Categories
Special Content

วิเคราะห์ “ลิเวอร์พูล” กับการชนะดวลจุดโทษ เกมชิงดำเอฟเอ คัพ

#SSxKMD | เบื้องหลังความสำเร็จของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล กับ เชลซี ที่สู้กันลืมตายจนต้องลงเอยด้วยการดวลจุดโทษในฟุตบอล เอฟเอ คัพ ที่ผ่านมา สู่การชิงชัยลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกนัดสุดท้ายในวันพรุ่งนี้ จะเป็นอย่างไร

เมื่อลิเวอร์พูล ย้ำชัยเหนือเชลซีอีกครั้ง ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยของอังกฤษ 2 รายการติดต่อกัน ทั้งคาราบาว คัพ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และเอฟเอ คัพ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ ชนะการดวลจุดโทษทั้ง 2 ถ้วย โดยใช้นักเตะรวมกันทั้งหมด 18 คน ยิงเข้าถึง 17 คน มีเพียงซาดิโอ มาเน่ คนเดียวเท่านั้น ที่สังหารไม่เข้าในเอฟเอ คัพ

แล้วเคล็ดลับสู่ชัยชนะการดวลเป้าของ “หงส์แดง” คืออะไร ? วันนี้ SoccerSuckไข่มุกดำ ได้นำบทวิเคราะห์ของแกร์ จอร์เดต์ นักจิตวิทยาฟุตบอล มาขยายให้ฟังกันครับ

ขอบคุณภาพ : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

พร้อมเป็นคนแรกมักจะได้เปรียบ

หลังจากลงเตะ 120 นาที ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยแล้ว ยังหาผู้ชนะไม่ได้ สิ่งแรกที่ผู้จัดการทีมจะต้องทำคือ สื่อสารกับนักเตะภายในทีม เพื่อคัดเลือก 5 คนแรก ออกมาดวลจุดโทษ

ดูเหมือนว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ จะทำได้ดีกว่าโธมัส ทูเคิ่ลเป็นอย่างมาก โดยคล็อปป์ได้พูดคุยกับนักเตะอย่างเป็นกันเอง ใช้เวลาประชุมทีมไม่ถึง 2 นาที ก็พร้อมแล้วสำหรับเกมวัดใจระยะ 12 หลา

จอร์เดต์ พูดถึงประเด็นนี้ว่า “สิ่งที่คล็อปป์และลิเวอร์พูลทำคือตัวอย่าง พวกเขาใช้เวลาไม่นานในการปลุกใจลูกทีม ผมเชื่อว่าการใช้เวลาประชุมทีมที่รวดเร็ว คือการสร้างความกดดันให้กับเชลซี”

นายทวารช่วยให้นักเตะมีสมาธิ

อลิสสัน เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูชาวบราซิล ได้นำลูกบอลมาให้เพื่อนร่วมทีมทุกคนที่ได้รับหน้าที่สังหารจุดโทษ เขาได้ทำเช่นเดียวกับที่ควีวีน เคลเลเฮอร์ นายทวารมือสอง ในนัดชิงชนะเลิศลีก คัพ

หลายคนอาจจะไม่ทราบเลยว่า การที่อลิสซง และเคลเลเฮอร์ ได้ทำแบบนั้น มันคือแท็กติกที่ช่วยให้เพื่อนร่วมทีมหงส์แดงมีสมาธิ ก่อนเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับจุดโทษระยะ 12 หลาอย่างมั่นใจ

จอร์เดต์ มองว่า “มันไม่ใช่แค่การส่งมอบบอลธรรมดาๆ การยืนปิดกั้นสายตาระหว่างผู้รักษาประตูฝ่ายตรงข้าม กับผู้ยิงจุดโทษฝั่งตัวเอง เป็นเกมจิตวิทยาที่คู่แข่งไม่อาจทราบได้เลย”

ขอบคุณภาพ : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

ลำดับการยิงจุดโทษก็สำคัญ

ผู้สังหารจุดโทษ 5 คนแรกของลิเวอร์พูล ในนัดชิงดำคาราบาว คัพ ประกอบด้วยเจมส์ มิลเนอร์, ฟาบินโญ่, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และโมฮัมเหม็ด ซาลาห์

แต่ในเกมชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ไม่มีทั้งฟาบินโญ่, ฟาน ไดค์ กับซาลาห์ที่บาดเจ็บ โดยมิลเนอร์ เป็นผู้รับหน้าที่คนแรกเช่นกัน และยิงเข้าไป ซึ่งถือว่ากดดันไม่น้อย เพราะมีผลกับคนต่อๆ ไปด้วย

จอร์เดต์ กล่าวว่า “นักเตะที่มีสถิติการยิงจุดโทษที่ดี มักจะได้รับเลือกให้ยิงเป็นคนแรก และมิลเนอร์ก็เริ่มต้นได้ดี มันสมเหตุสมผลแล้วที่เขาได้เริ่มต้น เพราะมีผลงานที่ดีกว่านักเตะคนอื่นๆ”

ขอบคุณภาพ : https://twitter.com/ThaiLFC

จดจ่อกับสิ่งที่ตัวเองทำให้เต็มที่

หลังจากเซซาร์ อัสปิลิกวยต้า ผู้สังหารจุดโทษคนที่ 2 ของเชลซียิงพลาด นั่นคือโอกาสทองของติอาโก้ อัลคันทาร่า ที่จะทำให้ลิเวอร์พูลพลิกขึ้นนำเป็นครั้งแรก เพื่อกุมความได้เปรียบเอาไว้ก่อน

ติอาโก้ มีการเรียกพลังก่อนที่จะยิงจุดโทษ จากนั้นวิ่ง 3 ก้าวเข้าหาบอล มีการหยุดชะงักหนึ่งจังหวะเพียงเสี้ยววินาที รอให้เอดูอาร์ เมนดี้ เสียหลัก ก่อนซัดไปทางซ้ายมือของตัวเอง เข้าประตูไป

จอร์เดต์ กล่าวว่า “ติอาโก้เป็นนักเตะที่มีประสิทธิภาพมาก เมื่อผมเห็นเขายิงจุดโทษ ผมรู้สึกได้เลยว่าเขามุ่งมั่น และทุ่มเทในสิ่งที่เขาทำอย่างมาก เขาทำทุกอย่างเพื่อส่งบอลเข้าประตูให้ได้”

“เมนดี้” ไม่สามารถทำลายสมาธิคู่แข่ง

เอดูอาร์ เมนดี้ นายทวารเชลซี พยายามที่จะทำลายสมาธิการยิงจุดโทษของนักเตะลิเวอร์พูล เช่นการขยับตัวไปมาอยู่หลายครั้ง แต่ต้องยอมรับว่าแท็กติกของเมนดี้ หยุดหงส์แดงไม่ได้จริงๆ

จอร์เดต์ กล่าวว่า “เมนดี้พยายามเข้าหานักเตะลิเวอร์พูลในจังหวะยิงจุดโทษ และพยายามทำตัวให้กระฉับกระเฉงในเวลานั้น แต่ทำอะไรคู่แข่งไม่ได้เลย และเขาไม่ได้มีสถิติเซฟจุดโทษที่ดีอีกด้วย”

“แม้ว่าเขาจะเป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในการเล่นแบบโอเพ่นเพลย์ แต่การรับมือกับจุดโทษ เขาไม่ค่อยมีความมั่นใจมากเหมือนที่ผู้รักษาประตูคนอื่นมี”

ขอบคุณภาพ : https://twitter.com/LFC_Da4ry

อย่าเพิ่งดีใจจนกว่าจะเป็นผู้ชนะ

เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ผู้สังหารจุดโทษคนที่ 4 และยิงไม่พลาด ซึ่งเจ้าตัวไม่แสดงอาการเฉลิมฉลองหลังทำประตูได้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการโยนความกดดันให้กับเชลซีมากขึ้นด้วย

จอร์เดต์ กล่าวว่า “แน่นอน ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายสำหรับนักเตะ ที่จะฉลองหลังทำประตูได้เมื่ออยู่ต่อหน้าแฟนบอลของตัวเอง ถ้ามีโอกาสที่จะเป็นผู้ชนะมากขึ้น ก็ต้องดีใจเป็นเรื่องปกติ”

“แต่ทุกสิ่งทุกอย่างยังไม่มีอะไรแน่นอน สถานการณ์สามารถพลิกผันได้ตลอดเวลา จนกว่าจะแน่ใจแล้วว่าเป็นผู้ชนะจริงๆ”

ปลอบใจ “มาเน่” ในวันที่ผิดพลาด

ซาดิโอ มาเน่ คือนักเตะลำดับที่ 5 ที่เป็นผู้สังหารจุดโทษ โดยหวังที่จะซ้ำรอยนัดชิงชนะเลิศแอฟริกัน คัพ กับฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ที่เจ้าตัวรับหน้าที่นี้เป็นคนสุดท้าย และเซเนกัลเป็นผู้ชนะทั้ง 2 ครั้ง

แต่ในแมตช์ชิงดำเอฟเอ คัพ ดาวเตะเซเนกัล เหมือนจะมีอาการประหม่าก่อนยิงจุดโทษ และในที่สุดเขาก็ยิงไปติดเซฟนายทวารเชลซี ทำให้การดวลจุดโทษต้องยืดเยื้อต่อไป ด้วยเงื่อนไขแบบ “ซัดเดน เดธ”

จอร์เดต์ กล่าวว่า “เมื่อมีนักเตะคนหนึ่งกำลังสูญเสียความมั่นใจหลังยิงจุดโทษพลาด เพื่อนร่วมทีมต้องมีวิธีสื่อสารกับนักเตะคนนั้นในทางสร้างสรรค์ทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อทำให้เขายังรู้สึกดีต่อไป”

การเอาชนะความกดดันของ “โจต้า”

5 คนแรกของทั้ง 2 ฝั่ง สกอร์ยังเสมอกัน ดิเอโก้ โจต้า จึงเป็นผู้ยิงจุดโทษคนที่ 6 หลังจากฮาคิม ซิเย็ค ยิงขึ้นนำไปก่อน ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ถ้ายิงพลาด ส่งมอบแชมป์ให้เชลซีอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ดาวยิงทีมชาติโปรตุเกส ก็สามารถเอาชนะความกดดันของตัวเองได้สำเร็จ สังหารด้วยเท้าขวา บอลพุ่งไปยังมุมบนด้านขวาตุงตาข่าย ช่วยให้ลิเวอร์พูลยังอยู่ในเกมต่อไป

จอร์เดต์ กล่าวว่า “ผมประทับใจในความสามารถของโจต้ามาก ไม่ใช่แค่ยิงประตู แต่เป็นเพราะเขารู้วิธีการรับมือกับความกดดันได้ดี มีนักเตะ 60 เปอร์เซ็นต์ ที่ทำประตูได้ในช่วงเวลาที่ยากแบบนี้”

ขอบคุณภาพ : https://twitter.com/ThaiLFC

“สเกาท์เซอร์ กรีก” ดวลเป้าครั้งแรกในชีวิต

คอสตาส ซิมิคาส แบ็กซ้ายทีมชาติกรีซ เป็นผู้รับหน้าที่สังหารคนที่ 7 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ตัวเขาได้สัมผัสบรรยากาศการดวลจุดโทษตัดสิน เพื่อพาลิเวอร์พูล คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ สมัยที่ 8

หลังจากที่เมสัน เมาท์ สังหารพลาดไปแล้ว นั่นหมายความว่า ถ้าซิมิคาสไม่พลาด ลิเวอร์พูลจะเป็นผู้ชนะทันที และ “สเกาท์เซอร์ กรีก” ยิงด้วยเท้าซ้าย บอลพุ่งไปทางด้านซ้ายมือเข้าไป

“ถ้าเขายิงลูกนั้นพลาด เกมยังต้องยืดเยื้อต่อไป แต่หากยิงเข้าไป ก็ชนะทันที เห็นได้ชัดเลยว่ามีความกดดันสูง แต่ก็สามารถนำแรงกดดัน มาเป็นพลังในด้านบวกเช่นกัน” จอร์เดต์ สรุปปิดท้าย

“ประสาทวิทยา” เบื้องหลังความสำเร็จ

หนึ่งในเคล็ดลับชองลิเวอร์พูล สู่การเอาชนะจุดโทษทั้งคาราบาว คัพ และเอฟเอ คัพ คือ Neuro11 บริษัทด้านประสาทวิทยา ที่เข้ามาช่วยพัฒนาสถิติการยิงจุดโทษให้ดีขึ้น

สำหรับ Neuro11 ก่อตั้งในประเทศเยอรมนี โดยดร.นิคลาส ฮอยเลอร์ เน้นการพัฒนาในแขนงประสาทวิทยาโดยเฉพาะ ซึ่งลิเวอร์พูลได้เข้าร่วมกับริษัทนี้ ตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา

Neuro11 เป็นเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์การทำงานของสมองสำหรับนักเตะในการเล่นลูกนิ่ง เช่น ความเครียดในการเล่นจังหวะหนึ่ง, ท่าที่เหมาะสมที่สุดเมื่อต้องยิงฟรีคิก เตะมุม หรือจุดโทษ

เมื่อค้นพบจุดสมดุลแล้ว ช่วยให้สมองของนักเตะผ่อนคลาย มีประสิทธิภาพตามมา ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ ลิเวอร์พูลได้ประตูจากลูกเซ็ตพีซในฤดูกาลนี้เกือบๆ 30 เปอร์เซ็นต์ เลยทีเดียว

เจอร์เก้น คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์หลังพาทีมคว้าแชมป์เอฟอ คัพ ว่า “Neuro 11 ได้ติดต่อมาหาเรามานานแล้ว และเสนอไอเดียเรื่องประสาทวิทยา เราก็ตัดสินใจลองดู พวกเขาจึงมีส่วนกับความสำเร็จในครั้งนี้”

หลังจากลงเตะพรีเมียร์ลีกในนัดสุดท้าย ลิเวอร์พูลยังมีคิวเตะนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ปารีส ถ้าต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษอีกครั้ง หลายคนเชื่อว่าพวกเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแน่นอน

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

– https://theathletic.com/3314138/2022/05/17/liverpool-chelsea-fa-cup-victory/

– https://twitter.com/GeirJordet/status/1525755974346321921

https://neuro11.de/wp-content/uploads/2022/02/220218_The_Times_newpaper.pdf

https://www.footballtransfers.com/en/transfer-news/uk-fa-cup/2022/05/klopp-explains-how-neuroscience-company-helped-liverpool-win-fa-cup-final

Categories
Special Content

เก่งจริงหรือโชคดี : “อันเชล็อตติ” กุนซือที่ถูกตีค่าฝีมือน้อยเกินจริงหรือไม่ ?

คาร์โล อันเชล็อตติ เทรนเนอร์วัย 63 ปี กับการหวนคืนเก้าอี้เฮดโค้ชเรอัล มาดริด เป็นคำรบสองในฤดูกาลนี้ ด้วยการการันตีแชมป์ลาลีกา สเปน เก็บสถิติคว้าแชมป์ครบ 5 ลีกใหญ่ยุโรป

และล่าสุด พา “ราชันชุดขาว” ผ่านเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยจะไปพบกับลิเวอร์พูล และมีโอกาสลุ้นสร้างประวัติศาสตร์ เป็นผู้จัดการทีมคนแรกที่ได้แชมป์ถ้วยใหญ่ยุโรปถึง 4 สมัย

ความสำเร็จที่เกิดขึ้น เป็นเพราะ “อันเชล็อตติ” อยู่ท่ามกลางสิ่งรอบตัวที่เอื้ออำนวย จนถูกประเมินฝีมือต่ำเกินไป จริงหรือไม่ ? วันนี้ SoccerSuckไข่มุกดำ จะมาขยายให้ฟังกันครับ

ขอบคุณภาพ : https://web.facebook.com/ancelottiofficial

27 ปี บนเส้นทางผู้จัดการทีม

คาร์โล อันเชล็อตติ เริ่มสร้างชื่อตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะ กับโรม่า และเอซี มิลาน หลังจากแขวนสตั๊ดเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ ก็เข้าสู่เส้นทางการเป็นโค้ช โดยเริ่มจากเป็นผู้ช่วยของอาร์ริโก้ ซาคคี่ ในทีมชาติอิตาลี

ซึ่งภายในแคมป์ “อัซซูรี่” นี่เอง ที่ทำให้อันเชล็อตติ ได้เรียนรู้และฝึกฝนแท็กติกต่างๆ จากซาคคี่ เป็นเวลา 3 ปี จนเมื่อวิชาแกร่งกล้ามากพอ เขาได้ลาออกจากการเป็นผู้ช่วยของซาคคี่ เพื่อหาความท้าทายใหม่ๆ

งานแรกของ “อันเช่” ในฐานะผู้จัดการทีมเต็มตัว คือ เรจเจียน่า สโมสรระดับเซเรีย บี เมื่อปี 1995 และใช้เวลากับที่นี่เพียงแค่ฤดูกาลเดียว พาทีมเลื่อนชั้นขึ้นสู่ลีกสูงสุดได้ทันที โดยจบในอันดับที่ 4 ของตาราง

จาก 1 ซีซั่นกับเรจเจียน่า สู่ทีมที่ใหญ่กว่าเดิมกับปาร์ม่า อันเชล็อตติได้สร้างนักเตะซูเปอร์สตาร์อย่างจิอันลุยจิ บุฟฟ่อน, ฟาบิโอ คันนาวาโร่, จิอันฟรังโก้ โซล่า เป็นต้น ด้วยแผนการเล่น 4-4-2

ต่อมาในปี 1999 อันเชล็อตติ ก้าวสู่งานที่ท้าทายกว่าเดิมกับยูเวนตุส สโมสรระดับยักษ์ใหญ่ของอิตาลี ผลงานสำคัญของเขา คือการดันซีเนอดีน ซีดาน จนแจ้งเกิดกลายเป็นสุดยอดมิดฟิลด์ระดับโลก

อีก 2 ปีต่อมา อันเชล็อตติ ย้ายไปคุมทีมเอซี มิลาน และได้สร้างยุคที่ดีที่สุดยุคหนึ่งของสโมสร ด้วยการคว้าแชมป์เซเรีย อา, โคปป้า อิตาเลีย อย่างละ 1 สมัย และแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีก 2 สมัย

หลังจากยุติช่วงเวลา 8 ปีที่มิลาน อันเชล็อตติได้ไปคุมสโมสรในลีกใหญ่ยุโรปทั้งเชลซี, ปารีส แซงต์-แชร์กแมง, เรอัล มาดริด, บาเยิร์น มิวนิค, นาโปลี, เอฟเวอร์ตัน และกลับมาที่เรอัล มาดริด ในปัจจุบัน

ขอบคุณภาพ : https://web.facebook.com/ancelottiofficial

เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส

เรอัล มาดริดในเวลานี้ ไม่ใช่ทีมที่มีเงินถุงเงินถังเหมือนในอดีต ด้วยปัญหาภาวะหนี้สินที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้พวกเขาต้องบริหารการเงินอย่างรอบคอบ พยายามลดรายจ่ายให้ได้มากที่สุด

แต่ยักษ์ใหญ่จากเมืองหลวงทีมนี้ ได้ใช้ปัญหาการเงิน มาเป็นโอกาสสำหรับการสร้างทีมใหม่ด้วยนักเตะดาวรุ่ง ผสมผสานกับนักเตะประสบการณ์สูง ซึ่งทำได้ลงตัวไม่น้อยเลยทีเดียว

CIES Football Observatory หน่วยงานวิเคราะห์สถิติฟุตบอลชื่อดัง เปิดเผยว่า ในรอบ 10 ปีหลังสุด เรอัล มาดริดใช้เงินซื้อนักเตะสุทธิเพียง 179 ล้านยูโร น้อยกว่าทีมระดับกลางตารางพรีเมียร์ลีกบางทีมเสียอีก

ตลาดนักเตะช่วงซัมเมอร์ 2021 เรอัล มาดริด มีดีลใหญ่ขาเข้าแค่ 2 ดีล คือ เอดูอาร์โด คามาวิงก้า 25 ล้านยูโร และเซ็นดาบิด อลาบามาแบบฟรีๆ ส่วนขาออกขายทั้งราฟาเอล วาราน และมาร์ติน โอเดอร์การ์ดออกไป

เท่านั้นยังไม่พอ “ราชันชุดขาว” ต้องหากุนซือคนใหม่ แทนที่ซีเนอดีน ซีดาน ที่ขอแยกทางกับสโมสร ภายใต้สถานการณ์ที่ต้องสร้างทีมใหม่ด้วยนักเตะอายุน้อย พร้อมกับดึงศักยภาพของนักเตะที่มีอยู่แล้ว

และเป็นอันเชล็อตติ ที่กลับมารับตำแหน่งกุนซืออีกครั้ง หลังจากเคยคุมทีมในถิ่นซานติอาโก้ เบอร์นาเบว 2 ฤดูกาล ซึ่งประสบการณ์ที่โชกโชนของเขา ทำให้นักเตะหลายๆ คน เค้นฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดออกมาได้

วินิซิอุส จูเนียร์ ปีกดาวรุ่งชาวบราซิลวัย 22 ปี ได้ผ่านการขัดเกลาจากอันเช่ จนแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในฤดูกาลนี้ ทำได้ถึง 14 ประตู มากกว่า 3 ฤดูกาลแรก ที่ยิงได้รวมกันแค่ 7 ประตูเท่านั้น

คาริม เบนเซม่า ในวัย 34 ปี คู่หูในเกมรุกของวินิซิอุส ระเบิดผลงานที่ดีสุดในชีวิตนักฟุตบอล ยิงไป 26 ประตู 11 แอสซิสต์ จาก 30 นัดในลาลีกา จ่อคว้ารางวัลดาวซัลโว หรือ “ปิชิชี่” เต็มที

ขอบคุณภาพ : https://web.facebook.com/RealMadrid

คุมเกมและคุมคน

การที่นักฟุตบอลจะสามารถรีดฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดออกมาได้นั้น ต้องมาจากการวางแท็กติกที่เหมาะสม และการปฏิบัติตัวกับนักเตะอย่างถูกต้อง นี่คือเคล็ดลับความสำเร็จของคาร์โล อันเชล็อตติ

ความสามารถในการจัดการกับนักเตะภายในทีมที่เต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์ รวมถึงการวางแผนที่เหนือชั้น และการแก้ไขปัญหาอย่างเฉลียวฉลาด ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่มีอยู่ในตัวของกุนซือชาวอิตาเลียน

ลูคัส ดีญ แบ็กซ้ายทีมชาติฝรั่งเศส ให้สัมภาษณ์กับ L’Equipe สื่อบ้านเกิด พูดถึงเจ้านายเก่าของเขาสมัยคุมเอฟเวอร์ตันว่า “อันเชล็อตติเป็นนักวางแผนที่ดีที่สุด เขาวิเคราะห์คู่แข่ง และอ่านเกมได้ดีมาก”

“ในแต่ละเกม เขาพยายามปรับตัวให้เข้ากับนักเตะที่มีอยู่ เขาสามารถเปลี่ยนแปลงแท็กติกระหว่างเกมได้ด้วยปลายนิ้วสัมผัส และสามารถอธิบายสิ่งที่ต้องการให้กับนักเตะฟังแบบเข้าใจง่ายๆ ได้”

ผลงานในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบน็อกเอาต์ในฤดูกาลนี้ ที่สามารถพลิกสถานการณ์จากที่ตกเป็นรองคู่แข่ง กลับมาเป็นผู้ชนะได้อย่างเหลือเชื่อ หลายคนอาจจะมองว่าโชคดี แต่ก็ต้องให้เครดิตอันเชล็อตติด้วย

ขอบคุณภาพ : https://web.facebook.com/ancelottiofficial

เริ่มจากรอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่พบกับปารีส แซงต์ แชร์กแมง ตามหลังสกอร์รวม 2 ลูก อันเช่แก้เกมด้วยการส่งคามาวินก้าลงมาไล่บอลในแดนกลาง ทำให้รูปเกมดีขึ้น นำไปสู่แฮตทริกของคาริม เบนเซม่า พาทีมเข้ารอบ

รอบ 8 ทีมสุดท้าย กับเชลซี และรอบรองชนะเลิศ กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ โรดริโก้ ถูกเปลี่ยนลงมาจากม้านั่งสำรอง โชว์ทีเด็ดยิงประตูช่วงท้ายเกม ก่อนที่เบนเซม่า จะยิงประตูสำคัญช่วงต่อเวลาพิเศษทั้ง 2 รอบ

อีกเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้เรอัล มาดริดมีผลงานที่ดีในฤดูกาลนี้ คือการดึงตัวอันโตนิโอ ปินตุส กลับมาเป็นโค้ชฟิตเนสของสโมสรอีกครั้ง หลังเคยอยู่กับ “โลส บลังโกส” มาแล้ว ในช่วงปี 2016-2019

การมาของปินตุส ได้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาอาการบาดเจ็บของผู้เล่นได้เป็นอย่างดี นักเตะอย่างลูก้า โมดริช ที่ถึงแม้อายุย่างเข้า 37 ปี แต่ยังคงรักษาสภาพร่างกายที่ยอดเยี่ยมเหมือนตอนสมัยยังหนุ่ม

การคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครบทั้ง 5 ลีกใหญ่ยุโรป และเข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 5 ครั้ง ไม่ใช่เพราะโชค แต่เป็นการใส่ใจในทุกรายละเอียด การวางกลยุทธ์ที่ถูกต้อง และการดึงศักยภาพสูงสุดจากนักเตะออกมาได้

ขอบคุณภาพ : https://web.facebook.com/ancelottiofficial

เรียบเรียง: จักรพันธ์ ภู่ทอง

อ้างอิง :

https://www.bbc.com/sport/football/61310553

– https://www.besoccer.com/new/people-say-madrid-are-lucky-but-that-s-not-the-case-1130999

– https://football-observatory.com/IMG/sites/b5wp/2021/wp367/en/

– https://www.90min.com/posts/6422850-carlo-ancelotti-football-s-most-loveable-eyebrow-in-the-words-of-his-players

https://www.marca.com/en/football/real-madrid/2021/06/08/60bf4bdb46163f6b6a8b4695.html

Categories
Football Business

กระเป๋าตุงแค่ไหน ? : เปิดตัวเลข 20 สโมสรพรีเมียร์ลีก จ่ายเงินให้เอเยนต์นักเตะในรอบปี

เมื่อเร็วๆ นี้ สมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือ เอฟเอ ได้เปิดเผยยอดเงินของทั้ง 20 สโมสรในพรีเมียร์ลีก ที่ได้จ่ายให้เอเย่นต์นักฟุตบอลไปในช่วง 2 รอบตลาดนักเตะ ทั้งซัมเมอร์ 2021 และเดือนมกราคม 2022

ตัวเลขที่ได้รวบรวมในรอบล่าสุด นับตั้งแต่ 2 กุมภาพันธ์ 2021 ถึง 31 มกราคม 2022 มียอดการซื้อขายนักเตะรวมกันทั้งสิ้น 1.44 พันล้านปอนด์ และเอเย่นต์ได้ส่วนแบ่ง 19 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นจำนวนเงิน 272.6 ล้านปอนด์

นับตั้งแต่มีการรวบรวมสถิติเป็นครั้งแรกในปี 2015 จะเห็นได้ว่าจำนวนเงินเข้ากระเป๋าเอเย่นต์เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี สำหรับยอดเงินในรอบปีนี้ เพิ่มขึ้นจากรอบปีที่แล้ว 4 แสนปอนด์ และเป็นตัวเลขที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกด้วย

แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเชลซี เฉพาะ 3 ทีมนี้ มียอดเงินที่ต้องจ่ายให้เอเย่นต์รวมกันถึง 1 ใน 3 ของทั้งหมด ขณะที่เบรนท์ฟอร์ด ที่เลื่อนชั้นขึ้นมาด้วยการเพลย์ออฟ จ่ายน้อยที่สุดแค่ 3.5 ล้านปอนด์

จำนวนเงินที่ทีมในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เสียให้บรรดาเอเย่นต์ในรอบ 12 เดือนหลังสุด เป็นจำนวนที่มากที่สุดเมื่อเทียบกับ 5 ลีกใหญ่ของยุโรป ทั้งเซเรีย อา อิตาลี, บุนเดสลีกา เยอรมนี, ลาลีกา สเปน และลีกเอิง ฝรั่งเศส

ในปัจจุบันนี้ มีเอเย่นต์นักฟุตบอลมากกว่า 2,000 คน ที่ลงทะเบียนกับเอฟเอ เมื่อมีดีลย้ายสโมสร, ต่อสัญญา หรือยกเลิกสัญญา ก็จะได้รับส่วนแบ่งตามเปอร์เซ็นต์ แน่นอนว่าพวกเขามักจะมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ

มิโน่ ไรโอล่า เอเย่นต์นักฟุตบอลระดับท็อปของวงการ ที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อ 30 เมษายนที่ผ่านมา ได้อยู่เบื้องหลังนักเตะระดับโลกหลายคน อาทิ ปอล ป็อกบา รวมถึงเออร์ลิง ฮาแลนด์ ที่ตกเป็นข่าวย้ายทีมอย่างหนัก

ท่ามกลางกระแสข่าวที่ว่า องค์กรลูกหนังอย่าง “ฟีฟ่า” เตรียมจะกำหนดเพดานการใช้จ่าย และออกมาตรการทางกฎหมายใหม่ๆ เพื่อต้องการขจัดปัญหาการกินเงินส่วนต่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับดีลการซื้อขายนักเตะ

ทั้ง 20 สโมสรในลีกสูงสุดของอังกฤษ มียอดการจ่ายเงินให้ “นายหน้าค้านักเตะ” ในช่วงปี 2021-2022เรียงตามลำดับจากมากไปน้อย ดังต่อไปนี้

1. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (35 ล้านปอนด์)

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือทีมแชมป์จ่ายเงินให้เอเย่นต์มากที่สุดในรอบ 12 เดือนล่าสุด และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2017 ด้วยจำนวนเงิน 35 ล้านปอนด์ มากกว่ารอบปี 2020-2021 ที่จ่ายไป 30.1 ล้านปอนด์

ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา แมนฯ ซิตี้ ได้ซื้อนักเตะฝีเท้าดีเข้าสู่ทีมมากมาย เช่น ลีรอย ซาเน่, จอห์น สโตนส์, อิลคาย กุนโดกัน, กาเบรียล เชซุส, แบร์นาร์โด้ ซิลวา, ไคล์ วอล์คเกอร์, อายเมอริค ลาป็อกต์ เป็นต้น

แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซิตี้ ซื้อนักเตะบิ๊กเนมเพียงไม่กี่ราย เมื่อเทียบกับช่วงแรกๆ ที่เป๊ป กวาร์ดิโอล่าเข้ามาคุมทีมใหม่ๆ แต่ด้วยจำนวนค่าตัวนักเตะที่สูง ทำให้พวกเขาต้องจ่ายเงินให้นายหน้ามากขึ้นตามไปด้วย

เหตุผลที่ “เรือใบสีฟ้า” ต้องจ่ายเงินให้เอเย่นต์ถึง 35 ล้านปอนด์ภายใน 1 ปี ไม่ใช่แค่การดึงตัวแจ็ค กริลิช เป็นค่าตัวสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการต่อสัญญาบรรดานักเตะในทีมด้วย

2. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (29 ล้านปอนด์)

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือทีมที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ในเรื่องการเสียค่าใช้จ่ายให้เอเย่นต์นักเตะรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา เป็นจำนวนเงิน 29 ล้านปอนด์ น้อยกว่าช่วงปี 2020-2021 ที่มีตัวเลข 29.8 ล้านปอนด์

แน่นอนว่า ดีลใหญ่ที่สุดของยูไนเต็ด คือการกลับคืนสู่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ซึ่งมีฮอร์เก้ เมนเดส จาก Gestifute International Limited เป็นนายหน้าคู่ใจของเขา

นอกจากนี้ ยังมีราฟาเอล วาราน แนวรับชาวฝรั่งเศส ที่มีอ็องโตนี่ พี่ชายของเขา อยู่เบื้องหลังการดึงตัวมาจากเรอัล มาดริด และดีลของเจดอน ซานโช่ ที่ย้ายมาจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ด้วยค่าตัว 78 ล้านปอนด์

และเหตุผลอีกอย่างหนึ่ง ที่มีส่วนทำให้ยอดเงินที่จ่ายให้เอเย่นต์ค่อนข้างสูง คือการต่อสัญญานักเตะตัวหลักในทีม ทั้งฆวน มาต้า ที่ต่อสัญญาไปอีก 1 ปี จนจบซีซั่นนี้ และเอริค ไบญี่ ที่ขยายสัญญาจนถึงปี2024

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/manchesterunited

3. เชลซี (28.2 ล้านปอนด์)

เมื่อช่วงปี 2020-2021 เชลซีคือทีมอันดับ 1 ที่จ่ายเงินให้เอเย่นต์มากที่สุดในพรีเมียร์ลีก (35.2 ล้านปอนด์) แต่ในรอบ 12 เดือนหลังสุดที่ผ่านมา พวกเขาอยู่อันดับที่ 3 ด้วยจำนวนเงิน 28.2 ล้านปอนด์

ในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะ 2 รอบล่าสุด เชลซีมีดีลใหญ่เพียงแค่ 2 ดีลเท่านั้น คือโรเมลู ลูกากู ที่ย้ายมาจากอินเตอร์ มิลาน คืนสู่ทีมเก่า ด้วยค่าตัว 97.5 ล้านปอนด์ และยืมตัวซาอูล นิเกซ จากแอตเลติโก้ มาดริด

ดีลของลูกากู ทำให้เฟเดริโก้ ปาสโตเรลโล่ เอเย่นต์ส่วนตัวของดาวยิงทีมชาติเบลเยียม ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับโรมัน อบราโมวิช อดีตเจ้าของสโมสรมาอย่างยาวนาน ได้รับส่วนแบ่งไปค่อนข้างสูง

นับตั้งแต่ “เสี่ยหมี” เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรเมื่อปี 2003 ทำให้เชลซีเป็นทีมที่จ่ายเงินให้เอเย่นต์มากที่สุดในยุโรป ส่วนการเสริมผู้เล่นในช่วงซัมเมอร์นี้ ขึ้นอยู่กับเจ้าของทีมคนใหม่ที่จะเข้ามารับช่วงต่อไป

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/ChelseaFC

4. ลิเวอร์พูล (22.1 ล้านปอนด์)

อดีตทีมที่เคยครองตำแหน่งอันดับ 1 ในการเสียเงินให้เอเย่นต์ ถึง 3 ปีซ้อน ตั้งแต่ปี 2018-2020 สำหรับในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล อยู่ในอันดับที่ 4 มียอดค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 22.1 ล้านปอนด์

ตัวเลข 22.1 ล้านปอนด์ของลิเวอร์พูล มาจากดีลใหญ่ถึง 2 ดีล ทั้งอิบราฮิม่า โกนาเต้ กองหลังค่าตัว 36 ล้านปอนด์ จากแอร์เบ ไลป์ซิก และหลุยส์ ดิอาซ ปีกชาวโคลอมเบียจากปอร์โต้ 50 ล้านปอนด์

ส่วนดีลย้ายออก “หงส์แดง” ก็ต้องจ่ายเงินให้เอเยนต์ของแฮร์รี่ วิลสัน ปีกขวาที่ย้ายไปฟูแล่ม, มาร์โก้ กรูยิช กองหลังชาวเซอร์เบียที่ย้ายไปปอร์โต้ และไทโว อโวนิยี่ ที่ย้ายไปยูนิโอน เบอร์ลิน

นอกจากนี้ ทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ ยังมีการต่อสัญญาใหม่กับนักเตะหลายราย อาทิ อลิสซอน เบ็คเกอร์, ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, อาเดรียน, ควีวีน เคลเลเฮอร์ และนาธานเนียล ฟิลลิปส์

5. อาร์เซน่อล (18.7 ล้านปอนด์)

อาร์เซน่อล หมดเงินไป 18.7 ล้านปอนด์ กับค่าเอเย่นต์ในช่วง 12 เดือนหลังสุด ติดท็อป 5 ของพรีเยร์ลีก เป็นตัวเลขที่มากกว่าในช่วงระหว่างปี 2020-2021 ที่จ่ายเงินให้เอเย่นต์ทั้งหมด 16.5 ล้านปอนด์

ก่อนหน้านี้ อาร์เซน่อลไม่ค่อยพึ่งพาเอเย่นต์ชื่อดังที่มีอิทธิพลสูงมากเท่าใดนัก เอเย่นต์ส่วนใหญ่ที่เข้ามาเป็นเอเย่นต์ที่มีประวัติการซื้อขายนักเตะกับสโมสรน้อย ทำให้ค่าจ้างเอเย่นต์ยังไม่สูงมาก

แต่ในตลาดนักเตะ 2 รอบล่าสุด “เดอะ กันเนอร์ส” คือทีมที่จ่ายเงินซื้อนักเตะถึง 149 ล้านยูโร มากที่สุดในลีก แลกกับนักเตะ 6 คน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เนื่องจากเป้าหมายของทีมสูงขึ้น

6. ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ (13.9 ล้านปอนด์)

สเปอร์ จ่ายเงินให้เอเย่นต์ในรอบ 12 เดือนหลังสุดทั้งหมด 13.9 ล้านปอนด์ ต่ำสุดในกลุ่ม “บิ๊ก 6” พรีเมียร์ลีก และเป็นตัวเลขที่น้อยกว่าช่วงระหว่างปี 2020-2021 ที่จ่ายเงินให้เอเย่นต์ทั้งหมด 16.5 ล้านปอนด์

ถึงแม้ว่าสเปอร์ จะถูกเรียกว่าเป็น 1 ใน 6 สโมสรใหญ่ของพรีเมียร์ลีก แต่สถานะทางการเงินยังเป็นรองอีก 5 ทีมใหญ่ที่อยู่เหนือพวกเขา ยอดเงินที่จ่ายให้เอเย่นต์ในปีที่ผ่านมา ใกล้เคียงกับทีมระดับกลางหลายๆ ทีม

การเสริมทัพของ “ไก่เดือยทอง” ในฤดูกาลนี้ จะเน้นไปที่นักเตะดาวรุ่งที่สามารถใช้งานได้หลายปี ซึ่งพวกเขาก็ทำผลงานได้ดี แต่ในฤดูกาลหน้า ความคาดหวังเรื่องผลงานของสโมสรจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

7. วัตฟอร์ด (12.6 ล้านปอนด์)

ทีมที่จ่ายเงินให้เอเย่นต์มากที่สุดเป็นอันดับที่ 7 ของพรีเมียร์ลีกคือ วัตฟอร์ด คิดเป็นเงิน 12.6 ล้านปอนด์ ซึ่งมากกว่าเมื่อฤดูกาลก่อน ที่อยู่ในลีกแชมเปี้ยนชิพ โดยใช้ไปแค่ 2.1 ล้านปอนด์ หรือต่างกันถึง 6 เท่า

ฤดูกาลนี้ วัตฟอร์ดได้มีดีลต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งการเสริมนักเตะใหม่, ต่อสัญญา หรือย้ายออกจากทีม รวมกันทั้งหมด 31 คน แต่ถ้านับเฉพาะนักเตะที่ดึงเข้ามา พวกเขาได้เซ็นสัญญาไปทั้งหมด 24 คน

ซึ่งเอเย่นต์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวัตฟอร์ดมากที่สุด คือ อาร์เนาด์ บายาต ที่ได้รับความไว้วางใจจากจิโน่ ปอซโซ่ เจ้าของสโมสรชาวอิตาเลียน และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังดีลสำคัญๆ หลายคน

8. เลสเตอร์ ซิตี้ (12 ล้านปอนด์)

เลสเตอร์ ซิตี้ จ่ายเงินให้กับเอเย่นต์ไป 12 ล้านปอนด์ ในรอบ 12 เดือนหลังสุด อยู่ในอันดับที่ 8 ส่วนตัวเลขช่วงระหว่างปี 2020-2021 ใช้เงินไป 12.5 ล้านปอนด์ น้อยกว่ากันแค่ 500,000 ปอนด์เท่านั้น

ตลาดนักเตะช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา เลสเตอร์ใช้เงินไป 55 ล้านปอนด์ มากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร ได้นักเตะใหม่ อาทิ พัตสัน ดาก้า, บูบาการี่ ซูมาเร่, ยานนิค เวสเตอร์การ์ด, อเดโมล่า ลุคแมน และไรอัน เบอทรานด์

นอกจากนี้ ยังมีการต่อสัญญาฉบับใหม่กับนักเตะหลายคน เช่นแดนนี่ วอร์ด, ริคาร์โด้ เปเรยร่า, ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์, เจมส์ จัสติน, มาร์ค อัลไบรท์ตัน และเอลดิน จาคูโปวิช

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/lcfc

9. วูล์ฟแฮมป์ตัน (11.9 ล้านปอนด์)

วูล์ฟแฮมป์ตัน จ่ายเงินค่าเอเย่นต์ในรอบ 12 เดือนล่าสุด เป็นจำนวน 11.9 ล้านปอนด์ อยู่ในอันดับที่ 9 ของพรีเมียร์ลีก ซึ่งน้อยกว่าช่วงปี 2020-2021 ที่ติดอันดับ 8 ด้วยจำนวนเงิน 12.6 ล้านปอนด์

ในฤดูกาลนี้ วูล์ฟแฮมป์ตัน ได้เปลี่ยนกุนซือจากนูโน่ เอสปิริโต ซานโต มาเป็นบรูโน่ ลาจ ซึ่งยังคงนโยบาย “โปรตุกีส คอนเน็คชั่น” ดึงนักเตะที่เป็นลูกค้าของฮอร์เก้ เมนเดส เอเย่นต์ชื่อดังเข้าสู่ทีม

ดีลของเยอร์สัน มอสเกร่า กองหลังดาวรุ่งวัย 21 ปี ที่ย้ายมาจากแอตเลติโก นาซิอองนาล สโมสรในโคลัมเบีย มีการเปิดเผยว่า ฮวน ปาโบล อังเคล อดีตดาวยิงแอสตัน วิลล่า เป็นนายหน้าให้กับเขา

10. เอฟเวอร์ตัน (11.5 ล้านปอนด์)

รอบ 12 เดือนหลังสุด เอฟเวอร์ตัน จ่ายเงินให้กับเอเย่นต์ติดอันดับ “ท็อป เทน” ของพรีเมียร์ลีก คิดเป็นเงิน 11.5 ล้านปอนด์ ภายใต้สถานการณ์ที่สโมสรประสบกับปัญหาทางการเงินอย่างหนักในเวลานี้

ตลาดนักเตะ 2 รอบล่าสุด เอฟเวอร์ตันดึงตัวผู้เล่นใหม่เข้ามาไม่น้อย เช่น เดมาไร เกรย์, แอนดรอส ทาวน์เซ่น, ซาโลมอน รอนดอน, วิตาลี มิโคเลนโก้, นาธาน แพตเตอร์สัน ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค, เดเล่ อัลลี่ เป็นต้น

ส่วนดีลย้ายออกที่สำคัญ เช่นการปล่อยฮาเมส โรดริเกวซ และเบอร์นาร์ด 2 นักเตะที่กินค่าเหนื่อยสูงสุดออกไป รวมถึงลูคัส ดีญ ที่มีนายหน้าคนดังอย่างเคีย จูรับเชี่ยน อยู่เบื้องหลังในการย้ายไปแอสตัน วิลล่า

11. ลีดส์ ยูไนเต็ด (11.4 ล้านปอนด์)

ลีดส์ ยูไนเต็ด มียอดการจ่ายเงินให้กับเอเย่นต์ในรอบ 12 เดือนหลังสุด ทั้งหมด 11.4 ล้านปอนด์ อยู่ในอันดับที่ 11 ของพรีเมียร์ลีก มากกว่าช่วงระหว่างปี 2020-2021 ที่พวกเขาจ่ายไป 7 ล้านปอนด์

ตลาดนักเตะช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ลีดส์ใช้เงินประมาณ 50 ล้านปอนด์ แลกกับ 3 นักเตะทีมใหญ่ ทั้งแดเนี่ยล เจมส์ จากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, จูเนียร์ เฟอร์โป จากบาร์เซโลน่า และแจ็ค แฮร์ริสัน จากแมนเชสเตอร์ ซิตี้

นอกจากนี้ ยังต่อสัญญาให้กับนักเตะตัวหลัก เช่น อิลลัน เมสลิเย่ร์ (ขยายไปอีก 5 ปี), แพทริค แบมฟอร์ด, สจ๊วต ดัลลัส, อดัม ฟอร์ชอว์ และไทเลอร์ โรเบิร์ต รวมถึงนักเตะอคาเดมี่ และนักเตะที่ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรก

12. เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (10.5 ล้านปอนด์)

เวสต์แฮม ยูไนเต็ด จ่ายเงินให้กับเอเย่นต์ในรอบ 12 เดือนหลังสุด เป็นจำนวนเงิน 10.5 ล้านปอนด์ อยู่ในอันดับที่ 12 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากรอบปี 2020-2021 ที่เสียค่าใช้จ่ายให้เอเย่นต์ 9.7 ล้านปอนด์

การใช้จ่ายในตลาดนักเตะ 2 รอบล่าสุด เวสต์แฮมได้นักเตะใหม่มา 5 คน ได้แก่ เคิร์ต ซูม่า, นิโกล่า วลาซิช, เคร็ก ดอว์สัน พร้อมยืมตัว 2 นักเตะทั้งอเล็กซ์ คราล และอัลฟองเซ่ อาเรโอล่า

การเซ็นสัญญานักเตะของ “เดอะ แฮมเมอร์ส” ในฤดูกาลนี้ ช่วยยกระดับผลงานได้ดี โดยในเวลานี้ มีลุ้นเล็กๆ ในการติดท็อป 4 พรีเมียร์ลีก และยังอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก อีกด้วย

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/WestHam

13. แอสตัน วิลล่า (9.6 ล้านปอนด์)

แอสตัน วิลล่า เป็นทีมอันดับที่ 13 ของทีมที่จ่ายเงินให้กับเอเย่นต์มากที่สุดในพรีเมียร์ลีกในรอบ 12 เดือนล่าสุด ด้วยจำนวน 9.6 ล้านปอนด์ มากกว่าช่วงปี 2020-2021 ที่ใช้เงินไป 8.9 ล้านปอนด์

การขายแจ็ค กริลิช ไปให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 100 ล้านปอนด์ เป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ ทำให้วิลล่า มีงบประมาณมหาศาลที่จะเสริมตัวผู้เล่นในตลาดนักเตะ 2 รอบล่าสุด

ดีลของเอมิเลียโน่ บูเอนเดีย, ลีออน ไบลี่ย์, ลูคัส ดีญ และแดนนี่ อิงส์ เฉพาะ 4 คนนี้ มีค่าตัวรวมกันประมาณ 115 ล้านปอนด์ อีกทั้งยังยืมตัวฟิลิปเป้ คูตินโญ่ มาจากบาร์เซโลน่า ในช่วงเดือนมกราคมด้วย

14. คริสตัล พาเลซ (8.9 ล้านปอนด์)

คริสตัล พาเลซ จ่ายเงินไป 8.9 ล้านปอนด์ กับค่าเอเย่นต์ในช่วง 12 เดือนหลังสุด เป็นอันดับที่ 14 ของพรีเยร์ลีก เพิ่มขึ้นจากช่วงระหว่างปี 2020-2021 ที่จ่ายเงินให้เอเย่นต์ทั้งหมด 6.8 ล้านปอนด์

ในตลาดนักเตะ 2 รอบล่าสุด พาเลซใช้เงินซื้อนักเตะไปไม่น้อยกว่า 60 ล้านปอนด์ เช่น ไมเคิล โอลิเซ่, โจอาคิม แอนเดอร์สัน, อ็อดซอนน์ เอดูอาร์, มาร์ค เกฮี, ฌอง ฟิลิปป์ มาเตต้า เป็นต้น

ส่วนนักเตะตัวเก๋าอย่างเจมส์ แม็คอาเธอร์ มิดฟิลด์วัย 34 ปี เพิ่งขยายสัญญาออกไป แต่จะไม่ได้เป็นการต่อสัญญาแบบระยะยาว ขึ้นอยู่กับการพิจารณาว่า เขายังมีประโยชน์กับสโมสรหรือไม่

15. นอริช ซิตี้ (8.7 ล้านปอนด์)

นอริช ซิตี้ มียอดการจ่ายเงินให้กับเอเย่นต์ในรอบ 12 เดือนหลังสุด ทั้งหมด 8.7 ล้านปอนด์ ซึ่งมากกว่าช่วงระหว่างปี 2020-2021 ที่อยู่ในลีกแชมเปี้ยนชิพ ได้จ่ายค่าเอเย่นต์ไป 6.8 ล้านปอนด์

สำหรับเงินที่ต้องจ่ายให้นายหน้าของนอริชนั้น มาจากการซื้อผู้เล่นเข้ามาถึง 11 คนในตลาดนักเตะช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา รวมถึงการปล่อยตัวเอมิเลียโน่ บูเอนเดีย ไปให้แอสตัน วิลล่า ด้วยค่าตัว 33 ล้านปอนด์

นอกจากนี้ การยกเลิกสัญญากับนักเตะหลายคน และการเปลี่ยนแปลงกุนซือจากดาเนียล ฟาร์ก มาเป็นดีน สมิธ เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ก็ถูกนับรวมเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเอเย่นต์ด้วย

16. นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด (7.7 ล้านปอนด์)

นิวคาสเซิล ที่เพิ่งมีเจ้าของสโมสรรายใหม่ไปเมื่อเร็วๆ นี้ จ่ายเงินค่าเอเย่นต์ไปเพียง 7.7 ล้านปอนด์ น้อยกว่าช่วงระหว่างปี 2020-2021 ในยุคของไมค์ แอชลี่ย์ อดีตเจ้าของทีมคนก่อน ที่จ่ายไป 11.3 ล้านปอนด์

ในฤดูกาลนี้ นิวคาสเซิลเสริมนักเตะมา 5 คน ค่าตัวรวมกันประมาณ 92 ล้านปอนด์ แต่จะเน้นหนักไปที่ตลาดนักเตะเดือนมกราคม ประกอบด้วยคีแรน ทริปเปียร์, แดน เบิร์น, โจ วิลล็อค, คริส วูด และบรูโน่ กิมาไรส์

เป็นที่น่าแปลกใจว่า ซีซั่นนี้นิวคาสเซิลเสียเงินค่านายหน้าน้อยกว่าซีซั่นที่แล้ว แต่ด้วยความสามารถในการดึงนักเตะที่มากกว่าเดิมในอนาคต พวกเขามีแนวโน้มที่จะต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายให้นายหน้าเพิ่มขึ้น

ขอบคุณภาพ : https://www.facebook.com/newcastleunited

17. ไบรท์ตัน (6.2 ล้านปอนด์)

ไบรท์ตัน ได้จ่ายเงินให้เอเย่นต์ไปทั้งหมด 6.2 ล้านปอนด์ ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา มากสุดเป็นอันดับที่ 17 ของพรีเมียร์ลีก น้อยลงจากช่วงระหว่างปี 2020-2021 ที่เสียค่าเอเย่นต์ไป 7.5 ล้านปอนด์

สมัยที่ไบรท์ตัน ยังอยู่ในลีกแชมเปี้ยนชิพ จ่ายเงินให้นายหน้านักเตะไม่ถึง 1 ล้านปอนด์ จนกระทั่งในฤดูกาล 2016/17 เป็นซีซั่นแรกที่พวกเขาจ่ายเงินแตะ 7 หลัก และได้เลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกในซีซั่นถัดไป

ดีลใหญ่ของ “เดอะ ซีกัลส์” ในฤดูกาลนี้ ฝั่งขาเข้าคืออิน็อค เอ็มเวปู มาจากซัลซ์บวร์ก ราคา 20 ล้านปอนด์ ส่วนฝั่งขาออก คือการขายเบน ไวท์ เซ็นเตอร์แบ็กชาวอังกฤษไปให้อาร์เซน่อล ด้วยค่าตัวสูงถึง 50 ล้านปอนด์

18. เบิร์นลี่ย์ (6 ล้านปอนด์)

เบิร์นลีย์ อยู่ในอันดับ 18 ของทีมที่จ่ายเงินให้กับเอเย่นต์มากที่สุดในพรีเมียร์ลีก ในรอบ 12 เดือนล่าสุด คิดเป็นเงิน 6 ล้านปอนด์ ซึ่งสูงกว่าในช่วงระหว่างปี 2020-2021 ที่เสียเงินไป 4.5 ล้านปอนด์

“เดอะ คลาเร็ตส์” เสริมผู้เล่นเข้ามาหลายคน อาทิ วูท เวกฮอร์สต์, แม็กซ์เวล คอร์เน็ต, นาธาน คอลลินส์ และคอนเนอร์ โรเบิร์ตส์ พร้อมกับดึงนักเตะฟรีเอเย่นต์อย่างเวย์น เฮนเนสซีย์ และอารอน เลนน่อน

อย่างไรก็ตาม มีผู้เล่นในทีมชุดปัจจุบันอยู่ 10 คน ที่กำลังจะหมดสัญญาหลังจบฤดูกาลนี้ แต่จนถึงเวลานี้ ก็ยังไม่มีนักเตะคนใดตกลงต่อสัญญาใหม่เลย ส่วนแจ็ค คอร์ก และแอชลี่ย์ บาร์นส์ เหลือสัญญาอยู่ 1 ปีเท่านั้น

19. เซาธ์แธมป์ตัน (4.9 ล้านปอนด์)

เซาธ์แธมป์ตัน มียอดการจ่ายเงินให้กับเอเย่นต์ในรอบ 12 เดือนหลังสุด ทั้งหมด 4.9 ล้านปอนด์ มากกว่าเบรนท์ฟอร์ด เพียงทีมเดียวเท่านั้น เมื่อเทียบกับช่วงระหว่างปี 2020-2021 พวกเขาจ่ายไป 6.8 ล้านปอนด์

ดีลใหญ่สุดของ “เดอะ เซนส์” ในตลาดนักเตะ 2 รอบล่าสุด คือ อดัม อาร์มสตรอง ย้ายจากแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ส่วนขาออก ได้ปล่อยตัวแดนนี่ อิงส์ ไปให้แอสตัน วิลล่า และยานนิค เวสเตอร์การ์ด ไปให้เลสเตอร์ ซิตี้ 

ส่วนกรณีของอเล็กซ์ แม็คคาร์ธี่ย์ ผู้รักษาประตูมือ 1 ของทีม ที่กำลังจะหมดสัญญาหลังจบซีซั่นนี้ มีรายงานว่าเจ้าตัวกำลังจะตัดสินใจต่อสัญญาฉบับใหม่ออกไปอีก 3 ปี

20. เบรนท์ฟอร์ด (3.5 ล้านปอนด์)

เบรนท์ฟอร์ด ทีมที่เลื่อนชั้นขึ้นสู่ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 74 ปี ใช้เงินซื้อนักเตะเพียง 30 ล้านปอนด์ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ทำให้เป็นทีมที่จ่ายเงินให้เอเย่นต์น้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีก ระหว่างปี 2021-2022

จำนวนเงิน 3.5 ล้านปอนด์ของเบรนฟอร์ด น้อยกว่า 2 ทีมที่เลื่อนชั้นมาด้วยกันทั้งวัตฟอร์ด (12.6 ล้านปอนด์) และนอริช ซิตี้ (8.7 ล้านปอนด์) อีกทั้งน้อยกว่าอันดับ 1 อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ถึง 10 เท่า

ดีลใหญ่ที่สุดของเบรนท์ฟอร์ด คือดีลของคริสตอฟเฟอร์ เอเยอร์ เซ็นเตอร์แบ็กชาวนอร์เวย์ ย้ายจากกลาสโกว์ เซลติก ด้วยค่าตัว 13.5 ล้านปอนด์ เป็นสถิติสูงสุดของสโมสร ในช่วงซัมเมอร์ปี 2021

Author : จักรพันธ์ ภู่ทอง

Photo : The Athletic

อ้างอิง :

https://theathletic.com/3223559/2022/04/02/analysed-premier-league-spent-272m-agents-fees-transfers?source=user-shared-article

https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-10672961/Premier-League-clubs-spent-272MILLION-agents-fees-2021-22.html

https://www.thefa.com/football-rules-governance/policies/intermediaries/intermediaries-transactions

Categories
Special Content

ย้อนรอยความสูญเสีย : 33 ปี “ฮิลส์โบโร่” โศกนาฎกรรมลูกหนังที่ไม่มีวันลืมเลือน

หากจะกล่าวถึงเหตุการณ์ที่สร้างความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดของวงการฟุตบอลอังกฤษ หนึ่งในนั้นจะต้องเป็นเหตุการณ์ “ฮิลส์โบโร่” ระหว่างการแข่งขันฟุตบอลเอฟเอ คัพ ในวันนี้เมื่อ 33 ปีก่อน

นี่คือความทรงจำอันเจ็บปวดของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น พร้อมทั้งได้เห็นการต่อสู้เพื่อคืนความยุติธรรมของครอบครัวผู้สูญเสีย และบทเรียนที่ได้รับหลังจากความหายนะที่เกิดขึ้น

และในโอกาสที่ลิเวอร์พูล มีโปรแกรมเตะเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ พบกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในวันรุ่งขึ้น จึงถือโอกาสนี้นำเหตุการณ์ที่เป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรมาฝากกัน

เรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงบทสรุปเป็นอย่างไร ? วันนี้เพจ “ไข่มุกดำ” จะมาขยายให้ฟังกันครับ

ขอบคุณรูปภาพจาก : https://www.facebook.com/ThailandLiverpoolFC/

จุดเริ่มต้นแห่ง “หายนะ”

ข้ามเวลากลับไปในวันที่ 15 เมษายน 1989 การแข่งขันฟุตบอลเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ ระหว่าง ลิเวอร์พูล VS น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ที่สนามฮิลส์โบโร่ บ้านของสโมสรเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์

การแข่งขันแมตช์ดังกล่าว มีแฟนบอลจำนวนมากที่ต้องการเข้าชม โดยเฉพาะฝั่งลิเวอร์พูล ที่เข้ามาแบบกระจุกอยู่ที่บริเวณทางเข้าสนาม และเป็นความโชคไม่ดี ที่การจัดการเกิดความผิดพลาด

ความผิดพลาดแรก คือการจัดโซนที่นั่งบนอัฒจันทร์ให้แฟนบอลแต่ละทีม แฟนลิเวอร์พูลที่มีจำนวนมากกว่า กลับต้องไปนั่งในโซนที่จุผู้ชมได้น้อยกว่า และแฟนฟอเรสต์ ไปนั่งในโซนที่จุผู้ชมได้มากกว่า

และความผิดพลาดที่สอง คือปล่อยให้ผู้ชมในบางโซนแออัดจนแน่นพื้นที่ ยิ่งใกล้เวลาแข่งขัน แฟนบอลด้านหลังต่างก็พยายามผลักดันแฟนบอลด้านหน้า เพื่อจะได้เข้าสนามเร็วขึ้น

ขณะที่แฟนบอลบางคนที่ไม่มีตั๋วเข้าชมก็ถูกกันอยู่ตรงทางเข้า เมื่อเจ้าหน้าที่สนามเห็นฝูงชนที่แออัด จึงได้ตัดสินใจเปิดอีกโซนหนึ่งที่ไม่มีช่องเช็คตั๋ว ทำให้แฟนบอลต่างแห่กันเข้าไปช่องทางนั้นกันหมด

เมื่อแฟนบอลจำนวนมากที่ถูกอัดอยู่ด้านหน้าทางเข้าเริ่มทนไม่ไหว ได้พยายามดิ้นรนหนีตายกันอลหม่าน บ้างก็ถูกอัดติดกับรั้วลูกกรง ขยับไปไหนไม่ได้ เหยียบกันตาย หายใจไม่ออก

เกมในสนามเพิ่งเริ่มได้ไม่นาน ท่ามกลางสถานการณ์ที่โกลาหลอย่างมาก จนในที่สุดแมตช์นี้ดำเนินได้ไปแค่ 6 นาที ต้องยกเลิกการแข่งขัน จังหวะที่ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ ยิงชนคาน คือช็อตสุดท้ายของเกม

เหตุการณ์นี้มีผู้เสียชีวิตทันทีในวันเกิดเหตุ 94 ราย แล้วเพิ่มเป็น 95 ในวันถัดมา และในปี 1993 แฟนบอลรายหนึ่ง ที่อาการโคม่า รักษาตัวมานานถึง 4 ปี ก็จบชีวิตลงเป็นรายที่ 96 บาดเจ็บกว่า 700 คน

หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น สมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) ได้สั่งให้ทุกสโมสรในลีกสูงสุด เปลี่ยนอัฒจันทร์ที่ให้แฟนบอลยืนชม ให้เป็นที่นั่งทั้งหมด และต้องรื้อรั้วเหล็กที่กั้นสนามออกทั้งหมดด้วย

เก้าอี้สีแดง 96 ตัว ภายในอัฒจันทร์สนามเวสต์บรอมฯ ได้ติดตั้ง เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้สียชีวิตเหตุการณ์ฮิลล์สโบโรห์ ขอบคุณรูปภาพจาก : https://www.facebook.com/ThailandLiverpoolFC/

ถูกใส่ร้าย… ตายทั้งเป็น ?

หลังเกิดเหตุร้ายที่สนามฮิลส์โบโร่ ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและสื่อมวลชนบางราย ที่แสดงถึงความ “ไร้จรรยาบรรณ” ด้วยการโยนความผิดให้แฟนบอลลิเวอร์พูลว่า คือตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมดังกล่าวขึ้น

ในวันรุ่งขึ้น “เดอะ ซัน” สื่อดังของอังกฤษ พาดหัวตัวโตว่า “The Truth” พร้อมด้วยข้อความกล่าวโทษ 96 ศพ ดังต่อไปนี้

“Some fans picked pockets of victims.

Some fans urinated on the brave cops.

Some fans beat up PC giving kiss of life.”

แปลเป็นไทย ความว่า… “นี่คือความจริง พวกเขาขโมยทรัพย์สินพวกเดียวกันเองที่บาดเจ็บ, ทำร้ายและปัสสาวะใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ, พยายามจะเปลื้องผ้าศพหญิงสาวที่ถูกเหยียบย่ำ

พอแฟนบอลหงส์แดง และชาวเมืองลิเวอร์พูลได้รับรู้การนำเสนอข่าวแบบนั้น แน่นอนว่าพวกเขาโกรธแค้นเป็นทวีคูณ ตัวเองเป็นผู้เสียหาย แล้วยังถูกยัดเยียดว่าเป็นฝ่ายผิดอีก

กระทั่งในปี 2012 แฟนบอลลิเวอร์พูล ที่รอคอยความยุติธรรมมาแล้ว 23 ปี ก็เริ่มมีความหวัง เมื่อมีรายงานฉบับหนึ่ง ความยาว 400 หน้า ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก

ใจความสำคัญ อยู่ที่หน้า 394 ความว่า “เจ้าหน้าที่ตำรวจ และนักการเมืองบางคน ได้โยนความผิดให้กับ 96 ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ว่าเป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมอันน่าเศร้าทั้งหมด”

นั่นทำให้ นายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ต้องออกมาขอโทษแฟนบอลลิเวอร์พูล ที่ปล่อยเรื่องนี้ให้เงียบหายไป พร้อมทั้งไม่มีการสอบสวนหาความจริง

นายคาเมรอน ยังยอมรับว่า เป็นความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ละเลยหน้าที่ และปล่อยให้แฟนบอลเข้าไปเกินความจุ จนทำให้เกิดเหตุการณ์สะเทือนใจในครั้งนี้

ขณะที่ “เดอะ ซัน” ที่ถึงแม้จะออกมาแถลงขอโทษอย่างเป็นทางการ แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่ชาวเมืองลิเวอร์พูล ปิดประตูล็อกตาย ไม่ต้อนรับสำนักข่าวแห่งนี้อีกตลอดไป

ขอบคุณรูปภาพจาก : https://www.facebook.com/ThailandLiverpoolFC/

ความยุติธรรมที่กลับคืน

ครอบครัวผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ “ฮิลส์โบโร่” ได้เพียรพยายามต่อสู้เพื่อค้นหาความจริง และคืนความยุติธรรมให้กับผู้ล่วงลับทั้งหมด จนในที่สุดวันที่พวกเขารอคอยมาอย่างยาวนาน ก็มาถึงจนได้

เดือนเมษายน 2016 คณะลูกขุนในศาล ได้ลงมติด้วยคะแนนเสียงส่วนใหญ่ 7 ต่อ 2 ตัดสินให้ 96 ศพ ในเหตุการณ์ฮิลส์โบโร่ เป็นผู้บริสุทธิ์ สาเหตุเกิดจากความผิดพลาดของฝ่ายจัดการแข่งขัน รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ผลการตัดสินของศาล ทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูล รวมไปถึงครอบครัวของผู้เสียชีวิต ต่างน้ำตาคลอยินดีที่พวกเขา “ปลดแอก” ได้เสียที หลังจากต้องต่อสู้เพื่อทวงคืนความยุติธรรมมานานถึง 27 ปี

ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2021 แอนดรูว์ เดอไวน์ แฟนบอลที่เข้าชมการแข่งขันที่ฮิลส์โบโร่ เสียชีวิตเป็นรายที่ 97 หลังจากได้รับบาดเจ็บที่สมองอย่างรุนแรง จนไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกเลยนับจากนั้น

ทำให้สโมสรลิเวอร์พูล ได้ดำเนินการเปลี่ยนชื่อบริเวณนอกสนามจาก 96 Avenue เป็น 97 Avenue พร้อมทั้งเปลี่ยนตัวเลขที่บริเวณท้ายทอยของเสื้อจาก 96 เป็น 97 ตั้งแต่ฤดูกาล 2022-23 เป็นต้นไป

ล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ มีโปรแกรมพบกับลิเวอร์พูล ในเอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 33 ปี ที่ทั้งคู่พบกันในรายการนี้ นับตั้งแต่เหตุการณ์ฮิลส์โบโร่

โดยสนามซิตี้ กราวน์​ รังเหย้าของฟอเรสต์ ได้จัดการเว้นว่างที่นั่งเอาไว้ 97 ที่ เพื่อ​ให้ดวงวิญญาณของแฟนบอลทั้ง 97 คนที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์หายนะที่ฮิลส์โบโร่ ได้มาร่วมนั่งชมเกมลูกหนังที่พวกเขารัก

โศกนาฎกรรม “ฮิลส์โบโร่” ที่เกิดขึ้น ทำให้ได้เรียนรู้จากความผิดพลาด เป็นเหมือนแรงกระตุ้นที่ทำให้เกิดการจัดการต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพ และการรักษาความปลอดภัยในสนามที่เข้มงวดมากขึ้น

และอีกอย่างที่ต้องจารึกไว้คือ การไม่ยอมแพ้ในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมเป็นเวลาถึง 27 ปี ไม่ได้หมายถึงเพียงเพื่อคนที่จากไป แต่มันยังมีความหมายถึงคนที่ยังอยู่ด้วยเช่นกัน

You’ll Never Walk Alone…

Author : จักรพันธ์ ภู่ทอง

Photo : BBC

อ้างอิง :

– https://www.bbc.com/news/uk-england-merseyside-58005871

https://www.bbc.com/news/uk-england-nottinghamshire-60812866

Categories
Special Content

วิเคราะห์หลังเกมหยุดโลก : แมนฯซิตี้ – ลิเวอร์พูล กับการท้าชิงแชมป์พรีเมียร์ลีกแห่งความคลาสสิก

หลังจากซูเปอร์บิ๊กแมตช์พรีเมียร์ลีก ที่เอดิฮัด สเตเดี้ยม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2 – 2 ลิเวอร์พูล เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ต้องเรียกว่าคือเกมคุณภาพ สมราคาผู้ท้าชิงแชมป์พรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาลนี้

ย้อนกลับไปในนัดแรกที่แอนฟิลด์ ลิเวอร์พูล นำ 2 ครั้งไม่ชนะ ส่วนยกสองที่พบกันล่าสุด แมนฯ ซิตี้ นำ 2 ครั้งไม่ชนะเหมือนกัน เรียกได้ว่าแทบจะก็อปปี้กันมาเลยทีเดียว เพียงแค่กลับข้างกันเท่านั้น

วันนี้เพจ “ไข่มุกดำ” จะมาวิเคราะห์สิ่งที่ได้เห็นตลอด 90 นาที ของ 2 ทีมที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีกกันครับ

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

“เรือใบ” ไม่ชนะแม้ครองเกมได้ดีกว่า

ระบบ 4-3-3 ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ใช้สามประสานแนวรุกอย่างฟิล โฟเด้น, กาเบรียล เชซุส และราฮีม สเตอร์ริ่ง ที่รับบทเป็น “False 9” หรือหน้าตัวหลอก เพื่อให้กองหลังคู่แข่งเปิดช่องว่างให้กลางตัวรุกโจมตี

ประตูขึ้นนำก่อน 1-0 ตั้งแต่ 5 นาทีแรก จุดเริ่มต้นจากจังหวะฟรีคิก แบร์นาโด้ ซิลวา เล่นเร็วโดยที่แนวป้องกันของลิเวอร์พูลยังไม่ทันได้ตั้งหลัก บอลมาถึงเควิน เดอ บรอยน์ หลอกฟาบินโญ่หนึ่งจังหวะ ก่อนซัดแฉลบโจแอล มาติป เข้าไป

เดอ บรอยน์ ในเกมล่าสุด แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเท วิ่งไม่มีหมดตลอดทั้งเกม ถึงแม้ว่าในช่วงต้นครึ่งหลังจะเงียบหายไปบ้าง แต่โดยภาพรวมแล้ว เดอ บรอยน์ คือ “The Best” ในเกมนี้

ประตูแซงขึ้นนำ 2 – 1 ของซิตี้ ต้องชมความฉลาดของกาเบรียล เชซุส ที่แอบอยู่ข้างหลังเทรนท์ หลังจากที่คานเซโล่ เปิดบอลข้ามไลน์แนวรับลิเวอร์พูล แล้วเชซุส ก็วิ่งแซง แล้วแปกระแทกคานตุงตาข่าย

ต้องชมเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ถึงแม้จะไม่มีศูนย์หน้าตัวเป้า แต่การใช้แท็กติกครอสบอลยาวจากแดนหลัง แล้วให้นักเตะที่มีความเร็วสูง วิ่ง sprint สู้กับ “ไฮไลน์ ดีเฟนซ์” ของหงส์แดง ซึ่งทำได้แม่นยำเลยทีเดียว

ในช่วง 45 นาทีแรก ทีมของเป๊ป ครองบอลได้เหนือกว่า บีบให้ลิเวอร์พูลรับแล้วรอโต้อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ไม่สามารถเปลี่ยนโอกาสให้เป็นประตูเพิ่มเติมได้

ช่วงเวลาที่แย่ที่สุดของซิตี้ คือช่วง 15 นาทีแรกของครึ่งหลัง โดยเฉพาะจังหวะเสียประตูตีเสมอ 2 – 2 ตั้งแต่ยังไม่ทันถึงนาที แนวรับเสียสมาธิ โดนโจมตีเร็ว แต่พอตั้งหลักได้ก็ค่อยๆ เล่นได้ดีขึ้น

ยังไม่นับอีก 2 จังหวะที่แมนฯ ซิตี้ น่าได้ประตูสุดๆ ทั้งลูกยิงของราฮีม สเตอร์ริ่ง แต่ถูก VAR ริบคืนอย่างฉิวเฉียด และนาทีสุดท้ายของช่วงทดเจ็บ ริยาด มาห์เรซ ยิงข้ามคาน ที่อาจจะเป็นประตูตัดสินชัยชนะได้เลย 

“หงส์แดง” เล่นไม่เนี้ยบแต่เฉียบขาด

ลิเวอร์พูล กับแผนการเล่น 4-3-3 เช่นเดียวกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แน่นอนว่าบทถนัดของเจอร์เก้น คล็อปป์ คือ การไล่ “เพรสซิ่ง” ตั้งแต่แดนบน เมื่อตัดบอลได้ ก็จะบุกจู่โจมอย่างรวดเร็ว

ช่วงเริ่มต้นเกมในครึ่งแรก ดูเหมือนว่าแผงแนวรับ 4 ตัวของหงส์แดง เกิดอาการประหม่า ตั้งตัวไม่ติด แต่คุณสมบัติอย่างหนึ่งที่ลูกทีมของคล็อปป์มี คือ รู้จักหาวิธียิงประตูได้แม้รูปเกมเป็นรอง

ประตูตีเสมอ 1 – 1 เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ แข้งจอมแอสซิสต์ จ่ายบอลให้ดิเอโก้ โจต้า สังหารเข้าไป แสดงให้เห็นว่า โจต้าคือนักเตะ “อัจฉริยะ” ในกรอบเขตโทษที่ดีที่สุดคนหนึ่งของพรีเมียร์ลีก

อีกจุดหนึ่งที่ลิเวอร์พูลมีปัญหา คือ “แดนกลาง” ทั้งฟาบินโญ, จอร์แดน เฮนเดอสัน และติอาโก อัลคันทาร่า เป็นรองแดนกลางแมนฯ ซิตี้ชัดเจน พอโดนโจมตี ตัดบอลไม่ได้ มักจะทำฟาวล์จนเสียใบเหลือง

ช่วงพักครึ่ง ดูเหมือนว่ากุนซือชาวเยอรมัน จะไปปลุกให้ลูกทีมเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น และตอบสนองได้ยอดเยี่ยมหลังจากเสียประตูที่ 2 ในช่วง 10 นาทีท้ายของครึ่งแรก

เพียงแค่ 47 วินาทีของครึ่งหลัง ประตูไล่ตีเสมอ 2 – 2 ทีเด็ดของเฟอร์จิล ฟาน ไดค์ คือการครอสบอลยาวถึงแดนหน้า โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ เห็นซาดิโอ มาเน่ ขยับขึ้นไป แล้วแอสซิสต์ให้มาเน่ ซัดตุงตาข่าย

ตลอดช่วง 45 นาทีหลัง แนวรับของลิเวอร์พูลช่วยกันได้ดี ทำเอาเควิน เดอ บรอยน์ มิดฟิลด์แมนฯ ซิตี้ ถึงกับเล่นไม่ออก นอกจากนี้ยังช่วยประคองแผงมิดฟิลด์ เมื่อเสียบอลตรงกลาง ทำให้แนวรุกซิตี้ไม่มีโอกาสโจมตีมากนัก

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

มองไปข้างหน้ากับเส้นทางที่เหลือ

บทสรุปที่ได้จากเกมที่เอดิฮัด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อาจจะเสียดาย ที่ไม่สามารถเก็บชัยชนะได้ ขณะที่ลิเวอร์พูล 1 คะแนนที่ได้มา ด้วยรูปเกมที่ไม่ได้เหนือกว่า ก็ถือว่าน่าพอใจ เพราะยังคงตามหลังจ่าฝูง 1แต้มเท่าเดิม

และทั้ง 2 ทีม ยังต้องเจอกันอีกครั้งในเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ เสาร์ที่ 16 เมษายน แต่งวดนี้ต้องมีผู้ชนะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งทีมใดก็ตามที่เข้าชิงชนะเลิศ แน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อโปรแกรมพรีเมียร์ลีกด้วย

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/mancity

โปรแกรมพรีเมียร์ลีก 7 นัดสุดท้ายของแมนเชสเตอร์ ซิตี้

– 20 เมษายน VS ไบรท์ตัน (เหย้า)

– 23 เมษายน VS วัตฟอร์ด (เหย้า)

– 30 เมษายน VS ลีดส์ (เยือน)

– 8 พฤษภาคม VS นิวคาสเซิล (เหย้า)

– 11 พฤษภาคม VS วูล์ฟแฮมตัน (เยือน)

– 15 พฤษภาคม VS เวสต์แฮม (เยือน)*

– 22 พฤษภาคม VS แอสตัน วิลล่า (เหย้า)

(* ถ้าแมนฯ ซิตี้ เข้าชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ จะเลื่อนไปแข่งวันที่ 17 หรือ 18 พฤษภาคม)

โปรแกรมพรีเมียร์ลีก 7 นัดสุดท้ายของลิเวอร์พูล

– 19 เมษายน VS แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (เหย้า)

– 24 เมษายน VS เอฟเวอร์ตัน (เหย้า)

– 30 เมษายน VS นิวคาสเซิล (เยือน)

– 7 พฤษภาคม VS สเปอร์ส (เหย้า)

– 10 พฤษภาคม VS แอสตัน วิลล่า (เยือน)

– 15 พฤษภาคม VS เซาธ์แธมป์ตัน (เยือน)*

– 22 พฤษภาคม VS วูล์ฟแฮมป์ตัน (เหย้า)

(* ถ้าลิเวอร์พูล เข้าชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ จะเลื่อนไปแข่งวันที่ 17 หรือ 18 พฤษภาคม)

เกมที่เหลือของซิตี้ ต้องเจอกับทีมหนีตาย 3 นัดติดต่อกันทั้งวัตฟอร์ด, ลีดส์ และนิวคาสเซิล ส่วนการเจอวูล์ฟแฮมตัน กับเวสต์แฮม ที่กำลังลุ้นไปถ้วยยุโรป ก็ไม่ใช่งานง่าย

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

ขณะที่ฝั่งลิเวอร์พูล เริ่มจากการเจอทั้งแมนฯ ยูไนเต็ด และเอฟเวอร์ตัน ถึงแม้ว่าสภาพทีมของ 2 คู่ปรับสำคัญจะเละเทะขนาดไหน ก็ห้ามประมาทโดยเด็ดขาด และต้องไม่ลืมสเปอร์ส ที่ฟอร์มดีมากๆ ในช่วงหลัง

เมื่อเทียบโปรแกรมนัดที่เหลือของทั้ง 2 ทีม คนส่วนใหญ่มองว่าลิเวอร์พูล เจองานที่หนักกว่า ถ้าดูแค่ชื่อทีม แต่ถ้าจะเจาะลึกลงไปในรายละเอียดแล้ว คู่แข่งหลายๆ ทีม ยังมีลุ้นเป้าหมายของตัวเองทั้งสิ้น

และที่สำคัญ แม้ “เรือใบ” จะนำจ่าฝูงอยู่ก็จริง แต่นำแค่แต้มเดียว แถมผู้ที่ตามไล่ล่า ไม่ใช่ใครที่ไหน “หงส์แดง” นั่นเอง ความกดดัน ความผิดพลาด หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด อาจเกิดขึ้นได้

Author : จักรพันธ์ ภู่ทอง

Photo : The Telegraph

อ้างอิง :

– https://www.bbc.com/sport/football/61061827

– https://www.bbc.com/sport/football/61060907

– https://www.bbc.com/sport/football/60970965

– – https://www.telegraph.co.uk/football/2022/04/10/extraordinary-kevin-de-bruyne-peaking-just-right-time-man-citys/

– https://www.telegraph.co.uk/football/2022/04/10/manchester-city-vs-liverpool-player-ratings-kevin-de-bruyne/

– https://www.telegraph.co.uk/football/2022/04/10/manchester-city-vs-liverpool-live-score-premier-league-latest/

Categories
Special Content

ทนอดและอดทน : “พรีเมียร์ลีก” กับแนวทางช่วยเหลือแข้งมุสลิมช่วงเดือนรอมฎอน

ในทุกๆ ปี ชาวมุสลิมหลายล้านคนทั่วโลก จะมีช่วงเวลาที่ต้องปฏิบัติภารกิจถือศีลอดเป็นเวลา 29-30วัน หรือที่เรียกกันว่าเดือน “รอมฎอน” ที่ถือเป็น 1 ใน 5 หลักปฏิบัติของศาสนาอิสลาม

แน่นอนว่า ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกก็มีนักเตะที่เป็นชาวมุสลิมอยู่ไม่น้อย โปรแกรมการแข่งขันบางแมตช์ที่อยู่ในช่วงเดือนรอมฏอน ทำให้นักเตะเหล่านี้อาจจำเป็นต้องละศีลอดระหว่างเกม

แล้ววงการฟุตบอลอังกฤษ มีแนวทางการช่วยเหลือนักเตะเหล่านี้อย่างไร วันนี้ “ไข่มุกดำ” จะมาขยายให้ฟังกันครับ

Eid Mubarak celebration- Calligraphy Stylish Lettering Ramadan Kareem Text with Mosque. Vector illustration.

ทำความรู้จักกับ “รอมฎอน”

คำว่า “รอมฏอน” หมายถึง เดือนที่ 9 ตามปฏิทินฮิจเราะห์ หรือปฏิทินทางจันทรคติของศาสนาอิสลาม ในภาษาไทยมักจะเรียกกันว่า “เดือนบวช” ถือเป็นเดือนที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในรอบปีของชาวมุสลิมเลยทีเดียว

สาเหตุที่เดือนรอมฏอน คือเดือนที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในรอบปี เนื่องจากมีความเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ประทานพระคัมภีร์อัลกุรอานลงมาให้แก่นบีมูฮัมหมัด ศาสดาของศาสนาอิสลาม เพื่อชี้นำทางให้ชาวมุสลิมทั่วโลก

ซึ่งข้อปฏิบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งในเดือนรอมฏอน คือการถือศีลอด ซึ่งไม่ใช่แค่การงดอาหารและเครื่องดื่มเท่านั้น แต่รวมถึงการละเว้นข้อห้ามต่างๆ ในช่วงเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น จนถึงพระอาทิตย์ตกดิน 

สาระสำคัญของการถือศีลอดนั้น มีจุดประสงค์เพื่อให้ชาวมุสลิมได้ตระหนักถึงความยากลำบาก รู้จักอดทนอดกลั้น เรียนรู้การยับยั้งต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ ทั้งความหิวโหย และความลุ่มหลงต่าง ๆ เป็นการฝึกจิตใจให้สูงขึ้น

การประกาศวันที่ 1 ของเดือนรอมฏอนในแต่ละปีนั้นไม่เหมือนกัน ผู้นำศาสนาของแต่ละท้องถิ่น จะกำหนดจากการสังเกตวันที่ปรากฎดวงจันทร์เสี้ยวเป็นครั้งแรกหลังจากคืนเดือนมืด และนับไปจนครบ 29-30 วัน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เดือนรอมฏอนจะตรงกับช่วงฤดูร้อนในซีกโลกเหนือ ทำให้ช่วงเวลากลางวันยาวนานขึ้น นั่นหมายความว่าในบางประเทศ อย่างเช่น นอร์เวย์ ต้องถือศีลอดนานถึงวันละ 20 ชั่วโมง 

สำหรับเดือนรอมฎอนในปี 2022 ของสหราชอาณาจักร จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน ถึง 2 พฤษภาคม ถือศีลอดวันละ 15 ชั่วโมงครึ่ง ตั้งแต่ช่วงระหว่าง 04.00 – 05.00 น. จนถึงช่วงระหว่าง 19.30 – 20.30 น.

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/officialcpfc

ความท้าทายของนักฟุตบอล

การที่นักฟุตบอลอาชีพชาวมุสลิม ต้องงดเว้นจากการกินอาหารหรือดื่มช่วงเวลากลางวันเป็นเวลา 30 วัน ถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งสำหรับพวกเขา ในการรับมือกับช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนี้

ในฤดูกาลที่แล้ว ได้มีข้อตกลงอย่างไม่เป็นทางการระหว่างกัปตันทีมของแต่ละสโมสร ที่จะอนุญาตให้พักช่วงสั้นๆ ในช่วงเวลาที่ลูกฟุตบอลออกจากสนาม เพื่อให้ผู้เล่นมุสลิมละศีลอดระหว่างแข่งขัน

เมื่อเดือนเมษายน 2021 เกมพรีเมียร์ลีกคู่ระหว่างเลสเตอร์ ซิตี้ กับคริสตัล พาเลซ มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในนาทีที่ 35 ได้มีการหยุดเกมชั่วคราว เพื่อให้เวสลี่ย์ โฟฟาน่า และชีคคู คูยาเต้ ได้รับประทานอาหาร

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/lcfc

แมตช์ดังกล่าว ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ ที่มีการพักเบรกชั่วคราวระหว่างแข่งขัน เพื่อให้นักเตะมุสลิมละศีลอดก่อนพระอาทิตย์ตกดินในช่วงเดือนรอมฏอน และมีอีกหลายแมตช์ที่ทำตาม

นักฟุตบอลชาวมุสลิม มีหน้าที่ต้องรักษามาตรฐานการเล่นที่ดี พร้อมกับการถือศีลอด แน่นอนว่าสิ่งนี้ส่งผลในด้านจิตใจด้วยเช่นกัน อย่างที่โคโล ตูเร่ เคยเผชิญกับความท้าทายนี้มาแล้วช่วงที่ค้าแข้งในพรีเมียร์ลีก

อดีตเซ็นเตอร์แบ็กชาวไอเวอรี่ โคสต์ วัย 41 ปี ที่ปัจจุบันเป็นทีมงานสตาฟฟ์โค้ชให้กับเลสเตอร์ ซิตี้ กล่าวว่า “ผมคิดว่าการไม่ดื่มเครื่องดื่มใด ๆ เข้าไปในร่างกายของคุณนั้น เป็นเรื่องที่ยากที่สุดในฐานะนักฟุตบอลแล้ว”

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/lcfc

“ทันทีที่คุณเริ่มต้นถือศีลอดในเดือนรอมฎอน ช่วง 1-2 วันแรก จนถึงสัปดาห์แรก มันเป็นอะไรที่ยากมาก ๆ แต่หลังจากนั้นร่างกายของคุณก็จะชินกับมัน และคุณจะไม่ได้เริ่มคิดถึงเรื่องการดื่มน้ำด้วยซ้ำ”

“ถ้าคุณไม่ทำตามหลักศาสนาอิสลามในเดือนรอมฎอน คุณจะรู้สึกว่าอ่อนแอ เพราะในทางจิตใจ คุณรู้สึกว่าไม่ได้เข้าถึงหลักคำสอนของพระอัลเลาะห์ และนั่นจะทำให้คุณเล่นฟุตบอลได้ไม่ดีเท่าที่ควร”

อุปสรรคใหญ่ที่สุดของนักเตะที่ต้องถือศีลอด คือการวางแผนเตรียมตัวที่ไม่ดีพอ แต่ถ้าหากมีการปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม ถึงแม้จะต้องอดอาหารมากกว่า 10 ชั่วโมง ก็แทบจะไม่ส่งผลกระทบต่อการเล่นฟุตบอลเลย

อาชีพกับความเชื่อ ต้องไปด้วยกัน

การที่นักฟุตบอลมุสลิมต้องถือศีลอดในช่วงเดือนรอมฎอน วงการฟุตบอลอังกฤษจึงได้หาแนวทางในการช่วยเหลือนักเตะเหล่านี้ เพื่อให้สามารถรักษาฟอร์มการเล่นที่ดี ควบคู่ไปกับความเชื่อตามหลักอิสลาม

Muslim Chaplains in Sport (MCS) เป็นองค์กรที่ได้รับการรับรองจากพรีเมียร์ลีก และอีเอฟแอล ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 โดยทำงานร่วมกับสโมสรฟุตบอลอาชีพทั้ง 92 แห่ง เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมมุสลิม 

ขอบคุณภาพจาก : https://mcst.org.uk

MCS มีหน้าที่ให้ความรู้ในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงให้คำแนะนำกับสโมสรที่มีนักเตะมุสลิม เช่น การเลื่อนเวลาถือศีลอด เพื่อไม่ให้กระทบต่อฟอร์มการเล่นทั้งในการฝึกซ้อมและระหว่างการแข่งขัน

อิสมาอิล บัมจี ผู้ก่อตั้ง MCS กล่าวว่า “แม้ว่าจะไม่มีกฎเกณฑ์ของอิสลามสำหรับนักกีฬา แต่เราได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีที่พวกเขาได้รับการยกเว้นไม่ต้องถือศีลอด ถ้าต้องเดินทางไกลหรือเจ็บป่วย”

นอกจากนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับเรื่องพื้นฐานในเดือนรอมฎอน สมาชิกขององค์กรผู้ตัดสินอาชีพอังกฤษ หรือ PGMOL ก็ได้เข้าร่วมเวิร์กช็อปที่นำโดย Nujum Sports องค์กรที่คอยช่วยเหลือนักกีฬามุสลิมทั่วโลก

Nujum Sports ได้คิดค้นกฎบัตรนักกีฬามุสลิม และได้ส่งชุดของขวัญให้กับนักกีฬาชายและหญิงชาวมุสลิมมากถึง 270 คน รวมถึงนักฟุตบอลประมาณ 180 คนจากพรีเมียร์ลีก ไปจนถึงนอกลีกอาชีพ

โดยชุดของขวัญดังกล่าว ถูกเปิดตัวในงานอีเวนต์ที่กรุงลอนดอน เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งภายในชุดของขวัญประกอบด้วย ปฏิทิน, น้ำศักดิ์สิทธิ์ซัมซัม, เสื่อละหมาด และน้ำหอม

ทรอย ทาวน์เซนด์ หัวหน้าองค์กรการกุศลต่อต้านการเลือกปฏิบัติ หรือ “Kick It Out” กล่าวว่า “Nujum ทำได้ดีมากในการปลุกจิตสำนึกของชาวมุสลิมให้เข้าใจหลักศาสนา และสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญในเดือนรอมฎอน”

นักฟุตบอลอาชีพ ที่ถึงแม้จะต้องใช้ร่างกายอย่างหนัก แถมต้องเจอกับความยากลำบากตลอดระยะเวลา 30 วันในช่วงเดือนรอมฏอน แต่พวกเขาก็ไม่ยอมละทิ้งหน้าที่การเป็นศาสนิกชนที่ดี

Author : จักรพันธ์ ภู่ทอง

Photo : BBC

อ้างอิง :

https://www.bbc.com/sport/football/60823257

https://www.bbc.com/news/explainers-56695447

– https://www.bbc.com/thai/international-60970014

– https://www.liverpoolfc.com/news/first-team/139212-how-we-prepare-players-for-ramadan

Categories
Special Content

เดิมพันสู่ประวัติศาสตร์ : “ลิเวอร์พูล” กับเส้นทางการลุ้น 4 แชมป์ทีมแรกของอังกฤษ

หลังจากที่ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์คาราบาว คัพ โทรฟี่แรกของฤดูกาล 2021/22 เจอร์เก้น คล็อปป์ ออกมากล่าวถึงการลุ้น 4 แชมป์ในซีซั่นเดียวว่า “เป็นเรื่องยากที่จะทำได้ คงไม่ได้คิดบ้าๆ แบบนั้น”

แต่จนถึงเวลานี้ ลิเวอร์พูลก็ยังคงเป็นทีมเดียวที่มีโอกาสทำ “quadruple” ทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ โดยจะต้องลงเล่นถึง 16 นัด ในช่วงเวลา 8 สัปดาห์ที่เหลืออยู่ของฤดูกาลนี้

แล้ว “หงส์แดง” จะต้องเจอกับความท้าทายอะไรบ้าง เพื่อลุ้นเหมา 4 โทรฟี่เป็นทีมแรกของเมืองผู้ดี วันนี้เพจ “ไข่มุกดำ” จะมาขยายและวิเคราะห์ให้ฟังกันครับ

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

เปิดตำนานทีมผู้ดีลุ้น 4 แชมป์

นับตั้งแต่ฟุตบอลถ้วยลีก คัพ (ปัจจุบันคือคาราบาว คัพ) จัดการแข่งขันครั้งแรก เมื่อฤดูกาล 1960/61 นั่นหมายความว่า สโมสรฟุตบอลในประเทศอังกฤษ มีโอกาสลุ้นแชมป์ถึง 4 ถ้วย ภายในฤดูกาลเดียวกัน

ตลอดระยะเวลา 61 ซีซั่นที่ผ่านมา มี 15 สโมสร จากความพยายามรวมกัน 120 ครั้ง ที่ต้องการจะสร้างตำนานคว้า 4 ถ้วยในซีซั่นเดียว คือลีกสูงสุด, เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ และยูโรเปี้ยน คัพ (ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก)

เบิร์นลี่ย์ คือทีมแรกในประวัติศาสตร์ที่มีโอกาสใกล้เคียงสุดกับการลุ้นคว้า 4 แชมป์ แต่ความฝันของพวกเขาจบสิ้นลงในวันที่ 15 มีนาคม 1961 หลังจากแพ้ฮัมบวร์ก ของเยอรมัน ตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายยูโรเปี้ยน คัพ

ทีมที่เข้าใกล้การลุ้นคว้า 4 แชมป์มากที่สุดเท่าที่มีการบันทึกไว้ คือ เชลซี ในฤดูกาล 2006/07 โดยเส้นทางลุ้น 4 ถ้วย ได้หยุดลงในวันที่ 1 พฤษภาคม 2007 เพราะตกรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

รองลงมาคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซีซั่น 2008/09 ที่ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แต่ก็ไม่สามารถเหมาครบ 4 แชมป์ หลังจากตกรอบรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ เมื่อ 19 เมษายน 2009

ขณะที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นทีมแรก และทีมเดียว ที่ได้ลุ้น 4 แชมป์แบบใกล้เคียงที่สุดถึง 2 ครั้ง แต่ก็ต้องฝันสลายในวันที่ 17 เมษายนเหมือนกัน (2018/19 ตกรอบ 8 ทีมแชมเปี้ยนส์ ลีก, 2020/21 ตกรอบรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ)

ส่วนในฤดูกาล 2019/20 ที่โปรแกรมการแข่งขันต้องล่าช้าออกไปเพราะโควิด-19 แมนฯ ซิตี้ ของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีลุ้นแชมป์ 4 รายการ ก่อนที่จะเสียแชมป์พรีเมียร์ลีกให้กับลิเวอร์พูล ในวันที่ 25 มิถุนายน 2020

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

16 นัด ใน 56 วัน ของลิเวอร์พูล

สถานการณ์ล่าสุดของลิเวอร์พูล นับตั้งแต่คว้าแชมป์ลีก คัพ พวกเขาอยู่อันดับ 2 ในพรีเมียร์ลีก ตามหลังจ่าฝูงแค่ 1 แต้ม และยังอยู่ในการแข่งขันเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย

ผลงานดังกล่าว ถือเป็นการลุ้นแชมป์ 4 รายการที่ใกล้เคียงที่สุดเป็นอันดับที่ 5 (เป็นอย่างน้อย) ของฟุตบอลอังกฤษ และยังเป็นผลงานที่ดีที่สุดของเจอร์เก้น คล็อปป์ นับตั้งแต่เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมในถิ่นแอนฟิลด์อีกด้วย

ในประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูล พวกเขาเคยคว้าแชมป์ 3 รายการในฤดูกาลเดียวกัน ถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกในฤดูกาล 1983/84 ยุคของกุนซือโจ เฟแกน ที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุด, แชมป์ลีก คัพ และยูโรเปี้ยน คัพ 

และอีกครั้งในฤดูกาล 2000/01 แต่ไม่ถูกนับเป็น “quadruple” เนื่องจากไม่ได้ลงเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เชราร์ด อุลลิเย่ร์ พาหงส์แดงคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ และยูฟ่า คัพ แต่ในพรีเมียร์ลีก ได้แค่อันดับ 3

ส่วนในฤดูกาลนี้ กับความหวังอีก 3 ถ้วยที่ยังมีลุ้น ทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ จะต้องลงเตะทั้งหมด 16 นัด ในรอบ 56 วัน เริ่มต้นตั้งแต่เกมพรีเมียร์ลีก ที่เปิดบ้านพบกับวัตฟอร์ด ในวันเสาร์ที่ 2 เมษายนนี้

แล้วหลังจากนั้น ลิเวอร์พูลจะเข้าสู่ช่วงโปรแกรมสุดสำคัญ ด้วยนัดชี้ชะตาแชมป์พรีเมียร์ลีกกับแมนฯ ซิตี้ วันที่ 10 เมษายน อีกทั้งจะต้องพบกับเรือใบสีฟ้าอีกครั้ง ในเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ 16 เมษายน

เท่านั้นยังไม่พอ จะต้องทำศึก “แดงเดือด” กับแมนฯ ยูไนเต็ด 19 เมษายน และต่อเนื่องด้วยดาร์บี้แห่งเมอร์ซี่ย์ไซด์กับเอฟเวอร์ตัน 24 เมษายน เรียกได้ว่าต้องเจอกับคู่ปรับสำคัญถึง 4 นัด ในช่วงเวลา 2 สัปดาห์

ยังไม่นับกรณีที่ลิเวอร์พูล เข้ารอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และผ่านเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ โปรแกรมพรีเมียร์ลีก ที่พบกับแอสตัน วิลล่า และเซาแธมป์ตัน จะต้องถูกเลื่อนไปแข่งขันช่วงกลางสัปดาห์ด้วย

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

ส่วนในเอฟเอ คัพ ถ้าผ่านแมนฯ ซิตี้ ในรอบรองชนะเลิศ จะไปเจอเชลซี หรือคริสตัล พาเลซ ขณะที่แชมเปี้ยนส์ ลีก ถ้าผ่านเบนฟิกาในรอบ 8 ทีมสุดท้าย รอบตัดเชือกจะไปเจอบาเยิร์น มิวนิค หรือบียาร์เรอัล

แล้วถ้าลิเวอร์พูล ผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศถ้วยใหญ่ยุโรป ในวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคมนี้ จะมีโอกาสพบกับ 1 ใน 4 ทีมที่ล้วนแข็งแกร่งทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเชลซี, แมนฯ ซิตี้, เรอัล มาดริด และแอตเลติโก้ มาดริด

นั่นหมายความว่า ถ้าลิเวอร์พูลต้องการที่จะสร้างประวัติศาสตร์คว้า 4 แชมป์ในฤดูกาลนี้ ทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ จะลงเตะรวมทั้งหมด 63 เกม แน่นอนว่าเรื่องสภาพร่างกายคืออุปสรรคสำคัญสำหรับพวกเขา

ปัญหาการบาดเจ็บของผู้เล่น เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ได้รับบาดเจ็บแฮมสตริง จนต้องถอนตัวจากทีมชาติอังกฤษช่วงฟีฟ่า เดย์ เมื่อเดือนที่แล้ว ยังต้องลุ้นว่าจะฟิตทันเจอแมนฯ ซิตี้ ในสัปดาห์หน้าหรือไม่

ส่วนการจัดการนักเตะที่จะลงสนาม ในช่วงเวลาที่ต้องลุ้นแชมป์อีก 3 รายการที่เหลือแบบนี้ ก็เป็นหน้าที่ของคล็อปป์ ที่จะต้องวางแผนให้เหมาะสมในแต่ละนัด และรับมือกับความกดดันที่เข้ามาให้ได้

การที่ลิเวอร์พูล จะประคองตัวเองให้ยังอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์ 4 รายการ จนจบฤดูกาลนี้ ต้องอาศัยปัจจัยหลายๆ อย่าง ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของนักเตะ และโค้ชเท่านั้น แต่โชคชะตายังต้องเข้าข้างด้วย

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

แกร่งแค่ไหนก็ไม่เคยทำสำเร็จ

กว่า 6 ทศวรรษของการลุ้นแชมป์ 4 รายการในวงการฟุตบอลเมืองผู้ดี เคยมีทีมที่ได้รับการยกย่องว่า “ดีที่สุด” ในแต่ละยุคสมัย แต่ถึงแม้ว่าจะสมบูรณ์แบบขนาดไหน ก็ยังไม่มีทีมใดที่คว้าครบ 4 แชมป์ในซีซั่นเดียวได้เลย

เริ่มจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมแรกของอังกฤษที่ทำ “เทรบเบิล” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในฤดูกาล 1998/99 ทั้งพรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ในถ้วยลีก คัพ ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย ในเดือนธันวาคม 1998

ต่อด้วยอาร์เซน่อล ชุดแชมป์พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2003/04 ชนิดที่ “ไร้พ่าย” ทั้งซีซั่น แต่เส้นทางลุ้น 4 แชมป์ จบลงตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2004 หลังจากถูกมิดเดิลสโบรช์ เขี่ยตกรอบรองชนะเลิศลีก คัพ

นอกจากนี้ “เดอะ กันเนอร์ส” ในฤดูกาล 2010/11 ก็เป็นอีกครั้งที่สโมสรจากลอนดอนเหนือทีมนี้ อยู่ในเส้นทางการลุ้นแชมป์ 4 รายการ แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจบซีซั่นแบบมือเปล่าอย่างน่าเสียดาย

ทีมของกุนซืออาร์แซน เวนเกอร์ นำเป็นจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ แต่อีกแค่ 4 วันถัดมา แพ้พลิกล็อกให้กับเบอร์มิงแฮมในนัดชิงชนะเลิศลีก คัพ ทำให้ความฝันที่จะลุ้น 4 แชมป์ ต้องจบลง

หลังจากนั้น โมเมนตัมของอาร์เซน่อลก็เป็นไปในทิศทางที่แย่ลง ตกรอบถ้วยแชมเปี้ยนส์ ลีก และเอฟเอ คัพ ในช่วงเวลาห่างกันแค่ 5 วัน อีกทั้งชนะในพรีเมียร์ลีกได้แค่ 2 จาก 11 นัดสุดท้ายของซีซั่น จบแค่อันดับ 4

หรือแม้กระทั่งแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมแรกที่ทำ 100 แต้มในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2017/18 และกวาด 3 แชมป์ในประเทศทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ ในฤดูกาล 2018/19 ก็ไม่สามารถทำ “ควอดรูเพิล” ได้

ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ลิเวอร์พูลจะคว้าแชมป์คาราบาว คัพ เพียงแค่รายการเดียวหลังจบฤดูกาลนี้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็คงจะพูดได้ไม่เต็มปากว่า เป็นฤดูกาลที่ประสบความสำเร็จอย่างที่เดอะ ค็อปคาดหวัง

ขอบคุณภาพจาก : https://web.facebook.com/ThailandLiverpoolFC

Author : จักรพันธ์ ภู่ทอง

Photo : BBC

อ้างอิง :

– https://www.bbc.com/sport/football/60742994

– https://www.theguardian.com/football/2022/mar/01/jurgen-klopp-plays-down-talk-of-liverpool-winning-crazy-quadruple

– https://www.independent.co.uk/sport/football/jurgen-klopp-liverpool-squad-strongest-ever-b2037505.html

Categories
Special Content

ของขวัญจากฟากฟ้า : “โอบาเมยอง” จิ๊กซอว์ที่เข้ากับบาร์เซโลน่าอย่างลงตัว

ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยอง ศูนย์หน้าทีมชาติกาบอง เหมาคนเดียว 2 ประตู ช่วยให้บาร์เซโลน่า บุกถล่มเรอัล มาดริด ขาดลอยเหลือเชื่อ 4 – 0 ในลาลีกา สเปน แมตช์ “เอล กลาซิโก้” เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา 

โอบาเมยอง ลงสนามไปเพียงแค่ 11 นัด รวมทุกรายการ แต่ทำไปแล้วถึง 9 ประตู กลายเป็นความหวังใหม่ในแนวรุกบาร์เซโลน่า ภายใต้การคุมทีมของซาบี้ เอร์นานเดซ อดีตตำนานมิดฟิลด์ของสโมสร

จากแข้งไร้วินัยกับอาร์เซน่อล ดาวเตะวัย 33 ปี กลับคืนสู่ฟอร์มที่ยอดเยี่ยมกับบาร์ซ่าได้อย่างไร วันนี้เพจ “ไข่มุกดำ” จะมาขยายให้ฟังกันครับ

ภาพจาก : https://web.facebook.com/fcbarcelona

เคยเกือบที่จะเลิกเล่นฟุตบอล

ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยอง เกิดที่ลาวัล ทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส ในครอบครัวที่มีคุณพ่อเป็นอดีตนักฟุตบอลอาชีพในลีกแดนน้ำหอม และเคยเป็นอดีตกัปตันทีมชาติกาบองอีกด้วย

โอบาเมยอง ได้เริ่มต้นอาชีพนักเตะกับสโมสรระดับท้องถิ่นตั้งแต่อายุ 6 ขวบ อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น เจ้าตัวเคยมีความคิดที่จะเลิกเล่นฟุตบอล เนื่องจากมีปัญหาเรื่องสภาพร่างกาย

“สมัยที่เป็นเด็ก ผมเล่นตำแหน่งปีกมากกว่ากองหน้า เพราะผมเป็นคนที่วิ่งเร็ว แต่พออายุได้ 15-16 ปี ผมมีปัญหาบางอย่างที่หัวเข่า จึงไม่สามารถวิ่งได้เร็วเหมือนเมื่อก่อนได้”

“ผมต้องห่างจากฟุตบอลอยู่พักหนึ่ง และมีความคิดที่จะเลิกเล่นฟุตบอล แต่ยังฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อรอโอกาสอย่างอดทน ใช้เวลารอคอยถึง 6 เดือนก็ได้กลับมาเป็นนักฟุตบอลอีกครั้ง”

หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในทีมเยาวชนในฝรั่งเศสนานถึง 12 ปี โอบาเมยองก็ได้รับประสบการณ์ใหม่กับทีมเยาวชนของเอซี มิลาน แต่ไม่ได้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ ถูกปล่อยยืมตัวให้กับลีลล์, ดิฌง และโมนาโก

ต่อมาในปี 2011 โอบาเมยองย้ายกลับไปค้าแข้งในลีกบ้านเกิด กับแซงต์ เอเตียน คว้าแชมป์เฟรนช์ ลีก คัพ ปี 2013 ก่อนที่จะไปผจญภัยในเยอรมนี กับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ คว้าแชมป์เดเอฟเบ โพคาล ในปี 2017

ส่วนการรับใช้ทีมชาติ ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยอง มีทางเลือกทั้งฝรั่งเศส, สเปน ตามสัญชาติของคุณแม่ แต่ท้ายที่สุดเจ้าตัวตัดสินใจเลือกเล่นให้กาบอง ตามสัญชาติของคุณพ่อ

ภาพจาก : https://web.facebook.com/fcbarcelona

ปัญหาเรื่องวินัยที่อาร์เซน่อล

หลังจากผ่านประสบการณ์ค้าแข้งในลีกเอิง ฝรั่งเศส และบุนเดสลีกา เยอรมนี ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยอง ก็ตัดสินใจย้ายมาร่วมทีมอาร์เซน่อล ในช่วงเดือนมกราคม 2018 ด้วยค่าตัว 56 ล้านปอนด์

เมื่อย้ายมาอยู่ในถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมได้ไม่นาน โอบาเมยองก็แสดงให้เห็นถึงการเป็นหนึ่งในดาวยิงที่ทำผลงานดีสุดในพรีเมียร์ลีก ด้วยการยิงไปถึง 6 ประตู จากการลงเล่นในพรีเมียร์ลีก 7 นัดแรก

ภาพจาก : https://web.facebook.com/Arsenal

โอบาเมยอง เป็นนักเตะอาร์เซน่อลที่อยู่ภายใต้การทำงานของผู้จัดการทีม 3 คน ทั้งอาร์แซน เวนเกอร์, อูไน เอเมรี่ และกุนซือคนปัจจุบันอย่างมิเกล อาร์เตต้า ที่เข้ามารับหน้าที่ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2019

อาร์เซน่อลในยุคของอาร์เตต้า ถือเป็นช่วงเวลาที่โอบาเมยองโชว์ฟอร์มได้ดีที่สุด และมักจะทำประตูสำคัญพาทีมคว้าแชมป์ถึง 2 รายการ ทั้งเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศกับเชลซี และคอมมูนิตี้ ชิลด์ กับลิเวอร์พูล

หลังจากคว้าแชมป์คอมมูนิตี้ ชิลด์ โอบาเมยองประกาศต่อสัญญาฉบับใหม่กับ “เดอะ กันเนอร์ส” โดยมีผลจนถึงปี 2023 ซึ่งอาร์เตต้า เป็นคนสำคัญที่เกลี้ยกล่อมให้เขาตัดสินใจอยู่ค้าแข้งที่ลอนดอนต่อไป

แต่ทว่า สิ่งที่ทำให้อาชีพนักฟุตบอลของโอบาเมยองมีปัญหา คือเรื่องของความประพฤติที่ไม่เหมาะสม เขามีประวัติด้านลบติดตัวมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะดอร์ทมุนด์ และก็ยังทำแบบเดิมกับอาร์เซน่อล

ในเกมนอร์ท ลอนดอน ดาร์บี้กับสเปอร์ส เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว โอบาเมยองมาถึงสนามเป็นคนสุดท้าย จึงถูกดร็อปเป็นตัวสำรอง และหลังจากจบเกมที่อาร์เซน่อลชนะ 2 – 1 เขาก็กลับออกไปเป็นคนแรก

หรือเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โอบาเมยองถูกอาร์เตต้าตัดชื่อออกจากทีมหลายนัด แถมถูกปลดจากตำแหน่งกัปตันทีมด้วย หลังจากเดินทางไปเยี่ยมครอบครัวที่ฝรั่งเศส แต่กลับมาไม่ทันตามกำหนด

ภาพจาก : https://web.facebook.com/Arsenal

นอกจากนี้ โอบาเมยองยังหลุดจากทีมชาติกาบอง ชุดสู้ศึกแอฟริกัน เนชันส์ คัพ เมื่อเดือนที่แล้ว ท่ามกลางข่าวลือที่ว่าเขาหนีเที่ยวระหว่างอยู่ในแคมป์ทีมชาติ และเมากลับมาจนมีเรื่องกับพนักงานโรงแรม

และท้ายที่สุด อาร์เซน่อลตัดสินใจยกเลิกสัญญากับปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยองที่เหลืออยู่ 18 เดือน เพื่อเปิดทางในการย้ายไปอยู่กับบาร์เซโลน่า ทันเวลาเส้นตายของตลาดนักเตะหน้าหนาวที่ผ่านมา

ของขวัญที่ส่งมาจากสววรค์

เมื่อปี 2016 ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยอง เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า สักวันหนึ่งเขาจะได้เล่นให้กับทีมชั้นนำของลาลีกา สเปน และในที่สุดฝันของเขาเป็นจริงแล้วในการย้ายไปอยู่กับบาร์เซโลน่า

โอบาเมยอง ลงเล่นเพียงไม่กี่นัดก็โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยม เริ่มจากเหมาแฮตทริก ในนัดที่บุกถล่มบาเลนเซีย 4 – 1 ต่อด้วยยิงใส่แอธเลติก บิลเบา กับโอซาซูน่า ทีมละ 1 ประตู ในเกมที่จบลงด้วยชัยชนะ 4 – 0 ทั้ง 2 นัด

ภาพจาก : https://web.facebook.com/fcbarcelona

สำหรับนัดที่เอาชนะบาเลนเซียถึงเมสตาย่านั้น โอบาเมยอง สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักเตะคนแรกในศตวรรษที่ 21 ที่ทำแฮตทริกได้กับสโมสรใน 4 ลีกใหญ่ของยุโรป (อังกฤษ, เยอรมัน, ฝรั่งเศส และสเปน)

ส่วนนัดที่ถล่มโอซาซูน่า โอบาเมยอง เป็นนักเตะคนแรกนับตั้งแต่ปี 2009 ที่ยิง 5 ประตู จาก 6 นัดแรกในลาลีกา ซาบี้ เอร์นานเดซ กุนซือของบาร์ซ่า ได้กล่าวหลังจบเกมว่า “เขาคือของขวัญจากสวรรค์ที่ตกอยู่ในมือของเรา”

“เขาปรับตัวเข้ากับทุกอย่างที่นี่ได้เร็วเหลือเชื่อ ผลงานในสนามก็ยอดเยี่ยมสุด ๆ ทั้งมีอิทธิพลในทีมอย่างสูง แถมยิงประตูได้ดีด้วย ผมมีความสุขมากที่ได้ร่วมงานกับนักเตะระดับโลกแบบเขา”

นอกจากนี้ อดีตแข้งอาร์เซน่อลยังทำประตูได้ในยูโรป้า ลีกด้วย โดยยิง 1 ประตูในนัดที่บุกชนะนาโปลี4 – 2 และยิงประตูชัยในนัดที่บุกชนะกาลาตาซาราย 2 – 1 ช่วยให้บาร์ซ่า ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย

และล่าสุด ในเกม “เอล กลาซิโก้” เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ดาวเตะชาวกาบองวัย 33 ปี ทำคนเดียว 2 ประตู และ 1 แอสซิสต์ ช่วยให้เจ้าบุญทุ่ม บุกไปถล่มราชันชุดขาว ถึงซานติอาโก้ เบอร์นาเบว 4 – 0

เมื่อโอบาเมยองทำประตูได้ เขามักจะฉลองด้วยการตีลังกา ซึ่งท่าดีใจของเขานั้น ได้แบบอย่างมาจากฮูโก้ ซานเชซ สุดยอดตำนานดาวยิงจอมตีลังกาทีมชาติเม็กซิโก ซึ่งเป็นนักเตะคนโปรดของคุณปู่ของเขา

ภาพจาก : https://web.facebook.com/fcbarcelona

โอบาเมยอง ถือเป็นความหวังใหม่ในแนวรุกอย่างแท้จริง หลังลงสนามให้กับบาร์ซ่าไปเพียงแค่ 11 นัดรวมทุกรายการ แต่ยิงไปแล้วถึง 9 ประตู กลายเป็นขวัญใจของแฟนๆ อาซุลกราน่าอย่างรวดเร็ว

การเข้ามาของโอบาเมยอง ทำให้ซาบี้ เอร์นานเดซ เหมือนที่จะค้นพบจุดที่ลงตัวมากขึ้น ทีมเริ่มกลับมาเข้ารูปเข้ารอย ถึงแม้จะต้องใช้เวลาพอสมควร แต่บาร์ซ่าในฤดูกาลหน้าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นแน่นอน

ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยอง กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ดี หลังจากอดีตที่เลวร้ายกับอาร์เซน่อลได้ผ่านไปแล้ว แน่นอนว่าแฟนๆ บาร์เซโลน่า ย่อมหวังว่าตัวเขาจะรักษาวินัย และผลงานที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ไปเรื่อยๆ

Author : จักรพันธ์ ภู่ทอง

Photo : talkSPORT

อ้างอิง :

https://theathletic.com/3160192/2022/03/14/aubameyang-at-barcelona-the-gift-from-heaven-that-perfectly-fits-xavis-tactical-evolution/

– https://theathletic.com/2449417/2021/03/15/aubameyang-drove-away-in-ferrari-as-arsenal-team-mates-warmed-down-after-spurs-win/

https://www.arsenal.com/news/pierre-emerick-aubameyang-my-own-words

Categories
Football Business

แฟร์เพลย์ทางการเงิน : เปิดเพดานค่าใช้จ่ายของสโมสรในลาลีกา ช่วงต้นปี 2022

เมื่อวันจันทร์ที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา ลาลีกา ลีกฟุตบอลอาชีพของสเปน ได้ออกมาเปิดเผยงบการเงินของ20 สโมสรในดิวิชั่น 1 (LaLiga Santander) และ 22 สโมสรในดิวิชั่น 2 (LaLiga Smartbank)

หลังจากที่ตลาดซื้อ-ขายนักเตะช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาได้ปิดทำการเรียบร้อย แต่ละสโมสรได้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเงิน ซึ่งส่งผลถึงเพดานค่าใช้จ่ายที่ถูกกำหนดไว้ ตามกฎควบคุมการเงินของลาลีกา

แล้วมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายและหนี้สิน ส่งผลอย่างไรกับวงการลูกหนังแดนกระทิงดุ วันนี้เพจ “ไข่มุกดำ” จะมาขยายให้ฟังกันครับ

“ลา คอรุนญ่า” จากฟ้าสู่เหว

ในวงการฟุตบอลสเปน เคยมีสโมสรหนึ่งที่ล่มสลายเพราะปัญหาการเงิน นั่นคือเดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่า สโมสรจากแคว้นกาลีเซีย ที่เคยขึ้นสู่จุดสูงสุด ถึงขั้นคว้าแชมป์ลาลีกามาแล้วเมื่อปี 2000

ยุครุ่งเรืองของลา คอรุนญ่า เป็นช่วงที่เอากุสโต้ เซซาร์ เลนดอยโร่ เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานสโมสร เขาเป็นผู้ที่มีความทะเยอทะยานอย่างสูง ในการพาลา คอรุนญ่า ประสบความสำเร็จให้ได้

ความสำเร็จของ “ซูเปอร์เดปอร์” ในยุคของประธานเลนดอยโร่ นอกจากแชมป์ลาลีกาครั้งเดียวในประวัติศาสตร์สโมสรเมื่อ 22 ปีก่อนแล้ว ยังมีแชมป์โคปา เดล เรย์ 1 สมัย และแชมป์สแปนิช ซูเปอร์คัพ 3 สมัย

กระทั่งในปี 2005 ลา คอรุนญ่า ไม่สามารถทำอันดับเพื่อคว้าสิทธิ์ไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และฆาเบียร์ อีรูเรต้า ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม ยุคทองของลา คอรุนญ่า ก็สิ้นสุดลง

https://today.line.me/th/v2/article/l8BD0L

การที่ลา คอรุนญ่า ไม่ได้เข้าร่วมแข่งขันยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทำให้สโมสรขาดรายได้ก้อนโต อีกทั้งหนี้สินที่พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ จึงจำเป็นต้องปล่อยนักเตะตัวหลักออกไปหลายคน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย

ท้ายที่สุด ลา คอรุนญ่า ก็ไม่สามารถฝืนความจริงอันโหดร้ายได้ ต้องตกชั้นจากลาลีกา ในฤดูกาล 2010/11 ตามมาด้วยหนี้สินที่พุ่งสูงถึง 160 ล้านยูโร ส่งผลให้เลนดอยโร่ ประธานสโมสรต้องออกจากตำแหน่ง

ถึงแม้จะเลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่ลีกสูงสุดได้พักใหญ่ๆ แต่ก็ต้องตกชั้นกลับลงไปอีก และร่วงลงสุดขีดถึงขั้นลงไประดับดิวิชั่น 3 ในปัจจุบัน ซึ่งไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่า เดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่า จะกลับขึ้นสู่จุดนั้นได้อีกเมื่อไหร่

แชมป์ในสนาม แต่ช้ำนอกสนาม

เรอัล มาดริด และบาร์เซโลน่า ถึงแม้จะเป็น 2 สโมสรที่คว้าโทรฟี่มากที่สุดในวงการลูกหนังสเปน แต่สิ่งที่ทั้งคู่ประสบปัญหาไม่ต่างกันเลยคือ ปัญหาภาวะหนี้สินที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมานานหลายปี

แน่นอนว่า ทั้งเรอัล มาดริด และบาร์เซโลน่า ต่างแข่งขันกันอย่างดุเดือดทั้งในสนามและนอกสนาม เพื่อแย่งชิงความสำเร็จ เพราะแฟนบอลทั้ง 2 ทีมคงยอมไม่ได้ ถ้าพ่ายแพ้ให้กับคู่ปรับตลอดกาล

แต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เรอัล มาดริด และบาร์เซโลน่า ได้รับผลกระทบหนักพอสมควร จากการที่สโมสรไม่มีรายรับ มีแต่รายจ่าย ส่งผลให้ทั้งคู่ประสบปัญหาทางการเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

https://web.facebook.com/RealMadrid

เริ่มกันที่เรอัล มาดริดกันก่อน ภาวะหนี้สินของยักษ์ใหญ่จากเมืองหลวงของสเปน เกิดจากนโยบาย “กาลาติกอส” ของฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสร ที่ใช้เงินซื้อนักเตะระดับเวิลด์คลาสเข้าสู่ทีมมากมาย

นับจนถึงปัจจุบัน ราชันชุดขาวมีหนี้สินมากถึง 651 ล้านยูโร เกิดจากการแบกรับค่าเหนื่อยนักเตะที่มหาศาล อีกทั้งมีการปิดปรับปรุงสนามซานติอาโก้ เบอร์นาเบว ในช่วงที่สถานการณ์โควิด-19 ระบาด

แต่ทีมที่สาหัสกว่า ก็เห็นจะเป็นบาร์เซโลน่า ที่มียอดหนี้สินพุ่งสูงถึง 1 พันล้านยูโร แถมยังค้างค่าตัวนักเตะจากสโมสรอื่นๆ หลายคน ซึ่งยอดหนี้สินจำนวนนี้ มีความสุ่มเสี่ยงอาจถึงขั้นล้มละลายได้เลยทีเดียว

นอกจากปัญหาโควิด-19 แล้ว สาเหตุสำคัญที่ทำให้บาร์ซ่ามีหนี้สินท่วมท้นขนาดนี้ เพราะการบริหารงานที่ผิดพลาดในยุคที่โจเซป มาเรีย บาร์โตเมว เป็นประธานสโมสรในช่วงระหว่างปี 2014-2020

บาร์โตเมว มีนโยบายซื้อนักเตะราคาแพง สมกับฉายา “เจ้าบุญทุ่ม” โดยจ่ายเงินไปเกือบ 1 พันล้านยูโร แต่ต้องแลกมาด้วยการแบกภาระค่าเหนื่อยของผู้เล่นที่สูงถึง 74 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ทั้งหมด

เมื่อสถานะทางการเงินได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทำให้มีความพยายามในการลดรายจ่ายให้ได้มากที่สุด ซึ่งหนึ่งในแนวคิดในการลดรายจ่ายคือ การปล่อยตัวลิโอเนล เมสซี่ ออกจากสโมสร

แน่นอนว่า การปล่อยซูเปอร์สตาร์หมายเลข 1 ของทีมอย่างเมสซี่ เป็นสิ่งที่สาวกอาซุลกราน่า ไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่ท้ายที่สุด เมสซี่เป็นฝ่ายที่ต้องออกจากสโมสร ทิ้งผลงานที่ยิ่งใหญ่ให้แฟนๆ ได้จดจำ

เมื่อบาร์ซ่าไม่สามารถรั้งเมสซี่ไว้ได้ ทำให้บาร์โตเมว ต้องอำลาตำแหน่ง พร้อมกับส่งต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการบริหารที่ผิดพลาด ไปให้โจน ลาปอร์ต้า ที่กลับมารับตำแหน่งประธานสโมสรอีกครั้ง

จากภาวะหนี้สินที่ท่วมท้น นั่นทำให้ 2 ยักษ์ใหญ่ของสเปน ตัดสินใจเข้าร่วมโปรเจค “ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ลีก” ร่วมกับอีก 10 สโมสรชั้นนำของยุโรป เพื่อหวังรายได้ที่เข้ามาอย่างจุใจ แต่โปรเจคนี้ก็ถูกล้มในที่สุด

ตัวอย่างจากการที่สโมสรฟุตบอลระดับยักษ์ใหญ่ของวงการ ใช้จ่ายเงินอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง จนเกิดหนี้สิน แล้วคิดว่าในอนาคตจะมีเงินเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย คือหลักความคิดที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง

ควบคุมการเงินเพื่อความยั่งยืน

นับตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา สโมสรในลาลีกาได้ลงมติเห็นชอบให้มีการกำหนดกรอบควบคุมการเงินและหนี้สิน เพื่อป้องกันไม่ให้สโมสรใช้จ่ายเงินแบบเกินตัว และส่งผลถึงความยั่งยืนในระยะยาว

สำหรับกรอบควบคุมการเงินของลาลีกานั้น จะแตกต่างจากกฎไฟแนนเชียล แฟร์ เพลย์ ของยูฟ่า โดยจะมีการวิเคราะห์สภาพการเงิน โดยใช้เพดานค่าใช้จ่ายที่แต่ละสโมสรจะนำไปใช้จ่ายล่วงหน้าได้

จาก 20 สโมสรในลีกสูงสุด มีถึง 12 ทีม ที่สามารถเพิ่มเพดานในการใช้จ่ายที่มากขึ้น, มี 7 ทีม ที่ถูกลดเพดานค่าใช้จ่ายลง และเรอัล มาดริด เป็นทีมที่ทีเพดานสูงสุด คือ 739 ล้านยูโร ซึ่งเท่ากับช่วงซัมเมอร์ปี 2021

ฆาเบียร์ โกเมซ ผู้อำนวยการทั่วไปของลาลีกา แถลงว่า “สถานการณ์ทางการเงินเมื่อเทียบกับช่วงซัมเมอร์ปีที่แล้ว ถือว่าเป็นไปในทางที่ดีขึ้น เพราะแต่ละสโมสรได้ประเมินถึงความสูญเสียที่อาจมากกว่าความเป็นจริง”

บาร์เซโลน่า เป็นเพียงสโมสรเดียวใน 44 สโมสรของลาลีกาทั้ง 2 ดิวิชั่น ที่มีตัวเลขติดลบมากถึง 144 ล้านยูโร เมื่อเทียบกับช่วงตลาดนักเตะซัมเมอร์ปีที่แล้ว ที่ยักษ์ใหญ่แห่งคาตาลัน มีสิทธิ์ใช้จ่ายได้สูงสุด 97 ล้านยูโร

ตามกฎข้อที่ 100 ของลาลีการะบุว่า อนุญาตให้สโมสรใช้จ่ายเงินที่สูงกว่าเพดานที่กำหนดไว้ ถ้าสามารถลดค่าใช้จ่ายได้เท่าไหร่ ก็จะได้รับอนุญาตให้ใช้จ่ายได้ 25 เปอร์เซ็นต์ แต่อาจยืดหยุ่นได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์

โกเมซ ได้อธิบายถึงกฎ 1 ใน 4 ว่า “ลาลีกาสนับสนุนให้ทุกสโมสรมีความสามารถในการแข่งขันที่ดี ควบคู่ไปกับการสร้างสภาพทางการเงินในด้านบวก ทางลาลีกาอนุญาตให้ซื้อผู้เล่นได้ แต่มีเงื่อนไขบางประการ”

“เมื่อสโมสรมีการซื้อผู้เล่นใหม่ เราจะบังคับให้มีการตัดค่าใช้จ่ายพร้อมกับการซื้อผู้เล่นด้วย ยกตัวอย่างเช่น หากสโมสรสามารถประหยัดเงินได้ 100 ล้านยูโร ก็จะอนุญาตให้ใช้จ่ายได้ 25 ล้านยูโร”

ผลจากการกำหนดกรอบควบคุมค่าใช้จ่ายและหนี้สินของลาลีกาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้หลายๆ สโมสร ค่อยๆ เพิ่มเพดานในการใช้จ่ายที่มากขึ้น และหนี้สินของแต่ะสโมสรเริ่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ถึงแม้ว่าจะมีเหตุการณ์ใหญ่อย่างการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลให้อุตสาหกรรมฟุตบอลทั่วโลกได้รับผลกระทบ แต่ทั้ง 44 สโมสร จาก 2 ดิวิชั่นของลาลีกา ก็สามารถเอาตัวรอดจากวิกฤตดังกล่าวได้

โกเมซ สรุปปิดท้ายว่า “เราไม่มีความกังวลเลย ถึงแม้ว่าบางสโมสรอย่างเช่น บาร์เซโลน่า อาจมีปัญหามากกว่าสโมสรอื่นๆ แต่เราก็แสดงให้เห็นแล้วว่า มาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายและหนี้สินนั้นได้ผลที่ดี”

ในวงการฟุตบอล การบริหารจัดการเงิน คือสิ่งที่สำคัญที่สุดของทุกสโมสรฟุตบอลในโลก ความทะเยอทยานที่มาพร้อมกับวินัยทางการเงิน จะช่วยให้สโมสรฟุตบอลอยู่รอดได้ในระยะยาวอย่างแน่นอน

Author : จักรพันธ์ ภู่ทอง

Photo : Marca

อ้างอิง :

– https://www.fourfourtwo.com/features/deportivo-coruna-la-liga-segunda-champions-league-title-1999-2000

– https://theathletic.com/1432334/2019/12/05/this-is-the-worst-crisis-in-our-history-and-we-must-act-before-it-is-too-late-how-deportivo-went-from-title-winners-to-the-verge-of-oblivion-in-20-years/

– https://www.fcbarcelona.com/en/club/news/1856468/the-201920-economic-year-ends-with-losses-of-97-million-euros-caused-by-the-effects-of-covid-19

– https://www.marca.com/en/football/barcelona/2022/03/14/622f3bd8ca4741dc348b45f7.html

Categories
Football Business

ความเจ็บปวดที่สวยงาม : 117 ปี เชลซี กับอาณาจักร “โรมัน” ที่ใกล้ล่มสลาย

เมื่อวันที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมา เป็นวันที่สโมสรฟุตบอลเชลซี ก่อตั้งครบรอบ 117 ปี ซึ่งยุคสมัยที่ดีที่สุดของ “สิงห์บลูส์” คือยุคที่โรมัน อบราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรตั้งแต่ปี 2003

แต่ทว่า วันครบรอบการก่อตั้งสโมสรในปีนี้ กลับเป็นวันที่อบราโมวิชต้องเผชิญกับมรสุมชีวิตครั้งใหญ่ หลังจากที่รัฐบาลอังกฤษประกาศ “คว่ำบาตร” จากผลกระทบของสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน

เรื่องราวของเชลซี และยุคทองของเสี่ยหมีจากจุดเริ่มต้นถึงจุดสุดท้ายเป็นอย่างไร วันนี้เพจ “ไข่มุกดำ” จะมาขยายให้ฟังกันครับ

เส้นทางของเชลซีในศตวรรษแรก

กุส เมียร์ส นักธุรกิจชาวอังกฤษ ได้ลงทุนซื้อสนามกรีฑาสแตมฟอร์ด บริดจ์ โดยมีแผนที่จะเปลี่ยนเป็นสนามฟุตบอล จึงยื่นข้อเสนอให้สโมสรฟูแล่มที่ตั้งอยู่ใกล้กันมาเช่าสนามของตนเอง แต่ถูกปฏิเสธ

ดังนั้น เมียร์สจึงตัดสินใจก่อตั้งสโมสรฟุตบอลของตนเองขึ้นมา ใช้ชื่อว่า “เชลซี” ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียงกับเขตฟูแล่ม เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 1905 โดยสถานที่ตั้งของสโมสรเป็นผับเก่า ชื่อว่า “เดอะ ไรซิ่ง ซัน ผับ”

อย่างไรก็ตาม เชลซีต้องใช้เวลานานถึง 50 ปี กว่าจะได้แชมป์รายการแรกของสโมสรคือ แชมป์ดิวิชั่น 1 ลีกสูงสุดในขณะนั้น เมื่อฤดูกาล 1954/55 ตามด้วยแชมป์แชริตี้ ชิลด์ ภายใต้การคุมทีมของเท็ด เดร็ก

แต่หลังจากนั้น เชลซีคว้าแชมป์เพิ่มมาได้เพียง 3 รายการ แล้วพอเข้าสู่ช่วงกลางยุค ’70 สโมสรจากลอนดอนทีมนี้ก็เข้าสู่ยุคตกต่ำ ตกชั้นจากลีกสูงสุด ไปใช้ชีวิตอยู่ในระดับดิวิชั่น 2 เป็นส่วนใหญ่

จนกระทั่งในปี 1982 เคน เบตส์ ได้เข้ามาซื้อกิจการของเชลซี ต่อจากทายาทของกุส เมียร์ส อดีตผู้ก่อตั้งสโมสร ด้วยราคาสุดถูกเพียงแค่ 1 ปอนด์เท่านั้น พร้อมทั้งแต่งตั้งแมทธิว ฮาร์ดิ้ง เป็นผู้อำนวยการสโมสรด้วย

ในช่วงต้นยุค ’90 เป็นช่วงที่ลีกสูงสุดเปลี่ยนผ่านจากดิวิชั่น 1 เป็น “พรีเมียร์ลีก” ซึ่งถือเป็นการเปิดประตูสู่ยุคใหม่ของวงการฟุตบอลอังกฤษ บรรดานักฟุตบอลต่างชาติต่างหลั่งไหลเข้ามาอย่างคึกคัก

เบตส์ และฮาร์ดิ้ง ช่วยกันขับเคลื่อนเชลซีจากทีมท้ายตาราง สู่กลางตารางอย่างมั่นคง นักเตะต่างชาติได้เข้ามาสร้างชื่อในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ เช่น รุด กุลลิท, จิอันลูก้า วิอัลลี่, จิอันฟรังโก้ โซล่า และอีกมากมาย

ในปี 2003 เคน เบตส์ ประกาศขายกิจการของสโมสร ไปให้กับโรมัน อบราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย ด้วยราคา 140 ล้านปอนด์ ความสำเร็จของเชลซีตลอดช่วงศตวรรษแรก คว้าแชมป์ได้ทั้งหมด 13 โทรฟี่

อาณาจักร “โรมัน” เขย่าพรีเมียร์ลีก

เส้นทางชีวิตของโรมัน อบราโมวิช ก่อนที่จะเข้ามาเทคโอเวอร์เชลซีนั้น เรียกได้ว่าเป็นคนที่สู้ชีวิตมาไม่น้อยเลยทีเดียว เขากำพร้าพ่อและแม่ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ทางเดียวที่จะอยู่รอดคือต้องดิ้นรนหาเงิน

อบราโมวิช ได้เข้าโรงเรียนเพื่อเรียนหนังสือเหมือนเด็กทั่วๆ ไป แต่พออายุ 16 ปี เขาขอลาออกจากโรงเรียน เพราะมองว่าเรียนไปก็ไม่มีประโยชน์ และเริ่มมีรายได้จากการเป็นเซลล์ขายของเล่นที่ทำจากยาง

จากการได้เรียนรู้เรื่องการค้าขายนี่เอง ทำให้อบราโมวิชเข้าใจถึงคำว่า “คอนเน็คขั่น” ก็ได้ผันตัวไปทำธุรกิจใต้ดิน คือการขายน้ำมันเถื่อน โดยมีบอริส เบเรซอฟสกี้ นักการเมืองดังของรัสเซียในยุค ’90 อยู่เบื้องหลัง

ต่อมา อบราโมวิช และเบเรซอฟสกี้ ได้ซื้อกิจการ Sibneft บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของไซบีเรียในราคาไม่ถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐ และขายให้ Gazprom บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของรัสเซีย ได้กำไรกว่า 10 เท่า

จนกระทั่งในปี 2000 รัสเซียมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจครั้งสำคัญ เมื่อวลาดิเมียร์ ปูติน ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ นั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้อบราโมวิชมีอิทธิพลมากขึ้น และมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับปูตินตั้งแต่บัดนั้น

เมื่ออบราโมวิช เข้ามาครอบครองสโมสรเชลซี ในปี 2003 ถือเป็นเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนวงการฟุตบอลอังกฤษเป็นอย่างมาก ท่ามกลางการจับตามองว่า เขาจะมาสร้างภัยอันตรายให้กับรัฐบาลเมืองผู้ดีหรือไม่

แม้ประวัติในอดีตของอบราโมวิชจะเป็นที่ถูกจับผิดอยู่ตลอดเวลา แต่เขามีวิสัยทัศน์ และมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำเชลซีประสบความสำเร็จอย่างจริงจัง จนกระทั่งสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดยุคหนึ่งของสโมสร

ในฤดูกาล 2004/05 แชมป์รายการแรกในยุคของเสี่ยหมี คือแชมป์ลีก คัพ และตามด้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก ซึ่งถือเป็นการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบครึ่งศตวรรษ และฉลองครบรอบ 100 ปี ของสโมสรอีกด้วย

ขณะที่ถ้วยใหญ่สุดของยุโรปอย่างยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เชลซีผ่านเข้าชิงชนะเลิศครั้งแรกเมื่อปี 2008 ที่รัสเซีย ทว่าแพ้จุดโทษแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่หลังจากนั้นก็สมหวัง คว้าแชมป์ได้ 2 สมัย ในปี 2012 และ 2021

โรมัน อบราโมวิช ใช้เวลาเพียง 19 ปี พาเชลซีคว้าแชมป์ได้อย่างน้อย 21 รายการ ถึงแม้ว่าจะต้องใช้ผู้จัดการทีมมากถึง 14 คน แต่ถ้าวิธีการของเขามันได้ผลตามที่ต้องการ ก็คงจะไม่มีใครไปตำหนิได้อย่างแน่นอน

จบแบบเจ็บปวด จากลาอย่างยิ่งใหญ่

ในขณะที่โรมัน อบราโมวิช กำลังสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเชลซี จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเขาก็มาถึง และไม่มีใครคาดคิดว่าจะนำไปสู่จุดจบถึงขั้นต้องออกจากสโมสรในที่สุด

ในปี 2018 อบราโมวิช มีปัญหาเรื่องการต่อวีซ่าเพื่อเข้าประเทศอังกฤษ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นผลมาจากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับวลาดิเมีย ปูติน ทำให้ต้องตั้งมาริน่า กรานอฟสกาย่า เข้ามาดูแลสโมสรแทน 

แต่อีก 3 ปีต่อมา เสี่ยหมีสามารถกลับเข้าเมืองผู้ดีได้อีกครั้ง ทว่าสถานการณ์ที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นจนได้ เพราะเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ได้ปะทุมากขึ้นจนกลายเป็นสงคราม

ก่อนหน้านี้ อบราโมวิชก็พยายามเอาตัวรอด ด้วยการประกาศขายสโมสรให้เร็วที่สุด แล้วนำเงินที่ได้ไปบริจาคให้ผู้ได้รับผลกระทบจากสงครามในยูเครน อีกทั้งหนี้สินที่มีอยู่ทั้งหมดก็จะไม่เรียกคืน แต่ก็ไม่เป็นผล

และล่าสุดเมื่อ 2 วันก่อน รัฐบาลอังกฤษประกาศคว่ำบาตร ส่งผลให้มหาเศรษฐีรัสเซีย 7 คนที่ถูกมองว่าเป็นผู้สนับสนุนปูติน ถูกอายัดทรัพย์สินทั้งหมด ซึ่งรวมถึงอบราโมวิช เจ้าของสโมสรเชลซีด้วย

อย่างไรก็ตาม อบราโมวิชยังสามารถที่จะขายสโมสรได้ แต่มีเงื่อนไขว่า เขาจะไม่ได้รับเงินจากการขายสโมสรเลยแม้แต่ปอนด์เดียว โดยเงินจากการขายสโมสรทั้งหมดจะเข้าไปที่รัฐบาลอังกฤษ

ขณะที่สโมสรเชลซี ก็ได้รับผลกระทบที่ตามมาจากการคว่ำบาตรไปด้วย โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

– ห้ามขายตั๋วเข้าชมการแข่งขันใหม่ ยกเว้นผู้ถือตั๋วปีของสโมสร ยังสามารถเข้าชมได้ตามปกติ

– ห้ามจำหน่ายสินค้าในเมกะสโตร์ของสโมสร และออนไลน์ ส่วนที่อื่นยังสามารถจำหน่ายได้ตามปกติ

– ห้ามซื้อ-ขายผู้เล่น และต่อสัญญาฉบับใหม่ให้กับผู้เล่นของสโมสร

– ห้ามใช้เงินเกิน 500,000 ปอนด์ สำหรับการแข่งขันในประเทศอังกฤษ

– ห้ามใช้เงินเกิน 20,000 ปอนด์ สำหรับการเดินทางแข่งขันนอกประเทศอังกฤษ

– ทรี (Three) บริษัทเครือข่ายโทรศัพท์ชื่อดังของอังกฤษ ขอระงับสัญญาเป็นสปอนเซอร์หน้าอกเสื้อแข่งขันชั่วคราว

ถึงแม้ว่าโรมัน อบราโมวิช จะต้องยุติบทบาทกับเชลซีแบบไม่เต็มใจเท่าใดนัก แต่สิ่งที่ได้ลงมือทำมาตลอด 19 ปี ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เขาคือเจ้าของสโมสรที่ลงทุน และทุ่มเทจนทีมประสบความสำเร็จสูงสุดของโลกลูกหนังไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Author : จักรพันธ์ ภู่ทอง

Photo : Football365

อ้างอิง :

– https://www.bbc.com/sport/football/60689645

– https://www.bbc.com/sport/football/60684038

– https://en.wikipedia.org/wiki/Chelsea_F.C.