Categories
Special Content

ไทโว อโวนิยี่ : เริ่มต้นนับหนึ่ง กับชัยชนะของ “เจ้าป่า” ที่รอคอยมา 23 ปี

น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ หนึ่งในทีมระดับตำนานของวงการฟุตบอลอังกฤษ ต้อนรับกลับคืนสู่พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 23 ปี ด้วยการเสริมทัพนักเตะแบบจัดหนัก จัดเต็ม มากกว่า 10 คน เข้าไปแล้ว

และหนึ่งในดีลสำคัญช่วงซัมเมอร์นี้ คือการดึงตัว ไทโว อโวนิยี่ ที่ไม่เคยลงเล่นทีมชุดใหญ่กับลิเวอร์พูลเลยแม้แต่นัดเดียว มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 17.5 ล้านปอนด์ ทุบสถิตินักเตะค่าตัวแพงสุดในประวัติศาสตร์สโมสร

จนกระทั่ง 14 สิงหาคม 2022 อโวนิยี่เป็นผู้ทำประตูชัย พาฟอเรสต์เฉือนชนะเวสต์แฮม 1 – 0 นับเป็นประตูแรกของเขา และชัยชนะนัดแรกของทีม “เจ้าป่า” ในลีกสูงสุด ที่รอคอยมานานนับตั้งแต่ฤดูกาล 1998/99

SoccerSuck x ไข่มุกดำ จะพาไปทำความรู้จักกับศูนย์หน้าชาวไนจีเรีย ที่เพิ่งฉลองวันเกิดอายุครบเบญจเพส ไปเมื่อเร็วๆ นี้กันครับ

ฉายแววเก่งที่อิมพีเรียล ซอคเกอร์ อคาเดมี่

ครอบครัวของไทโว อโวนิยี่ มีฐานะยากจน พ่อแม่จึงไม่สามารถหาซื้อรองเท้าฟุตบอลให้กับลูกชายได้ ทำให้ไทโวต้องแก้ปัญหาด้วยการนำรองเท้าเก่า ๆ ที่เหลือทิ้งจากกองขยะ มาซ่อมแล้วใช้เป็นของตัวเอง

แต่ความยากลำบาก ก็ไม่อาจฉุดรั้งความฝันของอโวนิยี่ในการเป็นนักฟุตบอล เขาเริ่มต้นฝึกวิชาลูกหนังครั้งแรก กับกวารา ฟุตบอล อคาเดมี่ ซึ่งก่อตั้งโดยบูโกลา ซารากี อดีตผู้ว่าการรัฐกวารา ประเทศไนจีเรีย

ในปี 2010 อโวนิยี่ในวัย 13 ปี ได้เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลเยาวชนของโคคา-โคลา ในกรุงลอนดอน และได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) จนถูกเชิญเข้าร่วมฝึกวิชาลูกหนังกับ อิมพีเรียล ซอคเกอร์ อคาเดมี่

อีก 3 ปีต่อมา อโวนิยี่ ได้ลงเล่นให้กับทีมชาติไนจีเรียชุดเยาวชน เริ่มจากชุดยู-17 (8 นัด 4 ประตู) ต่อด้วยชุดยู-20 (9 นัด 5 ประตู) และชุดยู-23 (7 นัด 2 ประตู) จนได้รับโอกาสให้ติดทีมชาติชุดใหญ่เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2021

ผลงานการยิงประตูในทีมชาติชุดเยาวชนของอโวนิยี่ ทำให้เขาถูกนำไปเปรียบเทียบกับ ราชิดี เยกินี่ เจ้าของสถิติดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของทีมชาติไนจีเรียในช่วงทศวรรษที่ 1980s ถึง 1990s (62 นัด 37ประตู)

ฟอร์มการเล่นของไทโว อโวนิยี่ ในทีมชาติไนจีเรียชุดเยาวชนทุกชุด โดดเด่นมาก จนได้รับโอกาสครั้งสำคัญกับการค้าแข้งในลีกใหญ่ยุโรป เป็นการยุติช่วงเวลา 5 ปี กับอิมพีเรียล ซอคเกอร์ อคาเดมี่ ที่ยอดเยี่ยม

6 ปีในแอนฟิลด์ กับช่วงเวลาที่ไม่เคยเป็นใจ

วันสุดท้ายของตลาดซื้อขายนักเตะช่วงซัมเมอร์ปี 2015 ไทโว อโวนิยี่ ได้เริ่มต้นเส้นทางค้าแข้งระดับอาชีพที่อังกฤษ กับลิเวอร์พูล ในยุคที่แบรนแดน ร็อดเจอร์ส เป็นผู้จัดการทีม ด้วยค่าตัว 400,000ปอนด์

แต่ทว่า เขาไม่สามารถลงเล่นให้กับ “หงส์แดง” ได้ เนื่องจากยังไม่มีใบอนุญาตการทำงานในอังกฤษ (เวิร์ก เพอร์มิต) จึงต้องปล่อยให้สโมสรในต่างแดนยืมตัวไปใช้งาน รวม 7 สโมสร ตลอดระยะเวลา 6 ปี

ขอบคุณภาพ https://web.facebook.com/1.FCUnionBerlin

ซึ่งสโมสรสุดท้ายที่ยืมตัวอโวนิยี่ คือ ยูนิโอน เบอร์ลิน ในฤดูกาล 2020/21 ซึ่งหลังจากจบซีซั่นดังกล่าว อโวนิยี่ได้รับเวิร์ก เพอร์มิต จากรัฐบาลอังกฤษเป็นที่เรียบร้อย โอกาสโชว์ฝีเท้าในเมืองผู้ดี ได้เปิดกว้างแล้ว

ความฝันของอโวนิยี่ที่จะได้ลงเล่นกับลิเวอร์พูล ทำท่าว่าจะเป็นจริง แต่เหมือนโชคชะตาจะไม่เข้าข้างอีกครั้ง เมื่อยูนิโอน เบอร์ลิน ตัดสินใจซื้อตัวไปร่วมทีมแบบถาวรในในซีซั่น 2021/22 ด้วยค่าตัว 6.5 ล้านปอนด์

และในซัมเมอร์นี้ ยูนิโอน เบอร์ลิน ขายอโวนิยี่ไปให้ฟอเรสต์ ด้วยค่าตัว 17.5 ล้านปอนด์ ทำให้สโมสรจากเมืองหลวงของเยอรมันทีมนี้ ต้องแบ่งเงินค่าตัว 10 เปอร์เซ็นต์ให้ลิเวอร์พูล ตามที่ระบุไว้สัญญาเมื่อปี 2021

การแยกทางของอโวนิยี่ ทำให้ลิเวอร์พูลได้รับเงิน 2 ต่อ จากกำไรในการขายนักเตะ 6.1 ล้านปอนด์ บวกกับส่วนแบ่งค่าตัวที่ได้จากยูนิโอน เบอร์ลิน อีก 1.75 ล้านปอนด์ รวมทั้งสิ้น 7.85 ล้านปอนด์

ไทโว อโวนิยี่ ไม่มีโอกาสได้สัมผัสพื้นหญ้าที่สนามแอนฟิลด์กับทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลเลยแม้แต่เกมเดียว แต่ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป กับต้นสังกัดใหม่ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นพรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบกว่า 2 ทศวรรษ

ปลดล็อกประตูแรก สู่ชัยชนะที่รอคอยมานาน

เมื่อพูดถึงน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ก็ถือเป็นสโมสรที่เคยสร้างความรุ่งเรืองในช่วงปลายยุค 1970s ด้วยการคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ 2 สมัยติดต่อกัน มากกว่าแชมป์ลีกสูงสุด ที่ได้เพียงครั้งเดียวเสียอีก

และฟอเรสต์ ก็เป็น 1 ใน 22 ทีม ที่ร่วมก่อตั้ง “พรีเมียร์ลีก” ในฤดูกาล 1992/93 แม้จะเปิดซีซั่นด้วยการเอาชนะลิเวอร์พูล 1 – 0 แต่ท้ายที่สุด พวกเขาก็ตกชั้นจากลีกสูงสุดโฉมใหม่ ตั้งแต่ซีซั่นแรก

หลังจากนั้น ฟอเรสต์ก็กลายเป็น “โย-โย่ ทีม” ขึ้น ๆ ลง ๆ หาความสม่ำเสมอไม่ได้เลย จนมาถึงฤดูกาล 1998/99 คือฤดูกาลสุดท้ายของพวกเขาในลีกสูงสุด และไม่เคยกลับไปอยู่ในจุดนั้นอีกเลย

กระทั่งสตีฟ คูเปอร์ อดีตกุนซือสวอนซี ที่เข้ามาคุมทีมแทนคริส ฮิวจ์ตัน ช่วงต้นซีซั่น 2021/22 และกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่พาฟอเรสต์ ชนะเพลย์ออฟ เลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1999

ฟอเรสต์ เริ่มต้นซีซั่นใหม่ด้วยการแพ้นิวคาสเซิล 0 – 2 ไทโว อโวนิยี่ ลงเป็นตัวสำรอง และเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ดาวเตะวัย 25 ปี ประเดิมตัวจริงเป็นนัดแรก ในนัดเปิดบ้านเฉือนชนะเวสต์แฮม 1 – 0

ลูกยิงของอโวนิยี่ ในช่วงทดเจ็บครึ่งแรก แม้ว่าจะเป็นจังหวะที่มาแบบไม่ตั้งใจในระยะเผาขน แต่กลายเป็นประตูสุดล้ำค่า ที่ช่วยให้ “เจ้าป่า” เก็บชัยชนะเป็นนัดแรก ในการคัมแบ็กสู่ลีกสูงสุดที่ห่างหายไปนาน

อโวนิยี่ กล่าวว่า “ผมใช้เวลาอยู่นานในการกลับสู่พรีเมียร์ลีก เป็นความฝันของผมที่ยิงประตูได้ และทำให้ทีมชนะ ในฐานะกองหน้า ต้องพร้อมอยู่เสมอเวลาอยู่รอบๆ ประตู ไม่ว่าจะเป็นตัวจริงหรือตัวสำรอง”

ประตูแรกของไทโว อโวนิยี่ ถือเป็นจุดเริ่มที่ดีของน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ แต่อีก 36 นัดที่เหลือของฤดูกาล ยังคงต้องเจอกับบททดสอบที่โหดหินอีกมาก เพื่อเอาตัวรอดในสมรภูมิพรีเมียร์ลีกให้ได้

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://www.skysports.com/football/news/11095/12671455/taiwo-awoniyi-from-sewing-his-own-football-boots-through-seven-liverpool-loans-to-nottingham-forest

https://theathletic.com/3373758/2022/06/25/nottingham-forest-taiwo-awoniyi-liverpool/

https://firsttimefinish.co.uk/2021/01/12/story-taiwo-awoniyi-nigerian-liverpools-doorstep/

Categories
Special Content

พรีเมียร์ลีกส่ง “จอมยุทธ์เฒ่า” ถ่ายทอดเคล็ดวิชาแก่ศิษย์วัยละอ่อน

ช่วงตลาดซัมเมอร์รอบนี้มีข่าวเล็ก ๆ เรียกรอยยิ้มจากการโปรยหัวข่าวเล่นมุขของสื่อมวลชนกับการที่สองสโมสรใหญ่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และลิเวอร์พูล เซ็นสัญญานักเตะใกล้ปลดระวางอายุสามสิบกลาง ๆ ซึ่งถ้าเป็นฝีเท้าระดับ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี คงเรียกเสียงฮือฮาไม่ใช่เสียงฮาจากแฟนบอลที่มึนตึ๊บกับชื่อของ ทอม ฮัดเดิลสโตน (35 ปี) และ เจย์ สเปียริ่ง (33 ปี) จนกระทั่งได้รับการเฉลยจากเนื้อข่าวว่า ทั้งสองโดนดึงเข้ามารับงานเพลเยอร์แอนด์โค้ชของทีมรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ซึ่งลงแข่งขันในพรีเมียร์ลีก 2 ที่พัฒนามาจากลีกทีมสำรองเมื่อครั้งอดีต

ฮัดเดิลสโตนและสเปียริ่งเป็นตัวอย่างของนักเตะอายุเกินในพรีเมียร์ลีก 2 ซึ่งกูรูลูกหนังมองว่านี่เป็น “นวัตกรรม” หรือสิ่งใหม่ที่สามารถพัฒนาวงการลูกหนังประเทศอังกฤษให้เติบโตอย่างมีนัยยะและเป็นรูปธรรม

พรีเมียร์ลีก 2 เป็นการแข่งขันฟุตบอลอังกฤษรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ซึ่งผู้เล่นในฤดูกาล 2022-23 จะต้องเกิดหลังวันที่ 1มกราคม 2001 แต่กฎอนุญาตให้สโมสรส่งผู้รักษาประตูอายุเกินลงสนามได้หนึ่งคนต่อนัด และผู้เล่นอายุเกินตำแหน่งอื่นอีกห้าคน อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่โควตาอายุเกินจะเป็นนักเตะอายุประมาณ 22-23 ปี ขณะที่นักเตะวัยใกล้แขวนสตั๊ดจึงเป็นความแปลกใหม่ (ก่อนหน้านี้ พรีเมียร์ลีก 2 เป็นลีก ยู-23 แต่เพิ่งปรับลงเหลือ ยู-21 ในซีซั่นนี้เพื่อให้ใกล้เคียงอายุเฉลี่ยจริงที่ลงแข่งขัน)

การเข้ามาของนักเตะวัยเก๋าไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อชัยชนะ แต่จะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้คำแนะนำแก่นักเตะวัยละอ่อนทั้งระหว่างการแข่งขันและขณะฝึกซ้อมทุกวัน

เมื่อปีที่แล้ว เซาแธมป์ตันเซ็นสัญญากับ โอลลีย์ แลงคาเชียร์ ซึ่งกลับมาสวมยูนิฟอร์มทีมนักบุญแดนใต้อีกครั้งแม้เป็นชุด ยู-23 หลังจากใช้เวลา 11 ปีกับหลายสโมสรในลีกรองอย่าง วอลซอลล์, อัลเดอร์ชอต, โรชเดล, ชรูว์บิวรี, สวินดอน และครูว์ 

เซ็นเตอร์แบ็ควัย 33 ปี กล่าวถึงบทบาทนักเตะอายุเกินในพรีเมียร์ลีก 2 ว่า “งานของผมคือการวางมาตรฐาน ผมต้องแสดงให้พวกเขาเห็นทุกวันว่าอะไรเป็นสิ่งที่นักฟุตบอลอาชีพควรทำหรือวางตัวอย่างไร ไม่ว่าคุณจะเล่นในทีมชุดใหญ่พรีเมียร์ลีกหรือลีกทู”

“สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมให้พวกเขาเกิดความคุ้นเคย ไม่ประหลาดใจเวลาเจอของจริง อีกนัยหนึ่งผมจะสอนให้เด็กๆตระหนักว่าพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายอะไรบ้างที่รออยู่ข้างหน้าหากต้องการเป็นนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จ”

ทางด้าน เจย์ สเปียริ่ง เป็นนักเตะที่เติบโตจากอะคาเดมีของลิเวอร์พูล อยู่ในทีมเยาวชนระหว่างปี 1997 – 2008 แต่มีโอกาสลงสนามให้ทีมชุดใหญ่หงส์แดงในบอลลีกเพียง 30 นัดระหว่างปี 2008 –  2013 จากนั้นย้ายไปค้าแข้งกับ โบลตัน, แบล็คพูล และทรานเมียร์ ก่อนกลับมาทำงานในแอนฟิลด์อีกครั้ง

มิดฟิลด์ตัวรับวัย 33 ปี กล่าวว่า “ถ้าเด็กๆต้องการคำแนะนำจากผมไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ผมจะเป็นเสมือนหนังสือคู่มือให้พวกเขาพลิกหาคำตอบ งานของผมก็คือเป็นคนชี้นำและช่วยพวกเขาได้เติบโตอย่างเหมาะสมเพื่อขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่”

“พรีเมียร์ลีก 2” สนามของเหล่านกน้อยหัดบิน

พรีเมียร์ลีก 2 เป็นส่วนหนึ่งของระบบพัฒนาฟุตบอลระดับเยาวชนในประเทศอังกฤษ บริหารจัดการและควบคุมโดยพรีเมียร์ลีก เดิมทีเป็นลีกของนักฟุตบอลอายุไม่เกิน 23 ปี ก่อนปรับอายุลงมาเหลือ 21 ปีในฤดูกาล 2022-23 เนื่องจากอายุเฉลี่ยของทีมส่วนใหญ่อยู่ที่ 19 ปี

ขอบคุณภาพจาก  https://www.premierleague.com/premier-league-2-explained

พรีเมียร์ลีก 2 ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อให้นักเตะเยาวชนได้รับประสบการณ์ใกล้เคียงกับทีมชุดใหญ่มากที่สุดทั้งในเรื่องของเทคนิค สภาพร่างกาย และระดับความเข้มข้นของการแข่งขัน เป็นกระบวนการหนึ่งเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนก้าวขึ้นสู่เกมระดับซีเนียร์ นอกจากเกมลีกแล้วยังมีบอลถ้วย อีเอฟแอล โทรฟี และการแข่งขันระดับนานาชาติ

พรีเมียร์ลีก 2 แบ่งเป็นสองระดับคือ ดิวิชั่น 1 จำนวน 14 สโมสร และ ดิวิชั่น 2 จำนวน 11 สโมสร จัดการแข่งขันแบบเหย้าเยือน ซึ่งเมื่อเตะครบตามโปรแกรม ทีมที่จบอันดับหนึ่งของดิวิชั่น 1 จะครองแชมป์ สองทีมสุดท้ายของดิวิชั่น 1 จะตกลงไปเล่นดิวิชั่น 2 ขณะที่แชมป์ดิวิชั่น 2 จะเลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่ดิวิชั่น 1 โดยอัตโนมัติ ส่วนทีมอันดับสองถึงห้าจะแข่งขันรอบเพลย์ออฟ ทีมอันดับสองจะเล่นในบ้านกับทีมอันดับห้า ทีมอันดับสามจะเล่นในบ้านกับทีมอันดับสี่ ทีมชนะจะผ่านเข้าไปแข่งรอบชิงชนะเลิศซึ่งจัดในบ้านของทีมที่มีอันดับสูงกว่า เพื่อแย่งสิทธิเลื่อนชั้นไปยังดิวิชั่น 1

เกมเพลย์ออฟจะเตะแค่นัดเดียว หากเสมอในเวลาปกติจะต่อเวลาพิเศษ ซึ่งหากยังเสมอในเวลา 120 นาที จะตัดสินด้วยการยิงลูกจุดโทษ ทั้งนี้ไม่มีการตกชั้นจากดิวิชั่น 2

สรุปทีมชนะเลิศพรีเมียร์ลีก 2 ดิวิชั่น 1 ที่ผ่านมา

  • 2021-22 แมนเชสเตอร์ ซิตี
  • 2020-21 แมนเชสเตอร์ ซิตี
  • 2019-20 เชลซี
  • 2018-19 เอฟเวอร์ตัน
  • 2017-18 อาร์เซนอล
  • 2016-17 เอฟเวอร์ตัน
  • 2015-16 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
  • 2014-15 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
  • 2013-14 เชลซี
  • 2012-13 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

“ฮัดเดิลสโตน” ช่วยพัฒนา ซาเวจ, อิกบาล, เมจ์บรี ป้อนชุดใหญ่

สำหรับ ทอม ฮัดเดิลสโตน เพิ่งถูกฮัลล์ปล่อยตัวหลังสิ้นสุดฤดูกาลที่แล้ว มิดฟิลด์ตัวรับวัย 35 ปี คงไม่แปลกใจหากได้รับการติดต่อจากสโมสรในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ซึ่งอาจต้องการเซ็นสัญญากับเขาเพียงหนึ่งปี ไม่ใช่ยักษ์ใหญ่ที่พยายามตื่นจากการหลับใหลอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

แม้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในแผนงานของเอริค เทน ฮาก กุนซือไฟแรงชาวดัตช์ แต่ฮัดเดิลสโตนก็อดตื่นเต้นไม่ได้กับบทบาท “ไฮบริด” ในทีม ยู-21 ของปีศาจแดง เป็นงานเดียวกับ พอล แม็คเชน อดีตกองหลังวัย 36 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าของผู้เล่นโควตาอายุเกินในทีม ยู-23 ฤดูกาลที่แล้ว

โดยแม็คเชนเคยเป็นนักเตะเยาวชนของแมนฯ ยูไนเต็ด ระหว่างปี 2002 – 2004 ก่อนถูกโปรโมทขึ้นชุดใหญ่ระหว่างปี 2004 – 2006 แต่ถูกปล่อยยืมให้กับวอลซอลล์และไบรท์ตัน ไม่เคยเล่นให้ทีมซีเนียร์ของปีศาจแดงเลย

สำหรับซีซั่นนี้ ฮัดเดิลสโตนรับหน้าที่เพลเยอร์แอนด์โค้ชแทนแม็คเชน อดีตเพื่อนร่วมทีมฮัลล์ของเขา ซึ่งเลื่อนขึ้นไปเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมของ มาร์ค เดมพ์ซีย์ วัย 58 ปี โดยฮัดเดิลสโตนโพสต์ผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวหลังเซ็นสัญญาว่า

“ราวกับลอยขึ้นไปยังดวงจันทร์เพื่อประกาศว่า ผมได้รับโอกาสจากสโมสรฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ให้ช่วยทำหน้าที่โค้ชและพัฒนาทักษะความสามารถของเหล่านักเตะรุ่นใหม่ ผมรู้สึกซาบซึ้งและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะกลับไปร่วมงานกับนักเตะรุ่นเด็กอีกครั้ง”

แมนฯ ยูไนเต็ด มั่นใจในประสบการณ์ของฮัดเดิลสโตนในระดับซีเนียร์ 582 นัดกับหลายสโมสรวมถึง ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์, ดาร์บี และฮัลล์ รวมถึงทีมชาติอังกฤษอีก 4 นัด จะมีส่วนสำคัญต่อพัฒนาการทั้งในและนอกสนามแข่งขันของเหล่าปีศาจแดงรุ่นละอ่อนอย่างเช่น ชาร์ลี ซาเวจ, ซีดาน อิกบาล และ ฮันนิบาล เมจ์บรี ซึ่งเคยประเดิมยูนิฟอร์มทีมชุดใหญ่มาแล้ว

นิค ค็อกซ์ ผู้อำนวยการอะคาเดมีของแมนฯ ยูไนเต็ด ให้สัมภาษณ์ว่า “เรายินดีที่ได้ทอมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของผู้เชี่ยวชาญด้านโค้ชชิ่งผ่านกระบวนการพัฒนาวิชาชีพ (Professional Development Phase) ซึ่งด้วยนวัตกรรมใหม่ที่เราใช้แต่งตั้งเพลเยอร์แอนด์โค้ชเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ได้รับผลสำเร็จอย่างแท้จริงและสร้างประโยชน์ให้อย่างมากให้กับอะคาเดมี”

เส้นทางเติบโตของอดีตโค้ชทีมเยาวชน “ลิเวอร์พูล”

เจย์ สเปียริ่ง กองกลางวัย 33 ปี ยอมรับว่าเขาเหมือนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกเมื่อได้กลับมาแอนฟิลด์อีกครั้งหลังหายไปเกือบสิบปีโดยได้รับข้อเสนอเพลเยอร์แอนด์โค้ชของลิเวอร์พูล ยู-21 และยังเป็นโค้ชเต็มเวลาของทีม ยู-18 อีกด้วย

“ก่อนหน้านี้ ผมเคยทำงานสองปีกับทีม ยู-15 และ ยู-16 ขณะได้รับ เอ ไลเซนส์ของยูฟ่า จนวันหนึ่งอเล็กซ์ (อิงเกิลธอร์พ ผู้จัดการอะคาเดมีของลิเวอร์พูล) ได้ติดต่อเข้ามาสอบถามว่าสนใจรับงานผู้เล่นและโค้ชหรือเปล่า ซึ่งไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ผมจะเดินหนีหันหลังให้ งานนี้ส่งผลทางบวกต่อผมมากมายเหลือเกิน”

“ความจริงแล้ว ผมได้คุยกับ (พอล) แม็คเชนก่อนตอบรับงานนี้ เขาบอกว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมสำหรับเขา หลายคนพูดว่าคุณควรเล่นฟุตบอลต่อไปตราบเท่าที่ยังสามารถทำได้ แต่เมื่อโอกาสแบบนี้เข้ามา มันเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง ผมไม่มีทางตอบปฏิเสธได้แน่นอน”

สเปียริ่งใช้เวลา 15 ปีกับลิเวอร์พูล ลงสนามให้ทีมชุดใหญ่ 55 นัดรวมทุกรายการ เคยได้แชมป์ลีกคัพและรองแชมป์เอฟเอ คัพ ปี 2012 ก่อนโบกมืออำลาแอนฟิลด์เมื่อปี 2013 อย่างไรก็ตามเขามีประสบการณ์เกมซีเนียร์กว่า 450 นัด

“ผมเห็นอะไรมามากมายในเกมฟุตบอล ผมสัมผัสประสบการณ์ทั้งสูงและต่ำ เลื่อนชั้นและตกชั้น ผมทำงานภายใต้ผู้จัดการทีมที่แตกต่างกัน รวมถึงเจ้าของสโมสรที่หลากหลาย จะว่าไปผมได้เห็นเกือบทุกอย่างที่คุณอยากได้เห็น”

“ผมหวังจะใช้ประสบการณ์เหล่านี้ในฐานะโค้ช บทบาทหลักคือนำตัวเองเข้าไปอยู่ท่ามกลางเด็กๆ สร้างมาตรฐานในสนามฝึกซ้อม และพยายามโชว์ให้พวกเขาเห็นว่าอะไรสมควรเป็นในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ”

สเปียริ่งยังได้คุยกับอดีตเพื่อนร่วมทีม สตีเวน เจอร์ราร์ด ซึ่งปัจจุบันคุมทีมแอสตัน วิลลา แต่ก่อนหน้านั้น “สตีวี จี” ร่วมงานสตาฟฟ์โค้ชระดับเยาวชนของลิเวอร์พูล เคยคุมทีม ยู-18 และ ยู-19 ก่อนย้ายไปเป็นผู้จัดการทีมเรนเจอร์ส เอฟซี ในเดือนเมษายน 2018 และพาสโมสรครองแชมป์สกอตติช พรีเมียร์ชิพ ฤดูกาล 2021-22 ซึ่งเป็นสมัยแรกในรอบสิบปี

“เขาเล่าว่าทำผิดพลาดมากมายสมัยเริ่มงานโค้ชช่วงแรกๆ แต่กุญแจสำคัญคือให้มันเกิดขึ้นหลังประตูที่ถูกปิด นั่นเป็นสาเหตุที่เขาเริ่มงานโค้ชที่ลิเวอร์พูล ซึ่งเขาสามารถเรียนรู้และพัฒนา ทั้งหมดเป็นคำแนะนำที่เยอร์เกน คล็อปป์ ให้กับเขา”

“คุณต้องฟังคนแบบเขา เขาเป็นคนที่รู้เรื่องเกมดีทั้งจากข้างนอกข้างใน อาจไม่จำเป็นต้องตามเขาทุกฝีเท้า ก็เพราะใครล่ะที่จะตามคนอย่างสตีเวน เจอร์ราร์ด ได้ทุกย่างก้าว ท้ายสุดคุณต้องเดินบนเส้นทางของตัวเอง และหวังว่ามันจะเป็นอาชีพที่ยาวนานมั่นคง”

เหมือนอย่าง สตีฟ คูเปอร์ ที่เพิ่งพาน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ กลับขึ้นมาพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 23 ปี หรืออย่าง ไมเคิล บีล ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งผู้จัดการทีมควีนสปาร์ค เรนเจอร์ส ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หรืออย่าง โรดอลโฟ บอร์เรลล์ ที่ปัจจุบันเป็นมือสองของเป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่แมนเชสเตอร์ ซิตี หรืออย่าง ไมค์ มาร์ช ที่เป็นผู้ช่วยของไรอัน โรว์ ที่เปรสตัน นอร์ธเอนด์ หรืออย่าง เป๊ป ลิจ์นเดอร์ส ที่เป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของลิเวอร์พูลยุคปัจจุบัน ทั้งหมดเติบโตขึ้นมาจากการคุมทีมลิเวอร์พูล ยู-16, ยู-18 หรือ ยู-23

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา

Categories
Special Content

เมื่อ “เอฟเอ” เริ่มทดลองใช้กฎห้ามเด็กต่ำกว่า 12 ขวบ “โหม่งบอล”

สมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือ เอฟเอ ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการสมาคมฟุตบอลระหว่างประเทศ (IFAB) ให้ทดลองใช้มาตรการห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี โหม่งลูกบอล ตลอดฤดูกาล 2022/23

ซึ่งมาตรการดังกล่าว ครอบคลุมทุกระดับ ตั้งแต่รากหญ้า, โรงเรียน, สโมสร ไปจนถึงลีก เพื่อป้องกันผลข้างเคียงทางสมอง ในอนาคต และถ้าพิสูจน์ว่าประสบความสำเร็จ จะประกาศใช้อย่างเป็นทางการในซีซั่นถัดไป

แล้ววงการลูกหนังเมืองผู้ดี ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวอย่างไร ? SoccerSuck x ไข่มุกดำ จะมาขยายความให้ฟังกันครับ

“โอมาลู” ผู้ที่ทำให้โลกรู้จัก CTE

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกันยายน ปี 2002 วงการกีฬาสหรัฐอเมริกาได้สูญเสีย ไมค์ เว็บสเตอร์ ตำนานนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลของพิตต์สเบิร์ก สตีลเลอร์ส จากไปด้วยอาการหัวใจวาย ในวัย 50 ปี

สมัยที่เว็บสเตอร์เป็นนักกีฬาอาชีพในเอ็นเอฟเอล ได้รับฉายาว่า “ไอรอน ไมค์” เนื่องจากเขาใช้ศีรษะที่อยู่ภายใต้หมวกเหล็ก พุ่งชนคู่ต่อสู้ กลายเป็นภาพที่แฟนกีฬาคนชนคนจดจำได้เป็นอย่างดี

โดยผู้ที่รับหน้าที่ชันสูตรศพ คือ นพ.เบนเน็ต โอมาลู แพทย์ชาวไนจีเรีย ซึ่งได้ผ่าตัดเอาสมองของเว็บสเตอร์มาวินิจฉัย ภายนอกดูปกติ แต่เมื่อนำเนื้อเยื่อสมองไปฉีดสี ก็พบความผิดปกติในที่สุด

ซึ่งนพ. โอมาลู ได้ตั้งชื่อว่า ภาวะสมองเสื่อมรุนแรงเรื้อรัง (Chronic Traumatic Encephalopathy : CTE) คือภาวะที่สมองไม่สามารถสั่งการได้ตามปกติ เนื่องจากการส่งสัญญาณของระบบประสาทที่ติดขัด

ความน่ากลัวของ CTE คือ ในช่วงแรกจะไม่แสดงอาการชัดเจน แต่ถ้าได้รับบาดเจ็บจากแรงกระทบกระเทือนทางสมองซ้ำๆ สะสมเรื้อรังเป็นเวลานานหลายสิบปี ก็จะทำให้อาการทวีความรุนแรงมากขึ้น

นพ. โอมาลู กล่าวว่า “ในมุมมองของผม อาชีพนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล ไม่ต่างอะไรจากทหารในสนามรบ ผมคิดว่านักกีฬาประเภทนี้มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ กำลังมีอาการบางอย่าง หรือเจ็บป่วยจากภาวะ CTE”

จากกรณีการเสียชีวิตของเว็บสเตอร์ ทำให้ในปี 2011 กีฬาเอ็นเอฟแอล ได้มีการเปลี่ยนแปลงกติกาครั้งสำคัญ เพื่อลดการปะทะของผู้เล่น โดยเริ่มจากขยับระยะการเตะเปิดลูก จากเดิม 30 หลา เป็น 35 หลา

ตามด้วยการเพิ่มความปลอดภัยสูงสุด ด้วยการไม่ให้หมวกกันกระแทกที่สวมใส่ ปะทะกันโดยเด็ดขาด พร้อมกับจัดเตรียมนักประสาทวิทยา ประจำการในแต่ละสนาม เพื่อเช็คสภาพร่างกายของผู้เล่นได้ทันที

บทเรียนจากตำนานลูกหนังในอดีต

“ลูกโหม่ง” ถือเป็นหนึ่งในจังหวะคลาสสิกที่อยู่คู่กับกีฬาฟุตบอลมาทุกยุคทุกสมัย นักฟุตบอลในอดีตหลายๆ คน ต่างเคยมีประสบการณ์โหม่งทำประตูมาแล้วอยู่บ่อยๆ จนพาทีมประสบความสำเร็จมามากมาย

อย่างไรก็ตาม ได้มีนักฟุตบอลระดับตำนานในสมัยก่อน เริ่มที่จะมีอาการป่วยด้วยภาวะสมองเสื่อมมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีการตั้งข้อสงสัยว่า สาเหตุที่แท้จริงของภาวะดังกล่าว เกิดจากการโหม่งบอลที่มากเกินไปหรือไม่ ?

จุดเริ่มต้นที่วงการฟุตบอลอังกฤษให้ความสำคัญกับการโหม่งบอล คือกรณีของเจฟฟ์ แอสเทิล อดีตศูนย์หน้าจอมโหม่งประตูของทีมชาติอังกฤษ และเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ที่เสียชีวิตไปเมื่อปี 2002 ด้วยวัย 59 ปี

แอสเทิล ถือเป็นนักฟุตบอลคนแรกของเกาะอังกฤษ ที่ถูกตรวจพบว่าเป็นโรคสมองเสื่อม ซึ่งในตอนแรก มีการระบุสาเหตุการเสียชีวิตแบบกว้างๆ ว่า เป็น “อาการทั่วไป” ที่เกิดขึ้นเป็นปกติในวงการฟุตบอลอังกฤษ

จนกระทั่งในปี 2014 ได้มีการเรียกร้องขอความเป็นธรรม ภายใต้แคมเปญ “Justice ofr Jeff” ให้มีการสืบสวนสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงของแอสเทิล และท้ายที่สุดก็ได้รับการยืนยันว่า เขาเสียชีวิตด้วยภาวะ CTE

นพ. โอมาลู ผู้ค้นพบ CTE กล่าวว่า “สมองมนุษย์ เปรียบได้กับบอลลูนที่ลอยอยู่ในกะโหลก เมื่อโหม่งลูกฟุตบอล สมองจะลอยตัวไปกระแทกกับกะโหลก ทำให้เกิดรอยช้ำ ยิ่งมีการโหม่งบ่อย ๆ จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิด CTE เมื่ออายุมากขึ้น”

มีการตั้งข้อสันนิษฐานว่า ลูกฟุตบอลในสมัยก่อนมีน้ำหนักที่มาก และจะหนักขึ้นกว่าเดิมถ้ามีการอุ้มน้ำ เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ลูกฟุตบอลถูกออกแบบมาให้มีน้ำหนักเบา และนักเตะเริ่มรู้เทคนิคในการโหม่งบอลที่ถูกต้อง

แต่สำหรับเกมฟุตบอลในปัจจุบัน ที่กลายเป็นธุรกิจแบบเต็มตัว การหลีกเลี่ยงการใช้ลูกโหม่งเพื่อทำประตู คงเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก ๆ ตราบใดที่ผลประโยชน์ของทีมฟุตบอล สำคัญกว่าความปลอดภัยและชีวิตของนักเตะ

ว่าด้วยเรื่อง “กฎการโหม่งบอล”

จากงานวิจัยที่ระบุว่า นักฟุตบอลอาชีพมีโอกาสเสียชีวิตจากภาวะสมองเสื่อมมากกว่าคนทั่วไปถึง 3.5 เท่า ทำให้ในบางประเทศ เริ่มที่จะเพิ่มมาตรการเพื่อลดการโหม่งบอลสำหรับเด็กที่อายุไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนด

เมื่อปี 2015 สหรัฐอเมริกาได้ออกกฎห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 11 ขวบโหม่งบอลโดยเด็ดขาด เพราะผู้ปกครองกังวลว่าสมองของเด็กๆ จะได้รับการกระทบกระเทือน ส่วนเด็กอายุ 11-13 ปี จะจำกัดจำนวนครั้งในการโหม่ง

ต่อมาในปี 2020 สมาคมฟุตบอลอังกฤษ, สมาคมฟุตบอลสกอตแลนด์ และสมาคมฟุตบอลไอร์แลนด์เหนือ ร่วมกันออกกฎห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี โหม่งบอลในสนามซ้อม แต่ในสนามจริงยังอนุญาตให้ใช้ลูกโหม่งได้

จนกระทั่งฤดูกาล 2021/22 ที่ผ่านมา บรรดาองค์กรฟุตบอลของอังกฤษ ได้ร่วมมือกันในการบังคับใช้กฎโหม่งบอลเป็นครั้งแรก โดยมีผลกับการแข่งขันทุกเพศ ทุกวัย ทุกระดับ ตั้งแต่ลีกอาชีพ จนถึงลีกสมัครเล่น

ซึ่งสาระสำคัญของกฎนี้คือ “ให้จำกัดการโหม่งบอลในสนามซ้อม จากลูกเปิดระยะไกลกว่า 35 เมตรทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นลูกเปิดจากริมเส้น, ลูกเตะมุม, ลูกฟรีคิก และอื่นๆ ไม่เกิน 10 ครั้งต่อสัปดาห์”

มาร์ค บูลลิงแฮม ซีอีโอของเอฟเอ กล่าวว่า “เราจะศึกษาผลวิจัยทางการแพทย์เพิ่มเติม เพื่อทำความเข้าใจกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในทุกกรณี เราเชื่อว่าแนวทางนี้จะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต”

ล่าสุด ในซีซั่น 2022/23 เอฟเอได้ทดลองใช้มาตรการห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี โหม่งลูกบอลโดยเด็ดขาด ทั้งในสนามซ้อมและสนามแข่ง หากผลการทดลองเป็นที่น่าพอใจ ก็จะบังคับใช้จริงในซีซั่น 2023/24

แม้ผลการวิจัยในเรื่องการป้องกันภาวะสมองเสื่อม ยังคงต้องใช้เวลาพิสูจน์อีกนานมากๆ แต่ความพยายามที่จะลด หรือห้ามการโหม่งบอลในเด็ก ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทุกฝ่ายต่างเห็นความสำคัญร่วมกัน

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

– https://www.thefa.com/news/2022/jul/18/statement-heading-trial-u12-games-20221807

https://www.telegraph.co.uk/football/2022/07/18/heading-banned-under-12s-landmark-english-football-trial/

https://www.bbc.com/sport/football/62208661

https://www.bbc.com/sport/football/44367148

– https://theathletic.com/2735831/2021/07/29/explained-english-footballs-new-heading-guidelines-what-are-they-how-will-they-work-will-there-be-punishments/

Categories
Special Content

5 นักเตะใหม่ที่น่าจับตามองในลาลีกา ซีซั่น 2022/23

ฟุตบอลลาลีกา ฤดูกาล 2022/23 ที่กำลังจะเริ่มขึ้นในคืนวันศุกร์ที่ 12 สิงหาคมนี้ ทั้ง 20 สโมสรได้มีการเสริมนักเตะใหม่กันอย่างคึกคักกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา มีทั้งการซื้อขายในลีกสเปน และการดึงนักเตะจากลีกต่างแดน

ซึ่งบางดีล ได้รับการคาดหมายว่า เป็นดีลที่โดดเด่น มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก มาดูกันว่า 5 นักเตะใหม่ที่ย้ายทีมเข้ามาแล้ว มีแววจะทำผลงานได้ดี และน่าจับตามองในซีซั่นใหม่นี้ จะมีใครบ้าง

หลุยส์ ฟิลิปเป้ (ลาซิโอ ไป เรอัล เบติส)

เซ็นเตอร์แบ็กเชื้อสายบราซิล-อิตาลี วัย 25 ปี กับประสบการณ์ 5 ฤดูกาลที่ลาซิโอ น่าจะเข้ามาช่วยยกระดับเกมรับของเรอัล เบติสให้แกร่งมากขึ้น เพื่อเป้าหมายในการพาทีมเข้าร่วมศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ได้

สไตล์การเล่นของหลุยส์ ฟิลิปเป้ เป็นนักเตะที่สามารถเปลี่ยนการเล่นจากรับเป็นรุก ซึ่งเขาน่าจะเข้ากับทีมของมานูเอล เปเยกรินี่ ได้เป็นอย่างดี และช่วยให้ต้นสังกัดใหม่ประสบความสำเร็จในการติดอันดับท็อปโฟร์

ทาตี้ คาสเตลลานอส (นิวยอร์ก ซิตี้ ไป กิโรน่า)

กองหน้าชาวอาร์เจนติน่าวัย 23 ปี ที่ทำประตูให้กับนิวยอร์ก ซิตี้ 49 ประตู จาก 101 นัด สำหรับในซีซั่นสุดท้ายที่อเมริกา เขาคว้ารางวัลดาวซัลโวของเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ และพาทีมคว้าแชมป์ เอ็มแอลเอส คัพ ได้สำเร็จ

สไตล์การเล่นของทาตี้ คาสเตลลานอส เป็นนักเตะที่ทำประตูได้ดี ทั้งในและนอกเขตโทษ และมีความมุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ตัวเองในลีกใหญ่ของยุโรป เพื่อพาทีมน้องใหม่อย่างกิโรน่า อยู่รอดในลีกสูงสุดแดนกระทิงดุ ซีซั่นนี้ให้ได้

โฆเซ่ หลุยส์ โมราเลส (เลบันเต้ ไป บียาร์เรอัล)

ดาวเตะชาวสเปนวัย 35 ปี มีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมกับเลบันเต้ เขากลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของสโมสร โดยยิงได้ถึง 62 ประตูในลาลีกา น่าเสียดายที่ซีซั่นสุดท้ายของเขา ไม่สามารถพาทีมอยู่รอดในลีกสูงสุดต่อไปได้

การที่โฆเซ่ หลุยส์ โมราเลส ย้ายมาร่วมทีมบียาร์เรอัลในฤดูกาลนี้ ทำให้มีโอกาสได้สัมผัสกับฟุตบอลถ้วยสโมสรยุโรปเป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ ที่แฟนลาลีกาอาจจะได้เห็นคุณภาพที่ดีที่สุดจากเขา

อักเซล วิตเซล (โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ไป แอตเลติโก มาดริด)

กองกลางมากประสบการณ์ของทีมชาติเบลเยียมวัย 33 ปี เคยผ่านทัวร์นาเมนต์ใหญ่ทั้งฟุตบอลโลก และฟุตบอลยูโร อย่างละ 2 สมัย รวมถึงเคยค้าแข้งนอกประเทศบ้านเกิด ทั้งโปรตุเกส, รัสเซีย, จีน และเยอรมัน

อักเซล วิตเซล น่าจะเข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับแผงมิดฟิลด์ของแอตเลติโก มาดริดให้มากกว่าฤดูกาลที่แล้ว พร้อมอาวุธลับในการยิงประตูจากลูกเซตพีซ และลูกยิงระยะไกล ที่อาจทำให้ทีมคู่แข่งเจอกับฝันร้าย

ปาโบล ตอร์เร่ (ราซิ่ง ซานตานเดร์ ไป บาร์เซโลน่า)

มิดฟิลด์ตัวรุกวัย 19 ปี ที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นกับราซิ่ง ซานตานเดร์ เมื่อฤดูกาลที่แล้ว โดยยิงได้ 10 ประตู พาทีมเลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 2 ในซีซั่นถัดไป เขามีจุดเด่นในเรื่องการเลี้ยงบอลผ่านแนวรับคู่แข่งได้อย่างยอดเยี่ยม

การย้ายมาร่วมทีมบาร์เซโลน่าในฤดูกาลนี้ ถือเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่สำหรับปาโบล ตอร์เร่ และมีโอกาสแจ้งเกิดแบบเดียวกับเปดรี้ ที่ย้ายจากลาส พัลมาส สู่บาร์ซ่า ในปี 2020 ได้อย่างแน่นอน ถ้าสามารถพิสูจน์ตัวเองได้ดีพอ

และนี่คือส่วนหนึ่งของดีลนักเตะใหม่ที่น่าสนใจในลาลีกา สเปน ใครจะสามารถแจ้งเกิดกับสโมสรใหม่ได้สำเร็จ หรือใครที่ย้ายมาแล้วล้มเหลวไม่เป็นท่า ตลอด 9 เดือนนับจากวันนี้ไป จะได้ทราบคำตอบอย่างแน่นอน

Categories
Special Content

ทำเนียบดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาล ของ 20 สโมสรลาลีกา 2022/23

“การทำประตู” ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์คลาสสิกที่เกิดขึ้นในการแข่งขันฟุตบอล และมีนักเตะบางคน ที่สร้างความมหัศจรรย์ ด้วยการยิงประตูเป็นกอบเป็นกำ จนถูกยกย่องให้เป็น “ตำนาน” ของสโมสรนั้น ๆ

ในประวัติศาสตร์ของลาลีกา สเปน ตลอด 91 ฤดูกาลที่ผ่านมา มีนักเตะทีทำประตูได้มากที่สุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วยลิโอเนล เมสซี่,  คริสเตียโน่ โรนัลโด้, เทลโม ซาร์ร่า, อูโก้ ซานเชซ และราอูล กอนซาเลซ

นอกจากดาวซัลโวประจำการแข่งขันแล้ว ยังมีนักเตะที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ทำประตูได้มากที่สุดของแต่ละสโมสรด้วย และนี่คือรายชื่อดาวยิงสูงสุดตลอดกาล ของทั้ง 20 ทีม ในลีกสูงสุดแดนกระทิงดุ ซีซั่น 2022/23

แอธเลติก บิลเบา : เทลโม ซาร์ร่า (251 ประตู)

เทลโม ซาร์ร่า อดีตเจ้าของสถิติดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของลาลีกา 251 ประตู จาก 277 นัดกับบิลเบา และชื่อของเขา ถูกนำไปตั้งเป็นรางวัล “ซาร์ร่า โทรฟี่” ที่มอบให้กับดาวซัลโวชาวสเปนในแต่ละซีซั่น

แอตเลติโก มาดริด : อาเดรียน อเสคูเดโร่ (150 ประตู)

อาเดรียน อเสคูเดโร่ เคยค้าแข้งให้กับแอต.มาดริด ในช่วงทศวรรษที่ 1940s ถึง 1950s และทำไปได้ถึง 150 ประตู จากการลงเล่น 287 นัด เฉพาะในลีกสูงสุด และจนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่มีใครที่ทำลายสถิตินี้ได้

โอซาซูน่า : ซาบิโน่ อันโดเนกุย (57 ประตู)

ซาบิโน่ อันโดเนกุย ลงเล่นให้กับโอซาซูน่ามามากกว่า 10 ฤดูกาล ในช่วงทศวรรษที่ 1950s ถึง 1960s ยิงได้ 57 ประตู จาก 131 นัด ในลาลีกา และสถิติดาวซัลโวตลอดกาลของเขา ก็ยังคงอยู่จนถึงตอนนี้

กาดิซ : มากิโก้ กอนซาเลซ (41 ประตู)

ช่วงที่ค้าแข้งกับกาดิซ มากิโก้ กอนซาเลซ ทำได้ 41 ประตู จาก 149 นัดในลาลีกา ทำให้สหพันธ์ประวัติศาสตร์และสถิติฟุตบอลนานาชาติ (IFFHS) ยกให้เป็นผู้เล่นชาวเอล ซัลวาดอร์ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา

เอลเช่ : ฮวน อังเคล โรเมโร่ อิซาซี่ (79 ประตู)

ฮวน อังเคล โรเมโร่ อิซาซี่ อดีตกองหน้าชาวปารากวัยของเอลเช่ ในช่วงทศวรรษที่ 1960s ถึง 1970sยังคงเป็นเจ้าของสถิติดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของสโมสรแห่งนี้ ด้วยผลงาน 79 ประตู จาก 183 นัดในลาลีกา

บาร์เซโลน่า : ลิโอเนล เมสซี่ (474 ประตู)

เจ้าของสถิติดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของบาร์เซโลน่า คงเป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกจากลิโอเนล เมสซี่ ซูเปอร์สตาร์ชาวอาร์เจนติน่า ลงเล่นตั้งแต่ปี 2004 – 2021 ถล่มตาข่ายได้ถึง 474 ลูก จาก 520 นัดเฉพาะในลีก

เกตาเฟ่ : มานู เดล โมราล (37 ประตู)

มานู เดล โมราล อดีตกองหน้าชาวสเปน ลงเล่นให้กับเกตาเฟ่ ตั้งแต่ซีซั่น 2006/07 ถึง 2010/11 ทำได้ 37 ประตู จาก 159 ในลาลีกา ซึ่งเขายังคงเป็นเจ้าของสถิติดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของสโมสรจนถึงตอนนี้

กิโรน่า : คริสเตียน ซตูอานี่ (40 ประตู)

คริสเตียน ซตูอานี่ แม้จะเคยเล่นในลีกสูงสุดเพียงแค่ 2 ฤดูกาล แต่ยิงไปถึง 40 ประตู จาก 65 นัด และในฤดูกาลนี้ ก็หวังจะทำประตูเพิ่มอีก เพื่อครองสถิติดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของสโมสรนี้ไว้ให้นานที่สุด

ราโย บาเยกาโน่ : อัลแบร์โต้ บูเอโน่ (28 ประตู)

อัลแบร์โต้ บูเอโน่ อดีตแข้งอคาเดมี่ของเรอัล มาดริด เคยค้าแข้งอยู่กับราโย บาเยกาโน่ 2 ซีซั่น ทำได้ 28 ประตู จาก 73 นัดในลีกสูงสุด ซึ่งทำให้เขาเป็นเจ้าของสถิติดาวซัลโวสูงสุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรนี้

เซลต้า บีโก้ : ยาโก้ อัสปาส (133 ประตู)

8 ฤดูกาลในลาลีกาของยาโก้ อัสปาส กับเซลต้า บีโก้ ยิงได้ 133 ประตู จากการลงเล่น 269 นัด และแน่นอนว่า เขายังมีโอกาสเพิ่มสถิติไปได้เรื่อย ๆ ตราบใดที่สโมสรของเขา ยังคงโลดแล่นอยู่บนเวทีลีกสูงสุด

เอสปันญ่อล : ราอูล ตามูโด้ (130 ประตู)

ราอูล ตามูโด้ ตำนานกองหน้าชาวสเปน ช่วงปลายทศวรรษที่ 1990s ถึง 2000s ลงเล่นกับเอสปันญ่อล13 ฤดูกาล ทำได้ 130 ประตู จาก 340 นัด เฉพาะในลาลีกา ยึดอันดับ 1 ดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของสโมสร

เรอัล มายอร์ก้า : ซามูเอล เอโต้ (54 ประตู)

ก่อนที่จะโด่งดังกับบาร์เซโลน่า ซามูเอล เอโต้ กองหน้าชาวแคเมอรูน เป็นนักเตะเจ้าของสถิติดาวยิงสูงสุดอันดับ 1 ในประวัติศาสตร์ของเรอัล มายอร์ก้า ด้วยผลงาน 54 ประตู จาก 133 นัดในลีกสูงสุดของสเปน

เรอัล เบติส : โปลี่ รินคอน (78 ประตู)

โปลี่ รินคอน อดีตกองหน้าเรอัล เบติส ในช่วงทศวรรษที่ 1980s ลงเล่น 8 ฤดูกาล ยิงได้ 78 ประตู จาก 223 นัดในลาลีกา และยังคงเป็นเจ้าของสถิติผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลในประวัติศาสตร์สโมสร จนถึงปัจจุบันนี้

เรอัล มาดริด : คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (311 ประตู)

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซูเปอร์สตาร์ชาวโปรตุเกส ผู้ที่เข้ามาเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของเรอัล มาดริดไปตลอดกาล ด้วยการระเบิดตาข่าย 311 ประตู จาก 292 เกมในลาลีกา ขึ้นแท่นดาวยิงสูงสุดอันดับ 1 ของสโมสรเรียบร้อย

เรอัล โซเซียดัด : เฆซุส มาเรีย ซาทรูสเตกี (133 ประตู)

เฆซุส มาเรีย ซาทรูสเตกี ตำนานกองหน้าของเรอัล โซเซียดัด ในช่วงทศวรรษที่ 1970s ถึง 1980s เขาคือเจ้าของสถิติอันดับ 1 ดาวซัลโวตลอดกาลของสโมสรแห่งนี้ ด้วยการยิง 133 ประตู จาก 297 นัด เฉพาะในลาลีกา

เรอัล บายาโดลิด : อลัน ปีเตอร์แนค (55 ประตู)

อลัน ปีเตอร์แนค กองหน้าชาวโครเอเชีย ลงเล่นให้กับเรอัล บายาโดลิด ตั้งแต่ฤดูกาล 1995/96 ถึง 1999/2000 ทำได้ 55 ประตู จาก 153 นัด ในลีกสูงสุด และยังครองตำแหน่งดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของสโมสรจนถึงปัจจุบัน

เซบีย่า : ฆวน อาร์ซ่า (181 ประตู)

ฆวน อาร์ซ่า สุดยอดดาวยิงของเซบีย่า ในช่วงทศวรรษที่ 1940s ถึง 1950s ลงเล่นให้กับเซบีย่าตั้งแต่อายุ 20 ปี ยิงได้ 181 ประตู จาก 347 นัด กลายเป็นเจ้าของสถิติดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของสโมสร จนถึงปัจจุบันนี้

อัลเมเรีย : อัลบาโร่ เนเกรโด้ (32 ประตู)

อัลบาโร่ เนเกรโด้ ดาวยิงเลือดมาดริด เคยค้าแข้งกับอัลเมเรีย สมัยที่ทีมอยู่ในลีกสูงสุด 2 ฤดูกาล และเขาคือเจ้าของสถิติผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลของสโมสรอยู่ในเวลานี้ โดยยิงไป 32 ประตู จาก 70 นัด

บาเลนเซีย : มุนโด้ (186 ประตู)

มุนโด้ อดีตตำนานนักเตะบาเลนเซีย ในช่วงทศวรรษที่ 1940s ถึง 1950s ยิงได้ถึง 186 ประตู จากการลงเล่น 208 นัด เฉพาะในลีกสูงสุด และครองอันดับ 1 ดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของสโมสร จนถึงปัจจุบันนี้

บียาร์เรอัล : เคราร์ด โมเรโน่ (65 ประตู)

เคราร์ด โมเรโน่ กองหน้าเลือดคาตาลัน ลงเล่นกับบียาร์เรอัลเฉพาะในลีกสูงสุดมาแล้ว 5 ฤดูกาล ยิงได้ 65 ประตู จาก 146 นัด และยังคงเป็นหนึ่งในความหวังการทำประตูให้กับสโมสรแห่งนี้ เพื่อเพิ่มสถิติต่อไป

สำหรับลาลีกา สเปน 2022/23 ที่กำลังจะเริ่มขึ้นในสัปดาห์หน้า มีนักเตะเพียง 3 คนเท่านั้น ที่ยังลงเล่นให้กับสโมสรปัจจุบัน คือ คริสเตียน ซตูอานี่, ยาโก้ อัสปาส และเคราร์ด โมเรโน่

ในวงการฟุตบอล นอกจากจะวัดความสำเร็จของทีมแล้ว ความสำเร็จส่วนบุคคลก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะจะเป็นตัวชี้วัดที่บอกถึงระดับความสามารถ และมูลค่าของนักฟุตบอลคนนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี

Categories
Special Content

ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ : เพชรเม็ดงามจากนอกลีก ว่าที่ “นิว คูตินโญ่” คนต่อไป ?

ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ คือนักเตะใหม่คนแรก ที่ลิเวอร์พูลเสริมเข้ามาในช่วงซัมเมอร์นี้ หลังจากจบภารกิจในการพาฟูแล่ม เลื่อนชั้นขึ้นสู่พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2022/23

และในนัดเปิดซีซั่นใหม่ที่จะเริ่มต้นขึ้นในสัปดาห์นี้ “หงส์แดง” มีโปรแกรมออกไปเยือนที่คราเวน ค็อทเทจ นั่นหมายความว่า มิดฟิลด์ดาวรุ่งวัย 20 ปีรายนี้ มีโอกาสเผชิญหน้ากับทีมเก่า

วันนี้ SoccerSuck x ไข่มุกดำ จะพาไปทำความรู้จักอดีตแข้งเยาวชนของ “เจ้าสัวน้อย” กับเส้นทางสู่การเป็นนักฟุตบอลของเขากันครับ

ประสบการณ์เฉียดตายในวัยเด็ก

ในวัยเด็ก ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ มีความสนใจในการเล่นฟุตบอลเป็นอย่างมาก แต่อุปสรรคสำคัญคือ พ่อแม่ห้ามไม่ให้ออกจากบ้าน เนื่องจากบ้านตั้งอยู่ใกล้กับถนน ซึ่งมีความเสี่ยงมาก ๆ ที่จะเกิดอันตราย

แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเล่นฟุตบอลให้ได้ เจ้าหนูคาร์วัลโญ่ได้อาศัยช่วงที่ทุกคนในครอบครัวออกจากบ้านทั้งหมด รอเวลาสักครู่ แล้วเขาค่อยออกจากบ้านไปข้ามถนน เพื่อไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ใกล้บ้าน

ซึ่งเพื่อนบ้านคนหนึ่ง ได้เห็นเจ้าหนูคาร์วัลโญ่วิ่งข้ามถนน จึงออกมาเตือนว่าไม่ให้ทำแบบนี้อีก แต่เขาไม่ฟังคำเตือนจากเพื่อนบ้านคนนั้นเลย แล้ววันต่อ ๆ มา ก็ข้ามถนนเพื่อไปสวนสาธารณะอีก

ความคลั่งไคล้ในกีฬาลูกหนังของเจ้าหนูคาร์วัลโญ่ ทำให้เขาเกือบถูกรถบรรทุกชน เพื่อนบ้านจึงไปบอกให้ครอบครัวของเขาได้ทราบ ครอบครัวรู้สึกเป็นห่วงชีวิตของลูกชายมาก

อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์เฉียดตายในครั้งนั้น ก็ไม่อาจฉุดรั้งความฝันของคาร์วัลโญ่ และได้เริ่มต้นฝึกวิชาฟุตบอลกับอคาเดมี่ของเบนฟิก้า ทีมยักษ์ใหญ่ในบ้านเกิดของเขา เมื่ออายุ 7 ขวบ

จนกระทั่งในปี 2013 เมื่อคาร์วัลโญ่อายุได้ 11 ขวบ โปรตุเกสประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศ ทำให้ครอบครัวของเขา ได้ตัดสินใจย้ายไปอาศัยอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

เข้าตาสโมสรระดับนอกลีกในลอนดอน

เมื่อฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ เข้ามาที่ลอนดอน พร้อมพกความฝันในการเป็นนักฟุตบอล คุณแม่ของเขาได้พาไปที่สนามซ้อมของสโมสรบัลแฮม ทีมนอกลีกอาชีพ และได้พบกับเคร็ก ครัทเวลล์ ประธานสโมสร

ครัทเวลล์ กล่าวว่า “ฟาบิโอและคุณแม่ เพิ่งมาอยู่ลอนดอนได้ไม่นาน และคุณแม่กำลังมองหาทีมฟุตบอลให้ลูกชาย พอดีว่าทั้งคู่ได้มาที่สนามซ้อมของเรา ตอนนั้นผมกำลังดูนักเตะชุด ยู-11 ลงซ้อมอยู่”

“ในช่วง 30 วินาทีแรกของการซ้อม สต๊าฟฟ์ได้เปิดบอลระยะ 30 หลาไปให้ฟาบิโอ สิ่งที่เขาทำคือ เปิดบอลกลับคืนได้อย่างแม่นยำ ผมและโค้ชคนอื่น ๆ ต่างมองหน้ากัน ก่อนที่ผมจะตอบว่า โอเค!”

และเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนต้องทึ่งในความสามารถของคาร์วัลโญ่ เป็นการแข่งขันฟุตบอล 6 คน ที่เมืองกิลด์ฟอร์ด เขาได้โชว์การทำ “ราโบนา” (Rabona) หรือการเปิดบอลแบบไขว้จากริมเส้น

ครัทเวลล์ กล่าวต่อว่า “สิ่งที่ผมได้เห็นจากตรงหน้า คือการไชว้บอลจากริมเส้น และโชว์ลูกเล่นสารพัด ซึ่งก่อนหน้านี้ผมได้รับการติดต่อจากฟูแล่มแล้ว แต่หลังจากนั้นสโมสรยักษ์ใหญ่ก็ติดต่อเข้ามา”

“เขามีคลาสฟุตบอลที่เหนือกว่าคนอื่นๆ แน่นอนว่าเขามีความทะเยอทะยาน แต่ยังถ่อมตัว ไม่เคยมองว่าตัวเองอยู่สูงกว่าคนอื่น ไม่เคยพูดโอ้อวดว่า ฉันจะไปเล่นพรีเมียร์ลีกให้ได้ อะไรประมาณนั้น”

หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ในท้ายที่สุด ครัทเวลล์ ประธานสโมสร และเปโดร โซอาเรส โค้ชผู้รักษาประตูของบัลแฮม ช่วยกันผลักดันให้คาร์วัลโญ่ ย้ายไปอยู่กับอคาเดมี่ของฟูแล่ม

“สโมสรใหญ่ต่างหยิบยกเหตุผลดีๆ มากมายเพื่อล่อใจ แต่ครอบครัวของเขามองว่า ไม่ได้ยึดติดกับการที่เขาต้องเป็นนักเตะดาวดัง ฟูแล่มคือสโมสรที่ใช่สำหรับเขาแล้ว” ครัทเวลล์ กล่าวปิดท้าย

แจ้งเกิดกับฟูแล่ม ช่วยคว้าแชมป์ลีกรอง

หลังจากใช้เวลา 2 ปี กับทีมนอกลีกอย่างบัลแฮม ในปี 2015 ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ ก็ได้ก้าวสู่สโมสรที่ใหญ่กว่าอย่างฟูแล่ม ซึ่งเป็นสโมสรที่ขึ้นชื่อเรื่องปั้นนักเตะเยาวชนระดับต้น ๆ ของวงการฟุตบอลอังกฤษ

ซึ่งก่อนหน้านี้ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ มิดฟิลด์ดาวรุ่งของลิเวอร์พูล ก็เคยอยู่กับอคาเดมี่ของฟูแล่มมาแล้ว ก่อนที่จะย้ายเข้าสู่ถิ่นแอนฟิลด์ เมื่อปี 2019 (เคยถูกแบล็กเบิร์น โรเวร์ส ยืมตัวไปใช้งาน 1 ซีซั่น)

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/FulhamFC

ช่วงเวลา 5 ปี ที่อยู่กับอคาเดมี่ของฟูแล่ม คาร์วัลโญ่มีพัฒนาการที่ดีขึ้นตามลำดับ จนได้ขึ้นมาอยู่ในทีมชุด ยู-18 ในปี 2018 ทำได้ 17 ประตู จาก 43 นัด และต่อด้วยทีมชุดสำรอง 39 นัด ยิง 16 ประตู

ฤดูกาล 2020/21 คาร์วัลโญ่ในวัย 18 ปี ได้รับสัญญานักเตะระดับอาชีพเป็นครั้งแรกกับฟูแล่ม และได้โอกาสลงเล่นในทีมชุดใหญ่ 6 นัด รวมทุกรายการ แต่ต้นสังกัดของเขา มีอันต้องตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก

อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาลถัดมา ถือเป็นซีซั่นที่แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวของคาร์วัลโญ่ เมื่อยิงไป 10 ประตู 8 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 36 นัด ช่วยให้ “เจ้าสัวน้อย” เสื่อนชั้นขึ้นสู่พรีเมียร์ลีก ในฐานะแชมป์ลีกรอง

นอกจากนี้ คาร์วัลโญ่ยังทำ 1 ประตู ในเกมเอฟเอ คัพ รอบ 4 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา แม้ท้ายที่สุด ฟูแล่มจะถูกแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถล่ม 4 – 1 แต่อย่างน้อย เขาก็มีชื่อเป็นผู้ยิงประตูใส่ยอดทีมอย่าง “เรือใบสีฟ้า”

คาร์วัลโญ่ เป็นนักเตะดาวรุ่งอายุย่างเข้าเลข 2 ที่มีทั้งพรสวรรค์และพรแสวง ทำให้หลายสโมสรในพรีเมียร์ลีกต่างจ้องที่จะล่าตัวมาให้ได้ และเป็นลิเวอร์พูล ที่ไม่ปล่อยให้เพชรเม็ดงามหลุดมือไป

แล้วตัวเขา จะให้อะไรกับลิเวอร์พูล ?

ที่จริงแล้ว ลิเวอร์พูลจะปิดดีลฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ ได้ตั้งแต่ช่วงตลาดนักเตะเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่ไม่สามารถดำเนินการให้ทันวันเส้นตาย อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้เป็นนักเตะใหม่ของ “หงส์แดง” ในท้ายที่สุด

สไตล์การเล่นของคาร์วัลโญ่ จะมีบทบาทคล้ายกับฟิลิปเป้ คูตินโญ่ คือเป็นมิดฟิลด์ตัวรุก หรือเพลย์เมกเกอร์หมายเลข 10 ที่มีไอเดียในการสร้างสรรค์เกม อีกทั้งมีสกิลในการครองบอล และเลี้ยงบอลที่ยอดเยี่ยม

พื้นที่ที่คาร์วัลโญ่โปรดปรานเป็นพิเศษคือ การเล่นบอลบริเวณหน้ากรอบเขตโทษ อาจจ่ายบอลแบบสั้น ๆ ให้เพื่อน ก่อนวิ่งเข้าเขตโทษเพื่อรอรับบอล เมื่อเข้าเขตโทษก็เลือกที่จะส่งให้เพื่อน หรือลุ้นยิงประตูในทันที

นอกจากจะเป็นเพลย์เมกเกอร์ หรือกองหน้าตัวต่ำในระบบ 4-2-3-1 คาร์วัลโญ่ ยังเป็นนักเตะที่สามารถโยกไปเล่นเป็นตัวริมเส้นฝั่งซ้ายในระบบ 4-3-3 ซึ่งเป็นแผนการเล่นหลักของเจอร์เก้น คล็อปป์

แต่ด้วยอายุที่ยังน้อย คาร์วัลโญ่จึงถูกวางตัวในการสร้างทีมสำหรับแผงกองกลางรุ่นใหม่ของลิเวอร์พูลในอนาคต เพื่อเข้ามาทดแทนมิดฟิลด์รุ่นพี่บางคน ที่กำลังจะเข้าสู่ช่วงบั้นปลายอาชีพกันแล้ว

ยังเร็วเกินไปที่จะพูดว่าฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ จะก้าวขึ้นมาเป็น “นิว คูตินโญ่” แต่ด้วยสายตาอันแหลมคมในการดึงนักเตะของเจอร์เก้น คล็อปป์ ก็อาจจะมีเซอร์ไพรส์ที่ทำให้ “เดอะ ค็อป” คาดไม่ถึงก็เป็นได้

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://www.bbc.com/sport/football/61654325

https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-10846023/Fabio-Carvalho-tipped-thrive-Liverpools-superstars-starting-career-ninth-tier.html

https://theathletic.com/3251727/2022/04/24/what-fabio-carvalho-will-bring-to-liverpool/

https://lifebogger.com/fabio-carvalho-childhood-biography-story-facts/

Categories
Special Content

“ฌูลส์ กุนเด้” แนวรับคนใหม่บาร์ซ่า กับ 5 เรื่องที่คุณอาจไม่เคยรู้

ชื่อของ “ฌูลส์ กุนเด้” เป็นที่พูดถึงมากขึ้น หลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในเกมรับของเซบีย่า จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่บรรดาสโมสรยักษ์ใหญ่ ต่างหมายปองที่จะล่าลายเซ็นของปราการหลังรายนี้มาให้ได้

โดยเฉพาะเชลซี เป็นทีมที่มีข่าวให้ความสนใจดาวเตะวัย 23 ปี มากที่สุด เพื่อหวังที่จะเข้ามาแทนที่ของอันโตนิโอ รูดิเกอร์ ที่ตัดสินใจย้ายไปเรอัล มาดริด แต่เป็นบาร์เซโลน่า ที่ยื่นข้อเสนอเข้ามาอย่างจริงจัง

ในที่สุด ก็เป็นเจ้าบุญทุ่มแห่งสเปน ที่ปาดหน้าคว้าเซ็นเตอร์แบ็กทีมชาติฝรั่งเศส ไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 50 ล้านยูโร บวกกับแอด-ออนอีกประมาณ 5-10 ล้านยูโร กลายเป็นนักเตะใหม่คนที่ 6 ในช่วงซัมเมอร์นี้

ตลอด 3 ฤดูกาลกับเซบีย่า ในยุคของกุนซือฆูเลน โลเปเตกี กุนเด้ได้แสดงให้เห็นถึงความคงเส้นคงวาที่ดีในการเล่นเกมรับ เสียรวม 97 ประตู น้อยสุดเป็นอันดับ 3 รองจากเรอัล มาดริด และแอตเลติโก้ มาดริด

กุนเด้ ต้องการที่จะย้ายไปสปอติฟาย คัมป์ นู แทนที่จะเป็นสแตมฟอร์ด บริดจ์ เพราะมองว่ามีความทะเยอทะยานมากกว่า และนี่คือ 5 เรื่องราวของเขา ที่คุณอาจยังไม่เคยรู้มาก่อน

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/jkeey4

เติบโตกับอคาเดมี่ของบอร์กโดซ์

เมื่อปี 2013 กุนเด้ในวัย 15 ปี ได้เริ่มต้นฝึกวิชาฟุตบอลกับทีมเยาวชนของบอร์กโดซ์ ในฝรั่งเศส จากนั้นได้เลื่อนขึ้นสู่ทีมสำรอง ก่อนที่จะได้ลงสนามกับทีมชุดใหญ่ 70 นัด รวมทุกรายการ ตลอด 2 ซีซั่นกับบอร์กโดซ์

เคยเล่นตำแหน่งแบ็คขวามาก่อน

ในช่วงแรกที่อยู่กับบอร์กโดซ์ กุนเด้เล่นในตำแหน่งฟูลแบ็กฝั่งขวา แต่ในเวลาต่อมา กุสตาโว โปเยต์ กุนซือของทีมในเวลานั้น ขอให้เขาไปเล่นเซ็นเตอร์แบ็ก ซึ่งก็ทำได้ยอดเยี่ยม และกลายเป็นตำแหน่งการเล่นหลักในปัจจุบัน

อดีตเพื่อนร่วมทีมของชูอาเมนี่

กุนเด้ เคยเป็นเพื่อนร่วมสโมสรเดียวกับออเรเลียง ชูอาเมนี่ ตั้งแต่อยู่กับทีมเยาวชนของบอร์กโดซ์ และเมื่อชูอาเมนี่ย้ายไปเรอัล มาดริด ในซัมเมอร์นี้ นั่นหมายความว่า ทั้งคู่จะมีโอกาสพบกันในศึก “เอล กลาซิโก้” ซีซั่นนี้

เหตุผลที่สวมเสื้อหมายเลข 12

สมัยที่อยู่กับเซบีย่า กุนเด้เลือกสวมเสื้อหมายเลข 12 เพราะเป็นวันเกิดของเขา และได้แรงบันดาลใจจากเฟเดริก กานูเต้ ตำนานดาวยิงชาวมาลีที่เคยสร้างชื่อในถิ่นรามอน ซานเชซ ปิซฆวน ซึ่งสวมเสื้อหมายเลข 12

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/jkeey4

แฟนพันธุ์แท้บาสเกตบอล NBA

กุนเด้ เป็นผู้ที่หลงใหลในกีฬาบาสเก็ตบอลเป็นอย่างมาก และเคยไปชมการแข่งขัน NBA ที่สหรัฐอเมริกามาแล้ว โดยเขาเป็นแฟนคลับของอัลเลน ไอเวอร์สัน ตำนานนักยัดห่วงชื่อดัง เนื่องจากชื่นชอบในทรงผมสุดเท่

ถึงแม้ว่ากุนเด้จะมีส่วนสูงแค่ 179 เซนติเมตร แต่มีสไตล์การเล่นที่ครบเครื่อง ทั้งความแข็งแกร่ง ยืนตำแหน่งได้ดี อ่านเกมได้ยอดเยี่ยม เข้าถึงบอลเร็ว เอาชนะในการดวลตัวต่อตัวได้บ่อยๆ แถมเล่นบอลได้ดีทั้ง 2 เท้า

บาร์เซโลน่า ดึงตัวฌูลส์ กุนเด้มาเสริมทัพ เพื่อหวังเพิ่มศักยภาพเกมรับของบาร์เซโลน่าให้ดีขึ้นกว่าเดิม และคาดว่าจะเป็นตัวแทนที่ดีของเคราร์ด ปิเก้ ที่เตรียมนับถอยหลังอาชีพค้าแข้งในอีกไม่นานนี้

Categories
Special Content

ชีวิตราวหนัง สปอร์ต-ดราม่า ของ “โคลเอ้ เคลลี่” วีรสตรีผู้มอบความสุขให้กับแฟนบอลอังกฤษ

พล็อตแบบนี้ต้องหยิบมาเขียนบทเพื่อสร้างภาพยนตร์สปอร์ต-ดราม่าแนว based on true story กับเรื่องราวของ โคลเอ้ เคลลี่ เด็กหญิงที่ต้องนั่งรถไฟไปกลับสองชั่วโมงเพื่อฝึกซ้อมฟุตบอลที่สโมสรอาร์เซนอล แต่ไม่สามารถเบียดแย่งตำแหน่งในทีมได้ ก่อนย้ายไปแจ้งเกิดกับเอฟเวอร์ตันและแมนฯ ซิตี้

เหตุการณ์สำคัญในอาชีพค้าแข้งเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2021 เอ็นไขว้หน้าเข่าของเธอฉีกถึงขั้นอาจต้องแขวนสตั๊ดด้วยวัยเพียง 23 ปี แต่เธอต่อสู้จนได้เล่นฟุตบอลอีกครั้งในปีต่อมา จากนั้นเพียงสามเดือนเธอกลายเป็นฮีโร่แห่งชาติ เมื่อลงเป็นตัวสำรองและทำประตูชัยให้ทีมชาติอังกฤษครองแชมป์ยูโร 2022 เป็นความสำเร็จระดับเมเจอร์รายการแรกของอังกฤษนับจากเวิลด์ คัพ 1966

แฟนบอลทั่วประเทศอังกฤษไม่เคยดีใจบ้าคลั่งนับตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 1966 เมื่อทีมชาติอังกฤษมีชัยเหนือทีมชาติเยอรมนี 4-2 ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลชาย เวิลด์ คัพ ครั้งที่ 8 ที่เวมบลีย์ สเตเดี้ยม ในกรุงลอนดอน 

56 ปีต่อมาเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ณ เวมบลีย์ สเตเดี้ยม ที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่แทนสนามเดิมที่มีหอคอยคู่เป็นเอกลักษณ์ อังกฤษและเยอรมนีโคจรมาพบกันในนัดชิงชนะเลิศระดับเมเจอร์อีกครั้ง และเป็นอีกครั้งที่ชัยชนะตกเป็นของทีมสิงโตคำราม ซึ่งผงาดครองแชมป์ฟุตบอลหญิง ยูโร 2022 แฟนบอลทั่วประเทศอังกฤษที่จับจ้องการถ่ายทอดสดร่วมกับคนดูในสนาม87,192 คน ได้ฉลองชัยแบบบ้าคลั่งอีกครั้ง

เอลลา ทูเน่ แนวรุกจากแมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งเพิ่งถูกเปลี่ยนลงมาแค่หกนาที ยิงให้อังกฤษขึ้นนำ 1-0 ในนาทีที่ 62 ก่อนที่ ลินา มากูลล์ ตีเสมอให้เยอรมนีจากระยะเผาขนในนาทีที่ 79 ทำให้เกมต้องขยายออกไปอีกครึ่งชั่วโมง และก็เป็น โคลเอ้ เคลลี่กองหน้าจากแมนฯ ซิตี้ ซึ่งลงสนามในนาทีที่ 64 เป็นผู้ส่งลูกหนังซุกก้นตาข่ายเป็นประตูชัยในนาทีที่ 110 ให้อังกฤษมีชัยเหนืออดีตแชมป์เก้าสมัยไปอย่างเร้าใจ 2-1 ครองแชมป์ฟุตบอลหญิงแห่งชาติทวีปยุโรปเป็นสมัยแรก

เชื่อว่าภาพเคลลี่ กองหน้าวัย 24 ปี ถอดเสื้อสีขาวออกมาชูขึ้นไปหมุนสะบัดเหนือศีรษะหลังทำสกอร์สำคัญ จะกลายเป็นภาพแห่งความทรงจำไปอีกนานเช่นเดียวกับหลายภาพในประวัติศาสตร์ลูกหนังเมืองผู้ดี

“ยูโร 2022” เป็นแรงพลักดันให้เธอกลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้ง

ซาริน่า เวคแมน โค้ชทีมชาติอังกฤษ ใส่ชื่อ โคลเอ้ เคลลี่ เป็นหนึ่งในนางสิงห์ชุดยูโร 2022 ทั้งที่เธอเพิ่งกลับมาเล่นฟุตบอลในเดือนเมษายนที่ผ่านมาหลังหายหน้าไปจากฟลอร์หญ้าเกือบหนึ่งปีเพราะเอ็นไขว้หน้าเข่าข้างขวาฉีกในเดือนพฤษภาคม2021 ซึ่งเกือบทำให้เธอต้องอำลาวงการฟุตบอลหญิง และพลาดเดินทางไปแข่งขันโอลิมปิก เกมส์ ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทีมสหราชอาณาจักรเข้าไปถึงรอบแปดทีมสุดท้ายและพ่ายต่อออสเตรเลีย

เคลลี่เคยให้สัมภาษณ์ว่า สิ่งเดียวที่ทำให้เธอกัดฟันต่อสู้เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและฟื้นฟูสภาพร่างกายก็คือ การได้เป็นส่วนหนึ่งของศึกลูกหนังยูโร 2022

“มันเป็นเรื่องสาหัสสากรรจ์มากแต่ฉันตระหนักดีว่าต้องทุ่มเทฟื้นฟูร่างกายเท่านั้นที่จะทำให้ฉันได้รับประโยชน์จากมัน ฉันมองเป้าหมายหนึ่งเดียวคือยูโร นั่นจึงทำให้ฉันผ่านชีวิตแต่ละวันไปได้”

“มันดูเหมือนเป็นเวลาที่ยาวนานมากแต่ฉันก็มาอยู่ที่นี่ได้แล้ว มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากแต่เมื่อสามารถกลับลงสนาม ฉันก็ลืมเรื่องพวกนั้นไปหมด ฉันขอบคุณที่ได้โอกาสลงมาอยู่ในสนามเพิ่มขึ้นอีกแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี”

บางทียูโร 2022 เป็นเพียงเป้าหมายที่จับต้องได้เพื่อพลักดันให้เธอผ่านเวลาที่ยากลำบาก แต่ความปรารถนานั้นอาจมีพื้นฐานมาจากความรักกีฬาฟุตบอลอย่างแรงกล้าของเธอ

จากเด็กหญิงที่เล่นฟุตบอลกับพี่ชายห้าคน สู่วีรสตรีแห่งชาติ

โคลเอ้ แม็กกี้ เคลลี่ เกิดเมื่อวันที่ 15 มกราคม 1998 ที่มหานครลอนดอน เธอเคยนั่งรถเมล์สาย 92 จากบ้านในเออลิ่งไปเวมบลีย์เพียงเพื่อซื้อโปรแกรมการแข่งขันเอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศนัดหนึ่ง และต้องเดินทางไปกลับสองชั่วโมงด้วยรถไฟสมัยที่ฝึกซ้อมกับอะคาเดมี่ของอาร์เซนอล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งลอนดอนตอนเหนือ

เคลลี่เป็นลูกคนสุดท้องของครอบครัวที่มีลูกๆเจ็ดคน เธอเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่เด็กกับพี่ชายห้าคน เคยฝึกฟุตบอลที่อะคาเดมี่ของทีมควีนสปาร์ค เรนเจอร์ส ก่อนย้ายมาอยู่อาร์เซนอลระหว่างปี 2015 – 2017 แต่ไม่สามารถเบียดแทรกเป็นส่วนหนึ่งของทีมได้

23 กรกฎาคม 2015 ในวัย 17 ปี เคลลี่ลงสนามนัดแรกให้ทีมชุดใหญ่ของอาร์เซนอลในการแข่งขันคอนติเนนตัล คัพ กับวัตฟอร์ด และทำประตูแรกได้หลังเกมเริ่มไปได้แค่ 22 นาที ก่อนมีโอกาสเซ็นสัญญาอาชีพระดับซีนียร์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2016อย่างไรก็ตามหลังทำ 5 ประตูจาก 16 นัด อาร์เซนอลอนุญาตให้เธอย้ายไปเล่นให้ทีมเอฟเวอร์ตันด้วยสัญญายืมตัวสามเดือนในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน เคลลี่ลงตัวจริง 9 นัดทำ 2 ประตูให้กับทีมท็อฟฟี่สีน้ำเงิน ซึ่งเล่นใน เอฟเอ วีเมนส์ ซูเปอร์ลีก 2(เอฟเอ ดับเบิลยูเอสแอล 2)

หลังจากกลับมาร่วมทีมอาร์เซนอลในเดือนตุลาคม เคลลี่ลงสนามอีกสามนัดใน เอฟเอ ดับเบิลยูเอสแอล 1 ประจำปี 2016 ซึ่งทีมปืนใหญ่จบด้วยอันดับสาม มีสถิติชนะ 10 นัด เสมอ 4 นัด แพ้ 2 นัด และครองแชมป์ เอฟเอ วีเมนส์ คัพ ปี 2016 ด้วยชัยชนะเหนือเชลซี 1-0 เคลลี่ไม่ได้ลงสนามแม้มีชื่ออยู่ในทีม

เดือนกุมภาพันธ์ 2017 เคลลี่เซ็นสัญญาฉบับใหม่กับอาร์เซนอล มีโอกาสลงสนาม 7 นัด ทำ 2 ประตู ก่อนถูกเอฟเวอร์ตันยืมใช้งานอีกครั้งในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน แต่ครั้งนี้ ทีมท็อฟฟี่สีน้ำเงินเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่น เอฟเอ ดับเบิลยูเอสแอล 1 แล้ว เคลลี่มีผลงาน 4 นัด 2 ประตู เอฟเวอร์ตันประทับใจจึงขอซื้อขาดจากอาร์เซนอลในเดือนมกราคม 2018 มีการเซ็นสัญญาผูกมัดถึงซัมเมอร์ปี 2020

ซีซั่น 2017-18 เคลลี่ทำ 2 ประตูจาก 15 นัด เอฟเวอร์ตันจบอันดับเก้า ส่วนซีซั่น 2018-19 เคลลี่มีปัญหาบาดเจ็บข้อเท้า แต่ยังทำ 1 ประตูจาก 11 นัด เอฟเวอร์ตันจบอันดับสิบ

เคลลี่เข้ารับการผ่าตัดในปี 2019 เธอกลับมาด้วยฟอร์มแข็งแกร่งกว่าเดิม ทะลวงตาข่ายได้มากถึง 9 ประตูจาก 12 นัด และเอฟเวอร์ตันจบอันดับหกของ เอฟเอ ดับเบิลยูเอสแอล ซีซั่น 2019-20 ซึ่งเธอยังได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของลีกประจำเดือนกันยายน 2019

เดือนมกราคม 2020 เคลลี่ทำแฮททริกเหมาประตูพาเอฟเวอร์ตันชนะเรดดิ้ง 3-1 แต่กลางปีนั้นเอง เคลลี่โบกมือลากูดิสันปาร์คหลังจากปฏิเสธต่อสัญญาใหม่กับเอฟเวอร์ตัน และวันที่ 3 กรกฎาคม แมนฯ ซิตี้ ประกาศเซ็นสัญญาสองปีกับเคลลี่ แต่แล้วก่อนปิดซีซั่น เธอได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงที่เอ็นไขว้หน้าเข่าข้างขวาเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2021 หลังจากเปิดตัวได้สวยในฤดูกาลแรกกับทีมเรือใบสีฟ้า ทำ 16 ประตูจาก 34 นัด, ครองแชมป์เอฟเอ คัพ, ได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสร และติดทีมรวมดาราประจำปีของ พีเอฟเอ

กับทีมชาติอังกฤษ เคลลี่เคยเล่นให้ทีมชุด ยู-17, ยู-19 และ ยู-20 ซึ่งอยู่ในทีมที่ครองอันดับสาม วีเมนส์ เวิลด์คัพ ยู-20 เมื่อปี 2018 เธอติดทีมชาติชุดใหญ่นัดแรกในเดือนพฤศจิกายน 2018 ลงเป็นตัวสำรองในเกมกระชับมิตรที่ชนะออสเตรีย 3-0 

เคลลี่ถูกเรียกตัวร่วมทีมชาคิอังกฤษชุด ยูโร 2022 ทั้งที่ลงเล่นในซีซั่น 2021-22 ให้แมนฯ ซิตี้ ในเกมลีกแค่นัดเดียวและเกมเอฟเอ คัพ อีกหนึ่งนัด ซึ่งเธอทำได้ 1 ประตู เคลลี่เล่นให้ทีมสิงโตคำรามทั้งสิ้น 16 นัด ทำได้ 2 ประตู ซึ่งประตูล่าสุดก็คือ ประตูชัยนัดประวัติศาสตร์นั้นเอง

ชิ่งสัมภาษณ์หลังเกม ไม่พลาดซีนร้องเพลงฉลองแชมป์กับเพื่อน

หลังพาทีมชนะเลิศยูโร 2022 โคลเอ้ เคลลี่ ย้อนพูดถึงช่วงเวลาที่ต้องฟื้นฟูร่างกายเกือบหนึ่งปีเต็มว่า “ฉันขอบคุณทุกคนที่มีส่วนในการกายภาพบำบัดครั้งนั้น ฉันเชื่อเสมอว่าจะได้มาอยู่ที่นี่ แต่ได้มาอยู่ที่นี่แล้วยิงประตูชัยด้วยนี่ ว้าววว….”

“ทีมเราเป็นกลุ่มเด็กหญิงที่เหลือเชื่อมาก ผู้จัดการทีมสุดพิเศษ สตาฟฟ์โค้ชก็เป็นกลุ่มที่วิเศษมาก ฉันขอบคุณทุกคน นี่เป็นความฝันที่เป็นจริงในฐานะเด็กหญิงที่เคยเฝ้าตามการแข่งขันฟุตบอลหญิง มันเหลือเชื่อ”

ก่อนที่จะพูดอะไรมากกว่านี้หรือเปิดโอกาสให้นักข่าวถามคำถามข้อต่อไป โคลเอ้ กองหน้าวัย 24 ปี ก็ผละไปจากการให้สัมภาษณ์ดื้อๆ พร้อมร้องเพลง “สวีท แคโรลีน” ที่กำลังเปิดกระหึ่มทั่วทั้งสนาม และวิ่งไปร่วมกระโดดโลดเต้นฉลองชัยชนะกับเพื่อนร่วมทีม

ต่อมาแฟนบอลทวีตเล่าถึงฉากนั้นของโคลเอ้ว่า “โคลเอ้ เคลลี่ วิ่งออกไปจากกลางวงสัมภาษณ์พร้อมไมโครโฟนในมือเพราะไม่อยากพลาดร่วมร้องเพลง สวีท แคโรลีน กับเพื่อน ๆ”

“โคลเอ้ เคลลี่ ยกเลิกการให้สัมภาษณ์หลังเกมซะอย่างนั้นเพื่อไปร้องเพลง สวีท แคโรลีน กับสาว ๆ บา บา บาส โดยมีไมค์ติดมือไปด้วย มันเพอร์เฟ็คมากเลย”

“ว่ากันตามจริง บีบีซี ควรหยุดช่วงสัมภาษณ์ทันทีที่ทางสนามเปิดเพลง สวีท แคโรลีน”

หลังเพลงจบ โคลเอ้ก็กลับมาพูดคุยกับนักข่าวต่อ “ทุกคนในครอบครัวของฉันอยู่ในกลุ่มคนดู แม่ฉัน พี่ชายทุกคน พี่สาว หลานๆด้วย ทุกคนเลย ตอนนี้ฉันแค่ต้องการฉลองชัยชนะ”

คนเก่งทำอะไรก็สวย !!!

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา (Senior Football Editor)

Categories
Special Content

หวังน้อยได้ไง? “หงส์” กับขุมกำลังที่แข็งแกร่งเพียบพร้อมกว่าเดิม

ถึงแม้เยอร์เกน คล็อปป์ จะถ่อมตัวยกให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นทีมเต็งแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2022-23 และยอมรับว่าการช่วงชิงโควต้าแชมเปี้ยนส์ลีกเป็นภารกิจที่ยากลำบากขึ้น แต่กูรูลูกหนังยังมองว่า ขุมกำลังตอนนี้ของลิเวอร์พูลแข็งแกร่งและเพียบพร้อมกว่าเดิม

แม้ยังเหลือเวลาร่วมเดือนก่อนที่ตลาดซื้อขายรอบนี้จะปิดทำการ แต่ภารกิจของลิเวอร์พูลจบลงแล้วหลังจากได้นักเตะครบสามคนตามเป้าหมายได้แก่ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ แนวรุกดาวรุ่งจากฟูแล่ม, ดาร์วิน นูนเญซ กองหน้าค่าตัวแพงจากเบนฟิกา และ คัลวิน แรมเซย์  แบ็คขวาอนาคตไกลจากอเบอร์ดีน เยอร์เกน คล็อปป์ กล่าวกับนักข่าวว่ามีสองเงื่อนไขเท่านั้นที่ทำให้ลิเวอร์พูลต้องกลับเข้าตลาด 

“ถ้าไม่มีใครอยากย้ายทีม งานเราก็จบ และอีกอย่างถ้าไม่มีใครบาดเจ็บรุนแรงซึ่งเราหวังให้เป็นเช่นนั้น แฟนบอลลิเวอร์พูลสามารถเริ่มโฟกัสกับเรื่องอื่นไปได้เลย”

หากถามใจเหล่าเดอะค็อป หนึ่งในเรื่องสำคัญที่พวกเขาให้ความสนใจต้องเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก ซึ่งลิเวอร์พูลเป็นทีมเดียวที่สามารถขวางทางไม่ให้แมนฯ ซิตี้ ผงาดชนะเลิศห้าสมัยติดต่อกันจากความสำเร็จของทีมหงส์แดงในซีซั่น 2019-20 ที่คั่นกลางอยู่ระหว่างแชมป์สองสมัยรวดของทีมเรือใบสีฟ้า และถ้าลูกทีมของคล็อปป์ทำสำเร็จ พวกเขาจะดับฝันแชมป์สามสมัยติดต่อกันของแมนฯ ซิตี้ เป็นครั้งที่สอง

อาจเป็นสงครามจิตวิทยาเพื่อโยนความกดดันก็ได้เมื่อคล็อปป์ยกให้แมนฯ ซิตี้ เป็นตัวเต็งยืนบนบัลลังก์สูงสุดของลีกลูกหนังอังกฤษ

“ทุกคนต่างต้องการชนะพรีเมียร์ลีกแต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นทีมไหน ดูเหมือนซิตี้จะเป็นแชมป์ในบั้นปลาย ที่ผ่านมาถ้าเราไม่ได้เป็นแชมป์ พวกเขาจะชนะเลิศห้าสมัยติดต่อกันเลย ซึ่งมันเป็นเรื่องบ้าจริงๆเลย”

“สำหรับพวกเราแล้วยังคาดหวังที่จะเล่นให้เป็นซีซั่นที่ดีที่สุด แล้วมาดูกันว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อพวกเราบีบเค้นสิ่งนั้นออกมาได้ เราเฝ้ารอที่จะได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจริง ๆ”

คล็อปป์ยังให้ความเห็นด้วยว่าก่อนจะหันไปท้าทายความยิ่งใหญ่ของแมนฯ ซิตี้ เขาต้องทำให้มั่นใจว่าพาทีมติดท็อป-4 ให้ได้เสียก่อน

“สำหรับฟุตบอลลีกแล้ว เป้าหมายหลักของพวกเราคือเข้าไปเล่นแชมเปียนส์ลีกให้ได้ เท่านี้ก็เป็นงานที่ยากลำบากพอแรงแล้ว พอคุณบรรลุภารกิจนั้นได้ก็ถึงเวลาที่จะต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งแชมป์ แต่ส่วนใหญ่แล้วในแต่ละซีซั่น เราจะต่อสู้เพื่อสิทธิแข่งขันแชมเปี้ยนส์ลีก”

“พอผ่านเข้ารอบติดต่อกัน 4-5 ปี ผู้คนจะไม่ค่อยตื่นเต้นเหมือนปีแรกที่ทำได้สำเร็จหลังจากว่างเว้นมาระยะเวลาหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นนี่เป็นงานหลักที่เรายังต้องทำ โดยเฉพาะปีนี้ที่มีแข่งขันดุเดือดมาก”

ฤดูกาลที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลได้ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกถึงนัดสุดท้าย รวมถึงเข้ารอบชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก, เอฟเอ คัพ และลีก คัพ แม้เพิ่งเสีย ซาดิโอ มาเน หนึ่งในสามประสานกองหน้าคนสำคัญ แต่ผลกระทบคงไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับ จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม ที่ย้ายออกไปเมื่อหนึ่งปีที่แล้วเพราะลิเวอร์พูลเสริมกองหน้าทดแทนได้ดีระดับหนึ่ง ไม่เพียงนูนเญซแต่เป็น หลุยซ์ ดิอาซ ซึ่งเล่นตำแหน่งตรงกับมาเนมากกว่า 

และหากมองภาพรวมขุมกำลังส่วนต่างๆที่จะลงสมรภูมิฤดูกาล 2022-23 แจ็ค เชียร์ ผู้ช่วยบรรณธิการแห่งสำนัก This is Anfield หนึ่งในกูรูลูกหนังเมืองผู้ดี ได้เคาะผลการประมวลข้อมูลจนมีข้อสรุปว่า นักเตะลิเวอร์พูลชุดนี้มีความแข็งแกร่งมากกว่าซีซั่นที่แล้ว

ผู้รักษาประตู-กองหลัง : ตัวเลือกมากพอให้ใช้งาน

แจ็ค เชียร์ มองว่า สัญญาใหม่ที่ทำกับ โจ โกเมซ อาจเป็นการเจรจาทางธุรกิจฟุตบอลที่ได้รับการประเมินค่าต่ำกว่าความเป็นจริงมากที่สุดของลิเวอร์พูลในซัมเมอร์ปีนี้

หลังจากไม่ค่อยได้ลงสนามเท่าที่ควรในซีซั่นที่แล้ว หลายคนเชื่อว่าเซ็นเตอร์แบ็ควัย 25 ปี น่าจะย้ายไปอยู่ทีมอื่นเพื่อเพิ่มโอกาสติดทีมชาติอังกฤษลุยเวิลด์คัพปลายปีที่กาตาร์ แต่สโมสรกลับโน้มน้าวจนโกเมซต่อสัญญาอยู่แอนฟิลด์เพิ่มอีกห้าปี ซึ่งเป็นหลักประกันให้ลิเวอร์พูลได้ใช้งานโกเมซในช่วงพีคของอาชีพค้าแข้ง

ซีซั่นใหม่ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ยังสามารถยืนเป็นเซ็นเตอร์แบ็คตัวหลักแม้อายุ 31 ปี เขาและโกเมซน่าจะมีสภาพร่างกายดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา ขณะที่ อิบราฮิมา โคนาเต ในวัย 23 ปี ได้รับการขัดเกลาให้ฉายแววเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน โจเอล มาติป ที่พยายามเอาชนะอาการบาดเจ็บเพื่อเปล่งประกายความรุ่งโรจน์กับสีเสื้อของเดอะ เรดส์ 

ทั้งหมดต่างต้องเฟ้นฟอร์มที่ดีที่สุดของตัวเองออกมาเพื่อเป็นปราการหลังคู่กับฟาน ไดจ์ค ขณะที่ เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก และ แนท ฟิลลิปส์ มีโอกาสรออยู่ในฐานะเซ็นเตอร์แบ็คตัวเลือกอันดับห้า ส่วนข้างหลังคู่ปราการหลัง อลิสซอน ยังเป็นผู้รักษาประตูที่สร้างความอุ่นใจได้เช่นเดิมแถมมี ควีวีน เคลเลเฮอร์ นายทวารทีมชาติไอร์แลนด์ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จซีซั่นที่ผ่านมาของลิเวอร์พูล

ฟูลแบ็คเป็นตำแหน่งที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด คัลวิน แรมเซย์ แบ็คขวาวัย 18 ปี เข้ามาแทน เนโก วิลเลี่ยส์ ที่ย้ายออกไปร่วมทีมน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ด้วยราคา 17 ล้านปอนด์ เข้ามากดดันให้ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ยกระดับฝีเท้าให้สูงขึ้นเพื่อการันตีตำแหน่งตัวจริง ขณะที่ คอนสแตนตินอส ซิมิกาส ทำหน้าที่เดียวกันกับ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ที่อีกฝั่งของสนาม

ผู้รักษาประตู : อลิสซอน, เคลเลเฮอร์ / แบ็คขวา : อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, แรมเซย์, มิลเนอร์ / เซ็นเตอร์แบ็คขวา : โคนาเต, มาติป / เซ็นเตอร์แบ็คซ้าย : ฟาน ไดจ์ค, โกเมซ / แบ็คซ้าย : โรเบิร์ตสัน, ซิมิกาส

กองกลาง : คาร์วัลโญทำให้อ็อปชั่นตัวเลือกเพิ่มขึ้น

น่าสนใจทีเดียวว่า คล็อปป์จะใช้ประโยชน์อย่างไรกับ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ มิดฟิลด์โปรตุกีสวัย 19 ปี ซึ่งเล่นตำแหน่งเบอร์ 10ตามหมากเกม 4-2-3-1 ที่ฟูแล่ม กุนซือชาวเยอรมันยังไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนในปรีซีซั่นแต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ คาร์วัลโญช่วยให้คล็อปป์มีอ็อปชั่นมากขึ้นและวางแผนการเล่นได้ยืดหยุ่นขึ้น

นัดแรกที่แพ้แมนฯ ยูไนเต็ด 0-4 ที่กรุงเทพฯ คาร์วัลโญเล่นมิดฟิลด์กลางสนามในฟอร์แมท 4-3-3 สูตรที่คุ้นตาแฟนบอลหงส์แดง แต่เป็นตำแหน่งที่ ฮาร์วีย์ เอลเลียต อดีตเด็กอะคาเดมี่ของฟูแลม ครอบครองอยู่ โดยนัดนี้ เอลเลียตขยับขึ้นไปเล่นด้านขวาของฟรอนท์ทรี แถมฉายแววได้ดีกว่าที่หลายคนคิด

ครึ่งหลังของนัดสองที่ชนะคริสตัล พาเลซ 2-0 ที่สิงคโปร์ เอลเลียตกลับไปทำหน้าที่กองกลาง ขณะที่คาร์วัลโญถ่างตัวเองออกไปบริเวณริมสนาม แม้มีความเห็นมากมายให้ลิเวอร์พูลเสริมผู้เล่นมิดฟิลด์แต่คล็อปป์ยังมั่นใจว่าขุมกำลังตอนนี้ยังเอาอยู่ อย่างน้อยก็หนึ่งฤดูกาล ฟาบินโญ, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ธีอาโก ยังจะเป็นตัวเลือกอันดับต้นเหมือนซีซั่นที่แล้ว ขณะที่เอลเลียตน่าจะได้รับโอกาสมากขึ้น

เคอร์ติส โจนส์ ยังไม่สามารถแสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมาในสนาม นาบี เกอิตา และ อเล็กซ์ ออกเลด-แชมเบอร์เลน เป็นอ็อปชั่นที่ยอดเยี่ยมเหนือกว่ามาตรฐานตัวสำรอง ส่วน เจมส์ มิลเนอร์ ยังเป็นลูกทีมที่ไว้ใจได้ของคล็อปป์

มิดฟิลด์กลางสนาม : ฟาบินโญ, เฮนเดอร์สัน, มิลเนอร์ / มิดฟิลด์ขวา : เฮนเดอร์สัน, เอลเลียต, ออกเลต-แชมเบอร์เลน /มิดฟิลด์ซ้าย : ธีอาโก, เกอิตา, โจนส์, คัลวาโญ

กองหน้า : ขุมกำลังแห่งอนาคตที่สดใสขึ้นเรื่อย ๆ

มาเนย้ายไปสวมยูนิฟอร์มของบาเยิร์น มิวนิค ไม่มีอิมแพ็คต่อกองหน้าหงส์แดงมากเท่าที่หลายคนวิตกเพราะลิเวอร์พูลมีการเตรียมแผนรองรับไว้เรียบร้อยแล้ว แม้ ดาร์วิน นูนเญซ ถูกมองว่าเป็นคำตอบแต่เมื่อเทียบกับตำแหน่งถนัดคือกองหน้าฝั่งซ้าย หลุยส์ ดิอาซ ซึ่งย้ายมาร่วมทีมในตลาดเดือนมกราคม เป็นตัวตายตัวแทนที่แท้จริงของกองหน้าทีมชาติเซเนกัล แถมพิสูจน์ตัวเองไปแล้วในครึ่งฤดูกาลหลัง

นูนเญซน่าจะเป็นศูนย์หน้าแห่งอนาคตแทน โรแบร์โต เฟียร์มิโน มากกว่าแต่ระหว่างนี้ คล็อปป์ยังมั่นใจว่า ซีซั่นนี้ เฟียร์มิโนจะกลับมาสมบูรณ์เต็มร้อยและยังมีฝีเท้าระดับเวิลด์คลาสเช่นเดิมหลังจากฤดูกาลที่แล้วมีปัญหาบาดเจ็บรบกวน เช่นเดียวกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่นายใหญ่เมืองเบียร์ยังเชื่อว่า ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของสตาร์ทีมชาติอียิปต์กำลังรออยู่เบื้องหน้า ขณะที่ ดิโอโก โชตา กำลังพัฒนาตัวเองและเพิ่มคุณประโยชน์ต่อทีมอย่างช้าๆแต่มั่นคง

ถึงเสียเมเน, ดิวอค โอริกี และ ทาคูมิ มินามิโนะ แต่การเข้ามาของคาร์วัลโญและนูนเญซ สามารถอุดรอยรั่วดังกล่าวได้อย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะคาร์วัลโญ เอื้อประโยชน์ให้คล็อปป์ใช้งานเอลเลียตในตำแหน่งตัวรุกด้านขวาได้มากขึ้นทั้งกองหน้าและกองกลาง

ศูนย์หน้า : นูนเญซ, โซตา, เฟียร์มิโน / กองหน้าขวา : โซลาห์, เอลเลียต, ออกเลด-แชมเบอร์เลน / กองหน้าซ้าย : ดิอาซ, โซตา, คาร์วัลโญ

เสริมมิดฟิลด์กลางสนามยังเป็นภารกิจสำคัญในปีหน้า

แม้คล็อปป์มีขุมกำลังที่แข็งแกร่งอยู่ในมือพร้อมไล่ล่าสี่ถ้วยแชมป์อีกครั้งในฤดูกาลใหม่ แต่กองกลางยังเป็นขุมกำลังที่จะต้องได้รับการเสริมแกร่งมากที่สุดในอีกหนึ่งปีหน้า ปัจจุบันทีมซีเนียร์ของลิเวอร์พูลมีผู้เล่นกองกลางอยู่แปดคน หากรวมคาร์วัลโญเข้าไปด้วยก็เป็นเก้า ยังไม่รวมนักเตะเยาวชนหรือทีมสำรอง

เฮนเดอร์สัน, มิลเนอร์ และ ธีอาโก ต่างมีอายุทะลุหลักสามสิบไปแล้ว ทั้งสามมีโอกาสบาดเจ็บวันใดวันหนึ่งในเกมแข่งขันที่มากและดุเดือด ชื่อของ จู้ด เบลลิงแฮม มิดฟิลด์ดาวรุ่งทีมชาติอังกฤษของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จึงถูกยกขึ้นมาเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งในตลาดซัมเมอร์ปีหน้า แต่ซีซั่นนี้ โจนส์, เอลเลียต และคาร์วัลโญ จึงถูกคาดหวังให้ยกระดับผลงานมากขึ้นกว่าเดิม

ซีซั่นที่แล้ว โจนส์เล่นเกมลีก 856 นาที เอลเลียตลงสัมผัสสนาม 346 นาที ซึ่งเพิ่มมากกว่านี้แน่หากไม่บาดเจ็บ ขณะที่คาร์วัลโญเล่นให้ฟูแลมมากกว่า 2,800 นาที ในบรรดาสามคนนี้ โจนส์ ซึ่งอายุเพียง 21 ปีแต่แก่กว่าเอลเลียตและคาร์วัลโญ มีประสบการณ์มากที่สุดและมีโอกาสได้รับการพลักดันจากคล็อปป์มากที่สุดเช่นกัน แต่ถือเป็นโชคดีของว่าที่ตัวตายตัวแทนเหล่านี้ที่จะได้รับโอกาสมากขึ้นในฤดูกาลใหม่เมื่อพรีเมียร์ลีกแก้ไขกฎให้เปลี่ยนตัวสำรองลงสนามได้ถึงห้าคน คล็อปป์เคยให้สัมภาษณ์ถึงทั้งสามว่า

โจนส์ : “ผมรู้จักเขามานานแล้วและเป็นหนึ่งในแฟนตัวจริงของเขา ทักษะการเล่นของเขายังต้องเรียนรู้และทำงานหนัก ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทำอยู่ทุกวัน บางคนต้องการการพลักดันซึ่งเคอร์ติสดูเหมือนเป็นคนแบบนั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับการตอบสนองของเขาว่าเป็นอย่างไร”

เอลเลียต : “ฮาร์วีย์เป็นผู้เล่นที่ดีจริงๆไม่ต้องสงสัยเลย แต่ที่ผ่านมายังไม่ใช่ซีซั่นที่ดีที่สุดของเขาแน่นอนเพราะเขาเพิ่งได้เล่นแค่ 20 นัด แต่เชื่อว่าเขาจะเริ่มต้นได้ดีอีกครั้งในซีซั่นใหม่ ตอนนี้เราก็ต้องทำงานร่วมกับเขาต่อไปเช่นเดียวกับคนอื่น”

คาร์วัลโญ : “เป็นทั้งโปรเจ็คต์ระยะสั้นและยาว เขาสามารถลงตัวจริงได้เลยพรุ่งนี้ แต่ยังต้องใช้เวลาปรับตัว เขาไม่มีตำแหน่งตายตัว บางทีอาจเป็นปีก เบอร์แปด เบอร์สิบ หรือเบอร์เก้าหลอกก็ได้หากเพิ่มกล้ามเนื้อขึ้นมาอีก”

ด้วยขุมกำลังของลิเวอร์พูลที่คล็อปป์มีอยู่ ฤดูกาล 2022-23 ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นสำหรับบรรดาเดอะ ค็อป ทั่วโลกโดยแท้จริง

เรียบเรียง : ฐปน วันชูเพลา

Categories
Special Content

รู้จักที่มา “ฉายา” 20 สโมสรฟุตบอลในลาลีกา สเปน 2022/23

เมื่อพูดถึง “ฉายา” ในวงการฟุตบอล ก็เปรียบเสมือนชื่อเล่น ที่ใช้เรียกแทนชื่อจริงของสโมสรนั้น ๆ โดยในแต่ละสโมสร จะตั้งฉายาที่แตกต่างกันไป มีทั้งตั้งแบบเรียบง่าย หรือตั้งแบบแปลกประหลาดจนน่าตกใจ

เหตุผลในการตั้งฉายาของแต่ละสโมสรฟุตบอล ก็มีที่มาแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะมาจากชื่อสถานที่ตั้ง, ชื่อบุคคลสำคัญ, สัญลักษณ์, ประวัติศาสตร์, ตำนานหรือความเชื่อในท้องถิ่น และอื่น ๆ อีกมากมาย

ลาลีกา จะพาไปทำความรู้จักกับฉายาของทั้ง 20 สโมสร ในลีกสูงสุดแดนกระทิงดุ ฤดูกาล 2022/23ว่ามีเรื่องราวความเป็นมาอย่างไรกันบ้าง

แอธเลติก บิลเบา : The Lions

ฉายา “The Lions” ของแอธเลติก บิลเบา มาจากชื่อของซาน มาเมส (San Mamés) นักบุญไบแซนไทน์ที่ถูกทรมานร่างกาย และกำลังจะกลายเป็นอาหารของสิงโต แต่ก็สามารถทำให้สิงโตเชื่อง และรอดพ้นจากการเป็นเหยื่อได้สำเร็จ

แอตเลติโก มาดริด : The Mattress Makers หรือ The Indians

ฉายาแรก “Mattress Makers” หมายถึง สีแดง-ขาวจากวัสดุที่ใช้ปูที่นอนในสมัยก่อน อีกฉายาคือ “Indians” มีที่มาจากในช่วงต้นทศวรรษที่ 1970s แอตเลติโก มาดริด นิยมดึงนักเตะจากอเมริกาใต้เข้าสู่ทีมหลายคน ซึ่งเป็นนักเตะผิวสี และไว้ผมยาว จนถูกแฟนบอลทีมคู่แข่งล้อเลียนว่าเป็นพวกอินเดียนแดง

โอซาซูน่า : The Rojillos (The Reds)

ฉายา “The Rojillos” ของโอซาซูน่า ในภาษาสเปน หมายถึง “The Reds” หรือ สีแดง ซึ่งมาจากสีพื้นหลังของธงแคว้นนาวาร์ (Navarre) ที่ตั้งของสโมสร นอกจากนี้ สีแดงยังปรากฎอยู่บนเสื้อแข่งขันชุดเหย้า และโลโก้ของสโมสรอีกด้วย

กาดิซ : The Yellow Submarine

มีฉายา “Yellow Submarine” เช่นเดียวกับบียาร์เรอัล แต่มีที่มาที่แตกต่างกัน โดยกาดิซได้รับฉายานี้ เพราะในช่วงปี 1980-1986 สถานะของสโมสรอยู่ในลีกดิวิชั่น 2 และลีกสูงสุด ขึ้น-ลงสลับกันไป คล้ายกับการเคลื่อนไหวของเรือดำน้ำ

เอลเช่ : The Green Stripes

ในยุคแรก เสิ้อแข่งขันของเอลเช่มีสีขาวล้วน แต่ในปี 1926 ได้เพิ่มแถบสีเขียวแนวขวางไว้ส่วนบนของเสื้อ ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากต้นปาล์ม ต้นไม้ที่นิยมปลูกกันมากในเมืองเอลเช่ จึงทำให้สโมสรฟุตบอลแห่งนี้ ได้รับฉายาว่า “Green Stripes”

บาร์เซโลน่า : The Culés

ในอดีต มีแฟนบอลบาร์เซโลน่าจำนวนหนึ่งที่อยู่ในสนาม “La Escopidora” สนามเหย้าแห่งแรกของสโมสรที่มีขนาดเล็กมาก นั่งเรียงกันเป็นแถวยาวด้านบนสุดของกำแพงบนอัฒจันทร์ ซึ่งคนที่เดินผ่านไปมาก็ได้เห็นแผ่นหลัง และก้นของพวกเขาเหล่านี้ จึงเป็นที่มาของฉายา “Culés” ที่แปลว่า กลุ่มคนที่ชอบโชว์แผ่นหลัง

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/fcbarcelona

เกตาเฟ่ : The Dark Blues

ในยุคแรก สโมสรแห่งนี้ใช้ชื่อว่า “Club Getafe Deportivo” ใช้ชุดแข่งสีน้ำเงินเข้ม ก่อนถูกยุบทีมในปี 1982 และในปีต่อมา ได้ก่อตั้งสโมสรขึ้นมาใหม่ ใช้ชื่อว่า “Getafe Club de Fútbol” ใช้ชุดแข่งสีน้ำเงินเข้มเช่นเดิม จึงได้ฉายาว่า “Dark Blues”

กิโรน่า : The White and Reds

ฉายา “White and Reds” หรือสีขาว-แดง มีที่มาจากสีของชุดแข่งชัน และโลโก้ของสโมสรที่มีลักษณะคล้ายหยดน้ำเรียงสลับกันสีละ 4 แถว สื่อถึงเมืองกิโรน่า จุดที่มีแม่น้ำ 4 สาย ไหลมาบรรจบกัน ซึ่งอยู่บนธง และตราประจำเมืองกิโรน่าด้วย

ราโย บาเยกาโน่ : The Red Sashes

ก่อนหน้านี้ เสื้อแข่งขันของราโย บาเยกาโน่ มีสีขาวล้วน จนกระทั่งในช่วงกลางทศวรรษที่ 1940s ได้เพิ่มแถบสีแดงทแยงพาดผ่าน ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากสโมสรฟุตบอลริเวอร์เพลท ในประเทศอาร์เจนติน่า จึงได้รับฉายาว่า “Red Sashes”

เซลต้า บีโก้ : The Sky Blues หรือ The Olívicos

ฉายา “Sky Blues” มาจากสีของท้องฟ้าที่อยู่บนเสื้อแข่งขัน ส่วนฉายา “Olívicos” ในภาษาสเปนหมายถึง Olive หรือต้นมะกอกที่ปลูกไว้ในโบสถ์แห่งหนึ่ง สื่อความหมายถึงสันติภาพและความสามัคคี ซึ่งอยู่บนธง และตราประจำเมืองบีโก้ด้วย

เอสปันญ่อล : The Parakeets

คำว่า “Parakeet” แปลตรงตัวว่า นกแก้ว มีที่มาจากฝูงนกแก้วที่มาทำรังบนต้นไม้รอบ ๆ สนาม Estadio de Sarriá ซึ่งเคยถูกใช้เป็นสนามเหย้าของเอสปันญ่อล ตั้งแต่ปี 1923 ถึง 1997 ก่อนจะย้ายมาใช้สนาม “อาร์ซีดีอี สเตเดี้ยม” ในปัจจุบัน

ขอบคุณภาพ https://www.facebook.com/RCDEspanyol

เรอัล มายอร์ก้า : The Vermilions

ฉายาของเรอัล มายอร์ก้าคือ “Vermilion” ที่แปลว่า สีแดงสด ซึ่งเป็นสีชุดแข่งหลักของสโมสร เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 1922 โดยก่อนหน้านั้นได้ใช้ชุดแข่งสีดำมาก่อน และสีแดงสด ยังเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในตราสัญลักษณ์ หรือโลโก้ของสโมสรอีกด้วย

เรอัล เบติส : The Béticos หรือ The Green and Whites หรือ The Heliopolitanos

นอกจากฉายา “Béticos” ที่หมายถึงชื่อสโมสรเรอัล เบติสแล้ว ยังมีฉายา “Green and Whites” หรือสีเขียว-ขาว สีของชุดแข่งขัน และฉายา “Heliopolitanos” มีที่มาจากชื่อย่าน Heliópolis ย่านที่อยู่ในแคว้นอันดาลูเซีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของสโมสร

เรอัล มาดริด : The Meringues หรือ The Vikings

ฉายาแรก “Meringues” มาจากชุดแข่งขันสีขาว ส่วนอีกฉายาคือ “Vikings” มาจากพาดหัวของหนังสือพิมพ์ The Times ของอังกฤษ หลังจาก “โลส บลังโกส” คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ สมัยที่ 5 ติดต่อกันในปี 1960 ความว่า “เรอัล มาดริด ออกอาละวาดไปทั่วยุโรปเหมือนพวกไวกิ้ง ทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้า”

เรอัล โซเซียดัด : The Txuri-Urdin

ฉายาของเรอัล โซเซียดัด มาจากเพลงประจำสโมสร คำว่า “Txuri-Urdin” ในภาษาบาสก์หมายถึง “White and Blues” หรือสีขาว-น้ำเงิน ซึ่งเป็นสีธงประจำเมืองซาน เซบาสเตียน ที่ตั้งของสโมสร และกลายเป็นสีชุดแข่งของสโมสรตั้งแต่ปี 1909

เรอัล บายาโดลิด : The Pucelanos (Pucela)

คำว่า “Pucela” สันนิษฐานว่ามีที่มาจาก Joan of Arc หญิงสาวที่ได้ต่อสู้ในสงครามร้อยปี ซึ่งเรียกตัวเองว่า “Maid of Orleans” ซึ่งคำว่า maid ในภาษาสเปนยุคโบราณ จะเรียกว่า pucela และถูกนำไปตั้งเป็นฉายาของบายาโดลิดในที่สุด

เซบีย่า : The Washbasins

คำว่า “Washbasin” แปลตรงตัวว่า อ่างล้างหน้า มีที่มาจากเสื้อแข่งของเซบีย่าในช่วงกลางทศวรรษที่1970s ซึ่งเป็นเสื้อสีขาวล้วน มีเส้นขอบสีแดงเล็ก ๆ ที่บริเวณแขนเสื้อ และบนปกคอเสื้อ มีลักษณะคล้ายกับอ่างล้างหน้าที่เป็นที่นิยมในยุคนั้น

อัลเมเรีย : The Indálicos

ฉายา “Indálicos” มาจากสัญลักษณ์ Indalo เป็นภาพวาดลักษณะคล้ายกับมนุษย์ ถูกค้นพบในถ้ำลอสเลเตรอส (Los Letreros) ที่เมืองอัลเมเรีย ซึ่งได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลก และสัญลักษณ์ดังกล่าว ก็อยู่ภายในโลโก้ของสโมสรด้วย

บาเลนเซีย : The Che

ฉายาในภาษาสเปนคือ “Los Che” ซึ่งเป็นคำอุทานที่ชาวเมืองบาเลนเซียใช้เรียกกัน มีลักษณะคล้ายกับการอุทาน “hey” ในภาษาอังกฤษ เป็นการแสดงออกถึงความเป็นชาวเมืองบาเลนเซียโดยเฉพาะ และกลายเป็นชื่อเรียกที่ติดปากในที่สุด

บียาร์เรอัล : The Yellow Submarine

มีฉายา “Yellow Submarine” เหมือนกับกาดิซ มีที่มาจากชื่อเพลง “Yellow Submarine” ของเดอะ บีทเทิลส์ วงดนตรีร็อกชื่อดังของอังกฤษ ที่เปิดตัวเมื่อปี 1966 และแฟนบอลได้นำเพลงของวงเดอะ บีทเทิลส์ มาเปิดให้ฟังในสนามนับแต่นั้นมา

ฉายาของสโมสรฟุตบอล ตั้งขึ้นมาเพื่อให้ชื่อนั้นติดหู จดจำง่าย พร้อมกับเสริมความน่าเกรงขามเพื่อข่มขวัญคู่ต่อสู้ไปในตัวด้วย ถือเป็นสีสัน และช่วยเพิ่มอรรถรสในการติดตามเกมลูกหนังมากยิ่งขึ้น