Categories
Special Content

มากกว่าภาพยนตร์สารคดีกีฬา

ผมเคยคุยกับ “พีชชี่” พีชชงพีชชี่ ว่า ฟิลลิ่งมีแฟนนั่งดูบอลด้วยกันมันคงจะดีนะ?

คำตอบก็ “ใช่” แม้จะเชียร์คนละทีม (พีชชี่ แมนฯยูฯ และแฟนนาง ลิเวอร์พูล) และมีการบลัฟกันพอหอมปากหอมคอ เหมือนเรากับเพื่อนในแกงค์ผู้ชายอ่ะนะ

แต่นางก็บอกว่า มีแฟนไม่ดูบอลก็ดีนะ เพราะหัวเรื่องที่คุยกันก็จะไม่มีฟุตบอล เป็นเรื่องอื่น ๆ เรื่องโน้นเรื่องนี้ไป

ก็เท่ากับว่า มีเรื่องให้คุยกันหลากหลาย เป็นสีสัน เป็นส่วนผสมของ “ความต่าง” ว่างั้น...

เมื่อวาน ตอนผม LIVE แฟนผมนั่งชมระหว่างนั่งแท็กซี่กลับ “โฮมออฟฟิศ & คอฟฟี่” ไข่มุกดำ craft coffee เธอก็เกิดคำถามขึ้นมาอีกว่า “ทำไมต้องอินกันด้วยยามแมนฯยูฯแพ้ ลิเวอร์พูลแพ้ ฯลฯ? เพราะเราไม่ได้อยู่ประเทศอังกฤษซะหน่อย”

มันคือ คำถามปกติคำถามหนึ่งของคนไม่ดูบอล ไม่เข้าใจฟุตบอล ไม่เกี่ยวว่าจะเป็นเพศใด

เต็มที่เธอก็จะถามว่า วันนี้ทีมของผม ลิเวอร์พูล เจอใคร? เก่งไหม? อันดับเท่าไหร่? แล้วก็อวยพร “ขอให้ชนะนะ!”

แต่ก็ไม่เคยอยากจะนั่งชม หรือสนใจอะไรใด ๆ อีก เว้นเสียแต่ว่า หากไม่ลืมก็จะมาถามว่า เมื่อคืนใครชนะ?

แน่นอน เธอไม่เข้าใจระบบแข่งขันแบบลีก แบบบอลถ้วย เกมยุโรป หรือพักเบรกทีมชาติ อย่างไม่ต้องสงสัย และคงยากจะอธิบาย

อย่างไรก็ดี ผมได้รับเชิญจาก “สหมงคลฟิล์ม” ให้ไปชมภาพยนตร์ The End of the Storm รอบสื่อเมื่อวันจันทร์ 25 ม.ค.ที่ผ่านมาที่สยามพารากอน

ผมพาแฟนไปด้วย และนั่นน่าจะเป็น “ครั้งแรก” ที่เธอได้มีประสบการณ์นั่งชม “ฟุตบอล” แม้จะเป็นสารคดีฟุตบอลก็ตามทีเป็นเวลาร่วม 2 ชั่วโมง

ก็ถือเป็นการใช้เวลาร่วมกัน แม้ไม่ใช่นั่งดูเกมฟุตบอลที่บ้าน หรือไปที่สนามด้วยกันเป็นครั้งแรก

ผมถามเธอว่า รู้สึกอย่างไร? เข้าใจคนดูฟุตบอล? หรือเข้าใจทีมลิเวอร์พูลดีขึ้นไหม?

เอาจริง ๆ ความเข้าใจฟุตบอลของเธอก็ยังเหมือนเดิม แต่ความเข้าใจในทีมลิเวอร์พูล และเยอร์เกน คลอปป์ ซึ่งทำหน้าที่เสมือนคนเดินเรื่อง (ถ่ายทำใหม่) นั่งเล่าผ่านฟุตเทจภาพซ้อม ภาพต่าง ๆ หรือมีแอนิเมชั่น มาสลับตอนหาภาพไม่ได้กับ subtitle ไทยที่แปลได้มันส์ดี เป็นภาษาบอล คือ ดีขึ้น

เพลง You’ll never walk alone ขับร้องโดย ลาล่า เดล เรย์ ศิลปินสาวระดับมีชื่อคัดเลือกชิงรางวัลแกรมมี จัดว่า “ซึ้ง” กินใจ สะกดคนดูได้ทั้งโรง

เรื่องราวฤดูกาลที่ผ่านมาที่ถูกถ่ายทอดภายใต้ชื่อหนัง The End of the Storm อันเป็นคำชุดหนึ่งในเพลง YNWA สามารถย้อนความทรงจำปีที่ผ่านมา ปี Covid Pandemic แต่ทีมฝ่าฟันทุกอุปสรรคจนได้แชมป์ที่รอคอย 30 ปีได้เป็นอย่างดีด้วยฝีมือของ อดัม บูลล์มอร์ โปรดิวเซอร์ซีรีส์ This is Football และเจอมส์ เออร์สคิน ผู้กำกับสารคดีเชิงกีฬาตัวท็อป

เรื่องจึงถูก “เล่าเรื่อง” อย่างดีจากคลอปป์ สลับด้วยเซอร์เคนนี ดัลกลิช ผู้นำพาทีมคว้าแชมป์สมัยสุดท้ายก่อนหน้านี้ 1989/90 และเป็นตัวแทนมอบโทรฟี พรีเมียร์ลีก ด้วยตนเองในสนามปิดแอนฟิลด์ แบบได้อรรถรสด้วยข้อมูลอินไซด์หลายมุม หลายประเด็น

คลอปป์ จะมีคำพูดสวย ๆ อยู่แล้ว ส่วนท่านเซอร์จะมาในแนวอารมณ์ดี มียิ้มมุมปาก แต่เปี่ยมล้นด้วยพลังงานขั้นสุดเหมือนเดิม

The End of the Storm ไม่ได้เล่าย้อนทุกเหตุการณ์สำคัญละเอียดนักระหว่างทาง 30 ปี แต่ก็มีบ้าง ทว่าเน้นไปที่ซีซั่นที่ผ่านมาเป็นหลักตลอด 99 นาที

ในเชิงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากภาพยนตร์ ยังไงเสีย เรื่องแรงบันดาลใจ ยังคงมีได้เสมอ แม้เวลา ณ ตอนนี้จะเลยผ่านจุดพีคของความเป็นแชมป์มาอีกครึ่งฤดูกาลใหม่ (แต่หนังฉายช่วงเดือน พ.ย.ที่อังกฤษ) มาสักพักแล้ว

นอกจากนี้ ผู้ชมยังได้รู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของ บอสส์ ในบางด้าน บางมุม ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เพราะสิ่งเหล่านี้ถูกเหลามาเล่าเป็น story telling สำหรับสารคดีนี้โดยเฉพาะ

ดังนั้น สิ่งที่ทราบอยู่แล้วจะถูก “ตอกย้ำ” เป็นแรงบันดาลใจที่ดี ขณะที่สิ่งใหม่ที่ได้เรียนรู้ก็จะทำให้เรารู้จักคลอปป์ และบางด้าน บางมุม ของทีมมากยิ่งขึ้นได้อีก

ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้อง “รีวิว” หรือตัดเกรด เหมือนเสื้อแข่งสโมสรที่ไม่ว่าจะออกแบบมาอย่างไร ยี่ห้อใด เราก็ชอบ และพร้อมจะสนับสนุน แม้ใจจะเห็นอยู่แล้วว่า เสื้อทีมอื่นอาจจะสวยกว่า

แต่เราก็จะซื้อเฉพาะเสื้อลิเวอร์พูล!!

ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นอีกครั้งของการแสดงออกอันเป็น “สัญลักษณ์” ของความเป็นแฟมิลี ความรัก ความผูกพัน ระหว่างสโมสร และแฟน ๆ

ในที่นี้ คือ แฟนบอลชาวไทย แบบที่ทีมอื่น ๆ ไม่มีโอกาสจะได้แสดงตน

สุดท้าย สำหรับคนที่แฟนไม่ดูบอล

นี่คือ “โอกาสเดียว” ที่คุณจะได้จับมือแฟนของคุณนั่งชมเรื่องราวทั้งใน และนอกสนามของทีมโปรดไปด้วยกัน

โดยหากคุณ “โชคดี” เหมือนผม แฟนคุณแม้จะ “ไม่เข้าใจ 100%” แต่เขาจะเปิดรับความรักในรูปแบบนี้ของคุณกับฟุตบอลอย่างแน่นอน

#TheEndOfTheStorm

#ไข่มุกดำ

#สหมงคลฟิล์ม

#KMDReview