Categories
Special Content

ทำไมหงส์แดงฟอร์มร่วง! ส่อง 20 Top Comment แฟนบอลชาว KMD หลัง “ลิเวอร์พูล” ยอดทีมแดนผู้ดี ฟอร์มยังไม่เข้าที่ ล่าสุดถูกนาโปลีไล่ต้อน 4-1 ศึกแชมเปียนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่ม

ภาพการลงเล่นในสนามแบบดุดัน เร้าใจ ยืนกองหลังสูงแบบ high line และไล่บี้เล่นเพรสซิ่งหนักหน่วงกันตั้งแต่แดนบนของลิเวอร์พูลที่แฟนบอลคุ้นเคยตอนนี้ดูเหมือนกลายเป็นปัญหาเสียแล้ว โดยในเกมล่าสุด แชมเปียนส์ลีก คือ แมตช์ขยี้บาดแผลที่กำลังเจ็บให้ยิ่งเจ็บแบบไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น

สาเหตุของฟอร์มการเล่นอันน่าผิดหวัง คือ อะไร?

โลกโซเชียลยังคงประโคมโหมคำตอบกันไม่หยุด โดยทางเพจ KMD ได้เปิดโพสต์ตั้งประเด็น และได้คำตอบจากลูกเพจมากมายร่วม 100 คอมเมนต์ในเวลา 3-4 ชั่วโมงตอนบ่ายหลังเกม 8 ก.ย.ที่ผ่านมา

คอมเมนต์มองว่าอย่างไรกันบ้าง หลังทีมรักฟอร์มตก มาดูกันสัก 20 เมนท์ โดยที่เหลือก็คลิ๊กไปดูอัพเดทในโพสต์ได้เลยค่ะ https://bit.ly/3Bmapim หรือเราคัดมาให้ส่วนหนึ่ง 20 เมนท์ตามนี้:

1. ต่างคนต่างเล่น เหมือนจะเก่งกองหลังเรา ไม่ส่งน้องแนท ผมลงบ้าง เปิดบอลไม่เคยเข้าเป้าเลยสำหลับ ผม(กองหลัง) 

2. การปรับจูน ของผู้เล่นเก่ากับใหม่ยังไม่เข้าที่ แรงจูงใจของนักเตะเก่าที่ใกล้หมดสัญญา โดยรวมผมว่าสภาพจิตใจครับ

3. การลองยิงไกลนอกเขต นอกจากดิอาซกับคาร์วัลโญ่แล้ว แทบไม่เหนใครกล้าลองยิงเลย … จ่ายบอลเพื่อให้ยิงจ่อๆตลอด มันก้อไม่ง่ายแล้วอ่า

4. หมด Passion กันแล้วครับ แกนหลักผ่านจุดสูงสุดไปหมด น่าจะต้องทำใจโละยกทีม แล้วสร้างทีมใหม่มาแทน

5. สงสัยต้องให้วิ่ง 14 กม.แบบเทนฮาก หยอกๆๆ

6. สร้างมาตรฐานไว้สูงเกินไป ผู้คนเลยคาดหวังสูง พอมีปัญหาคนจะรับไม่ค่อยได้ ใจร้อน สรุปแก้ที่ตัวกองเชียร์เองก่อน ส่วนตัวผมก็เชียร์โง่ๆแบบเดิมไป ผมเชื่อว่าบอสแก้ได้ #YNWA

7. ระบบการเล่นที่เดิมๆ

8. ฝั่งขวาทั้งแถบบอดสนิท

9. แท็กติก แผนการเล่นเดิม ไม่เหมาะกับชุดนี้แล้ว ให้ดู รีลมาดริดเล่นจะช่วยได้ เหนียวแน่นและคม ครองบอลไม่เยอะ ร่างกายไม่ล้า

10. ใจ คับ ตอนนี้ ดูไม่มั่นใจอย่างชัดเจน

11. ความหลากหลายและแม่นยำของเกมส์รุกในพื้นที่ที่ 3

12. ฟูลแบ๊ค 2 ข้าง ไปไม่ถึงเส้นหลังครับ ไม่ว่าจะด้วยแผนที่เปลี่ยนไป หรือจากการเสียเซ็ตบอล

13. ความกระหายในการเล่น…ถึงผู้เล่นจะไม่พร้อมและส่งผลถึงระบบการเล่น แต่ถ้ายังมีความกระหาย มันจะต้องช่วยกันเล่นช่วยกันวิ่ง

14. ไม่ยอมเปลี่ยนวิธีการเล่น ทั้งที่คู่แข่งเริ่มจับทางได้ รู้วิธีที่จะเอาชนะลิเวอร์พูล

15. อายุเฉลี่ยนักเตะในทีมสูงเกินกว่าจะเล่นเพลสซิ่งทั้งเกมส์ได้แล้วค่ะ

16. อิ่มตัวครับ การแข่งขันแต่ละตำแหน่งไม่มี เลยเล่นไปเรื่อยๆ

17. อิ่มตัวครับ นักเตะชุดนี้อยู่ด้วยกันมานาน กวาดมาหมดทุกแชมป์ ความกระหายหรือที่เรียกว่าแพสชั่นก็ลดลงเป็นธรรมดา

18. คิดว่าอาการล้ามาจากฤดูกาลก่อนและนักเตะเจ็บเยอะเกินความสมดุลในทีมเลยขาดๆเกินๆ

19. แผนกลางที่ยังไม่ลงตัว ติอาโก้ ฟาบิญโญ่ เฮนเดอร์ซั่น คนอื่นยังทำแทนไม่ได้

20. สำหรับผมให้เป็น โม ซาลาห์ละกัน ตัวซาลาห์ดูดร็อบลงไปตั้งแต่ไปเตะแอฟฟิกันคัพออฟเนชั่นแล้ว และยังยื่นสัญญาให้ใหม่อีก ตอนนี้ผมมองว่าเป็น โอบาเมยอง โมเดลไปแล้ว ยิ่งดูการจับบอลโล่งๆ การอะไรเมื่อคืน และหลายต่อนัด มันยิ่งเห็นชัด

.

เรียบเรียง: ภาวินีย์ สูญสิ้นภัย (แนน)

Categories
Football Business

ตลาดนักเตะซัมเมอร์ 2022 ที่บ้าคลั่งที่สุดในประวัติศาสตร์ลูกหนังเมืองผู้ดี

ตลาดซื้อขายนักเตะช่วงซัมเมอร์ปี 2022 ปิดทำการลงเรียบร้อย เมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา สโมสรในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2022/23 ได้มีการเสริมผู้เล่นใหม่เข้ามาครบทั้ง 20 ทีม

จำนวนเงินในการซื้อขายในตลาดนักเตะรอบนี้ ทุกสโมสรในลีกสูงสุดอังกฤษ ใช้จ่ายรวมกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ถึง 1.9 พันล้านปอนด์ ทุบสถิติเดิมในปี 2017 ที่ทำไว้ 1.4 พันล้านปอนด์

SoccerSuck x ไข่มุกดำ จะมาสรุปเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้น รวมถึงตัวเลข สถิติที่น่าสนใจ ตลอดช่วงเวลาการซื้อขายของตลาดนักเตะซัมเมอร์ 2022 มาให้ฟังกันครับ

ภาพรวมของการซื้อขาย

การซื้อขายนักเตะในตลาดช่วงซัมเมอร์ 2022 เรียกได้ว่าคึกคักที่สุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 มา 2 ปี หลายสโมสรได้จ่ายเงินซื้อนักเตะทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

เริ่มจากเชลซี ในยุคของท็อดด์ โบห์ลี่ เจ้าของทีมคนใหม่ ประเดิมการเข้ามาบริหารสโมสร ด้วยการจ่ายถึง 251 ล้านปอนด์ แลกกับนักเตะใหม่ 8 คน กลายเป็นทีมแชมป์ใช้เงินมากสุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก

ดีลใหญ่ ๆ ของเชลซี ยกตัวอย่างเช่น ราฮีม สเตอร์ริ่ง (จาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้), มาร์ค คูคูเรลล่า (จาก ไบรท์ตัน), เวสลี่ย์ โฟฟาน่า (จาก เลสเตอร์ ซิตี้), คาลิดู คูลิบาลี่ (จาก นาโปลี), ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง (จาก บาร์เซโลน่า)

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/ChelseaFC

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของเอริค เทน ฮาก กุนซือคนใหม่ ก็จ่ายหนักเป็นสถิติสูงสุดของสโมสร นักเตะอย่างลิซานโดร มาติเนซ, ไทเรลล์ มาลาเซีย, คาเซมิโร่, และแอนโธนี่ 4 คนนี้ มีค่าตัวรวมกัน 214 ล้านปอนด์

แม้กระทั่งน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ทีมน้องใหม่ที่คัมแบ็กสู่พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 23 ปี ใช้เงิน 145 ล้านปอนด์ แลกกับนักเตะใหม่ถึง 22 คน ทุบสถิติทีมที่เซ็นสัญญานักเตะจำนวนมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก

สโมสรที่ใช้เงินซื้อนักเตะเกิน 100 ล้านปอนด์ นอกจาก 3 ทีมที่กล่าวมาแล้ว ยังมีเวสต์แฮม ยูไนเต็ด, ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด, อาร์เซน่อล และวูล์ฟแฮมตัน วันเดอเรอร์ส

นอกจากนี้ ยังมีบรรดากองหน้าที่ย้ายทีมด้วยค่าตัวมหาศาล ทั้งดาร์วิน นูนเญซ (ไป ลิเวอร์พูล), เออร์ลิง ฮาลันด์ (ไป แมนฯ ซิตี้), กาเบรียล เชซุส (ไป อาร์เซน่อล), จานลูก้า สคามัคก้า (ไป เวสต์แฮม), อเล็กซานเดอร์ อิซัค (ไป นิวคาสเซิล)

ฝุ่นตลบในวันตลาดวาย

ถ้านับเฉพาะการซื้อขายที่เกิดขึ้นในวันสุดท้ายของตลาดนักเตะรอบนี้ คือวันที่ 1 กันยายน 2022 จะพบว่ามีดีลที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว โดยมี 14 จาก 20 สโมสรพรีเมียร์ลีก ที่มีการปิดดีลในวันตลาดวาย

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/mancity

ยกตัวอย่างเช่น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ดึงตัวมานูเอล อาคานจี กองหลังทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ จากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เซ็นสัญญา 5 ปี และจะได้ร่วมงานกับเออร์ลิง ฮาลันด์ อดีตเพื่อนร่วมทีม “เสือเหลือง” อีกครั้ง

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เร่งเครื่องปิดดีล 2 นักเตะในวันสุดท้าย คือ แอนโธนี่ ปีกทีมชาติบราซิล จากอาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัม 82 ล้านปอนด์ และยืมตัวมาร์ติน ดูบราฟก้า ผู้รักษาประตูจากนิวคาสเซิ่ล จนจบฤดูกาลนี้

เชลซี ดึง 2 นักเตะเข้ามาในวันสุดท้าย ทั้งปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง จากบาร์เซโลน่า เซ็นสัญญา 2 ปี และเดนิส ซาคาเรีย มิดฟิลด์ทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์จากยูเวนตุส ด้วยสัญญายืมตัวเป็นเวลา 1 ฤดูกาล

ลิเวอร์พูล ที่ตามหานักเตะเพื่อเข้ามาแก้ปัญหาในแดนกลาง ที่สุดแล้วได้ตัวอาร์ตูร์ เมโล่ มิดฟิลด์ทีมชาติบราซิลจากยูเวนตุส ด้วยสัญญายืมตัว 1 ฤดูกาล และมีออพชั่นซื้อขาดที่ 37.5 ล้านปอนด์

เอฟเวอร์ตัน ดึงตัวอิดริสซ่า เกย์ กองกลางทีมชาติเซเนกัล จากปารีส แซงต์-แชร์กแมง กลับถิ่นกูดิสัน พาร์คอีกครั้ง เซ็นสัญญา 2 ปี และเจมส์ การ์เนอร์ จากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เซ็นสัญญา 4 ปี

เลสเตอร์ ซิตี้ ที่เพิ่งขยับตัวจ่ายเงินซื้อนักเตะในตลาดรอบนี้เป็นทีมสุดท้าย ซึ่งดีลแรกของพวกเขา ก็เกิดขึ้นในวันสุดท้าย คือ เวาท์ ฟาส เซ็นเตอร์แบ็กชาวเบลเยียม จากแรงส์ ในลีกฝรั่งเศส เซ็นสัญญา 5 ปี

ส่วนดีลอื่น ๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ที่ปิดดีลโลอิก บาด จากแรนส์ ในฝรั่งเศส ด้วยสัญญายืมตัว รวมถึงฟูแล่ม ที่ปิดดีลวิลเลี่ยน อดีตดาวเตะเชลซี และอาร์เซน่อล 

ลีกลูกหนังที่บ้าคลั่งที่สุด

พรีเมียร์ลีก อังกฤษ คือลีกที่ใช้เงินมากที่สุดในตลาดซื้อขายนักเตะช่วงซัมเมอร์ ปี 2022 เมื่อเทียบกับ 5 ลีกใหญ่ยุโรป นอกจากนี้ ยังเป็นตัวเลขที่ทุบสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ลูกหนังเมืองผู้ดีอีกด้วย

ตัวเลข 1.9 พันล้านปอนด์ ในตลาดรอบนี้ ทำลายสถิติเดิมจากช่วงเดียวกันเมื่อปี 2017 ที่มียอดใช้จ่าย 1.4 พันล้านปอนด์ และเพิ่มขึ้นจากตลาดนักเตะซัมเมอร์ปีที่แล้ว (2021) ถึง 67 เปอร์เซ็นต์ 

จากข้อมูลของดีลอยด์ (Deloitte) บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินระดับโลก ระบุว่า ยอดใช้จ่ายเฉพาะซัมเมอร์ปีนี้ สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้นจากสถิติเดิมของยอดรวม 2 รอบตลาด เมื่อฤดูกาล 2017/18 คิดเป็น 3 เปอร์เซ็นต์

ข้อมูลสำคัญของ Deloitte จากตลาดซื้อขายนักเตะซัมเมอร์ปี 2022 มีดังต่อไปนี้

– ใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป (อังกฤษ, เยอรมนี, อิตาลี, สเปน, ฝรั่งเศส) ใช้จ่ายรวมกัน 3.88 พันล้านปอนด์ เพิ่มขึ้น 52 เปอร์เซ็นต์ จากซัมเมอร์ปีที่แล้ว

– สโมสรพรีเมียร์ลีก ถือสัดส่วนถึง 49 เปอร์เซ็นต์ มากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ปี 2008 และมากกว่าเซเรีย อา ของอิตาลีถึง 3 เท่า (646 ล้านปอนด์)

– สโมสรพรีเมียร์ลีก เซ็นสัญญานักเตะ 169 คน มากกว่าช่วงเดียวกันของปี 2021 (148 คน) และปี 2020 (132 คน)

– ยอดใช้จ่ายในการซื้อนักเตะสุทธิ (ส่วนต่างระหว่างซื้อและขาย) ของพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ ทะลุ 1 พันล้านปอนด์เป็นครั้งแรก

– นักเตะที่ย้ายทีมแบบมีค่าตัว มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 66 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับซัมเมอร์ปีที่แล้ว ที่มีสัดส่วน 45 เปอร์เซ็นต์

ทิม บริดจ์ หัวหน้าฝ่ายธุรกิจการกีฬาของ Deloitte กล่าวว่า “การใช้จ่ายในตลาดซัมเมอร์ปีนี้ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แสดงให้เห็นว่า ทีมในพรีเมียร์ลีกมีความมั่นใจอย่างมาก เนื่องจากมีรายได้กลับเข้ามามากขึ้นหลังช่วงโควิด”

“พวกเขายินดีที่จะใช้เงินเป็นจำนวนมาก เพื่อต่อสู้กับการแข่งขันที่สูงมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา อันเนื่องมาจากความกดดันที่สโมสรต่างๆ ได้กำหนดเป้าหมายที่ท้าทายมากขึ้น”

ไม่ว่านักเตะใหม่ที่เข้ามา จะมีค่าตัวมากน้อยแค่ไหน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การทำผลงานที่น่าประทับใจ และพาทีมประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย เพื่อให้คุ้มค่ากับเงินทุกปอนด์ที่ได้จ่ายไป

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

– https://www.bbc.com/sport/football/62758471

https://theathletic.com/3358933/2022/09/01/premier-league-transfer-news-summer-window/

https://www.premierleague.com/transfers/summer

– https://www.transfermarkt.com/premier-league/transfers/wettbewerb/GB1

https://www.sportingnews.com/uk/soccer/news/premier-league-transfer-spending-Haaland-Nunez-Richarlison-Jesus/l0rj2wd9arkzt7goqkkri6ps

Categories
Column

คาเซมิโร่ : การเดิมพันครั้งสำคัญ เพื่อแก้ปัญหาแดนกลางของ “ปิศาจแดง”

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา คาเซมิโร่ ประเดิมลงสนามเป็นนัดแรกให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยได้ลงเล่นช่วง 10 นาทีสุดท้าย ก่อนที่ต้นสังกัดใหม่ของเขา บุกชนะเซาธ์แธมป์ตัน 1 – 0

ถือเป็นชัยชนะ 2 นัดติดต่อกันของยูไนเต็ด ต่อยอดจากศึก “แดงเดือด” ที่กำราบศัตรูที่รักอย่างลิเวอร์พูล ซึ่งคาเซมิโร่ ได้เปิดตัวต่อหน้าแฟน ๆ เรด อาร์มี่ ในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เป็นครั้งแรก

SoccerSuck x ไข่มุกดำ จะมาขยายให้ฟังว่า มิดฟิลด์หมายเลข 18 เจ้าของดีกรีแชมป์ยุโรป 5 สมัย จะให้ประโยชน์อะไร กับ “ปิศาจแดง” ได้บ้าง ?

“คาเซมิโร่” คือดีลหน้ามืด ?

พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2022/23 ซีซั่นแรกของเอริค เทน ฮาก กุนซือคนใหม่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกสตาร์ท 2 นัดแรก ด้วย 0 คะแนน เสียประตูถึง 6 ลูก ทำให้บรรยากาศภายในสโมสรเต็มไปด้วยความโกลาหล

นั่นทำให้เบื้องบนของยูไนเต็ด อยู่เฉยไม่ได้ ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อตอบสนองความต้องการของเทน ฮาก และหวังลดกระแสความไม่พอใจของแฟนบอลที่สะสมความคับแค้นมานานเกือบ 20 ปี

แฟรงกี้ เดอ ยอง มิดฟิลด์บาร์เซโลน่า เป้าหมายแรกในการเสริมทัพ ที่เทน ฮาก หวังดึงลูกน้องเก่าสมัยอยู่กับอาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัมมาร่วมงาน พยายามเจรจามานานกว่า 3 เดือน แต่ปิดดีลไม่สำเร็จ

ในขณะเดียวกัน ทีมงานซื้อขายของยูไนเต็ด ก็ไปเจรจากับ อาเดรียง ราบิโอต์ ของยูเวนตุส ที่ค่าตัวไม่แพงนัก เพราะเหลือสัญญาแค่ปีเดียว แต่ติดเงื่อนไขเรื่องค่าจ้างที่สูงมาก จึงถอนตัวจากดีลนี้ไป

ขอบคุณภาพ https://web.facebook.com/manchesterunited

จนกระทั่ง สโมสรเจ้าของแชมป์ลีกสูงสุดอังกฤษ 20 สมัย ตัดสินใจคว้าตัว คาเซมิโร่ กองกลางทีมชาติบราซิลวัย 30 ปี จากเรอัล มาดริด ด้วยค่าตัว 70 ล้านปอนด์ ชนิดที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

จากมิดฟิลด์ที่คว้าแชมป์ 18 โทรฟี่กับ “ราชันชุดขาว” สู่ความท้าทายครั้งใหญ่กับแมนฯ ยูไนเต็ด แม้จะไม่สามารถเปลี่ยนทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว แต่อย่างน้อยก็คือก้าวแรก ในยุคใหม่ของ “ปิศาจแดง”

ปิดตำนานคู่หู “แม็ค-เฟรด” ได้แล้ว ?

ตำแหน่ง “กองกลางตัวรับ” คือตำแหน่งที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตามหามานาน เพราะหลังจากไมเคิล คาร์ริก ประกาศเลิกเล่นหลังจบฤดกาล 2017/18 ทำให้มิดฟิลด์ตัวรับ มีเนมันย่า มาติช เพียงคนเดียวเท่านั้น

ในเดือนธันวาคม 2018 โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เข้ามาเป็นกุนซือคนใหม่แทนโชเซ่ มูรินโญ่ ได้ใช้เฟร็ด และสกอตต์ แม็คโทมิเนย์ มารับหน้าที่เป็นกลางรับ 2 ตัว ตามแผนการเล่น 4-2-3-1 ซึ่งทั้งคู่ไม่ใช่กลางรับธรรมชาติ

คู่หู “แม็ค-เฟรด” ลงเล่นด้วยกันให้กับแมนฯ ยูไนเต็ด ตั้งแต่ยุคของโซลชา, ราล์ฟ รังนิก และเอริค เทน ฮาก เป็นระยะเวลาเกือบ 4 ปี แต่ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ทั้งคู่ทำได้ไม่ดีพอตามที่ทุกคนในสโมสรคาดหวัง

ย้อนกลับไปในนัดเปิดซีซั่น 2022/23 ที่ทีมของเทน ฮาก แพ้ไบรท์ตัน คาโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 1 – 2 ทั้งเฟร็ด และแม็คโทมิเนย์ ต่างก่อความผิดพลาด จ่ายบอลเสียหลายจังหวะ แถมการป้องกันเกมรับทำได้เข้าชั้นเลวร้าย

พอล สโคลส์ ตำนานมิดฟิลด์เบอร์ 18 ของยูไนเต็ด วิเคราะห์ผ่าน BT Sport หลังเกมชนะเซาธ์แธมป์ตันว่า “ผมคิดว่าเฟร็ด กับแม็คโทมิเนย์ ถูกร้องขอให้เล่นมิดฟิลด์ตัวรับ แต่ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะทำได้ดีขนาดนั้น”

“การมีนักเตะอย่างคาเซมิโร่ ที่คอยอยู่ด้านหลังหรือด้านข้างนั้น เป็นอะไรที่ดีมาก ๆ ทำให้คุณเล่นได้อย่างมีอิสระ เพราะคุณจะรู้ว่า คนที่อยู่ด้านหลังหรือด้านข้าง มันอยู่ในตำแหน่งที่ดีอยู่แล้ว”

ขอบคุณภาพ https://web.facebook.com/Casemiro92

ปลดปล่อยเพื่อนร่วมทีมทั้งรับและรุก

การเข้ามาของคาเซมิโร่ นอกจากจะแก้ปัญหาในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับที่ขาดหายมาหลายปีแล้ว อาจจะช่วยยกระดับการเล่นของเพื่อนร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดให้ดีขึ้นได้ ทั้งเกมรับและเกมรุก

แผนการเล่น 4-2-3-1 สูตรกลางรับ 2 คน ที่เอริค เทน ฮาก ใช้มาแล้ว 3 นัด (พบกับเบรนท์ฟอร์ด, ลิเวอร์พูล และเซาธ์แธมป์ตัน) ต่อจากนี้ไป คาเซมิโร่ จะได้จับคู่กับคนใดคนหนึ่งระหว่างเฟร็ด หรือสก็อตต์ แม็คโทมิเนย์

หรือถ้าเป็นแผนการเล่น 4-3-3 สูตรถนัดของกุนซือชาวดัตช์ ที่เน้นเกมรุกแบบเต็มที่ บทบาทของคาเซมิโร่ ก็จะยืนต่ำกว่ามิดฟิลด์ด้านข้าง 2 คน ทั้งคริสเตียน อิริคเซ่น และบรูโน่ เฟอร์นันเดส ที่จะเล่นเกมรุกมากขึ้น

คาเซมิโร่ ยังสามารถเปลี่ยนกระแสการเล่นจากรับเป็นรุก หากเขาสามารถเคลื่อนบอลให้อิริคเซ่น และบรูโน่เข้าไปในเขตโทษ ก็อาจเป็นการช่วยปลดล็อกปัญหาในเกมรุกของแมนฯ ยูไนเต็ดได้

และเมื่อมีกลางรับระดับโลกสไตล์ถึงลูกถึงคน และขยันแบบฉลาดอย่างคาเซมิโร่อยู่ในทีม ก็ช่วยให้เกมรับได้รับประโยชน์เช่นเดียวกัน เนื่องจากเจ้าตัวจะคอยทำหน้าที่เก็บกวาดการบุกของคู่แข่งอยู่แล้ว

ดีลของคาเซมิโร่ จะเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ช่วยยกระดับทีมให้ดีขึ้น หรือจะเป็นอนุสรณ์แห่งความล้มเหลวอีกครั้ง ของทีมยักษ์หลับที่รอวันตื่นอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://www.bbc.com/sport/football/62603699

https://www.telegraph.co.uk/football/2022/08/19/what-casemiro-will-do-manchester-united/

https://worldfootballindex.com/2020/04/real-madrid-tactics-win-the-champions-league-three-years-in-a-row-zidane/

https://www.si.com/soccer/manchesterunited/exclusive-interviews/what-manchester-united-can-expect-from-casemiro

Categories
Football Business

เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ บนแขนเสื้อข้างซ้ายในพรีเมียร์ลีก

พรีเมียร์ลีกเริ่มต้นฤดูกาล 2022-23 มีข่าวเซอร์ไพรส์เล็กๆ เมื่อ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ซึ่งเพิ่งขึ้นมาเล่นลีกสูงสุดของอังกฤษหลังจากว่างเว้นมานาน 23 ปี เป็นทีมเดียวที่นักเตะสวมเสื้อแข่งว่างเปล่าไม่มีโลโก้ผู้สนับสนุนบนหน้าอกและแขนเสื้อ ซึ่งหมายความว่า ทีมเจ้าป่าขาดรายได้ระดับหลักสิบล้านปอนด์ต่อปีอย่างน่าเสียดาย

เหตุผลไม่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนใดๆ เพียงแค่ฟอเรสต์ยังไม่สามารถตกลงต่อสัญญาใหม่กับ BOXT บริษัทผลิตอุปกรณ์และวางระบบความร้อน แอร์คอนดิชัน และการระบายอากาศ โดย BOXT แสดงความประสงค์ต้องการเป็นสปอนเซอร์ให้กับทีมเจ้าป่าต่อไปหลังหมดสัญญาฉบับเก่าที่มีระยะเวลาสองปี แต่ข้อเสนอหลายล้านปอนด์ของบริษัทถูกปฏิเสธ ซึ่งว่ากันว่า ฟอเรสต์ต้องการรายได้ประมาณ 7-10 ล้านปอนด์ต่อปี อย่างไรก็ตาม BOXT ได้หันไปจับมือเป็นสปอนเซอร์ให้กับเอฟเวอร์ตันเพื่อปะโลโก้ที่แขนเสื้อ

บนเสื้อแข่งมีพื้นที่สร้างรายได้ให้กับสโมสรอยู่สองตำแหน่งคือ หน้าอกกับแขนเสื้อข้างซ้าย ส่วนแขนเสื้อข้างขวาเป็นสัญลักษณ์พรีเมียร์ลีก ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้ว สปอนเซอร์ที่แขนเสื้อมีมูลค่าประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของสปอนเซอร์บนหน้าอก

ถ้าตัดฟอเรสต์ออกไป ทุกทีมในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้มีโลโก้สินค้าสกรีนบนหน้าอกเสื้อ แต่มีอยู่หนึ่งทีมที่ยังไม่มีเงินไหลเข้าผ่านแขนเสื้อก็คือ แอสตัน วิลลา ซึ่งมี Cazoo บริษัทจำหน่ายรถยนต์ผ่านออนไลน์ เป็นสปอนเซอร์หน้าอกเสื้อเท่านั้น

ล่าสุด พรีเมียร์ลีกเพิ่งออกกฎใหม่ห้ามบริษัทที่ทำธุรกิจพนัน (แม้ถูกกฎหมาย) เป็นสปอนเซอร์ ซึ่งสร้างความสั่นสะเทือนให้กับแหล่งรายได้ของสโมสรอย่างแรงเพราะเป็นธุรกิจที่เข้ามาสนับสนุนเงินๆทองๆบนเสื้อแข่งมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งได้แก่Dafabet (บอร์นมัธ), HollywoodBets (เบรนท์ฟอร์ด), Stake.com (เอฟเวอร์ตันกับวัตฟอร์ด), W88 (ฟูแลม), SBOTOP (ลีดส์), Fun88 (นิวคาสเซิล), Sportsbet.io (เซาแธมป์ตัน) และ Betway (เวสต์แฮม) ซึ่งยกชื่อมาเฉพาะสปอนเซอร์หลักของเสื้อแข่งเท่านั้นยังไม่อ้างถึงแขนเสื้อ อย่างไรก็ตาม การแบนบริษัทรับพนันยังไม่มีผลอย่างน้อยสามปีนับจากปีนี้

กลุ่มสปอนเซอร์รายใหญ่รองจากธุรกิจพนันก็คือ ธุรกิจการเงินการธนาคาร อย่างเช่น  American Express (ไบรท์ตัน), Standard Chartered (ลิเวอร์พูล), AIA (ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์), AstroPay (วูลฟ์แฮมป์ตัน) และ FBS (เลสเตอร์) ขณะที่สายการบินของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้แก่ Emirates และ Etihad Airways ยังเดินหน้าสนับสนุนด้านการเงินให้กับสองสโมสรยักษ์ใหญ่ อาร์เซนอล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี

โลโก้บริษัทจำหน่ายรถยนต์ Cinch และ Cazoo อยู่บนหน้าอกเสื้อของคริสตัล พาเลซ และแอสตัน วิลลา ส่วน เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้รับเงินสปอนเซอร์จาก Three และ Team Viewer ซึ่งทำธุรกิจด้านเทคโนโลยี นั่นเท่ากับว่ายังไม่มีบริษัทชั้นนำที่เกี่ยวข้องกับอาหารและเครื่องดื่มเข้ามาปิดดีลสโมสรพรีเมียร์ลีก

ต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา PlanetSport ได้เผยแพร่บทความเรื่อง The 11 biggest shirt sponsorship deals: Premier League dominates but Spain’s where the big money is. พบว่า อันดับท็อป-11 ของสโมสรที่โกยรายได้สปอนเซอร์เสื้อแข่งสูงที่สุดในโลกมาจากพรีเมียร์ลีกถึง 6 ทีม แต่ไม่ติดสามอันดับแรก ซึ่งนำโดย เรอัล มาดริด 70 ล้านยูโร ตามด้วยปารีส แซงต์-แยร์แมง 65 ล้านยูโร และบาร์เซโลนา 62.5 ล้านยูโร ซึ่งเป็นจำนวนเงินค่าเฉลี่ยต่อปีของสัญญา

สโมสรจากเมืองผู้ดีที่โกยรายได้มากที่สุดย่อมเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในช่วงทศวรรษนี้หนีไม่พ้น แมนเชสเตอร์ ซิตี 60 ล้านยูโร อยู่อันดับสี่ ขณะที่เพื่อนบ้าน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แม้ฟอร์มไม่ไฉไลบนสนามแต่ยังเป็นทีมเนื้อหอมในเชิงธุรกิจ ทีมปีศาจแดงรับไป 55 ล้านยูโร อยู่อันดับห้า

ส่วนอันดับรองลงไปได้แก่ อันดับหก บาเยิร์น มิวนิค 50 ล้านยูโร, อันดับเจ็ด อาร์เซนอล 46.6 ล้านยูโร และอันดับแปด (ร่วม) ซึ่งรับไป 45 ล้านยูโรเท่ากันคือ ยูเวนตุส, ลิเวอร์พูล, สเปอร์ส และเชลซี

ปฐมบทแห่งการขายพื้นที่โฆษณาบนเสื้อแข่งขัน

พลิกปูมประวัติศาสตร์สปอนเซอร์บนหน้าอกเสื้อแข่งสโมสรอังกฤษเกิดขึ้นเมื่อปี 1974 หรือ 48 ปีที่แล้ว โคเวนตรีเป็นทีมแรกและได้รับเงินจาก Talbot แบรนด์รถยนต์ดังในอดีต ก่อนเป็นที่แพร่หลายช่วงทศวรรษ 1980 ซึ่งมีสองเหตุการณ์ที่น่าบันทึกไว้คือเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 1980 การถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ระหว่าง แอสตัน วิลลา และ ไบรท์ตัน ถูกยกเลิกเนื่องจากสองทีมปฏิเสธลงสนามหากไม่ได้สวมเสื้อแข่งที่ปะโลโก้สปอนเซอร์ และในเดือนมกราคม 1981 นิวคาสเซิล และ โบลตัน ถูกปรับ 1,000 ปอนด์โทษฐานสวมเสื้อที่มีโฆษณาปรากฎหราบนหน้าอกในการแข่งขันเอฟเอ คัพ

ก่อนหน้าโคเวนตรีเพียงปีเดียวคือ ปี 1973 สปอนเซอร์บนหน้าอกเสื้อแข่งกลายเป็นนวัตกรรมใหม่อย่างเป็นทางการในลีกระดับเมเจอร์ของยุโรปครั้งแรกที่บุนเดสลีกาเมื่อ ไอน์ทรัค บรันสวิก รับเงินจากบริษัทเครื่องดื่ม Jaegermeister เพื่อเอาโลโก้สโมสรออกไปแล้วแทนที่ด้วยสัญลักษณ์หัวกวางขนาดใหญ่ปะบนหน้าอก

สำหรับโลโก้โฆษณาบนแขนเสื้อ ได้รับอนุญาตจากพรีเมียร์ลีกให้ปรากฎบนแขนเสื้อข้างซ้ายครั้งแรกในฤดูกาล 2017-18หรือห้าปีที่แล้ว โดยกำหนดให้มีขนาดสูงสุด 100 ตารางเซนติเมตร ส่วนข้างขวายังเป็นโลโก้พรีเมียร์ลีก แต่กว่าที่มีกฎนี้ออกมา สโมสรต่างๆ ต้องออกแรงล็อบบีผู้บริหารพรีเมียร์ลีกอยู่หลายปี

ทางด้านยูฟ่าเริ่มกดปุ่มไฟเขียนให้สโมสรยุโรปหารายได้จากช่องทางเดียวกันในการแข่งขันแชมเปียนส์ ลีก, ยูโรปา คัพ และคอนเฟอเรนซ์ ลีก ตั้งแต่ฤดูกาล 2021-22 หรือเมื่อซีซั่นที่แล้วนี่เอง โดยมีรายละเอียดเหมือนกันคือ ติดโลโก้แขนซ้ายและมีขนาดมากที่สุด 100 ตารางเซนติเมอร์ รวมถึงส่วนสูงไม่เกิน 12 เซนติเมตร และต้องเป็นสปอนเซอร์ตัวเดียวกับที่ใช้ในฟุตบอลภายในประเทศ แต่ถ้าไม่มี สปอนเซอร์ต้องเป็นตัวเดียวกับที่สนับสนุนชุดแข่งขันอยู่เช่น หลังเสื้อ กางเกง

และต้องบันทึกไว้ว่า โอลิมปิก ลียง ซึ่งลงแข่งขันยูโรปา ลีก ฤดูกาลที่แล้ว เป็นสโมสรแรกที่มีสปอนเซอร์แขนเสื้อทั้งฟุตบอลภายในประเทศและบอลถ้วยยุโรป หลังจากเซ็นสัญญากับ MG Motor ค่ายผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ จนถึงปี 2024

แมนฯ ซิตี เซ็นสัญญาสปอนเซอร์แขนเสื้อเป็นทีมแรกในพรีเมียร์ลีก

ย้อนกลับมาที่พรีเมียร์ลีก ซึ่งเริ่มอนุญาตให้สโมสรขายโลโก้บนแขนเสื้อในซีซั่น 2017-18 เป็นปีแรก และก็เป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี ที่ปิดดีลได้ก่อนใคร สมศักดิ์ศรีทีมที่ครองความยิ่งใหญ่ในลีกเมืองผู้ดีช่วงต้นทศวรรษ 2010 หลังการล้างมือในอ่างทองคำของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดยก่อนหน้านี้ ทีมเรือใบสีฟ้าเป็นแชมป์ 2 สมัย (2011–12, 2013–14) และรองแชมป์ 2 สมัย (2012–13, 2014–15)

ปลายเดือนมีนาคม 2017 แมนเชสเตอร์ ซิตี เซ็นสัญญากับ Nixen Tire บริษัทยางรถยนต์สัญชาติเกาหลี ก่อนปิดท้ายซีซั่น 2017-18 ด้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก เป็นการเริ่มต้นยุคทองอย่างจริงจังเพราะช่วงห้าปี ทีมเรือใบสีฟ้าชนะเลิศพรีเมียร์ลีกถึง 4 สมัย มีเพียงฤดูกาล 2019-20 ที่โทรฟีตกอยู่ในมือของลิเวอร์พูล

เชื่อหรือไม่ว่าขณะที่ทีมเล็กทีมน้อยระดับกลางตารางและดิ้นรนหนีตกชั้นได้รับเสียงตอบรับจากสปอนเซอร์ แต่ยักษ์ใหญ่อย่าง อาร์เซนอล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ กลับลงสนามในซีซั่น 2017-18 พร้อมด้วยโลโก้พรีเมียร์ลีกติดแขนเสื้อทั้งสองข้าง โดยทีมปืนใหญ่กับทีมไก่เดือยทองติดเงื่อนไขในสัญญากับสปอนเซอร์หลัก ขณะที่ทีมปีศาจแดงไม่มีการระบุเหตุผลที่ชัดเจนแต่เชื่อว่าคงตกลงตัวเลขเงินกันไม่ได้ พร้อมข่าวลือว่า ทีมปีศาจแดงได้เปิดโต๊ะเจรจากับ Tinder แอปพลิเคชั่นหาคู่

จนกระทั่งปีต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2018 ก่อนเปิดฤดูกาล 2018-19 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จึงออกข่าวเปิดตัวสปอนเซอร์บนแขนเสื้อรายแรกคือ Kohler บริษัทผลิตเครื่องใช้อุปกรณ์ในห้องน้ำห้องครัวสัญชาติอเมริกัน โดยตัวอักษร KOHLER อยู่บนแขนเสื้อนัดแรกในเกมอุ่นเครื่องกับ คลับ อเมริกา ที่เมืองฟินิกซ์ ประเทศสหรัฐอเมริกา แผ่นดินแม่ของบริษัท ในวันที่ 19กรกฎาคม 2018 ซึ่งวันนั้น นักเตะเรด อาร์มี่ ได้สวมเสื้อเหย้าดีไซน์ใหม่ของ Adidas อีกด้วย

แต่ซีซั่นปัจจุบัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปลี่ยนสปอนเซอร์แขนเสื้อเป็น DXC Technology บริษัทสัญชาติอเมริกันเช่นกัน โดยไม่มีการเปิดเผยตัวเลขรายได้ และถือเป็นก้าวแรกของ DXC ที่เข้ามาสร้างสายสัมพันธ์ในวงการลูกหนังหลังจากเซ็นสัญญาสนับสนุนการจัดมหกรรมกีฬา ปารีส เกมส์ 2024 ทั้งโอลิมปิกและพาราลิมปิก

มีบางทีมที่ปิดดีลหลังพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2017-18 เริ่มไปแล้วระยะหนึ่งเช่น เบิร์นลีย์ เซ็นสัญญากับเกมมือถือ Golf Clashต้นเดือนตุลาคม 2017 และก่อนหน้านั้นกลางเดือนกันยายน เอฟเวอร์ตัน เรียกเสียงฮือฮาจากแฟนบอลเมื่อประกาศว่า พวกเขาจะติดโลโก้เกมสุดฮิตในยุคนั้นที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุดตลอดกาลอย่าง Angry Birds บนแขนเสื้อแข่ง

การขายสปอนเซอร์บนแขนเสื้อในซีซั่นแรก สโมสรส่วนใหญ่ได้รับเงินเข้ากองคลังหลักแสนปลายๆหรือ 1-2 ล้านต่อปี ยกเว้นสโมสรระดับพี่เบิ้มที่นำโดย เชลซี ที่คาดว่าโกยจาก Alliance Tyres มากถึง 8 ล้านปอนด์ ตามมาติดๆด้วย แมนเชสเตอร์ ซิตี ที่รับจาก Nexen Tire 7 ล้านปอนด์ ส่วน ลิเวอร์พูล เซ็นสัญญา 5 ปี 25 ล้านปอนด์กับ Western Union ซึ่งยกเลิกสัญญาก่อนสองปี โดยมี Expedia เข้ามาแทนในปี 2020 และจะหมดสัญญาฤดูร้อนปีหน้า คาดว่าบริษัทธุรกิจท่องเที่ยวรายนี้จ่ายให้ทีมหงส์แดงปีละ 10 ล้านปอนด์

บิลลี โฮแกน ซีอีโอของลิเวอร์พูล ให้สัมภาษณ์ว่า สโมสรกับ Expedia กำลังอยู่ในขั้นตอนเจรจาต่อสัญญา และก่อนหน้านี้ ทีมหงส์แดงเพิ่งขยายสัญญากับ Standard Chartered สปอนเซอร์หลักบนเสื้อออกไปอีกสี่ปีหลังจากจับมือเป็นพันธมิตรมายาวนานตั้งแต่ปี 2010 โดยเชื่อว่า บริษัทมหาชนด้านธุรกิจการเงินการธนาคารของอังกฤษยอมจ่ายสูงถึง 30 ล้านปอนด์ต่อปีเลยทีเดียว

สำหรับสโมสรและสปอนเซอร์แขนเสื้อในฤดูกาล 2017-18 ของทีมอื่นๆประกอบด้วย ไบรท์ตัน – JD, เวสต์ บรอมวิช – 12BET, เวสต์แฮม – MRF Tyres, นิวคาสเซิล – MRF Tyres, บอร์นมัธ – M88, สวอนซี – Barracuda Networks, สโต๊ค – First Eleven, เซาแธมป์ตัน – Virgin Media, เลสตอร์ – Siam Commercial Bank (ธนาคารไทยพาณิชย์), คริสตัล พาเลซ – Dongqiudi, ฮัดเดอรฟิลด – PURE Legal และ วัตฟอร์ด – 138 Bet

มาช้าดีกว่าไม่มา “สเปอร์ส” เพิ่งติดโลโก้สินค้าที่แขนเสื้อต้นปี 2021

อาร์เซนอล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และสเปอร์ส เป็นเพียงสามทีมในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2017-18 ที่ไม่ได้ขายโลโก้บนแขนเสื้อ แต่ซีซั่นต่อมา 2018-19 เหลือเพียงทีมไก่เดือยทองที่ยังติดโลโก้พรีเมียร์ลีกบนแขนเสื้อสองข้าง หลังจากทีมปืนใหญ่เซ็นสัญญากับ Rwanda Development Board ในเดือนพฤษภาคม 2018 เพื่อโปรโมทแคมเปญท่องเที่ยว Visit Rwanda ในซีซั่นแรกของยุคหลังอาร์แซน เวนเกอร์ และทีมปีศาจแดงเซ็นสัญญากับ KOHLER ในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน

กว่าที่ทีมสเปอร์สจะขายสปอนเซอร์แขนเสื้อได้ก็ช้ากว่าทีมอื่นเกือบสี่ปี ซึ่ง ดาเนียล เลวี ประธานสโมสร เคยให้เหตุผลว่าสปอนเซอร์แขนเสื้ออาจจะไปลดมูลค่าของสัญญาสิทธิ์การตั้งชื่อสนามแข่งขัน ซึ่งสำหรับตัวเขาให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก แม้กระทั่งในเดือนกรกฎาคม 2019 ซึ่งสโมสรได้ต่อสัญญากับ AIA Group สปอนเซอร์หลักของเสื้อแข่ง ไปจนสิ้นสุดซีซั่น 2026-27 ซึ่งคาดว่ามีมูลค่ารวมสูงถึง 320 ล้านปอนด์ เลวีก็ยังไม่เอ่ยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับสปอนเซอร์แขนเสื้อ ซึ่งนักวิเคราะห์ด้านการเงินประเมินว่า สเปอร์สขาดรายได้ส่วนนี้ไปถึง 10 ล้านปอนด์ต่อปี เมื่อเทียบกับคู่แข่งร่วมกรุงลอนดอนอย่างเชลซีและอาร์เซนอลที่รับเงินจาก Hyundai 5 ปี 50 ล้านปอนด์ และ Rwanda Development Board 3 ปี 30 ล้านปอนด์ ตามลำดับ

จนกระทั่งต้นเดือนมกราคม 2021 ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ได้จับมือกับ Cinch บริษัทจำหน่ายรถยนต์ทางออนไลน์ ซึ่งจะมาเป็นสปอนเซอร์แขนเสื้อรายแรกของสโมสรเป็นเวลาห้าปี โดยแฟนบอลได้เห็นโลโก้ Cinch เป็นครั้งแรกในการแข่งขันเอฟเอ คัพ กับ มารีน เอเอฟซี ในวันที่ 10 มกราคม 2021

แม้ไม่มีการเปิดเผยตัวเลขเงินของสัญญาแต่เชื่อว่า Cinch คงจ่ายเงินเพื่อแลกสิทธิปรากฎโลโก้บนแขนเสื้อทีมไก่เดือยทองราวปีละ 10 ล้านปอนด์เช่นเดียวกับยักษ์ใหญ่ทีมอื่น ส่วนเหตุผลที่ฝ่ายบริหารของสโมสรตัดสินใจขายพื้นที่บนแขนเสื้อข้างซ้ายให้กับบริษัทจำหน่ายรถยนต์นั้น ผู้สันทัดกรณีฟันธงว่า ไม่มีความซับซ้อนใดๆเพียงเลวีเริ่มตระหนักว่า การเพิ่มช่องทางของรายได้จะช่วยลดช่องว่างทางบัญชีการเงินระหว่างสเปอร์สกับสโมสรชั้นนำของพรีเมียร์ลีกที่ดูเหมือนจะทิ้งห่างพวกเขาออกไปเรื่อยๆ

มีคำกล่าวหนึ่งที่คนในวงการฟุตบอลอาชีพคุ้นเคยดีคือ “เมื่อคุณมีเงิน คุณจะชนะ, คุณไม่สามารถชนะจนกว่าคุณมีเงิน, จากนั้นยิ่งคุณชนะ คุณยิ่งต้องมีเงินเพื่อรักษาชัยชนะนั้นไว้”

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา

Categories
Special Content

ไทโว อโวนิยี่ : เริ่มต้นนับหนึ่ง กับชัยชนะของ “เจ้าป่า” ที่รอคอยมา 23 ปี

น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ หนึ่งในทีมระดับตำนานของวงการฟุตบอลอังกฤษ ต้อนรับกลับคืนสู่พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 23 ปี ด้วยการเสริมทัพนักเตะแบบจัดหนัก จัดเต็ม มากกว่า 10 คน เข้าไปแล้ว

และหนึ่งในดีลสำคัญช่วงซัมเมอร์นี้ คือการดึงตัว ไทโว อโวนิยี่ ที่ไม่เคยลงเล่นทีมชุดใหญ่กับลิเวอร์พูลเลยแม้แต่นัดเดียว มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 17.5 ล้านปอนด์ ทุบสถิตินักเตะค่าตัวแพงสุดในประวัติศาสตร์สโมสร

จนกระทั่ง 14 สิงหาคม 2022 อโวนิยี่เป็นผู้ทำประตูชัย พาฟอเรสต์เฉือนชนะเวสต์แฮม 1 – 0 นับเป็นประตูแรกของเขา และชัยชนะนัดแรกของทีม “เจ้าป่า” ในลีกสูงสุด ที่รอคอยมานานนับตั้งแต่ฤดูกาล 1998/99

SoccerSuck x ไข่มุกดำ จะพาไปทำความรู้จักกับศูนย์หน้าชาวไนจีเรีย ที่เพิ่งฉลองวันเกิดอายุครบเบญจเพส ไปเมื่อเร็วๆ นี้กันครับ

ฉายแววเก่งที่อิมพีเรียล ซอคเกอร์ อคาเดมี่

ครอบครัวของไทโว อโวนิยี่ มีฐานะยากจน พ่อแม่จึงไม่สามารถหาซื้อรองเท้าฟุตบอลให้กับลูกชายได้ ทำให้ไทโวต้องแก้ปัญหาด้วยการนำรองเท้าเก่า ๆ ที่เหลือทิ้งจากกองขยะ มาซ่อมแล้วใช้เป็นของตัวเอง

แต่ความยากลำบาก ก็ไม่อาจฉุดรั้งความฝันของอโวนิยี่ในการเป็นนักฟุตบอล เขาเริ่มต้นฝึกวิชาลูกหนังครั้งแรก กับกวารา ฟุตบอล อคาเดมี่ ซึ่งก่อตั้งโดยบูโกลา ซารากี อดีตผู้ว่าการรัฐกวารา ประเทศไนจีเรีย

ในปี 2010 อโวนิยี่ในวัย 13 ปี ได้เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลเยาวชนของโคคา-โคลา ในกรุงลอนดอน และได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) จนถูกเชิญเข้าร่วมฝึกวิชาลูกหนังกับ อิมพีเรียล ซอคเกอร์ อคาเดมี่

อีก 3 ปีต่อมา อโวนิยี่ ได้ลงเล่นให้กับทีมชาติไนจีเรียชุดเยาวชน เริ่มจากชุดยู-17 (8 นัด 4 ประตู) ต่อด้วยชุดยู-20 (9 นัด 5 ประตู) และชุดยู-23 (7 นัด 2 ประตู) จนได้รับโอกาสให้ติดทีมชาติชุดใหญ่เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2021

ผลงานการยิงประตูในทีมชาติชุดเยาวชนของอโวนิยี่ ทำให้เขาถูกนำไปเปรียบเทียบกับ ราชิดี เยกินี่ เจ้าของสถิติดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของทีมชาติไนจีเรียในช่วงทศวรรษที่ 1980s ถึง 1990s (62 นัด 37ประตู)

ฟอร์มการเล่นของไทโว อโวนิยี่ ในทีมชาติไนจีเรียชุดเยาวชนทุกชุด โดดเด่นมาก จนได้รับโอกาสครั้งสำคัญกับการค้าแข้งในลีกใหญ่ยุโรป เป็นการยุติช่วงเวลา 5 ปี กับอิมพีเรียล ซอคเกอร์ อคาเดมี่ ที่ยอดเยี่ยม

6 ปีในแอนฟิลด์ กับช่วงเวลาที่ไม่เคยเป็นใจ

วันสุดท้ายของตลาดซื้อขายนักเตะช่วงซัมเมอร์ปี 2015 ไทโว อโวนิยี่ ได้เริ่มต้นเส้นทางค้าแข้งระดับอาชีพที่อังกฤษ กับลิเวอร์พูล ในยุคที่แบรนแดน ร็อดเจอร์ส เป็นผู้จัดการทีม ด้วยค่าตัว 400,000ปอนด์

แต่ทว่า เขาไม่สามารถลงเล่นให้กับ “หงส์แดง” ได้ เนื่องจากยังไม่มีใบอนุญาตการทำงานในอังกฤษ (เวิร์ก เพอร์มิต) จึงต้องปล่อยให้สโมสรในต่างแดนยืมตัวไปใช้งาน รวม 7 สโมสร ตลอดระยะเวลา 6 ปี

ขอบคุณภาพ https://web.facebook.com/1.FCUnionBerlin

ซึ่งสโมสรสุดท้ายที่ยืมตัวอโวนิยี่ คือ ยูนิโอน เบอร์ลิน ในฤดูกาล 2020/21 ซึ่งหลังจากจบซีซั่นดังกล่าว อโวนิยี่ได้รับเวิร์ก เพอร์มิต จากรัฐบาลอังกฤษเป็นที่เรียบร้อย โอกาสโชว์ฝีเท้าในเมืองผู้ดี ได้เปิดกว้างแล้ว

ความฝันของอโวนิยี่ที่จะได้ลงเล่นกับลิเวอร์พูล ทำท่าว่าจะเป็นจริง แต่เหมือนโชคชะตาจะไม่เข้าข้างอีกครั้ง เมื่อยูนิโอน เบอร์ลิน ตัดสินใจซื้อตัวไปร่วมทีมแบบถาวรในในซีซั่น 2021/22 ด้วยค่าตัว 6.5 ล้านปอนด์

และในซัมเมอร์นี้ ยูนิโอน เบอร์ลิน ขายอโวนิยี่ไปให้ฟอเรสต์ ด้วยค่าตัว 17.5 ล้านปอนด์ ทำให้สโมสรจากเมืองหลวงของเยอรมันทีมนี้ ต้องแบ่งเงินค่าตัว 10 เปอร์เซ็นต์ให้ลิเวอร์พูล ตามที่ระบุไว้สัญญาเมื่อปี 2021

การแยกทางของอโวนิยี่ ทำให้ลิเวอร์พูลได้รับเงิน 2 ต่อ จากกำไรในการขายนักเตะ 6.1 ล้านปอนด์ บวกกับส่วนแบ่งค่าตัวที่ได้จากยูนิโอน เบอร์ลิน อีก 1.75 ล้านปอนด์ รวมทั้งสิ้น 7.85 ล้านปอนด์

ไทโว อโวนิยี่ ไม่มีโอกาสได้สัมผัสพื้นหญ้าที่สนามแอนฟิลด์กับทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลเลยแม้แต่เกมเดียว แต่ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป กับต้นสังกัดใหม่ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นพรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบกว่า 2 ทศวรรษ

ปลดล็อกประตูแรก สู่ชัยชนะที่รอคอยมานาน

เมื่อพูดถึงน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ก็ถือเป็นสโมสรที่เคยสร้างความรุ่งเรืองในช่วงปลายยุค 1970s ด้วยการคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ 2 สมัยติดต่อกัน มากกว่าแชมป์ลีกสูงสุด ที่ได้เพียงครั้งเดียวเสียอีก

และฟอเรสต์ ก็เป็น 1 ใน 22 ทีม ที่ร่วมก่อตั้ง “พรีเมียร์ลีก” ในฤดูกาล 1992/93 แม้จะเปิดซีซั่นด้วยการเอาชนะลิเวอร์พูล 1 – 0 แต่ท้ายที่สุด พวกเขาก็ตกชั้นจากลีกสูงสุดโฉมใหม่ ตั้งแต่ซีซั่นแรก

หลังจากนั้น ฟอเรสต์ก็กลายเป็น “โย-โย่ ทีม” ขึ้น ๆ ลง ๆ หาความสม่ำเสมอไม่ได้เลย จนมาถึงฤดูกาล 1998/99 คือฤดูกาลสุดท้ายของพวกเขาในลีกสูงสุด และไม่เคยกลับไปอยู่ในจุดนั้นอีกเลย

กระทั่งสตีฟ คูเปอร์ อดีตกุนซือสวอนซี ที่เข้ามาคุมทีมแทนคริส ฮิวจ์ตัน ช่วงต้นซีซั่น 2021/22 และกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่พาฟอเรสต์ ชนะเพลย์ออฟ เลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1999

ฟอเรสต์ เริ่มต้นซีซั่นใหม่ด้วยการแพ้นิวคาสเซิล 0 – 2 ไทโว อโวนิยี่ ลงเป็นตัวสำรอง และเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ดาวเตะวัย 25 ปี ประเดิมตัวจริงเป็นนัดแรก ในนัดเปิดบ้านเฉือนชนะเวสต์แฮม 1 – 0

ลูกยิงของอโวนิยี่ ในช่วงทดเจ็บครึ่งแรก แม้ว่าจะเป็นจังหวะที่มาแบบไม่ตั้งใจในระยะเผาขน แต่กลายเป็นประตูสุดล้ำค่า ที่ช่วยให้ “เจ้าป่า” เก็บชัยชนะเป็นนัดแรก ในการคัมแบ็กสู่ลีกสูงสุดที่ห่างหายไปนาน

อโวนิยี่ กล่าวว่า “ผมใช้เวลาอยู่นานในการกลับสู่พรีเมียร์ลีก เป็นความฝันของผมที่ยิงประตูได้ และทำให้ทีมชนะ ในฐานะกองหน้า ต้องพร้อมอยู่เสมอเวลาอยู่รอบๆ ประตู ไม่ว่าจะเป็นตัวจริงหรือตัวสำรอง”

ประตูแรกของไทโว อโวนิยี่ ถือเป็นจุดเริ่มที่ดีของน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ แต่อีก 36 นัดที่เหลือของฤดูกาล ยังคงต้องเจอกับบททดสอบที่โหดหินอีกมาก เพื่อเอาตัวรอดในสมรภูมิพรีเมียร์ลีกให้ได้

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://www.skysports.com/football/news/11095/12671455/taiwo-awoniyi-from-sewing-his-own-football-boots-through-seven-liverpool-loans-to-nottingham-forest

https://theathletic.com/3373758/2022/06/25/nottingham-forest-taiwo-awoniyi-liverpool/

https://firsttimefinish.co.uk/2021/01/12/story-taiwo-awoniyi-nigerian-liverpools-doorstep/

Categories
Special Content

ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ : เพชรเม็ดงามจากนอกลีก ว่าที่ “นิว คูตินโญ่” คนต่อไป ?

ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ คือนักเตะใหม่คนแรก ที่ลิเวอร์พูลเสริมเข้ามาในช่วงซัมเมอร์นี้ หลังจากจบภารกิจในการพาฟูแล่ม เลื่อนชั้นขึ้นสู่พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2022/23

และในนัดเปิดซีซั่นใหม่ที่จะเริ่มต้นขึ้นในสัปดาห์นี้ “หงส์แดง” มีโปรแกรมออกไปเยือนที่คราเวน ค็อทเทจ นั่นหมายความว่า มิดฟิลด์ดาวรุ่งวัย 20 ปีรายนี้ มีโอกาสเผชิญหน้ากับทีมเก่า

วันนี้ SoccerSuck x ไข่มุกดำ จะพาไปทำความรู้จักอดีตแข้งเยาวชนของ “เจ้าสัวน้อย” กับเส้นทางสู่การเป็นนักฟุตบอลของเขากันครับ

ประสบการณ์เฉียดตายในวัยเด็ก

ในวัยเด็ก ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ มีความสนใจในการเล่นฟุตบอลเป็นอย่างมาก แต่อุปสรรคสำคัญคือ พ่อแม่ห้ามไม่ให้ออกจากบ้าน เนื่องจากบ้านตั้งอยู่ใกล้กับถนน ซึ่งมีความเสี่ยงมาก ๆ ที่จะเกิดอันตราย

แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเล่นฟุตบอลให้ได้ เจ้าหนูคาร์วัลโญ่ได้อาศัยช่วงที่ทุกคนในครอบครัวออกจากบ้านทั้งหมด รอเวลาสักครู่ แล้วเขาค่อยออกจากบ้านไปข้ามถนน เพื่อไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ใกล้บ้าน

ซึ่งเพื่อนบ้านคนหนึ่ง ได้เห็นเจ้าหนูคาร์วัลโญ่วิ่งข้ามถนน จึงออกมาเตือนว่าไม่ให้ทำแบบนี้อีก แต่เขาไม่ฟังคำเตือนจากเพื่อนบ้านคนนั้นเลย แล้ววันต่อ ๆ มา ก็ข้ามถนนเพื่อไปสวนสาธารณะอีก

ความคลั่งไคล้ในกีฬาลูกหนังของเจ้าหนูคาร์วัลโญ่ ทำให้เขาเกือบถูกรถบรรทุกชน เพื่อนบ้านจึงไปบอกให้ครอบครัวของเขาได้ทราบ ครอบครัวรู้สึกเป็นห่วงชีวิตของลูกชายมาก

อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์เฉียดตายในครั้งนั้น ก็ไม่อาจฉุดรั้งความฝันของคาร์วัลโญ่ และได้เริ่มต้นฝึกวิชาฟุตบอลกับอคาเดมี่ของเบนฟิก้า ทีมยักษ์ใหญ่ในบ้านเกิดของเขา เมื่ออายุ 7 ขวบ

จนกระทั่งในปี 2013 เมื่อคาร์วัลโญ่อายุได้ 11 ขวบ โปรตุเกสประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศ ทำให้ครอบครัวของเขา ได้ตัดสินใจย้ายไปอาศัยอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

เข้าตาสโมสรระดับนอกลีกในลอนดอน

เมื่อฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ เข้ามาที่ลอนดอน พร้อมพกความฝันในการเป็นนักฟุตบอล คุณแม่ของเขาได้พาไปที่สนามซ้อมของสโมสรบัลแฮม ทีมนอกลีกอาชีพ และได้พบกับเคร็ก ครัทเวลล์ ประธานสโมสร

ครัทเวลล์ กล่าวว่า “ฟาบิโอและคุณแม่ เพิ่งมาอยู่ลอนดอนได้ไม่นาน และคุณแม่กำลังมองหาทีมฟุตบอลให้ลูกชาย พอดีว่าทั้งคู่ได้มาที่สนามซ้อมของเรา ตอนนั้นผมกำลังดูนักเตะชุด ยู-11 ลงซ้อมอยู่”

“ในช่วง 30 วินาทีแรกของการซ้อม สต๊าฟฟ์ได้เปิดบอลระยะ 30 หลาไปให้ฟาบิโอ สิ่งที่เขาทำคือ เปิดบอลกลับคืนได้อย่างแม่นยำ ผมและโค้ชคนอื่น ๆ ต่างมองหน้ากัน ก่อนที่ผมจะตอบว่า โอเค!”

และเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนต้องทึ่งในความสามารถของคาร์วัลโญ่ เป็นการแข่งขันฟุตบอล 6 คน ที่เมืองกิลด์ฟอร์ด เขาได้โชว์การทำ “ราโบนา” (Rabona) หรือการเปิดบอลแบบไขว้จากริมเส้น

ครัทเวลล์ กล่าวต่อว่า “สิ่งที่ผมได้เห็นจากตรงหน้า คือการไชว้บอลจากริมเส้น และโชว์ลูกเล่นสารพัด ซึ่งก่อนหน้านี้ผมได้รับการติดต่อจากฟูแล่มแล้ว แต่หลังจากนั้นสโมสรยักษ์ใหญ่ก็ติดต่อเข้ามา”

“เขามีคลาสฟุตบอลที่เหนือกว่าคนอื่นๆ แน่นอนว่าเขามีความทะเยอทะยาน แต่ยังถ่อมตัว ไม่เคยมองว่าตัวเองอยู่สูงกว่าคนอื่น ไม่เคยพูดโอ้อวดว่า ฉันจะไปเล่นพรีเมียร์ลีกให้ได้ อะไรประมาณนั้น”

หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ในท้ายที่สุด ครัทเวลล์ ประธานสโมสร และเปโดร โซอาเรส โค้ชผู้รักษาประตูของบัลแฮม ช่วยกันผลักดันให้คาร์วัลโญ่ ย้ายไปอยู่กับอคาเดมี่ของฟูแล่ม

“สโมสรใหญ่ต่างหยิบยกเหตุผลดีๆ มากมายเพื่อล่อใจ แต่ครอบครัวของเขามองว่า ไม่ได้ยึดติดกับการที่เขาต้องเป็นนักเตะดาวดัง ฟูแล่มคือสโมสรที่ใช่สำหรับเขาแล้ว” ครัทเวลล์ กล่าวปิดท้าย

แจ้งเกิดกับฟูแล่ม ช่วยคว้าแชมป์ลีกรอง

หลังจากใช้เวลา 2 ปี กับทีมนอกลีกอย่างบัลแฮม ในปี 2015 ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ ก็ได้ก้าวสู่สโมสรที่ใหญ่กว่าอย่างฟูแล่ม ซึ่งเป็นสโมสรที่ขึ้นชื่อเรื่องปั้นนักเตะเยาวชนระดับต้น ๆ ของวงการฟุตบอลอังกฤษ

ซึ่งก่อนหน้านี้ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ มิดฟิลด์ดาวรุ่งของลิเวอร์พูล ก็เคยอยู่กับอคาเดมี่ของฟูแล่มมาแล้ว ก่อนที่จะย้ายเข้าสู่ถิ่นแอนฟิลด์ เมื่อปี 2019 (เคยถูกแบล็กเบิร์น โรเวร์ส ยืมตัวไปใช้งาน 1 ซีซั่น)

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/FulhamFC

ช่วงเวลา 5 ปี ที่อยู่กับอคาเดมี่ของฟูแล่ม คาร์วัลโญ่มีพัฒนาการที่ดีขึ้นตามลำดับ จนได้ขึ้นมาอยู่ในทีมชุด ยู-18 ในปี 2018 ทำได้ 17 ประตู จาก 43 นัด และต่อด้วยทีมชุดสำรอง 39 นัด ยิง 16 ประตู

ฤดูกาล 2020/21 คาร์วัลโญ่ในวัย 18 ปี ได้รับสัญญานักเตะระดับอาชีพเป็นครั้งแรกกับฟูแล่ม และได้โอกาสลงเล่นในทีมชุดใหญ่ 6 นัด รวมทุกรายการ แต่ต้นสังกัดของเขา มีอันต้องตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก

อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาลถัดมา ถือเป็นซีซั่นที่แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวของคาร์วัลโญ่ เมื่อยิงไป 10 ประตู 8 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 36 นัด ช่วยให้ “เจ้าสัวน้อย” เสื่อนชั้นขึ้นสู่พรีเมียร์ลีก ในฐานะแชมป์ลีกรอง

นอกจากนี้ คาร์วัลโญ่ยังทำ 1 ประตู ในเกมเอฟเอ คัพ รอบ 4 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา แม้ท้ายที่สุด ฟูแล่มจะถูกแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถล่ม 4 – 1 แต่อย่างน้อย เขาก็มีชื่อเป็นผู้ยิงประตูใส่ยอดทีมอย่าง “เรือใบสีฟ้า”

คาร์วัลโญ่ เป็นนักเตะดาวรุ่งอายุย่างเข้าเลข 2 ที่มีทั้งพรสวรรค์และพรแสวง ทำให้หลายสโมสรในพรีเมียร์ลีกต่างจ้องที่จะล่าตัวมาให้ได้ และเป็นลิเวอร์พูล ที่ไม่ปล่อยให้เพชรเม็ดงามหลุดมือไป

แล้วตัวเขา จะให้อะไรกับลิเวอร์พูล ?

ที่จริงแล้ว ลิเวอร์พูลจะปิดดีลฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ ได้ตั้งแต่ช่วงตลาดนักเตะเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่ไม่สามารถดำเนินการให้ทันวันเส้นตาย อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้เป็นนักเตะใหม่ของ “หงส์แดง” ในท้ายที่สุด

สไตล์การเล่นของคาร์วัลโญ่ จะมีบทบาทคล้ายกับฟิลิปเป้ คูตินโญ่ คือเป็นมิดฟิลด์ตัวรุก หรือเพลย์เมกเกอร์หมายเลข 10 ที่มีไอเดียในการสร้างสรรค์เกม อีกทั้งมีสกิลในการครองบอล และเลี้ยงบอลที่ยอดเยี่ยม

พื้นที่ที่คาร์วัลโญ่โปรดปรานเป็นพิเศษคือ การเล่นบอลบริเวณหน้ากรอบเขตโทษ อาจจ่ายบอลแบบสั้น ๆ ให้เพื่อน ก่อนวิ่งเข้าเขตโทษเพื่อรอรับบอล เมื่อเข้าเขตโทษก็เลือกที่จะส่งให้เพื่อน หรือลุ้นยิงประตูในทันที

นอกจากจะเป็นเพลย์เมกเกอร์ หรือกองหน้าตัวต่ำในระบบ 4-2-3-1 คาร์วัลโญ่ ยังเป็นนักเตะที่สามารถโยกไปเล่นเป็นตัวริมเส้นฝั่งซ้ายในระบบ 4-3-3 ซึ่งเป็นแผนการเล่นหลักของเจอร์เก้น คล็อปป์

แต่ด้วยอายุที่ยังน้อย คาร์วัลโญ่จึงถูกวางตัวในการสร้างทีมสำหรับแผงกองกลางรุ่นใหม่ของลิเวอร์พูลในอนาคต เพื่อเข้ามาทดแทนมิดฟิลด์รุ่นพี่บางคน ที่กำลังจะเข้าสู่ช่วงบั้นปลายอาชีพกันแล้ว

ยังเร็วเกินไปที่จะพูดว่าฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ จะก้าวขึ้นมาเป็น “นิว คูตินโญ่” แต่ด้วยสายตาอันแหลมคมในการดึงนักเตะของเจอร์เก้น คล็อปป์ ก็อาจจะมีเซอร์ไพรส์ที่ทำให้ “เดอะ ค็อป” คาดไม่ถึงก็เป็นได้

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://www.bbc.com/sport/football/61654325

https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-10846023/Fabio-Carvalho-tipped-thrive-Liverpools-superstars-starting-career-ninth-tier.html

https://theathletic.com/3251727/2022/04/24/what-fabio-carvalho-will-bring-to-liverpool/

https://lifebogger.com/fabio-carvalho-childhood-biography-story-facts/

Categories
Column

การกลับมาของ “เชซุส” จอมกระซวกตาข่ายใบหน้าเปื้อนยิ้ม

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (30 ก.ค.2022) สปอตไลท์ถูกส่องไปที่คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม สนามแข่งขันเอฟเอ คอมมูนิตี ชิลด์ ครั้งที่ 100 เพื่อจับฟอร์มของสองสตาร์กองหน้าที่เพิ่งย้ายเข้ามาพรีเมียร์ลีกด้วยราคาแพงและตกเป็นข่าวดัง เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ กับ ดาร์วิน นูนเญซ แต่วันเดียวกัน กาเบรียล เชซุส กองหน้าที่ย้ายทีมในตลาดรอบเดียวกันด้วยค่าตัว 45 ล้านปอนด์ ลงเล่นในบ้านใหม่ เอมิเรตส์ สเตเดียม เป็นครั้งแรก และสามารถระเบิดฟอร์มทำแฮททริกต่อหน้ากองเชียร์อาร์เซนอล

เชซุส กองหน้าทีมชาติบราซิลวัย 25 ปี ส่งลูกหนังซุกก้นตาข่ายในนาทีที่ 13, 15 และ 77 ช่วยให้อาร์เซนอลถลุงเซบีญา ทีมอันดับ 4 ลาลีกา 6-0 ครองแชมป์รายการเอมิเรตส์ คัพ นั่นทำให้รวมแล้ว เชซุสทำไป 7 ประตูจาก 5 นัดอุ่นเครื่องปรีซีซัน ซึ่งอาร์เซนอลชนะร้อยเปอร์เซ็นต์ เนิร์นแบร์ก 5-3, เอฟเวอร์ตัน 2-0, ออร์แลนโด ซิตี 3-1, เชลซี 4-0 และเซบีญา 6-0

อาร์เซนอล ทุ่มเงิน 45 ล้านปอนด์ซื้อเชซุส ซึ่งค้าแข้งห้าปีครึ่งกับแมนฯ ซิตี หลังย้ายมาจากพัลไมรัสในเดือนมกราคม 2017เพื่อมาทดแทนสองกองหน้าคนสำคัญ ปีแยร์-แอเมริก โอบาเมย็อง และ อาแล็กซ็องดร์ ลากาแซ็ต ซึ่งย้ายไปร่วมทีมบาร์เซโลนาและลียง ทีมปืนใหญ่ได้มอบเสื้อเบอร์ 9 ให้กับเชซุส ซึ่งสามารถทำประตูหลังถูกเปลี่ยนลงสนามเพียง 90 วินาทีของนัดแรกในสีเสื้อเดอะ กันเนอร์ส ที่ประเทศเยอรมนี

เชซุส ให้สัมภาษณ์กับชีวิตใหม่ในกรุงลอนดอนว่า “ผมเคยคิด (เรื่องย้ายออกจากแมนฯ ซิตี) ได้สัก 1-2 ปีแล้ว การย้ายมาอยู่ที่อาร์เซนอลถือเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมา”

“ผมอยากเล่นฟุตบอลโดยมีรอยยิ้มบนใบหน้าอีกครั้ง คุณแม่ได้โทรศัพท์มาหาผมหลังดูการแข่งขันของเรา (พบออร์แลนโด) ท่านพูดว่า แม่เห็นลูกเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ลูกกำลังเล่นฟุตบอลด้วยความสุขอีกครั้ง ผมตื้นตันใจมากที่ได้ยินแบบนั้น”

“ทุกคนในสโมสรให้การต้อนรับผมเป็นอย่างดี ผมอายุมากกว่านักเตะส่วนใหญ่ประมาณ 2-3 ปี แต่พวกเขามองผมเป็นผู้เล่นที่ผ่านประสบการณ์มามาก ผมชอบนะ ผมชอบที่จะเป็นต้นแบบให้กับนักฟุตบอลคนอื่น”

“เอดู” ต้องการ “เชซุส” คนก่อนหน้าฤดูกาล 2021-22

เอดู ผู้อำนวยการด้านฟุตบอลของอาร์เซนอล ซึ่งเข้ามาทำงานที่ถิ่นเอมิเรตส์ในเดือนกรกฎาคม 2019 อยู่เบื้องหลังการดึงตัวเชซุสมาจากแมนฯ ซิตี เขาคุ้นเคยเชซุสเมื่อครั้งทำหน้าที่ประสานงานทั่วไปให้กับทีมชาติบราซิลระหว่างปี 2016 – 2019

“ผมทำงานกับกาเบรียลที่ทีมชาติบราซิล ผมรู้จักทั้งเขาและทุกคนในครอบครัวของเขา นั่นทำให้ผมตัดสินใจไปคุยกับครอบครัวเขาด้วย มีเรื่องหนึ่งที่ผมพูดกับเขาและเอเยนต์ชอบมาก ผมบอกว่า กาเบรียล…ผมมาที่นี่ (แมนเชสเตอร์) และพยายามเซ็นสัญญากับคุณ แต่ไม่ใช่กาเบรียลจากซีซั่นนี้ (ฤดูกาล 2021-22) แต่เป็นกาเบรียลจากซีซั่นอื่นเพราะซีซั่นนี้ คุณไม่ได้เล่นอย่างที่ผมเคยรู้จัก คุณสูญเสียแสงที่เคยเปล่งประกาย ตอนที่เห็นคุณในซีซั่นนี้มันไม่ใช่ตัวคุณอย่างที่เคยเป็น ซึ่งผมรู้จักคุณเป็นอย่างดี ผมต้องการกาเบรียลคนก่อนหน้านี้ และคุณจะต้องกลับมาเป็นกาเบรียลคนเดิม

“เขามองผมแล้วพูดว่า คุณพูดถูก” ผู้บริหารวัย 44 ปี ชาวบราซิล กล่าวทิ้งท้ายถึงเชซุส ซึ่งกลับมาเป็นนักเตะคนเดิมที่เล่นด้วยความสุขอีกครั้ง

“โอเดการ์ด” เป็นนักเตะที่ช่วยงัดฟอร์มเก่งของ “เชซุส” คืนมา

มิเกล อาร์เตตา ผู้จัดการทีมวัย 40 ปี ให้ความเห็นว่า มาร์ติน โอเดการ์ด กัปตันทีมคนใหม่ของอาร์เซนอล มีส่วนสำคัญช่วยยกระดับการเล่นของเชซุสให้สูงขึ้นทั้งที่เพิ่งเข้าร่วมทีมได้ไม่นาน

“มาร์ตินเป็นคนช่วยให้แก๊บบีดีขึ้น มาร์ตินจำเป็นต้องมีตัวอันตรายอยู่ข้างหน้าเพราะเขาเป็นผู้เล่นที่ต้องจ่ายบอลสุดท้ายไม่จังหวะใดก็จังหวะหนึ่งไม่ว่ากำลังอยู่ในพื้นที่เปิดหรือไม่ ที่ผ่านมาเรามองหาคนที่จะเข้ามาพัฒนาทีมด้วยสิ่งที่เราไม่เคยมีมาก่อน และตอนนี้การเชื่อมโยงระหว่างมาร์ตินและแก๊บบีได้เกิดขึ้นแล้ว”

อิดริส เอลบา นักแสดงดังที่รับบทไฮม์ดัลล์ในหนังแฟรนไชส์เรื่อง ธอร์ และ อเวนเจอร์ส ซึ่งเป็นสมาชิก “กูเนอร์ส” นานหลายปี ให้ความเห็นถึงนักเตะเบอร์ 9 คนใหม่ของอาร์เซนอลว่า เชซุสเป็นผู้เล่นที่เข้ามาเพิ่มเติมเสน่ห์ความเร้าใจให้กับอาร์เซนอลที่เล่นบอลได้สนุกตื่นเต้นมากขึ้น

“การเซ็นสัญญา (กับเชซุส) จะเพิ่มเติมความเซ็กซี่และความเร้าใจให้กับทีม เขาเป็นกองหน้าที่สามารถอธิบายคุณค่าด้วยเบอร์เสื้อของตัวเอง ผมเชื่อว่าสิ่งนี้จะทำให้นักเตะคนอื่นๆมีความมั่นใจเพิ่มขึ้น”

“ผมยังคิดว่าฤดูก่อน เราเป็นทีมที่แข็งแกร่ง การพลักดันช่วงควอเตอร์สุดท้ายของซีซั่นสร้างความตื่นเต้นมากเพียงแต่เราไม่ได้จบด้วยอันดับที่ต้องการ แต่ผมยังเป็นกูเนอร์ร้อยเปอร์เซ็นต์”

“เชซุส” เพิ่มทางเลือกและการยืดหยุ่นให้กับเกมบุก “อาร์เซนอล”

นอกจากเชซุสแล้วยังมีนักเตะใหม่อีกสองคนที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงทีมอาร์เซนอลอย่างมีนัยยะคือ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโกแบ็คซ้ายราคา 30 ล้านปอนด์จากแมนฯ ซิตี และ ฟาบิโอ วิเอรา มิดฟิลด์ตัวรุกวัย 30 ปีจากปอร์โต

เชซุสเล่นได้ทั้งศูนย์หน้าตัวเป้าและกองหน้าริมเส้น ซินเชนโกไม่เพียงรับหน้าที่แบ็คและวิงแบ็คแต่เป็นมิดฟิลด์ตัวรุกและกลางสนาม วิเอราสามารถลงทุกตำแหน่งในแดนกลาง ทั้งสามช่วยเพิ่มอ็อปชั่นและความยืดหยุ่นให้กับการวางหมากเกมของอาร์เตตา

สมัยสวมเสื้อแมนฯ ซิตี เป๊ป กวาร์ดิโอลา กำกับเชซุสให้เล่นกองหน้าด้านข้างหรือฟอลส์ไนน์แม้ตำแหน่งที่ถนัดของเขาคือศูนย์หน้าตัวเป้า แต่เมื่อย้ายมาสวมเสื้ออาร์เซนอล อาร์เตตามีแผนให้เชซุสเล่นบทบาทเบอร์ 9 แต่กองหน้าทีมชาติบราซิลสามารถถอยลงต่ำหรือเคลื่อนที่ไปด้านข้างเพื่อรับบอลและเพิ่มมิติให้กับเกมรุกของทีมปืนใหญ่

ตัวอย่างเกมชนะเซบียา อาร์เตตาใช้แผน 3-4-1-2 ให้เชซุสยืนกองหน้าคู่กับ กาเบรียล มาร์ติเนลลี หรือเกมที่ถลุงเชลซี กุนซือสเปนเปลี่ยนเป็นฟอร์แมท 4-2-3-1 โดยมีเชซุสยืนตำแหน่งหัวหอก หรือบางจังหวะที่ใช้ระบบ 4-3-3 เชซุสสามารถลงต่ำจากฟรอนท์ไลน์และสร้างพื้นที่ให้โอเดการ์ดหรือซากาเข้าโจมตีทะลุทะลวง

ด้วยวัย 25 ปี เชซุสมีเทคนิคแพรวพราว เป็นตัวอันตรายในกรอบเขตโทษ สามารถเล่นบอลขณะหันหลังให้ประตู เคลื่อนไหวเพื่อดึงตัวประกบ และมองหาพื้นที่ว่างเพื่อรับบอล

เกมอุ่นเครื่องปรีซีซัน 5 นัดเป็นเพียงออเดิร์ฟเรียกน้ำย่อยของบรรดาเดอะ กูเนอร์ส เชซุสจะเริ่มเสิร์ฟอาหารจานหลักที่เอร็ดอร่อยตั้งแต่วันศุกร์นี้ (5 ส.ค.2022) ซึ่งอาร์เซนอลจะออกไปเปิดฤดูกาลใหม่ของพรีเมียร์ลีกที่สนามของคริสตัล พาเลซ

Categories
Column

ทีมรวมดาราพรีเมียร์ลีก “ย้ายทีมสุดคุ้ม? ตลาดซัมเมอร์ 2022”

ตลาดนักเตะซัมเมอร์ปีนี้ผ่านไปแล้วเกือบสองเดือน พรีเมียร์ลีกมีการเซ็นสัญญาย้ายทีมที่น่าสนใจหลายคนโดยเฉพาะกองหน้านำโดยผู้เล่นไฮโปรไฟล์อย่าง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ และไฮไพรซ์อย่างดาร์วิน นูนเญซ ซึ่งทำลายสถิตินักเตะค่าตัวแพงที่สุดของลิเวอร์พูล รวมถึงตัวท็อปของลีก ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, กาเบรียล เชซุส, ริชาร์ลิซอน, จิอันลูกา สกามัคกา ที่ข้ามฟากมาจากเซเรีย อา หรือตัวเก๋าที่คัมแบ็คเมืองผู้ดีอย่างเป็นทางการ ฟิลิเป คูตินโญ เป็นต้น

หากให้จัดทีม Best Transfers XI หรือรวมดาราผู้เล่นที่ย้ายทีมในตลาดรอบนี้ (แม้ยังไม่ปิดทำการ) คงเป็นโจทย์ที่ต้องใช้จินตนาการสูงเพราะฤดกาลใหม่ยังไม่เริ่มทำการแข่งขัน คงต้องพิจารณาจากฟอร์มอุ่นเครื่องปรีซีซัน และอิทธิพลทางบวกที่คาดว่าจะมีต่อต้นสังกัดใหม่ว่ามีแววเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพียงไหน

เริ่มที่สามประสานแนวรุกในระบบ 4-3-3 ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการเล่นยอดนิยมยุคปัจจุบัน ตำแหน่งศูนย์หน้าตัวเป้าควรตกเป็นของ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ที่ราคาก้อนแรกยังไม่รวมโบนัสแอดออนที่แมนฯ ซิตี้ จ่ายไปให้โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ตกเพียง 51ล้านปอนด์สำหรับว่าที่ซูเปอร์สตาร์แห่งทศวรรษ 2020 แถมยังเป็นผู้เล่นเบอร์ 9 ตัวจริงเสียงจริงที่เป๊ป กวาร์ดิโอลา เฝ้ารอนานหนึ่งปีเต็มหลังล่าลายเซ็นของแฮร์รี เคน ไม่สำเร็จ

กองหน้าตัวซ้ายได้แก่ กาเบรียล เชซุส ที่ย้ายจากแมนฯซิตีด้วยค่าตัว 45 ล้านปอนด์ สามารถสร้างอิมแพ็คให้กับแนวรุกทีมอาร์เซนอล เขาส่งลูกหนังซุกก้นตาข่ายไปแล้ว 4 ประตูจากการอุ่นเครื่อง 3 นัด อีกทั้งเป็นหนึ่งตัวเต็งที่จะครอบครอง “โกลเดน บู๊ท” ในฐานะดาวซัลโวสูงสุดของพรีเมียร์ลีก

กองหน้าตัวขวาได้แก่ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง สตาร์กองหน้าอีกคนหนึ่งที่ย้ายออกจากถิ่นเอติฮัด และเพิ่มเงินเข้ากองคลังแมนฯซิตี สูงถึง 50 ล้านปอนด์ ปีกทีมชาติอังกฤษไม่ได้รับโอกาสมากนักในซีซันที่ผ่านมาแต่ก็ไม่เคยทำให้กวาร์ดิโอลาผิดหวังทุกครั้งส่งลงสนาม รวมถึงนัดปิดซีซั่นที่ทำแอสซิสต์ประตูแรกช่วยตีไข่แตกให้ทีมเรือใบสีฟ้า ซึ่งแซงชนะแอสตัน วิลลา 3-2 คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างระทึกใจ เชื่อได้ว่าสเตอร์ลิ่งจะช่วยเพิ่มมิติและทางเลือกให้กับทีมเชลซีของโธมัส ทูเคิล อย่างแน่นอน พร้อมเป็นอีกคนที่มีลุ้นรองเท้าทองคำ

มาถึงกองกลาง คัลวิน ฟิลลิปส์ มิดฟิลด์เนื้อหอมที่แมนฯ ซิตี จีบสำเร็จและจ่ายเงินให้ลีดส์ ยูไนเต็ด ไป 42 ล้านปอนด์ เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับทีมรวมดารา แต่เมื่อชั่งน้ำหนักผลตอบแทนแล้ว อีฟส์ บิสซูมา ที่ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ซื้อจากไบรท์ตันในราคา 26 ล้านปอนด์ น่าจะสร้างความพึงพอใจอย่างมากแก่อันโตนิโอ คอนเต

ขนาบข้างด้านขวาของบิสซูมาคือ คริสเตียน อีริคเซน ที่แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ตัวมาฟรีๆ เอริค เทน ฮาก คงปวดหัวที่จะตัดสินใจเลือกบทบาทไหนให้มิดฟิลด์เวิลด์คลาสรายนี้ที่เล่นได้ทั้งเบอร์สิบ เบอร์แปด และมิดฟิลด์ริมเส้น เช่นเดียวกับ ลิซานโดร มาร์ติเนซ เซ็นเตอร์แบ็คร่วมทีมปีศาจแดงที่ย้ายจากอาแจ็กซ์ในราคา 46 ล้านปอนด์ เพราะ “นักเชือดแห่งอัมสเตอร์ดัม” สามารถเล่นได้ถึงสี่ตำแหน่ง

มิดฟิลด์ด้านซ้ายคือ โจ อารีโบ ของเซาแธมป์ตัน สตาร์ทีมชาติไนจีเรียที่ย้ายมาจากเรนเจอร์สในสกอตติช พรีเมียร์ชิพ เขาจะช่วยยกระดับการต่อสู้ในแดนกลางกับคู่แข่งอีก 19 ทีมในพรีเมียร์ลีกของทีมนักบุญแดนใต้ได้อย่างแน่นอน

สำหรับปราการหลังคู่กลาง มาร์ติเนซยืนฝั่งซ้าย และเป็นเซ็นเตอร์แบ็คถนัดซ้ายที่ทีมปีศาจแดงตามหามานาน ฝั่งขวาของทีมรวมดาราตกเป็นของ คาลิดู คูลิบาลีย์ กำแพงเหล็กทีมชาติเซเนกัลจากนาโปลีที่หลายสโมสรชั้นนำหมายปองในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และเป็นทีมเชลซีที่ได้ลายเซ็นไปในที่สุด การมาของคูลิบาลีย์ช่วยให้ทูเคิลคลายความกดดันที่เสียอันโตนิโอ รูดิเกอร์ และอันเดรียส คริสเตนเซน ไปได้มาก

อาร์เซนอลเป็นทีมหนึ่งที่เสริมทีมได้น่าจับตา นอกเหนือเชซุส ทีมปืนใหญ่ยังได้ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก จากแมนฯซิตี แบ็คซ้ายทีมชาติยูเครนไม่เพียงมาแทน คีแรน เทียร์นีย์ ซึ่งระยะหลังมีปัญหาบาดเจ็บ แต่เขายังสามารถเล่นวิงแบ็คและมิดฟิลด์ตัวรุกได้อีกด้วย

ในบรรดาสมาชิกใหม่ของสเปอร์ส ริชาร์ลิซอน มีค่าตัวแพงที่สุดคือ 60 ล้านปอนด์ กองหน้าบราซิลเก่งแน่นอนแต่คงสร้างอิมแพ็คให้กับทีมไก่เดือยทองน้อยกว่า ดีเจค สเปนซ์ ถ้านำค่าตัวเข้ามาชั่งน้ำหนักด้วย แบ็คขวาวัย 21 ปีของมิดเดิลสโบรห์ ที่ถูกปล่อยยืมและช่วยให้ฟอเรสต์เลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่พรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบ 23 ปี เป็นการลงทุนมูลค่าเพียง 20 ล้านปอนด์ที่สร้างกำไรให้สเปอร์สแน่นอน

มาถึงตำแหน่งสุดท้าย ผู้รักษาประตู ทีมมหาเศรษฐีใหม่อย่างนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด จ่ายเงินให้เบิร์นลีย์เพื่อแลกกับ นิค โป๊ปนายทวารทีมชาติอังกฤษ เพียง 10 ล้านปอนด์เท่านั้น

สรุปทีมรวมดารา Best Transfers XI ประจำตลาดซัมเมอร์ปี 2022

ผู้รักษาประตู : นิค โป๊ป

กองหลัง : ดีเจด สเปนซ์, คาลิดู คูลิบาลีย์, ลิซานโดร มาร์ตินเนซ, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก

กองกลาง : คริสเตียน อีริคเซน, อีฟส์ บิสซูมา, โจ อารีโบ

กองหน้า : ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, เออร์ลิ่ง ฮาลันด์, กาเบรียล เชซุส

Categories
Special Content

หวังน้อยได้ไง? “หงส์” กับขุมกำลังที่แข็งแกร่งเพียบพร้อมกว่าเดิม

ถึงแม้เยอร์เกน คล็อปป์ จะถ่อมตัวยกให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นทีมเต็งแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2022-23 และยอมรับว่าการช่วงชิงโควต้าแชมเปี้ยนส์ลีกเป็นภารกิจที่ยากลำบากขึ้น แต่กูรูลูกหนังยังมองว่า ขุมกำลังตอนนี้ของลิเวอร์พูลแข็งแกร่งและเพียบพร้อมกว่าเดิม

แม้ยังเหลือเวลาร่วมเดือนก่อนที่ตลาดซื้อขายรอบนี้จะปิดทำการ แต่ภารกิจของลิเวอร์พูลจบลงแล้วหลังจากได้นักเตะครบสามคนตามเป้าหมายได้แก่ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ แนวรุกดาวรุ่งจากฟูแล่ม, ดาร์วิน นูนเญซ กองหน้าค่าตัวแพงจากเบนฟิกา และ คัลวิน แรมเซย์  แบ็คขวาอนาคตไกลจากอเบอร์ดีน เยอร์เกน คล็อปป์ กล่าวกับนักข่าวว่ามีสองเงื่อนไขเท่านั้นที่ทำให้ลิเวอร์พูลต้องกลับเข้าตลาด 

“ถ้าไม่มีใครอยากย้ายทีม งานเราก็จบ และอีกอย่างถ้าไม่มีใครบาดเจ็บรุนแรงซึ่งเราหวังให้เป็นเช่นนั้น แฟนบอลลิเวอร์พูลสามารถเริ่มโฟกัสกับเรื่องอื่นไปได้เลย”

หากถามใจเหล่าเดอะค็อป หนึ่งในเรื่องสำคัญที่พวกเขาให้ความสนใจต้องเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก ซึ่งลิเวอร์พูลเป็นทีมเดียวที่สามารถขวางทางไม่ให้แมนฯ ซิตี้ ผงาดชนะเลิศห้าสมัยติดต่อกันจากความสำเร็จของทีมหงส์แดงในซีซั่น 2019-20 ที่คั่นกลางอยู่ระหว่างแชมป์สองสมัยรวดของทีมเรือใบสีฟ้า และถ้าลูกทีมของคล็อปป์ทำสำเร็จ พวกเขาจะดับฝันแชมป์สามสมัยติดต่อกันของแมนฯ ซิตี้ เป็นครั้งที่สอง

อาจเป็นสงครามจิตวิทยาเพื่อโยนความกดดันก็ได้เมื่อคล็อปป์ยกให้แมนฯ ซิตี้ เป็นตัวเต็งยืนบนบัลลังก์สูงสุดของลีกลูกหนังอังกฤษ

“ทุกคนต่างต้องการชนะพรีเมียร์ลีกแต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นทีมไหน ดูเหมือนซิตี้จะเป็นแชมป์ในบั้นปลาย ที่ผ่านมาถ้าเราไม่ได้เป็นแชมป์ พวกเขาจะชนะเลิศห้าสมัยติดต่อกันเลย ซึ่งมันเป็นเรื่องบ้าจริงๆเลย”

“สำหรับพวกเราแล้วยังคาดหวังที่จะเล่นให้เป็นซีซั่นที่ดีที่สุด แล้วมาดูกันว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อพวกเราบีบเค้นสิ่งนั้นออกมาได้ เราเฝ้ารอที่จะได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจริง ๆ”

คล็อปป์ยังให้ความเห็นด้วยว่าก่อนจะหันไปท้าทายความยิ่งใหญ่ของแมนฯ ซิตี้ เขาต้องทำให้มั่นใจว่าพาทีมติดท็อป-4 ให้ได้เสียก่อน

“สำหรับฟุตบอลลีกแล้ว เป้าหมายหลักของพวกเราคือเข้าไปเล่นแชมเปียนส์ลีกให้ได้ เท่านี้ก็เป็นงานที่ยากลำบากพอแรงแล้ว พอคุณบรรลุภารกิจนั้นได้ก็ถึงเวลาที่จะต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งแชมป์ แต่ส่วนใหญ่แล้วในแต่ละซีซั่น เราจะต่อสู้เพื่อสิทธิแข่งขันแชมเปี้ยนส์ลีก”

“พอผ่านเข้ารอบติดต่อกัน 4-5 ปี ผู้คนจะไม่ค่อยตื่นเต้นเหมือนปีแรกที่ทำได้สำเร็จหลังจากว่างเว้นมาระยะเวลาหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นนี่เป็นงานหลักที่เรายังต้องทำ โดยเฉพาะปีนี้ที่มีแข่งขันดุเดือดมาก”

ฤดูกาลที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลได้ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกถึงนัดสุดท้าย รวมถึงเข้ารอบชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก, เอฟเอ คัพ และลีก คัพ แม้เพิ่งเสีย ซาดิโอ มาเน หนึ่งในสามประสานกองหน้าคนสำคัญ แต่ผลกระทบคงไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับ จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม ที่ย้ายออกไปเมื่อหนึ่งปีที่แล้วเพราะลิเวอร์พูลเสริมกองหน้าทดแทนได้ดีระดับหนึ่ง ไม่เพียงนูนเญซแต่เป็น หลุยซ์ ดิอาซ ซึ่งเล่นตำแหน่งตรงกับมาเนมากกว่า 

และหากมองภาพรวมขุมกำลังส่วนต่างๆที่จะลงสมรภูมิฤดูกาล 2022-23 แจ็ค เชียร์ ผู้ช่วยบรรณธิการแห่งสำนัก This is Anfield หนึ่งในกูรูลูกหนังเมืองผู้ดี ได้เคาะผลการประมวลข้อมูลจนมีข้อสรุปว่า นักเตะลิเวอร์พูลชุดนี้มีความแข็งแกร่งมากกว่าซีซั่นที่แล้ว

ผู้รักษาประตู-กองหลัง : ตัวเลือกมากพอให้ใช้งาน

แจ็ค เชียร์ มองว่า สัญญาใหม่ที่ทำกับ โจ โกเมซ อาจเป็นการเจรจาทางธุรกิจฟุตบอลที่ได้รับการประเมินค่าต่ำกว่าความเป็นจริงมากที่สุดของลิเวอร์พูลในซัมเมอร์ปีนี้

หลังจากไม่ค่อยได้ลงสนามเท่าที่ควรในซีซั่นที่แล้ว หลายคนเชื่อว่าเซ็นเตอร์แบ็ควัย 25 ปี น่าจะย้ายไปอยู่ทีมอื่นเพื่อเพิ่มโอกาสติดทีมชาติอังกฤษลุยเวิลด์คัพปลายปีที่กาตาร์ แต่สโมสรกลับโน้มน้าวจนโกเมซต่อสัญญาอยู่แอนฟิลด์เพิ่มอีกห้าปี ซึ่งเป็นหลักประกันให้ลิเวอร์พูลได้ใช้งานโกเมซในช่วงพีคของอาชีพค้าแข้ง

ซีซั่นใหม่ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ยังสามารถยืนเป็นเซ็นเตอร์แบ็คตัวหลักแม้อายุ 31 ปี เขาและโกเมซน่าจะมีสภาพร่างกายดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา ขณะที่ อิบราฮิมา โคนาเต ในวัย 23 ปี ได้รับการขัดเกลาให้ฉายแววเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน โจเอล มาติป ที่พยายามเอาชนะอาการบาดเจ็บเพื่อเปล่งประกายความรุ่งโรจน์กับสีเสื้อของเดอะ เรดส์ 

ทั้งหมดต่างต้องเฟ้นฟอร์มที่ดีที่สุดของตัวเองออกมาเพื่อเป็นปราการหลังคู่กับฟาน ไดจ์ค ขณะที่ เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก และ แนท ฟิลลิปส์ มีโอกาสรออยู่ในฐานะเซ็นเตอร์แบ็คตัวเลือกอันดับห้า ส่วนข้างหลังคู่ปราการหลัง อลิสซอน ยังเป็นผู้รักษาประตูที่สร้างความอุ่นใจได้เช่นเดิมแถมมี ควีวีน เคลเลเฮอร์ นายทวารทีมชาติไอร์แลนด์ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จซีซั่นที่ผ่านมาของลิเวอร์พูล

ฟูลแบ็คเป็นตำแหน่งที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด คัลวิน แรมเซย์ แบ็คขวาวัย 18 ปี เข้ามาแทน เนโก วิลเลี่ยส์ ที่ย้ายออกไปร่วมทีมน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ด้วยราคา 17 ล้านปอนด์ เข้ามากดดันให้ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ยกระดับฝีเท้าให้สูงขึ้นเพื่อการันตีตำแหน่งตัวจริง ขณะที่ คอนสแตนตินอส ซิมิกาส ทำหน้าที่เดียวกันกับ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ที่อีกฝั่งของสนาม

ผู้รักษาประตู : อลิสซอน, เคลเลเฮอร์ / แบ็คขวา : อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, แรมเซย์, มิลเนอร์ / เซ็นเตอร์แบ็คขวา : โคนาเต, มาติป / เซ็นเตอร์แบ็คซ้าย : ฟาน ไดจ์ค, โกเมซ / แบ็คซ้าย : โรเบิร์ตสัน, ซิมิกาส

กองกลาง : คาร์วัลโญทำให้อ็อปชั่นตัวเลือกเพิ่มขึ้น

น่าสนใจทีเดียวว่า คล็อปป์จะใช้ประโยชน์อย่างไรกับ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ มิดฟิลด์โปรตุกีสวัย 19 ปี ซึ่งเล่นตำแหน่งเบอร์ 10ตามหมากเกม 4-2-3-1 ที่ฟูแล่ม กุนซือชาวเยอรมันยังไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนในปรีซีซั่นแต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ คาร์วัลโญช่วยให้คล็อปป์มีอ็อปชั่นมากขึ้นและวางแผนการเล่นได้ยืดหยุ่นขึ้น

นัดแรกที่แพ้แมนฯ ยูไนเต็ด 0-4 ที่กรุงเทพฯ คาร์วัลโญเล่นมิดฟิลด์กลางสนามในฟอร์แมท 4-3-3 สูตรที่คุ้นตาแฟนบอลหงส์แดง แต่เป็นตำแหน่งที่ ฮาร์วีย์ เอลเลียต อดีตเด็กอะคาเดมี่ของฟูแลม ครอบครองอยู่ โดยนัดนี้ เอลเลียตขยับขึ้นไปเล่นด้านขวาของฟรอนท์ทรี แถมฉายแววได้ดีกว่าที่หลายคนคิด

ครึ่งหลังของนัดสองที่ชนะคริสตัล พาเลซ 2-0 ที่สิงคโปร์ เอลเลียตกลับไปทำหน้าที่กองกลาง ขณะที่คาร์วัลโญถ่างตัวเองออกไปบริเวณริมสนาม แม้มีความเห็นมากมายให้ลิเวอร์พูลเสริมผู้เล่นมิดฟิลด์แต่คล็อปป์ยังมั่นใจว่าขุมกำลังตอนนี้ยังเอาอยู่ อย่างน้อยก็หนึ่งฤดูกาล ฟาบินโญ, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ธีอาโก ยังจะเป็นตัวเลือกอันดับต้นเหมือนซีซั่นที่แล้ว ขณะที่เอลเลียตน่าจะได้รับโอกาสมากขึ้น

เคอร์ติส โจนส์ ยังไม่สามารถแสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมาในสนาม นาบี เกอิตา และ อเล็กซ์ ออกเลด-แชมเบอร์เลน เป็นอ็อปชั่นที่ยอดเยี่ยมเหนือกว่ามาตรฐานตัวสำรอง ส่วน เจมส์ มิลเนอร์ ยังเป็นลูกทีมที่ไว้ใจได้ของคล็อปป์

มิดฟิลด์กลางสนาม : ฟาบินโญ, เฮนเดอร์สัน, มิลเนอร์ / มิดฟิลด์ขวา : เฮนเดอร์สัน, เอลเลียต, ออกเลต-แชมเบอร์เลน /มิดฟิลด์ซ้าย : ธีอาโก, เกอิตา, โจนส์, คัลวาโญ

กองหน้า : ขุมกำลังแห่งอนาคตที่สดใสขึ้นเรื่อย ๆ

มาเนย้ายไปสวมยูนิฟอร์มของบาเยิร์น มิวนิค ไม่มีอิมแพ็คต่อกองหน้าหงส์แดงมากเท่าที่หลายคนวิตกเพราะลิเวอร์พูลมีการเตรียมแผนรองรับไว้เรียบร้อยแล้ว แม้ ดาร์วิน นูนเญซ ถูกมองว่าเป็นคำตอบแต่เมื่อเทียบกับตำแหน่งถนัดคือกองหน้าฝั่งซ้าย หลุยส์ ดิอาซ ซึ่งย้ายมาร่วมทีมในตลาดเดือนมกราคม เป็นตัวตายตัวแทนที่แท้จริงของกองหน้าทีมชาติเซเนกัล แถมพิสูจน์ตัวเองไปแล้วในครึ่งฤดูกาลหลัง

นูนเญซน่าจะเป็นศูนย์หน้าแห่งอนาคตแทน โรแบร์โต เฟียร์มิโน มากกว่าแต่ระหว่างนี้ คล็อปป์ยังมั่นใจว่า ซีซั่นนี้ เฟียร์มิโนจะกลับมาสมบูรณ์เต็มร้อยและยังมีฝีเท้าระดับเวิลด์คลาสเช่นเดิมหลังจากฤดูกาลที่แล้วมีปัญหาบาดเจ็บรบกวน เช่นเดียวกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่นายใหญ่เมืองเบียร์ยังเชื่อว่า ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของสตาร์ทีมชาติอียิปต์กำลังรออยู่เบื้องหน้า ขณะที่ ดิโอโก โชตา กำลังพัฒนาตัวเองและเพิ่มคุณประโยชน์ต่อทีมอย่างช้าๆแต่มั่นคง

ถึงเสียเมเน, ดิวอค โอริกี และ ทาคูมิ มินามิโนะ แต่การเข้ามาของคาร์วัลโญและนูนเญซ สามารถอุดรอยรั่วดังกล่าวได้อย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะคาร์วัลโญ เอื้อประโยชน์ให้คล็อปป์ใช้งานเอลเลียตในตำแหน่งตัวรุกด้านขวาได้มากขึ้นทั้งกองหน้าและกองกลาง

ศูนย์หน้า : นูนเญซ, โซตา, เฟียร์มิโน / กองหน้าขวา : โซลาห์, เอลเลียต, ออกเลด-แชมเบอร์เลน / กองหน้าซ้าย : ดิอาซ, โซตา, คาร์วัลโญ

เสริมมิดฟิลด์กลางสนามยังเป็นภารกิจสำคัญในปีหน้า

แม้คล็อปป์มีขุมกำลังที่แข็งแกร่งอยู่ในมือพร้อมไล่ล่าสี่ถ้วยแชมป์อีกครั้งในฤดูกาลใหม่ แต่กองกลางยังเป็นขุมกำลังที่จะต้องได้รับการเสริมแกร่งมากที่สุดในอีกหนึ่งปีหน้า ปัจจุบันทีมซีเนียร์ของลิเวอร์พูลมีผู้เล่นกองกลางอยู่แปดคน หากรวมคาร์วัลโญเข้าไปด้วยก็เป็นเก้า ยังไม่รวมนักเตะเยาวชนหรือทีมสำรอง

เฮนเดอร์สัน, มิลเนอร์ และ ธีอาโก ต่างมีอายุทะลุหลักสามสิบไปแล้ว ทั้งสามมีโอกาสบาดเจ็บวันใดวันหนึ่งในเกมแข่งขันที่มากและดุเดือด ชื่อของ จู้ด เบลลิงแฮม มิดฟิลด์ดาวรุ่งทีมชาติอังกฤษของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จึงถูกยกขึ้นมาเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งในตลาดซัมเมอร์ปีหน้า แต่ซีซั่นนี้ โจนส์, เอลเลียต และคาร์วัลโญ จึงถูกคาดหวังให้ยกระดับผลงานมากขึ้นกว่าเดิม

ซีซั่นที่แล้ว โจนส์เล่นเกมลีก 856 นาที เอลเลียตลงสัมผัสสนาม 346 นาที ซึ่งเพิ่มมากกว่านี้แน่หากไม่บาดเจ็บ ขณะที่คาร์วัลโญเล่นให้ฟูแลมมากกว่า 2,800 นาที ในบรรดาสามคนนี้ โจนส์ ซึ่งอายุเพียง 21 ปีแต่แก่กว่าเอลเลียตและคาร์วัลโญ มีประสบการณ์มากที่สุดและมีโอกาสได้รับการพลักดันจากคล็อปป์มากที่สุดเช่นกัน แต่ถือเป็นโชคดีของว่าที่ตัวตายตัวแทนเหล่านี้ที่จะได้รับโอกาสมากขึ้นในฤดูกาลใหม่เมื่อพรีเมียร์ลีกแก้ไขกฎให้เปลี่ยนตัวสำรองลงสนามได้ถึงห้าคน คล็อปป์เคยให้สัมภาษณ์ถึงทั้งสามว่า

โจนส์ : “ผมรู้จักเขามานานแล้วและเป็นหนึ่งในแฟนตัวจริงของเขา ทักษะการเล่นของเขายังต้องเรียนรู้และทำงานหนัก ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทำอยู่ทุกวัน บางคนต้องการการพลักดันซึ่งเคอร์ติสดูเหมือนเป็นคนแบบนั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับการตอบสนองของเขาว่าเป็นอย่างไร”

เอลเลียต : “ฮาร์วีย์เป็นผู้เล่นที่ดีจริงๆไม่ต้องสงสัยเลย แต่ที่ผ่านมายังไม่ใช่ซีซั่นที่ดีที่สุดของเขาแน่นอนเพราะเขาเพิ่งได้เล่นแค่ 20 นัด แต่เชื่อว่าเขาจะเริ่มต้นได้ดีอีกครั้งในซีซั่นใหม่ ตอนนี้เราก็ต้องทำงานร่วมกับเขาต่อไปเช่นเดียวกับคนอื่น”

คาร์วัลโญ : “เป็นทั้งโปรเจ็คต์ระยะสั้นและยาว เขาสามารถลงตัวจริงได้เลยพรุ่งนี้ แต่ยังต้องใช้เวลาปรับตัว เขาไม่มีตำแหน่งตายตัว บางทีอาจเป็นปีก เบอร์แปด เบอร์สิบ หรือเบอร์เก้าหลอกก็ได้หากเพิ่มกล้ามเนื้อขึ้นมาอีก”

ด้วยขุมกำลังของลิเวอร์พูลที่คล็อปป์มีอยู่ ฤดูกาล 2022-23 ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นสำหรับบรรดาเดอะ ค็อป ทั่วโลกโดยแท้จริง

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา

Categories
Football Business

สรุปการรับชม “พรีเมียร์ลีก” ฤดูกาลใหม่ 2022/23 ผ่าน 4 วิธีการหลักจาก “กลุ่มทรู”

ปีนี้เป็นปีที่สำคัญของคอบอล เพราะเป็นปี “ฟุตบอลโลก” ซึ่งจะทำการแข่งขันระหว่าง 21 พ.ย. ถึง 18 ธ.ค.2022 อันทำให้ฤดูกาลแข่งขันฟุตบอลลีกต่าง ๆ ยุโรปเริ่มเร็วกว่าปกติ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ก็เช่นกันที่จะคิกออฟซีซั่นใหม่ 6 ส.ค. นี้ (พักเบรกให้เวิลด์คัพ 12 พ.ย.) โดยเจ้าของลิขสิทธิ์ในประเทศไทยยังคงเป็นผู้เล่นตัวเก๋า “ทรูวิชั่นส์” ซึ่งครองการเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในประเทศไทยมาแทบจะทุกยุคทุกสมัยทั้งทางตรง (ซื้อตรงผ่านพรีเมียร์ลีก) หรือทางอ้อม (ซื้อผ่านเจ้าของสิทธิ์ที่ได้สิทธิ์ตรงจากพรีเมียร์ลีกอีกทอดหนึ่ง)

โดยเมื่อ 26 ก.ค. ที่ผ่านมา ณ โรงภาพยนตร์สยามพารากอน ทรู วิชั่นส์ เป็นเจ้าภาพของ “กลุ่มทรู” จัดแถลงข่าวอย่างยิ่งใหญ่เพื่อป่าวประกาศความมันส์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ยิงสดต่อไปอีก 3 ฤดูกาลเต็ม ๆ 2022/23 – 2024/25 อย่างเป็นทางการในฐานะ Official Broadcaster 

นอกจากนี้ “กลุ่มทรู” ยังจัดหนักแพ็คเกจหลากหลายเพื่อตอบสนองการรับชมทุกช่องทางผ่านทุก Business Units ของกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มทีวี (ทรู วิชั่นส์), สมาร์ตโฟน (ทรูมูฟ เอช), ทรูไอดี (ระบบอินเทอร์เน็ต – ทรู ออนไลน์) รวมถึงการสื่อสารถึงคอนเทนต์พรีเมียร์ลีกในรุปแบบสมัยใหม่ผ่าน โซเชียลมีเดีย แพลตฟอร์ม อย่าง เฟซบุ๊ก, ยูทูป, tiktok, IG ฯลฯ เพื่อให้แฟนฟุตบอลเข้าถึง และมีส่วนร่วมได้มากขึ้น

รวมไปถึงในปีนี้จะมีกิจกรรมร่วมกับแฟนบอลผ่านเกมแฟนตาซี พรีเมียร์ลีก ที่มีคนเล่นทั่วโลกกว่า 9 ล้านคน มาเปิดลีกพิเศษสำหรับคนไทยอย่าง “ทรู วิชั่นส์ ลีก” ที่มีของรางวัลสุดพรีเมี่ยมให้ลุ้นทุกสัปดาห์อีกด้วย

ว่าแล้ว ไปรับชมโปรโมชั่นสำหรับรับชมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในแต่ละช่องทางของ “กลุ่มทรู” กันค่ะ:

1. ทรู วิชั่นส์ หรือกล่องทรู ดีที่สุด มีให้ดูครบถ้วนทุกอย่าง เหมาะสำหรับครอบครัว

– แพ็กเกจแพลตินัม เอชดี เริ่มต้นเพียง 2,155.15 บาท/เดือน ชมฟรี EPL 3 ฤดูกาล (2022/23 – 2024/25 

) และชมฟรี beIN SPORTS  2 ฤดูกาล (2022/23 – 2023/24) พร้อมรับ 1,000 True Point  และ True Black Card

– แพ็กเสริม ทรูพรีเมียร์ ฟุตบอล เอชดี พลัส (True Premier Football HD+) สมาชิกทรู วิชั่นส์ แพลตินัม ชมฟรีตลอด 3 ฤดูกาล สิ้นสุด 31 พฤษภาคม 2568 สมาชิกแพ็กอื่น ๆ พิเศษ ผูกเบอร์ทรูมูฟ เอช เพียง 299 บาทต่อเดือน (จากปกติ 399 บาท)

– แพ็กเสริม “EPL Season Pass” เหมาจ่ายตลอดฤดูกาล พิเศษสุด!! เฉพาะสมาชิกทรู วิชั่นส์ 1 ฤดูกาล เพียง 2,500.- บาท (จากปกติ 3,990 บาท )พร้อมชมฟรี beIN Sports 3 เดือน (90 วัน) หรือสมัคร 3 ฤดูกาล เพียง 7,000.- บาท (จากปกติ 11,970 บาท) สมัครด่วน!! วันนี้ – 31 กรกฎาคม 2565 เท่านั้น

2. ทรูมูฟ เอช ดูบอลสด ผ่านมือถือ สะดวก สบาย ดูบอลได้ทุกที่ ทุกเวลา

– ดูฟรี! ครบ 380 แมตช์ ตลอดฤดูกาล เพียงเปิดเบอร์ใหม่ หรือย้ายค่าย แบบรายเดือน แพ็กเกจ 5G Ultra Max Speed 1,199 บาทต่อเดือน เล่นเน็ตไม่อั้น เต็มสปีด โทรฟรีไม่อั้นในเครือข่าย โทรนอกเครือข่าย 350 นาที Wi-Fi ฟรีไม่จำกัด

– แพ็กเกจเสริม ดูฟุตบอล ทรูพรีเมียร์ลีก ครบทุกแมตซ์ ตลอดฤดูกาล สำหรับลูกค้าทรูมูฟเอช แบบรายเดือนและเติมเงิน ราคา 2,700 บาท พิเศษ!ราคา Early Bird เพียง 2,200 บาทเท่านั้น เมื่อสมัครภายใน 31 ก.ค.นี้ 

– แพ็กเกจเสริมดูฟุตบอล ทรูพรีเมียร์ลีก พร้อมเน็ตดูทรูไอดีไม่อั้น แบบ 30 วัน ราคา 399บาท, แบบ 7 วัน ราคา 219 บาท

– สิทธิพิเศษ! ลูกค้าทรูมูฟ เอชทั้งแบบรายเดือน และเติมเงิน ทั้งลูกค้าใหม่ และลูกค้าปัจจุบัน ดูฟรี ทีมโปรด บนมือถือ ครบทุกแมตช์ ตลอดฤดูกาล (ก็คือ 38 นัดตามทีมโปรด) ผ่านแอปทรูไอดี กับแพ็กเกจทรูอันล็อก ลูกค้าทรูมูฟ เอช รับสิทธิ์ กด *555*56# โทรออก (และติดตามรายละเอียดการเลือกทีมโปรด ได้บนแอปทรูไอดี ส.ค. นี้) มาเป็นลูกค้าทรูมูฟเอชแบบเติมเงินง่ายๆ แค่เปิดซิมใหม่ “ซิมทรูไอดี” เพียง 49.- บาท หรือเปิดซิมรายเดือนแพ็กเกจ 299 บาทขึ้นไป

3. ทรูออนไลน์ ทางเลือกเพื่อการรับชมบนจอทีวี กับไลฟ์สไตล์แบบ OTT ยุคปัจจุบัน

– แพ็กเกจ True Gigatex Fiber 999 บาทต่อเดือน ดูฟรี สดครบทุกแมตช์ มาพร้อมเน็ตบ้านไฟเบอร์1000/500Mbps, ซิมทรูมูฟ เอช 15GB 60 นาที, อุปกรณ์เราเตอร์อัจฉริยะ และ อุปกรณ์กระจายสัญญาณ Gigatex Mesh WiFi, กล่องทรูไอดีทีวี พร้อมดูฟรี TrueID+ 24 เดือน (สำหรับลูกค้าทรูมูฟ เอช รับส่วนลด 200 บาท สมัครราคาพิเศษเพียง 799 บาทต่อเดือน)

– แพ็กเกจ True Gigatex Unlock TV เริ่มเพียง 599 บาทต่อเดือน ดูฟรีทีมโปรด สด ครบทุกแมตช์ ปลด
ล็อกทุกแมตช์ทีมโปรด ตลอดฤดูกาล (ฟรี! 38 นัดเกาะติดทีมรัก) และความบันเทิงทั้งหนังดัง ซีรีส์ฮิต อนิเมะ สารคดีดังระดับโลก คมชัดบนทีวี และดูได้ทุกที่ผ่านมือถือ พร้อมความเร็วเน็ตบ้าน 1000/300Mbps, กล่องทรูไอดีทีวี พร้อมซิมทรูมูฟ เอช 2 ซิม

4. ทรูไอดี เริ่มเพียง 179 บาทต่อวันเท่านั้น ไม่จำกัดค่ายก็รับชมได้ทุกที่ ทุกเวลา ทั้งแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ และกล่องทรูไอดี ซึ่งแน่นอนว่า เป็นการเชื่อมต่อเพื่อรับชมโดยใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ต ดังนั้นหากใช้กล่องทรูไอดี ควบคู่ไปกับอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ทรูออนไลน์ แพ็คเกจต่าง ๆ (ตามข้อ 3 ข้างต้น) ก็จะได้รับประโยชน์สูงสุด แต่ทว่าหากไม่สะดวกก็สามารถเลือกค่ายได้ตามต้องการ แต่ราคาค่าบริการจะแพงกว่านะคะ

ทั้งหมดที่กล่าวมา คือ ภาพรวมช่วยให้เพื่อน ๆ คอบอลไปเสาะแสวงหาช่องทางเพื่อติดตาม และรับชมทีมโปรดผ่านลีกฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลกได้ในรูปแบบวิธีตามถนัดของตัวเอง

อย่างไรก็ดี ในฐานะแฟนบอลผู้ชาญฉลาด (Smart Supporters) การเจาะศึกษาข้อมูลโปรโมชั่นที่ “กลุ่มทรู” มีอยู่มากมาย กับคอนเทนท์ที่มากมาย (มากกว่าแค่ พรีเมียร์ลีก แต่เป็นแทบทุกลีก และทุกประเภทกีฬาหลัก รวมถึงภาพยนตร์, สารคดี, การ์ตูน ฯลฯ) เพื่อตอบโจทย์การรับชมส่วนตัว หรือครอบครัว หรือที่พักอาศัย หรือตามไลฟ์สไตล์ คือ สิ่งที่ดีที่สุด เพื่อประโยชน์สูงสุด และอรรถรสดีที่สุดในการติดตามพรีเมียร์ลีก เช่น การ unlock (ทรู ออนไลน์ หรือทรูมูฟ เอช) หรือ season pass ราคาพิเศษ 1 หรือ 3 ฤดูกาลรวด ไปจนถึง “เต็มแมกซ์” ไม่พลาดอะไรแน่นอนกับ ทรู วิชั่นส์ แพลตินัม เอชดี ที่จะได้รับชมความคมชัดในแมตช์ หรือคอนเทนท์พิเศษถึงระดับ 4K ด้วยซ้ำไป

สุดท้าย หวังว่า ข้อมูลครั้งนี้จะช่วยทุกคนได้บ้าง และแน่นอนว่า ขอให้สนุกที่สุดกับพรีเมียร์ลีก ซีซั่นใหม่ 2022/23 กันถ้วนหน้าค่ะ

📝ภาวินีย์ สูญสิ้นภัย (แนน)