Categories
Special Content

บันทึกความสำเร็จของ “โชเซ มูรินโญ” ในวัยแซยิดกับการก้าวสู่ปีที่ 23 บนถนนกุนซือ

เมื่อวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา โชเซ มูรินโญ มีอายุครบแซยิดหรือ 60 ปี ผ่านชีวิตผู้จัดการทีมกว่าสองทศวรรษนับตั้งแต่นั่งเก้าอี้ตำแหน่งใหญ่ที่เบนฟิการะยะสั้น ๆ สองเดือนครึ่งช่วงปลายปี 2000 “เดอะ สเปเชียล วัน” เป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญที่สร้างสีสันทั้งโทนสว่างและมืดให้วงการลูกหนังโลก

ถ้าเทียบกับวัฏจักรชีวิตเฮดโค้ชอาชีพแถวหน้าโดยเฉลี่ย มูรินโญเพิ่งเดินบนถนนสายนี้แค่ครึ่งทาง ยังสามารถคุมทีมต่อไปสองทศวรรษไม่ยาก แต่เท่าที่ผ่านมาต้องถือว่ากุนซือชาวโปรตุกีสประสบความสำเร็จสูงกว่าคนวัยเดียวกัน มูรินโญเป็นผู้จัดการทีมให้เก้าสโมสร คว้าโทรฟีไปแล้ว 26 ใบ นับตั้งแต่เป็นนายใหญ่ที่ปอร์โตเมื่อปี 2002 จนถึงปัจจุบัน มีเพียงท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ที่เขาไม่สามารถนำถ้วยรางวัลมาประทับตู้โชว์สโมสร

ความสำเร็จระดับทวีป มูรินโญชูโทรฟีมาแล้วทั้งแชมเปียนส์ ลีก (สองสมัย), ยูฟา คัพ (ชื่อขณะนั้น), ยูโรปา ลีก แม้กระทั่งยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ คัพ ในซีซันแรกที่จัดแข่งรายการนี้ ส่วนสังเวียนในประเทศ มูรินโญนำแชมป์ลีกสูงสุด 4 ชาติรวม 8 ซีซันมามอบให้กับปอร์โต (2002–2004), เชลซี 2004–2007 และ 2013-2015), อินเตอร์ มิลาน (2008–2010) และเรอัล มาดริด (2010–2013)

มูรินโญยังมีเกียรติประวัติส่วนตัวมากมายเช่น FIFA World Coach of the Year ปี 2010, Premier League Manager of the Season สามสมัย, Serie A Coach of the Year สองสมัย, UEFA Manager of the Year สองสมัย, Portuguese Coach of the Century เมื่อปี 2015 เป็นต้น เขายังครอบครองสถิติโลกจากการบันทึกของกินเนสส์อาทิ ผู้จัดการทีมอายุน้อยที่สุดที่คุมทีมแข่งขันแชมเปียนส์ ลีก 100 นัด (49 ปี 12 เดือน), ไม่แพ้แมตช์เหย้าบอลพรีเมียร์ลีกติดต่อกันมากที่สุด (77 นัด), เสียประตูน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีกหนึ่งซีซัน (15 ประตู) เป็นต้น

แต่มูรินโญเคยมีช่วงที่ถูกสบประสาทว่าเป็นผู้จัดการตกยุคพ้นสมัยไปแล้ว (ทั้งที่อายุห้าสิบปีเศษ) เริ่มจากที่แมนฯยูไนเต็ด (2016–2018) ซึ่งแม้คว้าแชมป์ลีกคัพและยูโรปา ลีก แต่ไม่สามารถนำถ้วยพรีเมียร์ลีกกลับสู่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ตามมาที่ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ (2019–2021) ซึ่งมูรินโญเก็บข้าวของออกจากกรุงลอนดอนโดยไม่มีเหรียญรางวัลใดๆติดมือ ก่อนกู้ศรัทธาคืนสู่โปรไฟล์ที่โรมาหลังจากชนะเลิศคอนเฟอเรนซ์ คัพ คัพ ในซีซันแรกที่คุมทีมจัลโลรอสซี เขายังเหลือสัญญากับโรมาถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2024 หรือหลังจบซีซันหน้า

5 อันดับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในอาชีพผู้จัดการทีม

แจ็ค ออตเวย์ นักข่าวเซ็คชันเอ็กซ์เพรสส์ สปอร์ต ของสื่อเดลี เอ็กซ์เพรสส์ ได้จัดความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาชีพผู้จัดการทีมของมูรินโญไว้ 5 อันดับดังนี้

⚽️ อันดับ 5 : ดับเบิลแชมป์ของแมนฯ ยูไนเต็ด

เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2015 เชลซีแถลงข่าวแยกทางเป็นครั้งที่สองกับมูรินโญหลังจากทีมแพ้ 9 จาก 16 นัดบอลพรีเมียร์ลีก แต่แค่ครึ่งปี มูรินโญกลับมาเดินบนถนนอังกฤษอีกครั้ง เซ็นสัญญาสามปีพร้อมออปชันปีที่สี่เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2016และเพียงสองเดือนเศษ กุนซือโปรตุกีสก็นำโทรฟีใบแรกมาให้ทีมปีศาจแดงเมื่อเอาชนะเลสเตอร์ 2-1 ในเกมเอฟเอ คอมมูนิตี ชิลด์

นั่นเป็นความสำเร็จเล็กๆในซีซันแรกของมูรินโญที่แมนเชสเตอร์โดยฤดูกาล 2016-17 เขายังพาทีมชนะเลิศอีเอฟแอล คัพ และยูโรปา คัพ ส่วนปีที่สอง แมนฯยูไนเต็ดได้รองแชมป์พรีเมียร์ลีกและเอฟเอ คัพ ก่อนพ้นตำแหน่งเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2018 แต่ถือว่าเป็นมูรินโญเป็นกุนซือที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุคโพสต์-เฟอร์กี เพราะนอกจากมูรินโญแล้ว มีหลุยส์ ฟาน กัล คนเดียวที่ชนะเลิศรายการเมเจอร์คือ เอฟเอ คัพ ซีซัน 2015-16 แต่สี่วันต่อมา แมนฯยูไนเต็ดก็ปลดขรัวเฒ่าชาวดัตช์ และเลือกมูรินโญมาสานงานต่อ

⚽️ อันดับ 4: โค่นบัลลังก์ของบาร์เซโลนา

มูรินโญเซ็นสัญญาสี่ปีกับเรอัล มาดริด เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2010 เป็นผู้จัดการทีมคนที่ 11 ในรอบเจ็ดปีของโลส บลังโกส แต่ก่อนกุนซือแดนฝอยทองมาที่กรุงมาดริด ดูเหมือนทีมราชันชุดขาวมีโอกาสเพลี่ยงพล้ำปล่อยให้บาร์เซโลนาครองความยิ่งใหญ่บนสังเวียนลีกแดนกระทิงดุ ลิโอเนล เมสซี และเพื่อนๆชนะเลิศลา ลีกา สองสมัยติดต่อกันในซีซัน 2008–09, 2009–10 ก่อนเพิ่มเป็นครั้งที่สามในซีซัน 2010–11 ปีแรกของมูรินโญกับทีมเรอัล มาดริด ซึ่งมีแต้มตามหลังบาร์เซโลนา 4คะแนน

ซีซัน 2011-12 หรือปีที่สองของการทำงาน มูรินโญนำโลส บลังโกส นั่งบัลลังก์ลีกสเปนได้สำเร็จ ชนะถึง 32 นัด เสมอ 4 นัด แพ้เพียง 2 นัด สะสมแต้มได้แตะ 100 คะแนน ทิ้งบาร์เซโลนา 9 คะแนน ลูกทีมของมูรินโญยังทำสกอร์สูงถึง 121 ประตู มีผลต่าง +32 ประตู ทั้งที่ฤดูเดียวกัน บาร์เซโลนายังโชว์ฟอร์มระดับท็อป ได้ 114 ประตู เสียเพียง 29 ประตู ผลต่าง +29ประตู และเมสซีได้ตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดที่ตัวเลข 50 ประตู ขณะที่คริสเตียโน โรนัลโด ตามมาติด ๆ เป็นรองแค่ 4 ประตู ทั้งสองทิ้งอันดับสาม ราดาเมล ฟัลเกา ของแอตเลติโก มาดริด ที่ทำได้ 24 ประตู

วันที่ 22 พฤษภาคม 2012 มูรินโญเซ็นสัญญาใหม่สี่ปีกับมาดริด แต่หลายเดือนต่อมาในห้องแถลงข่าวหลังรอบรองชนะเลิศ นัดสอง ของแชมเปียนส์ ลีก ที่เพิ่งโดนโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เขี่ยตกรอบ มูรินโญพูดเป็นนัยๆว่า นี่อาจเป็นฤดูกาลสุดท้ายของเขาที่มาดริด นักข่าวระบุว่าเขาไม่กินเส้นกับขาใหญ่ของทีมอย่างกัปตันทีม อิเกร์ กาซิยาส, เซร์คิโอ รามอส และโรนัลโด รวมถึงมีความสัมพันธ์ค่อนข้างแย่กับสื่อมวลชนสเปน

หลังแพ้แอตเลติโก มาดริด นัดชิงชนะเลิศโกปา เดล เรย์ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2013 มูรินโญยอมรับว่า ซีซัน 2012-13 เป็นปีที่เลวร้ายที่สุดในอาชีพ และถัดจากนั้นสามวัน ฟลอเรนติโน เปเรซ ประธานสโมสร ประกาศแยกทางกับมูรินโญหลังจบฤดูกาลนี้ ซึ่งแชมป์ลา ลีกา ก็กลับไปอยู่ในมือของบาร์เซโลนาอีกครั้ง

⚽️ อันดับ 3: ฤดูกาลแรกที่สโมสรเชลซี

มูรินโญมาถึงสแตมฟอร์ดบริดจ์กลางปี 2004 พร้อมสถาปนาตัวเองเป็น The Special One และลงมือพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเขาเป็นคนพิเศษตัวจริงเสียงจริงเพราะแค่ซีซันแรกที่ทำงานในอังกฤษ เขานำเหล่าขุนพลเชลซีคว้าแชมป์ อีเอฟแอล คัพ และพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2004-05 โดยลิ้มรสความปราชัยแค่นัดเดียว ก่อนที่ปลุกปั้นแฟรงค์ แลมพาร์ด และจอห์น เทอร์รี เป็นนักเตะระดับตำนานของเดอะบลูส์

ไม่กี่เดือนก่อนใช้ชีวิตที่ลอนดอน มูรินโญส่งสัญญาณท้าทายไปยังเซอร์เฟอร์กูสันด้วยการนำทีมปอร์โตส่งแมนฯยูไนเต็ดตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย แชมเปียนส์ ลีก ซีซัน 2003-04 ด้วยสกอร์รวม 3-2 และเขาเซ็นสัญญาสามปีกับเชลซีเมื่อวันที่ 2มิถุนายน 2004 เป็นกุนซือชาวโปรตุกีสคนแรกในพรีเมียร์ลีก มูรินโญพูดในห้องแถลงข่าวว่า “เชลซีมีนักเตะระดับท็อปหลายคน แต่ขอโทษนะถ้าผมดูเหมือนหยิ่งโอหังไปหน่อย (ที่จะบอกว่า) เราก็มีผู้จัดการทีมระดับท็อป แต่ผมเป็นแชมป์ยุโรป (กับปอร์โต) และ I think I’m a special one.”

มูรินโญดึงสตาฟฟ์โค้ชจากปอร์โตมาร่วมงานที่อังกฤษด้วยอย่างเช่น ผู้ช่วยผู้จัดการทีม, โค้ชด้านฟิตเนสส์, หัวหน้าแมวมอง และโค้ชผู้รักษาประตู แต่ยังให้ สตีฟ คลาร์ก ทำหน้าที่ผู้ช่วยผู้จัดการทีมต่อไป

โรมัน อบราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย สนับสนุนการทำงานของมูรินโญเต็มที่ อนุมัติเงินให้ซื้อนักเตะใหม่กว่า 50 ล้านปอนด์ รวมถึง ดิดิเยร์ ดร็อกบา ที่ย้ายจากมาร์กเซย์ด้วยค่าตัว 24 ล้านปอนด์ มูรินโญพัฒนาทีมใหม่ของเขาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทะยานขึ้นแป้นจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกช่วงต้นเดือนธันวาคม 2004 และฉลุยเข้ารอบน็อคเอาท์ แชมเปียนส์ ลีก

มูรินโญนำถ้วยอีเอฟแอล คัพ มาใส่ตู้โชว์ของสโมสรหลังจากชนะลิเวอร์พูล 3-2 (ต่อเวลา) ในนัดชิงชนะเลิศที่คาร์ดิฟฟ์ ส่วนแชมเปียนส์ ลีก เชลซีผ่านบาร์เซโลนาและบาเยิร์น มิวนิก ก่อนหยุดเส้นทางที่รอบรองชนะเลิศเพราะแพ้ลิเวอร์พูลด้วยสกอร์รวม 0-1 จากลูกปัญหาของหลุยส์ การ์เซีย ที่เรียกขานในชื่อระดับตำนานว่า Ghost Goal

เท่านั้นยังไม่พอ มูรินโญเขย่าบัลลังก์เซอร์เฟอร์กูสันด้วยการนำเชลซีชนะเลิศลีกสูงสุดเป็นสมัยแรกในรอบครึ่งศตวรรษ พร้อมสร้างสถิติใหม่เก็บแต้มสูงสุด (ขณะนั้น) สูงถึง 95 คะแนน มากกว่ารองแชมป์ อาร์เซนอล 12 คะแนน แถมยังเสียประตูน้อยที่สุดเพียง 15 ลูกจากชัยชนะ 29 นัด เสมอ 8 นัด แพ้ 1 นัด

⚽️ อันดับ 2 อินเตอร์คว้าทริปเปิลแชมป์ทีมแรกในอิตาลี

แม้คว้าถ้วยแชมป์หกใบในสามปีให้กับเชลซี แต่เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2007 เดอะบลูส์ตัดสินใจแยกทางกับมูรินโญที่มีความเห็นขัดแย้งกับอบราโมวิชและบอร์ดบริหาร ยอดกุนซือว่างงานเกือบปีก่อนเซ็นสัญญาสามปีกับอินเตอร์ มิลาน เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2008 หลังจากโรแบร์โต มันชินี ถูกไล่ออกไม่กี่วัน

เช่นเดียวกับมูรินโญ มันชินีประสบความสำเร็จที่อินเตอร์ มิลาน ได้สคูเดตโต 3 สมัยและโคปปา อิตาเลีย 2 สมัย แต่ “เดอะ สเปเชียล วัน” ก็ทำผลงานไม่น้อยหน้าในช่วงสองปีที่อิตาลี แชมป์เซเรีย อา 2 สมัยและโคปปา อิตาเลีย 1 สมัย แต่ที่เหนือกว่าคือ ชนะเลิศแชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาล 2009-10 ด้วยชัยชนะเหนือบาเยิร์น มิวนิก 2-0 เป็นสโมสรแรกของอิตาลีที่ทำทริปเปิลแชมป์ได้สำเร็จ

เพียงวันเดียวหลังนำถ้วยหูใหญ่มาให้อินเตอร์ มูรินโญให้สัมภาษณ์ว่า “น่าเศร้าใจแต่เกือบแน่นอนแล้ว นี่เป็นเกมสุดท้ายของผมกับอินเตอร์ และหากไม่ได้คุมทีมเรอัล มาดริด คุณจะเหมือนมีช่องว่างในอาชีพ” ซึ่งหลังจากนั้น มาดริดและอินเตอร์เริ่มเจรจากันก่อนตกลงค่าชดเชยลงตัวเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2010 อินเตอร์ยกเลิกสัญญาให้มูรินโญไปเป็นนายใหญ่ของโลส บลังโกส

กลับมาตอนรับงานที่อินเตอร์ มูรินโญยังใช้สูตรความสำเร็จเดิม ดึงทีมงานเก่าที่คุ้นเคยจากเชลซีและปอร์โต พร้อมเลือกคนในมาเป็นผู้ช่วยได้แก่ จูเซปเป บาเรซี อดีตนักเตะและอดีตเฮดโค้ชอะคาเดมี แต่ต่างจากที่เชลซี มูรินโญประกาศความตั้งใจซื้อผู้เล่นเมเจอร์ไม่กี่คนในตลาดซัมเมอร์ปี 2008 ซึ่งเขาทำตามที่ลั่นวาจาเพียงเซ็นสัญญามันชินี ปีกบราซิล 13 ล้านยูโร, ซัลลีย์ มุนตารี มิดฟิลด์กานา 14 ล้านยูโร และริคาร์โด ควาเรสมา ปีกโปรตุกีส 18.6 ล้านยูโรพ่วงแถมเปเล่ มิดฟิลด์ดาวรุ่งโปรตุกีส

มูรินโญประเดิมซีซัน 2008-09 ด้วยถ้วยซูเปอร์โคปปา อิตาเลีย ก่อนปิดฤดูกาลด้วยตำแหน่งสคูเดตโต ทิ้งห่างเอซี มิลาน ถึง 10 คะแนน แต่แพ้ซามพ์โดเรียในรอบตัดเชือกโคปปา อิตาเลีย และสุดทางแชมเปียนส์ ลีกแค่รอบแรกของการน็อคเอาท์เพราะแพ้แมนฯยูไนเต็ดด้วยสกอร์รวม 0-2 ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แฟนบอลอย่างมาก แต่มูรินโญก็แก้ตัวด้วยสามแชมป์ในซีซัน 2009-10

⚽️ อันดับ 1 : ปอร์โตผงาดครองเจ้าสโมสรทวีปยุโรป

ก่อนหน้าปี 2004 ไม่มีใครคิดว่าทีมอย่างปอร์โตจะชนะเลิศถ้วยใบใหญ่ที่สุดของยุโรปแม้ฤดูก่อนหน้า มูรินโญเพิ่งพาทีมครองแชมป์ยูฟา คัพ ฤดูกาล 2002-03 แต่เขาสร้างปาฏิหาริย์ เดินผ่านแมนฯยูไนเต็ด เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาล 2003-04 ในสภาพที่คู่แข่งอย่างโมนาโกต้านทานไหวและแพ้ไป 0-3

มูรินโญรับตำแหน่งผู้จัดการทีมปอร์โตเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2002 ตอนนั้น “เดอะ ดรากอนส์” อยู่อันดับ 5 บนตารางลีก แต่มูรินโญพาปอร์โตจบซีซัน 2001-02 ด้วยอันดับ 3 หลังชนะ 11 จาก 15 นัด และให้สัญญาว่าจะพาสโมสรสู่ตำแหน่งแชมป์ปีหน้า 

ช่วงเตรียมทีมก่อนฤดูกาล 2002-03 มูรินโญติวเข้มยกระดับความฟิตของลูกทีมเพื่อรองรับการเล่นแบบ “pressão alta” หรือไฮเพรสส์นั่นเอง ผลลัพธ์คือ ปอร์โตชนะ 27 นัด เสมอ 5 นัด แพ้ 2 นัด ครองแชมป์ปรีไมรา ลีกา ด้วย 86 คะแนน เป็นสถิติใหม่ของลีกแดนฝอยทอง แถมทิ้งห่างรองแชมป์ เบนฟิกา ทีมเก่าของเขา 11 คะแนน แค่นั้นยังไม่พอในเดือนพฤษภาคม 2003 ปอร์โตยังชนะเลิศบอลถ้วยโปรตุเกสและยูฟา คัพ ด้วยชัยชนะเหนือเซลติก

ฤดูกาลต่อมา มูรินโญนำดับเบิลแชมป์แบบเต็มแม็กซ์มาให้ปอร์โต ปรีไมรา ลีก และแชมเปียนส์ ลีก จากนั้นต้นเดือนมิถุนายน 2004 มูรินโญออกไปหาความท้าทายที่อังกฤษกับเชลซีเป็นรอบแรก

หากอยากพัก ผู้จัดการทีมชาติเป็นทางเลือกที่ดี

ไม่มีใครปฏิเสธความยิ่งใหญ่และความสำเร็จของมูรินโญตลอด 22 ปีเศษในฐานะผู้จัดการทีม แต่ยอดกุนซือวัย 60 ยังไม่เคยลงสมรภูมิลูกหนังระดับนานาชาติ ซึ่งมีความเป็นไปได้ไม่น้อยหากมูรินโญรู้สึกเหนื่อยล้าจากงานและความรับผิดชอบที่หนักแบบวันต่อวัน การคุมทีมชาติเป็นตัวเลือกที่ดี

ที่ผ่านมา มีข่าวมูรินโญถูกทาบทามจากสมาคมฟุตบอลแห่งชาติของบางประเทศ รวมถึงข่าวลือล่าสุดที่อาจคุมทีมชาติโปรตุเกสแทนเฟร์นันโด ซานโตส ที่ล้มเหลวจากเวิลด์คัพที่กาตาร์ แต่แล้วตำแหน่งกลับตกเป็นของชาวสเปนอย่างโรแบร์โต มาร์ตีเนซ ทั้งที่นับแต่ปี 1935 โปรตุเกสมีเฮดโค้ชเป็นคนต่างชาติแค่สองคนคือ ออตโต กลอเรีย และเฟลิเป สโกลารี ทั้งคู่เป็นชาวบราซิล

อีกทางที่เป็นไปได้คือทีมชาติอังกฤษ หากแกเรธ เซาธ์เกต พ้นตำแหน่งในวันข้างหน้า แม้หลายคนมีความเชื่อมั่น ทีมชาติอังกฤษควรคุมทีมโดยคนอังกฤษ แต่มูรินโญเป็นโค้ชยอดฝีมือและผ่านประสบการณ์พรีเมียร์ลีกอย่างโชกโชน อาจได้รับการยกเว้น

แต่ไม่ว่าจะเลือกเดินต่อไปบนเส้นทางแบบไหน มูรินโญยังเป็นผู้จัดการทีมที่สร้างสีสันให้กับวงการอย่างแน่นอน แถมยังไม่มีข่าวหลุดออกมาว่าเขาคิดจะเลิกอาชีพนี้ในระยะเวลาอันใกล้

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer)