Categories
Feature

ซันเดอร์แลนด์ ม้ามืดต้นฤดูกาล ผลจากการลงทุน 161 ล้านปอนด์และเลอ บรีส์

เมื่อพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2025-26 ดำเนินมาถึงนัดที่ 10 หรือประมาณ 1 ใน 4 ของการแข่งขัน ซันเดอร์แลนด์ ทีมน้องใหม่ ทำให้ทุกคนประหลาดใจหลังจากบุกชนะเชลซี แชมป์สโมสรโลก 2-1 ตามด้วยล่าสุด เสมอ เอฟเวอร์ตัน 1-1 ศึกมันเดย์ไนท์ 3 พฤศจิกายน 2025 รั้งอันดับ 4 เต็มภาคภูมิ

เร็วเกินไปที่จะคาดหวัง “แบล็ก แคทส์” สร้างประวัติศาสตร์เหมือนเลสเตอร์เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งชนะเลิศพรีเมียร์ลีกสมัยแรกในฤดูกาล 2015-16 แต่การสร้างทีมยุคใหม่ของซันเดอร์แลนด์ ซึ่งมีอายุสโมสรยาวนานเกือบ 150 ปี เป็นเรื่องน่าสนใจ

ซันเดอร์แลนด์ อดีตแชมป์ลีกสูงสุด 6 สมัยขณะใช้ชื่อดิวิชัน 1 (ครั้งหลังสุดคือซีซัน 1935-36) ตกชั้น 2 ปีติดต่อกันคือ พรีเมียร์ลีก ซีซัน 2016-17 และแชมเปียนชิพ ซีซัน 2017-18 จากนั้น “แบล็ก แคทส์” ใช้เวลาในลีกวัน 4 ปี กลับขึ้นมาเล่นแชมเปียนชิพ ซีซัน 2022-23 ในฐานะทีมอันดับ 5 และชนะเลิศลีกวัน เพลย์ออฟ

ซันเดอร์แลนด์ประเดิมการกลับลีกเทียร์ 2 ด้วยอันดับ 6 และแพ้ลูตันในเพลย์ออฟรอบรองชนะเลิศ แต่ซีซัน 2023-24 หลุดลงไปอยู่อันดับ 16 เหนือโซนตกชั้น 6 คะแนน

ซันเดอร์แลนด์จบซีซัน 2024-25 ด้วยอันดับ 4 ผ่านเข้าไปเล่นแชมเปียนชิพ เพลย์ออฟ ถล่มบริสตอล ซิตี ทีมอันดับ 6 ด้วยสกอร์ 3-0 ทั้งนัดเยือนและเหย้า ก่อนเฉือนทีมอันดับ 3 เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 2-1 ด้วยสกอร์ตีเสมอนาทีที่ 76 ของเอลีเซอร์ มาเยนดา และประตูชัยนาทีที่ 90+5 ของโธมัส วัตสัน

บุคคลที่พาซันเดอร์แลนด์กลับพรีเมียร์ลีกหลังหายไป 8 ปีคือ เรจิส เลอ บรีส์ กุนซือชาวฝรั่งเศสวัย 49 ปี ซึ่งเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าโค้ชเป็นปีแรกหลังเซ็นสัญญา 3 ปีเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2024 และเริ่มต้นงานใหญ่อย่างสวยหรู เก็บชัยชนะ 100% ในเดือนแรก ได้ 10 ประตู เสียแค่ 1 ประตู และได้รางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมของอีเอฟแอล แชมเปียนชิพ ประจำเดือนสิงหาคม 2024

หัวหน้าโค้ชผู้มีเวนเกอร์เป็นต้นแบบ

ก่อนยิงประตูชัยในนาทีที่ 90+3 ให้ซันเดอร์แลนด์ชนะในสแตมฟอร์ด บริดจ์ กองเชียร์เชลซีอาจไม่เคยได้ยินชื่อ เชมส์ดีน ตัลบี แต่ปีกวัย 20 จากโมร็อกโก ไม่ใช่นักเตะคนเดียว ซึ่งแฟนบอลทั่วไปไม่เคยได้ยินชื่อในทีมซันเดอร์แลนด์ นำไปสู่คำถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับทีมซันเดอร์แลนด์” แม้พรีเมียร์ลีกทุกซีซันมักมีทีมม้ามืดขึ้นมาหัวตารางอยู่เสมอช่วงต้นโปรแกรม แต่ไม่บ่อยนักที่เป็นทีมน้องใหม่

ขอบคุณภาพจาก  https://www.bbc.com/sport/football/articles/cy7envzn722o

ทีมของเลอ บรีส์ ถูกสร้างขึ้นมาอย่างพิถีพิถันจากเพชรเม็ดงามที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ถูกสร้างขึ้นมาจากความสามารถในการปักหลักต่อสู้บนสนามแข่งขัน ถูกสร้างด้วยการหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกัน และถูกสร้างขึ้นมาจากความเชื่อมั่น

กุนซือชาวฝรั่งเศสผู้แต่งตัวเนี้ยบมีบางอย่างคล้ายคลึงกับอาร์แซน เวนเกอร์ อดีตผู้จัดการทีมชาวฝรั่งเศสผู้ยิ่งใหญ่ของอาร์เซนอล ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษในการค้นหาพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ในตัวนักเตะโนเนม

เลอ บรีส์ รู้ว่าตัวเขาอยากเป็นโค้ชหลังจากศึกษาชีวิตการทำงานของเวนเกอร์ในช่วง 7 ปีที่อยู่กับโมนาโกตั้งแต่ปี 1987 ซึ่งตอนนั้น เลอ บรีส์ เพิ่งอายุ 12 ปี

“ผมชอบโมนาโกภายใต้การคุมทีมของเวนเกอร์มากจริงๆ แม้ผมไม่ใช่แฟนบอลโมนาโก แต่ก็ชอบทีมนี้และสไตล์การทำทีมของเขา ถ้าพบนักเตะคนไหน ผู้จัดการทีมคนไหน และทีมไหนที่มีลักษณะเฉพาะตัว ผมมักชอบวิเคราะห์วิธีและรูปแบบการเล่น รวมถึงบุคลิกภาพ”

“โมนาโกเป็นอะไรที่ใหม่มากสำหรับผม เต็มไปด้วยนักเตะอายุน้อย และมีสไตล์การเล่นที่เน้นเชิงรุก แต่ตอนนั้นผมยังเด็ก จึงยากที่จะประเมินองค์ประกอบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเกมฟุตบอล แต่ผมมองมันเป็นเรื่ององค์ประกอบทางอารมณ์ ซึ่งแตกต่างจากทีมอื่นๆ”

“เวลาผมดูทีมฟุตบอลแล้วคิดว่า ‘พวกเขาเล่นได้ดี’ หรือ ‘ดูแล้วน่าสนใจดี’ แต่ผมไม่รู้จริงๆ หรอกว่าทำไม มันแค่ทำให้ผมรู้สึกแตกต่างออกไป”

เลอ บรีส์ ยังยอมรับอย่างซื่อสัตย์ว่าช่วงที่เล่นฟุตบอล เขาไม่ใช่นักเตะที่มีคุณสมบัติพิเศษ (X factor) ในเชิงเทคนิกและกายภาพ เขาเป็นเพียงนักเตะธรรมดาในทุกๆ ด้าน

“เพราะไม่มีคุณสมบัติพิเศษเหล่านั้น ผมจึงต้องพยายามเข้าใจเกมให้มากขึ้นเพื่อเป็นการทดแทน เพราะถ้ามีเอ็กซ์แฟคเตอร์ คุณก็แค่ใช้มันและเล่นได้ดีบนสนาม ดังนั้นผมจึงพยายามเข้าใจเกมให้ได้มากขึ้น ต้องคิดให้แตกว่า จะต้องทำอย่างไรจึงสามารถแข่งกับผู้เล่นที่แข็งแกร่งกว่าได้ และเชื่อมโยงกับนักเตะคนอื่นๆ เพื่อแก้ปัญหา”

ซันเดอร์แลนด์เห็นแวว ดึงมาสานโปรเจกต์ใหญ่

เลอ บรีส์ เกิดวันที่ 6 ธันวาคม 1975 เติบโตในเมืองปลอเนอูร์-ลองแวร์น ทางตะวันตกของแคว้นเบรอตาญ ประเทศฝรั่งเศส เขาเริ่มเล่นฟุตบอลเยาวชนครั้งแรกกับสโมสรท้องถิ่น ยูเอส ปลอเนอูร์ ก่อนย้ายเข้าร่วมทีม เอเอส แอร์เก-อาร์เมล เมื่ออายุ 12 ปี ตามด้วยทีมแกมแปร์

ปี 1991 เลอ บรีส์เข้าร่วมทีมเยาวชนของแรนส์ และใช้เวลาส่วนใหญ่ในฐานะเซ็นเตอร์แบ็คของทีมแรนส์ บี ระหว่างปี 1993 – 1999 ก่อนเลี่อนขึ้นไปอยู่ทีมแรนส์ ได้ลงสนามลีกเอิงเพียง 31 นัดระหว่างปี 1994 – 1999 จากนั้นย้ายไปเล่นในลีกรองกับลาวาล (ฝรั่งเศส) และลอนเซิน (เบลเยียม) เขาตัดสินใจแขวนสตั๊ดในปี 2003 เพื่อมุ่งมั่นกับงานโค้ชระดับเยาวชน

เดือนพฤษภาคม 2022 เลอ บรีส์ ได้รับใบอนุญาตการเป็นโค้ชอาชีพ และวันที่ 27 มิถุนายนปีเดียวกัน เขาถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าโค้ชทีมชุดใหญ่ของลอริยองต์ด้วยสัญญา 3 ปี 

เลอ บรีส์ พาลอริยองต์จบอันดับที่ 10 ของลีกเอิง ฤดูกาล 2022-23 แต่ทีมร่วงลงไปอยู่ลีกเดอซ์เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2023-24 เลอ บรีส์ ได้ออกจากสโมสรอย่างเป็นทางการด้วยการยินยอมร่วมกันในวันที่ 22 มิถุนายน 2024 และวันเดียวกัน ซันเดอร์แลนด์ประกาศข่าวเลอ บรีส์ เป็นหัวหน้าโค้ชคนใหม่

แม้ลอริยองต์ตกไปอยู่ลีกเทียร์ 2 ของฝรั่งเศส แต่เลอ บรีส์ ได้สร้างชื่อเสียงในฐานะกุนซือที่ให้โอกาสกับนักเตะอายุน้อยและความโดดเด่นด้านแท็กติก จึงถูกทาบทามจากคีริล หลุยส์-เดรย์ฟัส นักธุรกิจหนุ่มชาวสวิส-เฟรนช์ ประธานสโมสรซันเดอร์แลนด์ ให้ไปทำหน้าที่ผู้นำโปรเจกต์ใหญ่ของสโมสร ไม่ใช่เพียงหัวหน้าโค้ชเพื่อคุมทีมฟุตบอลเท่านั้น

เช่นเดียวกับช่วงแรกของเวนเกอร์ที่อาร์เซนอล เลอ บรีส์ เข้าไปมีส่วนปฏิวัติทีมซันเดอร์แลนด์ด้วยการสอดส่องหานักเตะใหม่อย่างชาญฉลาด และมอบความไว้วางใจให้กับนักเตะที่หลายคนมองข้าม ถึงกระนั้นการเสริมขุมกำลังของทีมไม่ได้เกิดขึ้นในราคาถูกเมื่อขึ้นมาอยู่พรีเมียร์ลีก

ทุ่ม 161 ล้านปอนด์ยกเครื่องสู้พรีเมียร์ลีก

ซันเดอร์แลนด์ใช้เงินไปถึง 161 ล้านปอนด์ไปกับผู้เล่นใหม่ 14 คนในตลาดฤดูร้อนปี 2025 ซึ่งเป็นการทำลายสถิติสูงสุดของสโมสรน้องใหม่ที่เพิ่งเลื่อนชั้น ขณะเดียวกับสโมสรได้ปล่อยผู้เล่นออกไป 17 คน รวมถึงนักเตะสำคัญจากฤดูกาล 2024-25 อย่างโจ๊บ เบลลิ่งแฮม และโธมัส วัตสัน

ขอบคุณภาพจาก  https://www.straitstimes.com/sport/football/Premier-League-survival-still-the-target-says-Sunderland-coach

แต่การทุ่มเงินมหาศาลไม่ได้รับประกันว่าจะหนีการตกชั้นพ้น ฤดูกาล 2024-25 เป็นตัวอย่างล่าสุด สามสโมสรน้องใหม่ เลสเตอร์, เซาแธมป์ตัน และอิปสวิช ใช้จ่ายเงินรวมกัน 276.5 ล้านปอนด์ แต่ต้องกลับไปเล่นแชมเปียนชิพในฤดูกาลต่อมาด้วยแต้มสะสมรวมกันต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก

ทรอย ดีนีย์ อดีตกัปตันทีมวัตฟอร์ด กล่าวกับ Final Score ว่า “”ทีมส่วนใหญ่มักยึดมั่นกับผู้เล่นที่พาเลื่อนชั้นขึ้นมา แต่ซันเดอร์แลนด์นั้นเด็ดขาดมาก พวกเขาเปลี่ยนผู้รักษาประตูและนักเตะเกือบทุกคน พร้อมตั้งเป้าหมายพยายามอยู่รอดให้ได้”

เลอ บรีส์ สมควรได้รับเครดิตอย่างสูงกับการซื้อนักเตะที่หลายทีมมองข้าม ซึ่งสามารถเปลี่ยนซันเดอร์แลนด์ให้กลายเป็น “แมวดำ” ที่อันตราย

มี 9 คนที่ลงเตะกับเชลซีเป็นนักเตะที่เพิ่งเซ็นสัญญาในฤดูร้อนปีนี้ และประตูชัยช่วงทดเวลาเจ็บเกิดจากการประสานงานของผู้เล่นใหม่ 3 คนได้แก่ ลุตชาเรล เกียร์ทราวดา อายุ 25 ปี, ไบรอัน บร็อบบีย์ อายุ 23 ปี และตัลบี ขณะที่วิลสัน อิซิดอร์ อายุ 25 ปี ซึ่งเป็นศูนย์หน้าตัวจริง และทำประตูตีเสมอเชลซีในนาทีที่ 22 ถูกซื้อขาดในตลาดหน้าหนาวที่ผ่านมา หลังเซ็นสัญญายืมตัวจากเซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ต้นซีซัน 2024-25

โรบิน รูฟส์ ผู้รักษาประตูวัย 22 ปี เริ่มต้นชีวิตในพรีเมียร์ลีกได้อย่างน่าทึ่งหลังย้ายมาจากเอ็นอีซี ไนจ์เมเกน ในเนเธอร์แลนด์ด้วยค่าตัว 9 ล้านปอนด์ในช่วงซัมเมอร์ เก็บคลีนชีทได้ 4 นัด และเสียประตูเพียง 7 ลูกจาก 9 นัดแรก

สำหรับกองหลัง ซันเดอร์แลนด์จ่ายเงิน 9.5 ล้านปอนด์ ไปกับนอร์กดี มูกีเล อดีตแบ็คขวาของปารีส แซงต์ แยร์กแมง วัย 27ปี ซึ่งเคยถูกยกย่องเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงที่แอร์เบ ไลป์ซิก ก่อนย้ายมาค้าแข้งในเมืองหลวงของฝรั่งเศส แต่ไม่สามารถทำผลงานได้ดีจนถูกส่งให้เลเวอร์คูเซนยืมใช้งานในซีซันที่ผ่านมา

เป้าหมายคือการอยู่รอดในพรีเมียร์ลีก

จากการยกเครื่องขุมกำลังครั้งใหญ่ทั้งผู้มาใหม่และผู้ยังหลงเหลืออยู่ บุรุษที่เชื่อมโยงพวกเขาเข้าด้วยกันคือ กรานิต ชากา อดีตกัปตันทีมอาร์เซนอล

ขอบคุณภาพจาก  https://www.thesun.co.uk/sport/37131734/chelsea-sunderland-regis-le-bris-arsene-wenger/

ท่ามกลางเสียงเยาะเย้ยจากบางคนเมื่อเห็นมิดฟิลด์ทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์วัย 33 ย้ายออกจากเลเวอร์คูเซนที่ได้เล่นแชมเปียนส์ ลีก มายังสโมสรที่เพิ่งขึ้นมาจากแชมเปียนชิพ แต่ชากาได้สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงให้กับซันเดอร์แลนด์ในฐานะผู้เล่นที่ดุดันที่สุดในแดนกลาง ทั้งยังโดดเด่นด้วยจำนวนแอสซิสต์และการสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีม

ตอนที่เดินทางมายังสเตเดียม ออฟ ไลท์ ยังมีเครื่องหมายคำถามว่า ชากาจะรักษามาตรฐานการเล่นในพรีเมียร์ลีกได้ไหมหลังจากค้าแข้งในเยอรมนีเมื่อปี 2023

แต่ในวัย 33 ชากาทำให้บรรดานักวิจารณ์ต้องประหลาดใจด้วยสไตล์การเล่นที่น่าทึ่ง โดยครองสถิติอันดับ 1 หมวดแอสซิสต์ (3 ครั้ง), สร้างโอกาส (11 ครั้ง), ผ่านบอลสำเร็จ (397 ครั้ง), ผ่านบอลเข้าเขตโทษ (49 ครั้ง), สัมผัสบอล (629ครั้ง), ชนะดวล (56 ครั้ง) และแย่งบอลคืน (43 ครั้ง) จากพรีเมียร์ลีก 9 นัดแรก

ชากาจึงเปรียบเสมือนหัวใจและมันสมองของ “แบล็ก แคทส์” แต่เขาไม่ใช่ดาวเด่นเพียงคนเดียวที่มีประสบการณ์แชมเปียนส์ ลีก ซึ่งเลอ บรีส์ ดึงเข้ามายังเมืองท่าในเขตไทน์แอนด์แวร์ ยังมีเรยนิลโด มันดาวา แบ็คซ้ายวัย 31 ทีมชาติโมซัมบิก ซึ่งย้ายเข้ามาแบบไม่มีค่าตัวหลังจากใช้เวลา 3 ปีร่วมงานกับดิเอโก ซิเมโอเน ที่แอตเลติโก มาดริด

มันดาวาบอกถึงความสำคัญของชากาว่า “กรานิตเป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่มาก อยู่ในระดับที่สูงกว่ามาก เปี่ยมด้วยคุณภาพทั้งในสนามและนอกสนาม เขาพยายามพลักดันกระตุ้นเวลาเราฝึกซ้อม และยังถ่ายทอดประสบการณ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่พิเศษมาก ผมภูมิใจมากที่ได้เล่นทีมเดียวกับเขา เหมือนเป็นความฝันก็ว่าได้”

“พวกเราต่างตระหนักดีว่าเป็นเกมที่หนักเมื่อต้องเจอทีมใหญ่ แต่เราต่างเล่นด้วยกัน สู้ด้วยกัน สิ่งดีๆ จะตามมาแน่นอนเมื่อเป็นเช่นนี้ เพราะเราทำงานเป็นทีม ไม่ใช่เรื่องของปัจเจกบุคคล”

“ทุกคนต่างรู้ดีว่า เป้าหมายคือการอยู่รอดในพรีเมียร์ลีก เราจะเดินหน้าต่อไป สู้ต่อไป และในท้ายที่สุดก็จะเห็นกันว่าเราอยู่ตรงไหน แต่อย่าพูดถึงแชมป์เลย เรามุ่งสมาธิไปทีละนัดๆ เรารู้เป้าหมายและพยายามเดินหน้าต่อไป”

ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก สโมสรน้องใหม่ที่ทำแต้มสูงสุดจาก 9 นัดแรกคือ นอตติงแฮม ฟอเรสต์ ได้ 21 คะแนนในฤดูกาล 1994-95 สามารถรักษาฟอร์มม้ามืดจนปิดซีซันด้วยอันดับ 3

ซันเดอร์แลนด์ ฤดูกาล 1999-2000 เคยทำได้ 17 คะแนน เป็นสถิติสูงสุดที่อันดับ 6 (ร่วม) และลงเอยด้วยอันดับ 7

ทีมที่ทำได้ 17 คะแนนจาก 9 นัดแรกเท่ากันก็คือ ทีม “แบล็ก แคทส์” ของเลอ บรีส์ ในซีซันนี้ … รอทราบผลเมื่อถึงปลายเดือนพฤษภาคมปีหน้า

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Writer)