Categories
Special Content

ตลาดนักเตะพรีเมียร์ลีก 2023 ทุบสถิติใหม่ เปย์ทะลุ 2 พันล้านปอนด์

ตลาดซื้อขายนักเตะช่วงซัมเมอร์ปี 2023 ของพรีเมียร์ลีก ปิดทำการลงเรียบร้อย เมื่อคืนวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา ตามเวลาของอังกฤษ ทั้ง 20 สโมสรในลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ต่างเสริมทัพผู้เล่นกันอย่างคึกคัก

ยอดใช้จ่ายของทุกทีมในการซื้อนักเตะใหม่ในตลาดรอบนี้ รวมกันทะลุ 2 พันล้านปอนด์ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ลูกหนังเมืองผู้ดี อยู่ที่ 2.36 พันล้านปอนด์ ทุบสถิติเดิมที่ทำไว้เมื่อปี 2022 ลงอย่างราบคาบ

นั่นหมายความว่า ในฤดูกาล 2023/24 มีโอกาสสูงมากที่ยอดใช้จ่ายรวมทั้ง 2 รอบตลาด จะมากกว่าเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ที่ใช้เงินไป 2.74 พันล้านปอนด์ อีกทั้งมีความเป็นไปได้ที่ยอดรวมจะแตะถึง 3 พันล้านปอนด์

พรีเมียร์ลีก ยังคงเป็นลีกฟุตบอลที่มีเงินสะพัดเหนือกว่าลีกอื่นๆ ในโลก และนี่คือบทสรุปทุกประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้น รวมถึงตัวเลข สถิติที่น่าสนใจ ตลอดช่วงเวลาการซื้อขายของตลาดนักเตะฤดูร้อนปีนี้

สุดยอดบิ๊กดีลในแดนกลาง

ภาพรวมการซื้อขายนักเตะในตลาดช่วงซัมเมอร์ 2022 เรียกได้ว่าจ่ายหนักที่สุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะผู้เล่นในตำแหน่งกองกลาง หรือมิดฟิลด์ ที่ทุกสโมสรจ่ายเงินรวมกันเกิน 1 ฟันล้านปอนด์

บิ๊กดีลประจำตลาดรอบนี้ คือ มอยเซส ไกเซโด้ มิดฟิลด์ที่ย้ายจากไบรท์ตันไปเชลซี 115 ล้านปอนด์ ทุบสถิตินักเตะค่าตัวแพงสุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก แซงหน้าเอ็นโช่ เฟอร์นานเดซ ที่ซื้อมา 105 ล้านปอนด์

ตามมาด้วยอาร์เซน่อล ที่ทุ่มเงินมหาศาล เพื่อกระชากตัว 2 มิดฟิลด์อย่างดีแคลน ไรซ์ ที่ย้ายมาจากเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 105 ล้านปอนด์ รวมถึงไค ฮาแวร์ตซ์ จากเชลซี ด้วยค่าตัว 65 ล้านปอนด์

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

ลิเวอร์พูล กับปฏิบัติการผ่าตัดแดนกลางครั้งใหญ่ ได้มาถึง 4 คน คือ โดมินิค โซบอสซไล 60 ล้านปอนด์, อเล็กซิส แม็คอลิสเตอร์ 35 ล้านปอนด์, ไรอัน กราเวนเบิร์ช 34 ล้านปอนด์ และวาตารุ เอ็นโด 16 ล้านปอนด์

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้นักเตะใหม่ทดแทนในแดนกลางหลายคน อย่างเช่น มาเธอุส นูเนส จากวูล์ฟแฮมป์ตัน 55 ล้านปอนด์, เจเรมี่ โดคู จากแรนส์ 55 ล้านปอนด์ รวมถึงมาเตโอ โควาซิซ จากเชลซี 25 ล้านปอนด์

บรรดาทีมใหญ่อย่างเช่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ดึงตัวเมสัน เมาท์ 65 ล้านปอนด์, นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ในดีลของซานโดร โตนาลี่ 55 ล้านปอนด์ และท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่ได้ลายเซ็นของเจมส์ แมดดิสัน 45 ล้านปอนด์

ส่วนบิ๊กดีลในตำแหน่งอื่นๆ เช่น ยอสโก กวาร์ดิโอล กองหลังค่าตัว 77.6 ล้านปอนด์ (จากแอร์เบ ไลป์ซิก ไปแมนฯ ซิตี้) รวมถึงราสมุส ฮอยลุนด์ กองหน้าค่าตัว 72 ล้านปอนด์ (จากอตาลันตา ไปแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)

แข้งอายุน้อยค่าตัวไม่ธรรมดา

อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจของตลาดนักเตะฤดูร้อนปีนี้ คือดีลของนักเตะอายุน้อยอนาคตไกล ที่มีค่าฉีกสัญญาสูงขึ้นกว่าในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งหลายสโมสรก็ยอมลงทุนเพื่อแลกกับการใช้งานไปอีกหลายปี

อายุเฉลี่ยของการเซ็นสัญญานักเตะใหม่ในตลาดซื้อขายของพรีเมียร์ลีก ช่วงซัมเมอร์ ปี 2023 อยู่ที่ 24.3ปี โดยมี 6 สโมสร ที่มีอายุเฉลี่ยไม่เกิน 23 ปี และมีเพียง 3 สโมสรเท่านั้น ที่มีอายุเฉลี่ยอย่างน้อย 26 ปี

ดีลหลักๆ อย่างเช่น เชลซี ที่ได้ 2 กองกลางดาวรุ่งอย่างโรมิโอ ลาเวีย (19 ปี) ย้ายมาจากเซาธ์แธมป์ตัน จ่ายค่าตัวไป 58 ล้านปอนด์ อีกคนคือโคล พาลเมอร์ (21 ปี) ย้ายมาจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 45 ล้านปอนด์

ส่วนดีลอื่นๆ อย่างเช่น อเล็กซ์ สกอตต์ กองกลางบอร์นมัธ (20 ปี), เจมส์ แทร็ฟฟอร์ด ผู้รักษาประตูเบิร์นลี่ย์ (20 ปี) และคาเมรอน อาร์เชอร์ (21 ปี) กองหน้าเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ซึ่ง 3 คนนี้ มีค่าตัวรวมกัน 62.5 ล้านปอนด์ 

ซึ่งท็อป 5 ของนักเตะพรีเมียร์ลีกที่มีค่าตัวแพงสุดในตลาดรอบนี้ ล้วนมีอายุต่ำกว่า 25 ปีทั้งหมด คือ มอยเซส ไกเซโด้ (21 ปี), ดีแคลน ไรซ์ (24 ปี), ยอสโก กวาร์ดิโอล (21 ปี), ราสมุส ฮอยลุนด์ (20 ปี) และไค ฮาแวร์ตซ์ (24 ปี)

ขอบคุณภาพ : https://web.facebook.com/manchesterunited

ส่วนนักเตะอายุเกิน 25 ปี ที่ซื้อเข้ามาแพงที่สุด คือ อันเดร โอนาน่า ผู้รักษาประตูวัย 27 ปี ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (47.5 ล้านปอนด์) อีกคนคือเจมส์ แมดดิสัน กองกลางวัย 26 ปี ของสเปอร์ส (45 ล้านปอนด์)

หลายๆ สโมสร มักจะใช้วิธีซื้อนักเตะดาวรุ่งมาร่วมทีม และเซ็นสัญญายาวหลายปี เนื่องจากมองว่าค่าจ้างยังไม่แพง และเป็นการลงทุนในระยะยาว ซึ่งต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ค่าตัวจะแพงกว่าฝีเท้าหรือไม่

พลังดูดจากลีกซาอุดิอารเบีย

ในตลาดซื้อขายนักเตะช่วงซัมเมอร์ ปี 2023 มีปรากฎการณ์สำคัญเกิดขึ้น เมื่อสโมสรฟุตบอลจากประเทศซาอุดีอารเบีย ได้ดูดผู้เล่นดาวดังจากสโมสรในยุโรปไปมากมาย ไม่เว้นแม้กระทั่งพรีเมียร์ลีก อังกฤษ

ตัวอย่างเช่น ลิเวอร์พูล ปล่อย 3 นักเตะให้สโมสรในลีกซาอุฯ คือ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ กองหน้าวัย 31 ปี ไปอัล-อาห์ลี, ฟาบินโญ่ มิดฟิลด์ตัวรับวัย 29 ปี ไปอัล-อิตติฮัด และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน อดีตกัปตันทีมวัย 33 ปี ไปอัล-เอตติฟาค

ส่วนกรณีของ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ กองหน้าตัวเก่ง ที่ตกเป็นข่าวย้ายทีมเขย่าขวัญแฟนๆ “เดอะ ค็อป” รายวัน เนื่องจากอัล-อิตติฮัด ได้ยื่นข้อเสนอแบบจัดหนักระดับหลักร้อยล้านปอนด์ เพื่อหวังกระชากตัวไปร่วมทีมให้ได้

เชลซี ก็ปล่อยนักเตะสู่แดนเศรษฐีน้ำมัน 3 คนเช่นกัน ได้แก่ เอดูอาร์ เมนดี้ ผู้รักษาประตูวัย 31 ปี ไปอัล-อาห์ลี, เอ็นโกโล ก็องเต้ มิดฟิลด์ตัวรับวัย 32 ปี ไปอัล-อิตติฮัด และคาลิดู คูลิบาลี่ เซ็นเตอร์แบ็กวัย 32 ปี ไปอัล-ฮิลาล

ขณะที่ดีลอื่นๆ อย่างเช่น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ปล่อยอายเมอริค ลาปอร์กต์ ไปให้อัล-นาสเซอร์ กับริยาด มาห์เรซ ไปให้อัล-อาห์ลี รวมถึงอัลลัน แซงต์-แม็กซิแมง จากนิวคาสเซิล ไปอัล-อาห์ลี และรูเบน เนเวส จากวูล์ฟส์ ไปอัล-ฮิลาล

รวมดีลสำคัญในวันเดดไลน์

ถ้านับเฉพาะการซื้อขายที่เกิดขึ้นในวันสุดท้ายของตลาดนักเตะรอบนี้ คือวันที่ 1 กันยายน 2023 จะพบว่ามีดีลที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งหลายๆ สโมสรในพรีเมียร์ลีก ก็มีการปิดดีลนักเตะในวันตลาดวาย

น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ เซ็นสัญญานักเตะเข้ามาถึง 7 คน ซึ่งในจำนวนนี้ มีชื่อของอิบราฮิม ซานกาเร่ กองกลางจากพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น, คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย กองกลางจากเชลซี รวมถึงนิโคลัส โดมิงเกวซ กองกลางจากโบโลญญ่า

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปิดดีล 4 นักเตะ ได้แก่ อัลไต บายินดีร์ ผู้รักษาประตูจากเฟเนร์บาห์เช่, โซฟียาน อัมราบัต กองกลางจากฟิออเรนติน่า, เซร์คิโอ เรกีลอน ฟูลแบ็กซ้ายจากสเปอร์ส และจอนนี่ อีเวนส์ กองหลังฟรีเอเยนต์

ขอบคุณภาพ : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

ลิเวอร์พูล เสริมผู้เล่นเพิ่มอีก 1 คนในวันปิดตลาด คือ ไรอัน กราเวนเบิร์ช มิดฟิลด์จากบาเยิร์น มิวนิค ขณะที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ได้มิดฟิลด์ตัวใหม่อย่างมาเธอุส นูเนส ดาวเตะทีมชาติโปรตุเกส จากวูล์ฟแฮมป์ตัน

ส่วนดีลอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น เบรนแนน จอห์นสัน ย้ายจากฟอเรสต์ ไปสปอร์ส 45 ล้านปอนด์, อเล็กซ์ อิโวบี้ ย้ายจากเอฟเวอร์ตัน ไปฟูแล่ม 22 ล้านปอนด์ รวมถึงอันซู ฟาติ จากบาร์เซโลน่า ไปไบรท์ตัน ด้วยสัญญายืมตัว

ลีกลูกหนังช็อปบ้าคลั่งต่อเนื่อง

พรีเมียร์ลีก อังกฤษ คือลีกที่ใช้เงินมากที่สุดในตลาดซื้อขายนักเตะช่วงซัมเมอร์ ปี 2023 เมื่อเทียบกับ 5 ลีกใหญ่ยุโรป นอกจากนี้ ยังเป็นตัวเลขที่ทุบสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ลูกหนังเมืองผู้ดีอีกด้วย

เชลซี ยังคงเป็นทีมที่ครองแชมป์ช็อปช่วงฤดูร้อนเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน หลังทุ่มไปร่วม 400 ล้านปอนด์ แลกกับผู้เล่นใหม่ 10 คน ทุบสถิติเดิมของเรอัล มาดริด ที่ใช้ไป 292 ล้านปอนด์ ในช่วงเดียวกันของปี 2019

ซึ่งนับตั้งแต่ท็อดด์ โบห์ลี่ มหาเศรษฐีจากสหรัฐอเมริกา เข้ามาเป็นเจ้าของทีมคนใหม่ของสิงห์บูลส์เมื่อปี 2022 ได้ใช้เงินซื้อนักเตะใหม่เฉพาะ 3 รอบตลาดหลังสุด รวมกันแตะ 1 พันล้านปอนด์เรียบร้อยแล้ว

จากข้อมูลของดีลอยด์ (Deloitte) บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินระดับโลก ระบุว่า ตัวเลข 2.44 พันล้านปอนด์ ในตลาดรอบนี้ ทำลายสถิติเดิมจากช่วงเดียวกันเมื่อปี 2022 ที่มียอดใช้จ่าย 1.92 พันล้านปอนด์

ข้อมูลสำคัญของ Deloitte จากตลาดซื้อขายนักเตะซัมเมอร์ปี 2023 มีดังต่อไปนี้

– ทีมในพรีเมียร์ลีก มียอดค่าใช้จ่ายคิดเป็น 48 เปอร์เซ็นต์ ของการใช้เงินทั้งหมดใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป (อังกฤษ, เยอรมนี, อิตาลี, สเปน, ฝรั่งเศส)

– ทีมในพรีเมียร์ลีก ได้เงินค่าตัวนักเตะจากสโมสรในต่างประเทศ รวมกัน 550 ล้านปอนด์ ซึ่งมากกว่าช่วงเดียวกันของปี 2022 ที่ทำไว้ 210 ล้านปอนด์ หรือมากกว่ากันกว่า 2 เท่า

– ใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป มีเพียงลาลีกา สเปน ที่มีค่าใช้จ่ายในการซื้อนักเตะต่ำกว่าช่วงเดียวกันเมื่อฤดูกาลที่แล้ว

– ใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป มีเพียงพรีเมียร์ลีก อังกฤษ และลีกเอิง ฝรั่งเศส ที่ใช้เงินซื้อนักเตะโดยเฉลี่ย มากกว่าการทำเงินจากการขายนักเตะ

– มีดีลนักเตะในพรีเมียร์ลีกที่ย้ายทีมด้วยค่าตัวอย่างน้อย 50 ล้านปอนด์ขึ้นไป ถึง 13 ดีล ซึ่งมากกว่าช่วงเดียวกันของปี 2021 และ 2022

ทิม บริดจ์ หัวหน้าฝ่ายธุรกิจการกีฬาของ Deloitte กล่าวว่า “การใช้จ่ายในตลาดนักเตะปีนี้ ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน แสดงให้เห็นว่า ทีมในพรีเมียร์ลีกอาจกลับมามีรายได้ที่เติบโตขึ้นต่อเนื่อง หลังจากช่วงโควิด”

“มี 14 จาก 20 สโมสรพรีเมียร์ลีก ที่เสริมผู้เล่นมากกว่าปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มข้นของการแข่งขันที่สูงขึ้น อันเนื่องมาจากความกดดันที่สโมสรต่างๆ ได้กำหนดเป้าหมายที่ท้าทายมากขึ้น”

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

– https://www.bbc.com/sport/football/66688894

https://theathletic.com/4827472/2023/09/03/premier-league-spending-transfer-window/

https://www.telegraph.co.uk/football/2023/09/02/transfer-window-2023-done-deals-premier-league-club-by-club/

https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-12473083/Premier-League-clubs-SMASHED-gross-spending-record-one-transfer-window-single-league-summer-2-4-BILLION-splashed-players-end-deadline-day.html

https://www.transfermarkt.com/saudi-professional-league/transfers/wettbewerb/SA1

Categories
Special Content

จากเด็กติดพ่อที่หายใจเป็นฟุตบอล สู่ฉายา “เดอะ เน็กซ์ ปุสกัส” ของโซบอสไล

โดมินิก โซบอสไล (Dominik Szoboszlai) เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่คนที่ 2 ของลิเวอร์พูลในตลาดซัมเมอร์ปี 2023 ด้วยค่าตัว 60 ล้านปอนด์ แพงเป็นอันดับ 4 ในประวัติศาสตร์สโมสร รองจากดาร์วิน นูนเญซ 85.36 ล้านปอนด์, เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค 75 ล้านปอนด์ และอลิสซง เบคเกอร์ 65 ล้านปอนด์

แม้อายุเพิ่ง 22 ปี แต่โซบอสไลมีดีกรีเป็นถึงกัปตันทีมชาติฮังการีโดยสวมปลอกแขน C นัดแรกกลางเดือนพฤศจิกายน 2022 เป็นแมตช์อุ่นเครื่องเสมอลักเซมเบิร์ก 2-2 และก่อนบอลยูโร 2024 รอบคัดเลือกในเดือนกันยายน 2023 โซบอสไลเล่นให้ทีมชาติ 32 นัด ทำ 7 ประตู 

ลิเวอร์พูลยังได้มอบเสื้อเบอร์ 8 ให้กับโซบอสไล ซึ่งเป็นหมายเลขที่ตำนานนักเตะ สตีเวน เจอร์ราร์ด ครอบครองยาวนานตั้งแต่ปี 2004 ถึง 2015 ก่อนว่างเว้น 3 ปี และถูกส่งต่อให้ นาบี กิเอตา ในปี 2018 จนกระทั่งมิดฟิลด์ทีมชาติกินีออกจากทีมเมื่อหมดสัญญากับสโมสรกลางปี 2023 นอกจากนี้ “สตีวี จี” ยังเป็น 1 ใน 2 นักเตะไอดอลวัยเด็กของโซบอสไล อีกคนคือ คริสเตียโน โรนัลโด

เจสซี มาร์ช อดีตผู้จัดการทีมลีดส์ ยูไนเต็ด ซึ่งเคยเป็นนายใหญ่ของโซบอสไลที่เรด บูลล์ ซัลซ์บวร์ก เคยเปรียบเปรยอดีตลูกทีมชาวฮังกาเรียนว่า “โมเดิร์น-เดย์ เดวิด เบคแฮม” เพราะยามใดที่บอลอยู่เท้าขวา โซบอสไลสามารถส่งไปที่ไหนก็ได้ตามใจปรารถนา ด้วยความแม่นยำและความเร็วที่เหลือเชื่อ ส่วนสาเหตุที่เลือกใช้คำว่า “สมัยใหม่” เนื่องจากโซบอสไลเคลื่อนที่มากกว่าและคล่องตัวมากกว่าเมื่อเทียบกับการเล่นฟุตบอลครั้งอดีต

มาร์ชยังเล่าด้วยว่า ช่วงพักผ่อนกับครอบครัวที่กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี เขาเห็นใบหน้าโซบอสไลปรากฏอยู่ทุกหนแห่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโซบอสไลดังขนาดไหนในบ้านเกิด ว่ากันว่าโซบอสไลเป็นความหวังและความภูมิใจของชาวฮังกาเรียนจนได้รับสมญานามว่า “เดอะ เน็กซ์ ปุสกัส” ซึ่งหมายถึง เฟเรนซ์ ปุสกัส ตำนานนักเตะผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำ 83 ประตูจากการติดทีมชาติฮังการี 84 นัด

โซบอสไลถือว่าเติบโตบนถนนลูกหนังอาชีพอย่างรวดเร็ว ลงเตะให้ทีมชาติฮังการีชุดใหญ่นัดแรกตอนอายุ 19 ปี หลังจากเคยถูกเรียกตัวร่วมฝึกซ้อมตั้งแต่อายุเพียง 17 ปี ส่วนระดับเยาวชน เขาเล่นให้ 10 นัดให้ทีมชาติ ยู-17, 5 นัดให้ทีมชาติ ยู-19 และ 8 นัดให้ทีมชาติ ยู-21

ขอบคุณภาพจาก  https://www.hungarianconservative.com/articles/opinion/dominik_szoboszlai_country_image_nonpolitics_historical_success/

เกียรติประวัติระดับสโมสร ที่เรด บูลล์ ซัลซ์บวร์ก ครองแชมป์ ออสเตรียน บุนเดสลีกา 4 สมัยติดต่อกันในซีซัน 2017–18, 2018–19, 2019–20, 2020–21 ครองแชมป์ออสเตรียน คัพ 3 สมัยติดต่อกันในซีซัน 2018–19, 2019–20, 2020–21 และที่แอร์เบ ไลป์ซิก ชนะเลิศเดเอฟเบ โพคาล 2 สมัยติดต่อกันในซีซัน 2021–22, 2022–23

เริ่มออกผจญภัยในโลกฟุตบอลอันกว้างใหญ่ในวัย 16 ปี

ด้วยวัย 22 ปี โซบอสไลถือว่ามีฝีเท้าทักษะความสามารถเหนือมาตรฐานเฉลี่ยของนักเตะอายุใกล้เคียงกัน เล่นได้หลายตำแหน่งทั้ง บ็อกซ์-ทู-บ็อกซ์ มิดฟิลด์, มิดฟิลด์ตัวขวา และมิดฟิลด์ตัวรุก ซึ่งเกิดจากการเรียนรู้และสะสมประสบการณ์กีฬาลูกหนังตั้งแต่อายุยังน้อยร่วมกับ ซอลซ์ โซบอสไล คุณพ่อของเขาที่เคยเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เรื่องราวของ 2 พ่อลูกโซบอสไลมีแง่มุมที่น่าสนใจไม่น้อย แต่ก่อนที่จะเข้าสู่เรื่องราวของซอลซ์และโดมินิก ขอใช้เนื้อที่ช่วงต้นบทความนี้ไปกับประวัติโดยย่อของโซบอสไลผู้ลูกกันก่อน

โดมินิก โซบอสไล เกิดวันที่ 25 ตุลาคม 2000 ที่เมืองซีแกชแฟแฮร์วาร์ (Székesfehérvár) ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงบูดาเปสต์ เมืองหลวงของฮังการี ลงไปทางใต้ประมาณ 40 ไมล์ ชีวิตนักฟุตบอลเติบโตผ่านระบบเยาวชนของ วิดีโอตัน (2006–2007), โฟนิกซ์ โกลด์ (2007-2015), เอ็มทีเค บูดาเปสต์ (2015-2016) และ ลีฟแฟร์ริง (2016-2017) ซึ่งเป็นทีมสำรองของ เรด บูลล์ ซัลซ์บวร์ก ในดิวิชัน 2 ประเทศออสเตรีย 

โซบอสไลได้เลื่อนขึ้นไปร่วมทีมชุดใหญ่ของ ลีฟแฟร์ริง ซึ่งแข่งขันอยู่ในลีกา 2 ประเทศออสเตรีย ซีซัน 2017-18 ประเดิมลงสนามในเดือนกรกฎาคม 2017 และจบซีซันด้วยสถิติ 33 นัด 10 ประตู แต่ปลายซีซัน มิดฟิลด์ดาวรุ่งได้รับโอกาสจากซัลซ์บวร์ ลงสัมผัสเกมออสเตรียน บุนเดสลีกา 1 นัด ถูกเปลี่ยนลงไปนาทีที่ 57 ของแมตช์กับออสเตรียน เวียนนา วันที่ 27พฤษภาคม 2018

ซีซัน 2018-19 โซบอสไลยังเล่นควบ 2 ทีม สถิติเฉพาะบอลลีก ลีฟแฟร์ริง 9 นัด 6 ประตู และซัลซ์บวร์ก 16 นัด 3 ประตู ซึ่งประตูแรกเกิดขึ้นในแมตช์กับแวคเกอร์ อินส์บรุค วันที่ 17 มีนาคม 2019 

ซีซัน 2019-20 โซบอสไลกลายเป็นตัวหลักของซัลซ์บวร์ก เล่นบอลลีก 27 นัดจากทั้งหมด 32 นัด ทำ 9 ประตู 14 แอสซิสต์ อีกทั้งได้ประเดิมสนามแชมเปียนส์ ลีก เป็นครั้งแรก ทำ 1 ประตูจาก 5 นัด และยังได้เตะรอบน็อคเอาท์ ยูโรปา ลีก อีก 2 นัด ที่สำคัญเขาได้รับตำแหน่งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของออสเตรียน บุนเดสลีกา

ซีซัน 2020-21 โซบอสไลอยู่กับทีมซัลซ์บวร์กได้ครึ่งฤดูกาล ก่อนมีข่าวเซ็นสัญญา 4 ปีครึ่งกับ แอร์เบ ไลป์ซิก เมื่อวันที่ 17ธันวาคม 2020 ด้วยค่าตัว 20 ล้านยูโร สร้างสถิติเป็นนักเตะฮังกาเรียนค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่โชคร้ายได้รับบาดเจ็บ ไม่สามารถลงสนามให้ Die Roten Bullen แม้แต่นัดเดียว

โซบอสไลเปิดตัวในยูนิฟอร์มไลป์ซิกนัดแรกเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2021 เป็นการแข่งขันเดเอฟเบ โพคาล กับเอสเฟา ซานด์เฮาเซน เขาถูกเปลี่ยนตัวลงมานาทีที่ 78 และทำประตูแรกได้อีก 3 นาทีถัดมา โดย 2 ซีซัน โซบอสไลเล่นให้ไลป์ซิกรวมทุกรายการ 45 นัด 10 ประตูใน ซีซัน 2021-22 และ 46 นัด 10 ประตูใน ซีซัน 2022-23 พร้อมคว้าแชมป์เยอรมัน คัพ ทั้ง 2 ปี ก่อนย้ายไปร่วมทีม ลิเวอร์พูล ในเดือนกรกฎาคม 2023 ด้วยค่าฉีกสัญญา 70 ล้านยูโร

มีรายงานว่า ลิเวอร์พูลใช้เวลาไม่ถึงสัปดาห์จบดีลนี้ เริ่มต้นเปิดโต๊ะเจรจากับ มัตยาส เอสเตอร์ฮาซี ตัวแทนของโซบอสไลในวันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2023 ก่อนเงื่อนไขฉีกสัญญาหมดอายุที่เยอรมนีเพียง 5 วัน และได้ข้อสรุปในวันศุกร์ ทำให้โซบอสไลต้องยกเลิกโปรแกรมวันหยุดพักผ่อนที่โครเอเชียก่อนกำหนด 

โซบอสไลเล่าว่า “พวกเรากำลังสนุกสนานกัน แต่จู่ๆเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เอเยนต์ของผมแจ้งว่า ตอนนี้นายต้องหยุดกิจกรรมบันเทิงเริงรมย์ ต้องดูแลตัวเองดีๆ เพราะนายต้องย้ายสโมสรแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก แค่ 2-3 วันเท่านั้นเอง แต่ผมสัมผัสได้ตั้งแต่วันแรกแล้ว ผู้จัดการ (เยอร์เกน คลอปป์) โทรคุยกับผม ซึ่งนั่นเป็นการตัดสินใจขั้นสุดท้ายแล้วว่า โอเค ผมต้องการไปอยู่กับลิเวอร์พูล จากนั้นเอเยนต์ก็คุยกับสโมสร แล้ว 2 สโมสรก็คุยกัน”

โซบอสไลให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมาถึงเป้าหมายว่า “ผมคิดว่าทุกคนในพรีเมียร์ลีกที่มีโอกาสชนะ พวกเขาต่างปรารถนาคว้าชัยชนะเสมอ พวกเราต่างคิดเหมือนๆกัน ผมก็คิดเหมือนกัน ผมเป็นคนประเภทนั้น คนที่ชอบชนะ ผมจะทำทุกอย่างเพื่อทีม ถ้าถามว่าผมต้องการครองแชมป์พรีเมียร์ลีกไหม แน่นอน ผมต้องการชนะเลิศ เช่นเดียวกับยูโรปา ลีก และเอฟเอ คัพ ผมต้องการแชมป์ ทุกอย่างที่เราสามารถทำได้ในปีนี้ ผมต้องการชนะทุกสิ่งเพราะไม่มีใครมาถามคุณหรอกว่า รู้สึกอย่างไรที่ได้อันดับ 2”

อายุ 3 ขวบ พ่อจับหัดเลี้ยงบอลหลบขวดพลาสติก

ตอนที่โซบอลไลเกิด คุณพ่อ (ซอลท์) อายุ 23 ปี คุณแม่ (ซาเนตต์) อายุเพิ่ง 19 ปี ซอลท์เริ่มหัดลูกชายเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ให้เลี้ยงบอลหลบขวดพลาสติกที่วางอยู่บนพื้นภายในบ้านเพราะไม่มีสวนหรือสนามหญ้า

“ถ้าขวดมีน้ำเต็ม มันค่อนข้างง่ายกว่า ถ้าขวดล้ม ผมก็ต้องเริ่มต้นเลี้ยงลูกใหม่ ผมเลี้ยงไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะไม่ล้ม ผมทุ่มเทความพยายามจนกระทั่งการเลี้ยงสมบูรณ์แบบ พ่อยังให้ผมเล่นบอลขณะมือกำลูกกอล์ฟด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าผมไม่ทำฟาวล์ด้วยการใช้มือไปดึงเสื้อใคร พ่อไม่อยากให้ผมเติบโตด้วยนิสัยชอบทำฟาวล์ พ่อชอบให้ทำอะไรเพี้ยนๆแบบนั้นแหละ”

โซบอสไลเปิดเผยว่า คริสเตียโน โรนัลด์ และ สตีเวน เจอร์ราร์ด เป็นไอดอลหรือแบบอย่างในเรื่องความทุ่มเททำงานและแพสชันฟุตบอล “แต่พ่อเป็นแรงบันดาลมีอิทธิพลยิ่งใหญ่ต่อตัวผมมากที่สุด เราแทบจะทำทุกอย่างด้วยกัน คนเกือบ 90เปอร์เซ็นต์อาจเติบโตด้วยการอยู่กับแม่ แต่ผมอยู่กับพ่อทั้งวัน ผมเจอแม่แค่ตอนเช้า จากนั้นก็ไปขลุกอยู่กับพ่อ”

“ผมฝึกซ้อมกับพ่อมายาวนานมาก เขาเป็นโค้ชของผม สิ่งที่เรียนรู้เกือบทั้งหมดเป็นเรื่องเทคนิคและการยิง จนกระทั่งย้ายเข้าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรด บูลล์ ทั้งที่ซัลซ์บวร์กและไลป์ซิก ผมจึงได้เรียนรู้การเล่นกับลูกบอล แล้วก็เรื่องระบบ ทำให้ผมรู้จักยืนตำแหน่งเบอร์ 8 เบอร์ 10 บางทีครั้งก็เบอร์ 6 ผมเพียงพยายามเรียนรู้ทุกอย่างจากตรงนั้น แต่ชีวิตช่วงแรกค่อนข้างยากที่ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีเพื่อนฝูง ผมมีแฟนแล้วตอนนั้น ผมพูดภาษาไม่ได้ทั้งอังกฤษหรือเยอรมัน” โซบอสไลย้อนอดีตเมื่อครั้งต้องออกจากประเทศบ้านเกิดขณะอายุเพียง 16 ปี

มาอ่านเรื่องราวที่เล่าจากปากของซอลท์ โซบอสไล ซึ่งเคยเล่นฟุตบอลอาชีพลีกล่างในตำแหน่งหน้าต่ำ กันบ้าง “ทันทีที่โดมินิกเดินได้ ผมก็ให้ลูกบอลกับเขา เขามักมาดูผมแข่งขันด้วย เหมือนเขาจะสนุกกับมันนะ”

ประมาณปี 2007 ตอนโดมินิกอายุ 7 ขวบ หลังถูกวิดีโอตันปล่อยออกจากทีม ซอลท์ได้ร่วมก่อตั้งสถานบันสอนฟุตบอลที่ชื่อว่า โฟนิกซ์ โกลด์ ซึ่งที่นี่ โดมินิกมีโอกาสร่วมฝึกซ้อมทุกวัน “ถ้าไม่อยู่ที่โรงเรียน โดมินิกก็จะอยู่ที่สนามซ้อม” ขณะที่โดมินิกเล่าถึงชีวิตวัยเด็กว่า “ผมจำไม่ได้นะว่าเคยมีตัวต่อเลโกหรือตุ๊กตาหรือเปล่า สิ่งที่ผมสนใจมีอย่างเดียวคือ ลูกฟุตบอล”

โซบอสไลเป็นคนที่ชอบรอยสัก มีรอยสักมากมายทั้งภาพและตัวอักษรบนเรือนร่าง รวมถึงประโยคของเจอร์ราร์ดที่เขาชื่นชอบ “Talent is a blessing from God, but without incredible will and humility, it is worthless.” เขาเคยให้สัมภาษณ์ถึงรอยสักว่า “ตอนนั้นผมยังเป็นวัยรุ่นและชอบรอยสักข้อความ ผมจึงใช้มันเป็นเดิมพันกับพ่อ พ่อก็โอเคแล้วพูดว่า ลูกไปหาประโยคที่ต้องการมา ซึ่งผมตอบกลับทันทีว่า ผมมีอยู่แล้ว เรามาคุยเรื่องพนันกันเลยดีกว่า

เดิมพันครั้งนั้นเกี่ยวกับการทดสอบการวิ่งช่วงที่โดมินิกอยู่ในอะคาเดมีของซัลซ์บวร์ก ซอลท์บอกว่าเขายินดีจ่ายค่าสักให้หากโดมินิกทำลายสถิติการวิ่ง ซึ่งโซบอสไลคนลูกทำสำเร็จแล้วได้รอยสักสมใจนึก 

“เราพนันกันเล็กๆน้อยๆตลอดเวลา ผมเป็นคนชอบรถยนต์ พ่อจะพูดบ่อยๆว่า ลูกจะเอารถอะไรก็ได้อย่างที่ต้องการ แต่อันดับแรก ลูกต้องประสบความสำเร็จอะไรก่อน ผมเข้าทีมไลป์ซิก ผมก็ได้รถ พอผมย้ายไปลิเวอร์พูล ผมก็ได้รถอีก”

ซอลท์บอกว่า โดมินิกเหมือนเกิดมาเพื่อทำการแข่งขัน “บางครั้ง เขาก็เพียงท้าผมวิ่งแข่ง ว่าใครไปถึงประตูบ้านก่อนกัน แต่ผมไม่เคยปล่อยให้เขาชนะหรอกนะ เขายังเคยซ้อมเตะลูกฟรีคิกทุกวัน วันละ 100 หรือ 200 ครั้ง ความปรารถนาที่จะพัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆไม่เคยหมดไปจากเขาเลย”

เห็นได้ชัดว่า โซบอสไลใช้ชีวิตร่วมกับฟุตบอลตลอด สำหรับเขาในวัยเด็ก ลูกบอลคือออกซิเจน บ้านคือสนามฟุตบอล โซบอสไลเคยให้สัมภาษณ์กับ เนมเซติ สปอร์ต ว่า เขาไม่เคยใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไป ขณะที่เด็กคนอื่นไปโรงหนัง เขาอยู่สนามฟุตบอล

อะคาเดมีที่วิธีสอนแหวกแนว ยิ่งเทคนิคดี ยิ่งเล่นบอลสนุก

ซีแกชแฟแฮร์วาร์ อยู่ห่างจากกรุงบูดาเปสต์ประมาณ 1 ชั่วโมง เป็นเมืองอุตสาหกรรมที่เต็มไปด้วยโรงงานบริษัทใหญ่อย่างฟอร์ดและไอบีเอ็ม จนกระทั่งทศวรรษ 1980 เมืองนี้กลายเป็นที่รู้จักของแฟนบอลเมื่อสโมสรท้องถิ่น วิดีโอตัน เข้าไปเล่นรอบชิงชนะเลิศยูฟา คัพ แพ้ต่อเรอัล มาดริด ด้วยสกอร์รวม 1-3 ในเดือนพฤษภาคม 1985

วิดีโอตัน ซึ่งปัจจุบันคือ โมล แฟแฮร์วาร์ เอฟซี สโมสรใน NB I ลีกสูงสุดของฮังการี กลายเป็นหนึ่งในทีมยักษ์ใหญ่ของประเทศ หนึ่งในแฟนบอลคือ วิกตอร์ ออร์บาน นายกรัฐมนตรีประเทศฮังการี ซึ่งช่วยสนับสนุนให้สโมสรก่อตั้งอะคาเดมีที่ผลิตนักเตะดาวรุ่งฝีเท้าดีเข้าสู่ระบบ

สำหรับซอลท์ เขาได้ก่อตั้ง โฟนิกซ์ โกลด์ ซึ่งเป็นทั้งสโมสรและอะคาเดมีฟุตบอลในเมืองซีแกชแฟแฮร์วาร์ โรงยิมตั้งอยู่ท่ามกลางเขตโรงงานที่เต็มไปด้วยอาคารสภาพทรุดโทรมถ้ามองจากภายนอก ข้างในมีสนามฟุตบอลหญ้าเทียม 7 คน 2สนาม ที่นี่เป็นที่ที่โดมินิกใช้ชีวิตวัยเด็กเป็นส่วนใหญ่

รูปแบบการฝึกสอนของโฟนิกซ์ โกลด์ แตกต่างจากอะคาเดมีทั่วไป ซึ่งได้รับการสร้างสรรค์และพัฒนาโดยซอลท์และโค้ชกลุ่มเล็กๆ ถือเป็นนวัตกรรมใหม่สมัยนั้น นั่นคือโฟกัสไปที่เทคนิค ซึ่งเป็นสิ่งที่โดมินิกคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก

ที่โฟนิกซ์ โกลด์ สตาฟฟ์โค้ชเริ่มสอนเด็กๆตั้งแต่อายุยังน้อยและสอนกลุ่มเล็กๆด้วยไอเดียที่ค่อนข้างแปลกเช่น แทนสวมเสื้อเอี๊ยม พวกเขาให้เด็กคาดเฮดแบนด์ที่ศีรษะเพื่อบังคับให้เงยหน้าขึ้นมอง หรือให้กำลูกกอล์ฟไว้ในมือเพื่อไม่ให้ดึงเสื้อซึ่งกันและกัน เป็นทริกเล็กๆเพื่อสร้างนิสัยที่ดีสำหรับนักฟุตบอล

ซอลท์ให้สัมภาษณ์ว่า “ความมุ่งมั่นของเราอยู่ที่การเรียนรู้ทักษะทางเทคนิค ปรัญชาของเราคือ เมื่อมีทักษะทางเทคนิคที่ดี ก็จะมีความสนุกมากขึ้นเวลาลงเล่นฟุตบอล

โฟนิกซ์ โกลด์ ไม่เพียงสร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการลูกหนังฮังการีแทบจะทันทีแต่ยังประสบความสำเร็จด้วย ทีมฟุตบอลรุ่นอายุเดียวกับโดมินิกครองแชมป์ คอร์เดียล คัพ ในปี 2011 และ 2013 หลังจากผ่านคู่แข่งที่มีชื่อเสียงอย่าง บาเยิร์น มิวนิก, นอริช ซิตี, เอฟซี บาเซิล และเรด บูลล์ ซัลซ์บวร์ก

บรรดาแมวมองพากันให้ความสนใจเด็กๆของโฟนิกซ์ โกลด์ หลายคนถูกดึงตัวเข้าร่วมอะคาเดมีของสโมสรใหญ่ต่างประเทศ หลายคนเล่นอยู่ในลีกสูงสุดของฮังการีตอนนี้ ขณะที่โดมินิก ซึ่งได้รับฉายาว่า the small one หรือ “ตัวเล็ก” มักเล่นอยู่ในรุ่นอายุที่สูงกว่าเสมอแต่ทำผลงานได้โดดเด่น เขามีโอกาสไปทดสอบฝีเท้าที่อิตาลีและเนเธอร์แลนด์ แต่ท้ายที่สุดเป็นออสเตรีย

ซอลท์เล่าว่า “ซัลซ์บวร์กเห็นเขาขณะเล่นให้ทีมชาติรุ่น ยู-15 นัดหนึ่ง ตอนนั้นเขาอายุเพิ่ง 15 ปี จึงไม่สามารถเซ็นสัญญาได้” ซัลซ์บวร์กเฝ้าติดตามพัฒนาการและเชิญโดมินิกไปทดสอบฝีเท้าอยู่หลายครั้งจนกระทั่งอายุ 16 ปี กฎระเบียบจึงอนุญาตให้ซัลซ์บวร์กนำเขาเข้าสู่สโมสรได้ โดยโดมินิกถูกส่งตัวไปอยู่กับลีฟแฟร์ริงเป็นอันดับแรก

ลงซ้อมมื้อแรกที่ซัลซ์บวร์ก ทำคู่แข่งเลือดกลบปาก

ที่โฟนิกซ์ โกลด์ โดมินิกแทบไม่เคยเจอการท้าทายหรือการแข่งขันระดับที่เข้มข้นเลย แต่สถานการณ์ต่างไปเมื่อมาอยู่ซัลซ์บวร์ก ซึ่งในการซ้อมครั้งแรก สตาฟฟ์โค้ชจับจ้องว่าโดมินิกเป็นอย่างไรเมื่อเผชิญหน้ากับเพื่อนร่วมทีมใหม่ เขาเจอการต้อนรับแบบดุดันถึงขั้นเสื้อเอี๊ยมฉีกขาด แต่เด็กใหม่จากฮังการีไม่เบือนหน้าหนี การซ้อมวันนั้นจบลงด้วยคู่แข่งของโดมินิกออกจากสนามในสภาพปากเลือดไหล สร้างความพึ่งพอใจให้เหล่าโค้ช

คริสตอฟ ฟรอยด์ ผู้อำนวยการกีฬาของซัลซ์บวร์ก ยังจำเมื่อครั้งโดมินิกมาถึงสโมสรใหม่ๆได้ “เขามาอยู่เรด บูลล์ ซัลซ์บวร์ก ตอนเป็นหนุ่มน้อยมากๆ แต่เต็มไปด้วยทักษะความสามารถและความเชื่อมั่นในตัวเอง แต่ยังมีเรื่องต้องเรียนรู้อีกมากในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ดังนั้นการไปเล่นให้ลีฟแฟร์ริงจึงช่วยโดมินิกได้มากทั้งสกิลและสภาพจิตใจจนกลายเป็นนักฟุตบอลอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้”

ช่วงแค่ 2-3 เดือนที่อยู่กับซัลซ์บวร์ก โดมินิกทำผลงานได้ประทับใจในการลงแข่งขัน อัล คาสส์ อินเตอร์เนชันแนล คัพ ซึ่งเป็นฟุตบอลเยาวชนอายุไม่เกิน 17 ปี ที่กรุงดาฮา ประเทศกาตาร์ ที่มีสโมสรชั้นนำรุ่น ยู-17 จากทั่วโลกลงประชันฝีเท้า โดมินิกทำให้ผู้พบเห็นฮือฮาจากการยิงระยะไกล ส่วนที่ลีฟแฟร์ริง โดมินิกเพลิดเพลินกับการทำสกอร์ ลงแข่งขันยูฟา ยูธ ลีก และเลื่อนขึ้นมาเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของสโมสร ทั้งหมดเกิดขึ้นก่อนเขาอายุ 18 ปี

โดมินิก โซบอสไล ยังก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จากซัลซ์บวร์ก สู่ไลป์ซิก และลิเวอร์พูลในปัจจุบัน ด้วยวัยที่จะครบ 23 ปีบริบูรณ์ในเดือนตุลาคม 2023 สตาร์ฮังกาเรียน ผู้ได้รับฉายาว่า “เดอะ เน็กซ์ ปุสกัส” ยังสามารถพัฒนาความสามารถไปได้อีกไกล พร้อมสร้างเรื่องราวชีวิตในฐานะซูเปอร์สตาร์ลูกหนังได้อีกมาก นี่เป็นเพียงช่วงต้นของชีวิตค้าแข้งเท่านั้น

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Special Content

ดาบิด รายา นายทวารสำรองอาร์เซนอล sweeper keeper ที่รอวันฉายแสง

ผู้รักษาประตูชั้นดี 2 คน จะอยู่ร่วมทีมเดียวกันได้หรือไม่? เรื่องนี้ต้องรอพิสูจน์หลังล่าสุด อาร์เซนอล โดย มิเกล อาร์เตตา ให้โอกาสครั้งแรกแก่ ดาวิด รายา เป็นตัวจริงในเกมบุกชนะเอฟเวอร์ตัน 1-0 ซูเปอร์ซันเดย์ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา

อาร์เตตา มีแผนอะไรในใจ? อลัน เชียเรอร์ อดีตตำนานลูกหนังก็ตั้งคำถามเช่นกันว่า “จะเวิร์กไหม? เสือ 2 ตัวอยู่ถ้ำเดียวกัน และจะทำงานร่วมกันอย่างไร? สลับกันเล่นแบบไหน?”

ก่อนจะไปค้นคำตอบซึ่งต้องรอเวลาคลี่คลาย บทความนี้จะพามาทำความรู้จักผู้รักษาประตูยุคปัจจุบันในแบบเบื้องต้นกันก่อน

sweeper keeper หนึ่งใน 3 ประเภทหลักของผู้รักษาประตู ถูกนำมาอ้างถึงอย่างแพร่หลายเป็นพิเศษในซีซั่นนี้หลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จ่ายเงินราว 51 ล้านยูโร (43.8 ล้านปอนด์) ยังไม่รวมแอด-ออนส์ 4 ล้านยูโร (3.4 ล้านปอนด์) ซื้อ อองเดร โอนานา มาจากอินเตอร์ มิลาน เพื่อรับตำแหน่งนายทวารมือ 1 แทนดาบิด เด เคอา ซึ่งเพิ่งหมดสัญญาหลังยืนเฝ้าประตูให้ทีมปีศาจแดงนาน 12 ปี

เด เคอา เป็นนายด่านประเภท shot stopper ระดับโลกที่มีช็อตป้องกันประตูที่เหลือเชื่อให้เห็นบ่อยครั้งแต่เขาไม่ใช่ sweeper keeper อย่างที่เอริก เทน ฮาก ต้องการ เนื่องจากกุนซือดัตช์ต้องการให้ผู้รักษาประตูของเขามีส่วนบิลด์อัพการเล่น สามารถจ่ายบอลหรือเลี้ยงบอลออกไปนอกกรอบเขตโทษด้วยตัวเองประหนึ่งเป็นนักเตะเอาท์ฟิลด์คนที่ 11 รวมถึงอ่านเกมขาด ออกไปตัดเกมรุกของคู่แข่งขัน ทำหน้าที่สวีปเปอร์อยู่ด้านหลังของแบ็คโฟร์

ผู้รักษาประตูอีกประเภทคือ ball playing keeper ซึ่งไม่เพียงปกป้องการเสียประตู แต่มีทักษะขว้างหรือเตะบอลได้ไกลและแม่นยำแม้ไม่ถึงขั้นพาบอลออกไปบิลด์อัพเพลย์เองเหมือน sweeper keeper โดย อลิสซอน เบคเกอร์ ของลิเวอร์พูล และ เอแดร์ซอน ของแมนเชสเตอร์ ซิตี เป็นตัวอย่างของนายทวารยอดฝีมือประเภทนี้

ขณะที่ผู้รักษาประตูที่จ่ายบอลเฉลี่ยมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก ซีซัน 2022-23 ปรากฎเป็นชื่อของ ดาบิด รายา จากทีมเบรนท์ฟอร์ด

ฤดูกาลที่แล้ว รายาลงเล่นให้เบรนท์ฟอร์ด 38 นัด ผ่านบอลรวม 1,475 ครั้ง ส่วนอันดับที่เหลือของท็อป-5 ได้แก่ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ (แอสตัน วิลลา) 36 นัด 1,248 ครั้ง เฉลี่ย 34.7 ครั้ง, อลิสซอน เบคเกอร์ (ลิเวอร์พูล) 37 นัด 1,239 ครั้ง เฉลี่ย 33.5 ครั้ง, แบร์นด์ เลโน (ฟูแลม) 36 นัด 1,205 ครั้ง เฉลี่ย 33.5 ครั้ง และ เจสัน สตีล (ไบรท์ตัน) 15 นัด 490 ครั้ง เฉลี่ย 32.7 ครั้ง

แม้ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังแต่รายาเป็นผู้รักษาประตูที่ใช้เท้าได้โดดเด่นมากที่สุดคนหนึ่งในพรีเมียร์ลีก นายด่านสเปนวัย 27ปี มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจทีเดียว เล่นอยู่นอกลีกในซีซัน 2014-15 ก่อนกลายเป็นผู้เล่นสำคัญช่วยแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส เลื่อนชั้นจากลีกวันขึ้นมาแชมเปียนชิพ, พาเบรนท์ฟอร์ดเลื่อนชั้นจากแชมเปียนชิพขึ้นมาพรีเมียร์ลีก และในตลาดซัมเมอร์ที่ผ่านมา อาร์เซนอลจ่ายเงิน 3 ล้านปอนด์ ยืมตัวรายาพร้อมออปชั่นซื้อขาด 27 ล้านปอนด์ เพื่อมาเป็นตัวสำรองของ แอรอน แรมส์เดล นับเป็นนักเตะใหม่รายที่ 4 ของอาร์เซนอล ต่อจาก เดแคลน ไรซ์ มิดฟิลด์ตัวรับทีมชาติอังกฤษ, ไค ฮาแวร์ตซ์ กองหน้าทีมชาติเยอรมนี และ เยอร์เรียน ทิมเบอร์ กองหลังสารพัดประโยชน์ทีมชาติเนเธอร์แลนด์

สะสมทักษะใช้เท้าบนสนามฟุตซอล

ดาบิด รายา มาร์ติน เกิดวันที่ 15 กันยายน 1995 ที่นครบาร์เซโลนา และเติบโตในเมืองปัลเลจา (Pallejà) เขาเคยเล่นฟุตซอลทั้งผู้รักษาประตูและตำแหน่งเอาท์ฟิลด์ก่อนเข้าอะคาเดมีของ ยูอี คอร์เนลลา ทีมฟุตบอลสเปนระดับเทียร์ 3 จุดเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่ออาชีพค้าแข้งเกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2012 เมื่อรายาเดินทางไปใช้ชีวิตในอังกฤษหลังได้รับทุนการศึกษาจาก แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส

สองปีต่อมา การย้ายเข้าสู่ถิ่นอีวู้ด พาร์ค ของฮูโก แฟร์นานเดซ ส่งผลให้เกิดข้อตกลงระหว่าง 2 สโมสร ให้สิทธิ์นักเตะของคอร์เนลลาทดสอบฝีเท้ากับแบล็คเบิร์น ว่ากันว่ารายา ซึ่งตอนนั้นกำลังเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในอะคาเดมีสโมสร “สอบผ่าน” เพียงครั้งเดียวและได้เซ็นสัญญานักฟุตบอลอาชีพเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2014

สตีเวน เดรนช์ ซึ่งตอนนั้นทำหน้าที่เพลเยอร์-โค้ชอยู่ในทีมผู้ฝึกสอน เห็นพัฒนาการของรายาจากระดับเยาวชนถึงทีมชุดใหญ่ ให้สัมภาษณ์กับสกาย สปอร์ตส์ ว่า แม้เคลื่อนไหวได้ดีรอบกรอบเขตโทษเหมือนผู้รักษาประตูจากสเปน แต่ทักษะที่ทำให้รายาโดดเด่นคือ เทคนิค, การหยุดลูกยิง และความสามารถเชิงกีฬา นอกจากนี้รายายังเล่นฟุตซอลมามากที่สเปน เขาจึงใช้เท้าได้อย่างคล่องแคล่ว สโมสรตระหนักดีถึงจุดแข็งดังกล่าว จึงมีการเล่นฟุตบอลกอล์ฟและเฮดเทนนิสระหว่างฝึกซ้อม

เดรนช์ นายด่านวัย 37 ปีของทีมคอร์ลีย์ในเนชันแนล ลีก นอร์ธ กล่าวเสริมว่า “การเล่นฟุตบอลด้วยเท้าทำให้ผมเล่นฟุตบอลมาถึงตอนนี้ สำหรับฟุตบอลสมัยใหม่แล้ว ผู้รักษาประตูที่ใช้เท้าได้ดีเป็นเช็คพอยต์ลำดับแรกๆที่โค้ชมองหา เซฟลูกได้ดีไหม ตัดลูกครอสได้ดีไหม ใช้เท้าเล่นบอลได้ดีไหม ล้วนเป็นคุณสมบัติที่สำคัญ”

“การผ่านบอลของดาบิดถือเป็นข้อได้เปรียบ ยิ่งมาเล่นให้เบรนท์ฟอร์ดที่มีสไตล์บอลเหมาะกับเขามาก แต่ความจริงแล้ว ดาบิดสามารถเล่นให้ทีมไหนก็ได้ในท็อปลีกของยุโรป เขาเป็นเสมือนผู้เล่นเอาท์ฟิลด์คนที่ 11 ของทีม” และตอนนี้ นายทวารวัย 27 ปี ได้รับโอกาสจากอาร์เซนอล หนึ่งในทีมเต็งแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2023-24

เพิ่มพูนประสบการณ์กับสโมสรนอกลีก

ครึ่งแรกของฤดูกาล 2014-15 แบล็คเบิร์นส่งรายาให้ เซาธ์พอร์ต สโมสรนอกลีกในคอนเฟอเรนซ์ พรีเมียร์ ยืมใช้งานเป็นเวลา 4 เดือน เขามีโอกาสลงสนามทีมชุดใหญ่ 24 นัดรวมทุกรายการ 

ขอบคุณภาพจาก  https://southportfc.net/david-raya-martin-good-luck-tonight/

มีความเชื่อว่า ฟุตบอลนอกลีกสามารถเป็นสนามฝึกซ้อมที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักเตะอายุน้อย ซึ่งรายาเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ยืนยันว่าความเชื่อนี้เป็นความจริงแม้ต้องเล่นให้ทีมที่อยู่ก้นตารางของลีกระดับเทียร์ 6 

แกรี บราบิน ผู้จัดการทีมเซาธ์พอร์ตขณะนั้น ย้อนอดีตไปยังช่วงกลางปี 2014 ว่า รายาเป็นเพียงผู้รักษาประตูหนุ่มจากแบล็คเบิร์น ผู้คนต่างสงสัยว่าเขาจะมีประสบการณ์เพียงพอรับมือสถานการณ์หนีตกชั้นหรือเปล่า นักเตะคนนั้นต้องมีแคแรกเตอร์ที่แข็งแกร่งมาก

“สถานการณ์ตอนนั้น ทีมอยู่อันดับรั้งท้ายของลีก เพิ่งเซ็นสัญญากับผู้จัดการทีมใหม่ ทุกคนคอตกและหวั่นวิตกว่าอะไรจะเกิดขึ้นเป็นลำดับต่อไป แต่นั่นไม่ใช่ดาบิด เขามีบุคลิกภาพที่เหลือเชื่อเอามากๆ มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ซึ่งถูกส่งต่อและหล่อเลี้ยงไปยังนักเตะคนอื่นในทีม ทำให้ทีมมีสปิริตที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”

“และเป็นการใช้เท้าของดาบิดที่ทำให้ผมประทับใจมากที่สุด เซาธ์พอร์ตเป็นทีมที่เล่นบอลบนพื้นดินมากกว่าทีมอื่นๆในระดับเดียวกัน นั่นจึงทำให้ทีมขึ้นมาจากท้ายตารางถึง 4 อันดับภายในเวลาอันรวดเร็ว ความเก่งของเขามีส่วนสำคัญอย่างแน่นอน ทีมรู้สึกปลอดภัยเมื่อมีเขาอยู่ข้างหลัง ไม่ใช่แค่ป้องกันการเสียประตู แต่ยังทำหน้าที่เริ่มต้นเพลย์ให้เราอีกด้วย ดาบิดจึงเป็นสารตั้งต้นของเราที่นำไปสู่ความสำเร็จ”

นายทวารใช้เท้าที่มีมือเหมือนพลั่ว

รายากลับต้นสังกัดหลังหมดสัญญายืมตัวกับเซาธ์พอร์ต นายด่านหนุ่มมีโอกาสลงสนามให้แบล็คเบิร์นเพียง 2 นัดในแชมเปียนชิพ ซีซัน 2014-15 แต่ยังได้รับเสนอสัญญาใหม่ 3 ปีในเดือนเมษายน 2015 อย่างไรก็ตาม รายาลงเล่นรวม 13 นัดเท่านั้นในซีซัน 2015-16 และ 2016-17 โดยเป็นตัวสำรองของเจสัน สตีล

ชอบคุณภาพจาก  https://www.bbc.com/sport/football/48894390

แบล็คเบิร์นตกไปอยู่ลีกวัน ซีซัน 2017-18 สตีลย้ายไปอยู่ทีมซันเดอร์แลนด์ รายาจึงเลื่อนขึ้นมาเป็นนายทวารมือ 1 และพลาดบอลลีกเพียงนัดเดียวจากทั้งหมด 46 นัด ช่วยทีมกุหลาบไฟคว้ารองแชมป์ลีกวัน ใช้เวลาแค่ปีเดียวกลับไปอยู่แชมเปียนชิพอีกครั้ง

“เดอะ ริเวอร์ไซเดอร์ส” จบลีกเทียร์ 2 ซีซัน 2018-19 ด้วยอันดับ 15 รายายังเป็นนายทวารมือ 1 ของทีม เล่นบอลลีก 41นัดจากทั้งหมด 46 นัด อย่างไรก็ตาม รายาอำลาถิ่นอีวู้ดในเดือนกรกฎาคม 2019 ด้วยสถิติลงสนาม 108 นัดรวมทุกรายการ

รายาอาจได้รับคำชมเรื่องการใช้เท้าและปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วราวกับแมว แต่มีอีกหนึ่งคุณลักษณะที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงนักคือ ขนาดมือที่ใหญ่ ซึ่ง สตีเวน เดรนช์ เปรียบเปรยว่า รายามีมือเหมือนพลั่ว!!!

รายามีส่วนสูงเพียง 6 ฟุตบอลแต่อดีตโค้ชที่แบล็คเบิร์นมองเห็นอีกด้านหนึ่ง “ดาบิดไม่ใช่ผู้รักษาประตูที่มีความสูง 6 ฟุต 4นิ้ว หรือ 6 ฟุต 5 นิ้ว เขาต้องต่อสู้กับทัศนคติพวกนี้มาตลอด ซึ่งเขาทดแทนด้วยการเพิ่มเติมเรื่องสปริงตัว พละกำลัง และทักษะทางกีฬา รวมถึงการเคลื่อนที่รอบๆกรอบเขตโทษและวิธีการเล่นด้วยเท้า สิ่งเหล่านี้ทำให้ดาบิดกลายเป็นนักฟุตบอลที่ครบเครื่อง”

“พวกคุณน่าจะเคยเห็นการเซฟของดาบิดมาบ้าง เขาสามารถเซฟบอลที่ห่างจากตัวเขา 2-3 หลาได้อย่างสบายเพราะเคลื่อนไหวได้เร็วมาก ความคล่องตัวบวกพละกำลังช่วยให้เขาครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างขึ้น ทำให้การเซฟยากๆกลายเป็นเรื่องง่ายไปเลย”

ภาพ sweeper keeper ชัดเจนที่เบรนท์ฟอร์ด

หลังจากเป็นนายด่านตัวจริงของแบล็คเบิร์น 2 ปี รายาได้เซ็นสัญญา 4 ปี กับ เบรนท์ฟอร์ด เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2019ค่าตัวไม่เปิดเผยแต่มีรายงานว่าน่าจะอยู่ที่ 3 ล้านปอนด์ 

รายาทำผลงานได้โดดเด่นระหว่างครึ่งแรกของซีซัน 2019-20 ในลีกแชมเปียนชิพ ได้รับเสนอชื่อลุ้นตำแหน่งผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมแห่งปีในงาน ลอนดอน ฟุตบอล อะวอร์ดส์ ประจำปี 2020 รายายังเก็บคลีนชีทในบอลลีกเทียร์ 2 ซีซันแรกกับ “เดอะ บีส์” รวม 16 นัด และครองรางวัลถุงมือทองคำของอีเอฟแอล ร่วมกับ บาร์ตอซ เบียลคาวสกี ขณะที่เบรนท์ฟอร์ดพลาดโอกาสเลื่อนชั้นเนื่องจากแพ้ฟูแลม ทีมร่วมลอนดอนตะวันตก 1-2 ในนัดชิงชนะเลิศ แชมเปียนชิพ เพลย์ออฟ ปี 2020

ฤดูกาล 2020-21 รายาทำคลีนชีทได้ 17 นัด พร้อมพาเบรนท์ฟอร์ดขึ้นไปเล่นพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จหลังจากชนะสวอนซี ซิตี 2-0 ในนัดชิงขนะเลิศ แชมเปียนชิพ เพลย์ออฟ ปี 2021 เขาได้รับสัญญาใหม่ยาว 4 ปีเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2020 หลังจากมีปัญหาบาดเจ็บและประเด็นย้ายทีมทำให้พลาดลงสนามช่วงพรี-ซีซันและต้นซีซัน นอกจากนี้รายาพัฒนาทักษะนายทวารสไตล์ sweeper keeper ให้เห็นเด่นชัด มีสถิติพาสบอลมากกว่าผู้รักษาประตูทุกคนในแชมเปียนชิพฤดูกาลนั้นกว่า 300 ครั้ง

รายาสัมผัสชัยชนะพรีเมียร์ลีกนัดแรกในการแข่งขันกับอาร์เซนอลเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2021 และได้สักตัวเลข 13/08/21 ไว้ที่ต้นคอเพื่อเป็นอนุสรณ์ ก่อนโชคร้ายบาดเจ็บเอ็นไขว้หลังเข่าเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2021 จากแมตช์กับเลสเตอร์ ซิตี ใช้เวลากว่า 3 เดือนเพื่อกลับมาเฝ้าประตูให้เบรนท์ฟอร์ดอีกครั้งในรอบ 4 เอฟเอ คัพ ที่แพ้ต่อเอฟเวอร์ตัน 1-4 ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2022 รายาลงเล่นพรีเมียร์ลีกทั้งสิ้น 24 นัด และเบรนท์ฟอร์ดจบซีซัน 2021-22 ด้วยอันดับ 13

ฤดูกาลที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก รายาลงสนามครบ 38 นัด และเคยถูกเสนอชื่อลุ้นรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกประจำเดือนมกราคม 2023 ซึ่งเป็นช่วงที่เบรนท์ฟอร์ดไม่แพ้ทีมไหนจนไต่อันดับขึ้นไปอยู่โซนช่วงชิงโควตาฟุตบอลสโมสรยุโรป แต่ช่วงนี้เช่นกันที่รายาปฏิเสธต่อสัญญาใหม่กับ “เดอะ บีส์” ซึ่งปิดฉากซีซัน 2022-23 ด้วยอันดับ 9 มีแต้มสะสมตามหลังแอสตัน วิลลา ที่ได้ไปเล่นยูฟา คอนเฟอเรนซ์ ลีก เพียง 2 คะแนน

ในส่วนของการรับใช้ชาติ รายามีชื่อร่วมทีมชาติสเปนที่มีคิวเตะอุ่นเครื่อง 2 นัดในเดือนมีนาคม 2022 ประเดิมลงเป็นตัวจริงในแมตช์ชนะอัลบาเนีย 2-1 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม แต่นั่งอยู่ข้างสนามในแมตช์ต่อมา เขายังมีชื่อติดทีมชาติสเปนที่ทำการแข่งขัน ยูฟา เนชันส์ ลีก ประจำปี 2022-23 ซึ่งทีมกระทิงดุครองแชมป์ในบั้นปลาย และเวิลด์คัพ 2022 ที่กาตาร์ ซึ่งสเปนไปได้ไกลเพียงรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยระหว่างนี้ รายาได้สัมผัมเกมเพียงครั้งเดียวเมื่อถูกเปลี่ยนตัวลงสนามครึ่งหลังของเกมอุ่นเครื่องก่อนฟุตบอลโลกกับจอร์แดน

ศักดิ์ศรีที่สูงกว่านายด่านสำรองอาร์เซนอล

วันที่ 15 สิงหาคม 2023 อาร์เซนอล เซ็นสัญญยืมตัวนายทวารวัย 27 ปี เป็นเวลา 1 ซีซันด้วยค่าตัว 3 ล้านปอนด์พร้อมออปชั่นซื้อขาด 27 ล้านปอนด์ และภายใต้เงื่อนไขยืมตัว รายาได้ต่อสัญญากับเบรนท์ฟอร์ดอีก 2 ปี รวมถึงออปชั่นเพิ่มอีก 12 เดือน

แอรอน แรมส์เดล เป็นผู้รักษาประตูมือ 1 ของอาร์เซนอลตลอด 2 ซีซันที่ผ่านมานับตั้งแต่ย้ายจากเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2021 เขาไม่ได้เฝ้าประตูในเกมพรีเมียร์ลีก ซีซัน 2021-22 เพียง 4 นัด และลงสนามทั้ง 38 นัดในซีซันที่ผ่านมา ซึ่งอาร์เซนอลเป็นรองแชมป์ลีกสูงสุด

มิเกล อาร์เตตา ให้สัมภาษณ์ว่าการเข้ามาของรายาเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อให้การแข่งขันอยู่ในระดับสูง “เราไม่มีทางเลือกอื่น มีความแตกต่างกว้างมากระหว่างผู้เล่นเทียร์ 1 กับเทียร์ 2 อย่างที่นักข่าวเปรียบเปรย เราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร โชคร้ายที่ตอนนี้เราไม่มีนักเตะที่มีฝีมือยอดเยี่ยมจากอะคาเดมีให้ดึงขึ้นมาใช้งาน”

“ถ้ามองไปที่สโมสรอื่น พวกเขามีผู้รักษาประตูที่เก่งมาก 2 คนอยู่ในทีม บางทียอมจ่ายเงิน 60 ล้านปอนด์ 80 ล้านปอนด์ 85ล้านปอนด์ เพื่อซื้อผู้รักษาประตู นั่นมันหมายถึงอะไรล่ะ ผมมีความสุขมากกับทีมที่กำลังสร้างขึ้น เราพยายามสร้างกลุ่มผู้เล่นที่ดีขึ้นเรื่อยๆ”

มีข้อมูลที่น่าสนใจ ตัวแทนของรายาคือ เจาเม มูเนลล์ ชาวสเปน ซึ่งทำหน้าที่เอเยนต์ให้ อินากิ คานา โค้ชผู้รักษาประตูของอาร์เซนอลด้วย รายากับคานาเคยทำงานด้วยกันที่เบรนท์ฟอร์ด และเมื่อปี 2020 อาร์เซนอลเคยติดต่อขอซื้อรายาถึง 4 ครั้ง ก่อนลงเอยด้วยการคว้าตัวแรมส์เดลอีก 12 เดือนต่อมา ดังนั้นการตัดสินใจยืมตัวรายาของอาร์เตตาคงไม่ใช่เพียงมองหานายทวารสำรองธรรมดาแน่นอน

เอดู ผู้อำนวยการกีฬาของอาร์เซนอล กล่าวต้อนรับรายาว่า “ดาบิดเป็นผู้รักษาประตูที่มีคุณภาพระดับท็อป เขาทำผลงานระดับสูงอย่างสม่ำเสมอในพรีเมียร์ลีกกับเบรนท์ฟอร์ด การเข้ามาของดาบิดจะเพิ่มคุณภาพให้กับทีมของเรา เพื่อให้เราโชว์ฟอร์มในระดับสูงได้ทุกรายการที่ร่วมแข่งขัน”

ย้อนกลับไปเกมพรีเมียร์ลีกเดือนกันยายน 2012 หลังจากลิเวอร์พูลเสมอ 3-3 ที่เบรนท์ฟอร์ด คอมมูนิตี สเตเดียม เยอร์เกน คลอปป์ พูดถึงรายาว่า ผู้รักษาประตูของเบรนท์ฟอร์ดสามารถสวมเสื้อหมายเลข 10 ได้เลย เขาผ่านบอลได้เหลือเชื่อหลายครั้ง

ไม่ว่าอนาคตในทีมอาร์เซนอลของรายาเป็นเช่นไร แต่ด้วยเทรนด์ sweeper keeper ที่กำลังมาแรงในฟุตบอลยุคใหม่ รายาในวัยเพียง 27 ปี จึงเป็นผู้รักษาประตูที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก เชื่อว่าถ้าไม่ได้รับโอกาสจากอาร์เซนอล นายด่านเมืองกระทิงดุผู้นี้จะกลายเป็นสินค้าเนื้อหอมในตลาดซัมเมอร์ปีหน้าอย่างแน่นอน … จำชื่อของเขาไว้ให้ดี “ดาบิด รายา”

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Football Business

ส่องเบื้องหลังท่อน้ำเลี้ยง 20 เจ้าของทีมพรีเมียร์ลีก 2023/24

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ดีลอยท์ (Deloitte) บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินระดับโลก เปิดเผยว่า พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นลีกฟุตบอลที่โดดเด่นในเรื่องการเงิน โดย 11 จาก 20 สโมสร ติดอันดับทีมกีฬาที่ทำรายได้สูงที่สุดในโลก

ปัจจัยแห่งความสำเร็จ หรือความล้มเหลวของแต่ละสโมสร ไม่ใช่ผู้เล่น หรือผู้จัดการทีม แต่เป็นบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่เรียกว่า “เจ้าของสโมสร” ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของสโมสรในระยะยาว

ความเข้าใจในธุรกิจฟุตบอล และความหลงใหลในสโมสรที่ครอบครอง คือคุณสมบัติที่เจ้าของสโมสรพึงมี แต่ก็มีบางสโมสรที่มีข้อได้เปรียบในเรื่องเงินทุนที่มีมหาศาล แม้จะจ่ายเงินก้อนโตต่อเนื่องทุกปีก็ตาม

แหล่งเงินทุนของเจ้าของทีมลูกหนัง ก็มีที่มาแตกต่างกันออกไป ซึ่งหลาย ๆ คน อาจยังไม่เคยรู้มาก่อน และนี่คือเบื้องหลัง “ท่อน้ำเลี้ยง” ของทั้ง 20 สโมสรในการแข่งขันลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ฤดูกาล 2023/24

อาร์เซน่อล – ครอบครัวมหาเศรษฐี, อสังหาริมทรัพย์ และปศุสัตว์

รองแชมป์พรีเมียร์ลีก ซีซั่นที่แล้ว ปัจจุบันบริหารงานโดยกลุ่ม Kroenke Sports & Entertainment (KSE) นำโดยสแตน โครเอนเก้ มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ที่เข้ามาเทคโอเวอร์อาร์เซน่อล ตั้งแต่ปี 2007

โครเอนเก้ สมรสกับแอน วอลตัน สมาชิกครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดของสหรัฐฯ เป็นทายาทของเจ้าของวอลมาร์ท (Walmart) บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ระดับโลก และมีสินทรัพย์มากกว่า 12 พันล้านปอนด์

แหล่งเงินทุนของโครเอนเก้ มาจากการก่อตั้ง THF Realty ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์, ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงาน รวมถึงเป็นเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกาอีกด้วย

เจ้าสัววัย 75 ปี ยังเป็นเจ้าของทีมกีฬาในสหรัฐฯ หลายทีม ได้แก่ ลอส แอนเจลลิส แรมส์ (อเมริกันฟุตบอล), โคโลราโด้ ราปิดส์(เมเจอร์ลีก ซอคเกอร์), โคโลราโด้ อวาลันเช่ (ฮอกกี้) และเดนเวอร์ นักเกตส์ ที่เพิ่งคว้าแชมป์บาสเกตบอล NBA ในปีนี้

แอสตัน วิลล่า – ปุ๋ยไนโตรเจน และอสังหาริมทรัพย์

แอสตัน วิลล่า สโมสรดังจากย่านมิดแลนด์ บริหารงานโดยบริษัท NSWE ซึ่งมีนาสเซฟ ซาวิริส และเวส อีเดนส์ เป็นเจ้าของร่วมกัน ทั้งคู่ได้ซื้อกิจการของสโมสรต่อจากโทนี่ เซีย นักธุรกิจชาวจีน เมื่อปี 2018

ซาวิริส เป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยที่สุดแห่งอียิปต์ ปัจจุบันเป็นผู้บริหารของ Orascom Construction บริษัทผู้ผลิตปุ๋ยไนโตรเจนรายใหญ่ที่สุดของโลก นอกจากนี้ยังซื้อหุ้นสโมสรนิว ยอร์ก นิกส์ (บาสเกตบอล NBA) และสโมสรนิว ยอร์ก เรนเจอร์ส (ฮฮกกี้ NHL)

ด้านอีเดนส์ มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, ปล่อยเงินกู้ อีกทั้งได้ซื้อหุ้นของ Morrisons เครือข่ายซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของอังกฤษ และเป็นเจ้าของทีมมิลวอล์คกี้ บัคส์ ซึ่งคว้าแชมป์บาสเกตบอล NBA ในปี 2021

ความมั่งคั่งของเจ้าของทีมวิลล่า ซาวิริส มีสินทรัพย์ 5 พันล้านปอนด์ จากการจัดอันดับของบลูมเบิร์ก (Bloomberg) ในขณะที่อีเดนส์ มีสินทรัพย์ 0.86 พันล้านปอนด์ จากการจัดอันดับของฟอร์บส์ (Forbes)

เบรนท์ฟอร์ด – บริษัทรับพนันถูกกฎหมาย

นับตั้งแต่เบรนท์ฟอร์ดเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2021/22 พวกเขาเอาตัวรอดอยู่ในลีกสูงสุดแบบสบาย ๆ 2 ซีซั่นติดต่อกันแล้ว ซึ่งนักพนันอย่างแมทธิว เบนแฮม คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของสโมสรนี้

หลังลาออกจาก Premier Bet บริษัทของโทนี่ บลูม (เจ้าของทีมไบรท์ตันในปัจจุบัน) เบนแฮมได้ตั้งบริษัทพนันของตัวเอง ในชื่อ SmartOdds จากนั้นได้ไปซื้อกิจการของ Matchbook ซึ่งเป็นบริษัทพนันเช่นเดียวกัน

จุดเริ่มต้นสู่การเป็นเจ้าของ “เดอะ บีส์” เกิดขึ้นในปี 2006 จากการเป็นนายทุนลับให้ Bees United กลุ่มแฟนบอลของสโมสร ซื้อทีมและชำระหนี้จากรอน โนเดส เข้ามาถือหุ้น และบริหารเต็มตัวตั้งแต่ปี 2012

การบริหารของเบนแฮม ประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาดนักเตะ ซื้อมาถูก ขายออกไปแพงอยู่หลายดีล เช่น โอนลี่ วัตกิ้นส์, ซาอิด เบนราห์มา เป็นต้น อีกทั้งยังเป็นเจ้าของทีมมิดทิลแลนด์ ในลีกเดนมาร์ก

ไบรท์ตัน – บริษัทรับพนันถูกกฎหมาย

ไบรท์ตัน สโมสรที่เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์เข้าร่วมฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ก่อตั้งมา 122 ปี ต้องยกเครดิตให้กับโทนี่ บลูม เซียนพนันที่ได้วางรากฐาน และสู้กับทีมยักษ์ใหญ่เงินทุนหนาแบบน่าเหลือเชื่อ

บลูม ได้เปิดตัว Premier Bet บริษัทแรกที่ทำธุรกิจด้านการพนัน ซึ่งมีพนักงานคนสำคัญคือ แมทธิว เบนแฮม เจ้าของทีมเบรนฟอร์ดในปัจจุบัน ก่อนจะเปลี่ยนสถานะจากเจ้านาย-ลูกน้อง มาเป็นคู่แข่งทางธุรกิจ

ต่อมาในปี 2006 บลูมแยกไปเปิดบริษัทด้านการพนันที่ชื่อว่า Starlizard บทบาทของเขาคือเป็นที่ปรึกษา และวิเคราะห์ให้กับลูกค้า เพื่อนำไปใช้ในการตัดสินใจเลือกเดิมพันที่ได้เปรียบที่สุด และสามารถทำเงินได้

ด้วยความที่บลูม เกิดและเติบโตที่ไบรท์ตัน และเป็นแฟนบอลของไบรท์ตันตั้งแต่ยังเป็นเด็ก อีก 3 ปีต่อมา เขาตัดสินใจทุ่มเงิน 93 ล้านปอนด์ ซื้อหุ้นของ “เดอะ ซีกัลส์” สมัยที่ยังอยู่ในระดับลีก วัน (ดิวิชั่น 3)

บอร์นมัธ – ประกันภัย, สื่อบันเทิง, สนามกอล์ฟ และโรงแรม

เมื่อปลายปี 2022 บอร์นมัธ คือทีมล่าสุดที่มีการเปลี่ยนแปลงเจ้าของทีมรายใหม่ โดย บิลล์ โฟลี่ย์ นักธุรกิจชาวอเมริกัน ได้ซื้อสโมสรต่อจากมักซิม เดมิน นักธุรกิจชาวรัสเซีย ด้วยราคาประมาณ 120 ล้านปอนด์

โฟลี่ย์ ดำรงตำแหน่งประธานของ Fidelity National Financial บริษัทประกันภัยยักษ์ใหญ่ในฟลอริด้า ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งติดอันดับบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของ Fortune 500 Companies

นอกจากจะลงทุนด้านสื่อบันเทิง, สนามกอล์ฟ และโรงแรมแล้ว โฟลี่ย์ ยังเป็นเจ้าของทีมเวกัส โกลเด้น ไนท์ส ที่เพิ่งคว้าแชมป์ลีกฮอกกี้ NHL เมื่อเร็วๆ นี้ อีกทั้งยังได้ซื้อหุ้นของสโมสรลอริยองต์ ในลีกเอิง ฝรั่งเศส

แม้ “เดอะ เชอรี่ส์” จะอยู่รอดปลอดภัยในลีกสูงสุด เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา แต่โฟลี่ย์ ตัดสินใจปลดแกรี่ โอนีล ออกจากตำแหน่งกุนซือ และแต่งตั้งอันโดนี่ อิราโอล่า เฮดโค้ชชาวสเปน เพื่อเป้าหมายไปเล่นฟุตบอลยุโรป

เบิร์นลีย์ – บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินในสหรัฐอเมริกา

แชมป์ลีกแชมเปี้ยนชิพ จากฤดูกาลที่แล้ว ปัจจุบันบริหารงานโดย ALK Capital กลุ่มทุนจากสหรัฐอเมริกา นำโดย อลัน เพซ ที่เข้ามาซื้อกิจการของสโมสร ในเดือนธันวาคม 2020 ในราคา 150 ล้านปอนด์

สำหรับ ALK Capital ตั้งอยู่ในนิว ยอร์ก เป็นบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินให้กับลูกค้ารายใหญ่อย่างเลห์แมน บราเธอร์ส และซิติ กรุ๊ป และตัวของอลัน เพซ ก็เคยบริหารทีมเรียล ซอลต์ เลค ในเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์อยู่ 2 ปี

ช่วงที่เบิร์นลี่ย์ยังอยู่ในพรีเมียร์ลีก ใช้เงินลงทุนไปไม่น้อย อีกทั้งยังต้องกู้เงินจากธนาคารเป็นจำนวน 65 ล้านปอนด์ และเมื่อพวกเขาตกชั้นจากลีกสูงสุดในซีซั่น 2021/22 การเงินของสโมสรก็ได้รับผลกระทบ

แต่ด้วยมันสมองที่ชาญฉลาดของแว็งซองต์ กอมปานี ผู้จัดการทีม “เดอะ คลาเร็ตส์” ก็ช่วยให้สโมสรเอาตัวรอดจากวิกฤต พาทีมคัมแบ็กสู่พรีเมียร์ลีก ส่งผลถึงการเงินที่กลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในที่สุด

เชลซี – บริษัทจัดการสินทรัพย์

ท็อดด์ โบห์ลี่ มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน เข้ามาเทกโอเวอร์เชลซีเมื่อปี 2022 หลังจากโรมัน อบราโมวิช นักธุรกิจชาวรัสเซีย ถูกบังคับให้ขายสโมสร เนื่องจากรัฐบาลอังกฤษประกาศคว่ำบาตร กรณีรัสเซียบุกยูเครน

โบห์ลี่ มีหุ้นส่วนรายสำคัญที่มาร่วมลงทุน คือ Clearlake Capital บริษัทด้านการลงทุนที่ตั้งอยู่ในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีบีฮ์ดาด เอ็กห์เบลี่ เป็นผู้บริหารของบริษัท มีทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 72,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

สำหรับ Clearlake Capital มีลูกค้ารายสำคัญที่ได้เข้าไปดูแลสินทรัพย์ นั่นคือ กองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะ หรือ PIF ของซาอุดีอารเบีย ซึ่งเป็นกลุ่มทุนที่ไปเทคโอเวอร์สโมสรนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด คู่แข่งร่วมพรีเมียร์ลีก

นอกจากจะเป็นเจ้าของทีมเชลซีแล้ว โบห์ลี่ยังเป็นเจ้าของทีมกีฬาในอเมริกา คือ ลอส แอนเจลิส ดอดเจอร์ส ในเมเจอร์ลีก เบสบอล รวมทั้งถือหุ้นในลอส แอนเจลิส เลเกอร์ส ทีมบาสเกตบอลชื่อดังของ NBAด้วย

คริสตัล พาเลซ – บริษัทจัดการการลงทุน, อสังหาริมทรัพย์, สื่อและบันเทิง

เจ้าของทีมคริสตัล พาเลซ ในปัจจุบัน มีทั้งหมด 4 คน เริ่มจาก สตีฟ แพริช นักธุรกิจชาวอังกฤษ อดีตผู้ก่อตั้ง TAG Worldwide บริษัทสื่อโฆษณา และเป็นแกนนำในการซื้อสโมสร “ปราสาทเรือนแก้ว” เมื่อปี 2010

จอร์ช ฮาริส ผู้ก่อตั้ง Apollo Global Management บริษัทจัดการการลงทุนในหุ้นภาคเอกชน และการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และยังเป็นเจ้าของทีมฮอกกี้ นิว เจอร์ซีย์ เดวิลส์ และทีมบาสเกตบอล NBA ฟิลาเดลเฟีย เซเว่นตี้ซิกเซอร์ส 

เดวิด บลิทเซอร์ เคยอยู่ใน Blackstone Group บริษัทจัดการการลงทุนเช่นเดียวกับ Apollo Global Management นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าของทีมนิว เจอร์ซีย์ เดวิลส์ และฟิลาเดลเฟีย เซเว่นตี้ซิกเซอร์ส ร่วมกับฮาริสอีกด้วย

ปิดท้ายที่จอห์น เท็กซ์เตอร์ เคยเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ในบริษัทสื่อและบันเทิง และเป็นเจ้าของทีมฟุตบอลโบตาโฟโก้ ในบราซิล, อาร์ดับเบิ้ลยูดี โมเลนบีค ในเบลเยียม และล่าสุดคือโอลิมปิก ลียง ในฝรั่งเศส

เอฟเวอร์ตัน – เหมืองแร่ และโทรคมนาคม

ฟาฮัด โมชิริ นักธุรกิจชาวอังกฤษเชื้อสายอิหร่าน เข้ามาเทกโอเวอร์เอฟเวอร์ตันเมื่อปี 2016 ด้วยความทะเยอทะยานที่ต้องการเห็นสโมสรประสบความสำเร็จ แต่ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา คือการลงทุนที่สูญเปล่า

โมชิริ ได้รู้จักกับอลิเซอร์ อุสมานอฟ มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย เจ้าของ USM Holdings บริษัทที่ลงทุนในธุรกิจเหมืองแร่ และโทรคมนาคม โดยนั่งในตำแหน่งประธานบริษัท พร้อมได้รับหุ้น 10 เปอร์เซ็นต์

นอกจากนี้ USM ยังถือลิขสิทธิ์สนามซ้อมฟินซ์ ฟาร์ม ของเอฟเวอร์ตัน แต่ในปี 2022 อุสมานอฟ ถูกรัฐบาลอังกฤษสั่งอายัดทรัพย์สิน หลังจากรัสเซียรุกรานยูเครน และถูกบีบให้ถอนการสนับสนุนออกไป

สถานการณ์ของเอฟเวอร์ตันในเวลานี้ กำลังมองหาเงินทุนที่จะเข้ามาช่วยเหลือสโมสร เพื่อสานต่อโครงการสร้างสนามเหย้าแห่งใหม่ อีกทั้งต่อสู้เพื่ออยู่รอดในพรีเมียร์ลีก และกฎไฟแนนเชียล แฟร์เพลย์ (FFP) 

ฟูแล่ม – ชิ้นส่วนยานยนต์

เมื่อเดือนกรกฎาคม 2013 ซาฮิด ข่าน นักธุรกิจอเมริกันเชื้อสายปากีสถาน ได้เจรจาเทคโอเวอร์ฟูแล่ม ต่อจากโมฮาเหม็ด อัล ฟาเยด มหาเศรษฐีชาวอียิปต์ ปัจจุบันให้โทนี่ ข่าน ลูกชายของเขาบริหารงานแทน

แหล่งทำเงินของซาฮิด ข่าน คือการเป็นเจ้าของ Flex-N-Gate บริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของอเมริกา ที่ซื้อกิจการต่อจากอดีตเจ้านายของตัวเองเมื่อปี 1980 ปัจจุบันนี้บริษัทของเขามีโรงงานอยู่ 69 แห่งทั่วโลก

นอกจากจะทำธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์แล้ว ซาฮิด ข่าน ยังเป็นเจ้าของทีมแจ็คสันวิลล์ จากัวร์ ในอเมริกันฟุตบอล (NFL) และเป็นเจ้าของร่วมในสมาคมมวยปล้ำ All Elite Wresting (AEW) ร่วมกับโทนี่ ลูกชายของเขา

ในปี 2018 ซาฮิด ข่าน เคยตกเป็นข่าวฮือฮา ด้วยการยื่นข้อเสนอเพื่อซื้อสนามเวมบลีย์ มูลค่า 600 ล้านปอนด์ แต่ภายหลังเจ้าตัวขอถอนข้อเสนอออกไป เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดกระแสต่อต้านจากแฟนบอล

ลิเวอร์พูล – สิ่อโทรทัศน์, ถั่วเหลือง และเจ้าของหนังสือพิมพ์

Fenway Sports Group (FSG) นำโดยจอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี่ และ ทอม เวอร์เนอร์ ซื้อสโมสรลิเวอร์พูล ด้วยมูลค่า 300 ล้านปอนด์ ในปี 2010 ปัจจุบันมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 10 เท่า จากความสำเร็จทั้งในและนอกสนาม

เวอร์เนอร์ ทำธุรกิจสื่อโทรทัศน์ เคยผลิตรายการที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น The Cosby Show, 3rd Rock From The Sun และ That 70s Show อีกทั้งเคยเป็นเจ้าของทีมซาน ดิเอโก้ พาเดรส ในเมจอร์ลีก เบสบอล (MLB)

ส่วนเฮนรี่ ครอบครัวของเขาทำไร่ถั่วเหลือง, ก่อตั้ง JW Henry & Co ทำระบบ Mechanical tradingรวมถึงเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ Boston Globe ที่มีลินดา พิซซูติ ภรรยาของจอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี่ เป็นกรรมการผู้จัดการ

ปัจจุบัน FSG เป็นเจ้าของทีมบอสตัน เรด ซอกซ์ ในเมจอร์ลีก เบสบอล (MLB) โดยเมื่อปลายปี 2022 เคยตกเป็นข่าวว่าจะขายสโมสรลิเวอร์พูล แต่ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้เปลี่ยนเป็นการหาผู้ร่วมทุนแทน

ลูตัน ทาวน์ – แฟนบอลของสโมสร

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/LutonTown

ในฤดูกาลใหม่ที่จะถึงนี้ ลูตัน ทาวน์ คือสโมสรลำดับที่ 51 ของอังกฤษ ที่จะได้สัมผัสบรรยากาศลีกสูงสุดในยุค “พรีเมียร์ลีก” แต่ก่อนที่จะมาถึงจุดสุดยอดปิระมิด พวกเขาเคยตกลงไปเล่นนอกลีกอาชีพเมื่อ 14 ปีที่แล้ว

ช่วงกลางฤดูกาล 2007/08 แฟนบอลกลุ่มหนึ่งของสโมสรที่มีกำลังทรัพย์ ประกาศก่อตั้งบริษัท Luton Town 2020 จำกัด โดยถือหุ้นในบริษัท 50,000 หุ้น และมีสิทธิ์ที่จะยับยั้งการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ของสโมสร

ก่อนเริ่มต้นซีซั่นต่อมา (2008/09) “เดอะ แฮตเตอร์ส” ทีมในลีก ทู (ดิวิชั่น 4) ในเวลานั้น ถูกตรวจพบความผิดปกติทางการเงินย้อนหลังหลายปี จากอดีตเจ้าของทีมคนก่อนๆ ทำให้ถูกตัด 30 แต้ม และตกชั้นหลังจบซีซั่น

การที่ไม่มีนายทุนเข้ามาซื้อสโมสร ทำให้ลูตัน ทาวน์ มีข้อจำกัดทางด้านการเงิน เพราะค่าใช้จ่ายในการบริหารทีมจะสูงกว่าตอนที่อยู่ในลีกแชมเปี้ยนชิพ แต่ก็มีบางทีมที่แสดงให้เห็นแล้วว่า สามารถเอาตัวรอดในพรีเมียร์ลีกได้

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ – บริษัทน้ำมัน, การขนส่ง, และการท่องเที่ยว

เมื่อปี 2008 ชีค มานซูร์ บิน ซาเยด อัล นายาน สมาชิกราชวงศ์อาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเจ้าของ Abu Dhabi United Group ทุ่มเงิน 200 ล้านปอนด์ เข้าเทกโอเวอร์สโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้

แหล่งรายได้หลักของชีค มานซูร์ คือ บริษัทน้ำมันแห่งชาติอาบูดาบี (Abu Dhabi National Oil Company : ADNOC) ทำธุรกิจผลิตน้ำมันดิบ แต่ก็มีการลงทุนในแหล่งอื่น ๆ เช่น ธุรกิจการขนส่ง และธุรกิจการท่องเที่ยว

ต่อมาในปี 2013 แมนฯ ซิตี้ ได้ก่อตั้งบริษัทโฮลดิ้ง ในชื่อ City Football Group (CFG) โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นคือ Abu Dhabi United Group (81 เปอร์เซนต์), Silver Lake (18 เปอร์เซนต์) และ CITIC Group (1 เปอร์เซนต์)

งานหลักของ CFG คือการไปซื้อกิจการของสโมสรฟุตบอลขนาดกลางหรือเล็ก ด้วยโมเดล “มัลติ-คลับ” เพื่อแบ่งปัน หมุนเวียนทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีอยู่ร่วมกัน ปัจจุบันมีพันธมิตรกับ 12 สโมสร จากทุกทวีปทั่วโลก

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด – อสังหาริมทรัพย์ และศูนย์การค้าในสหรัฐอเมริกา

ในเวลานี้ เกลเซอร์ แฟมิลี่ ยังคงเป็นเจ้าของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ครอบครองมาตั้งแต่ปี 2005 ยกเว้นจะมีการตัดสินใจขายสโมสรไปให้ชีค ยาสซิม หรือเซอร์จิม แรดคลิฟฟ์ ซึ่งยืดเยื้อมาแล้วหลายเดือน

มัลคอล์ม เกลเซอร์ เป็นแกนนำในการเทคโอเวอร์สโมสรแมนฯ ยูไนเต็ด เคยทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ แต่หลังจากเสียชีวิตในอีก 9 ปีต่อมา บรรดาลูก ๆ ของเขาก็เข้ามาบริหารสโมสรต่อจากคุณพ่อ

ธุรกิจอื่นๆ ที่ทำเงินให้ครอบครัวเกลเซอร์ คือการเป็นเจ้าของพื้นที่ศูนย์การค้าระดับพรีเมียมที่มีมากกว่า 6.7 ล้านตารางฟุตทั่วสหรัฐฯ และยังเป็นเจ้าของทีมแทมป้าเบย์ บัคคาเนียร์ ในอเมริกันฟุตบอล NFL

ตลอด 18 ปี ในการบริหารของเกลเซอร์ แฟมิลี่ ไม่เป็นที่ชื่นชอบของแฟนๆ ปีศาจแดง เพราะมองว่าไม่เคยลงทุนกับสโมสรเลย อีกทั้งมีประเด็นการเข้าร่วมยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ลีก จนเกิดการประท้วงอย่างรุนแรง

นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด – บริษัทน้ำมัน, ลีกฟุตบอล

เมื่อเดือนตุลาคม 2021 กองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะ หรือ PIF จากซาอุดีอารเบีย ประกาศเทกโอเวอร์นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด จากไมค์ แอชลี่ย์ ที่ครอบครองสโมสรมานานถึง 14 ปี ด้วยมูลค่า 300 ล้านปอนด์

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/newcastleunited

โดยบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความยิ่งใหญ่กองทุน PIF คือ ยาซีร์ อัล รูมายัน และมุฮัมหมัด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอารเบีย เป็นกองทุนที่สนับสนุนหลายโครงการที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

รายได้มหาศาลของกองทุน PIF มาจากแหล่งน้ำมันดิบสำรองขนาดใหญ่ลำดับต้น ๆ ของโลก แต่ในอนาคตน้ำมันย่อมมีวันหมด กองทุนนี้จึงต้องหารายได้ทางอื่นเพิ่ม เช่น การลงทุนในต่างประเทศ, ดอกเบี้ยเงินกู้ เป็นต้น

นอกจากนี้ กองทุน PIF ยังได้เข้าไปถือหุ้น 4 สโมสรฟุตบอลในซาอุ โปร ลีก ได้แก่ อัล นาสเซอร์ ทีมของคริสเตียโน่ โรนัลโด้, อัล อิตติฮัด ทีมของคาริม เบนเซม่า, อัล อาห์ลี และอัล ฮิลาล สโมสรละ 75 เปอร์เซนต์

น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ – เรือบรรทุกน้ำมัน และเรือคอนเทนเนอร์

ในช่วงกลางปี 2017 เอวานเจลอส มารินาคิส นักธุรกิจชาวกรีซ เข้าซื้อสโมสรน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ จากตระกูลอัล-ฮาซาวี มหาเศรษฐีชาวคูเวต โดยเมื่อซีซั่นที่แล้ว ได้กลับคืนสู่พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 23 ปี

รายได้หลักของมารินาคิส มาจากการก่อตั้ง Capital Maritime & Trading บริษัทที่ทำกิจการเรือบรรทุกน้ำมัน และเรือคอนเทนเนอร์หลายสิบลำ รวมถึงอยู่ในวงการสื่อ ด้วยการเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์หลายช่อง

นอกจากนี้ มารินาคิสได้เข้าสู่การเมือง โดยเป็นสมาชิกสภาเมืองปิเรอุส เมืองในเขตชานกรุงเอเธนส์ และได้ดำเนินโครงการพัฒนาท่าเรือปิเรอุส ให้เป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นจุดหมายปลายทางของเรือสำราญ

นอกจากจะบริหารทีม “เจ้าป่า” แล้ว มารินาคิส ยังได้ซื้อโอลิมเปียกอส สโมสรฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในลีกบ้านเกิด ตั้งแต่ปี 2010 โดยยุคที่เขาเป็นเจ้าของสโมสร คว้าแชมป์ซูเปอร์ลีก 7 ซีซั่นติดต่อกัน

เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด – บริษัทผลิตกระดาษชำระ

ปี 2013 อับดุลลาห์ บิน มูซาอัด บิน อับดุลาซิซ อัล ซาอัด เข้ามาซื้อหุ้นเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 50 เปอร์เซ็นต์ จากเควิน แมคเคบ ก่อนที่อีก 5 ปีต่อมา เจ้าชายจากซาอุดีอารเบีย ได้ควบคุมกิจการของสโมสรแบบเต็มตัว

รายได้ของเจ้าชายอับดุลลาห์ มาจากบริษัทผลิตกระดาษในซาอุดีอารเบีย, ที่มีผลิตภัณฑ์อย่างกระดาษชำระ, ม้วนกระดาษชำระ และผ้ากันเปื้อน ซึ่งจะนำสินค้าเหล่านี้ไปขายทั่วตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ

นอกจากจะครอบครอง “ดาบคู่” แล้ว เจ้าชายอับดุลลาห์ ยังเป็นเจ้าของทีมฟุตบอลอย่างแบร์ช็อต ในลีกเบลเยียม, เกราล่า ยูไนเต็ด ในลีกอินเดีย, อัล-ฮิลาล ยูไนเต็ด ในลีกยูเออี และชาโตรูซ์ ในลีกฝรั่งเศส

อย่างไรก็ตาม เจ้าชายอับดุลลาห์ มีความต้องการที่จะขายสโมสร แม้ว่าเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดจะได้เลื่อนชั้นกลับมาเล่นในพรีเมียร์ลีกก็ตาม ซึ่งโดซี่ เอ็มโมบูโอซี่ นักธุรกิจชาวไนจีเรีย เคยยื่นข้อเสนอมาแล้ว แต่ไม่เป็นผล

ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ – นักค้าสกุลเงิน, ซอฟท์แวร์ และความบันเทิง

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/TottenhamHotspur

เจ้าของทีมท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ คนปัจจุบัน คือ โจ ลูอิส นักธุรกิจชาวอังกฤษ ผู้ก่อตั้ง ENIC Group บริษัทด้านการลงทุน ที่เข้ามาซื้อหุ้นจำนวน 27 เปอร์เซ็นต์ จากเจ้าของเดิมอย่างเซอร์อลัน ชูการ์ ตั้งแต่ปี 1991

วันที่ 16 กันยายน ปีถัดมา เกิดเหตุการณ์ Black Wednesday หรือวิกฤตค่าเงินปอนด์ในสหราชอาณาจักรที่อ่อนค่าลง จนต้องถอนตัวจากกลไกอัตราแลกเปลี่ยนของยุโรป (ERM) ลูอิส ในฐานะนักค้าสกุลเงิน ทำเงินได้ประมาณ 1 พันล้านปอนด์

ENIC Group ได้ลงทุนกับทีมฟุตบอลหลายสโมสร เช่น สลาเวีย ปราก ของเช็ก, เรนเจอร์ส ของสกอตแลนด์ และเออีเค เอเธนส์ ของกรีซ อีกทั้งยังลงทุนในด้านธุรกิจซอฟท์แวร์, ความบันเทิง และธุรกิจอื่น ๆ

ปี 2001 แดเนียล เลวี่ เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานสโมสร และในปี 2007 ลูอิสได้ซื้อหุ้นจากชูการ์ที่เหลืออยู่ 12 เปอร์เซ็นต์ ก่อนครอบครองสเปอร์สแบบเบ็ดเสร็จ ปัจจุบัน ENIC Group ถือหุ้นอยู่ที่ 85 เปอร์เซ็นต์

เวสต์แฮม ยูไนเต็ด – นิตยสารเรท R และอสังหาริมทรัพย์

ปี 2010 เดวิด โกลด์ และเดวิด ซัลลิแวน ร่วมกันเทกโอเวอร์เวสต์แฮม ยูไนเต็ด หลังจากขายสโมสรเบอร์มิงแฮม ซิตี้ ที่ครองมาตั้งแต่ปี 1993 ให้กับคาร์สัน หยาง มหาเศรษฐีชาวฮ่องกง เมื่อ 1 ปีก่อนหน้านั้น

รายได้ของโกลด์ ได้จากธุรกิจที่เกี่ยวกับนิตยสารสำหรับผู้ใหญ่ (Restricted) อย่างเช่น Sunday Sport แท็บลอยด์ที่มีชื่อเสียงในเรื่องการนำเสนอภาพโป๊เปลือย ส่วนซัลลิแวนมีรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

เดือนพฤศจิกายน 2021 แดเนียล เครตินสกี้ นักธุรกิจชาวเช็ก เจ้าของ EPH บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของประเทศ ซื้อหุ้นของเวสต์แฮม 27 เปอร์เซ็นต์ พร้อมดึงนักเตะร่วมชาติ 3 คน คือ โธมัส ซูเซ็ค, วลาดิเมียร์ คูฟาล และอเล็กซ์ คราล

เดวิด โกลด์ เสียชีวิตเมื่อต้นปีที่ผ่านมาด้วยวัย 86 ปี ทำให้หุ้นจำนวน 25.1 เปอร์เซ็นต์ ตกเป็นของทายาทของเขา โดยเดวิด ซัลลิแวน ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นสูงสุดที่ 38.8 เปอร์เซ็นต์ และมีนักลงทุนรายอื่น ๆ อีก 9.1 เปอร์เซนต์

วูล์ฟแฮมตัน – แฟชั่น, ยา, ค้าปลีก และอสังหาริมทรัพย์

ในปี 2016 โฟซุน อินเตอร์เนชั่นแนล กลุ่มทุนจากประเทศจีน นำโดยกั๋ว กวงชาง ได้เข้ามาซื้อกิจการของวูล์ฟแฮมป์ตัน ทีมลีกแชมเปี้ยนชิพ (ในขณะนั้น) ต่อจากสตีฟ มอร์แกน ด้วยมูลค่าราว 30 ล้านปอนด์

โฟซุน อินเตอร์เนชั่นแนล มีรายได้จากธุรกิจที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร, แฟชั่น, ค้าปลีก, อสังหาริมทรัพย์ รวมถึงเป็นผู้พัฒนาและทดสอบวัคซีนโควิด-19 ในนามของโฟซุน ฟาร์มาซูติคอล เมื่อ 3 ปีก่อน

นับตั้งแต่เทคโอเวอร์วูล์ฟแฮมตัน โฟซุน กรุ๊ป ได้ทุ่มเงินให้กับทีมชุดใหญ่ และมีความทะเยอทะยานอย่างสูงที่จะเปลี่ยนสโมสรดังจากย่านเวสต์ มิดแลนด์ ให้เป็นแบรนด์ขนาดใหญ่ในด้านแฟชั่น, อีสปอร์ต และอื่น ๆ

เดือนตุลาคม 2021 โฟซุนฯ ขายหุ้นบางส่วนให้กับ PEAK6 บริษัทจัดการการลงทุนของสหรัฐอเมริกา และมีข่าวลือว่ากำลังมองหาผู้ร่วมลงทุนใหม่เพิ่มเติม เพื่อให้วูล์ฟแฮมตันสามารถสู้กับทีมอื่น ๆ ในพรีเมียร์ลีก 

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

– https://theathletic.com/4545002/2023/07/16/premier-league-owners-money/

Categories
Special Content

ซานโดร โตนาลี นักเตะอิตาเลียนค่าตัวแพงที่สุดในโลก

พรีเมียร์ลีกเป็นลีกอันดับ 1 ของโลกในแง่ความนิยม แม้กระทั่งตัวนักเตะเองก็กระหายที่จะสัมผัสบรรยากาศลีกลูกหนังเทียร์ 1 เมืองผู้ดี จึงไม่แปลกที่จะมีนักบอลจากทั่วโลกหลั่งไหลเข้ามายังประเทศอังกฤษ ซึ่งข้อมูลจากเว็บไซต์ transfermarkt ระบุว่า จากนักเตะทั้งหมด 592 คนในซีซัน 2022-23 ที่ผ่านมา เป็นผู้เล่นต่างชาติถึง 405 คน คิดเป็น 68.4 เปอร์เซ็นต์

มากที่สุดคือ บราซิล 36 คน ตามด้วยสเปน 34 คน, ฝรั่งเศส 33 คน, โปรตุเกส 28 คน และสกอตแลนด์ 23 คน ขณะที่นักเตะจากอีก 2 ลีกบิ๊ก-5 ยุโรป บุนเดสลีกาและกัลโช เซเรีย อา กลับไม่ค่อยข้ามทะเลจากแผ่นดินใหญ่มาค้าแข้งในพรีเมียร์ลีก ซึ่ง transfermarkt ระบุจำนวนไว้ว่า เยอรมนี 12 คน ส่วนอิตาลีเพียง 5 คนเท่านั้นโดย จอร์จินโญ ลงสนามลีกมากที่สุดรวม 32 นัดให้กับเชลซีและอาร์เซนอล

ใครที่ติดตามพรีเมียร์ลีกมานาน จะทราบดีว่านักเตะอิตาเลียนเข้ามาเล่นในอังกฤษน้อยมากตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา อีกทั้งน้อยรายที่ประสบความสำเร็จ ว่ากันว่าเป็นเพราะพวกเขามีแนวคิด one-club player หากเติบโตจากทีมเยาวชนสโมสรไหน ก็มักจะเล่นให้สโมสรนั้นจนกระทั่งปลายอาชีพค้าแข้ง อีกเหตุผลคือสไตล์นักเตะเมืองมะกะโรนีไม่เหมาะกับลีกอังกฤษ

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องเกินความคาดหมายอย่างมากเมื่อตลาดซัมเมอร์รอบนี้ มีการทำลายสถิติสูงสุดตลอดกาลของค่าตัวนักบอลอิตาเลียนเมื่อ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ยอมทุ่มเงิน 55 ล้านปอนด์เพื่อซื้อ ซานโดร โตนาลี มิดฟิลด์วัย 23 ปีจากเอซี มิลานพร้อมเซ็นสัญญา 5 ปี เป็นลูกทีมใหม่คนแรกในตลาดรอบนี้ของกุนซือเอ็ดดี ฮาว ซึ่งกำลังเสริมทัพเพื่อลุยศึกลูกหนังยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาล 2023-24

สำหรับรายชื่อนักเตะอิตาเลียนค่าตัวแพงที่สุดในโลก 10 อันดับแรก (หน่วยเงินยูโร : คนที่ตัวเลขเงินกลมๆเท่ากันแต่มีอันดับสูงกว่าเพราะมีจำนวนเงินหลักแสนมากกว่า) ซึ่งจะเห็นว่า 7 อันดับเป็นการซื้อขายระหว่างสโมสรใหญ่ในเซเรีย อา แต่ 2 อันดับแรกก็เป็นการทุ่มเงินซื้อของสโมสรอังกฤษ

1 – 64 ล้านยูโร ซานโดร โตนาลี จากเอซี มิลาน ไปนิวคาสเซิล ปี 2023

2 – 57 ล้านูโร จอร์จินโญ จากนาโปลี ไปเชลซี ปี 2018

3 – 53 ล้านยูโร จิอันลุยจิฟ บุฟฟอน จากปาร์มา ไปยูเวนตุส ปี 2001

4 – 46 ล้านยูโร คริสเตียน วิเอรี จากลาซิโอ ไปอินเตอร์ มิลาน ปี 1999

5 – 43 ล้านยูโร เฟเดริโก คิเอซา จากฟิออเรนตินา ไปยูเวนตุส ปี 2020

6 – 42 ล้านยูโร ลีโอนาร์โด โบนุชชี จากยูเวนตุส ไปเอซี มิลาน ปี 2017

7 – 40 ล้านยูโร เฟเดริโก แบร์นาเดสชี จากฟิออเรนตินา ไปยูเวนตุส ปี 2017

8 – 38 ล้านยูโร มัตติอา คัลดารา จากยูเวนตุส ไปเอซี มิลาน ปี 2018

9 – 36 ล้านยูโร ฟิลิปโป อินซากี จากยูเวนตุส ไปเอซี มิลาน ปี 2001

10 – 36 ล้านยูโร จานลูกา สกามัคคา จากซาสซูโอโล ไปเวสต์ แฮม ปี 2022

สานฝันวัยเด็ก แต่เล่นให้มิลานแค่ 3 ปี

โตนาลีช่วยมิลานครองตำแหน่งสคูเดตโต ฤดูกาล 2021-22 และมีส่วนพาทีมเข้าถึงรอบรองชนะเลิศแชมเปียนส์ ลีก ซีซันที่ผ่านมา โตนาลียังเป็นหนึ่งในขุนพลทีมชาติอิตาลีที่ลงแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติทวีปยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ประจำปี 2023

โตนาลีเป็นชาวซันตันเจโล เมืองเล็กๆของจังหวัดโลดี ในแคว้นลอมบาร์ดี ตอนเหนือของอิตาลี เรียนรู้ศาสตร์ลูกหนังผ่านระบบเยาวชนของ ปิอาเซนซา (2009-2012) และ เบรสชา (2012-2017) ก่อนประเดิมสนามอาชีพในเซเรีย เบ ขณะอายุ 17ปี ลงเป็นตัวสำรองของแมตช์เยือน เบรสชาแพ้อเวลลิโน 1-2 เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2017

เบรสชาเลื่อนชั้นขึ้นลีกสูงสุดในฤดูกาล 2018-19 แต่ตกลงมาอยู่เซเรีย เอ อีกครั้งในซีซันถัดมา ซึ่งระหว่างนี้ โตนาลีได้เล่นให้ทีมชาติอิตาลีครั้งแรก ถูกส่งลงมาระหว่างแมตช์กับลิกเตนสไตล์ในเดือนตุลาคม 2019 ล่าสุดเล่นทีมชุดใหญ่ไปแล้ว 14นัด

เบรสชาปล่อยโตนาลีให้ เอซี มิลาน ยืมใช้งานในตลาดซัมเมอร์ปี 2020 ด้วยมูลค่า 10 ล้านยูโร และออปชันซื้อขาดราคา 15 ล้านยูโร และโบนัสอีก 10 ล้านยูโร เขาจบซีซัน 2020-21 ในสีเสื้อแดงดำด้วยสถิติลงสนาม 37 นัดรวมทุกราย เป็นตัวจริง 23 นัด นั่นทำให้ทีมรอสโซเนรีตัดสินใจซื้อขาดและเซ็นสัญญา 5 ปีกับโตนาลี ซึ่งยอมลดค่าเหนื่อยเพื่อสานฝันในวันเด็กที่ต้องการเป็นผู้เล่นมิลานท่ามกลางเสียงชื่นชมของแฟนบอลบนโลกโซเซียลมีเดีย

เพียงเต็มซีซันปีแรก โตนาลีก็เป็นผู้เล่นมิลานชุดแชมป์เซเรีย อา ซีซัน 2021-22 ลงสนามตัวจริง 31 นัด ตัวสำรอง 5 นัด รวม 2.606 นาที มีสถิติ 5 ประตู 3 แอสซิสต์ ส่วนซีซันล่าสุด มิลานจบอันดับ 4 โตนาลีเป็นตัวจริง 30 นัด ตัวสำรอง 4 นัด 2.717 นาที ทำ 2 ประตู 7 แอสซิสต์ โดยตลอด 3 ปี โตนาลีลงสนามให้มิลาน 130 นัดรวมทุกรายการ ทำ 7 ประตู 13แอสซิสต์

สำหรับสถิติส่วนตัวอื่นๆในเซเรีย อา ซีซัน 2022-23 ของโตนาลี 34 นัด, สร้างโอกาส 62 ครั้ง, ผ่านบอล 1,403 ครั้ง, แอสซิสต์ 7 ครั้ง, แทคเกิล 64 ครั้ง และฟาวล์ 35 ครั้ง

แฮร์รี เด โคเซโม นักวิเคราะห์เกมของสื่อใหญ่ บีบีซี สปอร์ต ให้ความเห็นถึงดีลผู้เล่นอิตาเลียนที่แพงที่สุดในโลกว่า เอ็ดดี ฮาว ตระหนักดีถึงสถานการณ์ตึงเครียดที่เผชิญช่วงท้ายซีซัน 2022-23 ในการเบียดแย่งอันดับท็อป-4 พรีเมียร์ลีก นั่นทำให้การซื้อผู้เล่นใหม่ในตลาดซัมเมอร์รอบนี้ต้องกระทำอย่างถี่ถ้วนและละเอียด โดยเฉพาะการต้องลงรอบคัดเลือก แชมเปียนส์ ลีก การอัปเกรดขุมกำลังของนิวคาสเซิลจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด แต่ดุลซื้อขายที่เจ้าของสโมสรใหม่จากซาอุดิ อาระเบีย ที่กระทำไปใน 3 ตลาดที่ผ่านมา ทำให้การลงทุนนักเตะครั้งนี้ต้องใช้ความระมัดระวังสูงเพื่อไม่ให้ละเมิดกฎไฟแนนเชียล แฟร์เพลย์

เด โคเซโม มีมุมมองว่า โตนาลีสามารถเล่นได้ทั้งถอยลงลึกและเดินขึ้นหน้าในแดนกลาง ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระการสร้างสรรค์เกมให้บรูโน กีมาเรส ในช่วงเวลาสำคัญเช่นท้ายซีซันที่ผ่านมา ฟอร์มของกีมาเรสไม่ลื่นไหลเหมือนเดิมเพราะอาการบาดเจ็บข้อเท้า ดังนั้นแม้โตนาลีไม่ใช่เป้าหมายต้นๆแต่นิวคาสเซิลกลับถูกระตุกให้เดินหน้ากางโต๊ะเจรจาเมื่อทราบข่าวว่า มิดฟิลด์วัย 23 ปี ถูกตั้งราคาขายที่อยู่ในงบประมาณสโมสร โดยเดิมที นิวคาสเซิลอยากได้โฮลดิงมิดฟิลด์ขนานแท้

กูรูแห่งบีบีซี สปอร์ต ตบท้ายว่า ความสามารถทางกีฬาที่ดีเยี่ยมและการเล่นได้หลากหลายหน้าที่เป็น 2 เงื่อนไขสำคัญที่ฮาวมองหาในนักเตะใหม่ของเขา และโตนาลีมีพร้อมทั้งสองข้อ มั่นใจได้ว่าโตนาลีสามารถเพิ่มมิติใหม่ให้กับมิดฟิลด์ของนิวคาสเซิลได้อย่างแน่นอน

ขณะที่ แอนโธนี กอร์ดอน กองหน้าทีมนิวคาสเซิล กล่าวถึงเพื่อนร่วมทีมใหม่ว่า “ผมรู้จักเขาตั้งแต่ยุคแรกๆที่เบรสชา ผมยังจำภาพเขาที่เห็นจากคลิปก่อนย้ายมามิลาน เขาเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ตัวท็อปของโลกแน่นอน ผมรอวันที่จะลงสนามร่วมกับเขา”

นิวคาสเซิลจะใช้ประโยชน์อย่างไรจากโตนาลี

เบน กราวน์ดส นักวิเคราะห์เกมของสกาย สปอร์ตส์ ให้ความเห็นว่า นิวคาสเซิลคาดหวังโตนาลีจะนำแพสชันมาสู่ยูนิฟอร์มลายดำขาว ค่าตัวระหว่างสองสโมสรเป็นตัวเลขที่ช็อกมากอย่างที่หนังสือพิมพ์ กัซเซตตา เดลโล สปอร์ต ระบุ และเป็นตัวเลขที่มิลานไม่สามารถปฏิเสธได้

กราวน์ดส์ ยังกล่าวถึงรูปแบบความเป็นไปได้ในการใช้งานของนิวคาสเซิล เขาเชื่อว่าฮาวคงไฟเขียวให้กีมาเรสขยับขึ้นบนได้มากขึ้นเมื่อโตนาลีย้ายเข้าถิ่นเซ็นต์เจมส์ ปาร์ค แต่โตนาลีไม่ใช่มิดฟิลด์ตัวรับโดยเนื้อแท้ ดังนั้นอย่าเพิ่งคาดหวังเห็นโตนาลีปักหลักอยู่หน้าแนวรับ

ที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่า นิวคาสเซิลเริ่มประสบปัญหาเมื่อ ฌอน ลองสตาฟฟ์ บาดเจ็บ กีมาเรสต้องถอยลงมาเล่นลึกระหว่างเดือนมกราคมถึงพฤษภาคมที่เป็นเวลาที่ยาวนานทีเดียว แถมตอนนั้นฮาวมีมิดฟิลด์ที่พอไว้ใจใช้งานได้เพียง 4 คน ส่งผลให้แพ้ลิเวอร์พูลและอาร์เซนอลในแมตช์เหย้า จนมีสิทธิตกแทร็คลุ้นโควตาแชมเปียนส์ ลีก โดยนิวคาสเซิลชนะนัดเดียวจาก 8นัดที่แข่งกับทีมท็อป-5 ของพรีเมียร์ลีก

ซีซันที่ผ่านมา สเตฟาโน ปิโอลี เฮดโค้ชของรอสโซเนรีให้โตนาลียืนตำแหน่งเบอร์ 6 ของระบบ 4-2-3-1 ซึ่งจะเอื้ออำนวยให้กีมาเรสเล่นบนพื้นที่สูงขึ้นของสนาม โตนาลีครบเครื่องทักษะทั้งการใช้เท้าสองข้างและครองบอลเหนียว กูรูจากสกาย สปอร์ตส์ มั่นใจว่าโตนาลีจะเข้ามาช่วยยกระดับนิวคาสเซิล ซึ่งเป็นทีมที่จ่ายบอลแม่นยำอันดับ 12 ของพรีเมียร์ลีก

7 นักเตะอิตาเลียนยอดเยี่ยมในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก

แม้นักฟุตบอลไม่ใช่สินค้านำเข้ายอดนิยมที่เดินทางจากอิตาลีมาสู่อังกฤษ แต่ส่วนใหญ่ที่ถูกซื้อเข้ามาล้วนการันตีฝีเท้าไม่ธรรมดา ซึ่งมีทั้งประสบความสำเร็จและความล้มเหลว ฟอร์ซา อิตาเลียน ฟุตบอล สื่อกีฬาลูกหนังชั้นนำเมืองมะกะโรนี ได้จัดเสนอชื่อ 7 นักเตะอิตาเลียนยอดเยี่ยมตลอดกาลที่ค้าแข้งในพรีเมียร์ลีก (ไม่ได้เรียงอันดับ)

จิอันฟรังโก โซลา (เชลซี)

โซลาเล่นให้เชลซีระหว่างปี 1996 ถึง 2003 เป็นเวลา 7 ปีที่ทำให้แฟนบอลจดจำเขาในฐานะหนึ่งในนักเตะอิตาเลียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลงสังเวียนพรีเมียร์ลีก ไม่ว่าจะเป็นการครองบอลที่เหนือชั้นและการฉีกแผงแนวรับเข้าทำสกอร์ ซึ่งรวมแล้วเกินกว่า 50ประตูเฉพาะบอลลีก โซลาจึงเป็นโปสเตอร์บอยยอดนิยมของแฟนบอลเชลซีในทศวรรษ 1990-2000 เขายังช่วยให้ต้นสังก้ดครองโทรฟี 6 ใบ

เบนิโต คาร์โบเน่ (เว้นสเดย์, วิลลา, แบรดฟอร์ด, ดาร์บี, มิดเดิลสโบรห์)

คาร์โบเนเล่นในอังกฤษระหว่างปี 1996 ถึง 2002 ให้หลายสโมสร ระหว่าง 6 ซีซันในพรีเมียร์ลีก เขาทำสกอร์ทะลุหลัก 40ประตู โดดเด่นในฐานะทีมเพลย์และทักษะจบสกอร์ ช่วงชีวิตที่ดีเกิดขณะสวมเสื้อเว้นสเดย์และแบรดฟอร์ด โดยเฉพาะการเป็นคู่หูกองหน้าระดับตำนานเคียงข้างเปาโล ดี คานิโอ เขาเป็นนักเตะที่ทำประตูได้สม่ำเสมอ เป็นคีย์แมนที่พาวิลลาเข้ารอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ปี 2000

โรแบร์โต ดี มัตติโอ (เชลซี)

มัตติโอเกิดในสวิตเซอร์แลนด์แต่เลือกเล่นให้ทีมชาติอิตาลี ลงสนามรวม 34 นัดให้ทีมอัซซูรี เขาเป็นนักเตะเชลซีระหว่างปี 1996 ถึง 2001 เป็นผู้เล่นสำคัญทั้งเกมบุกและเกมรับ แต่ช่วงที่ผู้คนจดจำได้มากที่สุดอาจเป็นสมัยทำงานผู้จัดการทีมเชลซี ซึ่งครองดับเบิลแชมป์ แชมเปียนส์ ลีก และเอฟเอ คัพ เมื่อปี 2012 อีกทั้งยังชนะเลิศ คัพ วินเนอร์ส คัพ ปี 1998 สมัยเป็นผู้เล่นด้วย

มาสซิโม มัคคาโรเน (มิดเดิลสโบรห์)

มัคคาโรเนเล่นให้มิดเดิลสโบรห์ระหว่างปี 2002 ถึง 2007 แม้เข้าร่วมลีกแบบนักเตะโนเนม แต่ทักษะกองหน้าที่ยอดเยี่ยมทำให้เขาช่วยให้เดอะ โบโร ขึ้นมาถึงยุคทองในประวัติศาสตร์สโมสรต้นทศวรรษ 2000 โดยเฉพาะตอนที่สตีฟ แม็คลาเรน เป็นผู้จัดการทีม มัคคาโรเนได้เล่นร่วมกับสตาร์หลายคนอาทิ วิดูกา, ฮาสเซลแบงค์ และโรเคมแบค ร่วมกันพาทีมตะลุยถึงนัดชิงชนะเลิศ ยูฟา คัพ ปี 2006 มัคคาโรเนอำลาพรีเมียร์ลีกในปี 2007 พร้อมสถิติ 80 นัด 18 ประตู

ฟรานเชสโก บายาโน (ดาร์บี)

บายาโนเล่นให้ดาร์บีระหว่างปี 1997 ถึง 1999 เคยถูกรับเลือกให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสโมสรประจำปี 1998 เขาเล่นให้ทีมแกะเขาเหล็ก 64 นัดรวมทุกรายการ เป็นขวัญใจของแฟนบอลระหว่างดาร์บียังอยู่บนสังเวียนลีกสูงสุด สาเหตุที่ได้รับเลือกเป็นหนึ่งในนักเตะอิตาเลียนยอดเยี่ยมในพรีเมียร์ลีกเพราะการทำสกอร์ดีๆให้เห็นหลายประตู

เปาโล ดี คานิโอ (เว้นสเดย์, เวสต์แฮม, ชาร์ลตัน)

ดี คานิโอ เล่นในพรีเมียร์ลีกระหว่างปี 1997 ถึง 2004 เป็นนักเตะที่โดนแฟนบอลทั้งรักและเกลียดพอๆกัน เป็นตัวละครบนสนามหญ้าที่ทำให้เกิดใบแดง การต่อสู้ ความผันแปร และสกอร์ ซึ่งถ้านับเฉพาะพรีเมียร์ลีก ดี คานิโอ ส่งลูกหนังซุกก้นตาข่ายรวม 73 ครั้ง ไม่ว่าคุณจะเกลียดหรือรัก เขาต้องถูกคุณใส่ชื่อไว้ในลิสต์นี้แน่นอน

จิอันลูกา วิอัลลี (เชลซี)

วิอัลลีผู้วายชนม์เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาด้วยวัย 58 ปี เล่นให้เดอะ บลูส์ ระหว่างปี 1996 ถึง 1999 ก่อนแขวนสตั๊ดหลังซีซัน 1998-99 เพื่อโฟกัสตำแหน่งผู้จัดการทีมที่รับหลังจาก รุด กุลลิท ถูกไล่ออกเดือนกุมภาพันธ์ 1998 ตอนนั้นเขามีอายุเพียง 33 ปี ในส่วนฐานะผู้เล่น วิอัลลีทำ 11  ประตูรวมทุกรายแรกในซีซันแรกกับเชลซี กลายเป็นขวัญใจของแฟนบอลทันที ก่อนเพิ่มเป็น 19 ประตูในซีซันต่อมา หากนับเฉพาะช่วงที่เป็นเพลเยอร์-แมเนเจอร์ เขายังทำได้รวม 29 ประตู แน่นอนเมื่อเอ่ยชื่อวิอัลลี ต้องนึกถึง “ประตู” เขายังได้แชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพ, เอฟเอ คัพ และลีก คัพ

ทายาทปีร์โล ผู้มีกัตตูโซเป็นต้นแบบ

ย้อนกลับไปเมื่อครั้งเติบโตในซันตันเจโล เมืองเล็กๆที่มีประชากรราว 13,000 คน โตนาลีก็เหมือนชาวเมืองส่วนใหญ่ที่เชียร์ทีมมิลาน สำหรับเด็กๆวัยเดียวกัน ฟุตบอลคือกิจกรรมสนุกสนาน แต่โตนาลีต่างออกไป เขาเหมือนเป็น masochist จะไม่ยินดีต่อเกมการแข่งขันจนกว่าจะได้รับความเจ็บปวดเพื่อไปสู่ชัยชนะ

โตนาลีกลายเป็นที่สนใจจากแฟนบอลทั่วอิตาลีเมื่อครั้งลงสนามให้เบรสชา ถูกยกย่องให้เป็นทายาทของ อันเดรีย ปีร์โลมิดฟิลด์ระดับตำนานที่เคยเป็นนักเตะมิลานระหว่างปี 2001 – 2011 และยูเวนตุสระหว่างปี 2011 – 2015 แต่ “ศิลปินลูกหนัง” ปีร์โล ซึ่งเพิ่งได้รับแต่งตั้งให้คุมทีมซามพ์โดเรียในซีเรีย เบ เคยให้สัมภาษณ์ถึงโตนาลีว่า “ในฐานะนักเตะ เขาไม่ได้ดูเหมือนผมเลย เขาเป็นผู้เล่นที่สมบูรณ์แบบกว่าทั้งเกมรับและเกมบุก”

ความจริงแล้ว ไอดอลของโตนาลีคือ เจนนาโร กัตตูโซ เพื่อนร่วมทีมมิลานของปีร์โลในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ

ในหนังสั้นเรื่อง Sandro Tonali – A Rossonero dream come true เปิดเผยว่า แก้วกระเบื้องที่พรินต์ภาพกัตตูโซเป็นหนึ่งในของสะสมที่มีคุณค่าของโตนาลี เมื่อครั้งแม่ของเขาทำแตกโดยบังเอิญ โตนาลีบรรจงใช้กาวติดแต่ละชิ้นส่วนที่แตกจนประกอบกลับเป็นแก้วตามเดิม

เช่นเดียวกับกัตตูโซ โตนาลีมีสไตล์การเล่นที่สู้ไม่ถอย มีจิตวิญญาณแห่งการเสียสละเพื่อทีม และความสามารถในการครอบคลุมพื้นที่ เขายังเป็นนักเตะที่ใส่ใจเกมลูกหนังอย่างจริงจัง มีเรื่องเล่าวว่าก่อนแมตช์แชมเปียนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศที่ผ่านมากับอินเตอร์ มิลาน โตนาลีขังตัวเองจากโลกภายนอก เคร่งครัดการควบคุมอาหาร ฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ งานด้านประชาสัมพันธ์ถูกปรับเปลี่ยนกำหนดการ ไม่เล่นโซเชียลมีเดีย ไม่จัดงานฉลองวันเกิด มีเพียงเค้กชิ้นเล็กๆกับเทียนเล่มเดียวพอเป็นพิธี เนื่องจากโตนาลีมีงานต้องทำและมีการแข่งขันต้องเล่น

เมื่อนำค่าตัวที่เป็นสถิติใหม่ของอิตาลี และฝีเท้าทักษะที่หลากหลายครบเครื่องรอบจัดในตำแหน่งมิดฟิลด์ มารวมกับใบหน้าหล่อเข้มสไตล์หนุ่มอิตาเลียนกับคาแรกเตอร์ที่จริงจังเหนือนักบอลอาชีพทั่วโลก เชื่อได้เลยว่า ซานโดร โตนาลี มิดฟิลด์วัย 23 ปี ในสีเสื้อลายดำขาวของนิวคาสเซิล ต้องเป็นสีสันที่จัดจ้านของพรีเมียร์ลีก ซีซัน 2023-24 อย่างแน่นอน

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Football Tactics

กั๊กโป เกิดใหม่ในร่างนักเตะเบอร์ 9 กับตัวช่วยที่มากกว่าพรสวรรค์-พรแสวง

ลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จในการเลือกสรรนักเตะใหม่เข้ามาในตลาดเดือนมกราคม 2 ปีติดต่อกัน ปี 2022 คือ ลุยซ์ ดิอาซ ค่าตัว 37 ล้านปอนด์จากทีมปอร์โต (บวกแอด-ออน 12 ล้านปอนด์) ปีกซ้ายทีมชาติโคลอมเบียปรับตัวกับลีกใหม่อย่างรวดเร็ว มีส่วนสำคัญขับเคลื่อนฟอร์มทีมหงส์แดงจนคว้า 2 แชมป์ 2 รองแชมป์ ด้วยสถิติ 26 นัด 6 ประตูรวมทุกรายการ แต่โชคร้ายซีซันต่อมา ดิอาซใช้เวลาส่วนใหญ่รักษาอาการบาดเจ็บจนลงสนามรวมแค่ 21 นัด แต่ยังทำได้ 5ประตู

ตลาดนัดปีนี้ ลิเวอร์พูลให้อภัยหน้าเค้กเปรียบเทียบแมนฯยูไนเต็ดจ่ายเงินราว 37 ทดสอบให้พีเอสวี ไอน์ดโฮเฟน (บวกแอด-ออน 3 ความต้องการ) เพื่อซื้อโคดีกั๊กโปซึ่งใกล้  จะ  เซ็น สัญญากับทีมปีศาจแดงปี๊ทิ้งไว้ให้เล่นกับเพื่อนใหม่ดีกว่าจะได้ช่วยทีมหงส์แดงฟอร์มแรงช่วงท้ายไต่อันดับพรีเมียร์ลีกจนมีลุ้นโควตาแชมเปียนส์ลีกโดยดิอาซเล่น 26 นัดที่ 7 ประตูรวมทุกรายการ

สำหรับกั๊กโปแล้ว สิ่งที่เกินคาดทั้งแฟนบอลและสื่อมวลชนคือ แทนที่เยอร์เกน คลอปป์ จะส่งกั๊กโปเล่นแนวรุกฝั่งซ้าย ตำแหน่งประจำที่พีเอสวี แทนดิอาซและดีโอโก โซตา ที่บาดเจ็บพร้อมกัน แต่กลับมอบหมายกั๊กโปยืนศูนย์หน้า ส่วนปีกซ้ายเป็นดาร์วิน นูนเญซ ซึ่งกูรูลูกหนังเคยเชื่อว่า ลิเวอร์พูลยอมทุ่มให้เบนฟิกาสูงถึง 64 ล้านปอนด์ (บวกแอด-ออน 21ล้านปอนด์) เพื่อมายืนตำแหน่งเบอร์ 9 เหมือนเออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ของแมนฯซิตี

ช่วงครึ่งแรกของซีซัน 2022-23 ก่อนย้ายมาเมอร์ซีย์ไซด์ กั๊กโปทำผลงานในเอเรดิวิซีของเนเธอร์แลนด์ 9 ประตู 12 แอสซิสต์จากการเล่น 14 นัด และเป็นปีกซ้ายเบอร์ 1 ของเฮดโค้ช รุด ฟาน นิสเตลรอย และจากสถิติทั้งหมด 159 นัดรวมทุกรายการ (55 ประตู 50 แอสซิสต์) ในสีเสื้อพีเอสวีตั้งแต่เล่นให้ทีมชุดใหญ่นัดแรกต้นปี 2018 เว็บไซต์ transfermarkt ระบุว่า กั๊กโปเล่นปีกซ้ายถึง 118 นัด รองลงมาคือ ศูนย์หน้า 15 นัด และปีกขวา 14 นัด ส่วนอีกนัดเป็นมิดฟิลด์ตัวรุก

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คลอปป์จะทำให้ผู้คนมากมายเซอร์ไพรส์ที่ใช้งานกั๊กโปเป็นกองหน้าตัวเป้า ไม่ใช่ตำแหน่งที่เป็นภาพจำอย่างปีกซ้าย โดยเฉพาะข้อจำกัดที่ดิอาซกับโซตาไม่สมบูรณ์พร้อมกัน แถมนูนเญซก็ถูกคาดหวังมาเป็นศูนย์หน้าตัวหลักอีก … แม้แต่ กั๊กโปเองก็ยอมรับว่าคิดไม่ถึงเช่นกัน

เมินคำแนะนำว่าเหมาะกับสไตรเกอร์มากกว่าปีก

หลังฤดูกาล 2022-23 ปิดฉากลง กั๊กโปให้สัมภาษณ์สื่อว่า คลอปป์โน้มน้าวให้เขาเชื่อว่าตำแหน่งที่ดีสำหรับเขามากที่สุดคือ STRIKER ไม่ใช่ปีก และตอนนี้เขาก็มีความสุขและสนุกกับตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าที่ลิเวอร์พูล การย้ายจากปีกซ้ายมายืนเบอร์ 9 เป็นสิ่งเพลิดเพลินด้วยซ้ำ คอมเมนเตเตอร์หลายคนมองว่าเมื่อโรแบร์โต ฟีร์มิโน ย้ายออกจากแอนฟิลด์ กั๊กโปจะเป็นตัวแทน false nine ของฟีร์มิโนอย่างแน่นอน

กั๊กโปเซ็นสัญญา 5 ปีครึ่งกับลิเวอร์พูลเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2022 หรือ 4 วันก่อนตลาดฤดูหนาวเปิดอย่างเป็นทางการ สร้างรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์สโมสรพีเอสวี เขาปรากฏตัวในสนามครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2023 เป็นเอฟเอ คัพ รอบ 3 ที่เสมอวูลฟ์แฮมป์ตัน 2-2 กั๊กโปยืนตำแหน่งปีกซ้ายที่คุ้นเคย ส่วนศูนย์หน้าคือนูนเญซ นัดต่อมาเป็นเกมพรีเมียร์ลีก วันที่ 14 มกราคม ลิเวอร์พูลชนะไบรท์ตัน 3-0 คลอปป์ปรับหมากเกม  ย้ายกั๊กโปยืนศูนย์หน้า ปีกซ้ายเป็นหน้าที่ของอเล็กซ์ ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน แม้กั๊กโปทำประตูไม่ได้ช่วง 6 นัดแรกแต่เขาไม่คิดว่ามีผลมาจากการปรับเปลี่ยนตำแหน่ง

กั๊กโปส่งลูกหนังซุกตาข่ายให้ลิเวอร์พูลได้สำเร็จ เป็นสกอร์นำร่องก่อนชนะเอฟเวอร์ตัน ทีมเพื่อนบ้าน 2-0 ในบอลลีกวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ประตูที่ 2 ตามมาอีก 5 วันในแมตช์ชนะนิวคาสเซิล 2-0 อีกทั้งยังทำ 2 ประตูเมื่อวันที่ 5 มีนาคม กับเกมหนึ่งที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในซีซันนี้ ลิเวอร์พูลเปิดบ้านถล่มแมนฯยูไนเต็ดราบคาบ 7-0 และยังมีเกมที่กั๊กโปทำ 2 แอสซิสต์อีกด้วยคือวันที่ 30 เมษายน จ่ายให้ดิอาซทำประตูขึ้นนำสเปอร์ส 2-0 ก่อนที่โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ สังหารจุดโทษให้สกอร์ห่างเป็น 3-0 เมื่อกั๊กโปโดนทำฟาวล์ในเขตโทษ แม้สเปอร์สตีเสมอ 3-3 แต่โซตาทำประตูชัยให้เจ้าถิ่นในนาทีที่ 90+4

สตาร์ทีมชาติเนเธอร์แลนด์กล่าวว่า “คลอปป์โน้มน้าวว่ากองหน้าเป็นตำแหน่งที่เหมาะสมกับผมมากที่สุด แน่นอนเป็นช่วงเวลาลำบากเมื่อครั้งมาถึงลิเวอร์พูลใหม่ๆ คลอปป์พูดชัดเจนว่าต้องการอะไรจากผม แต่ช่วงเริ่มต้น ก็ต้องใช้เวลาปรับตัวให้คุ้นชินเป็นธรรมดา แต่อยากบอกว่า ผมสนุกที่ได้เล่นตำแหน่งนี้ตลอด 2-3 เดือนที่ผ่านมา”

แม้ใช้เวลาเกือบทั้งหมดทำหน้าที่แนวรุกริมเส้นบนสังเวียนเอเรดิวิซี แต่กับทีมชาติเนเธอร์แลนด์ เป็นเรื่องปกติถ้ากั๊กโปถูกวางเป็นศูนย์หน้า อย่างเช่นเวิลด์คัพที่กาตาร์ หลุยส์ ฟาน กัล ให้กั๊กโปยืนตำแหน่งเบอร์ 9 ในนัดเสมอเอกวาดอร์ 1-1, ชนะกาตาร์ 2-0 และชนะสหรัฐอเมริกา 3-1 ส่วนนัดเปิดสนามที่ชนะเซเนกัล 0-2 และแมตช์รอบ 8 ทีมสุดท้ายที่แพ้ดวลจุดโทษต่ออาร์เจนตินา กั๊กโปรับบทมิดฟิลด์ตัวรุก โดยฟุตบอลโลก กั๊กโปเป็นตัวจริงทั้ง 5 นัด ทำได้ 3 ประตู

กั๊กโปเล่าว่า “กัส ฮิดดิงค์ เป็นคนแรกที่แนะนำว่า ผมควรเป็นสไตรเกอร์หรือไม่ก็ false nine มีช่วงหนึ่งเขาเป็นบอร์ดบริหารและเคยเห็นผมเล่น แต่ผมไม่เชื่อหรอกนะ ต่อมาเป็นโรเจอร์ ชมิดท์ ที่พูดแบบเดียวกันตอนที่คุมทีมพีเอสวี แต่ผมยังใจแข็งเหมือนเดิมเพราะรู้สึกดีกับปีกซ้ายมากกว่า”

“แต่จุดเปลี่ยนคือเวิลด์คัพ 2022 ผมต้องเล่นบริเวณพื้นที่กลางสนามมากขึ้น และกลายเป็นงานถาวรเกือบตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา มันโอเคแล้วนะ ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ทุกอย่างดีขึ้นเรื่อยๆกับการเล่นตำแหน่งนี้ให้สโมสรเช่นเดียวกับทีมชาติ”

2 นัดล่าสุดกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาในรายการเนชันส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ (แพ้โครเอเชีย) และนัดชิงอันดับ 3 (แพ้อิตาลี) โรนัลด์ คูมัน กุนซือคนใหม่ของเนเธอร์แลนด์ ใช้บริการกั๊กโปเป็นศูนย์หน้าแทนเมมฟิส เดปาย ที่บาดเจ็บน่อง

ดูเหมือนเส้นทางของกั๊กโปทั้งระดับสโมสรและทีมชาติได้มาบรรจบกันที่ “สไตรเกอร์” ทำให้เขาสามารถทุ่มเทสมาธิได้เต็มที่กับทักษะเครื่องจักรล่าประตู ซึ่งที่ผ่านมา แนวรุกดัตช์ไม่ได้มีเพียงสตาฟฟ์โค้ชสโมสรและทีมชาติที่เข้ามาช่วยพัฒนาฝีเท้า แต่ยังมีทีมงานส่วนตัวด้วย

จ้างทีมงานโค้ชแทคติกส่วนตัวเพื่ออัปเกรดฝีเท้า

ถ้าพิจารณาสไตล์การเล่นที่ผ่านมา กั๊กโปก็เป็นแนวรุกริมเส้นที่กึ่งๆกองหน้าอยู่แล้ว เขาเป็นปีกซ้ายที่ถนัดเท้าขวา บ่อยครั้งจะตัดเข้าในและเคลื่อนที่โจมตีฝ่ายตรงข้ามบนพื้นที่กลางสนาม ใช้ความเร็วและการเลี้ยงบอลที่คล่องแคล่วเพื่อ “กิน” กองหลังคู่แข่งจนกระทั่งเจอช่องว่างและโอกาสที่จะซัดบอลเพื่อทำประตู

ย้อนกลับยังเวิลด์ คัพ 2022 นัดแรกของรอบแรก กลุ่ม เอ ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุในกาตาร์ เนเธอร์แลนด์ยังเสมอเซเนกัล 0-0 ดูเหมือนไม่สามารถหาช่องว่างของแนวรับเพื่อเจาะเข้าไปทำสกอร์ นักเตะเสื้อขาวยืนแพ็คแน่นบริเวณกรอบเขตโทษ 

เหลือเวลาราว 6 นาที แฟรงกี เดอ ยอง โยนยาวไปหน้าประตู กั๊กโปวิ่งทะยานจากปีกขวา ทะลวงกองหลังเซเนกัล 2 คนที่มองบอลที่กำลังลอยเข้ามา กั๊กโปกระโดดโฉบโหม่งตัดหน้านายทวารเอดูอาร์ เมนดี ที่กระโดดหวังชกบอลแต่พลาด กั๊กโปโหม่งให้เนเธอร์แลนด์นำ 1-0 ก่อนชนะไปในที่สุด 2-0 เก็บ 3 แต้มแรกตุนได้สำเร็จ

ประตูปลดล็อคคลายความกดดันให้ทีมอัศวินสีส้มมีที่มาที่ไปจากเหตุการณ์ประมาณครึ่งปีก่อนหน้าฟุตบอลโลก ชายผู้สอนทริกการเล่นให้กั๊กโปผ่านการรีเพลย์คลิปวิดิโอทีละขั้นตอน เปิดเผยว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจจากบาสเกตบอล

โลแรน วีรีลิงค์ โค้ชด้านแทคติกของกั๊กโป ให้สัมภาษณ์กับอีเอสพีเอ็นว่า “นั่นเป็นแผนการวิ่งที่พวกเราทำงานร่วมกัน เขาวิ่งไปด้านหลังในจังหวะกองหลังขยับขึ้นหน้า เป็นหนึ่งในแผนการวิ่งที่ผมเรียนรู้จากสมัยเป็นนักบาสเกตบอลอาชีพ เรามีรูปแบบที่แตกต่างกัน 6 อย่างของการวิ่งเข้าไปในกรอบเขตโทษ”

“ซิดนีย์ พี่ชายของกั๊กโป ส่งข้อความมาถึงผม (หลังเนเธอร์แลนด์ชนะเซเนกัล) บอกว่า ‘โลแรน นั่นเป็นประตูของคุณ’ กั๊กโปคงไม่วิ่งลักษณะนั้นถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผม เขาคงมองไม่เห็นดีเฟนซีพไลน์ที่ขยับขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นให้เขาวิ่งตัดหลังคู่แข่ง”

ที่กาตาร์ กั๊กโปเดินหน้าทำสกอร์ต่อไปใน 2 นัดที่เหลือของรอบแรก (เอกวาดอร์และกาตาร์) ก่อนสิ้นสุดเส้นทางที่รอบก่อนรองชนะเลิศเมื่อพ่ายต่ออาร์เจนตินา

เป็นความปกติของฟุตบอลสมัยใหม่ที่นักเตะจะว่าจ้างเทรนเนอร์ส่วนตัวเพื่อยกระดับตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น รวดเร็วขึ้น และเฉียบคมขึ้น กั๊กโปเป็นหนึ่งในนักฟุตบอล 200 คน ที่ทำงานร่วมกับวีรีลิงค์ด้วยความหวังให้ตัวเองเป็นนักเตะที่เก่งขึ้น อดีตครูพละชาวดัตช์ได้เข้ามาช่วยให้นักฟุตบอลมีคู่มือแผนการเล่นเฉพาะตัวเหมือนกับกั๊กโป ซึ่งนำไปสร้างความได้เปรียบหรือความแปลกใจให้กับคู่ต่อสู้บนสนามหญ้า

ปรารถนาเป็นหนึ่งในนักเตะ 1% ที่ยืนบนยอดพิระมิด

ซิดนีย์ กั๊กโป รู้ดีว่าน้องชายของเขาต้องการข้อมูลเชิงลึกมากกว่าเพื่อนร่วมอาชีพทั่วไป จึงแนะนำโคดีให้รู้จักวีรีลิงค์ก่อนลีกเนเธอร์แลนด์เปิดฤดูกาล 2021-22 แม้ความได้เปรียบจากส่วนสูง 6 ฟุต 3 นิ้ว ก็สร้างความหวั่นไหวให้กองหลังได้แล้ว กั๊กโปยังมีอันตรายจากความเร็ว การครองบอล และทักษะด้านเทคนิคในการสร้างแผนเข้าโจมตีฝ่ายตรงข้าม

กั๊กโปมีพ่อเชื้อสายกานาที่เกิดในโตโก แม่เป็นชาวดัตช์ เขาเกิดในไอน์ดโฮเฟน เริ่มเข้าศึกษาศาสตร์ลูกหนังในอะคาเดมีของ พีเอสวี ไอน์ดโฮเฟน เมื่อปี 2007 ตอนอายุเพียง 8 ขวบ กั๊กโปผ่านโปรแกรมเยาวชนทุกระดับของสโมสร และเริ่มเข้าไปอยู่ใน ยอง พีเอสวี ซึ่งเป็นทีมสำรองของพีเอสวี ไอน์ดโฮเฟน ในซีซัน 2016-17 แต่ยังใช้เวลาส่วนใหญ่กับทีม ยู-19กั๊กโปประเดิมทีมชุดใหญ่ของพีเอสวีเมื่อถูกส่งลงสนามช่วงทดเวลาเจ็บของแมตช์ชนะเฟเยนูร์ด 3-1 เมื่อวันที่ 25กุมภาพันธ์ 2018

แม้พรสวรรค์บวกกับพรแสวงที่เพิ่มเติมขึ้นขณะอยู่ในระบบของพีเอสวีจะทำให้กั๊กโปไปได้ไกลกว่านักเตะรุ่นเดียวกันส่วนใหญ่ แต่กั๊กโปต้องการมากกว่านั้น แค่ดียังไม่พอ เขากระหายที่จะเป็นนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ เป็นนักฟุตบอลส่วนน้อย 1เปอร์เซ็นต์ที่ยืนอยู่บนยอดพีระมิด นั่นจึงทำให้เขาตกลงใจทำงานกับวีรีลิงค์

หลังทำการรีวิวการเล่นของกั๊กโป วีรีลิงค์ได้ข้อสรุปว่า กั๊กโปจำเป็นต้องพัฒนาประสิทธิภาพและการเคลื่อนที่ในโซน final third พวกเขาประชุมสุมหัวคิดร่วมกัน กั๊กโปต้องเล่นฟุตบอลด้วยมันสมองมากขึ้น คิดคำนวณให้มากขึ้นในแต่ละครั้งที่จะขยับตัวหรือทำอะไรสักอย่าง แทนการตั้งหน้าตั้งตาวิ่งหรือดวลตัวต่อตัวกับคู่แข่งบ่อยเกินไป กั๊กโปควรสงวนพลังงานเพื่อเอาไปใช้ในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย

“กั๊กโปเป็นนักเตะที่ชอบเวลาลูกบอลอยู่กับเท้า แต่ผมบอกว่า ถ้าเขาต้องการเล่นฟุตบอลให้ได้ถึงระดับท็อป เขาจำเป็นต้องมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่านี้ และมีคำตอบไว้หลายแบบสำหรับสถานการณ์ต่างๆในการแข่งขัน ตัวอย่างเช่น คุณต้องสร้างมุมและตำแหน่งที่แตกต่างกันเวลาเผชิญหน้ากรอบประตู มันเป็นสิ่งที่ผมเรียนรู้จากบาสเกตบอล ทุกครั้งที่ได้ลูก คุณต้องพร้อมที่จะชู้ตลูกออกไปเสมอ นั่นจึงเป็นการสร้างอันตราย”

“ที่พีเอสวี เขาดูนิ่งเกินไปและมักปักหลักยืนแทนที่จะเคลื่อนที่ไปรอบๆ ดังนั้นเราจึงต้องวางแผนงานว่า เขาจะวางสรีระอย่างไรก่อนจะรับบอล(ที่ส่งมาให้)หรือออกวิ่ง เรายังต้องวางแผนเรื่องการเฝ้ามองพื้นที่ว่างไม่ว่าจะมีบอลอยู่กับตัวหรือไม่ เพราะนั่นจะทำให้เขามองเห็นช่องว่างที่สามารถวิ่งทะลวงเข้าไป”

3 ซีซันก่อนหน้าทำงานกับวีรีลิงค์ กั๊กโปมีสถิติรวมทุกรายการคือ 19 นัด 2 ประตูในซีซัน 2018-19, 39 นัด 8 ประตูในซีซัน 2019-20 และ 29 นัด 11 ประตูในซีซัน 2020-21 ส่วนซีซัน 2021-22 เฉพาะในเอเรดิวิซี กั๊กโปทำได้ 12 ประตูจาก 27 นัด และ 21 ประตูจาก 47 นัดรวมทุกรายการ

กั๊กโปอำลาลีกเนเธอร์แลนด์เมื่อซีซัน 2022-23 ผ่านไปราวครึ่งทาง เขาครองอันดับ 1 ของเอเรดิวิซีทั้งจำนวนสกอร์ (9ประตู) และแอสซิสต์ (12 ครั้ง) จากการลงสนาม 14 นัด มีเพียง ดูซาน ทาดิช (อาแจ็กซ์) และ วาคลาฟ เชร์นี (ทเวนเต) ที่ทำประตูได้มากกว่ากั๊กโปเมื่อจบโปรแกรมแข่งขัน แต่ทั้งสองเล่นมากกว่ากั๊กโปคนละ 14 นัด

เปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองก่อนแล้วเพื่อนจะเปลี่ยนตาม

วีรีลิงค์อธิบายถึงการทำงานร่วมกับกั๊กโปว่า ทีมงานได้เตรียมวิดีโอกว่าร้อยคลิปที่ได้จาก WyScout แพลตฟอร์มฟุตบอลอาชีพที่บรรดาเอเยนต์ แมวมอง ผู้เล่น สื่อมวลชน และกรรมการใช้งานอย่างแพร่หลาย พวกเขาโฟกัสไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนที่ของร่างกายและศีรษะของแนวรุกดัตช์เพื่อเชื่อมโยงเข้ากับลูกฟุตบอล, การครองบอลของเพื่อนร่วมทีม และตำแหน่งของตัวประกบ จากนั้นจะถูกวางโปรแกรมให้ตอบสนองต่อสถานการณ์หลายรูปแบบและนำไปสร้างผลกระทบเชิงลบต่อคู่แข่ง ประตูแรกของกั๊กโปช่วงปลายครึ่งแรกที่ทำให้ลิเวอร์พูลนำ 2-0 ก่อนชนะแมนฯยูไนเต็ดถล่มทลาย 7-0 ในเดือนมีนาคม เป็นตัวอย่างที่ดี

เพลย์เริ่มที่อลิสซง เบคเกอร์ เตะบอลยาวไปยังแดนแมนฯยูไนเต็ดให้ แอนดี โรเบิร์ตสัน ที่อยู่ใกล้ริมสนามฝั่งซ้าย กั๊กโปฉีกตัวเองจากแถววงกลมกลางสนามไปริมสนาม แต่เขาไม่ได้ขอบอลจากแบ็คซ้ายร่วมทีม แต่หวังสร้างพื้นที่ว่างตรงกลาง ซึ่งโรเบิร์ตสันตอบสนองด้วยการตัดเข้าในทันที 

มาถึงตรงนี้ กั๊กโปเห็นเฟรด นักเตะแมนฯยูไนเต็ด ที่อยู่ใกล้เขามากที่สุด กำลังมองไปที่บอล นั่นเป็นตัวกระตุ้นให้กั๊กโปนึกถึง backdoor run ที่ได้มาจากทีมงานของวีรีลิงค์ เขาจึงวิ่งตัดเข้าในด้านหลังของเฟรด ซึ่งเซเสียจังหวะ ขณะเดียวกันโรเบิร์ตสันจ่ายบอลทะลุกลุ่มผู้เล่นไปที่มุมกรอบเขตโทษ ส่วนกั๊กโปก็วิ่งเข้ามารับแบบเหมาะเจาะ

ราฟาเอล เวราน ปรี่เข้ามาขวาง กั๊กโปหักหลบเปลี่ยนทิศทางทำให้ปราการหลังเฟรนซ์เสียหลัก เป็นการเพิ่มพื้นที่ว่างด้านหน้า เขาแตะบอลหนึ่งจังหวะก่อนสับไกด้วยเท้าขวา ลูกพุ่งเข้าประตูทางเสาไกล ซึ่งวีรีลิงค์กล่าวเพิ่มว่า ลูกเล่นนี้ กั๊กโปเรียนรู้จากคลิปการสอนของเขาที่ชื่อว่า Clear depth-run – backdoor side

กั๊กโปและ สเตฟาน เดอ ฟรีจ์ ปราการหลังทีมชาติเนเธอร์แลนด์ เป็นนักกีฬาที่มีชื่อเสียงที่วีรีลิงค์สามารถเปิดเผยชื่อได้ วีรีลิงค์ยังมีลูกค้าระดับดาราอีกหลายคนที่ได้ประโยชน์จากหลักสูตรของเขา แต่ปรารถนาจะเก็บการทำงานเป็นเรื่องส่วนตัวอย่างลับๆ

วีรีลิงค์มีแผนขยายธุรกิจของบริษัท แทคทาไลซ์ (Tactalyse) ไปยังสหรัฐอเมริกาก่อนถึงฟุตบอลโลก 2026 ซึ่งเขามั่นใจว่าเป็นโอกาสที่ดีเพราะคนอเมริกันพร้อมลงทุนที่เกี่ยวข้องกับอาชีพตัวเอง ต่างกับยุโรปที่เห็นว่าบริการเหล่านี้เป็นเรื่องเกินความจำเป็น ส่วนที่สหรัฐอเมริกา การจ่ายเงินให้เทรนนิงส่วนตัวเป็นเรื่องปกติมาก

แม้เป็นช่วงปิดซีซัน แต่นักฟุตบอลปัจจุบันนี้มักวางแผนซ้อมส่วนตัวระหว่างฤดูร้อนเพื่อรับประกันว่าพวกเขาจะเข้าค่ายเก็บตัวพรี-ซีซันในสภาพร่างกายที่ดี หรือบางคนที่เพิ่งผ่านซีซันที่เลวร้าย ฤดูร้อนเป็นเวลาเหมาะสมที่จะประเมินประสิทธิภาพของตัวเอง และตั้งคำถามว่า มีอะไรที่ตัวเขาทำได้เพื่อช่วยเหลือทีม

วีรีลิงค์เสนอมุมมองว่า “นักเตะหลายคนชอบบ่นเพื่อนร่วมทีมที่ไม่ยอมส่งบอลมาให้ บางทีเพื่อนอาจมองไม่เห็นคุณก็ได้เลยไม่ผ่านบอลมา ข้อแนะนำของผมคือ ถ้าคุณเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง คุณจะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของเพื่อนได้ ผลกระทบที่ส่งไปจากคนๆเดียวนั้นใหญ่กว่าที่คิด”

กั๊กโปและแทคทาไลซ์ทำงานร่วมกันตลอดซัมเมอร์เพื่อให้มั่นใจว่าเพื่อนร่วมทีมลิเวอร์พูลเห็นเขากำลังวิ่งตัดหลังฝ่ายตรงข้ามหรือกองหลังที่จับตามองบอล จากนั้นเมื่อเขาหลุดเข้าไปดวลตัวต่อตัวกับนายประตูหรือกองหลังคนสุดท้าย เขาต้องพร้อมที่จะโป้งปิดบัญชีด้วยความเฉียบคม สำหรับวีรีลิงค์แล้ว แทคติกของทีมมักถูกตีค่าเกินจริง แต่เป็นกลยุทธเฉพาะบุคคลของตัวนักเตะต่างหากที่สร้างความแตกต่างให้กับเกมลูกหนัง

“เราสามารถคุยเรื่องระบบการเล่นของทีมได้ยาวเป็นชั่วโมงๆ แต่ท้ายสุดแล้ว เป็นนักเตะที่สามารถทำบางอย่างได้สมบูรณ์แบบต่างหากที่จะเป็นตัวตัดสินเกม” บอสใหญ่แห่งแทคทาไลซ์กล่าวทิ้งท้าย

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Special Content

ไกเซโด มิดฟิลด์ครบเครื่องรอบจัด ซีซันเดียวราคาพุ่ง 70-80 ล้านปอนด์

กว่า 3 ปีที่แล้ว มอยเซส ไกเซโด เล่นอยู่ในลีกเซเรีย เอ ของเอกวาดอร์ กับสโมสร อินดิเพนเดียนเต เดล วัลเล และยังเป็นผู้เล่นโนเนมของแฟนบอลทั่วโลก แต่ตอนนี้ เขากลายเป็นที่หมายปองของอาร์เซนอลและเชลซีด้วยค่าตัวแพงลิ่วถึง 70-80 ล้านปอนด์ในฐานะมิดฟิลด์ดาวรุ่งพุ่งแรงที่จะอายุเพียง 22 ปีในวันที่ 2 พฤศจิกายน

ไกเซโด ซึ่งย้ายมาอยู่ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบียน ต้นปี 2021 ด้วยราคาเพียง 4.5 ล้านปอนด์ เพิ่งแจ้งเกิดจริงๆในพรีเมียร์ลีกเพียงปีเดียวคือฤดูกาล 2022-23 หลังจากปล่อยให้ เบียร์ช็อต วีเอ สโมสรเบลเยียม ยืมใช้งานครึ่งแรกของซีซัน 2021-22 ก่อนทีมนกนางนวลเรียกกลับเนื่องจากขาดแคลนมิดฟิลด์ช่วงครึ่งหลัง

อาร์เซนอลเคยพยายามเจรจาขอซื้อไกเซโดในตลาดเดือนมกราคมที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เคยมีข่าวสนใจมิดฟิลด์ทีมชาติเอกวาดอร์ด้วยเช่นกัน ขณะที่เชลซีเข้ามามีเอี่ยวด้วยเพื่อเป็นตัวแทนของ เอ็นโกโล กองเต้ ที่เพิ่งย้ายไปเล่นในลีกซาอุดิ อาระเบีย กับทีมอัลอิตติฮาด โดยถ้าซื้อขายจริงที่ 80 ล้านปอนด์จะทำให้ไกเซโดเป็นมิดฟิลด์ค่าตัวแพงที่สุดอันดับ 6 ในประวัติศาสตร์โลกลูกหนัง นั่นเท่ากับไบรท์ตันทำกำไรเกือบ 20 เท่า

ทำไมไกเซโดที่เพิ่งมีตัวตนในพรีเมียร์ลีกแค่ซีซันเดียว กลายเป็นกองกลางรูปทองเนื้อหอมที่ถูกตั้งราคาไว้สูงลิ่ว

ไกเซโดเป็นนักเตะสำคัญลำดับต้นๆของทีมไบรท์ตันที่จบพรีเมียร์ลีกด้วยอันดับ 6 สูงสุดในประวัติศาสตร์สโมสร และได้สิทธิ์เล่นยูโรปา ลีก ซึ่งเป็นสังเวียนยุโรปครั้งแรก มีเพียง ปาสกาล กรอสส์ และ ลูอิส ดังค์ เท่านั้นที่เล่นบอลลีกมากกว่าเขาในทีมนกนางนวล

พรีเมียร์ลีก ซีซัน 2022-23 ไกเซโดลงสนามรวม 3,140 นาที เป็นตัวจริง 34 นัด สำรอง 3 นัด มีแค่นัดเดียวที่ไม่มีชื่ออยู่ในทีมคือ เกมแพ้อาร์เซนอล 2-4 เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2022 ซึ่งเป็นนัดที่ 2 ที่พรีเมียร์ลีกกลับมาแข่งขันต่อหลังเบรกฟุตบอลโลก ส่วนเกม 5 วันก่อนหน้านั้นที่ชนะเซาแธมป์ตัน 3-1 ไกเซโดลงเต็มแมตช์

หลักๆแล้วทั้ง แกรห์ม พอตเตอร์ และ โรแบร์โต เด แซร์บี ซึ่งเข้ามาคุมทีมไบรท์ตันกลางกันยายน 2022 วางไกเซโดเป็น double pivot บนกระดานหมากเกม เคียงข้างกรอสส์หรือไม่ก็ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ทั้งสองรับบทสร้างสรรค์เกมยามครองบอล ส่วนไกเซโดเน้นเกมรับเป็นตัว defensive ball-winner แถมท้ายซีซันยังเคยถูกย้ายไปยืนแบ็คขวา รวมถึงเกมสำคัญที่เฉือนแมนฯยูไนเต็ด 1-0 ต้นเดือนพฤษภาคม

อ้างอิงจากข้อมูลเว็บไซต์ transfermarkt กับแผนการเล่น 4-2-3-1 ซึ่งไกเซโดยืนฝั่งขวาของคู่มิดฟิลด์ เขาเล่นตำแหน่ง defensive midfield 27 นัด รวมถึงเกมที่เขาทำ 1 ประตู 1 แอสซิสต์ในซีซันที่ผ่านมา, central midfield 4 นัด และ right-back 3 นัด 

ทางด้านเว็บไซต์ theanalyst ระบุอย่างชัดเจนจากเวลาในการยืนตำแหน่งนั้นๆ DM 61%, CM 30% และ RB 8% เท่ากับเป็นการยืนยันว่า ไกเซโดได้รับมอบหมายงานป้องกันเป็นหลัก รับผิดชอบเกมรับอยู่ด้านหน้าแบ็คโฟร์ คอยสกัดกั้นและแย่งบอลกลับคืน

ดีกรีแชมป์สโมสรทวีปอเมริกาใต้ รุ่น ยู-20

ไกเซโดมีชื่อเต็มว่า Moisés Isaac Caicedo Corozo เกิดวันที่ 2 พฤศจิกายน 2001 ที่เมืองซานโต โดมิงโก ประเทศเอกวาดอร์ เข้าร่วมอะคาเดมีของสโมสรอินดิเพนเดียนเต เดล วัลเล ตอนอายุ 13 ปี ก่อนได้รับการเลื่อนชั้นร่วมทีมชุดใหญ่ในปี 2019 และลงสนามนัดแรกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2019 ซึ่งทีมชนะแอลดียู ควิโต 1-0 เป็นเกมลีกเซเรีย อา โดยระหว่างปี 2019 – 2020 ไกเซโดเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของอินดิเพนเดียนเต เดล วัลเล ในบอลลีก 25 นัด ทำ 4 ประตู อีกทั้งยังมีส่วนพาทีมเยาวชนของสโมสรชนะเลิศรายการ โกปา ลิเบอร์ตาโดเรส รุ่น ยู-20 เมื่อปี 2020 อีกด้วย

วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 ไกเซโดเซ็นสัญญากับไบรท์ตันเป็นระยะเวลา 4 ปีครึ่ง ส่วนค่าตัวไม่มีรายงานอย่างเป็นทางการแต่เชื่อว่า อินดิเพนเดียนเต เดล วัลเล ได้รับเงิน 4.5 ล้านปอนด์ และวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ไบรท์ตันใส่ชื่อดาวรุ่งจากเอกวาดอร์ในเกมเอฟเอ คัพ ซึ่งทีมนกนางนวลแพ้ 0-1 ในบ้านของเลสเตอร์ ซิตี แต่ไม่ได้ถูกส่งลงสนาม

ซีซัน 2020-21 จบลงโดยไกเซโดไม่ได้เล่นให้ไบรท์ตันเลย จนกระทั่งซีซันถัดมา วันที่ 24 สิงหาคม 2021 เขามีโอกาสประเดิมสนามครั้งแรก แถมเป็นตัวจริงในเกมอีเอฟแอล คัพ รอบ 2 ที่บ้านของคาร์ดิฟฟ์ ซิตี ไกเซโดเป็นคนแอสซิสต์ให้แอนดี เซคคีรี ทำสกอร์นำร่องก่อนไบรท์ตันกำชัย 2-0 แต่วันที่ 31 สิงหาคม วันสุดท้ายของตลาดซัมเมอร์ ทีมนกนางนวลไฟเขียวส่งไกเซโดให้เบียร์ช็อต วีเอ ทีมในลีกสูงสุดของเบลเยียม ยืมใช้งาน 1 ฤดูกาลเต็ม และเพียงนัดที่ 7 เขาก็ทำประตูแรกในนาทีที่ 90+2 ตอกตะปูปิดฝาโลงให้ต้นสังกัดชนะเก็งค์ 2-0 เก็บ 3 คะแนนในบ้าน

สัญญายืมตัวของเบียร์ซ็อตถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2022 เนื่องจากไบรท์ตันประสบปัญหาขาดแคลนผู้เล่นมิดฟิลด์ โดยที่ผ่านมา ไกเซโดเล่นบอลลีกให้เบียร์ช็อต 12 นัด ทำ 1 ประตู

3 วันต่อมา ไกเซโดเป็นผู้เล่นสำรองที่ไม่ได้ใช้งานในเกมบอลลีกเสมอคริสตัล พาเลซ 1-1 แต่เขาก็ไม่ต้องรอนาน พอตเตอร์ส่งไกเซโดแทนโซลลี มาร์ช นาทีที่ 61 ของเกมเอฟเอ คัพ รอบ 4 เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ซึ่งไบรท์ตันแพ้ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ 1-3

ไกเซโดได้สัมผัสสังเวียนพรีเมียร์ลีกครั้งแรกในวันที่ 9 เมษายน ไม่เพียงเป็นตัวจริงแต่ยังแอสซิสต์ให้อีน็อค เอ็มเวปู ทำประตูนาทีที่ 66 ก่อนไบรท์ตันชนะ 2-1 ในบ้านของอาร์เซนอล ส่วนประตูแรกในสีเสื้อไบรท์ตันเกิดขึ้นในวันที่ 7 พฤษภาคม ไกเซโดซัดระยะ 25 หลา นำร่องนาทีที่ 15 ของแมตช์ถลุงแมนฯยูไนเต็ด 4-0 เขาจบซีซัน 2021-22 ด้วยสถิติพรีเมียร์ลีก 8 นัด 664 นาที 1 ประตู 1 แอสซิสต์

ปักหลักอย่างมั่นคงเมื่อซีซัน 2022-23 คิกออฟ

ไกเซโดถูกโปรโมทขึ้นมาเป็นตัวหลักของไบรท์ตันทันทีที่พรีเมียร์ลีก ซีซัน 2022-23 เปิดฉาก พอตเตอร์ส่งมิดฟิลด์ดาวรุ่งเป็นตัวจริงใน 6 เกมแรก เล่นครบแมตช์ 5 นัด มีเพียงนัดแพ้ฟูแลมที่ถูกเปลี่ยนออกนาทีที่ 79 และเขายังทำ 1 ประตูในเกมต้อนเลสเตอร์ 5-2 ซึ่งเป็นการทำงานนัดสุดท้ายของพอตเตอร์ก่อนย้ายไปเป็นผู้จัดการทีมเชลซี

เด แซร์บี กุนซือคนใหม่ชาวอิตาเลียน ยังไว้ใจความสามารถของไกเซโด ใส่ชื่อเป็นตัวจริงในนัดแรกของการคุมทีมเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2022 ซึ่งไบรท์ตันเสมอลิเวอร์พูล 3-3 ที่แอนฟิลด์ กราฟชีวิตถัดจากนั้นของไกเซโดก็เป็นขาขึ้นจนได้รับความสนใจจากอาร์เซนอลที่กำลังไล่ล่าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกในรอบเกือบ 2 ทศวรรษ

มีรายงานระหว่างตลาดเดือนมกราคม 2023 ว่า ไกเซโดเซ็นสัญญากับบริษัทเอเยนต์นักฟุตบอลแห่งหนึ่ง และในวันที่ 27มกราคม ตัวแทนของเขาได้ออกแถลงการณ์ว่า ไกเซโดต้องการย้ายออกจากทีมไบรท์ตัน และตัวเขายังโพสต์ข้อความบนอินสตาแกรมว่า “ผมเป็นน้องคนสุดท้องของครอบครัวยากจนที่ต้องเลี้ยงดูลูกๆ 10 คนในซานตา โดมิงโก ผมมีความฝันที่จะเป็นนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของเอกวาดอร์ ผมขอขอบคุณแฟนๆอัลเบียน พวกคุณจะอยู่ในหัวใจของผมเสมอ

ไม่เพียงอาร์เซนอล ไกเซโดยังมีข่าวโยงกับลิเวอร์พูลและเชลซี แต่ไบรท์ตันปฏิเสธที่จะขายมิดฟิลด์ดาวรุ่งที่ยังเหลือสัญญาถึงกลางปี 2025 พร้อมสั่งให้ไกเซโดพักผ่อนจนกว่าตลาดฤดูหนาวจะสิ้นสุดลง เขากลับมาฝึกซ้อมในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ และได้ลงสนามอีก 3 วันต่อมา ถูกเปลี่ยนลงมานาทีที่ 57 ของนัดชนะบอร์นมัธ 1-0 ขณะที่เด แซร์บี ได้ขอร้องแฟนบอลไม่ให้ตำหนิหรือว่าร้ายลูกทีมของเขา

วันที่ 3 มีนาคม ไบรท์ตันได้ขยายสัญญาไกเซโดออกไปจนถึงฤดูร้อนปี 2027 พร้อมออปชันต่อสัญญาเพิ่ม 1 ปี ไกเซโดจบฤดูกาลด้วยสถิติ 43 นัด 1 ประตูรวมทุกรายการ และยังได้รับตำแหน่งรองผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของไบรท์ตันจากการโหวตของผู้ใช้งาน บีบีซี สปอร์ต โดยอันดับ 1 ตกเป็นของแม็ค อัลลิสเตอร์ คู่หูมิดฟิลด์ของเขา

แล้วแต่โค้ช เบอร์ 8 ก็รัก เบอร์ 6 ก็ได้

แม้ตอนนี้ถูกเด แซร์บี ใช้งานมิดฟิลด์เบอร์ 6 แต่ มิเกล แองเกิล รามิเรซ ผู้จัดการทีมสปอร์ติง กิฆอน ในลีกสเปน ซึ่งเคยเป็นอดีตโค้ชของไกเซโดที่อินดิเพนเดียนเต เดล วัลเล ให้สัมภาษณ์ว่า ความจริงแล้วไกเซโดชอบเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์เบอร์ 8(รุก) มากกว่าเบอร์ 6 (รับ) แต่สิ่งที่เกิดขึ้นที่ไบรท์ตันแสดงให้เห็นว่า ไกเซโดมีทักษะหลากหลาย เป็นนักเตะสารพัดประโยชน์ และมีความสามารถสูงในการปรับตัว

ช่วงต้นซีซัน 2022-23 พอตเตอร์ใช้งานไกเซโดเป็นมิดฟิลด์เบอร์ 8 ตัวซ้าย ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับที่เล่นให้เบียร์ซ็อตและครึ่งหลังของซีซันก่อนหน้า แต่เมื่อเด แซร์บี คุมทีมนกนางนวล เขาดึงไกเซโดถอยลงมาเป็นฐานของมิดฟิลด์หรือตำแหน่งเบอร์ 6 บางครั้งยังปรับเป็นแบ็คขวา

กุนซือทีมกิฆอนย้อนอดีตสมัยคุมทีมอินดิเพนเดียนเต เดล วัลเล ว่า ไกเซโดผ่านระบบพัฒนานักเตะของอะคาเดมีกับบทบาทเบอร์ 6 แต่พอถูกดึงขึ้นทีมชุดใหญ่ เขาดันให้ไกเซโดไปแดนหน้ามากขึ้นในฐานะเบอร์ 8

“ตอนนั้นเรามี คริสเตียน เปลเลราโน อยู่ในทีมชุดใหญ่ เขาเป็นนักเตะเบอร์ 6 ที่ฝีเท้าเหลือเชื่อและเข้าใจเกมเอามากๆ เปรียบเสมือนกับโค้ชที่อยู่ในสนามนั่นแหละ เขามีส่วนช่วยมอยเซสเข้าใจเกมมากขึ้นและพัฒนาทักษะความสามารถ”

“อย่างไรก็ดี เรายังอยากใช้งานเปลเลราโมเป็นนักเตะเบอร์ 6 ดังนั้นถ้าเราต้องการให้มอยเซสอยู่ในทีม เขาจำเป็นต้องเล่นตำแหน่งเบอร์ 8 ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี เขามีอิมแพ็คกับเกมอย่างมาก ช่วยทีมได้ดีมากในฐานะมิดฟิลด์ตัวรุกเพราะเขาสามารถทำประตู จ่ายบอลสุดท้าย และเข้าไปอยู่ในกรอบเขตโทษของฝ่ายตรงข้าม”

“ต่อมา มอยเซสเริ่มเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตำแหน่งได้ดีขึ้นแม้เป็นงานยากเหมือนกัน เนื่องจากเขาต้องเล่นระหว่างไลน์ มีพื้นที่น้อยลง มีเวลาน้อยลง แถมจำเป็นต้องปรับร่างกายก่อนเข้าไปรับบอล มีข้อมูลมากมายที่ต้องเรียนรู้”

รามิเรซเชื่อว่า การที่เล่นได้ดีกับหลายหน้าที่ในแดนกลางเป็นสาเหตุสำคัญที่ไกเซโดได้รับความสนใจจากทีมใหญ่อย่างอาร์เซนอล, เขลซี, ลิเวอร์พูล และแมนฯยูไนเต็ด พร้อมค่าตัวที่ถูกประเมินไว้สูงถึง 70-80 ล้านปอนด์

รามิเรซเข้าใจดีที่ไบรท์ตันปฏิเสธเงินก้อนโตจากอาร์เซนอลในตลาดเดือนมกราคมเพราะไกเซโดมีความสำคัญกับทีมมาก ซึ่งเรื่องแบบเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นที่อินดิเพนเดียนเต เดล วัลเล

ที่เอกวาดอร์ แม้อยู่ในช่วงวัยรุ่นแต่ไกเซโดมีฝีเท้าสูงเกินอายุ เขามีส่วนสำคัญช่วยให้ทีม ยู-20 ของอินดิเพนเดียนเต เดล วัลเล ครองแชมป์โกปา ลิเบอร์ตาโดเรสเมื่อปี 2020 ที่ปารากวัย

“มอยเซสมีความสำคัญอย่างมากต่อทีมชุดใหญ่ของเรา แต่ยังเป็นผู้เล่นคีย์แมนของรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปีด้วย ตอนนั้นเป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์หรือราว 10 วันที่เขาเล่นให้ทีม ยู=20 แล้วต้องนั่งเครื่องบินกลับเมืองกีโตเพื่อเล่นให้เราในลีกเอกวาดอร์ ก่อนกลับไปเตะลิเบอร์ตาโดเรสต่อ มันเป็นอะไรที่บ้าชัดๆ”

ไกเซโดยังโชว์ฟอร์มเจิดจรัสในลิเบอร์ตาโดเรสระดับซีเนียร์ ซึ่งเปรียบกับแชมเปียนส์ ลีก ของทวีปอเมริกาใต้ “มอยเซสเริ่มเป็นที่รู้จักของทั่วโลก สโมสรใหญ่หลายแห่งส่งทีมเจรจาเดินทางมาพูดคุยกับเขาและสโมสร” รามิเรซกล่าว แล้วก็เป็นไบรท์ตันที่พาดาวรุ่งเอกวาดอร์ออกไปจากแผ่นดินบ้านเกิด

สร้างอิมแพ็คให้ไบรท์ตันทั้งยามบุกและรับ

จากผู้เล่นโนเนมช่วงครึ่งหลังซีซันกลายเป็นหนึ่งในเสาหลักซีซัน 2022-23 ของไบรท์ตัน ลงตัวจริง 34 จาก 38 นัดพรีเมียร์ลีก สถิติบ่งชี้ว่าไกเซโดมีอิทธิพลทั้งจังหวะที่มีบอลไม่มีบอลของไบรท์ตัน จุดเด่นมากที่สุดหนีไม่พ้นการแย่งบอลไม่ว่าจะเป็นความปราดเปรียว การเข้าปะทะ และตื่นตัวต่ออันตราย ไกเซโดรั้งอันดับ 2 หมวดแทคเกิล (100 ครั้ง) และอินเตอร์เซปท์ (56 ครั้ง) ตามหลังชูเอา ปาลินญา (ฟูแลม) และดีแคลน ไรซ์ (เวสต์แฮม) ตามลำดับ นอกจากนี้มีเพียงไรซ์กับโรดรี (แมนฯซิตี) ที่เหนือเขาในการครองบอลในโซน middle third (142 ครั้ง)

ไกเซโดยังมีอิมแพ็คต่อการขึ้นเกมหรือบิลด์-อัพของทีมนกนางนวลด้วย เขาสัมผัสบอลรวม 2,735 ครั้ง สูงเป็นอันดับ 8 ของพรีเมียร์ลีก และจ่ายบอลเข้าเป้า 1,961 ครั้ง อยู่อันดับ 6 ตามหลังปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก (สเปอร์ส), กาเบรียล มากัลเญส (อาร์เซนอล), เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค (ลิเวอร์พูล), โรดรี และดังค์ เพื่อนร่วมทีม

ในส่วนความแม่นยำการผ่านบอล เรตติงของโกเซโดสูงถึง 89 เปอร์เซ็นต์ และตัวเลขจะยิ่งดูน่าพอใจเป็นทวีคูณถ้าพิจารณาว่า เขาต้องจ่ายบอลในสถานการณ์กดดัน 780 ครั้ง ซึ่งมีเพียงโรดรีและบรูโน กีมาไรส์ (นิวคาสเซิล) ที่มีจำนวนครั้งมากกว่าสตาร์ทีมไบรท์ตัน โดยนิค ไรท์ นักวิเคราะห์เกมของสกาย สปอร์ตส์ มองว่า ทักษะการครองบอลและจ่ายบอลภายใต้ความกดดันเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ทำให้ค่าตัวของไกเซโดแพงลิ่ว

รามิเรซพูดถึงประเด็นนี้ว่า “ท้ายที่สุดแล้ว นี่เป็นตลาดที่จะบอกได้ว่าคุณเก่งแค่ไหน เมื่อสโมสรหนึ่งแจ้งราคาเสนอซื้อออกมา ตัวเลขจะบ่งบอกระดับฝีเท้าของคุณ และมอยเซสก็อยู่ในระดับนั้น (ค่าตัว 70-80 ล้านปอนด์) และนี่เป็นความจริง”

สำหรับทีมชาติเอกวาดอร์ ไกเซโดเปิดตัวในฐานะตัวจริงเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2020 ขณะอายุย่าง 19 ปี เป็นเวิลด์คัพ รอบคัดเลือก ที่แพ้อาร์เจนตินา 0-1 และเพียงนัดที่ 2 อีก 4 วันต่อมา ก็ทำประตูแรกในนามทีมชาติได้จากแมตช์ชนะอุรุกวัย 4-2 เป็นผู้เล่นคนแรกที่เกิดในศตวรรษที่ 21 ที่ทำสกอร์ได้ในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนอเมริกันใต้

ไกเซโดมีชื่ออยู่ใน 26 ขุนพลลุยเวิลด์คัพที่กาตาร์ ลงสนามเป็นตัวจริงและเล่นเต็มแมตช์ทั้ง 3 นัดของรอบแรก กลุ่ม เอ ซึ่งแพ้เจ้าภาพ 0-2, เสมอเนเธอร์แลนด์ 1-1 และแพ้เซเนกัล 1-2 ซึ่งไกเซโดทำสกอร์ตีเสมอนาทีที่ 67 ถ้ารักษาสกอร์ได้จะทำให้เอกวาดอร์ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย แต่คาลิดู คูลิบาลีย์ ยิงประตูชัยให้เซเนกัลอีก 3 นาทีต่อมา ดับฝันของเอกวาดอร์ แต่กระนั้นไกเซโดได้รับการบันทึกว่า เป็นนักเตะทีมชาติเอกวาดอร์อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ทำสกอร์ในเวิลด์คัพ และล่าสุดเขาเล่น 32 นัด ทำ 3 ประตูให้ทีมชาติ

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Special Content

บทสรุปพรีเมียร์ลีก ซีซัน 2022-23 4-2-3-1, เบอร์ 9, ปีกขวาเท้าซ้าย

การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2022-23 ปิดฉากบริบูรณ์เมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ซิตี ครองแชมป์ 3 สมัยติดต่อกันและเป็นครั้งที่ 5 ในรอบ 6 ปี อันดับ 2 คือ อาร์เซนอล ซึ่งยังไม่สามารถคว้าแชมป์นับจากซีซัน 2003-04 เซาแธมป์ตัน, ลีดส์ ยูไนเต็ด และเลสเตอร์ ซิตี ลงไปเล่นแชมเปียนชิพ ขณะที่เบิร์นลีย์ ซึ่งชนะเลิศแชมเปียนชิพด้วยแต้มสะสมสูงถึง 101 คะแนน, เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และลูตัน ทาวน์ เป็น 3 ทีมน้องใหม่ของพรีเมียร์ลีกซีซันหน้า

สำหรับสิทธิ์เล่นฟุตบอลสโมสรยุโรปฤดูกาล 2023-24 แมนฯซิตี, อาร์เซนอล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ได้เล่นแชมเปียนส์ ลีก, ลิเวอร์พูลกับไบรท์ตัน เล่นยูโรปา ลีก และแอสตัน วิลลา เล่นคอนเฟอเรนซ์ ลีก

นอกเหนือผลแข่งขัน 380 นัดตลอดซีซัน และอันดับตารางคะแนน ศึกลูกหนังลีกสูงสุดเมืองผู้ดียังเกิดเหตุการณ์น่าสนใจมากมายในช่วงประมาณ 10 เดือนที่ยาวกว่าปกติเพราะมีการแข่งขันเวิลด์คัพ 2022 ที่ประเทศกาตาร์ ระหว่างวันที่ 20พฤศจิกายนถึง 18 ธันวาคม โดยเว็บไซต์ khaimukdam ได้คัดเลือกบางเรื่องราว นำมาถ่ายทอดและบันทึกไว้ ณ โอกาสนี้

เปลี่ยนผู้จัดการทีมระหว่างซีซันมากที่สุด

พรีเมียร์ลีกมี 20 ทีมแต่ซีซันนี้มีผู้จัดการทีมที่ปฏิบัติหน้าที่มากถึง 39 คน ซึ่งตัวเลขนี้รวมถึงผู้จัดการชั่วคราวและรักษาการที่คุมทีมอย่างน้อย 1 นัด โดยตลอดซีซันมีการเปลี่ยนแปลงนายใหญ่ 14 ครั้ง รวมถึง 3 สโมสรที่ไล่กุนซือออก 2 คนคือ เชลซี (โธมัส ทูเคิล, แกรห์ม พอตเตอร์), ลีดส์ (เจสซี มาร์ช, ซาบี กราเซีย) และเซาแธมป์ตัน (ราล์ฟ ฮาเซนฮึทเทิล, นาธาน โจนส์) นั่นทำให้มีผู้จัดการเพียง 9 คนเท่านั้นที่คุมทีมลงสนามครบ 38 นัด

ความจริงแล้ว การเปลี่ยนแปลงกุนซือ 14 ครั้งเป็นการไล่ออก 13 ครั้งเนื่องจากพอตเตอร์กับไบรท์ตันแยกทางด้วยความสมัครใจทั้งสองฝ่าย พอตเตอร์ไปทำงานแทนทูเคิลในเดือนกันยายนที่เชลซีก่อนโดนไล่ออกในเดือนเมษายน แฟรงค์ แลมพาร์ด รับคุมทีมชั่วคราวจนกระทั่งจบซีซัน เช่นเดียวกับ รอย ฮอดจ์สัน (คริสตัล พาเลซ) กับ ไรอัน เมสัน (ทอตแนม ฮอตสเปอร์) เป็นอีก 2 คนที่เซ็นสัญญาระยะสั้น

ไม่ว่า 14 ครั้งของการเปลี่ยนตัวกุนซือหรือ 13 คนที่ถูกบอร์ดบริหารสั่งปลด ถือว่าเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก เริ่มจาก สกอตต์ ปาร์คเกอร์ (บอร์นมัธ) ปลายเดือนสิงหาคม ตามด้วยทูเคิล (เชลซี), บรูโน ลาเก (วูลฟ์แฮมป์ตัน), สตีเวน เจอร์ราร์ด (วิลลา), ฮาเซนฮึทเทิล (เซาแธมป์ตัน), แลมพาร์ด (เอฟเวอร์ตัน), มาร์ช (ลีดส์), โจนส์ (เซาแธมป์ตัน), ปาทริก วิเอรา (พาเลซ), อันโตนิโอ คอนเต (สเปอร์ส), รอดเจอร์ส (เลสเตอร์), พอตเตอร์ (เชลซี) และกราเซีย (ลีดส์) ซึ่งถูกปลดเป็นรายสุดท้ายต้นเดือนพฤษภาคม

เป็นที่น่าสังเกตว่า การเปลี่ยนผู้จัดการไม่ได้ช่วยให้เซาแธมป์ตัน, ลีดส์ และเลสเตอร์ หนีการตกชั้นพ้น ขณะที่เชลซีจบซีซันด้วยอันดับ 12 ต่ำกว่าตอนปลดพอตเตอร์อันดับเดียว ส่วนวิลลา, พาเลซ, เอฟเวอร์ตัน, บอร์นมัธ และวูลฟ์ส มีผลงานดีขึ้นหลังเปลี่ยนผู้จัดการ โดย 3 จาก 5 ทีมลงมือทำก่อนสิ้นเดือนตุลาคม โดยเฉพาะสิงห์ผงาดแห่งเมืองเบอร์มิงแฮม เป็นทีมที่มีผลงานพัฒนาแบบก้าวกระโดดมากที่สุด

สิงโตวิลลาผงาดเพราะกับดักล้ำหน้าของเอเมรี

แอสตัน วิลลา เป็นทีมสร้างเซอร์ไพรส์สุดๆ เพราะหากย้อนไปเดือนตุลาคมเมื่อปลดสตีเวน เจอร์ราร์ด “เดอะ ไลออนส์” ชนะ 2 จาก 11 นัดแรก หล่นไปอยู่อันดับ 16 เหนือโซนตกชั้นแค่แต้มเดียว ก่อนเซ็นสัญญากับ อูไน เอเมรี โดยยอมจ่ายค่าเสียหายให้บีญาร์เรอัล 6 ล้านยูโร

กุนซือสแปนิชวัย 51 ทำให้สิงโตวิลลา “ผงาด” สมฉายา ชนะ 12 จาก 18 นัด ทะยานขึ้นมาอยู่อันดับ 6 หลังถลุงนิวคาสเซิล 3-0 กลางเดือนเมษายน คว้าชัยพรีเมียร์ลีก 5 นัดติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับจากปี 1998 แม้ผ่วปลายแต่ก็ประครองตัวจบด้วยอันดับ 7 ได้ไปเล่นคอนเฟอเรนซ์ ลีก ฤดูหน้า

นับจากโดนอาร์เซนอลถลุง 2-4 กลางเดือนกุมภาพันธ์ วิลลาเสียเพียง 8 ประตูจากการลงสนาม 15 นัดสุดท้าย ไม่มีนัดไหนเสีย 2 ประตู เอเมรีเสริมใยเหล็กเกมรับจนแข็งแกร่งขึ้นผิดตา เป็นปัจจัยสำคัญของการคว้าสิทธิ์เล่นบอลถ้วยยุโรป คู่เซ็นเตอร์แบ็ค ไทโรน มิงส์ และ เอซรี คอนซา พัฒนาฝีเท้าและแคแร็กเตอร์มาไกลจากยุคกุนซือ “สตีวี จี” มิงส์เพิ่งถูกแกเรธ เซาธ์เกต เรียกตัวกลับเข้าทีมชาติอีกครั้งหลังจากเล่นให้อังกฤษครั้งหลังสุดในเดือนมีนาคม 2022 

หัวใจของการวางหมากเกมรับของเอเมรีอยู่ที่กับดักเช็คล้ำหน้า มิงส์และคอนซาประสานงานอย่างรู้ใจ หากคู่ต่อสู้จะฝ่าด่านไปได้จะต้องจ่ายบอลและวิ่งตัดหลังชนิดสมบูรณ์แบบ แต่หากไม่โดนไลน์แมนยกธงล้ำหน้า ก็จะต้องเผชิญหน้ากับความเหนียบหนึบของ เอมิเลียโน มาร์ติเนซ ยอดผู้รักษาประตูทีมชาติอาร์เจนตินาดีกรีแชมป์โลก

นับตั้งแต่เอเมรีเป็นผู้จัดการทีม วิลลาทำให้ฝ่ายตรงข้ามล้ำหน้า 102 ครั้ง ซึ่งเทียบกับอันดับ 2 ลิเวอร์พูลแล้วพบว่ามากกว่า 34 ครั้ง โดยทีมหงส์แดงได้รับฉายาว่า “เดอะ ออฟไซด์ คิง” จากการ “ยืนหนึ่ง” ตลอด 3 ซีซันก่อนหน้านี้ แต่ซีซันนี้ มงกุฎตกเป็นของวิลลา

เชลซีกับปีที่วุ่นวายและตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

ซีซัน 2022-23 น่าจะเป็นช่วงอยากลืมของเชลซีและแฟนบอล “เดอะ บูลส์” จบด้วยอันดับ 12 ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ซีซัน1995-96 ที่พวกเขาหล่นลงมาอยู่ครึ่งล่างของตารางพรีเมียร์ลีก แต่นั่นเป็นหน้าฉาก ด้านหลังยังมีความวุ่นวายมากกว่านั้นเยอะ

นับตั้งแต่มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ทอดด์ โบห์ลีย์ เทคโอเวอร์สโมสรในเดือนพฤษภาคม 2022 เชลซีจ่ายเงินราว 583 ล้านปอนด์ไปกับกลุ่มนักฟุตบอลและผู้จัดการทีม 4 คน (รวมกุนซือชั่วคราว) เฉพาะตลาดนักเตะเดือนมกราคมที่ผ่านมาก็ทะลุหลัก 300 ล้านปอนด์ ซึ่งส่วนหนึ่งคือ 107 ล้านปอนด์เป็นค่าตัวทำลายสถิติสหราชอาณาจักรที่ซื้อ เอ็นโซ แฟร์นานเดซ มาจากเบนฟิกา และ 62 ล้านปอนด์เพื่อซื้อ มิไคโล มูดริค จากชัคตาร์ โดเน็ตส์ค

ส่วนตลาดซัมเมอร์ปีที่แล้ว โบห์ลีย์ก็ลงทุนยกเครื่องขุมกำลังใหม่ให้โธมัส ทูเคิล ไปเบ็ดเสร็จ 270 ล้านปอนด์ แต่ต้นกันยายน เชลซีต้องปลดกุนซือเยอรมันแล้วดึงแกรห์ม พอตเตอร์ มาคุมทีมแทนด้วยสัญญา 5 ปี พร้อมจ่ายค่าชดเชย 21 ล้านปอนด์ให้ไบรท์ตันที่สูญเสียพอตเตอร์และทีมงาน

7 เดือนต่อมา พอตเตอร์ถูกไล่ออก เชลซีมอบหมายผู้ช่วยของเขา บรูโน ซัลตอร์ ทำหน้าที่แทน 1 นัด ก่อนดึงแฟรงค์ แลมพาร์ด ซึ่งเคยคุมทีมเชลซี 1 ปีครึ่งก่อนถูกปลดเดือนมกราคม 2021 กลับมารับหน้าที่ผู้จัดการอีกครั้ง รอบนี้แลมพาร์ดมีผลงานชนะนัดเดียวจาก 11 นัดสุดท้ายของซีซัน ส่วนทูเคิลรูดม่านกับบาเยิร์น มิวนิก ด้วยโล่แชมป์บุนเดสลีกา ขณะที่เชลซีประกาศแต่งตั้ง เมาริซิโอ โปเช็ตติโน เป็นนายใหญ่คนใหม่ของสแตมฟอร์ด บริดจ์ โดยจะเริ่มงานตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม

เป็นเรื่องน่าสนใจทีเดียวว่าตลาดซัมเมอร์กลางปีนี้ ยอดกุนซืออาร์เจนไตน์วัย 51 จะถ่ายเทนักเตะที่ล้นทีมราว 30 คนออกไปอย่างไร และใครจะมาเป็นนักเตะใหม่เพื่อลบล้างฝันร้ายให้กับกองเชียร์สิงโตน้ำเงินคราม

4-2-3-1 แผนยอดนิยม 4-4-2 ใช้น้อยลงเรื่อยๆ

ระบบการเล่นยังเป็นประเด็นที่ถูกหยิบมาพูดถึงและแสดงความคิดเห็นเสมอในหมู่สื่อมวลชน กูรูลูกหนัง และแฟนบอล แม้ความจริงแล้ว แต่ละทีมไม่มีแผนตายตัว ระหว่าง 90 นาทีสามารถเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ หรือแม้กระทั่งต่างกันในจังหวะมีบอล (บุก) หรือไม่มีบอล (รับ) ตัวอย่างชัดเจนที่สุดคือลิเวอร์พูลช่วงปลายซีซัน ซึ่งเปลี่ยนจาก 4-3-3 เมื่อเริ่มต้นเป็น 3-4-3 (หรือ 3-2-2-3) ขณะมีบอลโดยเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ดันตัวเองจากแบ็คขวาขึ้นไปยืนมิดฟิลด์แบบ double pivot คู่กับฟาบินโญ

สกาย สปอร์ตส์ สื่อกีฬาชั้นนำของอังกฤษ ได้เก็บสถิติ starting formations ทุกนัดของพรีเมียร์ลีกซีซันนี้และได้ข้อสรุปว่า 4-2-3-1 เป็นฟอร์แมทที่ถูกใช้บ่อยที่สุดคือ 261 ครั้ง รองลงมาได้แก่ 4-3-3 จำนวน 222 ครั้ง, 3-4-2-1 จำนวน 64ครั้ง และ 4-4-2 (Classic) จำนวน 62 ครั้ง ตามมาห่างๆคือ 3-5-2 จำนวน 23 ครั้ง และ 4-1-4-1 จำนวน 22 ครั้ง

ข้อมูลที่น่าสนใจคือมี 13 ทีมที่เริ่มต้นเกมด้วยแผนคลาสสิค 4-4-2 ซึ่งเคยได้รับความนิยมอย่างสูงช่วงกลางทศวรรษ 2000 โดยสกาย สปอร์ตส์ เริ่มบันทึกสถิติ starting formations ตั้งแต่ซีซัน 2006-07 ซึ่งมีการใช้ฟอร์แมท 4-4-2 มากถึง 498 ครั้ง ตามมาห่างๆด้วย 4-5-1 เพียง 71 ครั้ง และ 4-3-3 จำนวน 63 ครั้ง

4-4-2 ยังคง “ยืนหนึ่ง” อีก 5 ปีแต่จำนวนก็ลดลงเรื่อยๆจนกระทั่งลงมาที่ 251 ครั้งในซีซัน 2011-12 ก่อนเสียตำแหน่งให้ 4-2-3-1 ในซีซัน 2012-13 ที่จำนวน 335 ครั้ง เพิ่มจาก 125 ครั้งในซีซันก่อนหน้านี้ ส่วนซีซัน 2012-13 ตัวเลขของ 4-4-2 ลงมาเหลือเพียง 91 ครั้ง นับจากนั้นเป็นต้นมา 4-2-3-1 ก็เป็นหมากเกมที่ได้รับความนิยมสูงสุดในพรีเมียร์ลีก

สกาย สปอร์ตส์ ให้ข้อสังเกตว่า 4-2-3-1 เริ่มได้รับโมเมนตัมจากกุนซือลีกเมืองผู้ดีอย่างมีนัยยะตั้งแต่ซีซัน 2009-10 ขณะที่กระแส 4-3-3 เริ่มเข้ามาในปีต่อมา ส่วน 62 ครั้งของ 4-4-2 ในซีซันนี้เป็นสถิติต่ำที่สุดนับตั้งแต่ซีซัน 2006-07 ซึ่งสาเหตุมาจากผู้จัดการปรับใช้กลยุทธ์หมากเกมหลากหลายซับซ้อนขึ้นโดยเฉพาะหน้าที่ไฮบริดอย่าง inverted full-back และ inverted winger 

อีกประเด็นที่มองข้ามไม่ได้คือ เบิร์นลีย์กับเซาแธมป์ตัน สองทีมที่เป็นตัวหลักของ 4-4-2 ช่วงที่ผ่านมา โดยเบิร์นลีย์ลงไปอยู่แชมเปียนชิพพร้อมการจากไปของแซม ไดซ์ ส่วนเซาแธมป์ตันก็เล่นรูปแบบที่ต่างไปตามกุนซือ 3 คนในซีซันนี้

แต่ต้องบันทึกไว้เช่นกันว่า ทีมครึ่งบนตารางไม่ได้เพิกเฉยต่อ 4-4-2 ระบบที่หลายคนมองว่าตกยุคเช่น วิลลาใช้ 15 ครั้ง ไบรท์ตัน 3 ครั้ง ลิเวอร์พูล 2 ครั้ง และสเปอร์ส 2 ครั้ง แม้แต่แมนฯซิตียังใช้หนึ่งโอกาส

การถล่มประตูของเบอร์ 9 เหนือแนวรุกริมเส้น

แมนฯซิตีชนะเลิศพรีเมียร์ลีก ซีซัน 2021-22 ด้วยนักเตะตำแหน่ง false No 9 แต่ไม่เป็นความลับใดๆว่า เป๊ป กวาร์ดิโอลา ต้องการศูนย์หน้าหมายเลข 9 เมื่อพยายามเจรจาซื้อแฮร์รี เคน ดาวยิงทีมชาติอังกฤษในตลาดซัมเมอร์ปี 2021  แต่ต้องล้มโต๊ะเจรจาเพราะโดนสเปอร์สโก่งราคาถึง 100 ล้านปอนด์ ทีมเรือใบสีฟ้ามาสมหวังกลางปีที่แล้วเมื่อจ่ายเงินแค่ 51ล้านปอนด์ให้โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เพื่อแลกกับเออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ศูนย์หน้าดาวรุ่งทีมชาตินอร์เวย์

ขอบคุณภาพจาก  https://www.premierleague.com/news/3486228

ด้วยวัยเพียง 22 ปี และปีแรกในพรีเมียร์ลีก ฮาลันด์กระหน่ำสกอร์สูงถึง 36 ประตู ทำลายสถิติสูงสุด 34 ประตู ซึ่งอลัน เชียเรอร์ และแอนดี โคล สร้างไว้เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว ตามมาห่างๆด้วย 30 ประตู เคน (สเปอร์ส), 20 ประตู อีวาน โทนีย์ (เบรนท์ฟอร์ด), 19 ประตู โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ (ลิเวอร์พูล) และ 18 ประตู คัลลัม วิลสัน (นิวคาสเซิล)

สำหรับเคน แม้สเปอร์สจะทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐาน แต่เขายังกระซวกตาข่ายถึง 30 ประตู เท่ากับสถิติสูงสุดส่วนตัวในซีซัน 2017-18 และพัฒนาจากซีซันที่แล้ว ซึ่งทำได้เพียง 17 ประตู รั้งอันดับ 4 บนตารางดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก 

เป็นที่น่าสังเกตว่า ท็อป-5 ซีซันนี้เป็นนักเตะหมายเลข 9 ถึง 4 คนยกเว้นซาลาห์ที่ยืนฝั่งขวาของแนวรุกฟรอนท์ทรีให้ลิเวอร์พูล ต่างกับซีซันที่แล้ว ซน ฮึง-มิน (สเปอร์ส) และซาลาห์ ซึ่งครองรางวัลรองเท้าทองคำด้วยจำนวน 23 ประตูเท่ากัน และอันดับ 5 ซาดิโอ มาเน (ลิเวอร์พูล) 16 ประตูต่างเป็นแนวรุกริมเส้น ยกเว้นอันดับ 3-4 คริสเตียโน โรนัลโด (แมนฯยูไนเต็ด) 18ประตูกับเคน 17 ประตู ที่ยืนตำแหน่งศูนย์หน้าตัวเป้า 

หรือถ้าชายตามอง 5 อันดับถัดมาในซีซันที่แล้วมีเพียงอันดับ 6 (ร่วม) เจมี วาร์ดี (เลสเตอร์) ที่รับบทบาทหัวหอก ส่วนเควิน เดอ บรอยน์ (แมนฯซิตี) กับ ดีโอโก โซตา (ลิเวอร์พูล) ซึ่งทำ 15 ประตูเท่าเวอร์ดี รวมถึงอันดับ 9 วิลฟรีด ซาฮา (พาเลซ) 14 ประตู และอันดับ 10 ราฮีม สเตอร์ลิ่ง (แมนฯซิตี) 13 ประตู ต่างไม่ใช่ศูนย์หน้าเบอร์ 9

ซาลาห์จุดประกายปีกขวาเท้าซ้ายเป็นเทรนด์ฮิต

โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ปีกเท้าซ้ายดาวดัง ลากเลื้อยทำเกมรุกฝั่งขวาให้ลิเวอร์พูลตลอด 5 ซีซันล่าสุด คู่หูเท้าซ้ายของแมนฯซิตี ริยาด มาห์เรซ และ แบร์นาโด ซิลวา ต่างรับผิดชอบฟากขวาของสนาม บูกาโย ซากา ซึ่งเป็นอีกคนที่ถนัดเท้าซ้ายและเป็นคีย์แมนในความสำเร็จของอาร์เซนอลซีซันนี้ ก็สร้างอันตรายจากเกมรุกด้านขวา

ปีกขวาเท้าซ้ายจึงเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมในพรีเมียร์ลีกชนิดไม่อาจปฏิเสธได้ กล่าวได้ว่าเกือบทุกทีมบนครึ่งบนของตารางอันดับต่างใช้แทคติกนี้อย่างเช่น อันโตนี ของแมนฯยูไนเต็ด, มิเกล อัลมิรอน ของนิวคาสเซิล และไบรอัน เอ็มเบวโม ของเบรนท์ฟอร์ด ขณะที่เชลซีแม้จบด้วยอันดับ 12 แต่ตั้งแต่ปลายเมษายนได้ให้โอกาส โนนี มาดูเอเก ดาวรุ่งวัย 21 ปี ลงตัวจริงตำแหน่งปีกขวา เช่นเดียวกับ จาร์รอด โบเวน ของเวสต์แฮม และแฮร์รี วิลสัน ของฟูแลม

ต่อคำถามว่า “ทำไม” สามารถใช้ shot map ของซาลาห์ในพรีเมียร์ลีกซีซันนี้มาอธิบาย โดยแนวรุกทีมชาติอียิปต์กลับมาสร้างอันตรายให้คู่แข่งอีกครั้งจากบทบาท wide forward ซึ่งการตัดเข้าในทำให้ซาลาห์มีพื้นที่มากขึ้นในการยิงประตู แถมยังสามารถทะลวงไปถึงพื้นที่ตรงกลางได้มากขึ้น

“เป๊ป คอนเนคชัน” จุดไฟสมรภูมิพรีเมียร์ลีกเดือด

ขณะที่เป๊ป กวาร์ดิโอลา มอบถ้วยรางวัลพรีเมียร์ลีกแก่แมนฯซิตีเป็นครั้งที่ 5 ในรอบ 6 ปี มองไปทีมอันดับ 2-3 อาร์เซนอลกับแมนฯยูไนเต็ด ซึ่งถูกคาดหมายจะเขย่าบัลลังก์ทีมเรือใบสีฟ้าให้สั่นคลอนซีซันหน้า กุนซือของสองทีมมีความเชื่อมโยงกับกวาร์ดิโอลา

มิเกล อาร์เตตา เคยทำงานกว่า 3 ปีกับกวาร์ดิโอวาในฐานะผู้ช่วยผู้จัดการทีมในแมนเชสเตอร์ ก่อนย้ายมารับตำแหน่งใหญ่ของอาร์เซนอล และซีซันนี้ เขาเกือบพาทีมปืนใหญ่ครองแชมป์สมัยแรกนับจากยุคแชมป์ไร้พ่ายในซีซัน 2003-04 ส่วนเอริก เทน ฮาก ซึ่งใช้เวลาไม่ถึงปี พาแมนฯยูไนเต็ดกลับไปเล่นแชมเปียนส์ลีกอีกครั้ง ก็เคยคุมทีมบีของบาเยิร์น มิวนิก ช่วงที่กวาร์ดิโอลาเป็นเฮดโค้ชชุดใหญ่ 

แม้แต่ โรแบร์โต เด แซร์บี ซึ่งช่วยให้ไบรท์ตันได้ลงสังเวียนทวีปยุโรปเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ก็ยอมรับว่ากวาร์ดิโอลาเป็นแรงบันดาลใจให้เขามุ่งมั่นกับอาชีพโค้ช ขณะที่ แว็งซ็องต์ ก็องปานี ซึ่งเพิ่งพาเบิร์นลีย์ขึ้นสู่ลีกสูงสุดในฐานะแชมป์แชมเปียนชิพ ก็เคยสวมปลอกแขนกัปตันทีมแมนฯซิตีในยุคกวาร์ดิโอลา

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer) 

Categories
Football Tactics

recap มุมมอง ของ โค้ชน้อย อนันต์ อมรเกียรติ กับเรื่องราว เมื่อ PEP แปลง (TRANSFORM) แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปสู่ทีมฟุตบอลแห่งอนาคตกาล

บันทึกกว่า 7 หน้ากระดาษที่ส่งตรงมาจาก “โค้ชน้อย” อนันต์ อมรเกียรติ ที่ปรึกษาด้านเทคนิค ทีมชาติไทย ยู-23 ปี ถึงเรื่องราว เมื่อ PEP แปลง (TRANSFORM) แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปสู่ทีมฟุตบอลแห่งอนาคตกาล บันทึกนี้เปี่ยมไปด้วย “คุณค่า” ที่น่าติดตาม ซึ่งทาง ไข่มุกดำ ก็พร้อมที่บอกต่อเรื่องราวนี้ ให้กับทุก ๆ คนได้อ่าน ในเว็ปไซต์กัน

Categories
Special Content

ทฤษฎีช้างตกต้นไม้ : ย้อนรอยทีมจ่าฝูงแพ้ภัยตัวเอง พลาดแชมป์แบบสุดช็อก

หลังเกมบิ๊กแมตช์พรีเมียร์ลีก ชี้ชะตาการลุ้นแชมป์ เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดบ้านถล่ม อาร์เซน่อล 4 – 1 ส่งผลให้ “แชมป์เก่า” ทำคะแนนไล่จี้เหลือ 2 แต้ม แถมเตะน้อยกว่าถึง 2 นัด

แม้โมเมนตัมในการลุ้นคว้าแชมป์จะเอียงไปทาง “เรือใบสีฟ้า” มากขึ้น แต่เมื่อสถานการณ์ยังไม่ทิ้งห่างแบบขาดลอย “ปืนใหญ่” ก็มีหวังเล็ก ๆ ในการกลับมาคว้าโทรฟี่พรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบเกือบ 20 ปี

มีเรื่องโจ๊กจากแฟนบอลในต่างประเทศ ที่เคยกล่าวไว้ว่า “อาร์เซน่อลที่อยู่ในอันดับ 1 ของตาราง เสมือนช้างที่อยู่บนต้นไม้ ไม่มีใครรู้ว่ามันปีนขึ้นไปได้อย่างไร แต่ทุกคนรู้ว่าสุดท้ายมันต้องตกลงมาอยู่ดี”

วลี “ช้างที่อยู่บนต้นไม้” คือการเปรียบเปรยถึงสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ หรือสิ่งที่ผิดธรรมชาติ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป โลกแห่งความเป็นจริง ก็จะกระชากจากภวังค์ให้กลับมาอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง

ในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา ได้มีเหตุการณ์ของทีมที่กำลังอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูง แต่พอพลาดท่าแพ้เกมสำคัญระหว่างฤดูกาล ให้กับคู่แข่งที่แย่งแชมป์แบบโดยตรง กลายเป็นจุดพลิกผันสู่ความผิดหวังในที่สุด

1989 : ลิเวอร์พูล 0 – 2 อาร์เซน่อล (26 พฤษภาคม)

ศึกลูกหนังดิวิชั่น 1 ลีกสูงสุดของอังกฤษในขณะนั้น เมื่อฤดูกาล 1988/89 ลิเวอร์พูล กับ อาร์เซน่อล คือคู่ชิงแชมป์ประจำซีซั่น และมีโปรแกรมพบกันเองในนัดสุดท้าย ซึ่ง “หงส์แดง” กุมความได้เปรียบอยู่

สถานการณ์ก่อนลงเตะนัดตัดสินแชมป์ที่แอนฟิลด์ ลิเวอร์พูลนำอันดับ 1 มี 76 คะแนน ผลต่างประตูได้-เสีย +39 โดยมีอาร์เซน่อล ตามมาติด ๆ ในอันดับ 2 มี 73 คะแนน ผลต่างประตูได้-เสีย +35

ที่สำคัญ ลิเวอร์พูลกำลังอยู่ในช่วงฟอร์มที่ดี 18 เกมหลังสุดในลีก ไม่แพ้ใคร และเสียประตูในบ้านเพียง 2 ลูก โยนความกดดันไปให้อาร์เซน่อล ที่ต้องชนะด้วยผลต่าง 2 ประตูขึ้นไป ถึงจะแซงคว้าแชมป์

ครึ่งแรกยังยิงกันไม่ได้ แต่เริ่มครึ่งหลังได้ไม่ถึง 10 นาที อลัน สมิธ โขกให้อาร์เซน่อลขึ้นนำก่อน 1 – 0 อย่างไรก็ตาม ถ้าจบด้วยสกอร์นี้ ลิเวอร์พูลยังเป็นฝ่ายที่ได้แชมป์ เพราะผลต่างประตูได้-เสียดีกว่า

เจ้าบ้านพยายามบุกหนักหวังตีเสมอให้ได้ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังทำไม่สำเร็จ เคนนี่ ดัลกลิช กุนซือลิเวอร์พูล ตัดสินใจเคาะบอลไปมาเพื่อเผาเวลาไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเกิดฟ้าผ่ากลางแอนฟิลด์ขึ้นจนได้

ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ไมเคิล โธมัส ยิงประตู 2 – 0 ส่งอาร์เซน่อลคว้าแชมป์ลีกสูงสุดหนแรกในรอบ 18 ปี โดยมีแต้ม และผลต่างประตูได้เสียเท่ากัน แต่มีจำนวนประตูได้ที่มากกว่าลิเวอร์พูล (73 ต่อ 65)

1996 : นิวคาสเซิล 0 – 1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (4 มีนาคม)

ฤดูกาล 1995/96 ลีกสูงสุดเมืองผู้ดี เปลี่ยนชื่อเป็น “พรีเมียร์ลีก” ได้ไม่นาน นิวคาสเซิล ทำผลงานได้อย่างโดดเด่น จนทำแต้มทิ้งห่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไกลถึง 12 แต้มในเดือนมกราคม 1996

แต่หลังจากนั้น นิวคาสเซิลก็เริ่มฟอร์มแกว่ง จนถูกแมนฯ ยูไนเต็ด ไล่จี้เข้ามา และทั้ง 2 ทีม มีโปรแกรมพบกันเองที่เซนต์ เจมส์ปาร์ค ช่วงต้นเดือนมีนาคม ซึ่งก่อนลงสนาม “สาลิกาดง” นำอยู่ 4 แต้ม

นิวคาสเซิล มีโอกาสบุกมากกว่า แต่ยิงอย่างไรก็ไม่ผ่านมือปีเตอร์ ชไมเคิล นายทวารแมนฯ ยูไนเต็ด สุดท้ายแล้ว เอริค คันโตน่า พังประตูชัยให้ “ปิศาจแดง” บุกชนะ 1 – 0 ลดช่องว่างเหลือแค่แต้มเดียว

เมื่อระยะห่างแคบลงเรื่อย ๆ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือแมนฯ ยูไนเต็ด จัดการเปิดสงครามจิตวิทยา และสุดท้าย เควิน คีแกน ก็ตกหลุมพรางจนสูญเสียความมั่นใจ และเริ่มรับมือกับความกดดันไม่ไหว

ช่วงที่เหลือของซีซั่น สถานการณ์ลุ้นแชมป์ก็กลับตาลปัตร นิวคาสเซิล ชนะ 5 เสมอ 2 แพ้ 3 สุดท้ายถูกแมนฯ ยูไนเต็ด ที่ชนะถึง 7 จาก 9 เกมสุดท้าย แซงคว้าแชมป์ด้วยการมีคะแนนมากกว่า 4 แต้ม

1998 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0 – 1 อาร์เซน่อล (14 มีนาคม)

ฤดูกาล 1997/98 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หวังจะเป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 ซีซั่นติดต่อกัน แต่สำหรับอาร์เซน่อล นี่คือครั้งแรกที่อาร์แซน เวนเกอร์ คุมทีมแบบเต็มซีซั่น

ช่วงกลางเดือนมีนาคม 1998 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นำเป็นจ่าฝูง มีแต้มนำอาร์เซน่อล 9 แต้ม แต่ทีมของกุนซืออาร์แซน เวนเกอร์ ลงเตะน้อยกว่าถึง 3 เกม และทั้ง 2 ทีม มีนัดปะทะกันที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด

เกมทำท่าว่าจะจบด้วยผลเสมอ แต่ในนาทีที่ 79 มาร์ค โอเวอร์มาร์ส วิ่งมาซัดด้วยขวาผ่านปีเตอร์ ชไมเคิล เป็นประตูชัยให้อาร์เซน่อล พร้อมกับลดช่องว่างเหลือ 6 แต้ม กับโปรแกรมที่ตกค้างในมือ 3 นัด

หลังบิ๊กแมตช์ที่โรงละคร “เดอะ กันเนอร์ส” กุมชะตากรรมไว้ในมือของตัวเองแล้ว โดยชนะถึง 8 จาก 10 เกมที่เหลือ ขณะที่แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 5 จาก 7 เกมสุดท้าย แต่ไม่เพียงพอต่อการป้องกันแชมป์

อาร์เซน่อล การันตีตำแหน่งอันดับ 1 หลังถล่มเอฟเวอร์ตัน 4 – 0 เมื่อเหลือ 2 นัดสุดท้ายของฤดูกาล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เป็นครั้งแรกในยุคของเวนเกอร์ โดยเฉือน “ปิศาจแดง” เพียงแต้มเดียวเท่านั้น

2010 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1 – 2 เชลซี (3 เมษายน)

หลังจากคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาแล้ว 3 ซีซั่นติดต่อกัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2009/10 หวังที่จะสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ชนิดที่ไม่มีทีมใดเคยทำมาก่อน ด้วยการคว้าแชมป์ต่อเนื่องเป็นซีซั่นที่ 4

และผู้ท้าชิงของพวกเขาคือ เชลซี ของกุนซือคาร์โล อันเชล็อตติ ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จนถึงแมตช์ที่ต้องพบกับทีมของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในเกมที่ 33 ของฤดูกาล ช่วงต้นเดือนเมษายน 2010

ก่อนเกมบิ๊กแมตช์ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด “ปิศาจแดง” อยู่ในตำแหน่งจ่าฝูง มีคะแนนนำหน้าเชลซี 1 แต้ม ต้องการชัยชนะเพื่อทำแต้มทิ้งห่างออกไป และถือเป็นการล้างแค้นจากเกมนัดแรกที่บุกไปแพ้ 0 – 1

เชลซี ออกนำก่อน 2 ประตู จากโจ โคล และดิดิเยร์ ดร็อกบา แม้เฟเดริโก้ มาเคด้า จะยิงตีตื้นให้แมนฯ ยูไนเต็ด ไล่มาเป็น 1 – 2 แต่ “สิงห์บูลส์” ก็ยันสกอร์นี้ไว้ได้จนจบเกม แซงขึ้นจ่าฝูง เมื่อเหลือ 5 นัดสุดท้าย

ซึ่งโปรแกรมที่เหลือของทั้ง 2 ทีม ต่างฝ่ายต่างชนะทีมละ 4 เกมเท่ากัน ส่งผลให้เชลซี เป็นฝ่ายที่คว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ ดับฝันแมนฯ ยูไนเต็ด ในการเป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 4 สมัยติดต่อกัน

2012 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1 – 0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (30 เมษายน)

ฤดูกาล 2011/12 ช่วงต้นเดือนเมษายน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยืนอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูง มีแต้มนำแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถึง 8 แต้ม เมื่อเหลืออีก 6 เกม ทำให้หลายคนมองว่า “ปิศาจแดง” น่าจะเข้าวินได้ไม่ยาก

ทว่า 3 นัดหลังจากนั้น แมนฯ ซิตี้ ชนะรวด สวนทางกับแมนฯ ยูไนเต็ด ที่ออกอาการสะดุดครั้งใหญ่ เมื่อบุกไปแพ้วีแกน แบบพลิกล็อก 0 – 1 และถูกเอฟเวอร์ตันไล่ตามตีเสมอ 4 – 4 คาโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

ก่อนเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม ถิ่นของ “เรือใบสีฟ้า” ในวันสิ้นเดือนเมษายน 2012 ยูไนเต็ดมีแต้มนำซิตี้เพียง 3 แต้ม นั่นหมายความว่า ถ้า “ปิศาจแดง” แพ้ จะหล่นมาเป็นอันดับ 2 ทันที

ในช่วงทดเจ็บครึ่งแรก แว็งซองต์ กอมปานี ทำประตูชัยให้กับแมนฯ ซิตี้ เก็บ 3 คะแนนสำคัญ แซงแมนฯ ยูไนเต็ด ขึ้นนำเป็นจ่าฝูง มี 83 แต้มเท่ากัน แต่ผลต่างประตูได้-เสีย ดีกว่าอยู่ 8 ลูก เมื่อเหลืออีก 2 เกม

นัดรองสุดท้าย 2 ทีมเมืองแมนเชสเตอร์ ชนะทั้งคู่ ส่วนผลแข่งในเกมที่ 38 แมนฯ ยูไนเต็ด ที่แข่งจบไปก่อน บุกชนะซันเดอร์แลนด์ 1 – 0 ขณะที่แมนฯ ซิตี้ ยังเสมอกับควีนสปาร์ค เรนเจอร์ส 2 – 2 ช่วงท้ายเกม

และนัดปิดซีซั่น คือหนึ่งในเหตุการณ์การคว้าแชมป์ที่ดราม่าที่สุดตลอดกาล กับประตูชัยของกุน อเกวโร่ นาทีที่ 93.20 ซึ่งเป็นโมเมนต์ที่ทำเอาแฟนๆ “เรด อาร์มี่” อยากจะลบออกจากความทรงจำเลยทีเดียว

2019 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2 – 1 ลิเวอร์พูล (3 มกราคม)

ฤดูกาล 2018/19 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และลิเวอร์พูล เป็นคู่ชิงแชมป์พรีเมียร์ลีกที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ แฟนบอลของทั้ง 2 ทีม ต่างลุ้นกันนัดต่อนัด ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาล

สิ้นปี 2018 ลิเวอร์พูล มีคะแนนนำแมนฯ ซิตี้ อยู่ 7 แต้ม หลังผ่านไป 20 เกม และเกมต่อมา คือเกมแรกของปี 2019 ทั้งคู่ต้องห้ำหั่นกันเอง ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม ถือเป็นนัดสำคัญที่มีผลต่อการลุ้นแชมป์โดยตรง

ขณะที่ยังเสมอกันอยู่ 0 – 0 ในนาทีที่ 20 ซาดิโอ มาเน่ ดาวยิงลิเวอร์พูล ซัดบอลไปชนเสา จอห์น สโตนส์ แนวรับแมนฯ ซิตี้ สกัดบอลโดนเอแดร์ซอน นายทวารเพื่อนร่วมทีม ก่อนที่สโตนส์จะเคลียร์บอลออกจากเส้น ขาดเพียง 11 มิลลิเมตร จะข้ามเส้นประตู

ซึ่งนั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้แมนฯ ซิตี้ เก็บ 3 คะแนนสุดล้ำค่า ด้วยชัยชนะ 2 – 1 ลดช่องว่างลงมาเหลือ 4 แต้ม แถมเป็นการยัดเยียดความปราชัยนัดแรก และนัดเดียวตลอดทั้งฤดูกาลชองลิเวอร์พูลด้วย

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เก็บชัย 2 นัดติด ก่อนบุกไปแพ้นิวคาสเซิล 1 – 2 และหลังจากนั้น สร้างสถิติสุดโหด ชนะ 14 นัดติดต่อกัน ฮึดแซงคว้าแชมป์ได้แบบน่าเหลือเชื่อ โดยเฉือนลิเวอร์พูลแค่แต้มเดียว (98 ต่อ 97)

และในฤดูกาล 2022/23 ทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็มีโอกาสทำสถิติชนะ 14 นัดรวด เหมือนเมื่อ 4 ซีซั่นก่อน หลังจากชัยชนะในเกมกับอาร์เซน่อลเมื่อกลางสัปดาห์ พวกเขาเก็บชัยชนะมาแล้ว 7 นัดติดต่อกัน

อย่างไรก็ตาม จากลิสต์นี้ ทีมที่นำจ่าฝูงแต่วืดแชมป์เมื่อจบฤดูกาล สามารถกลับมายืนแป้นอันดับ 1 ทันทีในซีซั่นถัดมาได้ถึง 5 ครั้ง แสดงให้เห็นถึงการนำบทเรียนจากความผิดหวัง เป็นแรงขับสู่ความสำเร็จ

เรียบเรียง : จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

– https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-12010655/The-pivotal-title-deciders-Man-City-host-Arsenal-Premier-League.html

– https://thearsenalelephant.com/the-arsenal-elephant-blog/f/the-elephant-that-never-fell-from-the-tree