Categories
Football Tactics

สรุป 4 วิธี การดูฟุตบอลขั้นพื้นฐานอย่างเข้าใจ

หัวข้อนี้เป็น 1 ในหัวข้อ Football Tactics ที่ผมให้น้ำหนักค่อนข้างมาก และมองว่าเป็น “เทมเพลท” สำคัญสำหรับทุก ๆ คนในการจับประเด็นเพื่อดูบอลในเชิงวิเคราะห์เกมการแข่งขันที่สามารถนำไปต่อยอดพัฒนาทักษะการอ่านเกมให้ได้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปในอนาคตได้อีกด้วย

ข้อมูลครั้งนี้ ผม “เรียบเรียง” มาจากเนื้อหาโดย “โค้ชน้อย” อนันต์ อมรเกียรติ อดีตกุนซือทีมชาติไทย, สโมสรธนาคารกรุงเทพ, ผู้อำนวยการอคาเดมี สโมสรพัฒนา เอฟซี ฯลฯ ในอดีต ที่ได้เขียนบันทึกไว้ด้วยลายมือท่านเองมาฝากกันครับ

“โค้ชน้อย” อนันต์ อมรเกียรติ อดีตกุนซือทีมชาติไทย, สโมสรธนาคารกรุงเทพ, ผู้อำนวยการอคาเดมี สโมสรพัฒนา เอฟซี ฯล

โดยท่านอาจารย์ได้เรียบเรียงองค์ความรู้ไว้ 4 ข้อสำหรับการดูฟุตบอลเบื้องต้นให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ไว้ดังนี้ :

1. ดูการเล่นเกมรุก

ข้อนี้ไม่ได้แปลว่า ได้บุก ได้ยิง ได้เลี้ยง ได้ส่ง ได้ครองบอลมากมาย ได้ฟรีคิก ฯลฯ เท่านั้น แต่โดยหลัก ๆ ที่ต้องดูแบบพื้นฐานประกอบด้วย : 

1.1 รูปแบบการรุก เช่น ถนัดเล่นลูกสั้น หรือยาว, ชอบเจาะตรงกลาง หรือริมเส้น, ค่อย ๆ สร้างเกม หรือเล่นเร็วทางลึกไปข้างหน้าทันที, มีโต้กลับ (เคาน์เตอร์แอทแทค) ด้วยไหม

1.2 การประสานงานของตำแหน่งต่าง ๆ เป็นอย่างไร ประมาณว่า มีชิ่งหนึ่งสอง, มีการเล่นสามเหลี่ยม/สี่เหลี่ยม หรือการทดแทนตำแหน่งกันหรือไม่ การวิ่งตัวเปล่า การวิ่งทะลุช่อง หรือใช้รูปแบบใดบ้างในการเคลื่อนบอลไปข้างหน้า

1.3 การเคลื่อนที่ของผู้สำคัญ เช่น เพลย์เมคเกอร์ หรือกองหน้า ว่ามีบทบาทอย่างไรในเกม อยู่ตรงไหนของสนาม มีแท็คติกส์อะไร เช่น False 9, Inverted Full Back, การใช้พื้นที่ half space ฯลฯ

1.4 เริ่มสร้างเกมรุกแบบไหน ตั้งแต่ผู้รักษาประตูแล้วค่อย ๆ บิ้วท์บอลแรกมาที่กองหลังขึ้นไปกองกลาง หรือกองหน้า หรือยาวไดเร็กต์จากหลังไปหน้าเลย ทำกันเร็ว หรือช้า, มีการเปลี่ยนสปีดหรือไม่ มีใครรวดเร็ว ทักษะดี เลี้ยงกินตัว หรือ 1 ต่อ 1 ได้ดีไหม

1.5 วางกำลังในแต่ละแดน หลัง กลาง หน้า อย่างไร? กี่คน? ระบบอะไร? และใช้ผู้เล่นรุกกี่คน? เคลื่อนตัวข้ามสู่แดนฝั่งตรงข้ามกี่คน? และไลน์รับสุดท้ายอยู่บริเวณใดของสนามขณะรุก

2. ดูการเล่นเกมรับ

เช่นกัน ไม่ใช่ว่า ดูแค่รับเหนียวแน่น สกัดเก่ง สไลด์แม่น โหม่งไกล เพราะพูดแบบนี้ก็จะง่ายไปหน่อย ทั้งนี้หลัก ๆ ที่ต้องมองคือ :

2.1 รับแบบคุมโซน (ดูแลพื้นที่) หรือประกบแมน ทู แมน (คุมคน)

2.2 มีการเช็คไลน์ออฟไซด์หรือไม่

2.3 มีการเพรสซิ่งไหม หรือหากมีต้องดุว่า เริ่มเพรสซิ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ เช่น ตั้งแต่แดนหน้าเลยโดยกองหน้า หรือปล่อยมาเพรสซิ่งในแดนกลาง หรือค่อยมาไล่ในแดนหลัง และทำตลอดเวลา หรือเน้นบริเวณใดเป็นพิเศษไหม

2.4 ยืนรับต่ำขนาดไหน เช่น รับที่เส้นเขตโทษ 18 หลา หรือขยับมาเส้น 35 หลา (ระหว่างกลางสนาม และเส้นเขตโทษตัวเอง) และที่ว่างระหว่างไลน์กองกลัง กองกลาง และกองหน้า “สมดุล” หรือเท่ากันหรือไม่ และยังต้องพิจารณาด้วยว่า มีจำนวนผู้เล่นที่อยู่หน้าบอล หรือหลังบอลกี่คนในเวลาตั้งรับ

2.5 การคืนตำแหน่ง หรือรักษาสมดุลตำแหน่งเป็นอย่างไร ทำได้เร็ว หรือช้า ไม่ว่าจะเจอคู่แข่งใช้การรุกแบบใดก็ตามจากข้อ 1 

3. การเปลี่ยนจากรับเป็นรุก หรือรุกเป็นรับ (Transitional Play)

จากรับเป็นรุกหลัก ๆ ก็เพื่อจะทำการเคาน์เตอร์แอทแทค โดยต้องดูว่า บอลแย่งได้แล้วส่งให้ใครคนแรก, บอลสองไปหาใคร, ใครเป็นตัวเป้า ใครเป็นตัวพักบอล ใครเป็นตัวที่มีความเร็วสูงสุด

ทำกันเร็วไหม เพราะการโต้กลับที่สมบูรณ์ เช่น ประตู 4-1 โดยคิเลียน เอ็มบับเป้ ยิงให้ฝรั่งเศสออกนำอาร์เจนติน่าใช้เวลาประมาณ 10 วินาทีอันเป็นเวลาเฉลี่ยของการทำเคาน์เตอร์แอทแทคที่ดี หรือ 9.8 วิ.ประตูที่เบลเยียมยิงดับฝัน 3-2 ทีมชาติญี่ปุ่นตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายในวินาทีสุดท้าย (ผมเขียนครั้งแรก ขณะมีบอลโลก 2018) นอกจากนี้ก็ต้องมองว่า ใครเป็นผู้เล่นสำคัญซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้เล่นที่มีความเร็ว จากรุกเป็นรับ หรือก็คือหลังจากบุกแล้วเสียการครองบอล สิ่งที่ต้องมองคือ เสียบอลแล้วมีการเพรสซิ่งเอาบอลคืนทันที หรือไม่เพรสซิ่ง แต่ใช้วิธีรีบคืนตัวกลับมาเล่นรับในตำแหน่งตัวเอง

ที่สำคัญ คือ หากไม่เพรสจะสามารถกลับมาเล่นรับในตำแหน่งได้ทันเวลาหรือไม่ เพราะแน่นอนว่า หากทำได้ไม่ดี โอกาสโดนโต้กลับจนเสียประตูย่อมเกิดขึ้นได้

4. ลูกตั้งเตะต่าง ๆ

ไม่ว่าจะเป็นไดเร็กต์ฟรีคิก คือ ยิงได้เลยในระยะหวังผล หรือจุดโทษ (ที่ต้องศึกษาวิธียิงของมือสังหาร หรือวิธีรับของนายทวาร) หรือโดยอ้อม เช่น อาจจะผ่านลูกเตะมุม ลูกเปิดกินเปล่าจากระยะไกลเข้ากรอบเขตโทษ

สิ่งที่ต้องมองคือ ใครเป็นผู้เล่นหลักในกรอบเขตโทษ, ใครคนเปิดฟรีคิกประจำ ถนัดเท้าใด และใช้เทคนิคการเปิดแบบใด รูปแบบการป้องกัน และโจมตี, ลักษณะการประกบเป็นคุมพื้นที่ หรือคุมคน

การสื่อสารในกรอบเขตโทษเป็นอย่างไร ผุ้รักษาประตูถนัดกับการออกมาตัดลูกกลางอากาศแค่ไหน ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่า แม้จะสามารถทำการรุก หรือรับ หรือมีฝึกจังหวะ Transition ได้ดีแล้ว แต่หากไม่เก่งฉกาจ และเชี่ยวชาญในลูกตั้งเตะ การเสียประตูโดยไม่จำเป็นก็จะเกิดขึ้นอย่างน่าเสียดาย

ในทางกลับกัน โอกาสทำประตูมากมายก็เกิดขึ้นจากลูกตั้งเตะนี่เอง

ครับ ทั้งหมดนี้ 4 หัวข้อ: รุก, รับ, รุกเป็นรับ/รับเป็นรุก และลูกฟรีคิกต่าง ๆ คือ 4 ประเด็นหลักที่สามารถใช้วิเคราะห์รูปแบบวิธีการเล่น วิธีคิดทำให้อ่านกลยุทธ์ กลวิธี รวมถึงแบบแผนการเล่นของคู่แข่ง หรือใช้วิเคราะห์ทีมตัวเองด้วยก็ได้

โดยในเกมฟุตบอลปัจจุบัน การ “แมวมอง” (Scouting) คู่แข่งขันแล้วประเมินความสามารถ เจาะวิเคราะห์วิธีการเล่น วิธีคิดของฝั่งตรงข้ามออกได้ คือ สิ่งสำคัญ เหมือนรู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง

ฟุตบอลสมัยใหม่จึงมีอาชีพ นักวิเคราะห์แมตช์แข่งขัน และเท่าที่ทราบมา ลีกไทยเราเอง บรรดาทีมชั้นนำน่าจะมีบุคคลากรตำแหน่งนี้กันทั้งสิ้นในทีมใหญ่ ๆ แต่ส่วนใหญ่อาจจะเป็นชาวต่างชาติ บุคคลในตำแหน่งนี้ที่อาจเรียกว่าเป็นฝ่าย “เทคนิค” ของทีมที่จะช่วยแบ่งเบาภาระโค้ชตัวจริงได้มาก

เพราะลำพังโค้ชคนเดียวไม่สามารถทำหน้าที่ทุกอย่างโดยลำพังได้แล้วในฟุตบอลอาชีพที่เป็นมาตรฐานสูงแบบปัจจุบัน หลายทีมอาจใช้ทีมสตาฟฟ์ค่าตัวถูกกว่า แต่ต้องอาศัยเครื่องมือ เครื่องวัดอื่น ๆ มาช่วย เช่น อัดวิดีโอ ไว้ศึกษาวิเคราะห์แต่ละเกม แล้วขึ้นหน้าจอให้ผู้เล่นดู หรือซื้อบริการข้อมูลสำเร็จรูปในการวิเคราะห์เกมนัดต่อนัดมาประกอบการวางแผนการเล่นในทุกนัด

แต่หากเป็นทีมที่พร้อมจริง ๆ แต่ละนัดผู้ที่ทำหน้าที่นี้จะมองออกอย่างเร็วภายใน 15 นาที และเตรียมวิดีโอไว้เปิดให้ผู้เล่น กับโค้ชได้แก้เกมทันควันระหว่างพักครึ่งเวลาได้เลย

รายละเอียดจริง ๆ ของมืออาชีพจะมีเยอะกว่านี้มาก แต่เบื้องต้น 4 ข้อในวันนี้ คือ อย่างน้อย “พื้นฐาน” การมองฟุตบอลแบบพอจะมี “ครู” และหลักการพื้นฐานให้จับได้บ้างในการชมเกมฟุตบอล 90 นาทีในแต่ละนัดที่ผมหวังว่าจะช่วยยกระดับอรรถรสการชมฟุตบอลของทุก ๆ คนได้นะครับ

(ปรับปรุงข้อมูลจากเพจช้างศึก 6 ก.ค.2018)

ณัฐวุฒิ ประเทืองศิลป์