบร์โต, แบรนด์ ชไนเดอร์, อูล์ฟ เคียร์สเทน และดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ พวกเขากำลังลุ้น “ทริปเปิล แชมป์” แต่ความฝันพังมลายเพียงเวลา 11 วัน
Die Schwarzroten (หรือ The Black and Reds) นำ 5 คะแนนก่อนเข้าสู่ 3 นัดสุดท้าย แต่กลับแพ้เบรเมน 1-2 (เหย้า) และแพ้เนิร์นแบร์ก 0-1 (เยือน) ก่อนปิดท้ายด้วยชนะแฮร์ธา เบอร์ลิน 2-1 (เหย้า) ทำให้ถาดแชมป์ตกเป็นของดอร์ทมุนด์ที่เหนือกว่าแค่ 1 คะแนน ขณะที่เลเวอร์คูเซนมีประตูได้เสียดีกว่าถึง 10 ลูก
แค่นั้นยังไม่พอ เลเวอร์คูเซนยังแพ้ชาลเก 04 ด้วยสกอร์ 2-4 ในนัดชิงเดเอฟเบ โพคาล และแพ้เรอัล มาดริด 1-2 ในนัดชิงแชมเปียนส์ ลีก จากประตูชัยที่สวยระดับตำนานของซีเนอดีน ซีดาน ทั้งที่รอบก่อนๆ สามารถผ่านทีมแข็งๆอย่างบาร์เซโลนา, ยูเวนตุส, ลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาได้
เหตุผลที่ความอาภัพอับโชคของ Neverkusen มีหลากหลาย ขึ้นอยู่กับผู้ถูกถามเป็นใคร แต่บัลลัคเชื่อว่ามาจากสภาพจิตใจที่ไม่สามารถรับมือกับแรงกดดันได้ ขณะที่โธมัส เบอร์ดาริช กองหน้าชาวเยอรมัน พูดถึง 11 วันนั้นว่าเป็นช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดในชีวิตนักฟุตบอลอาชีพ
แต่ 22 ปีต่อมา อลอนโซและลูกทีมในฤดูกาล 2023-24 สามารถเปลี่ยนฉายา Neverkusen ให้กลายเป็น Winnerkusen และยังเดินบนเส้นทาง “ทริปเปิล แชมป์” โดยจะชิงแชมป์เดเอฟเบ โพคาล กับไกเซอร์สเลาเทิร์น คู่แข่งเทียร์ 2 วันที่ 25 พฤษภาคม 2024 ขณะที่ยูโรปา ลีก พวกเขาผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศและพบกับโรมา
อลอนโซเป็นคนที่ใช่แม้อ่อนประสบการณ์โค้ช
ในวันแห่งประวัติศาสตร์สโมสร 6 ชั่วโมงก่อนคิกออฟกับเบรเมน บาร์ใกล้ไบอารีนาคลาคล่ำไปด้วยแฟนบอลเจ้าถิ่น พลุสีแดงถูกจุดส่งควันอบอวลไปทั่วบริเวณ ป้ายชื่อถนนที่เลี้ยวเข้าสู่สนามเหย้าของเลเวอร์คูเซนถูกแฟนบอลใช้ป้ายสติกเกอร์ที่พิมพ์ว่า “Xabi-Alonso-Allee.” มาปิดทับเพื่อเป็นเกียรติแก่กุนซือสเปนวัย 42 ปี ซึ่งผ่านประสบการณ์เพียงโค้ชเรอัล โซเซียดาด ทีม บี ระหว่างปี 2019 – 2022 ก่อนรับงานทีมห้างขายยา
ย้อนกลับไปซีซัน 2021-22 เคราร์โด เซโอเน พาเลเวอร์คูเซนจบด้วยอันดับ 3 หลังจาก 5 ซีซันก่อนหน้าขึ้นถึงอันดับ 4ครั้งเดียว นั่นทำให้เกิดความหวังสูงกับซีซัน 2022-23 แต่เหตุการณ์ต่างราวหน้ามือหลังมือ กุนซือชาวสวิสพาทีมชนะ 2 นัด เสมอ 2 นัด แพ้ 8 นัดจาก 12 เกมแรกรวมทุกรายการ แถมพ่ายต่อเอลเวอร์สเบิร์ก ทีมดิวิชัน 3 ในเดเอฟเบ โพคาล รอบแรก และแพ้ 3 จาก 4 นัดแรกของแชมเปียนส์ ลีก สโมสรปลดเซโอเนพ้นตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2022 ขณะทีมอยู่อันดับรองโหล่ของบุนเดสลีกา
ไซมอน โรลเฟส อดีตมิดฟิลด์เลเวอร์คูเซน ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการกีฬาของสโมสร ให้สัมภาษณ์ว่า “มันน่าแปลกใจมากทั้งที่เราเก็บนักเตะดีๆไว้ได้หมด จบอันดับ 3 ซีซันที่แล้ว เล่นได้ดีมากๆด้วยซ้ำ ผมคิดว่าเราทำได้ถึง 80 ประตู มากที่สุดในประวัติศาสตร์เลย แต่จู่ๆเราก็ออกสตาร์ทได้ย่ำแย่”
“จากการวิเคราะห์ได้ข้อสรุปว่า เราจะหลุดพ้นสถานการณ์แย่นี้ได้อย่างไร เรารู้สึกว่าโค้ชคงไม่เวิร์กเหมือนเดิมแล้ว นั่นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง”
และวันเดียวกับที่เซโอเนจากไป สโมสรประกาศแต่งตั้งอลอนโซเป็นเทรนเนอร์คนใหม่ ซึ่งหลายคนมองว่า การให้โค้ชที่ไม่มีประสบการณ์คุมทีมชุดใหญ่เลยเป็นความเสี่ยง แต่โรลเฟสเฝ้ามองอลอนโซอย่างใกล้ชิดระยะเวลาหนึ่งแล้ว และหลังผ่านขั้นตอนสัมภาษณ์ เขาก็มั่นใจว่า อลอนโซเป็นคนที่ใช่
“เรามีข้อมูลดีๆเกี่ยวกับเขาอยู่ในมือแล้ว การพูดคุยกันช่วยยืนยันในสิ่งที่ผมคิด เราวิเคราะห์สไตล์การเล่นและการทำทีมของเขา อะไรบ้างที่สามารถคาดหวังได้ มันจะเข้ากับนักเตะที่มีอยู่อย่างไร รวมถึงบุคลิกภาพ”
“เขาสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่นี่ เราเป็นสโมสรที่สามารถสนับสนุนเขา เราเป็นสโมสรที่ดีมีเสถียรภาพ มีสตาฟโค้ชที่ดีคอยช่วยเหลือเขาได้ เป็นกลุ่มคนที่ดีมากๆ ต่อมาก็เป็นตำแหน่งของผม ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขา ผมพร้อมสนับสนุนเขาเต็มที่ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญ”
แต่แมตช์แรกที่อลอนโซคุมทีม เลเวอร์คูเซนแพ้ชาลเกยับ 0-4 ตามด้วยปราชัยต่อปอร์โตและแฟรงค์เฟิร์ตด้วยสกอร์รวม 1-8 โดย 7 นัดแรกรวมทุกรายการ (บุนเดสลีกากับแชมเปียนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม) ทีมของอลอนโซเก็บมาได้เพียง 6คะแนนเท่านั้น
ผู้อำนวยการกีฬาย้อนความรู้สึกตอนนั้นว่า “1 เดือนแรก มันเป็นช่วงเวลาที่หนาหนัก แต่ข้อดีคือช่วยให้เราเรียนรู้และรู้จักกันดีขึ้น ช่วยให้เราตระหนักว่าควรทำงานด้วยกันอย่างไร”
ทุกอย่างดีขึ้นเมื่อถลุงทีมอันดับ 4 ซีซันนั้น อูนิโอน เบอร์ลิน 5-0 เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2022 โดยถ้วยสโมสรยุโรปที่ตกลงไปเล่นยูโรปา ลีก เลเวอร์คูเซนเอาชนะโมนาโก, เฟเรนซ์วารอส และยูเนียน แซงต์ กิลลัวส์ ผ่านเข้าถึงรอบรองขนะเลิศและแพ้โรมา ส่วนบุนเดสลีกา อลอนโซดันทีมจากอันดับ 17 ขึ้นมาปิดซีซันด้วยอันดับ 6 และจบซีซันต่อมาด้วยถาดแชมป์ทั้งที่ยังเหลือโปรแกรม 5 นัด
เหตุปัจจัย 4 ข้อ สู่ความสำเร็จของทีมห้างขายยา
ESPN สื่อใหญ่ในอเมริกา ได้วิเคราะห์รากฐานสำคัญ 4 ข้อที่ส่งให้เลเวอร์คูเซนไปสู่ความสำเร็จเหนือความคาดหมาย
ข้อ 1 เป็นการขาย ไค ฮาแวร์ตซ์ ให้เชลซีเมื่อปี 2020 ด้วยค่าตัวถึง 70 ล้านยูโร ซึ่งถูกนำมาลงทุนต่อได้อย่างสุดคุ้ม ขณะที่นักเตะจากยุคเดียวกันอย่าง โยนาธาน ทาห์ และเอเซเกล ปาลาซิออส ยังมีบทบาทสำคัญกับทีมจนถึงตอนนี้
ข้อ 2 ต้องมอบเครดิตมากมายให้กับ ไซมอน โรลเฟส สำหรับผลงานในตลาดซัมเมอร์ที่ผ่านมาเช่น อเล็กซ์ กรีมัลโด,กรานิต ชากา, โยนาส ฮอฟมันน์, เนธาน เทลลา และวิคเตอร์ โบนิเฟซ ทุกคนต่างให้ผลลัพธ์เชิงบวกแก่เลเวอร์คูเซนในฤดูกาลนี้
ข้อ 3 ฟลอเรียน เวิร์ตซ์ เป็นอัญมณีเม็ดสำคัญของเลเวอร์คูเซนนับตั้งแต่เลื่อนชั้นจากทีม ยู-17 ขึ้นมาเล่นให้ชุดใหญ่ครั้งแรกเมื่อ 18 พฤษภาคม 2020 ในเกมเยือนที่เบรเมน ทำลายสถิตินักเตะอายุน้อยที่สุดของสโมสรที่เล่นบุนเดสลีกาของฮาแวร์ตซ์ ที่ 17 ปี 15 วัน และต่อมาวันที่ 6 มิถุนายน ก็ทำประตูแรกให้ทีมห้างขายยาและเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ทำสกอร์ได้ในประวัติศาสตร์บุนเดสลีกาที่ 17 ปี 34 วัน จากเกมเหย้าที่แพ้บาเยิร์น 2-4 ประตูเกิดขึ้นนาทีที่ 89
ข้อ 4 แน่นอนย่อมเป็น ชาบี อลอนโซ ซึ่งหลายคนเห็นตรงกันว่าสโมสรโขคดีมากที่ได้ตัวตำนานมิดฟิลด์ ซึ่งเล่นให้ทีมชาติสเปนถึง 114 นัด และเคยร่วมบิ๊กทีมอย่างลิเวอร์พูล, เรอัล มาดริด และบาเยิร์น
ลูกัส ฮราเด็ตสกี นายทวารทีมชาติฟินแลนด์ ซึ่งร่วมทีมมาตั้งแต่ปี 2018 เปิดใจกับ ESPN ว่า “ผมเคยคิดว่ารถไฟแล่นออกไปแล้วเสียอีก แต่พอเราได้โค้ชและการเสริมผู้เล่นจากตลาด นั่นทำให้ผมเกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาอีกครั้ง”
เลเวอร์คูเซนยังจะประสบความสำเร็จอีกได้ไหม
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา การเฉลิมฉลองของเลเวอร์คูเซนย่อมมีวันสุดสิ้น คำถามคือ Die Werkself จะไปได้ไกลกว่าซีซัน 2023-24 ไหม หรือเป็นเพียงซินเดอเรลลาผู้เลอโฉมก่อนเวลาเที่ยงคืน
บิล คอนเนลลี นักข่าว ESPN มองว่าขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยบางข้อ เริ่มจากเวิร์ตซ์ ซึ่งถูกตีราคาไว้สูงถึง 100 ล้านยูโร แม้แนวรุกดาวรุ่งวัย 20 ปี ยังมีสัญญากับสโมสรถึงกลางปี 2027 และน่าจะเป็นเป้าหมายเนื้อหอมในตลาดซัมเมอร์ปีหน้า ถ้าเลเวอร์คูเซนจะรักษาความสำเร็จได้นานๆ ควรรักษาเวิร์ตซ์ให้ได้
สถิติรวมทุกรายการซีซันนี้ สิ้นสุดที่แมตช์กับเบรเมน เวิร์ตซ์ลงสนาม 42 นัด ทำ 17 ประตู สูงเป็นอันดับ 2 ของทีม และ 18แอสซิสต์ มากที่สุดในทีม แต่เหนือกว่านั้น เวิร์ตซ์พาบอลเข้าไปยังโซน final third ถึง 426 ครั้งทั้งการจ่ายบอลและเลี้ยงบอลแบบ progressive เป็นตัวเลขที่เหนือกว่าเพื่อนทุกคน ทิ้งห่างอันดับ 2-3 เจเรมี ฟริมปง 304 ครั้ง และกรีมัลโด 250ครั้ง
แม้มีปัญหาเอ็นไขว้หน้าเข่า ถูกจำกัดด้วยจำนวนการลงสนาม แต่ค่าเฉลี่ยต่อ 90 นาทีกลับดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อ 12.2 ครั้งในซีซันนี้เทียบกับ 6.8 ครั้ง ซีซันที่แล้ว และ 7.5 ครั้ง ซีซัน 2021-22
แม้เวิร์ตซ์ยังจะอยู่ในทีมป้องกันแชมป์บุนเดสลีกา แต่เลเวอร์คูเซนจะสามารถรักษาขุนพลสำคัญไว้ครบไหมในซีซัน 2024-25 อย่างเช่น ชากา, กรีมัลโด, ฮอฟมันน์, โรเบิร์ต อันดริช รวมถึงนักเตะที่อยู่กับทีมยาวนานอย่างทาห์และฮราเด็ตสกี ขณะที่มีข่าวออกมาว่า สโมสรพรีเมียร์ลีกให้ความสนใจอย่างจริงจังกับเอ็ดมงด์ ทัปโซบ และฟริมบง แต่คอนเนลลีเชื่อว่า ปกติแล้วสโมสรมักไม่หวั่นหากเสียสตาร์ไปสัก 1-2 คน แล้วก็จ่ายเงินน้อยกว่าไปซื้อผู้เล่นที่มีความแตกต่างไม่มากนัก
แต่ตัวแปรที่สำคัญสูงสุดคือ อลอนโซ ซึ่งตัดสินใจสานต่อโปรเจ็คท์ที่เลเวอร์คูเซน ไม่ย้ายไปคุมทีมลิเวอร์พูลหรือบาเยิร์น อย่างน้อยก็ซีซัน 2024-25 คงต้องติดตามต่อไปว่า อลอนโซจะทำได้เหมือนเยอร์เกน คลอปป์ ไหม ซึ่งนำแชมป์บุนเดสลีกามาให้ดอร์ทมุนด์ 2 ปีติดต่อกันในซีซัน 2010-11 และ 2011-12
อย่างไรก็ตาม เลเวอร์คูเซนจะทำให้เป็นจริงหรือไม่ขึ้นอยู่กับบาเยิร์นไม่ใช่น้อย แม้ทีมเสือใต้จะเพลี่ยงพล้ำเสียถาดแชมป์ที่รักษาไว้นาน 11 ปี แต่บาเยิร์นยังเป็นบาเยิร์น ซึ่งล่าสุดล้มอาร์เซนอล ผ่านเข้าไปตัดเชือก แชมเปียนส์ ลีก กับเรอัล มาดริด รวมถึงดอร์ทมุน์กับไลป์ซิก ซึ่งเพียรพยายามล้มบัลลังก์ของบาเยิร์น แม้กระทั่งอาจมีทีมที่สร้างปาฏิหาริย์เหลือเชื่อปรากฎขึ้นอย่างซตุ๊ตการ์ท ซึ่งอยู่อันดับ 3 ตอนนี้ทั้งที่ซีซันที่แล้ว จบอันดับ 16 แต่สามารถต่ออายุบุนเดสลีกาได้ด้วยการชนะฮัมบวร์ก จากลีก 2 ในแมตช์เพลย์ออฟ
ทั้งหมดนี้ทำให้การแย่งถาดแชมป์ Die Meisterschale มีความสนุกสนานขึ้นในรอบหลายๆปีสำหรับแฟนบอลบุนเดสลีกาที่ไม่ใช่กองเชียร์บาเยิร์น
เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer)
Senior Football Editor