โธมัส มุลเลอร์ กองหน้าจอมเก๋าทีมชาติเยอรมนี เพิ่งฉลองวันเกิดปีที่ 33 ไปเมื่อวันอังคารที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา พร้อมลงสนามนัดที่ 2 แชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ที่จบลงด้วยชัยชนะ 2-0 ของบาเยิร์น มิวนิก ที่มีต่อบาร์เซโลนา
บุนเดสลีกาฤดูกาล 2022-23 เริ่ม 6 นัดแรก มุลเลอร์อยู่ในรายชื่อผู้เล่น 11 คนแรก 5 นัด ลงสนามในฐานะตัวสำรอง 1 นัด มีผลงาน 1 ประตู 2 แอสซิสต์ แม้เป็นหัวใจของทีมแต่ด้วยวัยช่วงปลายอาชีพ ยูเลียน นาเกลส์มันน์ กุนซือรุ่นพี่ที่อายุแก่กว่าสองปี เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องจัดสรรเวลาใช้งานมุลเลอร์ในสัปดาห์ที่ต้องเตะควบทั้งบุนเดสลีกาและบอลถ้วยยุโรป
เกมเยือนยูเนียน เบอร์ลิน (3 ก.ย.) มุลเลอร์ลงเล่น 28 นาทีสุดท้าย เกมเสมอ 1-1, เกมเยือนอินเตอร์ มิลาน (7 ก.ย.) มุลเลอร์เล่นทั้งแมตช์ เสือใต้ชนะ 2-0, เกมเหย้ากับสตุ๊ตการ์ท (10 ก.ย.) มุลเลอร์ถูกเปลี่ยนออกนาทีที่ 69 เกมเสมอ 2-2 และล่าสุดเล่นในบ้านกับบาร์ซา นาเกลส์มันน์กลับไปใช้งานมุลเลอร์ 90 นาทีอีกครั้ง ทีมชนะ 2-0
นาเกลส์มันน์มีลูกทีมที่สามารถมองว่าเป็นชุดที่แข็งแกร่งที่สุดในลีกเมืองเบียร์ การโรเตชันนักเตะจึงสมเหตุสมผล แต่ลึก ๆ เขาตระหนักดีว่าการขาดมุลเลอร์ส่งผลต่อบาเยิร์นอย่างไร การเคลื่อนบอลไปข้างหน้าบางจังหวะไม่เร็วไปก็ช้าไป การหาพื้นที่ว่างไม่ดีเหมือนเคย
มุลเลอร์มีตำแหน่งการเล่นที่หลากหลายแม้ transfermarkt ระบุว่าตำแหน่งหลักของเขาคือกองหน้าตัวต่ำ แต่สามารถขยับไปเล่นมิดฟิลด์ตัวรุกและปีกขวาได้ด้วย แต่ความจริงหลายนัด สตาร์วัย 33 ปี ถูกจับให้ยืนเป็นศูนย์หน้าตัวเป้า คือเล่นได้ทั้งตำแหน่งเบอร์ 10, 9 หลอก, 9 แท้ และ 7 จึงอาจยกให้มุลเลอร์เป็นหนึ่งในกองหน้าอัจฉริยะก็ว่าได้ เพียงแต่ความโด่งดังของเขาในทีมบาเยิร์นถูกบดบังด้วยจำนวนประตูที่มากมายของโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี ยอดดาวซัลโววัย 34 ปี ซึ่งเล่นด้วยกันนานแปดปี (2014-2022) ก่อนสตาร์ทีมขาติโปแลนด์ย้ายไปร่วมทีมบาร์เซโลนา
เลวานดอฟสกีเล่นให้บาเยิร์นรวมทุกรายการ 375 นัด ทำสกอร์มากถึง 344 ประตู เฉลี่ยเกือบนัดละหนึ่งประตู แต่ในบรรดาเพื่อนร่วมทีมเสือใต้ ไม่มีใครแอสซิสต์ให้เขามากไปกว่ามุลเลอร์ “ทุก ๆ วินาที(ของการแข่งขัน) โธมัสรู้ดีว่าผมอยู่ตรงไหนและเคลื่อนที่ไปอย่างไร” เลวานดอฟสกีกล่าวถึงอดีตคู่หูคนรู้ใจ
เลวานดอฟสกีเป็นหนึ่งในปรากฎการณ์ของวงการลูกหนังโลกอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ เยอร์เกน คลินส์มันน์ อดีตผู้จัดการทีมบาเยิร์น ยกย่องให้มุลเลอร์มีส่วนในความสำเร็จนั้นอย่างมาก “ทั้งสองประสานงานกันได้อย่างเหลือเชื่อเป็นเวลาหลายปี เหมือนทั้งคู่มีสัญชาตญาณที่เชื่อมต่อถึงกันและกัน พวกเขารู้ดีว่าอีกคนกำลังอยู่ตรงไหน(ของสนามแข่งขัน)”
“ผมมองว่านั่นเป็นบทบาทที่เหมาะกับโธมัสดีมาก ๆ เพราะเขาไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่ต้องเล่นในพื้นที่แถวหน้าสุด เขาสามารถเคลื่อนตัวมาจากด้านหลังหรือไม่ก็ด้านข้าง เขามีคุณสมบัติที่สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์หรือใครก็ตามที่อยู่ใกล้ตัวเขา”
เมื่อกองหน้าคนสำคัญอย่างเลวานดอฟสกีย้ายออกไปจากนครมิวนิก ซึ่งคงไม่มีใครแปลกใจหากเห็นมุลเลอร์ไม่ใช่คนเดิมแต่ความเป็นจริงคือไม่ใช่ มุลเลอร์ยังเป็นนักเตะที่สร้างโอกาสจากโอเพนเพลย์ได้มากที่สุดในทีมบาเยิร์นฤดูกาลนี้
มุลเลอร์พูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันว่า “สิ่งที่ผมทำก็มีเพียงมองหาผู้เล่นอีกคนเท่านั้นเอง (เช่นสองแอสซิสต์ที่ทำได้ในการแข่งขันกับไอน์ทรัค แฟรงเฟิร์ต) หรืออาจเป็นตัวผมเองที่ต้องวิ่งไปรับการจ่ายบอล (เช่นหนึ่งประตูที่ทำได้ในเกมกับโวล์ฟสบวร์ก)”
เวลาเปลี่ยน เพื่อนร่วมทีมเปลี่ยน แต่มุลเลอร์ยังเป็นมุลเลอร์คนเดิม
เป๊ป กวาร์ดิโอลา ซึ่งเคยคุมทีมบาเยิร์นระหว่างปี 2013-2016 พูดถึงจุดแข็งของมุลเลอร์ว่าอยู่ที่ “การมองโลกในแง่ดีและการมองหาโอกาส” ซึ่งเป็นคุณภาพในแง่จิตใจมากกว่าร่างกายที่ทำให้มุลเลอร์เหนือกว่าและสร้างความปวดหัวให้กับกองหลังฝ่ายตรงข้าม
เยอร์เกน คล็อปป์ ซึ่งเคยพาทีมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ปะทะแข้งกับมุลเลอร์และพลพรรคเสือใต้ ชี้ไปที่ความเฉลียวฉลาดของมหาเทพแห่งการแอสซิสต์ “การเคลื่อนที่ของเขาบางครั้งก็ดูเหมือนเป็นอะไรที่ง่าย ๆ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับถูกต้อง แม่นยำ และแยบยลอย่างไม่น่าเชื่อ เขาเป็นนักเตะที่ชาญฉลาดและเปี่ยมประสิทธิภาพแบบสุด ๆ”
ทักษะที่สูงสุดหรืออาจใช้คำว่าอัจฉริยะของมุลเลอร์ บางครั้งนำความปวดเศียรเวียนเกล้ามาให้กับกวาร์ดิโอลาเมื่อครั้งคุมทีมบาเยิร์น เพราะขณะที่ยอดกุนซือขึ้นชื่อเรื่องเป็นโค้ชที่หมกหมุ่นกับการวางตำแหน่งที่ลูกทีมต้องเป็นไปตามนั้นแบบเป๊ะ ๆ แต่มุลเลอร์ก็เป็นนักเตะประเภทพริ้วไหวมีความอิสระเสรี หลายครั้งออกแนวเล่นแร่แปรธาตุประหนึ่งนักมายากล ซึ่งแน่นอนวิถีทางของทั้งสองต่างกันคนละขั้ว
ลักษณะเฉพาะตัวของมุลเลอร์อาจมองว่าเป็นนักฟุตบอลที่มีความคิดสร้างสรรค์ระดับสูงได้เหมือนกัน โดยอ้างอิงจากสถิติข้อมูลที่บุนเดสลีกาบันทึกไว้ได้ข้อสรุปว่า มุลเลอร์เป็นนักเตะที่ทำแอสซิสต์จากโอเพนเพลย์ได้มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในฤดูกาล 2021-22 หรือหากนับเฉพาะลีกระดับเมเจอร์ในทวีปยุโรป มีลิโอเนล เมสซี เพียงคนเดียวที่ผ่านบอลให้เพื่อนทำสกอร์ได้มากกว่ามุลเลอร์
นอกจากแอสซิสต์อันดับหนึ่งแล้ว มุลเลอร์ยังสร้างโอกาสจากโอเพนเพลย์มากกว่าใครในบุนเดสลีกาซีซันที่ผ่านมา ด้วยจำนวนที่ทิ้งห่างเพื่อนร่วมอาชีพอย่างมาก
⚽️ ว่าที่ตำนานนักเตะ “วัน-แมน-คลับ” ของบาเยิร์น
ด้วยวัย 33 ปี มุลเลอร์ยังไม่มีทีท่าต้องการเก็บสตั๊คไปค้าแข้งกับสโมสรอื่นขณะที่ยังเหลือสัญญากับบาเยิร์นถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2024 ซึ่งต่างกับเลวานดอฟสกีที่ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนว่าต้องการให้สโมสรปล่อยเขาไปในตลาดซัมเมอร์ที่ผ่านมา จึงมีความเป็นไปได้สูงที่มุลเลอร์อาจอำลาวงการด้วยการเป็น วัน-แมน-คลับ เพลเยอร์
มุลเลอร์เริ่มต้นเส้นทางนักฟุตบอลระดับเยาวชนที่สโมสร TSV Pähl จนกระทั่งอายุ 10 ขวน เขาเดินทางห่างจากบ้าน 50กิโลเมตรเพื่อร่วมทีมบาเยิร์นเมื่อปี 2000 เขาพัฒนาฝีเท้าผ่านระบบเยาวชนของสโมสรและเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่คว้าตำแหน่งรองแชมป์บุนเดสลีกา รุ่นอายุต่ำกว่า 19 ปี เมื่อปี 2007
มุลเลอร์ลงสนามให้ทีมสำรองของบาเยิร์นครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2008 และทำประตูได้ทันที พร้อมลงสนามให้ทีม ยู-19ไปด้วย และซีซันต่อมา 2008-09 ทีมสำรองของบาเยิร์นได้รับคัดเลือกให้เล่นลีกา 3 ที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ มุลเลอร์สถาปนาเป็นนักเตะหลักของทีม เล่น 32 นัดจากโปรแกรมทั้งหมด 38 นัด ทำสกอร์ได้ 15 ประตู ครองอันดับ 5 ของตารางดาวซัลโวลีก
ฤดูกาลเดียวกัน เยอร์เกน คลินส์มันน์ ดึงเจ้าหนุ่มมุลเลอร์มาร่วมฝึกซ้อมปรีซีซันกับทีมชุดใหญ่ของบาเยิร์น และได้สัมผัสบรรยากาศบุนเดสลีกานัดแรกในวันที่ 15 สิงหาคม 2008 โดยลงมาแทนมิโรสลาฟ โคลเซ ช่วงสิบนาทีสุดท้ายของการแข่งขันกับทีมฮัมบวร์ก
มุลเลอร์ยังได้เล่นบุนเดสลีกาลีกอีกสามนัดในซีซันนั้น และยังได้ลงแข่งแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกในวันที่ 10 มีนาคม 2009 เมื่อได้เปลี่ยนตัวกับบาสเตียน ชไวซไตเกอร์ นาทีที่ 72 ของเกมที่ถล่มสปอร์ติง ลิสบอน 7-1 และยังเป็นคนทำประตูปิดท้ายแมตช์ด้วย
เดือนกุมภาพันธ์ 2009 มุลเลอร์ได้เซ็นสัญญาอาชีพกับทีมชุดใหญ่ของบาเยิร์น มีระยะเวลาสองปี เริ่มจากฤดูกาล 2009-10 เป็นต้นไป และชีวิตถัดจากนั้นก็ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มุลเลอร์มีโอกาสลงสนามถึง 52 นัดรวมทุกรายการในซีซันแรก หลุยส์ ฟาน กัล ซึ่งคุมทีมบาเยิร์นระหว่างปี 2009-2011 เคยหลุดประโยคสำคัญว่า “มุลเลอร์จะได้ลงเล่นเสมอ”
คลินส์มันน์กล่าวถึงนักเตะที่เขาให้โอกาสลงเล่นกับชุดใหญ่นัดแรกเมื่อปี 2008 ว่า “โธมัส มุลเลอร์ เป็นนักฟุตบอลที่พิเศษมาก ๆ”
“เขาเติบโตผ่านช่วงเวลามาหลายปีจนเป็นไอคอนของบาเยิร์นเคียงข้างมานูเอล นอยเออร์ แม้ตอนนี้เรามี โยชัว คิมมิช ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำกลุ่มนักเตะ แต่โธมัสยังมีบุคลิกโดดเด่นและส่งอิทธิพลทางบวกในการสร้างเคมีที่ลงตัวให้กับทีมของเรา”
“นั่นแหละเป็นบทบาทหน้าที่ของเขา เขายังคงยิ่งใหญ่มาก ๆ เสมอ มันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรเลยว่าเขาจะทำสกอร์และแอสซิสต์ได้มากแค่ไหน แต่เป็นความเป็นผู้นำของเขาต่างหากที่ถูกพัฒนาขึ้นมาพร้อมกับสโมสรบาเยิร์น มิวนิก ซึ่งเป็นเรื่องราวแสนมหัศจรรย์ ทุกช่วงเวลาในอาชีพนักฟุตบอลของเขาได้สร้างเรื่องราวแสนมหัศจรรย์ขึ้นมา”
รวมถึงเกียรติประวัติความสำเร็จทั้งหลายอันได้แก่ แชมป์บุนเดสลีกา 11 สมัย, แชมป์แชมเปียนส์ลีก 2 สมัย รางวัลรองเท้าทองคำในการลงสนามฟุตบอลโลกสมัยแรก (ปี 2010) และเหรียญทองในเวิลด์คัพสมัยที่สอง (ปี 2014)
“เขาสามารถภาคภูมิใจในตัวเองได้แบบสุด ๆ ไปเลย และผมหวังว่าเขาจะเพิ่มโทรฟี่อีกสักสองรางวัล แน่นอนเป้าหมายใหญ่ของเขาตอนนี้คือ เวิลด์คัพ เดินทางสู่ประเทศกาตาร์ และสร้างผลงานยอดเยี่ยมให้กับทีมชาติเยอรมนี”
“ทั้งหมดทั้งปวงเป็นวัตถุดิบมากมายเพียงพอที่จะถูก NETFLIX นำไปสร้างเป็นซีรีส์เรื่องเยี่ยมในวันข้างหน้า” คลินส์มันน์ตบท้ายการให้สัมภาษณ์ด้วยเสียงหัวเราะว่า “โธมัส มุลเลอร์ เดอะ ซีรีส์ เป็นชื่อหนังเรื่องนั้น”
เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer)
Senior Football Editor