Khaimukdam Group

SPECIAL CONTENT

ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ : ปิดตำนาน “เดอะ คิง เมกเกอร์” ชายผู้ทรงอิทธิพลแห่งอิตาลี

ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ : ปิดตำนาน “เดอะ คิง เมกเกอร์” ชายผู้ทรงอิทธิพลแห่งอิตาลี

ข่าวการเสียชีวิตของซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ อดีตนายกรัฐมนตรีของอิตาลี, อดีตเจ้าของสโมสรเอซี มิลาน และมอนซ่า วัย 86 ปี เมื่อวันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน 2023 ถือเป็นการสูญเสียครั้งสำคัญของชาวอิตาเลียน

การสวมหมวก 2 ใบ ในฐานะเจ้าของทีมฟุตบอล พ่วงด้วยนายกรัฐมนตรี แบร์ลุสโคนี่ได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดของยอดปิรามิด และเป็นผู้กำหนดแนวทางให้กับผู้นำคนต่อไป หรือ “เดอะ คิง เมกเกอร์” ด้วยกันทั้งคู่

ต่อไปนี้คือเรื่องราวของแบร์ลุสโคนี่ ทั้งในสนามฟุตบอล และสนามการเมือง กับการบริหารจัดการที่สร้างแรงกระเพื่อมในด้านบวกและด้านลบ กับทั้ง 2 วงการ จนถูกยกให้เป็นผู้ทรงอิทธิพลแห่งอิตาลี

ลูกชายนายธนาคาร สู่การเป็นนักธุรกิจ

ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ เกิดในปี 1936 ที่มิลาน เป็นลูกชายของนายธนาคาร เมื่อเติบโตสู่วัยหนุ่ม เขาค้นพบว่าเป็นผู้ที่รักการเอ็นเตอร์เทน เพราะเป็นนักร้องบนเรือสำราญ และเป็นนักดนตรีในตำแหน่งดับเบิลเบส

ในเวลาต่อมา ชีวิตของแบร์ลุสโคนี่ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นนักธุรกิจ โดยเริ่มจากเปิดบริษัท Miano Due บริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่มีโครงการหลักคือการสร้างอพาร์ทเมนท์กว่า 4,000 แห่ง ทางฝั่งตะวันออกของเมืองมิลาน

จากนั้น แบร์ลุสโคนี่ก็ได้มาทำธุรกิจด้านสื่อเป็นครั้งแรก กับบริษัท TeleMilano เคเบิลทีวีระดับท้องถิ่น และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ก่อนที่จะสร้าง Canale 5 ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์เอกชนแห่งแรกของอิตาลี

ต่อมาในปี 1978 แบร์ลุสโคนี่ได้ก่อตั้งบริษัท Fininvest ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้ง ถือหุ้นในบริษัทลูกที่มีทั้งกิจการสื่อสิ่งพิมพ์, ทีวี, โรงละคร รวมถึงเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว ปัจจุบันบริหารงานโดยมารีน่า ลูกสาวคนโตของเขา

บริษัท Fininvest ของแบร์ลุสโคนี่ มีสถานีโทรทัศน์ในเครือ 3 ช่อง คือ Canale 5, Italia 1 และ Rete 4 ซึ่งมีเนื้อหาที่เน้นรายการบันเทิงอย่างเต็มรูปแบบ ฉีกไปจากสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาล จนสร้างรายได้ถล่มทลาย

และแล้ว โชคชะตาของแบร์ลุสโคนี่ ก็ได้เจอกับสโมสรฟุตบอลที่ชื่อว่า เอซี มิลาน ซึ่งเขาก็ไม่ทิ้งโอกาสทองครั้งนี้ ตัดสินใจซื้อกิจการทีมลูกหนังระดับตำนานของประเทศที่กำลังอยู่ในช่วงตกต่ำ มาไว้ในครอบครอง

การเข้าสู่วงการฟุตบอลของซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ คือการประกาศตัวว่า เขาคือผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมือง และพร้อมเป็นฮีโร่ที่จะเข้ามากอบกู้ สร้างยุคสมัยใหม่กับเอซี มิลาน ในการกลับมาเป็นยอดทีมของอิตาลี และยุโรป

ผู้กอบกู้รอสโซเนรี่ กลับมายิ่งใหญ่ในยุโรป

เอซี มิลาน หนึ่งในสโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่ของวงการฟุตบอลอิตาลี แต่มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ที่พวกเขาต้องเจอกับฝันร้าย นั่นคือช่วงต้นทศวรรษที่ 1980s ที่พัวพันคดีล้มบอล “โตโตเนโร่” จนถูกปรับตกชั้นไปเซเรีย บี

ในช่วงปี 1980-1986 เอซี มิลาน เป็นเพียงทีมที่มีผลงานระดับกลางตาราง แถมการบริหารงานของประธานสโมสร ไม่ว่าจะเป็นเฟลิเซ่ โคลอมโบ หรือคนต่อมาอย่างจูเซ็ปเป้ ฟารีน่า ที่มีปัญหาเรื่องทุจริต และหนี้สิน

จนกระทั่งช่วงซัมเมอร์ของปี 1986 สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงก็มาถึง เมื่อซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ได้เข้ามาขอซื้อทีมเอซี มิลาน ด้วยการจ่ายเงิน 40 ล้านลีร์ (สกุลเงินของอิตาลีในสมัยก่อน) และล้างหนี้สินให้ทั้งหมด

ฤดูกาล 1986/87 คือฤดูกาลแรกของมิลาน ภายใต้การบริหารของแบร์ลุสโคนี่ ดำเนินไปอย่างขรุขระ จบในอันดับที่ 5 แต่ในซีซั่นถัดมา การได้อาร์ริโก้ ซาคคี่ กุนซือผู้ริเริ่มแนวคิด “เพรสซิ่ง ฟุตบอล” ทีมก็เข้าที่มากขึ้น

เพรสซิ่ง ฟุตบอล คือการปฏิวัติวงการลูกหนังอิตาลีครั้งสำคัญ ด้วยสไตล์การเล่นที่ใช้พละกำลังสูง ไล่กดดันคู่แข่งตั้งแต่แดนหน้า และต้องเคลื่อนที่ตลอดเวลา ซาคคี่ ช่วยให้มิลานคว้าสคูเด็ตโต้ตั้งแต่ซีซั่นแรกที่คุมทีม

หลังจากนั้น เอซี มิลาน ก็ปิดทศวรรษ 1980s ด้วยการคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 2 สมัยติดต่อกัน ในปี 1989 และ 1990 พร้อมกำเนิดตำนานแข้ง 3 ทหารเสือดัตช์ รุด กุลลิท, แฟรงค์ ไรจ์การ์ด และมาร์โก ฟาน บาสเท่น

ช่วงระหว่างปี 1991-1993 มิลานสร้างสถิติไร้พ่ายในเซเรีย อา 58 นัดติดต่อกัน ซึ่งนับรวม invincible season ไร้พ่ายทั้ง 34 นัด ตลอดฤดูกาล 1991/92 ต่อด้วยการกลับมาคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกครั้งในปี 1994

ตามมาด้วยยุค 2000s รอสโซเนรี่ยังคว้าแชมป์ยูซีแอลเพิ่มอีก 2 สมัย ที่มีคาร์โล อันเชล็อตติ เป็นเฮดโค้ช ในปี 2003 ที่ชนะจุดโทษยูเวนตุส คู่ปรับร่วมลีก และปี 2007 ที่มีคีย์แมนสำคัญอย่างกาก้า กับฟิลิปโป้ อินซากี้

ถ้วยรางวัลของเอซี มิลาน ในยุคที่ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ เป็นเจ้าของทีม มีทั้งแชมป์สคูเด็ตโต้ 8 สมัย, แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 5 สมัย และแชมป์รายการอื่นๆ รวมทั้งหมด 28 โทรฟี่ ครองความยิ่งใหญ่นานมากกว่า 20 ปี

เป็นผู้นำในสนามฟุตบอล และสนามการเมือง

ในปี 1994 หลังก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าของสโมสรของเอซี มิลานได้ 8 ปี ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ตัดสินใจเข้าสู่แวดวงการเมือง เพื่อชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอิตาลี ในสังกัดพรรคฟอร์ซ่า อิตาเลีย ที่ก่อตั้งได้แค่ 2 เดือน

แบร์ลุสโคนี่ ได้ชูนโยบายต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ พร้อมประกาศว่า ถ้าเขาได้เป็นรัฐบาล จะสร้างงานเพิ่มขึ้น 1 ล้านตำแหน่ง และเขาก็ชนะการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีอิตาลีเป็นสมัยแรก ดำรงตำแหน่งจนถึงปี 1996

และอีก 5 ปีต่อมา แบร์ลุสโคนี่จะได้รับเลือกกลับสู่ตำแหน่งเดิมอีกครั้ง จนถึงปี 2006 ก่อนที่จะได้รับเลือกเป็นสมัยที่ 3 ในปี 2008 ทำให้เขาเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของอิตาลี

แต่หลังจากที่ได้เป็นนายกฯ รอบ 3 แบร์ลุสโคนี่ตกเป็นข่าวฉาวเรื่องบูลลี่นักการเมืองดัง เช่น เคยเหยียดสีผิวบารัค โอบาม่า ผู้นำสหรัฐฯ, ล้อเลียนแองเกลาร์ แมร์เคิล ผู้นำเยอรมัน ว่าก้นใหญ่ ไม่ขอมีเพศสัมพันธ์ด้วย เป็นต้น

จนกระทั่งในปี 2011 อิตาลีประสบปัญหาวิกฤติการเงินครั้งร้ายแรง เพราะหนี้สาธารณะสูงกว่า 113 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี สภาพคล่องของระบบเศรษฐกิจเสียหายมาก จนต้องขอความช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป และไอเอ็มเอฟ

อีก 2 ปีต่อมา แบร์ลุสโคนี่ ถูกศาลตัดสินให้มีความผิดฐานฉ้อโกงภาษี จนต้องออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แม้เขาได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้นำประเทศถึง 3 สมัย แต่ก็ต้องหลุดจากอำนาจ เพราะพฤติกรรมส่วนตัว

และการเมืองในอิตาลี ก็ส่งผลกระทบโดยตรงกับเอซี มิลานด้วย ต้องขายนักเตะตัวหลักออกไปหลายคน เมื่อคุณภาพของทีมลดลง ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ ถึงขั้นห่างหายจากเวทีแชมเปี้ยนส์ ลีก ไปนานหลายปี

ตลอดช่วงเวลาที่ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ เป็นเจ้าของทีมเอซี มิลาน ก็เป็นที่รักของแฟนๆ รอสโซเนรี่ แต่อีกด้านหนึ่ง ก็มักจะเข้าไปล้วงลูกผู้จัดการทีมในการซื้อขายนักเตะอยู่บ่อยๆ ซึ่งในยุคของเขา ใช้โค้ชไปถึง21 คน

พามอนซ่าสู่ลีกสูงสุด ก่อนลาจากชั่วนิรันดร์

ปี 2017 ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ตัดสินใจลงหลังเสือ ยุติการเป็นเจ้าของสโมสรเอซี มิลานเป็นที่เรียบร้อย ปิดตำนาน 31 ปี ที่เขาครอบครองสโมสรแห่งนี้ ทิ้งความยิ่งใหญ่ให้แฟนๆ “ปีศาจแดง-ดำ” ทุกคนได้จดจำ

ด้วยปัญหาเรื่องหนี้สิน และการลงทุนที่สูญเปล่าจากผลงานที่ล้มเหลว จนไม่สามารถอัดฉีดเงินเพื่อพาเอซี มิลาน กลับสู่ความยิ่งใหญ่ ที่สุดแล้ว แบร์ลุสโคนี่ ก็ขายสโมสรให้กับกลุ่มทุนจากจีนด้วยราคา 740 ล้านยูโร

และในปีต่อมา แบร์ลุสโคนี่ ได้เข้ามาซื้อสโมสรมอนซ่า ที่ในขณะนั้นยังอยู่ในระดับเซเรีย ซี หรือดิวิชั่น 3พร้อมดึงอาเดรียโน่ กัลเลียนี่ มือขวาคนเดิมที่รู้ใจสมัยอยู่กับเอซี มิลาน มาดำรงตำแหน่งบอร์ดบริหารของสโมสร

ท่อน้ำเลี้ยงของแบร์ลุสโคนี่ที่คอยหนุนหลัง รวมถึงประสบการณ์ซื้อขายนักเตะที่เหลือล้นของกัลเลียนี่ มอนซ่าใช้เวลา 2 ฤดูกาล เลื่อนชั้นขึ้นสู่เซเรีย บี นั่นหมายความว่า เหลืออีกเพียงขั้นเดียวเท่านั้น จะไปถึงลีกสูงสุด

ฤดูกาล 2020/21 มอนซ่า จบอันดับที่ 3 ในซีซั่นปกติของลีกรอง แต่แพ้เพลย์ออฟเลื่อนชั้น และในซีซั่นถัดมา จบในอันดับที่ 4 ได้สิทธิ์ลุ้นเพลย์ออฟเลื่อนชั้นอีกครั้ง โดยในรอบรองชนะเลิศ ชนะเบรสชา สกอร์รวม 4 – 2

มอนซ่า เข้ารอบชิงชนะเลิศ ไปพบกับปิซ่า โดยในนัดแรก มอนซ่าเปิดบ้านชนะได้ก่อน 2 – 1 ส่วนในนัดสองที่บ้านของปิซ่า ต้องเล่นถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ และเป็นมอนซ่าที่ย้ำแค้นได้อีกครั้ง ด้วยการเอาชนะ 4 – 3

ทำให้สกอร์รวม 2 นัด มอนซ่า ชนะ 6 – 4 ได้เลื่อนชั้นขึ้นสู่เซเรีย อา เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร ภารกิจของแบร์ลุสโคนี่ ในการพาสโมสรเล็กๆ จากแคว้นลอมบาเดีย ขึ้นสู่ลีกสูงสุดสำเร็จโดยใช้เวลา 4 ปี

ผลงานของมอนซ่า ในเซเรีย อา ฤดูกาล 2022/23 ที่เพิ่งจบไป พวกเขาทำได้ดีเลยทีเดียว จบในอันดับที่ 11 ของตาราง ประเดิมการลงเล่นลีกสูงสุดครั้งแรกได้น่าประทับใจ ก่อนที่แบร์ลุสโคนี่จะจากไปตลอดกาล

เส้นทางชีวิตของซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ มีทั้งด้านขาวและด้านดำ เฉกเช่นเดียวกับคนทั่วไป แต่ช่วงเวลาที่ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำทั้งด้านการเมืองและฟุตบอล ชายคนนี้คือผู้สร้างอิมแพกต์ให้กับอิตาลีแบบไร้ข้อโต้แย้ง

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://www.nytimes.com/2023/06/12/world/europe/silvio-berlusconi-italy.html

https://www.independent.co.uk/news/world/americas/us-politics/silvio-berlusconi-ap-milan-ac-milan-italian-b2355824.html

https://en.wikipedia.org/wiki/Silvio_Berlusconi

Facebook
Twitter
Pinterest
Email

Comments are closed.