เมื่อพูดถึงการพบกันระหว่างเอซี มิลาน กับอินเตอร์ มิลาน นี่คือคู่ปรับร่วมเมืองที่มีเรื่องราวความขัดแย้งทางด้านประวัติศาสตร์มานานร่วมศตวรรษ รวมถึงการแย่งชิงความสำเร็จทั้งในอิตาลี และยุโรป
และยามที่ 2 สโมสรจากเมืองเดียวกัน ต้องทำศึกดาร์บี้แมตช์ในรายการระดับทวีป ถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นได้บ่อยนักในโลกของฟุตบอล แต่ก็ยังคงความคลาสสิกไม่ต่างกับดาร์บี้แมตช์เกมอื่นๆ
“รอสโซเนรี่” และ “เนรัซซูรี่” กลับมาพบกันในถ้วยยุโรปเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2005 ที่เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายถึงขั้นต้องยกเลิกการแข่งขัน และทีมที่เป็นต้นเหตุก็ถูกลงโทษ ชดใช้ความผิดที่ได้ก่อขึ้นมา
ทั้ง 2 ทีม กำลังจะดวลกันในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ ซึ่งการันตีเข้าชิงชนะเลิศแน่นอน 1 ทีม และถ้าคว้าแชมป์ได้ ก็จะได้สิทธิ์กลับไปเล่นถ้วยนี้ในฤดูกาลหน้า โดยไม่ต้องสนใจอันดับในเซเรีย อา
ซีซั่น 2022/23 ทั้งคู่ต้องเจอกันถึง 5 เกม โดย 3 เกมที่ผ่านมา ประกอบด้วยลีกในประเทศ ชนะบ้านใครบ้านมันทีมละ 1 เกม (เอซี มิลาน 3 – 2, อินเตอร์ มิลาน 1 – 0) และศึกซูเปอร์คัพ เป็นอินเตอร์ ที่ถล่ม 3 – 0
เมืองเดียวในยุโรป ที่มี 2 สโมสรคว้าถ้วยยูซีแอล
แม้เอซี มิลาน และอินเตอร์ มิลาน จะเป็นคู่ปรับที่ชิงดีชิงเด่นกันมานาน แต่ความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งของเมืองนี้ คือเป็นเมืองเดียวในทวีปยุโรป ที่มี 2 สโมสร ช่วยกันคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมกัน 10สมัย
เริ่มจากช่วงทศวรรษที่ 1960s ทั้ง 2 ทีม ต่างซิวโทรฟี่ที่ยิ่งใหญ่สุดของยุโรป ทีมละ 2 สมัย โดยฝั่งเอซี มิลาน ทำได้ในปี 1963 กับอีกครั้งในปี 1969 ส่วนฝั่งสีน้ำเงิน-ดำ ทำได้ 2 ครั้งติดต่อกัน ในปี 1964 และ 1965
ซึ่งกุญแจสำคัญที่ทำให้ 2 ทีมเมืองมิลาน ผงาดในเวทียูโรเปี้ยน คัพ นั่นคือการเล่นสไตล์ “คาเตนัชโช่” (ภาษาอิตาลี แปลว่า กลอนประตู) ที่เน้นการตั้งรับลึก และใช้เกมเคาน์เตอร์แอทแท็ก โต้กลับอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้น เอซี มิลาน ก็คว้าแชมป์ 2 สมัยติดต่อกัน ในปี 1989 และ 1990 ยุคของกุนซืออาร์ริโก้ ซาคคี่ พร้อมกับตำนานแข้ง 3 ทหารเสือดัตช์ ที่ประกอบด้วย รุด กุลลิท, แฟรงค์ ไรจ์การ์ด และมาร์โก ฟาน บาสเท่น
ต่อเนื่องด้วยแชมป์สมัยที่ 5 ของเอซี มิลาน ในปี 1994 ฟาบิโอ คาเปลโล่ เป็นผู้จัดการทีม ซึ่งขาดนักเตะคนสำคัญหลายคน ทั้งบาดเจ็บ ติดโทษแบน รวมถึงกฎของยูฟ่าที่บังคับส่งนักเตะต่างชาติลงสนามได้แค่ 3 คนเท่านั้น
โดยนักเตะต่างชาติ 3 คน คาเปลโล่เลือกมาร์กแซล เดอไซญี่, ชโวนิเมียร์ โบบัน และเดยัน ซาวิเซวิช ลงเป็นตัวจริง แม้สภาพทีมของมิลานจะเป็นรอง แต่สุดท้ายถล่มบาร์เซโลน่า ชุดดรีมทีมของโยฮันน์ ครัฟฟ์ ขาดลอย 4 – 0
เท่านั้นยังไม่พอ ในยุค Y2K “รอสโซเนรี่” ยังคว้าแชมป์เพิ่มอีก 2 สมัย ยุคที่มีคาร์โล อันเชล็อตติ เป็นเฮดโค้ช ในปี 2003 ที่ชนะจุดโทษยูเวนตุส คู่ปรับร่วมลีก และปี 2007 ที่มีคีย์แมนสำคัญอย่างกาก้า กับฟิลิปโป้ อินซากี้
ขณะที่ฝั่ง “เนรัชซูรี่” กว่าจะได้แชมป์ถ้วยใหญ่ยุโรปเป็นสมัยที่ 3 ต้องรอนานถึง 45 ปี จากฝีมือของโจเซ่ มูรินโญ่ เทรนเนอร์ชาวโปรตุกีส ในปี 2010 และเป็นทีมแรกของอิตาลี ที่คว้า 3 แชมป์ใหญ่สุดภายในซีซั่นเดียว
ส่วนในปีนี้ (2023) ที่ทั้งคู่พบกันในรอบรองชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก นั่นหมายความว่า จะมี 1 ทีม ที่เป็นตัวแทนของเมืองในรอบชิงชนะเลิศอย่างแน่นอน โดยจะไปพบกับเรอัล มาดริด หรือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ย้อนรอยมิลาน ดาร์บี้ เวอร์ชั่นถ้วยยุโรปที่ดุเดือด
เอซี มิลาน และอินเตอร์ มิลาน เคยพบกันในฟุตบอลถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาแล้ว 2 ครั้ง รวมทั้งหมด 4 นัด และเป็นฝั่งสีแดง-ดำ ที่สามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้ทั้ง 2 ครั้ง พร้อมกับสถิติไร้พ่ายทุกนัดที่พบกัน
ครั้งแรก ในรอบรองชนะเลิศ ซีซั่น 2002/03 นัดแรก เอซี มิลาน อยู่ฝั่งเจ้าบ้านก่อน เสมอ 0 – 0 และนัดสอง สลับให้อินเตอร์ มิลาน เป็นทีมเจ้าบ้านบ้าง เสมอ 1 – 1 แต่ “รอสโซเนรี่” เข้าชิงชนะเลิศด้วยกฎอเวย์โกล
ครั้งต่อมา ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ซีซั่น 2004/05 เอซี มิลาน ได้สิทธิ์เป็นเจ้าบ้านเลกเรก เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2005 และทีมของ “อันเช่” เอาชนะไปได้ก่อน 2 – 0 จากประตูของยาป สตัม และอังเดร เชฟเชนโก้
อีก 6 วันต่อมา (12 เมษายน 2005) อินเตอร์ มิลาน สลับมาเป็นทีมเจ้าบ้าน ด้วยสถานการณ์ที่เป็นรองจากเลกแรก และยิ่งเป็นรองเข้าไปอีก เมื่อเชฟเชนโก้ ซัดด้วยซ้ายให้เอซี มิลาน บุกนำ 1 – 0 ในครึ่งแรก
ช่วง 20 นาทีสุดท้ายของเกม “เนรัซซูรี่” ได้เตะมุม เอสเตบัน กัมบิอัสโซ่ โขกจมตาข่าย แต่มาร์คุส แมร์ก ผู้ตัดสินชาวเยอรมันไม่ให้เป็นประตู เพราะมองว่ากัมบิอัสโซ่ไปทำฟาวล์ดีด้า ผู้รักษาประตูทีมเยือนก่อน
ซึ่งก่อนหน้านั้น แฟนบอลอินเตอร์ก็หงุดหงิดกับการตัดสินของมร.แมร์ก อยู่หลายครั้ง ความไม่พอใจสะสมมาเรื่อยๆ จนปะทุกลายเป็นความรุนแรง ด้วยการขว้างสิ่งของต่างๆ รวมถึงพลุไฟลงมาในสนาม
ทันใดนั้น มีพลุไฟอันหนึ่งถูกขว้างลงมาโดนที่หัวไหล่ของดีด้า จอมหนึบของมิลานเต็มๆ อีกทั้งยังมีภาพของรุย คอสต้า ยืนเคียงข้างกับมาร์โก้ มาเตรัซซี่ ท่ามกลางควันไฟ กลายเป็นภาพในตำนานของโลกลูกหนัง
มร.แมร์ก สั่งหยุดพักการแข่งขัน 10 นาที เพื่อเคลียร์สถานการณ์ ทว่าเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เหตุการณ์ความวุ่นวายไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง และเมื่อเห็นว่าไม่สามารถไปต่อได้ เขาจึงตัดสินใจยุติการแข่งขันในที่สุด
บทสรุปของเหตุการณ์เมื่อ 18 ปีก่อน ยูฟ่า ตัดสินให้งูใหญ่ถูกปรับแพ้ 0 – 3 ทำให้ตกรอบด้วยสกอร์รวม 0 – 5 นอกจากนี้ยังถูกปรับเงินเกือบ 200,000 ยูโร และลงเล่นเกมเหย้าถ้วยยุโรปแบบไม่มีคนดู 4 นัด
มีตั๋วลุยแชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นหน้าเป็นเดิมพัน
นับตั้งแต่ฤดูกาล 2022/23 เป็นต้นไป เซเรีย อา จะใช้ระบบ “เพลย์ออฟ” ในกรณีที่มีแต้มเท่ากัน สำหรับการลุ้นแชมป์ ระหว่างทีมจ่าฝูง พบกับทีมรองจ่าฝูง และการหนีตกชั้น ระหว่างอันดับ 17 พบกับอันดับ 18
ความสำคัญของดาร์บี้แมตช์เมืองมิลานฉบับยุโรป ไม่ใช่แค่การผ่านเข้าไปลุ้นแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เท่านั้น แต่ยังมีผลต่อการลุ้นอันดับท็อปโฟร์ ที่เอซี มิลาน และอินเตอร์ มิลาน มีคะแนนห่างกันไม่มาก
นาโปลี เป็นทีมแรกที่ได้สิทธิ์ไปยูซีแอล ซีซั่นหน้า ในฐานะแชมป์ลีก ส่วนตั๋วอีก 3 ใบที่เหลือ มีลุ้นแย่งกันถึง 6 ทีม โดยอันดับที่ 2 มีคะแนนมากกว่าทีมอันดับที่ 7 เพียง 6 แต้มเท่านั้น กับโปรแกรมที่เหลืออยู่ 4นัด
การจัดอันดับคะแนนในลีกอิตาลี ถ้าทีมที่มีคะแนนเท่ากัน (2 ทีม หรือมากกว่า) จะดูจากผลการแช่งขันในแมตช์ที่พบกันเอง หรือ “เฮด-ทู-เฮด” เป็นลำดับแรก ซึ่งจะใช้กฎนี้เฉพาะกลุ่มลุ้นโควตาฟุตบอลยุโรปเท่านั้น
การดูผลงานแบบ “เฮด-ทู-เฮด” ของลีกแดนมะกะโรนี จะไม่มีการนับประตูทีมเยือน (อเวย์โกล) และมีผลหลังจากจบฤดูกาลเรียบร้อยแล้ว ถ้าเฮด-ทู-เฮด เท่ากัน ให้ข้ามไปพิจารณาที่ประตูได้เสียนับรวมทั้งซีซั่น
อย่างไรก็ตาม ยูฟ่า กำหนดโควตาทีมที่ได้ไปแชมเปี้ยนส์ ลีก ไว้สูงสุดไม่เกิน 5 ทีม ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า ทีมที่จบอันดับ 4 ของลีกอิตาลี จะไม่ได้สิทธิ์เล่นถ้วยใหญ่สุด ถ้าเงื่อนไขสำคัญ 2 ข้อ เกิดขึ้นพร้อมกัน คือ
เงื่อนไขที่ 1 : เอซี มิลาน หรือ อินเตอร์ มิลาน ทีมใดทีมหนึ่ง คว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ไม่ติดท็อปโฟร์
เงื่อนไขที่ 2 : ยูเวนตุส หรือ โรม่า ทีมใดทีมหนึ่ง คว้าแชมป์ยูโรป้า ลีก แต่ไม่ติดท็อปโฟร์
ศึกดาร์บี้แมตช์ผ่าเมือง ในแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ ถือเป็นเกมที่เดิมพันสูงทั้งมิลาน และอินเตอร์ เพราะการที่ทีมใดทีมหนึ่งตกรอบไป ก็จะมีโอกาสเสี่ยงไม่น้อย ที่จะพลาดกลับมาเล่นถ้วยนี้ในฤดูกาลหน้า
โปรแกรมการแข่งขันเซเรีย อา 4 นัดสุดท้าย
– ยูเวนตุส (66 คะแนน) : เครโมเนเซ่ (เหย้า), เอ็มโปลี (เยือน), มิลาน (เหย้า), อูดิเนเซ่ (เยือน)
– ลาซิโอ (64 คะแนน) : เลชเช่ (เหย้า), อูดิเนเซ่ (เยือน), เครโมเนเซ่ (เหย้า), เอ็มโปลี (เยือน)
– อินเตอร์ (63 คะแนน) : ซัสซูโอโล่ (เหย้า), นาโปลี (เยือน), อตาลันต้า (เหย้า), โตริโน่ (เยือน)
– มิลาน (61 คะแนน) : สเปเซีย (เยือน), ซามพ์โดเรีย (เหย้า), ยูเวนตุส (เยือน), เวโรน่า (เหย้า)
– อตาลันต้า (58 คะแนน) : ซาแลร์นิตาน่า (เยือน), เวโรน่า (เหย้า), อินเตอร์ (เยือน), มอนซ่า (เหย้า)
– โรม่า (58 คะแนน) : โบโลญญ่า (เยือน), ซาแลร์นิตาน่า (เหย้า), ฟิออเรนติน่า (เยือน), สเปเซีย (เหย้า)
เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง
อ้างอิง :
– https://en.wikipedia.org/wiki/Derby_della_Madonnina
Football Editor